12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

ประตูเมืองทิศใต้ หมิงเต๋อ

[คัดลอกลิงก์]

1

กระทู้

38

ตอบกลับ

5118

เครดิต

เสาหลักพวกพ้อง

พลังน้ำใจ
4880
ตำลึงทอง
45
ตำลึงเงิน
473
เหรียญอู่จู
11766
STR
25+15
INT
30+0
LUK
30+20
POW
20+0
CHA
0+0
VIT
15+12
คุณธรรม
941
ความชั่ว
0
ความโหด
605
โพสต์ 2024-8-23 08:34:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 15 เดือน 8 เจี้ยนหยวนศกที่ 10

เวลา 10.30




จากสถานการณ์เสี่ยงอันตรายพบเจอวิกฤต ดวงของหลงเสวียนถือว่าดวงแข็งมาก ไม่ว่าจะเสี่ยงชีวิตเพียงก็ยังได้ความช่วยเหลือจากคนแปลก


จอมยุทธ์สาวคนนั้น เขายังไม่ถามชื่อเสียงเรียงนาม ฉะนั้นจึงเปรียบเสมือนรู้จักกันผ่าน ๆ อาจมีสักวันที่ได้พบกันใหม่ 


เขาคุ้มกันพ่อค้ากลับไปจนถึงหน้าเมือง ประตูทิศใต้


“หัวใจข้าจะวาย” พ่อค้าเอ่ยบอก ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญ


“ใช่เลยเฮีย” พ่อค้าอีกคนบอก 


ก่อนกลุ่มพ่อค้าคาราวานมองหน้าบุรุษหนุ่มหิมะ “รางวัลของเจ้า มีขนมและตำลึงทอง”


“อืม”


“ไม่คิดจะขอบคุณสักหน่อยหรือไง”


“ทำไมข้าต้องขอบคุณ ในเมื่อนี้มันเป็นการจ้างคุ้มครอง” หากเรื่องความถือตัว หลงเสวียนยังคล้ายเดิมที่พูดจาเสมือนยังเป็นว่าที่ตำแหน่งประมุขกงจื่อ 


บัดนี้เป็นสามัญชน ชั้นชนรากหญ้า สักวันเขาคงจะปรับเปลี่ยนคำพูดให้ดีกว่านี้




รางวัลงาน: +60 พลังใจ, 15 ตำลึงทอง , 

+55 EXP และ +50 ค่าคุณธรรม , 30 ความโหด

ได้รับ: ขนมเฉียวกั่ว 2 ลูก และ สุราเบญจมาศ 1 กา










แสดงความคิดเห็น

ไม่ได้ในส่วน +55 EXP เนื่องจากผู้พิชิตศัตรูของเควสมิใช่คุณ  โพสต์ 2024-8-23 10:40
โดนหักค่าจ้างออก 50% เนื่องจากกลุ่มพ่อค้าไม่ทันเก็บของป่าได้ครบจำนวนต้องหนีออกมากันซะก่อน   โพสต์ 2024-8-23 10:39
คุณได้รับ +50 คุณธรรม +30 ความโหด โพสต์ 2024-8-23 10:36
โพสต์ 12988 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-8-23 08:34
โพสต์ 12,988 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-8-23 08:34

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +7 ย่อ เหตุผล
Admin + 7

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ผู้มีบุญ
มีดแล่เนื้อ
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ง้าวปีศาจปลา
หมวกไผ่ผ้าคลุม
พัดคุณชาย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x18
x2
x4
x1
x2
x2
x4
x4
x20
x56
x1
x6

1

กระทู้

11

ตอบกลับ

307

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
200
ตำลึงทอง
25
ตำลึงเงิน
103
เหรียญอู่จู
8753
STR
3+0
INT
3+0
LUK
6+5
POW
2+0
CHA
3+0
VIT
3+0
คุณธรรม
0
ความชั่ว
0
ความโหด
0
โพสต์ 2024-9-7 21:38:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
กลับมาเยือนฉางอัน
           ก๊อก ก๊อก ก๊อก

        “คุณชายตื่นเถิดขอรับ ใกล้ถึงเมืองหลวงแล้วนะขอรับ”

        เสียงเคาะเบาๆที่ผนังรถเรียกพาให้ปลายขนตายาวงอนเป็นแพกระพริบไหวดั่งผีเสื้อขยับปีกก่อนที่เปลือกตาสีขาวประกายราวไข่มุกค่อยๆเปิดขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนราวเปลือกไม้ที่ยังคงปรือปรอยเพราะความง่วงงุน ใบหน้างดงามหมดจดที่ผู้คนมองผ่านๆคงไม่แคล้วคิดว่าเป็นสตรีบึ้งตึงอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวนในขณะหลับแต่ถึงกระนั้นก็มิใบทำให้ใบหน้างดงามเกินบุรุษของเจ้าตัวดูน่าเกลียดเลยแม้แต่น้อยกลับกันกลับดูเหมือนแมวน้อยจอมหยิ่งที่กำลังทำท่าไม่พอใจเสียมากกว่า เจ้าตัวก็มิได้อย่างอันใดออกไปเพียงแค่ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพลางบิดกายไล่ความเมื่อยล้าหลังจากที่เดินทางรอนแรมมาร่วมหลายสัปดาห์

        “ถึงไหนแล้ว”เสียงนุ่มทุ้มขึ้นจมูกเล็กน้อยเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษกล่าวถามขึ้นพร้อมกับมือเรียวที่เอื้อมไปแหวกผ้าม่านเพื่อสอดส่องดูรอบนอกตัวรถม้า ก่อนจะพบแต่เพียงความมืดมิดของป่าข้างทางจึงตัดสินใจปิดม่านลงดังเดิม

        “อีกเพียงครึ่งเค่อก็จะถึงประตูหมิงเต๋อแล้วขอรับคุณชาย”

        “งั้นหรือ แล้วนี้ยามใดแล้ว”

        “เข้ายามห้ายขอรับคุณชาย” เสียงจากภายนอกยังคงร้องตอบผู้เป็นนายอย่างสุภาพมิได้นึกลำคานเสียงที่กล่าวถามออกมาที่คำนั้นแม้แต่น้อย ด้วยรู้นิสัยและติดตามคุณชายน้อยผู้นี้มาตั้งแต่เจียวจ้านจึงคุ้นชินกับนิสัยถามซอกแซกนี้ของผู้เป็นนายไปเสียแล้ว

        “งั้นหรือ” ชายหนุ่มด้านในรถม้ากล่าวเสียงเบาก่อนจะเงียบไป

        ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ภายในรถม้าขนาดกลางไม่สมฐานะผู้นี้คือหมิงชุนสุ่นบุตรชายคนเล็กของตระกูลพ่อค้าใหญ่ของเมืองหลวง และด้วยนิสัยแปลกๆของเจ้าตัวที่เรียกได้ว่าไม่ค่อยเหมือนผู้ใดนักจึงมักตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านอยู่ร่ำไปแต่ถึงกระนั้นบิดาผู้เป็นเจ้าตระกูลกลับไม่ได้คิดสนใจเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นแม้แต่น้อยกลับกันยิ่งให้ท้ายและโอ๋บุตรคนเล็กของตนเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน

        แม้ว่ายามนี้บุตรชายที่ว่าจะอายุเข้าวัยสวมกวานมาแล้วแต่ในสายตาของผู้นำตระกูลหมิงและฮูหยินรวมถึงคุณชายใหญ่ก็ยังคงเป็นคุณชายผู้นี้เป็นเด็กน้อยวัยสามหนาวอยู่ดี และไม่ว่าเจ้าตัวจะกล่าวของสิ่งใดคนทั้งตระกูลก็พร้อมจะหามาประเคนให้ถึงมือโดยไม่ต้องร้องขอขนาดเรื่องที่คุณชายน้อยหมิงชุนสุ่ยร้องขอจะเดินทางไปท่องเที่ยวแถบไท่โจวก็ยินยอมปล่อยให้ไปโดยแอบส่งผู้ติดตามแอบตามไปดูแลนับสิบๆคน ทั้งยังมอบเงินให้ไว้ไปซื้อของกินระหว่างทางเสียหลายร้อยตำลึงทองขนาดที่ว่าเจ้าตัวผลาญเงินซื้อของใช้ของกินเที่ยวนั่นนี่ใช้เงินเหมือนโปรยทิ้งก็ยังเหลือเงินกลับมาฉางอันด้วยเสียหลายตำลึงทอง

        เหมียววว…

        “ว่าไงเสี่ยวเปา ข้าทำเจ้าตื่นหรือ”เสียงกล่าวที่มักแฝงความเอาแต่ใจตลอดเวลายามนี้กลับแฝงไปด้วยความเอ็นดูทั้งเอาอกเอาใจสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเท่าฝ่ามือที่ใช้หัวน้อยๆ ดันพาตัวที่เล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนนุ่มสีขาวของตัวเองออกมาจากกองผ้าอันแสนอบอุ่น

        เหมี่ยววว..

        เสียงร้องแหลมร้องตอบก่อนที่เจ้าแมวน้อยสีขาวราวก้อนซาลาเปาจะกระโดดพาตัวเองออกมาจากตระกร้าเดินนวยนาดไปทิ้งตัวลงนอนส่งเสียงครืดคราดอยู่บนตักของทาสหนุ่ม

        “เจ้าก้อนซาลาเปาน้อยของข้าช่างน่าเอ็นดูนักเดี๋ยวเข้าเมืองแล้วข้าหาปลาย่างอ้วนๆ สักตัวมาป้อนเจ้าดีหรือไม่”ไม่ว่าเปล่ามือขาวขอชายหนุ่มก็ลูบไล้ไปตามเส้นขนสีขาวนุ่มฟูด้วยความเพลิดเพลินก่อนจะเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง

        เหมียวว…

        “เจียวจ้าน หากเข้าเมืองแล้วยังไม่ต้องกลับจวน ดึกป่านนี้คนที่จวนคงหลับหมดแล้วแวะพักที่โรงเตี้ยมแทนแล้วค่อยเดินทางกลับจวนตัวเช้าเถิด”

        “บ่าวทราบแล้วขอรับคุณชาย”




        ผ่านไปราวครึ่งเค่อรถม้าของหมิงชุนสุ่ยก็แล่นเข้ามายังด้านในของประตูหมิงเต๋อพร้อมกับจอดเพื่อให้ทหารที่ประจำอยู่ที่ประตูได้ตรวจสอบตามหน้าที่ เจียวจ้าวที่เป็นทั้งบ่าวคนสนิทและคนขับรถม้าของคุณชายน้อยตระกูลหมิงก็ไม่อิดออดรีบหยิบเอาป้ายพกประจำตระกูลออกมายื่นส่งให้ทหารดูโดยไม่ลืมที่จะมอบเงินถุงเงินจำนวนสองตำลึงเงินสองถุงให้เป็นค่าเหนื่อยแก่เหล่าทหารที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยตามที่คุณชายสั่งก่อนที่ตนจะบังคับรถม้าเดินทางเข้าสู่ถนนที่จะมุ่งหน้าไปสู่ใจกลางของเมืองทันที












แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2024-9-7 22:27
โพสต์ 11857 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-7 21:38
โพสต์ 11,857 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2024-9-7 21:38

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +40 เหรียญอู่จู +1000 ย่อ เหตุผล
Admin + 40 + 1000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x20
x75
x7
โพสต์ 2025-6-5 02:54:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด



          ใต้ชายคาอันกว้างใหญ่ทรงจีนโบราณแห่งจวนของเจ้าเมืองกว่างโจวนาม หนาน จิ่งหยาง ยายสายของวันที่แสนเงียบสงบนั้นมีแสงแดดส่องเฉียง ๆ เอื่อย ๆ ผ่านลอดช่องลมและหน้าต่างไม้ไผ่ถลุลวดลายงดงามแบบชาวต้าฮั่นอันยิ่งใหญ่แดนตะวันออก แสงของมันนั้นส่องลงบนพื้นภายในห้อง มันควรจะเป็นฉากที่เหล่าหญิงสาวตัวต้นเรื่องนั่งอ่านหนังสือ เล่นดนตรีผีผาเช่นกุลสตรีชาวฮั่น แต่ไม่..สิ่งที่เป็นตัวหลักของเรื่องนี้คือเด็กสาวตัวเล็กที่กำลังนั่งไขว้ตัวคร่อมกิ่งไม้ใกล้กับหน้าต่างนั้น เป็นกิ่งของต้นท้อที่ลูกด้านล่างไม่เหลือ เหลือแต่ผลที่สุกงอมด้านบนต้น ที่คาดว่าอันไหนเก็บง่าย ๆ น่าจะเข้าท้องของใครบ้างคนไปแล้วนั้นเอง..

          มือบางเรียวงามของนางขยับขึ้นเพื่อเอื้อมไปหยิบผลท้อสุกหวานคากิ่งอย่างพยายามอย่างสุดชีวิต “ฮึบบบ” เมื่อคว้าหมับ! ได้ก็เก็บลงไปในกระเป๋าที่โดนเย็บเข้าไปภายในชุดฮั่นฝูด้านในโดยที่พยายามทำให้ท่านแม่ของตนเองไม่รู้เพราะเดี๋ยวจะโดนว่ากล่างเอานางไม่อาจฟังอะไรแบบนั้น มันน่าเบื่อ หลังจากที่เก็บผลที่สามเสร็จก็ค่อย ๆ สไลด์ตัวเองลงมาจากต้นท้อนั้นอย่างสนุกสนาน ราวกับเป็นทักษะประจำตัวที่ติดตัวมาตั้งแต่สัญชาตญาณของนางเองแต่เกิดก่อน เมื่อเห็นว่าไร้คนก็รีบวิ่งเข้าไปภายในห้องผ่านหน้าต่างทันที ขยับมือจับขอบหน้าต่างแล้วดันตัวเองขึ้นแหกขาจากนั้นก็ขยับตัวดันตัวพลิกเข้าห้องอย่างเรียบง่ายราวกับทำมาเป็นพัน ๆ ครั้ง

          ช่วงเวลาไม่เกินหนึ่งหรือครึ่งเค่อร่างของสตรีวัยกลางคนท่าทางสุภาพก็ค่อย ๆ ก้าวเดินมาพร้อมด้านหลังที่มีสาวใช้คนสนิทของตนเอง นางมีดวงหน้าเรียวมีร่องรอยอ่อนล้าของวันเวลา แต่ยังคงสง่างามไม่เสื่อมคลาย ผิวพรรณขาวอมชมพู เปล่งประกายจากการดูแลเอาใจใส่ ช่างเป็นลักษณะของสตรีผู้เคยได้รับการบ่มเพาะในจวนใหญ่ สวมชุดฮั่นฝูผ้าไหมชั้นดีสีชมพูอ่อนแต่งขลิบเงิน ลวดลายเป็นดอกเหมยกำลังผลิบานซึ่งสื่อถึงความอดทน อ่อนโยน และสง่างามในวัยวุฒิ แขนเสื้อกว้างตกแต่งด้วยระบายผ้าโปร่งบางที่พลิ้วไหวตามลม ดูนุ่มนวลราวหมอกยามรุ่งสาง เส้นผมเกล้าไว้อย่างเรียบร้อย ทัดด้วยปิ่นเงินประดับมุกแท้ และปักดอกไม้สีขาวอย่างละเมียดละไม ติ่งต่างหูหยกแกะลายห้อยระย้าลงมาจนแตะข้างแก้มเพิ่มความงดงามสงบนิ่ง ทุกอากัปกิริยาของเธอ เปี่ยมไปด้วยความนอบน้อมและความละเอียดอ่อนในฐานะภรรยาเจ้าเมืองกว่างโจว

          เด็กสาวเบิกตากว้างก่อนที่จะวิ่งไปนั่งตรงที่ตั้งไม้แข็งเนื้อดีที่โดนขัดมันวาวลงน้ำมัน หยิบพัดขึ้นมาแล้วนั่งขัดสมาธิราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรแผลง ๆ เลยสักนิด แม้ว่าจะไม่เป็นระเบียบ ตรงพรมของห้องประจำจวนมีรอยเศษดินเล็กน้อย เส้นผมที่โดนรวบเก็บมีส่วนที่ตกลงมาอย่างน่าสงสัยว่าเหตุใดการนั่งเฉย ๆ ถึงเป็นเช่นนั้น ใบหน้าขาวใสของเด็กสาววัย 15 ขวบปีมีรอยคราบดินตรงปลายคางเล็กน้อย ส่วนเส้นด้านซ้ายยุ่งแปลก ๆ เหมือนกับผ่านสงครามนกยูงป่าแต่หนีมาทัน

          “ท่านแม่ สวัสดีเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสของนางเอ่ยขึ้นแล้วพยายามยิ้มกลบเกลื่อน แต่หากมารดามองไม่ออกก็ไม่ควรที่จะเป็นมารดา แม้หลินหยาจะกำลังทำตัวเป็นหญิงสาวในภาพที่ปรากฏบนกำแพงกายอย่างอ่อนหวานและสะอาดตา ราวกับดอกบัวที่เบ่งบานอยู่เหนือผิวน้ำในยามเช้าตรู่ ท่วงท่าเรียบร้อยและสง่างาม นั่งทอดมืออย่างเป็นธรรมชาติราวกับได้รับการอบรมจากตระกูลสูงศักดิ์มาตั้งแต่เยาว์วัย แต่มันไม่ได้ทำให้คนเป็นแม่ไม่รู้เลยว่าบุตรสาวตัวเองแอบไปทำอะไรมา

          “หยาเออร์ เจ้าเพิ่งไปปีนต้นไม้มาอีกแล้วใช่หรือไม่?”

          เสียงของท่านแม่เอ่ยขึ้นอย่างจับผิด แม้ว่าจะเรียบแต่ดูเจือแววดุอย่างถึงที่สุด เสียงของนางเหมือนกับคนที่กำลังเหนื่อยใจพร้อมปรายตามองไปยังใบลูกท้อที่กำลังติดอยู่กลางเส้นผมของบุตรสาวตัวเองอย่างสงบนิ่งแต่กลับทรงพลังทำลายล้างรุนแรงกว่ากำแพงเมืองแตกหรือหมัดแรกของไซตามะ แค่ก–

          “เอ่อ..เอ๊ะ? ท่านแม่ ข้าแค่ขึ้นไปดูวิวเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ ไม่ได้จะไปเก็บผลลูกท้อสุกหวานหอมคาต้นของท่านปู่เลยสักนิด” เสียงของนางเอ่ยอย่างร้อนรนนิดหน่อยแม้จะรู้ว่าแก้ตัวไปก็ไม่อาจจะหลุดรอดสายตาของคนที่เป็นมารดาได้ก็ตามที ยังไม่ทันที่สตรีวัยกลางคนจะเอ่ยขึ้นร่างของชายที่ดูอายุเยอะกว่านิดหน่อยก็เดินตามเข้ามาพร้อมกับดวงตาที่ขมวดคิ้ว เขาขยับมือจับเคราของตัวเองเล็กน้อยแล้วมองหัวบุตรสาวตัวเอง เจ้าเมืองกว่างโจวกำลังพิจารณาว่าบุตรสาวของเขาทำกิ่งต้นท้อสุดรักสุดหวงของท่านพ่อหักอีกหรือเปล่า

          “หยาเอ๋อร์..”

          ท่านพ่อเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้.. “ลูกบอกว่าขึ้นไปดูวิวน่ะ” ฮูหยินใหญ่ของบ้านเอ่ยบอกผู้เป็นสามีของตัวเอง ท่านพ่อจึงกรอกตาเล็กน้อยราวกับเหนื่อยใจ “วิวบนต้นไม้มันมองได้ชัดขนาดต้องปีนเข้าไปในเขตสวนกับปีนต้นท้อสุดรักของปู่เจ้าเชียวหรือหยาเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าลูกพ่อไม่ได้โง่ไม่เป็นหรอกนะ แต่ถ้าจะปีนสูงนัก ช่วยอย่าเอากระโปรงไปใส่แล้วทำขาดหรือทำกิ่งท้อหักจะดีกว่านะ”

          ยังไม่ทันจะได้พูดต่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่ก็อยากจะลงศอกใส่ผู้เป็นสามีที่ให้ท้ายบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนคนนี้เสียสักทีให้ได้เสียนี้

          “ฮ่ะ ๆ ได้ค่ะท่านพ่อ” เธอเอ่ยบอก แล้วรีบยกมือลูกระโปรงที่มีรอยขาดเป็นทางยาวอย่างคนที่ไม่สำนึกเท่าไรนัก “รอบหน้าข้าจะพยายามสวมอะไรให้เรียบร้อยกว่านี้เจ้าค่ะ”

          “พอเลย ทั้งท่านทั้งหยาเอ๋อร์” มารดาของนางเอ่ยขึ้นจากนั้นก็มองบุตรสาวของตนเอง ยกมือเรียวที่เหี่ยวย่นจากการที่คอลลาเจนในชีวิตหายไปจากอายุที่มากขึ้น แล้วนางก็เอ่ยต่อ “แม่ว่าเรามาพูดเรื่องจริงจังกันสักที หยาเออร์ แม่มีของจะฝากให้เอาไปให้คนจวนสกุลจี้หน่อยได้หรือไม่ ร้านผ้าไหมที่ฉางอันของแม่ เป็นของในหอบผ้าส่งให้คนสกุลจี้ เครื่องยาจากหอหมอเก่า เจ้าจะไปส่งให้ได้หรือไม่?” เสียงของสตรีวัยกลางคนเอ่ยถาม

          ส่วนหลินหยาเมื่อได้ยินก็หูผึ่งราวกับว่าหูบานเป็นกระด้งฟัดข้าวเลยทีเดียว “จริงหรือเจ้าคะ! ได้เลยเจ้าค่ะ! เอาเลย! เอาให้ข้านะ ข้าไปส่งให้ถึงมือแน่นอน! จะเดิน จะคลานหรือจะไถลไปข้าก็ส่งุถึงแน่นอน!” เด็กสาวเอ่ยบอกอย่างร่าเริง ราวกับว่ารอช่วงเวลานี้มานาน

          “คลาน?...” มารดาเหมือนจะกล่าวอย่างเงียบงันแต่ยังพยายามไม่ก่นด่าออกมาจากปากของตนเอง แต่ถ้ามากกว่านี้ก็ไม่แน่ เพราะบุตรสาวของเธอมันซนเสียยิ่งกว่าลิงเสียอีก

          หลินหนาขยับตัวยืดขึ้นทันทีที่ได้ยินท่านแม่ทวนคำนั้น พลางขยับเด้งขึ้นนั่งตรงดิ่งราวกับเป็นท่าทางของแมวที่ได้รับการเคาะหัวจนต้องเด้งขึ้นเป็นสปริง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม “ถ้าอย่างงั้นข้าขอไปเที่ยวเล่นที่ฉางอันได้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากไปเปิดโลกกว้าง พบผู้คนใหม่ ๆ เรียนรู้การค้าขาย เที่ยวชมร้านขนมหวาน เอ๊ย! ร้านตำรา..!!”

          เมื่อเจ้าเมืองกว่างโจวได้ยินก็มีสายตาของคำว่า ข้าว่าแล้ว อยู่ด้านในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้น จากนั้นก็หันไปมองฮูหยินของตนเองแล้วพยักหน้าให้กันอย่างช้า ๆ เป็นสัญญาณบ้างอย่าง “พ่อก็คิดไว้แล้วล่ะ ว่าเจ้าคงอยากออกจากจวนไปบ้าง เดี๋ยวสวนผลไม้กับผักกินได้ของเจ้าจะให้พวกคนงานเป็นคนดูแลแทนไปก่อน ไม่ต้องกังวนนะ ยังไงเทศกาลเก็บเกี่ยวใหญ่ก็คงอีกนาน เจ้าจะได้รู้สักทีว่าโลกกว้างนั้นไม่ได้มีเพียงต้นท้อ สวนของกินหรือถังหมักเหล้าของเจ้า”

          หลังจากได้ยินแบบนั้นหลินหยาก็ยิ้มแห้งเพราะมันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอไม่ค่อยออกไปข้างนอกเพราะว่าเป็นห่วงต้นไม้ที่ตัวเองปลูกเอาไว้  แต่เอาความจริงหัวใจก็เต้นแรงเป็นราวกับม้าศึกเลยทีเดียว จากนั้นก็เด้งร่างกายขึ้นนั่งแล้วขยับขึ้นยืนบนพรมภายในห้องท่องตำราแห่งนี้พร้อมผมฟูที่ยังไม่ได้เอาใบท้อที่ติดผมออกแล้วชูสองนิ้วอย่างร่าเริง

          “จริงหรือเจ้าคะ! ท่านพ่อท่านแม่ใจดีจังเจ้าค่ะ ใจดีดุจพระสังกะจายย” ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็ิอารมณ์ดีแล้วเอ่ยขึ้นต่อ “งั้นข้าขอเงินหน่อยได้ไหมอ่ะ จะเดินทางมันก็ต้องมีเงินสิเจ้าคะ นะ ๆ ท่านพ่อท่านแม่เตรียมไว้ให้แล้วใช่ม๊า” หลังจากพูดขอเงินเสร็จก็เหมือนกับความปลงของพ่อกับแม่ที่ต้องโดนลูกขอเงินไปจนแก่ตาย ราวกับรู้ว่าบุตรสาวของตัวเองหวงเงินเสียยิ่งกว่าอะไรดีเสียอีก

          “เราสองจะให้เงินกับเจ้าใช้ติดตัวไว้สำหรับไปเมืองหลวงแล้วกัน ดับการเดินทาง เอาไว้ใช้ซื้อของที่จำเป็น เจ้าอย่าไปทุ่มซื้อเครื่องหอมหรือเครื่องประดับแปลก ๆ แบบตอนที่ขึ้นด่านใกล้ทะเลใต้อีกล่ะ” มารดาของเธอหลังจากที่พูดบอกก่อนขยับมือไปทางสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง ว่าให้เอาของมา เมื่อสาวใช้วัยกลางคนได้เห็นเช่นนั้นก็ขยับตัวขึ้นแล้วยื่นถุงห่อกระเป๋ากับผ้าส่งให้ฮูหยินใหญ่ของบ้าน และหลินหยาก็ขยับไปรับอย่างร่าเริง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนงามของนางเปล่งประกายราวกับคนที่ได้สมบัติไม่มีวันจบสิ้น

          ก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างได้…

          “เอ่อ..ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะขอเพิ่มอีกเจ้าค่ะ เรื่องหนึ่ง..คือว่า..” ยังไม่ทันพูดก็ขยับตัวขึ้นมาใกล้เสียงเบานิดหน่อยเหมือนกำลังขายไม้กฤษณาเถื่อนโดยที่ไม่ผ่านการเสียภาษีของราชสำนักและด่านตรวจ “คือเหล้าผลไม้หมักที่ข้าทำไว้ตรงโซนหลังห้องครัว ขอเอาไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?.. แค่หนึ่งขวดก็ได้เจ้าค่ะ หนึ่งไหก็ได้จะดีมาก ๆ เอาไว้จิบเวลาเดินทาง ดูดาวตอนกลางคืน จะไม่ขาย ไม่เมา ไม่กลิ้งตกสะพานหรือตกเกวียนแน่นอน!”

          ท่านพ่อเมื่อได้ยินก็หันควับกลับมาแล้วเอ่ยเสียงดุพลางถลึกตาของตนเองใส่หลินหยาอย่างรวดเร็วแบบที่รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรแบบนี้ “ไม่ได้เด็ดขาด! ห้าม เด็ด ขาด เจ้าจะเอาเหล้าไปให้ม้าเมาหรืออย่างไร!  พ่อยังไม่อยากรับข้าวว่าบุตรสาวเจ้าเมืองกว่างโจวแปรงร่างเป้นกระต่ายเมาสุรารำอารมณ์เศร้ากลางตลาดเมืองหลวง!” น้ำเสียงเอ่ยบอกอย่างจริงจังแล้วพูดรัวเป็นต่อยหอยกันเลยทีเดียว

          “ขี้เหนียว!” หลินหยาเอ่ยขึ้นพลางทำหน้ายู่อย่างไม่พอใจ “แค่ไหเดียวก็ไม่ได้..ชิชะ” ส่วนท่านแม่เหมือนกับกำลังขำอยู่

          “ทำตามที่พ่อเจ้าบอกเถอะ คิดถึงหน้าพ่อแม่ไว้บ้างเถิดหยาเอ๋อร์” เอ่ยแบบนั้นพลางขยับมือลูบหัวบุตรสาวตัวแสบของตนเอง “เจ้าเอาผลไม้จากตลาดฉางอันหมักใหม่แทนแล้วกันนะ อย่าไปเสี่ยงกับอาญาสวรรค์ระหว่างการเดินทางเลยเถิด เดี๋ยวโดนจับฐาน เมาแล้วทำให้นกแก้วแถวนั้นเป็นพยาน เอานะ” มารดาเอ่ยปลอบบุตรสางของตัวเอง ส่วนท่านพ่อของเธอก็กำลังฮึดฮัดเหมือนกับกำลังถามตนเองว่าเลี้ยงลูกมาอย่างไร ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ

          “อือออ…เจ้าใจแล้วค่ะท่านพ่อท่านแม่ ขอบคุณเจ้าค่ะ” แม้ว่าจะบอกแบบนั้นแต่ก็คร่ำครวญแล้วพยายามอยากจะล้มตัวลงนอนกลิ้งไปบนพรมงานของห้องแต่ถ้าทำแบบนั้นอาจจะโดนยึดเงินที่จะได้ตอนนี้ก็ได้ แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอกนะ “งั้นข้าไปเตรียมตัวแล้วนะคะท่านพ่อท่านแม่ ข้าจะเที่ยวให้สนุกเลย เผื่อได้เจอของอร่อย กับคนหล่อ ๆ หน้าตาดี” เอ่ยบอกแบบนั้นแล้ววิ่งไปกอดท่านแม่เพราะท่านพ่อไม่ให้กอดแน่

          ก่อนที่จะวิ่งหายลับไปทางห้องพักของตนเองเพื่อเตรียมของ

          เจ้าเมืองกว่างโจวหันมองบุตรสาวของตนเองที่เดินกึ่งวิ่งไปยังห้องพักเพื่อเตรียมของ เขาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าหยาเอร์จะไปถึงฉางอันเมื่อไร เกรงว่าจะทำตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรีสักนิดเลยน่ะสิ” ชายวัยกลางคนเอ่ยบอกแล้วพ่นลมหายใจของตัวเองเฮือกใหญ่อย่างหาที่สุดไม่ได้

          “เอาเถอะน่า อย่างน้อยหยาเออร์ก็ยังคงเป็นตัวนางเอง ท่านยังไม่ชินอีกหรือ..” ฮูหยินใหญ่พูดพลางขยับมือเอาไปแตะตรงแขนของผู้เป็นสามีรักของตนอย่างเข้าใจเขาและลูกเองก็เช่นเดียวกัน

          “ข้าหวังว่าอย่างน้อยมันก็คงจะไม่เริ่มต้นจากโรงเหล้า…”

          คำสุดท้ายของผู้เป็นบิดาที่เริ่มเห็นหนทางกลาย ๆ ของบุตรสาวตัวเอง

          หลังจากนั้นก็ถึงช่วงแดดอ่อนช่วงสายลอยเอื่อยพาดผ่านระเบียงไม้ไผ่อีกครั้งแต่คราวนี้หาใช่จากห้องสมุดของจวนเจ้าเมืองของเมืองกว่างโจว แต่เป็นของห้องนอนของคุณหนูของบ้านที่กำลังเก็บของเท่าที่จำเป็นเพื่อออกเดินทางอย่างอารมร์ดี เมื่อเก็บเสร็จก็เดินไปลาท่านพ่อท่านแม่ ผ้าคลุมไหล่ของนางนั้นปลิวไหวแผ่วตามจังหวะของการก้าวเท้าย่างเยื่องไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ผ่านเส้นทางดินหินกรวดทรายเพื่อไปยังลานฝึกด้านตะวันออกของเรือนใหญ่จวนสกุลหนาน

          ลานนั้นว่างเปล่าเงียบเชียบแต่กลับมีร่างเล็กของเงาคนอยู่ เป็นร่างเล็ก ๆ ของเด็กผู้ชายวัยไม่เกินสิบขวบปี กำลังเหวี่ยงดาบไม้ด้วยท่าทางที่เอาจริงเอาจังในท่ากึ่งหมุนกึ่งสะดุดเหมือนทหารน้อยแต่เต้นระบำ ร่างนั้นคือน้องชายคนสุดท้องของตระกูลหนาน หนาน จื้อเจี้ยน เป็นน้องเล็กของบ้านที่ยังมีชีวิตอยู่ วัยเพียงสิบขวบปี แต่พยายามจิตนาการว่าตัวเองคือแม่ทัพตัวน้อยที่ขี่ม้าสามตัวได้พร้อมกันในสนามรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง

          “เฮ่! เจ้าตัวเล็ก” พี่สาวเอ่ยเรียกแล้วตกมือให้กับเด็กชาย จนเขาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมามอง ดวงตากลมโตแบบที่เป็นประกายเมื่อเห็นพี่สาวของตัวเอง

          “พี่ครับ วันนี้ไม่ไปปีนต้นไม้หรอ? หรือหมักเหล้าหลังห้องครัว? หืม..เหตุใดเอาหอบผ้าเดินทางติดตัวมาแบบนั้นล่ะขอรับ” เอ่ยถามพี่สาวของตนเองอย่างสงสัยว่าเอามาทำไมกัน พี่สาวได้ยินก็ระบายยิ้มเขิน “ปีนไปแล้วเมื่อเช้า ลูกท้อท่านปู่จะหมดต้นแล้วล่ะ พี่จะออกเดินทางไปยังฉางอัน จะเอาของไปส่งให้บ้านจวนสกุลจี้ของท่านแม่ แล้วก็จะไปเปิดโลกกว้างหน่อย เพราะงั้นฝากดูครอบครัวด้วยนะ อยู่ที่นี่ดูแลท่านปู่ ท่านแม่ ท่านพ่อกับพวกสาวใช้นะ อย่าตีไก่เล่นล่ะ อย่าขว้างปลาใส่หลังคาด้วย”

          “ข้าไม่ใช่ท่านนะท่านพี่” น้องชายตัวดีเอ่ยบอก เพราะคนที่ทำอะไรแบบนั้นมีพี่สาวของเขาคนเดียวนั้นแหละที่จะทำอะไรแบบนั้น “ข้าจะฝึกดาบอยู่ที่จวนนี้แหละขอรับ ท่านเดินทางดี ๆ นะ ปลอดภัยกลับมาก็เพียงพอแล้ว ถ้าท่านเอาตัวรอดได้นะ” น้องชายพูดแล้วทำหน้ายิ้มเหมือนกับจะบอกว่าพี่สาวอาจจะไม่รอดกลับมาแบบสะบัดสะบอมก็ได้นะ

          “หืม ปากกล้าขาแข็งเชียวนะ เดี๋ยวเถอะ..ถ้าข้ารอดมาได้นะ จะไม่โดนจับฐานลักลอบพกซาลาเปาเถื่อนหรอก..ไปล่ะ” หลินหยาเอ่ยพลางขยับตัวออกแล้วจะออกไป แต่ก่อนหน้านั้นน้องชายก็วิ่งมาหาแล้วยื่นนิ้วก้อยของตนเองส่งให้พี่สาวว่าจะกลับมาแบบปกติ หลินหยาจึงขยับรอยยิ้มยกขึ้นแล้วยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวสัญญากับน้องชายตนเอง ก่อนที่จะยีเส้นผมของเขาเสียยุ่งเหยิงแล้ววิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

          ฟิววว…

          หลังจากล่ำลาน้องชายผู้แบกดาบยาวกว่าตัวเองเสร็จร่างของหลินหยาไม่ได้พุ่งไปยังทางออกจวนแต่กลับพุ่งมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังเล็กอย่างคล่องแคล่ว เรียกได้ว่า..ถ้าไม่ใช่จวนคุณหนูของเจ้าเมืองก็คงนึกว่าเป็นสายลับ แต่เป็นสายลับประจำครัว เพราะเรือนหลังนี้คือห้องครัวที่เลี้ยงหลานชีวิตในจวนสกุลหลานแห่งนี้ เสียงฝีเท้าของท่านแม่ครัวผู้คุมห้องแห่งนี้โหดเหี้ยมกว่าท่านแม่เสียอีก ดุไม่ต่างกับท่านปู่เลยสักนิด แม่ครัวนางอยู่ไม่ไกลแล้ว!!

          ดึ่ง ดือดึ่ง..! แบบ Mission Impossible Theme!!

          หลินหยาขยับตัวเอาหลังแนบกับกำแพง จากนั้นสไลด์ตัวไถลงต่ำลงเรื่อย ๆ ทีละนิด ๆ ก่อนที่จะกลิ้งผ่านหางเตาไปแบบ สไลว์โมชั่นโปรไฟล์ จนแม่ครัวใหญ่ของห้องต้องหยุดหั่นขิงแก่แล้วขยับดวงตาไปมอง “แมวอ้วนมากลิ้งเล่นหรือ?” เหมือนกับนางจะพูดขึ้นแบบนั้นนะ

          ซาลาเปาาา ซาลาเปาา หอมหวาน แม่เจ้าเอ้ย เจ้าซาลาเปากลม ๆ นุ่ม ๆ หอม ๆ …

          นั้นคือความคิดของหลินหยา นางเหมือนฮัมเสียงในหัวอย่างแผ่วเบา แล้วค่อย ๆ ย่อง ๆ เข้าไปยังเข่งตะกร้าที่วางเอาไว้ในมุมวางอาหารของห้องครัวอย่างแม่นยำราวกับเป็นคนที่วางเอง เพราะมาทำแบบนี้บ่อยแล้วนั้นเอง หยิบซาลาเปาไส้เนื้อที่ยังอุ่นในเข่งอันกลางออกมาด้วยหนึ่งมือของตัวเอง อีกมือหนึ่งก็ขยับยัดเข้าไปในห่อผ้าทันทีอย่างรวดเร็วราวกับว่าเป็นแผนที่คิดและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนมาก่อนหน้านี้แล้วม้วนตัวสามตลบกลิ่งกลับออกไปทางเดิม

          แต่…!!
          
ขวับ!!

          แม่ครัวหันมามองอีกทีเมื่อเห็นว่ามีเสียงเบา ๆ ตรง นั้นเสียงผ้ากันเปื้อยสะบัดปลิวอย่างไร้ร่องรอย “หรือข้าเริ่มฝันกลางวันตอนต้มพะโล้กันนะ?”

          ไม่นานนักร่างเล็กของหลินหยาก็วิ่งกระหืดกระหอบออมาจากประตูจวนด้านข้างใบหน้าตายิ้มแป้นอย่างมีความสุขของตัวเองที่ทำภารกิจสำเร็จ เอาความจริงไปขอก็น่าจะให้แหละ แต่ทำแบบนี้แล้วตื่นเต้นกว่านี้หน่า! ใบหน้าของเธอมีเหงื่อประปรายเล็กน้อยเหมือนพึ่งผ่านสนามรบเล็ก ๆ ของตัวเอง นางสะพายถุงผ้าใบใหญ่ ข้างในมีชุดเปลี่ยนเงินติดตัวจากท่านพ่อ ผ้าขนหนู แล้วก็ซาลาเปาสามลูกที่ยังไม่บุบสลาย

          แน่นอนว่านางไม่ขี่ม้าไปหรอกนะ เพราะท่านแม่คงไม่มีทางให้นางพาเจ้าฮุ่ยหลิง ม้าแสนรักที่เคยถูกพาออกไปลื่นล้มใส่พ่อปลาเมื่อปีกลายออกมาแน่นอน หลินหยาจึงไปเข้าร่วมกับขบวนพ่อค้าที่จะเดินทางมุ่งหน้าไปใกล้กับทางไปเมืองหลวงสักที หลินหยานั่งร่วมกับขบวนไป เธออยู่รถเกวียนคันสุดท้ายของขบวน กลิ้งไปกลิ้งมาตามแรงสะเทือนของล้อไม้ที่วิ่งผ่านหลุมขรุขระเป็นเส้นทางระยะไกลจนกระดูกก้นกบเจ็บปวด ใจฝันถึงซาลาเบาร้อน ๆ กับร้านค้าที่ฉางอัน

          
          
……

          ทว่า..ขบวนการเดินทางนั้นไม่เข้าสู่เมืองหลวงฉางอันตรง ๆ หากแต่มุ่งตัวสู่ตำบลด้านนอกเพื่อขายของกับรับสินค้าก่อน หลินหยาจึงต้องกระโดดลงมาจากรถเกวียนเพราะจะต้องเดินทางลงเท้าไปอีกประมานสามลี้ด้วยกัน “เพราะเมืองหลวงอยู่แค่ ข้างหน้าอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง” นั้นคือคำที่พ่อค้าแถวหน้าพูดเอาไว้ พลางบอกทิศทางให้กับหลินหยาได้ไปตามเส้นทางที่ถูกต้องเพราะเกรงว่าเด็กสาวตัวเล็กจะเดินทางหลงแทนที่จะถึงที่หมาย

          “แหม่..ข้ารู้ทิศอยู่หรอกน่า ขอบคุณนะเจ้าคะ ท่านลุง” เอ่ยบอกแบบนั้นแล้วยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าหางกระรอกแห้ง ๆ ลู่ลมไปมา.. มองประตูเมืองฉางอันที่อยู่ไกลลิบ ๆ แล้วพูดเบา ๆ กับตัวเองขณะขยับรองเท้าแล้วยกขาของตัวเองเดิน “ออกเดินทางมานาน ถึงสักที เหงื่อออกเยอะจังเลยนะ” หลังจากพูดเสร็จก็เดินไปเรื่อย ๆ ซาลาเปาหมดไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะเดินทางพบกับความจริงของโชคชะตาสักกะที นั้นคือตำนานการเดินทางของ หลินหยา บุตรสาวสกุลหนาน ที่เดินทางเข้าสู่เมืองหลวง…

          ..
          
….

          เงาอาทิตย์นั้นอยู่ในช่วงยาวบ่ายแก่ ๆ เริ่มทอดตัวยาวลงพื้นดินหินปูนที่ปูพื้นเมืองเก่าของนครฉางอัน เสียงกลองสำหรับประจำเวรยามดังอยู่ไกล ๆ จากที่ก้องของหอสูง ผู้คนเริ่มขวักไขว่ทั้งขอทาน พ่อค้า ขันทีที่เดินไปมา และสตรีผู้มากหน้าหลายตาจากหลายชนชั้นด้วยกัน แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะสนใจคนต่างเมืองหรอก..เพียงแต่ตอนนี้สภาพของหลินหยาไม่ค่อยจืดเท่าไรเลย หน้าตาเหนื่อยล้า ผ้าคลุมเบี้ยว เส้นผมหลุดกระเซิงอยู่หนึ่งกระจุก มีคราบของน้ำที่ตกเวลาดื่มเพราะความเหนื่อยของการเดิน ตรงรองเท้ามีเศษทรายติดอยู่บ่งบอกว่าเดินมาไกล..

          ไหน บอก ว่า แค่ สาม ลี้ ไง วะ คะ!!

          หงุดหงิด!

          หญิงสาวเบ้ปากกับตัวเอง ในคราแรกเธอนั้นมากับความหวังอันสดใสกับการส่งของให้ญาติที่ฉางอัน แต่ตอนนี้นางเหมือนกับชะลอมสดที่ตลาดลืมไว้กลางถนน หรือผักกระเฉดที่เหี่ยวเฉาไม่มีใครเอาแล้วเตรียมเอาไปเป็นอาหารหมู!! ‘อ๊าาาาาาาาาาา’ แน่นอนว่าโวยวายภายในใจไม่พูดออกมาหรอกนะ

          สถานที่ด้านหน้าของนางคือ ประตูหมิงเต๋อแห่งฉางอัน ประตูเมืองหลวงโบราณอันยิ่งใหญ่ ที่ด่านหน้าที่ปกป้องนครฉางอันอันเป็นศูนย์กลางของอำนาจและวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของแผ่นดิน กำแพงหินสูงใหญ่เรียงตัวกันเป็นแนวตรงขึงขังล้อมรอบซุ้มประตูประธานที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันแสนวิจิตรตระการคา หลังคาเป็นลักษณะซ้อนชั้นมุงกระเบื้องราวกับหยกสีดำเข้ม ส่วนยอดแหลมโค้งขึ้นประดับด้วยปีกของอะไรสักอย่างอย่างสง่างาม มังกรหรอ? เสริมอำนาจของนรูปสลักสิงค์หินขนาดมหึมายืนอยู่คู่หน้าประตูเหมือนกับเหล่าผู้พิทักษ์อย่างเงียบงันสายตาเย็นเยียบยะเยือกดูน่าเกรงขามจับจ้องผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาและผู้มาเยือนแดนมังกร

          ทางเดินหินแกรนิตทอดยาวจากหน้าประตูไปยังภายในตัวเมือง ทั้งสองฟาดขนามด้วยตะเกียงเหล็ก มีเปลวไฟที่ยังไม่ได้จุดแต่ตั้งตระหง่านอยูาแม้ว่าลมจะแรงกรรโชกเพียงใดก็คงไม่อาจล้มลงด้วย เช่นเปลวเพลิงของทหารกล้าผู้ยังคงตรวจตราผู้คนเข้าเมืองเรื่อย ๆ        

          ….

          “โห..ใหญ่โตมโหราฬจริง ๆ” เสียงของเด็กสาวเอ่ยขึ้นเช่นนั้น ก่อนที่จะวิ่งไปที่ต่อแถวเพื่อรอตรวจคนเข้าเมือง…!! หลินหยาระบายยิ้มเธอสวมชุด ฮั่นฝูผ้าโปร่งบางสีฟ้าอมม่วงและเขียวอ่อน ที่ซ้อนทับกันอย่างมีชั้นเชิง เนื้อผ้าเบาราวสายลมพัดผ่าน กลีบแขนตกแต่งระบายอ่อนนุ่มไล่เฉดสี ราวกับม่านหมอกที่ห่มคลุมไหล่ของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ความพริ้วของผ้าเพิ่มความนุ่มนวลให้กับอิริยาบถทุกส่วนถึงสภาพชุดจะไม่ค่อยดีเท่าไรจากการที่ต้องเดินไกลก็ตามที

          หลังจากออกมาจากการตรวจคนเข้าเมืองแล้วหลินหยาก็ยืนนิ่งไปเล็กน้อย เธอ…ไม่เคยมาฉางอันนี้หว่า? ก่อนที่จะขยับมือล้วงหาแผนที่ของเมืองฉางอันที่ท่านแม่เคยให้มา แต่แล้วมันกลับว่างเปล่า เธอกระพริบตาแล้วยกมือแปะ ๆ ไปทั่วร่างกายของตัวเอง ค้นหาดูว่ามีสิ่งที่เธอต้องการหรือเปล่า เฮ้ย!! หายไปไหน ไม่ได้เอาไปทำอย่างอื่นเลยนะ!! ทันทีที่รู้ว่าไม่ีแล้วเธอก็ถึงกลับแทบทรุด เลยลองเดินไปถามคนอื่นดูแล้วกัน แต่ทำไมคนที่เมืองหลวงดูเหมือนจะเป็นคนที่รีบอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะ!

          ไม่นานหลังจากนั้นก็พยายามเดินวนอยู่หลายรอบ ๆ จากเวลาบ่ายแก่ ๆ เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดเริ่มเย็นคล้อยต่ำลงมาเรื่อย ทาบกับเงาเมืองฉางอันที่เป้นสีส้มทองราวกับจิตรกรจงใจเสกสรรบรรเลงบทเพลงของท้องฟ้าให้สุกกลิ่นเงาของมัน ร่างของหลินหยาตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าชาตินี้จะถึงไหมนะ? เธอสะพายกระเป๋าผ้าใบใหญ่สะพายข้างหนึ่ง พยายามถามคนอื่นแต่ก็ไปไม่รอดทุกที.. เดินวนมันอยู่นั้นแหละ กระเป๋าเสื้อเริ่มอึน ขากำลังเริ่มลากรองเท้าไปกับพื้นถนนอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางเลนสักนิด

          “ร้านผ้าไหม ร้านผ้าไหม..จวนสกุลจี้…”

          พูดพึมพำแล้วก็เดินจากย่านหนึ่งไปอีกย่านหนึ่งสุดซอยแล้ววนกลับมา แล้วก็เผลอเดินเข้ามาในเขตอะไรก็ไม่รู้ หืมม แน่นอนว่าที่นี่คือที่ไหนไม่รู้ช่องทางซอยแคบ ๆ ที่มีเสียง หวีด หวีด ออกมาจากช่องลมจนขนแขนสแตนด์อัพ เอ่ย ขนแขนตั้งชน พื้นด้านล่างเป็นถนนที่ไร้การบำรุงและมีคราบของน้ำหวานสีแดงที่ก่ำเหมือนกับพึ่งราดลงไป หือ กลิ่นอย่างกับ…

          คาวเลือด..

          ทันทีที่รู้ ก็รีบวิ่งจ้ำอ้าวออกมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวสถานะการณ์ในตอนนี้ ไฟจากแสงอาทิตย์ที่เคยมีเริ่มหมดลงทีละนิด ทีละน้อย นางพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนกับจะเป็นการเตือนตัวเอง หลินหยาเริ่มที่จะหมุนตัวแล้วไถไปตามเส้นทาง เสียงถุงผ้ากระแทกกัน กึ้กๆๆๆๆ จนฝูงหนูท่อแถวยนั้นที่ซ่อนตัวอยู่สะดุ้งเผ่นกระเจิง นางวิ่งแล้ววิ่ง กระโดดนิดหน่อยเมื่อมีของขวาง แล้วถอยหลังออกไปอย่างรวเเร็ว

          เสียงหอบแฮ่ก ๆ ของหลินหยาปรากฎขึ้นพลางชะงักเพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน…

          ประตูเมืองหมิงเต๋อ..

          อ้าว..ที่เดิมนี้..

          “ทำไมมาอยู่ที่เดิมวะเนี้ย!!” โวยวายกับตัวเองอย่างรวดเร็วเพราะแม่งทำไมหลงทางแบบนี้กันวะเนี้ย! ประตูทิศใต้ของนครฉางอันตั้งตระหง่านดุจเทพวิศนุสร้างใส่เกราะ..หญิงสาวพ่นลมหายใจมองป้ายแล้วแทบทรุดลงไปทันที วิบวับกับการบอกว่าการเดินที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายมันสูญเปล่าไปหมดแล้ว เหมือนกับบอกเธอกลาย ๆ ว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่ลูปของความสับสน’

          “ฮืออ….เมื่อบ่ายข้ายืนอยู่ตรงนี้ แล้วข้าก็ไปทางซ้าย ไปทางขวา เอ๊ะหรือว่าตรงไหนนะ หรือไปตรงไหนนะ..ทำไมข้ากลับมาที่นี่อีกเนี้ย ผีสางนางไม้อะไรพาข้ามาตรงนี้กันวะเนี้ย!” โวยวายกับตัวเอง ก่อนที่จะยืนหมุนตัวเป็นลูกข่างข้างถนนนครเมือง พร้อมอยากแผดเสียงอ้อนวอนฟ้าดินว่าโปรดส่งใครมารักกก ฉันที่ อยู่ตรงนี้ฉันเหงาา เกินไป…ไม่ใช่ละ ผิดเพลง ตอนนี้เธอเดินวนจนรองเท้าแทบแบนไปหมดแล้ว กลิ่นเท้าเริ่มระเหยไปตามระดับความสูงของสายลม หัวหมุน หน้าเยิ้ม แขนแบกของ แล้วหลินหยาก็ทรุดตัวลงกับพื้นปูหินด้านข้างอย่างสิ้นหวังแล้วจริง ๆ เหนื่อยแล้วอ่ะ ขอพักก่อนแล้วกัน

          ทันทีที่คิดแบบนั้นได้ก็เดินไปที่ด้านข้าง หาที่นั่งเพื่อที่จะพักผ่อนขาจากการเดินทางมาทั้งวันสักที..เดี๋ยวค่อยหาวิธีคิดการไปจวนสกุลจี้ของครอบครัวท่านแม่แล้วกัน

          ใต้แสงแดดที่กำลังคล่อยต่ำลงจะลับท้องฟ้าตอนนี้หลินหยาที่กำลังนั่งพักผ่อนบนพื้นหญ้าเขียวชะอุ่ม เธอหลงทางมาสี่รอบแล้วในวันเดียว กำลังนั่งพักผ่อนอย่างหมดแรง ริมฝีปากแห้งแตกลอกไปพอ ๆ กับหัวสมองที่ตอนนี้เริ่มละลายกลายเป็นเศษน้ำ ด้วยความเหนื่อยล้าของร่างกาย เสื้อผ้าสะบัดเบี้ยวไปซ้ายทีขวาที เส้นผมปลิวปะทะใบหน้า ตามกรอบหน้ามีเศษผมที่ติดแก้มจากการที่มีเหงื่อสีใสติดอยู่รอบ ๆ เหมือนคนที่กำลังผ่านสงครมมกลางแดด นางทรุดตัวลงตรงนั้นแล้วสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ อย่างกับฝึกลมปราณหลังวิ่งหนีความตายหรือของผิดผีผิดราคาที่แพงเกินความจำเป็น ตอนนี้หลินหยากำลังนั่งอึนใบหน้าเรียวรูปไข่ ผิวขาวละเอียดประหนึ่งหยกอ่อน ดวงตากลมโตสดใสดุจตาหงส์แม้จะไม่ได้แต่งแต้มมากนัก แต่กลับสะท้อนความสงบและเฉลียวฉลาด ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูธรรมชาติ ปิดสนิทอย่างเรียบร้อย ทำให้เธอดูทั้งสุภาพแม้ว่าภายในจะต่างจากภายนอกแบบสิ้นเชิง หลินหยาไม่ใช่คนสวย แต่เธอก็ไม่ได้ดูแย่ออกแนวน่ารักมากกว่า แค่อาจจะปากจัดไปสักนิด ภายในน่ะนะ 

          “เห่อ…ข้าก็แค่คนนอกเมืองที่อยากกินน้ำ” นางพึมพำแล้วขยับมือจะหากระบอกน้ำ แต่ลืมไปว่าดื่มหมดไปตั้งแต่ก่อนเข้าประตูเมืองทิศใต้นั้นเสียอีก หญิงสาวกรอกดวงตา แล้วหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

          กรวบ..กรับ..กรับ…

          มันดังขึ้นมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง ..หลินหยาขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง เธอเริ่มสั่น หูตกหากเป็นหมา แก้มเริ่มชาแล้วหัวใจก็เต้นระรัวราวกับกลองศึกเหมือนกับมีคนเอากลองใหญ่มาโหมกระหน่ำในทรวงอกของตนเอง นางเคยพบ..นางกำลังหวังลึก ๆ ว่ามันควรจะเป็นแมวน้อยตัวฟู ๆ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่มัน..

          สุนัข!!! หมา!! ดิสอิสอะ หมาาาาาาาาาาา 

          สุนัขตัวหนึ่งขนสีเทาเข้ม ร่างกายมอมแมมหน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนมาเจ็ดคืนมันหูตั้งตึงตัง หางสะบัดดุจธงรบเหมือนพบคนไม่คุ้นหน้าเข้าเขตแดนของมันโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วก็กระโจรออกมาจากพุ่งไม้อย่างภาคภูติราวกับคนคุมตรอกซอกเถื่อน หลินหยานิ่งค้างราวกับเป็นหินงอกหินย้อยในถ้ำแดนใต้ ดวงตาเริ่มเหลือบมองข้าง …ภาวนาไม่ให้มันเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่โชคชะตาไม่เคยปราณีต่อเธอ เสียงภาวนาอันไร้ความจริงใจของเธอ

          “โฮ่ง!! โฮ่ง ๆ ๆ !!!”

          “อ๊าคคค!!

          หญิงสาวกระโกนออกมาแบบหลุดเชิงสาวแล้ววิ่งพุ่งขึ้นไปฟ้าแล้วเด้งตัวด้วยขาที่สั่นเทาราวกับพบความจริงอันโหดร้ายของตนเอง แล้ววิ่งหนีไปสุดชีวิตราวกับเส้นทางของเธอเป็นทางเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ให้สุดท้ายของชีวิตที่ไม่ใช่การหมากัดตาย เสียงหมาวิ่งไล่ ตั่บ ๆ ๆ ๆ ๆ ดังไม่แพ้เสียงหัวใจของหลินหยา

          “ไม่นะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!!! ข้าแค่กลัวหมา!!! อย่าเอาฟันเจ้ามาปะทะจิตใจของข้า!!!”

          นางเหลือบซ้าย เหลือบขวา ไม่มีทางหนีที่ไหนแต่สวรรค์เหมือนยังฟังเธออยู่ เห็นต้นไม้สูงเด่นเป็นสง่าเช่นนั้น เลยรีบวิ่งขึ้น ไม่คิด ไม่ถาม ไม่ขออะไรสักนิด กระโดดขึ้น ตวัดขา ฟาดส้นตีนของตนเองแบบสับตีนแตก พุ่งขึ้นต้นไม้ในท่าแมลงสาบคลั่ง ที่แม้แต่ลิงก็ยังต้องซูฮกให้กับเธอ ปีนจนถึงกิ่งสูงพอที่หมาจะไม่กระโดดขึ้นมา มือโอบรัดกิ่งไม้ใหญ่ราวกับปลิงลิงเกาะต้นตาล ใบหน้าซีดเผือก มืดสั่น ขาสั่นรอมร่อ หน้าแทบสติหลุดออกจนวิญญาณจะไหลกลับโลกเก่า

          สุนัขข้างล่างเห่ารัวเหมือนโดนจ้างมาด่ากงเต๊กของคนที่ตายเสียงเก่าของมันดัง “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!!” พร้อมวิ่งวนใต้ต้นไม้เหมือนจะขุดโพรงขึ้นมาให้ได้ หลินหยาเกาะกิ่งไม้แน่น ปากสั่น

          “มันยังอยู่!!! มันยังอยู่วววววววววววววววว!!! ฮืออออ ข้าเห็นฟันมัน!!! ฟันมันเหมือนมีตราประทับของยมโลก!!! ฮืออออ!! อย่ากินข้า ข้ารสชาติไม่ดี!! ข้าเค็มนะ!! ข้าไม่ได้อาบน้ำมาสองวัน!! ข้าเหมือนลูกชิ้นที่หล่นแล้วเก็บขึ้นมา!!!”

          นางพร่ำพูดไม่หยุด เสียงสะอื้นผสมเสียงหวีดร้อง แล้วเริ่มเป่าลมใส่หมาข้างล่างเผื่อมันจะเข้าใจ แต่หมากลับนั่งลงและเห่าเสียงต่ำ “โฮ่ว...” แบบกำลังตั้งแคมป์เฝ้ายอดเขา รอสักพักมันถึงเดินจากไปแบบสง่างามราวกับตนเองคือผู้ชนะ..ส่วนหลินหยาตอนนี้เป็นไงน่ะหรอ? หึ…รอนานเหมือนอายุไขของตนเองหายไปสักชาติเศษเลยล่ะตอนนี้ นางแน่นิ่งราวกับคนที่เป็นมัมมี่รีเทิร์น กอดกิ่งไม้ตรงด้านข้างแน่น ๆ อยากจะร้องไห้เงียบ ๆ แต่ทำไม่ได้ รออีกสามนาที…ห้า…สิบ…แล้วค่อย ๆ ลงจากต้นไม้ด้วยอาการเหมือนขี้ผึ้งละลายน้ำ

          พอขาถึงพื้นก็ทรุดลงกับพื้นด้านล่างต้นไม้อย่างหมดอาลัยตายอยาก หน้าแนบพื้นหญ้า เอามือทาบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้หัวใจได้พยายามสงบอีกครั้งแม้ต้องใช้เวลานานก็ตามที หน้าแนบพื้น หอบหายใจรัว ตาเหลือกลานไปหมด..อยากจะสะอื้นไห้แต่ทำไม่ได้ เธอแทบไม่กลัวสัตว์อื่นเลย แต่กลัวสุนัขมาก ๆ ยามมันเก่าเสียงดัง เธอเหมือนจะโดนขย้ำให้ได้..อีกนิดเดียวจะได้กลายเป็นอาหารอันโอชะของมันเสียแล้ว นี้คือบทเรียนของเมืองหลวงอย่างฉางอันงั้นหรือ

          ทำไมมันโหดร้ายเช่นนี้

          พื้นใต้ต้นไม้ที่ตอนนี้ยังอุ่นจากแสงแดดยามบ่ายคล่อง แม้หัวใจของหลินหยายังห่อเหี่ยวแบบที่เต้นระส่ำจากการโดนสุนัขไล่เป็นบาดแผลทางจิตใจของตนเองที่ได้เห็นเขี้ยวฟันของหมาจรแล้วก็แทบทรุด เธอยังคงอยู่ที่โคนต้นไม้นั้นเพราะเกรงหมามันจะมาอีกหรือเปล่า ขาแขนอ่อนแรง มือยังเกาะต้นไม้นิดหน่อยเหมือนกำลังป้องกันตนเองจากการที่พบหมาเช่นนั้นอยู่ ทุกสิ่งเงียบงันลงเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในจิตใจของหญิงสาวกำลังปะั่นป่วนอยู่อย่างมากมายมหาศาลมากกว่าหม้อแกงเดือดร้อนปุด ๆ ก็ตาม

          ในวินาทีนั้นเองที่เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็มาเคาะโลกที่แสนมืดมนของเธอราวกับสวรรค์ส่งมา

          “แม่หนูเป็นอะไรหรือเปล่า?”

          สตรีวัยกลางคนเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม ไม่ใช่เสียงสุนัขเก่าเขี้ยวยาว ไม่ใช่เสียงฝันร้าย หลินหยาจึงขยับตัวขึ้นมา ตาปรือเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่อยากร้องแต่ร้องไม่ออก เธอมองสตรีวัยกลางคนที่ผิวขาวใสอมชมพู แต่งงานด้วยชุดฮั่นฝูผ้าแพรเรียบร้อย สะพายตะกร้าอยู่ ที่ยืนมองนางด้วยสีหน้ากังวนระคนแปลกใจว่าเด็กคนนี้อาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง

          หลินหยาขยับตัวขึ้นตั้งสติของตนเอง ทำตัวให้ดูว่าไม่โดนหมาไล่มาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้นแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ..แค่..โดนสุนัขจรมันไล่มา เลยหนีสัตว์โลกที่ไม่มีใบอนุญาตด้านการกัด” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสตรีคนนั้นกลับเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถามต่อเพราะหากมันเสียมารยาทก็ไม่ควรแต่กลับยิ้มบาง ๆ

          “เจ้าไม่ใช่คนฉางอันสินะ ดูทางสีหน้าที่เหมือนอยากร้องไห้เมื่อครู่ ข้าเห็นเจ้าเดินวนรอบนี้มาหลายรอบแล้ว หลงทางหรือ” เอ่ยถามด้วยเสียงกังวานงาม หลินหยาที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารัว ๆ เหมือนไก่จิกข้าวสารเวลาไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน “เจ้าค่ะ ข้าต้องไปส่งของให้บ้านของท่านแม่ ร้านฟ้าไหมสกุลจี้..ที่จวนสกุลจี้เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสตรีวัยกลางคนก็เหมือนแปลกใจแล้วระบายยิ้มออกมา

          “บังเอิญยิ่งนัก คงเป็นชะตาลิขิต ข้ากำลังจะผ่านจวนนั้นพอดีเลย เจ้าจะไปด้วยกันไหม? ข้าไม่รังเกียจคนที่กลัวสุนัขเมื่อครู่หรอกนะ”

          ทันทีที่ได้ยินหลินหยาราวกับได้ยินเสียงสววรค์ เธอแทบดีดตัวเบิกตาขึ้นทันทีแบบไม่มีคราบของคนที่ทรุดลงเมื่อครู่เลยสักนิด “จริงหรือเจ้าคะท่านน้า เช่นนั้นดีเลย!! ไปด้วยเจ้าค่ะ ข้าไปด้วยเลย ข้าไม่อยากอยู่ตรงนี้แม้สักลมหายใจเดียวกับเจ้าสุนัขตัวนั้น!!” เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับรอเวลานี้มาแสนนาน และแล้วท ั้งสองคนก็เดินทางไปตามถนนของนครฉางอัน

          ในที่สุดหลินหยาก็ได้หยุดตัวที่จวนใหญ่ที่มีป้ายไม้เขียนว่า จวนสกุลจี้ ด้วยลายมือสวยขั้นเทพแบบที่เธอเขียนไม่ได้แน่นอน หลินหยาส่งของให้กับบ่าวที่รับหน้าประตูอย่างเรียบร้อยพร้อมกับกล่าว “ของฝากจากท่านแม่ข้าที่กว่างโจว..ส่งให้ถึงท่านยายนะ” เอ่ยขึ้นบอก และเมื่อของถูกส่งมอบ หลินหยาก็ถอยกรูออกมาอย่างรวดเร็วไวราวกับกลัวญาติฝั่งแม่จะเห็น จะโดนลากไปทำอะไรก็ไม่รู้

          “ขอบคุณนะเจ้าคะ ข้าขอลา ไปก่อนล่ะ!!” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรร่างของหลินหยาก็หายไปจากตรงนี้อย่างว่องไวราวกับสายลมที่เหลือเพียงกลิ่นเหงื่อของหญิงสาวที่เดินทางมาตลอดหลายวัน พอพ้นแนวประตูจวนสกุลจี้ก็หยุดตรงกลางถนน หอบหายใจยาวแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลงเหนือนครฉางอันในยามเย็นใกล้ค่ำนี้.. ริมฝีปากของนางคลี่ยิ้มหวานกว้าง แม้เส้นผมจะยุ่ง แม้กระเป๋าจะอึน ขาเจ็บจากการเดินและวิ่ง มือเจ็บจากการปีนต้นไม้ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้..

          เธอได้รับสิ่งที่เรียกว่า อิสระ


@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล : เงินติดตัวจากพ่อแม่ 40 ตำลึงทอง, 1000 อีแปะ, ห่อสัมภาระ 1 ห่อ, กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ, 30 EXP

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-5 18:16
โพสต์ 95115 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2025-6-5 02:54
โพสต์ 95,115 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-5 02:54

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +40 เหรียญอู่จู +1000 ย่อ เหตุผล
Admin + 40 + 1000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
โพสต์ 2025-6-28 01:37:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 27 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ ( 09.00 น.)



ณ ประตูเมืองทิศใต้ หมิงเต๋อ นครฉางอัน


แสงแดดในยามสายทอผ่านม่านเมฆบาง กลิ่นหญ้าสดผสมกลิ่นฝุ่นทางไกลลอยอ้อยอิ่งในอากาศ เกวียนไม้เก่าที่ถูกใช้งานอย่างหนักมาตลอดหลายปีหยุดลงท่ามกลางฝูงชนที่สัญจรเข้าออกประตูเมือง หน้าประตูทิศใต้ของนครฉางอัน 


ซูเหยาในชุดผ้าฝ้ายสีเรียบ ค่อย ๆ ขยับกายลงจากเกวียนยามเมื่อมันหยุดสนิท นางหอบย่ามสีซีดใบเก่าจนขอบลุ่ยห้อยไว้ข้างตัว ส่วนอีกมือประคองห่อผ้าแนบอก นางเงยหน้ามองประตูเมืองที่สูงใหญ่เหนือหัวจนต้องแหงน ผมดำของนางปลิวไหวตามแรงลมแผ่วบาง


“ที่นี่หรือเจ้าคะ?”


เสียงหัวเราะแผ่วจากชายชราเจ้าของเกวียนดังขึ้นจากด้านหลัง เขาโยนเชือกผูกสัมภาระกลับขึ้นบนหลังเกวียนอย่างไม่เร่งร้อน


“ใช่แล้ว ที่นี่คือเมืองหลวง…ยิ่งใหญ่เกินกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แถบเฉิงตูจะเทียบได้กระมัง” เขาว่าแล้วยิ้มบาง มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยนเจือเอ็นดู “ถึงตรงนี้ก็สุดทางของข้าแล้วล่ะ”


ซูเหยาโค้งตัวต่ำลงอย่างนอบน้อม แม้ฝุ่นทางยังเคลือบปลายชายเสื้อของนางอยู่บ้าง แต่ท่าทางก็เรียบร้อยงดงาม


“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ยอมให้ข้าร่วมทางมาด้วย หากมิใช่ท่าน ข้าคงยังติดอยู่แถวเมืองล่างมิรู้กี่วัน”


ชายชราสะบัดมือเบา ๆ


“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าเพียงชดใช้บุญคุณเล็ก ๆ…ลูกชายข้าไอเรื้อรังเสียจนข้าเกือบหมดหนทาง ถ้าแม่นางไม่ช่วยไว้วันนั้น ป่านนี้ข้าคงไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอีกแล้ว” เขาหัวเราะแผ่ว ลูบหนวดเคราหยาบของตนเองเบา ๆ “คนเป็นพ่อ จะไม่จดจำผู้ที่ช่วยลูกตัวเองได้อย่างไรกันเล่า”


“เป็นสิ่งที่ข้าควรทำเจ้าค่ะ”


เขาก้าวขึ้นไปนั่งบนเกวียนอีกครั้ง ก่อนหันกลับไปมองหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ข้างทาง ดวงตาใต้คิ้วหนานั้นเต็มไปด้วยความเมตตา


“ขอให้แม่นางพบทางของตัวเองในฉางอันนะ” 


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากนางโค้งยิ้มบาง


“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ หากมีวาสนา ข้าอาจได้ตอบแทนอีกครั้งในอนาคต”


ชายชราหัวเราะเบา ๆ แล้วสะบัดบังเหียน ม้าคู่หน้าส่งเสียงพลางเริ่มก้าวเดิน ล้อเกวียนครูดลากผ่านฝุ่นทาง ทิ้งรอยล้อไว้บนพื้นดิน และทิ้งหญิงสาวไว้เบื้องหน้าประตูเมือง


ซูเหยาเฝ้ามองเกวียนที่ค่อย ๆ ลับไปในฝูงชน ก่อนจะหลุบตาลง ถอนหายใจยาว ๆ มือหนึ่งยังคงแนบห่อผ้ากับอก อีกมือจับสายสะพายย่ามแน่น จากนั้นก็เดินทางเข้าเมืองด้วยความมุ่งมั่น หลังจากวันนี้ไปก็หวังเพียงว่าโชคชะตาจะนำพานางไปเจอสิ่งดี ๆ บ้าง...




รางวัล: เงินติดตัวจากพ่อแม่ 40 ตำลึงทอง , 1000 อีแปะ , ห่อสัมภาระ 1 ห่อ , กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ, +30 EXP


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-28 01:41
โพสต์ 8753 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-6-28 01:37
โพสต์ 8,753 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-6-28 01:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +40 เหรียญอู่จู +1000 ย่อ เหตุผล
Admin + 40 + 1000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้