[บันทึกการเดินทาง] : พันธะในเงาศาลา

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-17 02:08

亭影之约






บันทึกการเดินทาง


[พันธะในเงาศาลา]

สายลมโบกผ่านศาลาใต้เถาวัลย์
ม่วงระยับลั่นหล้า   ลิ่วลม
สุราซัดวาจากลม   หลุดถ้อย
พันธะมั่นครอบจม   จิตคลั่ง คลายยาก

หากใจไม่อยากเป็นภาระซ้ำ
จงแบกคำมั่นไว้   ไต่ทาง
ทิศตะวันตกเคียงกลาง   พนาร้าง
ประตูเงากลางหว่าง   โลกเว้น วิญญาณ

สัญญาผูกจากศาลาใต้เถา
จักพาเจ้าเผชิญชี้    ตนจริง
ผู้เอื้อนเอ่ยคำสาบสิ่ง    แนบไว้
ดุจเงาสะท้อนนิ่ง    เงียบแฝง แรงใจ





ผู้บันทึก

หนาน หลินหยา

ลุยเดี่ยว


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4530 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-9 23:15
โพสต์ 2025-7-9 23:58:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-10 00:05

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 08 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา



เสียงสายลมพัดแรงกว่าปกติ…ไม่ใช่เสียงลมธรรมดา แต่แฝงแววแหลมคมแปลบปลาบ คล้ายเสียงหรีดเรไรตีกันด้วยใบมีด เงาสะท้อนบนพื้นศิลาเย็นใต้เท้าปรากฏลวดลายแปลกประหลาดคล้ายอักขระพาดวนเป็นวง ยามโหย่วนั้นควรจะมีแดดยามอัสดงตกกระทบเถาวัลย์ม่วงให้ฉากหน้าศาลาสวยงามจับใจ ทว่าตอนนี้…ทุกอย่างกลับเงียบงันและนิ่งงันเหมือนรูปวาดที่วาดทับความจริงอีกชั้น หลินหยาลืมตาขึ้นมาพร้อมรอยแสบวาบเบา ๆ ในหน้าอก ร่างของนางยังคงอุ่นจากแอลกอฮอล์แต่ใจนั้นเย็นเฉียบอย่างประหลาด ชุดที่สวมอยู่ยังเป็นชุดเดิมที่นางใส่มานั่งดื่มเหล้า ณ ศาลาจื่อเถิงฮวา แต่ในอ้อมแขนไม่มีเขาในศาลาไม่มีเงาใครนอกจากเสียงของลมหวิวที่ลอดผ่านเถาวัลย์ม่วง เสียงนั้น…ราวกับกำลังกล่อมบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา


"ท่านชาย…?" เสียงแหบพร่าของหญิงสาวเล็ดรอดออกมา นางเรียกแบบเงียบงัน ไม่ได้ตั้งใจหวังให้ใครได้ยิน แต่กลับรู้สึกต้องเปล่งเสียงออกมาเพื่อยืนยันว่าเสียงของตนยังอยู่ 


ไม่มีคำตอบไม่มีแม้เงาของบุรุษผู้เงียบงันเช่นเขา ไม่มีใครไม่มีแม้แต่นกไม่มีแม้แต่แมลง ดอกจื่อเถิงที่มักโยนกลีบล้อลมกลับหยุดนิ่งดั่งภาพแช่แข็ง เหมือนทั้งศาลาถูกขังอยู่ในหยดน้ำหมึกม่วงที่ยังไม่แห้งดี ดวงตาของหลินหยาเบิกกว้างขึ้นทีละน้อย หญิงสาวถอยหลังเล็กน้อยอย่างระแวดระวัง อากัปกิริยาไม่ประมาทแบบนักล่าแววตาที่มักซุกซ่อนความเล่นล้อในยามปกติ ตอนนี้หายไปหมดสิ้นเหลือเพียงแววสงสัยเจือระแวดระวังตามสัญชาตญาณคนที่เคยเอาชีวิตรอดจากหลายขุมนรก


ท้องฟ้าสีม่วง…ดวงอาทิตย์สองดวง…นี่มันอะไรกัน?


“ฝันเหรอ…” นางพึมพำพลางยกมือตบหน้าตัวเองแผ่ว ๆ แรงพอจะให้รู้สึกเจ็บ แต่ก็ไม่ตื่นพยายามเริ่มรวบรวมสติของตนเองและแล้ว…สิ่งหนึ่งที่นางรู้แน่ชัดก็คือนี่ไม่ใช่โลกจริงและนี่ไม่ใช่ความฝันธรรมดาเพราะตอนที่นางตั้งใจจะเดินออกจากศาลานั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว ราวกับเสียงของตนเองซ้อนทับกันหลายชั้น


หากไม่ต้องการเป็นภาระใครอีก…จงแบกพันธะนี้ไปค้นหาความหมายของมันในสถานที่แห่งหนึ่ง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ...กลางป่ารกร้างซึ่งมี 'ประตูเงา' ตั้งอยู่เงียบงัน…


หลินหยาแทบหยุดหายใจ “ข้ากำลังถูกทดสอบ…?”


นางหรี่ตาลงจับลมหายใจช้า ๆ ก่อนจะตั้งสติ หันหลังกลับไปมองศาลาอีกครั้ง ท่ามกลางเงามืดแห่งหมอกม่วงและเส้นแสงประหลาดที่ส่องลงมาราวกับโคมลอยจากฟากฟ้า...ศาลาจื่อเถิงฮวากลายเป็นศาลาพิพากษาชะตาและนางคือผู้ถูกเชิญให้เปิดม่านความจริงแห่งตนเอง รอยยิ้มนางเหยียดเจือเจ็บนิด ๆ ที่มุมปาก ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนแปรเปลี่ยนเป็นดั่งแสงจันทร์ในคืนฝน "ก็ดี...มาลองดูกัน ว่าคำว่า 'พันธะ' ที่ทิ้งไว้ให้ข้านั้นจะหนักหนาแค่ไหน..."


หลินหยายืนนิ่ง ดวงตาสีมะพร้าวอ่อนสะท้อนหมอกม่วงจางรอบตัว นางไม่ขยับ ไม่เร่งร้อนราวกับเวลาในที่แห่งนี้ไหลช้ากว่าความรู้สึกหรือบางทีอาจจะหยุดลงไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ระไล้แสงส้มอมม่วงจากดวงอาทิตย์คู่บนฟากฟ้าไหวเบา ๆ ตามแรงลมเย็นเฉียบที่ไม่อาจระบุฤดูกาล “สายลมพัดผ่านศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง...” น้ำเสียงของนางเบาจนแทบไม่ต่างจากเสียงลมหายใจ พึมพำราวกับสวดคาถาโบราณที่ถูกฝังไว้ในห้วงฝันนางยืนอยู่เพียงลำพั แต่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมีเพียงสิ่งที่ก้องอยู่ในหัว…พยายาททวนคำพูดในหัวขณะเธอกำลังจะหลับตาลงในอ้อมแขนของท่านชายอย่างเชื่องช้าท่ามกลางแสงยามเย็นที่ค่อย ๆ มืดลง


"ผู้เอ่ยถ้อยคำใต้ฤทธิ์สุราอาจได้พันธะซึ่งยากจะคลาย..." ริมฝีปากสีธรรมชาติขยับเอ่ยซ้ำอย่างมั่นคง ดวงตาเริ่มนิ่งลึกหยั่งลงในความทรงจำไม่ต่างจากการเดินบนสะพานแขวนไร้ราวจับ “หากไม่ต้องการเป็นภาระใครอีก…จงแบกพันธะนี้ไปค้นหาความหมายของมัน…”


มือของนางขยับขึ้นแตะหน้าอกข้างซ้าย สัมผัสเบา ๆ ผ่านเนื้อผ้าบางที่ลมหยอกเล่น ใต้ฝ่ามือนั้นคือหัวใจที่เต้นเบาเหลือเกิน เหมือนเสียงระฆังกลวงตีในวัดร้าง แต่ยังดังพอให้รู้ว่ายังมีอะไรบางอย่างอยู่ “ยังไม่ตาย…” นางกระซิบ “…แต่ก็ไม่ได้เต้นแรง”


“ในสถานที่แห่งหนึ่ง…ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…กลางป่ารกร้าง...ประตูเงา…” หลินหยากัดฟันแน่นเมื่อจบบทสุดท้าย “ผู้ทำสัญญาแห่งศาลาจะต้องเผชิญหน้ากับตนเองที่แท้จริง...” นางก้มหน้าเงียบครู่หนึ่ง ร่างบางยืดตรง ก้าวช้า ๆ ไปที่ขอบศาลา พลางหันหน้าสบทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างแม่นยำ แววตานั้นราวกับนักเดินทางที่เคยหลงทางในคืนพายุ “ต้องค้นหาพันธะ…ในศาลา? เช่นนั้นหรือ?” นางเอ่ยออกมาช้า ๆ สีหน้าแปลกประหลาดระหว่างระแวงกับประหลาดใจ นางหรี่ตาลงพยายามจดจำคำทุกคำที่เคยได้ยินไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว เสียงกระซิบในคืนที่ถูกเก็บไว้ในหัวใจเหมือนเสียงขลุ่ยปลายแหลมบาดลึกแต่ไพเราะ


“ประตู…ท่ามกลางป่า” หลินหยาขมวดคิ้ว นางยืนอยู่กับที่แต่หัวใจกลับวิ่งเร็วอย่างคนถูกไล่ล่า คำว่า เผชิญหน้ากับตนเอง กระแทกใส่สมองอย่างเฉียบพลันความเงียบรอบตัวจู่ ๆ ก็กลายเป็นโถงเสียงสะท้อนที่ตนเองเป็นทั้งผู้ถามและผู้ตอบ “…เป็นการทดสอบ” เสียงแผ่วเบารอดจากลำคอที่เริ่มแห้งผากเหมือนย้ำกับตัวเองอีกครั้ง มือบางกำแน่นจนหลังมือขึ้นเส้นนางยืนนิ่งอย่างนั้น ราวกับกำลังวางเดิมพันทั้งชีวิตไว้กับลมหายใจเพียงครั้งเดียว แล้วนางก็เอื้อมมือขวาขึ้นแตะอกตนเอง “มันยังเต้น…” เสียงสั่น ๆ ดังในลำคอเหมือนเด็กที่หลุดจากฝันร้ายแต่ยังกลัวจะตื่นขึ้นมาพบว่าฝันนั้นจริง “แต่เหมือนจะหยุด…ทั้งที่ข้ามีชีวิตอยู่”


ดวงตาของหลินหยาเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง น้ำในตาวาวระยับแต่ไม่ปล่อยให้ไหล นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ร่างกายเหมือนถูกลมเย็นแล่นผ่านจากปลายเท้าสู่ท้ายทอย “…เช่นนั้นก็จงมาเถอะเถาวัลย์ม่วง ข้าจะดูเองว่า ‘ตัวตน’ ที่ต้องเผชิญนั้น…คือสิ่งใด” นางกล่าว พลางยิ้มบางยิ้มที่เต็มไปด้วยความกลัว…และความกล้าในขณะเดียวกัน มันไม่ใช่รอยยิ้มของสาวน้อยที่เพิ่งเข้าเมือง แต่เป็นรอยยิ้มของหญิงสาวที่รู้ดีว่าตนกำลังจะก้าวเข้าไปในเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ


และเมื่อก้าวแรกเหยียบพ้นขอบศาลา เสียงกลีบดอกจื่อเถิงหล่นกระทบพื้นหินก็ดังขึ้นเหมือนสัญญาณจากโลกทั้งใบว่า บทแรกของพันธะในเงาศาลา...ได้เริ่มขึ้นแล้ว


หลินหยาออกเดินแสงเงาของตนเองบนพื้นหินที่สลัวแสงกลิ่นเหล้าจากเมื่อครู่ยังไม่สร่างดีนักแต่สติของนางกลับใสกระจ่างอย่างประหลาด เสื้อคลุมบางพริ้วไหวตามแรงลมที่เหมือนไม่ได้พัดจากทิศใด แต่มาเพื่อล้อมกายหล่อนเพียงผู้เดียวร่างบางเดินช้า ๆ จากศาลาจื่อเถิงฮวาลงสู่ทางลาดดินอ่อน ท่ามกลางเงาไม้ที่แปลกตาเถาวัลย์สีม่วงยังทอดตัวพาดพันเรือนไม้ แม้นี่จะยังอยู่ในเขตนอกเมืองแต่ทุกสิ่งกลับชวนให้รู้สึก...ราวกับโลกนี้ไม่เคยมีใครอยู่


นางไม่มีม้า ไม่มีรถม้า ไม่มีสิ่งใดจะช่วยผ่อนแรง มีเพียงกระเป๋าเจ็ดสมบัติที่อยู่ข้างกายและของภายในและมีดพกที่ใช้ทั้งแล่ปลาและตัดไม้ ด้านในมีพลั่วไว้ป้องกันตัวอีกชั้น หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวาระวังภัยเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองกรอบกรับย่ำบนใบไม้ที่ร่วงหล่น


แต่ขณะที่นางเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะหลงทางในโลกที่ไร้เข็มทิศ เสียงเบาราวขนนกก็สะกิดหูขึ้นมาเสียงปีกบางที่สั่นกระพืออย่างแผ่วเบาผีเสื้อ...มันปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินหยาโดยไม่รู้ตัว ร่างน้อยโปร่งใสราวภาพฝัน แต่มีกลิ่นหอมของบุปผาเย็นเจือจาง ปีกสีม่วงครามแวววาวคล้ายจะเรืองแสงได้ในเงาเงียบงันแต่มีชีวิตจนนางต้องชะงัก


หลินหยาหยุดฝีเท้าจ้องมองผีเสื้อตัวน้อยอย่างจับจ้องดวงตาของนางฉายแววคุ้นเคยปนระแวง นางไม่ได้กลัวมัน...แต่นางรู้ดีว่าสิ่งที่มาโดยไม่มีเสียง มักไม่ธรรมดา “เจ้าจะนำทางหรือ?” น้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับพูดคุยกับสิ่งที่อยู่คนละภพ แล้วมันก็บินเข้ามาเกาะปลายนิ้วชี้ข้างขวาของนางอย่างอ่อนโยนปีกบางสั่นเบา ๆ ราวกับตอบรับจากนั้นมันจึงสะบัดปีกออก บินนำไปเบื้องหน้า ลู่ทางที่ไม่เคยมีในแผนที่กลับเปิดขึ้นจากปลายปีกเล็ก ๆ ของมัน


“ผีเสื้อ…เป็นผู้นำวิญญาณ?” หญิงสาวพึมพำ นางไม่ใช่ผู้ศรัทธาเทพเซียนแต่เชื่อในภูตและวิญญาณเชื่อในสิ่งที่ไม่มีคำอธิบายแต่มีอยู่จริง บางทีอาจเพราะถูกเลี้ยงมาท่ามกลางสายหมอกของภูเขาและการล้อเล่นของดวงจันทร์ หลินหยาขยับก้าวอีกครั้ง ครานี้ไม่ใช่ด้วยฝีเท้าอับจน หากแต่เป็นการก้าวอย่างผู้เลือกจะไปตามมันไป “เจ้ามีเส้นทางให้ข้าก็จงนำพาเถิด…ตราบใดที่ข้ายังยืนหยัด และหัวใจยังเต้น ข้าจะไม่ยอมแพ้” น้ำเสียงมั่นคงร่างระหงในชุดบางเดินตามเงาปีกเรืองแสงที่ล่องลอยขึ้นฟ้าอย่างช้า ๆ ไปตามแนวเถาวัลย์ ป่าเริ่มหนาทึบและแปลกตา พร้อมควันเมฆหมอกสีม่วงครามที่ล่องลอยรอบกายไม่ห่าง เสียงลมเริ่มกลับมาเสียงน้ำไหลเบา ๆ ลอยมาจากทิศหนึ่งดอกไม้แปลกประหลาดเบิกบานแม้ไร้แสงอาทิตย์


แต่นางไม่กลัวเลย…หัวใจของนางยังรู้สึกถึงบางสิ่งในอกที่ไม่ใช่ความกลัว หลินหยาก็จะไปต่อ จนกว่าจะพบ ประตูเงา ที่กล่าวถึง...หรือจนกว่าจะพบ ตัวตนของตนเอง





@Admin 


เริ่มออกเดินทาง วันที่ 08 เดือน 06 - ออกจากฉางอัน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 36960 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-9 23:58
โพสต์ 36,960 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-9 23:58
โพสต์ 36,960 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-9 23:58
โพสต์ 36,960 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-9 23:58
โพสต์ 36,960 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-9 23:58
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-10 19:38:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-10 19:52

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 09 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองฮั่นหยาง


ยามเหม่าแสงแรกของวันสาดส่องลงบนเปลือกไม้ หลินหยาลืมตาขึ้นอย่างเงียบงันดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกระพริบช้า ๆ ปรับรับกับแสงที่อาบไล้ลงบนใบหน้า แม้จะเป็นแสงของอรุณ แต่กลับไม่อบอุ่นเหมือนเคยเพราะท้องฟ้าเบื้องบนนั้นมิใช่สีทองอ่อนของอรุณรุ่ง หากแต่เป็นม่านม่วงครามผสมชมพู ที่สาดประกายระยิบระยับราวภาพฝัน ดวงอาทิตย์...สองดวงยังคงเคียงคู่กันเหนือขอบฟ้า ราวกับเป็นคู่พี่น้องที่จ้องมองโลกนี้จากคนละฝั่งของชะตา ร่างบางขยับเบา ๆ กล้ามเนื้อเริ่มตึงเล็กน้อยเพราะท่าทางที่นางใช้หลับเมื่อคืน นางมัดตัวเองเข้ากับกิ่งไม้ใหญ่ด้วยผ้าผืนยาวเพื่อป้องกันไม่ให้พลัดตกหรือต้องเผชิญสัตว์ร้ายยามค่ำคืน ขาของนางยังพาดอยู่บนง่ามไม้ มือน้อยที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนของการเดินทางยันลำต้นไว้เพื่อประคองตัวลงอย่างแผ่วเบา


"ไม่มีเสียง...ไม่มีแม้แต่ไก่ขัน" นางพึมพำเบา ๆ พลางขยับปลายเท้าสัมผัสพื้นดินอย่างระแวดระวัง เสียงใบไม้แห้งกรอบใต้ฝ่าเท้าทำให้หัวใจสะท้อนวูบราวกับเสียงของสิ่งมีชีวิต...กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในดินแดนนี้


หมอกสีม่วงยังลอยวนอยู่โดยรอบล่องลอยอย่างสงบและช้าอย่างมีเจตนา แต่น่าแปลกที่เมื่อหลินหยาก้าวไปทางใด มันกลับค่อย ๆ ถอยห่างออกไปคล้ายเกรงกลัวนางหรือถูกแรงบางอย่างผลักให้แหวกทาง หญิงสาวหรี่ตาลงสังเกตอย่างเงียบงันก่อนจะพึมพำกับตนเองเบา ๆ “ข้าไล่หมอกได้หรือไง..…หรือมันแค่ไม่ต้องการเข้าใกล้กันแน่?” 


ริมฝีปากของนางแตะแห้งจากอากาศเย็นตลอดคืน มือบางล้วงน้ำในกระบอกไม้ไผ่มาจิบเล็กน้อย กลืนลงไปพร้อมความรู้สึกฝาดลิ้น ร่างกายยังอ่อนล้าจากการเดินทางแต่สติกลับแจ่มชัด ดวงตาที่เคยมีประกายขี้เล่นของสาวน้อยในเมืองฉางอัน…บัดนี้กลับนิ่งดั่งหญิงที่ผ่านสมรภูมิ


หลินหยามองไปเบื้องหน้าเมืองที่ควรคึกคักด้วยชาวฮั่นหลั่งไหลกลับเงียบงันราวกับไม่มีใครเคยอาศัย สะพานหินยังคงสะอาดสะอ้าน ร้านค้าริมถนนยังตั้งอยู่ตรงตำแหน่งเดิม ผ้าธงป้ายยังไม่ซีด ขนมในตะกร้าหวายหน้าร้านยังอยู่ไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อย…แต่ไร้ผู้คนไม่มีแม้เสียงลมหายใจของมนุษย์ ไม่มีร่องรอยความพังทลายราวกับคนทั้งเมืองหายไปพร้อมกันในพริบตาเดียว เมืองฮั่นหยางนางยืนอยู่กลางถนนสายหนึ่งใบหน้าสะอาดแม้จะไม่แต่งหน้าคิ้วขมวดเล็กน้อย มองไปรอบด้านราวกับหาเงาของผู้คนแต่กลับมีเพียงเงาของตัวเองที่ทอดทับอยู่บนพื้นศิลาด้วยแสงของสองดวงอาทิตย์


เมืองที่คนทั้งเมืองหายไป เมืองต้องคำสาปที่ไม่มีผู้ใดจำได้ว่าสร้างขึ้นเพื่อสิ่งใด...แต่ฮั่นหยางมิใช่เรื่องเล่า มันเคยเป็นเมืองแห่งพ่อค้า นักเดินทาง ทหาร และเหล่านางกำนัลของราชสำนัก เป็นประตูตะวันตกของต้าฮั่น “ข้าล่ะเกลียดความเงียบนัก” น้ำเสียงของหลินหยานุ่มนวลแต่สั่นเล็กน้อย ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่นางกลัวแต่นางเกลียด แต่สิ่งที่น่ากลัวคือความเงียบที่สมบูรณ์เกินไป ราวกับโลกใบนี้ถูกลบเสียงมนุษย์ไปจากสมุดแห่งสวรรค์โดยสิ้นเชิง


มือของนางขยับไปจับเส้นผมให้ปล่อยลงเมื่อไม่มีใครมาจับจ้อง เหตุใดจำต้องปล่อยเส้นผมของตนเองแสงสะท้อนจากเหล็กจาง ๆ ข้างถนนราวกับให้ความกล้าแก่ใจนางไม่ใช่นางเอกผู้กล้าหาญ ไม่ใช่นักรบหรือผู้วิเศษแต่นางยังยืนอยู่ ยังเดินได้และยังมีสิ่งที่ต้องรู้ให้ได้ต่อสิ่งที่นางต้องเผชิญทั้งหมด


ดวงตาคู่นั้นฉายแววแจ่มกระจ่างขึ้นแม้อยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีม่วงคราม กลิ่นของดอกไม้ไม่ทราบชื่อลอยคลุ้งเจือในอากาศอันแปลกประหลาด หลินหยายืนนิ่งอย่างสงบกลางถนนไร้ผู้คนในเมืองฮั่นหยางที่ครั้งหนึ่งเคยคึกคัก นางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย มองผีเสื้อปีกโปร่งแสงที่ยังคงโผบินวนรอบตัว คล้ายกลีบจื่อเถิงฮวาที่ไม่เคยร่วงหล่นถึงพื้น แต่ลอยละล่องอย่างไร้จุดหมาย


ทว่า...มันไม่ใช่การลอยแบบไร้เหตุผล


“พวกเจ้ามิได้มาเพียงเล่นลม ใช่หรือไม่…” เสียงของหล่อนแผ่วเบา เจือรอยแน่นอนที่ขัดแย้งกับบรรยากาศรอบตัว นางรู้…สัญชาตญาณบอกเช่นนั้น โลกใบนี้ไม่ใช่โลกจริง ไม่มีการนอนแล้วตื่น ไม่มีผู้ปกครองมีเพียงความว่างเปล่าที่ดูเหมือนฝัน แต่มีเขี้ยวเล็บและกลิ่นเลือดของความจริง "ยังไม่ใช่ที่นี่...ไม่ใช่เมืองนี้ และไม่ใช่ป่านี้..." หลินหยากระซิบพลางก้มหน้าลงดวงตาสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์คู่บนฟ้า เงาจากขนตาทาบลงบนแก้มสีจันทร์เลือนรางนางเอ่ยช้า ๆ แต่ชัดราวกับพูดกับโลกทั้งใบ


มือบางค่อย ๆ คลายจากเส้นผมเปิดห่อใบเล็กหยิบก้อนแป้งทอดแข็งเก็บได้นานออกมากัดเบา ๆ เคี้ยวเพียงพอให้พอประทังแรง จากนั้นจึงจัดแจงอาวุธเล็กที่ซุกอยู่ด้านข้าง เป่าลมหายใจเข้าเป่าปลายมีดบาง ๆ ให้คลายคราบน้ำค้างก่อนจะหันหลังจากเมืองที่กลายเป็นเปลือกว่าง "ก่อนอื่นต้องหาอาหารที่สดกว่านี้...จะให้เดินหาประตูทั้งวันโดยไม่มีแรงก็ใช่เรื่อง" ฝีเท้าหญิงสาวเบาและเฉียบคม นางเดินออกจากตัวเมืองเข้าเขตชายป่าอันคุ้นตา ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นม่วงอมน้ำเงิน สายลมพัดแผ่วพริ้วเป็นจังหวะที่ไม่ใช่ลมธรรมชาติ แต่ละย่างก้าวของหลินหยาเหมือนเหยียบย่างบนเสียงเพราะมันเงียบเกินกว่าจะแค่เดิน


นางก้มลงมองร่องรอยพื้นดิน เงาดินแห้งด้านหนึ่งดูจะเป็นรอยลู่ไปทางลำธาร ทิศลมก็เปลี่ยนแนวเย็นขึ้นเจือกลิ่นดินเปียกและหญ้าระลอกใหม่ นางยกยิ้มนิดหนึ่งมือข้างหนึ่งจับพลั่วอีกข้างกวาดแขนเสื้อขึ้นสูงถึงข้อศอก “คงมีน้ำไหลอยู่ไม่ไกล” พอเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย เสียงหนึ่งก็ดังแว่วขึ้นเสียงน้ำกระทบโขดหินเบา ๆ เหมือนกระซิบผ่านหูในคืนฝนพรำและแล้ว...นางก็พบแหล่งน้ำเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มไม้ใหญ่กลางป่าที่ไม่มีใครดูแลสระน้ำขนาดย่อมใสแจ๋วราวกระจก ฉาบเงาท้องฟ้าสีพิศดารบนผิวน้ำ ผีเสื้อม่วงตัวเดิมโผวนผ่านหน้าไปแล้วหายลับหลังใบไม้เงียบ...แต่ยังอยู่


“ดี...มีน้ำแล้วก็ขออย่าให้เจ้าปลาพิกลหรือปีศาจภัยสังคมโผล่มาเลย” หลินหยาเหน็บมีดไว้ข้างขา ถอดรองเท้าแล้วย่อตัวลงข้างแอ่งหินเงาของนางสะท้อนในผิวน้ำพลิ้วไหวแต่เป็นเงาที่ไร้แววตา...เพียงชั่ววูบ นางมองเงาตัวเองแล้วชะงัก "เงา...ของข้า…?" นางกระพริบตาอีกครั้งอย่างช้า ๆ แววตาในเงานั้น…คล้ายกำลังจ้องกลับมา


เสียงคลื่นกระเพื่อมเบา ๆ จากสระน้ำนั้นแผ่วไปเพียงอึดใจ ก่อนที่ผิวน้ำจะกระเพื่อมอีกครั้ง แปลกประหลาด ราวกับถูกกวนน้ำจากก้นสระ...แม้จะไม่มีลมพัดก็ตามหลินหยาขมวดคิ้วทันทีนางยังคงย่อตัวอยู่ริมสระก่อนจะเลื่อนจับด้ามพลั่วสะท้านฟ้าแน่นราวกับนักดนตรีจับขลุ่ยคู่ใจ ผิวน้ำเริ่มปุดเป็นฟอง...จากนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งขึ้นจากกลางสระน้ำเงียบงัน…ปีศาจหอยเช่นนั้นหรือ ร่างมันดูชุ่มเงาลำตัวสีน้ำตาลอมหม่นไหลลื่นเหมือนเมือก แต่กลับมีปีกที่คล้ายเกล็ดแข็งทอดยาวออกด้านหลังเกือบคล้ายปีกแมลงตาสองข้างยาวพาดขึ้นสูงเหนือเข่า ริมฝีปากที่แย้มออกเผยเขี้ยวอ่อนเล็ก ๆ และหนวดขยุกขยุยโบกไหวอย่างน่ารำคาญ


เจ้าสัตว์ตนนั้นไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ขนาดเท่าคนผู้หนึ่งก็เพียงพอจะบดขยี้ร่างของมนุษย์ผู้ประมาทได้ มันม้วนตัวเป็นวงช้า ๆ ราวกับเล่นกับผืนน้ำก่อนจะเอียงศีรษะมาทางหลินหยาอย่างเจ้าเล่ห์ เสียง...ไม่ใช่เสียงจริงแต่ดังก้องในหัว นุ่ม...นวล...เหมือนกระซิบจากใต้น้ำลึก “มนุษย์สตรี...เจ้าจะไม่เล่นกับข้าก่อนหรือ? โลกนี้เหงา...เหลือเกิน…”


ดวงตาของหลินหยากลับไม่สะท้าน ไม่ใช่เพราะไร้ความกลัว หากแต่นางชินชากับการโดนล่อหลอกแล้วเสียเลือดมากพอ “เล่นกับเจ้ารึ?” นางถามกลับเบา ๆ ยืดหลังขึ้นอย่างสง่างาม มือข้างหนึ่งปัดไรผมออกจากใบหน้า ดวงตาของหญิงสาวพลันเรืองประกายขัน ๆ “ข้าคงต้องอโหสิกรรมให้เจ้าล่วงหน้าแล้วกันนะเพราะข้าหิวมากและเจ้า...ก็เหมือนจะพอดีกระทะ” ปีศาจหอยกะพริบตาช้า ๆ เหมือนไม่เข้าใจ แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง


หลินหยาขยับ! ฝีเท้าของนางเฉียบคมประหนึ่งพยัคฆ์กระโดดพุ่งเข้าใกล้ทันทีโดยใช้พุ่มไม้เป็นที่อำพราง ร่างของนางเบาราวเงาผิวพื้นเพียงพริบเดียวก็วาดพลั่วออกจากหลังพุ่งฟันเข้าหาด้านข้างเปลือกของปีศาจหอยอย่างแม่นยำ เสียงกระแทกดังเปรี๊ยะ ปลายพลั่วเสียดสีกับเปลือกหอยจนเกิดเสียงที่ทั้งแสบหูและแสบใจ แต่หลินหยากลับไม่ถอยนางหมุนตัวกลับใช้เท้าเตะผิวน้ำให้สาดเข้าตาตัวปีศาจ พร้อมกับหมุนด้ามพลั่วรอบมืออย่างชำนาญฟาดเสยเข้าตรงจุดใต้คางของมันที่ดูบอบบางที่สุด


“ข้ารู้ทันเจ้าหรอกนะบริวารของจ้าวสมุทรใช่หรือ? พวกเจ้าเล่นสนุกจนมนุษย์ตายแล้วดูดวิญญาณเขาจนไม่เหลือร่องรอย" หลินหยาพูดเสียงเย็นขณะหลบหนวดที่ฟาดมาอีกเส้น “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้ามาจากมหาสมุทรหรือแหล่งน้ำที่ไหน...แต่วันนี้ข้าจะย่างเจ้ากินกับเกลือเสียเลยแล้วกัน!” ปีศาจหอยกรีดร้องอย่างโกรธจัด เสียงนั้นดังก้องรอบบริเวณจนเงาไม้สั่นสะท้านแต่นั่นไม่ได้ทำให้หลินหยาหยุดเคลื่อนไหว นางกระโดดขึ้นไปเกาะต้นไม้ใช้กิ่งสูงพุ่งลงมาฟาดศีรษะของมันเต็มแรง แล้วกระแทกพื้นน้ำอีกคราให้เกิดฝุ่นน้ำฟุ้งขาว ภายในไม่ถึงห้านาที ปีศาจหอยไม่ขยับอีกแล้วร่างที่เคยอวดตัวกลางน้ำบัดนี้แน่นิ่งดวงตาที่เคยกรุ้มกริ่มหลับลงอย่างเจ็บปวด


หลินหยาเดินไปยืนเหนือตัวมัน เอ่ยเสียงเบาแต่มั่น “ขอโทษนะแต่เจ้ารู้จักมนุษย์ผิดไปหน่อย” จากนั้นนางก็หันหลังกลับ ย่อตัวเก็บฟืนที่อยู่ใกล้ ๆ ลากซากหอยตนนั้นขึ้นฝั่ง พลั่วสะท้านฟ้ายังคงชุ่มน้ำปลายพลั่วสะท้อนเงาของแสงสองตะวันเบื้องบน “วันนี้คงได้กินของร้อนแล้วล่ะ” นางพึมพำขณะยกหอยขึ้นจัดวางใกล้กองฟืนเตรียมสับเนื้อหอยตนนี้ให้เหมาะกับความอร่อยของผู้หิวโหย


กลิ่นเนื้อหอยย่างยังอวลกรุ่นไม่ทันซึมเข้าเนื้อดี เสียงบางอย่างก็สะเทือนน้ำใต้พื้นอีกครั้ง ไม่ใช่ฟอง ไม่ใช่คลื่น หากเป็นแรงสั่นสะเทือนแบบที่รู้สึกได้จากฝ่าเท้าคล้ายฝีเท้าหนักกระแทกลงบนดินเปียกด้วยเจตนาประหนึ่งคำขู่ของผู้ล่า หลินหยาเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเป็นประกายวาววับ เงาร่างหนึ่งพุ่งออกจากเงาไม้ริมบึงด้วยความเร็วสูงมันคือ ปีศาจปลา …อีกแล้วหรือ? 


รูปร่างมันคล้ายมนุษย์แต่ไม่สมบูรณ์ ตัวสูงใหญ่เกินชายชาตรีธรรมดา ผิวเทาอมเขียวหม่น แผงอกมีรอยเกล็ดแข็งปนเงาเมือกดำ ครีบเล็ก ๆ สองข้างแผ่นหลังกระพือขยับอย่างเร็วราวเตรียมโจมตี ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวประหนึ่งยิ้ม แต่แฝงความกระหายและบ้าคลั่งเอาไว้ไม่มิด ดวงตาสีแดงฉานเบิกโพลงจ้องหลินหยาดังจ้องเหยื่อที่กำลังจะหายใจเป็นคำราม


หญิงสาวไม่พูดอะไร นางถอนหายใจแทนการต้อนรับ ยกพลั่วสะท้านฟ้า(?)ขึ้นพาดไหล่ก่อนจะหันไปพูดกับฟืนกองนั้นเบา ๆ “อุตส่าห์ได้หอยตัวอวบ ๆ มาย่างกินแบบสงบแท้ ๆ...ต้องมาวุ่นเพราะสัตว์น้ำกลายพันธุ์อีกตัว...” แล้วหันกลับมาจ้องปีศาจปลาที่กระโจนเข้าใกล้แบบไม่รอช้า

 

“ภัยสังคมอย่างเจ้าน่ะ อยู่ไปก็รกโลก”


เสียงพลั่วที่กระชับในมือนางดัง ฉึก ขึ้นในวินาทีที่มันกระโจนใส่ นางหลบอย่างง่ายดายด้วยก้าวเบา ๆ ก่อนหมุนตัวหนึ่งรอบเพื่อถ่วงแรง แล้วฟาดพลั่วเข้าด้านหลังหัวมันเสียงดัง ครึ่กกก! มันคำรามลั่นฟาดขาใหญ่ใส่นางแต่โดนเพียงชายเสื้อ หลินหยาย่อตัวลงต่ำจนปลายผมแทบแตะดิน มือซ้ายยันพื้นมือขวาปักพลั่วกลับเข้ากลางลำตัวปีศาจปลาจากด้านล่างทะลุขึ้น เลือดสีแดงสาดกระเซ็นใส่ใบหน้า แต่นางไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยมีเพียงรอยยิ้มบางเฉียบที่มุมปาก คล้ายคนที่เริ่มชินกับการสังหารในโลกที่ไม่มีใครมาแจกความยุติธรรมให้อีกแล้ว


“ข้าเคยเจอพวกเจ้ามาแล้ว...สามตัวรวดที่นอกเมืองฉางอัน" นางหันข้างให้มันขณะดึงพลั่วออกช้า ๆ พร้อมเสียงกระชากเนื้อดังกึก "และเชื่อเถอะ...พวกเจ้าตัวเดียวไม่เคยทำให้ข้าหยุดกินข้าวได้หรอก" ปีศาจปลาโงนเงน แต่ยังไม่สิ้นใจ มันพุ่งตัวครั้งสุดท้ายหวังพลิกชะตาแต่ผิดถนัด หลินหยาเตะเข้ากลางอกมันจนร่างกระเด็นกลับลงสระ จากนั้นตามด้วยพลั่วพุ่งตรงดุจหอกปลายคมกระแทกกลางหัวมันก่อนที่ร่างจะจมลง น้ำแตกกระจายเป็นสายฝนสั้น ๆ ก่อนกลับสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง


หญิงสาวยืดตัวขึ้นหอบเบา ๆ แล้วเดินกลับไปหยิบฟืน จัดวางใหม่รอบกองไฟ “ทีนี้...หอยของข้าคงสุกดีพอดีกิน” นางพึมพำพร้อมนั่งลงอย่างผู้ชนะ ยกพลั่วขึ้นเก็บมือบางปาดเลือดออกกับชายเสื้อที่เปื้อนอยู่แล้วยกหอยขึ้นมาดมกลิ่นหอมแตะปลายจมูกพอดีและในโลกแปลกประหลาดที่ฟ้าสีม่วง ดวงตะวันมีสองดวง...หญิงสาวนางหนึ่งยังใช้พลั่วแลกชีวิตและมื้ออาหารไปทีละวัน อย่างไม่ยอมให้สิ่งใดพรากตัวตนของตนไปได้อีก


แสงสองตะวันยังทอดเงายาวไม่สิ้นพรายสีม่วงทองกลืนผืนฟ้าเข้ากับขอบภูเขาอย่างช้า ๆ หลินหยานั่งอยู่ริมกองไฟที่เริ่มมอด ความร้อนจากเปลวเพียงพอให้เนื้อหอยที่ย่างเกรียมส่งกลิ่นหอมจนแม้ใจที่เหนื่อยล้าก็ยังรู้สึกพอใจ เศษฟืนที่ใช้หมดไปทีละชิ้น แต่เงาร่างของหญิงสาวกลับมั่นคงแน่วแน่ยิ่งขึ้นยามที่นางล้วงจากชายเสื้อหยิบม้วนผ้าบางชนิดออกมา แผนที่เก่าผืนหนึ่งลายมือที่คุ้นตาเขียนไว้ด้วยหมึกจีนดำจาง ขอบมุมกระดาษพับซ้ำจนเปื่อยหากตรงกลางยังชัดเจนแผนที่ฮั่นที่พ่อและแม่ของนางให้ไว้เมื่อตอนลาจากเมืองผานอวี้ เมืองเกิดที่ลุ่มน้ำใต้ฝั่งทะเล


"จินเฉิง..." นางเอ่ยชื่อนั้นแผ่วเบา


จุดบนแผนที่แห่งนี้อยู่ค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเขตเชิงเขา มีทั้งภูเขาเตี้ย เนินลาด และหุบลึก ป่าละเมาะประปราย ทว่ามีจุดเด่นคือเส้นทางคดเคี้ยวซับซ้อนและภูมิประเทศที่เปลี่ยนบ่อยยากคาดเดา หากเปรียบกับคำทำนาย..สถานที่นั้นช่างคล้ายสำหรับ ประตูเงา ที่จะซ่อนตัวอยู่ในรอยตะเข็บของโลกจริงและความฝัน หญิงสาวเก็บแผนที่ไว้แนบอกก่อนจะลุกขึ้นสะบัดชายเสื้อคลุมให้สะอาดจากฝุ่นดิน มือข้างหนึ่งเก็บพลั่วแนบหลังอีกข้างปัดเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่ปรกหน้าให้เปิดมองชัด


"ข้ารู้ว่าจะไม่เจอผู้คนหรอก" นางพึมพำเบา ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงโดดเดี่ยว หากแต่เป็นเสียงของคนที่ทำใจไว้แล้วแต่ไม่ยอมให้ความว่างเปล่ากลืนตนเอง “...แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์” ริมฝีปากสีจันทร์ระบายรอยยิ้มบางขณะดวงตาสะท้อนเงาเงียบจากเถาวัลย์ที่ไหวอยู่ในเงาไม้ นางตัดสินใจเดินเท้าเพราะโลกนี้ไม่อาจวางใจสิ่งใดให้พาไป หากต้องผ่านเส้นทางที่อาจซ่อนซากผู้หลงทางคนก่อน ๆ หรือรอยเท้าของบางสิ่งที่ไม่ใช่สัตว์ป่าหญิงสาวจะย่ำมันไปด้วยเท้าตัวเอง


เส้นทางไปจินเฉิงไม่ได้เรียบ หากเต็มไปด้วยซอกหลืบเสียงลมหวีดแทรกจากโขดหินสูงที่ดูเหมือนเงาเฝ้าดูคนเดินทาง ดินแดงที่แล้งบางช่วงตัดสลับกับความชุ่มชื้นราวฤดูฝนผิดที่ผิดเวลา ผีเสื้อม่วงครามตนนั้นยังล่องลอยไม่ห่างราวเงาแห่งโชคชะตา มันโบยบินเหนือหัวหลินหยาอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ พาเธอแหวกผ่านแมกไม้และแสงที่บิดเบี้ยวในยามเช้า ใบหน้าของหลินหยาเรียบเฉย แต่ทุกย่างก้าวมั่นคง ร่างบางเคลื่อนผ่านเส้นทางที่ไม่มีใครใช้แล้วราวกับเธอคือผู้วาดรอยเท้าคนแรกในโลกใหม่ ท่ามกลางเสียงแมลงบางชนิดที่ไม่เคยมีชื่อในตำรา ท่ามกลางกลิ่นของผลไม้ไร้ชื่อและเงาต้นไม้ที่ไหวแม้ไร้ลมหญิงสาวยังคงเดินทางไป


ท้องฟ้าเริ่มคลี่ม่านสีชมพูอมม่วงกลืนกับครามเข้มของรัตติกาล เสียงแมลงป่าเริ่มบรรเลงประสาน คล้ายขับกล่อมให้ผู้เดินทางได้รู้ว่าพลบค่ำมาเยือนแล้ว หลินหยาหยุดฝีเท้าในป่าโปร่งตรงช่วงไหล่เขาเล็ก ๆ ที่ทอดผ่านเป็นแนวลาดไม่สูงชันเกินไปแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งเริ่มหลบหลังแนวเนินขณะที่อีกดวงยังคงเรืองแสงจางในม่านหมอกบาง ๆ เบื้องบน


หญิงสาวยืดแขนช้า ๆ คลายความปวดเมื่อยจากการเดินเท้าหลายชั่วยามหยาดเหงื่อไหลซึมตามไรผมและลำคอจนเสื้อคลุมเปียกเป็นวงชื้นบางจุด นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะทรุดนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่โคนดูแข็งแรงพอจะพิงหลังได้เต็มแผ่นหลัง มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเจ็ดสมบัติผืนบางข้างเอวกล่าวว่าสามารถเก็บอาหารโดยไม่เน่าเสียได้จริงแม้เวลาผ่านไปนานและแน่นอน...มันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง


“เจ้า...ยังอุ่นอยู่นิด ๆ ด้วยซ้ำ” นางพึมพำยิ้ม ๆ ขณะหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งขึ้นมาเนื้อขาวนวลฟูไร้รอยดำหรือแข็งกรังอย่างน่าอัศจรรย์ หลินหยาหยิบขวดน้ำจากไม้ไผ่ขึ้นมาล้างมือคร่าว ๆ ก่อนกัดหมั่นโถวอย่างเนิบช้ารสจืด ๆ ของแป้งตัดกับความเหนื่อยล้าทางกายได้อย่างประหลาดมันทำให้ใจของคนที่ใช้พลังงานทั้งวันกลับมาเรียบเย็นอย่างนุ่มนวล นางนั่งนิ่งเคี้ยวอย่างมีจังหวะ ดวงตาเหลือบมองใบไม้ที่ลอยผ่านแสงพระอาทิตย์ยามพลบเงียบ ๆ 


"พรุ่งนี้คงถึงรอบนอกเมืองจินเฉิง..." เสียงที่พูดออกมาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าใครนางรู้ดีว่าแม้เข้าใกล้จุดหมายมากเท่าใดความง่ายก็ยิ่งห่างไกลหลินหยายกแขนซับเหงื่อที่ต้นคอ พลางบ่นอุบพึมพำ “แค่เดินก็มากพอแล้ว จะให้ไปเผชิญประตูเงาแบบมอมแมมทั้งตัวไม่ได้หรอกนะ...” เมื่อกินเสร็จนางเก็บห่อหมั่นโถวคืนกระเป๋าเจ็ดสมบัติ หยิบผ้าผืนเล็กขึ้นมาเช็ดมือแล้วมองสำรวจเส้นทางลงเนินเบื้องหน้าอย่างพินิจ หากดวงตาไม่หลอกนางคิดว่ามีหมอกเบาบางลอยขึ้นจากช่องต้นไม้บางจุด ลักษณะแบบนี้...น่าจะมีน้ำอยู่ด้านล่างอาจเป็นลำธารเล็ก ๆ หรือบ่อน้ำธรรมชาติ


“ดี...ข้าก็เริ่มเหม็นตัวเองเหมือนกันแล้วล่ะ” นางพูดยิ้ม ๆ กับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อนแต่แฝงแรงขับเคลื่อนอย่างชัดเจน มือข้างหนึ่งสะบัดชายผ้าให้คลายจากฝุ่นก่อนสะพายพลั่วกลับแน่นพลางก้าวต่ออีกครั้งคืนนี้...หากโชคดีนางอาจได้ล้างตัวใต้น้ำเย็นใสและถ้าโชคร้าย...ก็คงได้ล้างพลั่วด้วยเลือดอีกสักรอบ


เสียงน้ำไหลเบา ๆ ดังลอดพุ่มไม้สูงจากเบื้องล่างกลิ่นดินชื้นและไอเย็นที่แทรกมาแตะผิวหนังยืนยันว่าเบื้องหน้าไม่ไกลจากจุดพักนั้นมีลำน้ำเล็กซ่อนตัวอยู่ ราวกับธรรมชาติเองกำลังเปิดทางให้หญิงสาวได้พักลมหายใจเสียบ้าง หลินหยาลอบยิ้มมุมปากสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวันพลันผ่อนคลายลง นางย่อตัวต่ำพลางสอดสายตามองผ่านแนวไม้ ตรวจสอบรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง ชายเสื้อพลิ้วสะบัดเบา ๆ ตามแรงลมเย็นยามพลบค่ำ ดวงตาของนางยังนิ่งมั่นราวเหยี่ยวหากเงียบพอจะได้ยินแม้แต่เสียงหายใจของสิ่งมีชีวิตใดที่แอบแฝงในเงา


แต่ไม่มี... ไม่มีเสียงคำราม ไม่มีรอยเลื้อย ไม่มีแม้แต่กลิ่นของสัตว์ดุร้ายมีเพียงเสียงน้ำกระทบโขดหินแผ่วเบาและ…เสียงปีกบาง ๆ ที่โผผ่านข้างหูของนางอีกครั้ง ผีเสื้อม่วงคราม…ยังคงบินวนรอบตัวอย่างเงียบงันราวกับเฝ้าดูแลไม่ห่าง


หลินหยาค่อย ๆ คลายผ้าคลุมออกจากบ่าถอดเสื้อชั้นนอกอย่างระวังก่อนจะถอดชุดที่เหลือออกทีละชั้นแล้วพับเก็บไว้บนโขดหินแห้งใกล้ ๆ ลำธาร ท่ามกลางม่านหมอกสีฟ้าจางที่ลอยเอื่อยขอบผืนน้ำร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวค่อย ๆ ก้าวลงสู่ลำธารละลอกน้ำเย็นฉ่ำไหลแตะข้อเท้าแล้วสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงต้นขาและเอว นางพ่นลมหายใจเบา ๆ ขณะเอื้อมมือวักน้ำขึ้นล้างหน้า ละอองใสเย็นสะอาดชะเหงื่อไคลและฝุ่นจากการเดินทางหลายวันออกจากผิวอย่างนุ่มนวลเส้นผมยาวถึงเพียงไหล่สีน้ำตาลเข้มคลายจากมวยเล็ก ๆ กลายเป็นสายไหมเปียกที่ลู่แนบแผ่นหลัง ร่างของนางสะท้อนในผิวน้ำพลิ้วไหว...ดูสงบราวกับหญิงสาวที่ไม่เคยถือพลั่วฟาดหัวปีศาจมาก่อน


บาดแผลด้านหลังนั้นหายสนิทไร้ร่องรอยเย็นยาที่ท่านหมอทาให้ยังคงทำหน้าที่ได้สมชื่อสมราคา ผิวนุ่มละเอียดมีเพียงรอยแดงเรื่อจากน้ำเย็นประคบไว้ บ่งบอกถึงการมีชีวิตที่ยังอ่อนแรงจากบางสิ่งที่ซ่อนเร้น “แผลหายดีแล้ว…” นางกระซิบกับตัวเอง ดวงตาพลางจับจ้องลงที่อกซ้ายเล็กน้อย นิ้วเรียวยกแตะเหนือหัวใจ ใต้ผิวนวลเนียนนั้น…มีบางอย่างแทรกซึมอยู่พิษบางชนิดที่ไม่แสดงอาการแต่กัดกินอย่างเงียบงัน นางระบายยิ้มเล็กน้อยรอยยิ้มที่ไม่ใช่เพราะความสุข แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เรียนรู้จะอยู่กับความไม่แน่นอน


"เจ้าจะอยู่กับข้าอีกนานแค่ไหนกันนะ..." เสียงแผ่วเบาเอ่ยกับพิษในร่างกายแต่ก็ราวกับถามตัวตนที่แท้จริงในเงาเช่นกัน ผีเสื้อม่วงครามโผวนลงต่ำมาใกล้ ล้อเล่นกับเส้นผมที่เปียกชื้นของหญิงสาวอย่างอ่อนโยนบินวนแล้วเกาะที่ปลายนิ้วของนางอุ่นราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ต้องพูดอะไรให้เข้าใจ ท่ามกลางโลกที่ไม่มีผู้คน…ไม่มีเสียง…ไม่มีความแน่นอน มีเพียงหญิงสาวผู้หนึ่ง ยืนเปลือยกายในลำธารเย็นกลางเงาเขาพร้อมผีเสื้อฝูงหนึ่งที่ไม่ทิ้งเธอไปไหน หลินหยาหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้เสียงน้ำลูบไล้ร่างกายและความคิดที่ไม่อาจพูดออกเป็นถ้อยคำ


แสงจากกองไฟสาดไหวสะท้อนเงาร่างที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ร่างบอบบางนั้นสวมชุดสะอาดผืนใหม่ที่พับเก็บไว้อย่างดี กลิ่นน้ำค้างและผ้าซักแห้งยังคงติดอยู่ที่ชายแขนเล็กน้อยแต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดท่ามกลางยามค่ำที่ไร้มนุษย์ แสงจันทร์สองดวงลอยทับซ้อนกลางฟ้าไกลม่านหมอกม่วงบาง ๆ ลอยรอบกองไฟเป็นวงเบา ๆ คล้ายภาพฝันที่ยังไม่จางดี หลินหยานั่งนิ่ง ผมที่เปียกแห้งจนลู่เรียบไหลลงแนบข้างแก้มอย่างอ่อนโยน กลิ่นกายสะอาดตัดกับกลิ่นหอมอ่อนจากใบไม้แห้งรอบตัวอย่างนุ่มนวลมือของนางซึ่งวางพักอยู่บนตักขยับช้า ๆ สายนิ้วเรียวของนางยกขึ้นกลางอากาศเสมือนกำลังวาดเขียนอะไรบางอย่างบนผืนผ้าใบที่ไม่มีอยู่จริง


มันคือการจารึกบันทึก…บันทึกที่ไม่ต้องใช้พู่กัน ไม่ต้องใช้หมึก ไม่ต้องการแผ่นกระดาษแต่อย่างใด เพราะมันถูกเขียนไว้ในความทรงจำและในหัวใจของหญิงสาวผู้ยังเดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่รู้จุดสิ้นสุด “สายลมพัดผ่านศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง...ผู้เอ่ยถ้อยคำใต้ฤทธิ์สุราอาจได้พันธะซึ่งยากจะคลาย…” นางกระซิบริมฝีปากเอ่ยคำอย่างชัดเจน ราวกับจะตอกย้ำคำสาบานหรือคำทำนายที่ผูกเธอไว้กับเส้นทางนี้


“หากไม่ต้องการเป็นภาระใครอีก...จงแบกพันธะนี้ไปค้นหาความหมายของมันในสถานที่แห่งหนึ่ง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ...กลางป่ารกร้างซึ่งมี ‘ประตูเงา’ ตั้งอยู่เงียบงัน…” มือของนางขยับวาดเส้นโค้งในอากาศประหนึ่งกำลังคัดตัวอักษรแม้จะไร้หมึกไร้ร่องรอย แต่มันคือการยืนยัน…ว่าเธอจำทุกถ้อยคำได้แม่นยำ นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า สีม่วงครามของราตรียังไม่ลบเลือน ดวงจันทร์สองดวงเปล่งประกายเงียบงัน ขณะผีเสื้อม่วงครามฝูงนั้นบินโอบวนรอบเปลวไฟเหมือนจะคอยคุ้มครองโดยไม่พูดอะไร “นี่คือบันทึกของข้า…” หลินหยาพูดเสียงแผ่ว “…การเดินทางที่ข้าไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน...แต่ข้าจะเดินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้ ว่าคำว่า 'พันธะ' ที่ผูกข้าไว้กับศาลานั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งใด” นางเอนหลังพิงต้นไม้ สายลมกลางดึกเริ่มเย็นแต่อ้อมกายมีแสงไฟและกลิ่นใบไม้เผา เสียงน้ำในลำธารยังคงไหลเอื่อยไม่ห่างนางหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้จิตตกอยู่กับเสียงปีกของผีเสื้อที่บินผ่านรอบกายและท่วงทำนองลมหายใจของตัวเองที่ยังมีอยู่


คืนนี้...ไม่มีผู้ใดร่วมเคียงแต่หลินหยารู้ดี าการเดินทางครั้งนี้นางไม่ได้มาคนเดียวเพราะแม้จะไม่มีผู้คน...แต่ยังมีพันธะ และมันกำลังรอเธออยู่ในป่ารกร้างเบื้องหน้า






บันทึกการเดินทาง โดย หนาน หลินหยา

ตำแหน่ง: ป่าก่อนเข้าเขตเมืองจินเฉิง เมืองฮั่นหยาง

ยามจื่อ วันที่ไม่ระบุ


ข้าออกเดินทางจากฉางอันมาได้หนึ่งวันแล้ว ที่นี่เดินทางได้อย่างรวดเร็วคงเพราะมันไม่ใช่โลกจริง เส้นทางนั้นไม่ยากลำบากนัก ข้ามีพลั่วคู่ใจ เสื้อผ้าเปลี่ยน เครื่องมือพอใช้และกระเป๋าเจ็ดสมบัติที่ช่วยเก็บของกินได้โดยไม่บูดเสีย ความเหนื่อยเมื่อยขา ความร้อนกลางวันและความเย็นของค่ำคืนข้ารับมือกับมันได้แต่สิ่งที่ข้ารับมือไม่ได้นัก...คือ ความเงียบ


หลังจากผ่านฮั่นหยาง ข้ารู้แน่ชัดว่าโลกใบนี้ไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิงไม่มีเสียงเดินสวนไม่มีเสียงแม่ค้าขายของไม่มีเสียงร้องไห้ของเด็กไม่มีเสียงหัวเราะไม่มีเสียงใด ๆ จากมนุษย์เลย นอกจากเสียงฝีเท้าของข้าเองที่กระทบพื้นและเสียงลมหายใจที่สะท้อนอยู่ในอก


มันเงียบเกินไป…


เงียบเสียจนหัวใจเริ่มสะท้อนเสียงของใครบางคนออกมาเอง


ข้าคิดถึงเสียงเย็นชาของท่านหลิวอันแม้เขาจะพูดน้อยแต่ทุกครั้งที่เอ่ยก็เหมือนมีแง่ของความห่วงใยซ่อนอยู่ในถ้อยคำอันสั้นนั้นเสมอ เสียงของเขาทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองยังมีค่าในสายตาใครบางคน


ข้าคิดถึงเสียงร่าเริงของหรงเล่อที่มักจะถามข้าด้วยคำถามแสนน่ารักและกินขนมหวานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และบางครั้งก็ทำน้ำหกหรือของหกเพราะเป็นคนซุ่มซ่ามทำให้เสียงของนางเหมือนดอกไม้บานที่กลางใจของข้า


ข้าคิดถึงเสียงกวนอวัยวะเบื้องล้างของใต้เท้าเถียนเฟิง คนที่ชอบแกล้งชอบยียวนหยอกล้อให้ข้าได้หัวเสียบ้าง หัวเราะบ้าง ทำให้ข้าได้ลืมความทุกข์แม้เพียงชั่วครู่…เสียงของเขาทำให้ข้ารู้สึกยังเป็นคนที่น่าหมั่นไส้แต่ยังมีใครใส่ใจ


ข้าคิดถึงเสียงของท่านเว่ยจ้งชิงที่สุภาพ อ่อนโยน คำพูดของเขาเหมือนลมหายใจในหน้าร้อน เป็นเสียงที่ไม่เรียกร้อง แต่คอยพยุงหัวใจข้าไม่ให้แตกสลาย


ข้าคิดถึงเสียงของท่านจางทัง เสียงเข้มของเขา ไม่ดุดัน แต่หนักแน่นเหมือนแผ่นหลังที่เชื่อใจได้ ข้าเคยรู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาอยู่ใกล้ ข้าไม่ต้องปกป้องใครไม่ต้องสวมหน้ากากแค่เป็นหลินหยาธรรมดาก็พอ


...และสุดท้าย


ข้าคิดถึงเขา….คนที่ไม่เคยเปิดเผยชื่อจริง คนที่ซ่อนใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่งและซ่อนหัวใจไว้ทั้งหมดท่ามกลางความเงียบของโลกนี้ ใบหน้าของเขายังปรากฏขึ้นในหัวข้าไม่เคยหายไป ดวงตาคู่นั้นน้ำเสียงต่ำ ๆ ยามเมาเหล้าในศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง…คำพูดนั้นยังฝังอยู่ในหัวข้า ใครกันที่เอ่ยถ้อยคำใต้ฤทธิ์สุรา อาจได้พันธะซึ่งยากจะคลาย… ข้าไม่รู้ว่าเขาคืออะไรสำหรับข้าแต่ข้ารู้ว่าข้าลืมเขาไม่ได้


โลกใบนี้เงียบเสียจนข้ารู้ว่าเสียงเหล่านั้นแม้จะหายไปแล้วก็ยังอยู่ในใจข้าทุกวินาทีและนั่นอาจเป็นเหตุผลเดียว ที่ทำให้ข้าเดินทางต่อไปได้แม้ไม่มีใคร…แต่เสียงเหล่านั้นยังเดินเคียงข้าอยู่



   


@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล:

ไอเท็มดรอป(ใช้เอฟเฟคผ่านประลองระบบ): (เอฟเฟค x2 ปกติ) หอยเป๋าฮื้อ 2 อัน

 ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): +15 ตบะฝึกฝน (เอฟเฟค x2 ปกติ)

หอยเป๋าฮื้อ (เลขไบต์หลักสุดท้าย) = 9 x 2 = 18 ชิ้น


ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): เมือกปลา 2 ชิ้น (เลขคู่) หรือ กระเพาะปลา 2 (เลขคี่) 

(เลขไบต์รองสุดท้ายประเภทไอเท็มดรอป) = กระเพาะปลา 2 ชิ้น 1 ตัว = 2 ชิ้น


และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 9 = ไม่เกลือ

(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)


สรุปรางวัลที่ได้ : 15 ตบะฝึกฝน, หอยเป๋าฮื้อ 18 ชิ้น, กระเพาะปลา 2 ชิ้น, ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 1 ชิ้น

แสดงความคิดเห็น

เสียงกระซิบบางอย่าง : ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ดังสองข้างทางที่เธอเดินผ่าน แต่เมื่อหนัมองซ้ายขวากลับไม่พบสิ่งใด  โพสต์ 2025-7-11 11:31
โพสต์ 106139 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-10 19:38
โพสต์ 106,139 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-10 19:38
โพสต์ 106,139 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-10 19:38
โพสต์ 106,139 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-10 19:38

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +15 ย่อ เหตุผล
Admin + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-11 19:49:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-12 15:24

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 10 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองจินเฉิง


ยามเหม่า...แสงสีทองอมม่วงจากดวงตะวันสองดวงแผ่ซ่านผ่านม่านหมอกคราม ไล้ผ่านปลายยอดไม้เป็นริ้วแสงประหลาดที่โลกเดิมไม่อาจมีได้ บนท้องฟ้าเมฆสายบาง ๆ คลี่ตัวราวสีฝีแปรงพู่กันปาดลงบนผืนกระดาษที่ไม่มีขอบฟ้า เสียงนกร้องที่ไม่ใช่เสียงนกละเมียดละไมแปลกโสต แต่ไม่ไพเราะหรือน่ากลัวนัก คล้ายเสียงเครื่องสายที่ดีดเพี้ยนเพียงครึ่งเสียงวนเวียนอยู่ไกล ๆ หลินหยาลืมตาตื่นดวงตาสีน้ำตาลที่อ่อนละมุนราวเปลือกมะพร้าวอ่อนฉายแววสำนึกรับเช้าใหม่ได้เร็วกว่าร่างกาย นางไม่สะดุ้งตื่นไม่รีบร้อนหากแต่ขยับกายเบา ๆ จากพื้นหญ้าที่เมื่อคืนใช้เป็นเบาะนอน เส้นผมที่ถูกรวบลวก ๆ คลี่สยายลงมาอย่างไม่ตั้งใจปลายผมแนบแก้มที่เย็นจากน้ำค้าง


นางนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งฟังเสียงรอบกายอย่างสงบก่อนจะลุกขึ้น สะบัดแขนเบา ๆ เพื่อคลายความขึงตึงจากการเดินทาง ร่างบางขยับอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทางที่มั่นคงราวผู้ใช้ชีวิตในป่ามานาน ร่างกายรู้จังหวะของธรรมชาติดีกว่าเสียงนาฬิกา เธอเดินไปยังผ้าที่ตากไว้เมื่อคืนผ้าหนาและบางพาดไว้บนกิ่งไม้สูงที่รับแสงแดดอ่อนสลัวในยามรุ่ง ผืนผ้าแห้งกรอบนิด ๆ จากควันไฟและลมภูเขา หลินหยายกขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นที่คล้ายความสะอาดและความโดดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน นางพับมันอย่างบรรจงทีละชิ้นไม่ใช่เพราะระเบียบ แต่เพราะของทุกชิ้นที่นางมี...มันไม่อาจหาใหม่ได้อีกหากสูญเสีย


กองไฟเมื่อคืนยังเหลือเพียงขี้เถ้าแต่ใต้เถ้านั้นยังอุ่นราวกับร่องรอยของชีวิตที่เคยผ่าน นางเขี่ยมันเบา ๆ แล้วใช้ปลายเท้าฝังกลบในดินไม่ให้เหลือกลิ่นเพื่อไม่ล่อตัวอะไรออกมา หากยังมีอะไรอยู่ในโลกนี้ที่หิวกระหายมากกว่าเธอ เมื่อจัดการเสร็จสิ้นนางก็เปิดกระเป๋าเจ็ดสมบัติผืนผ้าใบที่ข้างในกว้างกว่าโลกภายนอก หยิบกล่องไม้ไผ่ใบเล็กออกมาเปิดฝากล่อง เผยให้เห็นเสี่ยวหลงเปาห้าลูกกลมขาวอวบน่ากิน กลิ่นแป้งนึ่งและน้ำซุปที่ยังอุ่นอยู่จาง ๆ สัมผัสปลายจมูก นางใช้ตะเกียบเล็กคีบขึ้นมา ชิมคำแรกด้วยสีหน้าเรียบเฉยหากดวงตากลับฉายแววพอใจ...แม้เพียงเล็กน้อย นางกินเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวกับเสียงลมหายใจของตัวเอง มือหนึ่งถือเสี่ยวหลงเปาอีกมือพักบนเข่า ยามที่ผีเสื้อม่วงครามตนนั้นบินวนลงมาใกล้ศีรษะคล้ายจะกล่าวทักทายยามเช้า


เมื่อเสร็จมื้อเช้าหลินหยาเก็บของลงเป้ให้เรียบร้อยราวกับไม่เคยตั้งแคมป์ตรงนี้มาก่อน นางยืนขึ้นสะบัดผ้าคลุมกลับเข้าร่าง แล้วหันหน้าสู่ทิศที่ผีเสื้อกำลังบินนำไปมันโผไปข้างหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ปีกบางเรืองแสงเจือม่วงครามสะท้อนแสงแดดยามเช้า และเมื่อเธอก้าวตามมันก็บินต่ออย่างมั่นใจ ฝูงของมัน...อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มีเงาปีกเพิ่มอยู่ด้านข้างหรือไม่ก็ไม่แน่ชัดบางทีอาจเป็นเพราะเธอตื่นเร็วเกินไปจึงยังมองไม่ชัดเจนหรือบางที...พวกมันแค่มาร่วมทาง เพราะรู้ว่าหลินหยากำลังเข้าใกล้บางสิ่งเข้าไปเรื่อย ๆ


เธอเดินพื้นดินที่ยังชื้นน้ำค้างทุกย่างก้าวของหญิงสาวแฝงน้ำหนักกับจังหวะ เส้นทางนั้นปกคลุมด้วยหมอกควันหลายโทนทั้งม่วงหม่น ม่วงน้ำเงิน ม่วงเทา ล่องลอยเหมือนม่านบาง ๆ ที่ถูกทอไว้ระหว่างมิติ ท้องฟ้าเบื้องบนยังคงแต่งแต้มด้วยสีชมพูอมทองแบบที่โลกเดิมไม่มี ไร้ผู้คน...แต่ไม่ไร้สิ่งมีชีวิตอื่น และนางเองก็ไม่ใช่ผู้แสวงหามนุษย์ธรรมดาแต่กำลังมุ่งหน้าไปยังสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น มันคือ…


พันธะที่รอการไขความหมาย


การเดินทางในโลกที่ลืมความเป็นมนุษย์ลงแล้ว ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง พร้อมเสียงฝีเท้าที่มั่นคงของหญิงสาวผู้ไม่หวั่นแม้ฟ้าจะผิดธรรมชาติ แผ่นดินจะรกร้าง และหัวใจ...จะโดดเดี่ยวเพียงใด เส้นทางลูกรังทอดยาวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลินหยา หญ้าแห้งและใบไม้ปลิดปลิวกรอบแกรบไปตามแรงลม กลิ่นฝุ่นดินเจือกลิ่นหินแห้งของฤดูที่ไม่มีชื่อไร้ร่มเงาแต่ไม่ร้อน แสงอาทิตย์สองดวงเหนือศีรษะทอดแสงกลืนกันเป็นสีทองปนม่วงจาง ๆ ราวกับแสงของโลกที่ฝันไปครึ่งหนึ่ง หลินหยาก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เหมือนถนนชนบททั่วไปของโลกจริง บ้านไม่มีไร่นาไม่มีแต่ต้นไม้บางต้นยังตั้งอยู่เรียงรายข้างทางแบบที่คุ้นตา มีร่องน้ำเก่าที่แห้งขอดคล้ายทางชลประทานเก่า และเนินเตี้ย ๆ ที่น่าจะเคยเป็นคันนา บางที...หากโลกนี้ไม่ไร้ผู้คนมันอาจเป็นถนนธรรมดาที่ใครสักคนใช้เดินไปตลาดก็เป็นได้


เธอก้าวเดินไปโดยไม่ได้ลังเล ใจมั่นคง สายตาคอยเหลือบมองเงาทอดตามสองข้างทาง แต่แล้ว...เสียงหนึ่งก็กระซิบขึ้นมามันเบา...เบาราวสายลม แต่ชัดเจนกว่าทุกเสียงในผืนโลกนี้


“ช่วยข้าด้วย…”


เธอหยุดชะงักทันที เท้าขวาค้างกลางอากาศก่อนจะก้าวลง สายตาเหลือบไปทางซ้ายแต่มันกลับไร้ร้างผู้คน 


“ช่วยข้าด้วย…” เสียงนั้นเอ่ยอีกครั้ง มันไม่ดังขึ้น...แต่ชัดเจนขึ้น หลินหยาเหลือบมองรอบตัวดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยแต่ไม่มีอาการตื่นตระหนก นางรู้จักเสียงหลอกเสียงเพ้อฝันเสียงของความกลัว และเสียงของปีศาจที่แสร้งขอความเมตตาแต่เสียงนี้...ไม่ใช่สักอย่างเดียวที่กล่าวมาก่อนข้างต้น มันไม่บอกว่าเป็นหญิงหรือชายไม่บอกว่าเด็กหรือชราไม่แม้แต่จะให้จังหวะเสียงที่พอจะจัดจำแนกมันคือเสียงที่เหมือนความคิดที่เอ่ยออกมาจากข้างในหัวของใครสักคน


“ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้าด้วย…”


หญิงสาวเหลือบมองทิศไหล่ซ้ายแล้วหันขวา ช้า ๆ ใจของนางไม่เต้นแรงขึ้นแต่กลับเต้นนิ่งแน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะนี่คือเสียงที่ไม่ใช่เสียง เสียงที่ไม่ควรมีอยู่แต่กลับเกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างแนบเนียน หลินหยาขยับมือแตะปลายด้ามพลั่วแน่นอย่างเงียบเชียบริมฝีปากขบเบา ๆ “ข้าไม่ใช่คนใจดีนักหรอกนะ…” นางพึมพำ “ถ้าเจ้าอยากช่วยจริง ๆ ก็แสดงตัวออกมา…ไม่ใช่ทำตัวเหมือนเงาในม่านหมอก”


เงียบ…


ไม่มีคำตอบแต่เสียงก็ยังไม่หายไป มันเวียนว่ายรอบตัวราวกับกำลังลูบคลำขอบจิตของนางอย่างแผ่วเบา เมื่อเธอลองขยับเท้าเดินกลับไปยังจุดเดิมก็พบเพียงต้นหญ้าที่แห้งกรอบ กับกลิ่นลมหายใจที่ไม่ใช่ลมไม่มีเงาไม่มีสิ่งใดให้จับต้องไม่มีแม้ฝุ่นที่ฟุ้งจากฝีเท้าเดินของใคร หลินหยาฟันแน่นตัดสินใจเดินไปตามเส้นทางต่ออีกเล็กน้อย แต่คราวนี้…ทิวทัศน์รอบตัวกลับเปลี่ยนไปอย่างเงียบงันโดยไม่รู้ตัว ต้นไม้สูงชะลูดเรียงรายขึ้นชิดกันทางเดินหายไปกลายเป็นป่ารกที่เหมือนไม่ได้มีใครเหยียบย่างมานับร้อยปี หมอกสีม่วงเข้มคลี่ตัวหนาขึ้นราวม่านบาง ๆ ที่บดบังระยะมองเห็น ชื้นเย็น เจือกลิ่นดินเปียกกับกลิ่นไม่รู้จักชื่อ


หลินหยาหยุดยืนกลางเงาไม้ท้องฟ้าเหนือหัวปิดทึบจากกิ่งไม้ประหลาดที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน นางหันมองไปรอบด้าน...แล้วจึงได้รู้ว่า


ตนเอง…อยู่ในเขตป่าของเมืองจินเฉิงแล้ว…


ดวงตาของนางเบิกขึ้นเล็กน้อย สายตาสอดส่องรอบตัวอย่างเงียบงัน มือข้างหนึ่งกุมพลั่วไว้แน่น ปลายนิ้วอีกข้างแตะแผ่นอกเบา ๆ หัวใจยังเต้นดีแต่ลึกลงไปในนั้นกลับมีความรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องอยู่...จากทุกทิศทางในเวลาเดียวกัน “นี่มันอะไรกันแน่...?” นางกระซิบด้วยเสียงเรียบนิ่ง นางเริ่มคิดแล้วว่าเสียงที่ร้อง...อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ก็เป็นได้


หลินหยายืนนิ่งกลางลำแสงที่ลอดผ่านม่านไม้สูง ลมเย็นของป่าจินเฉิงลูบไล้แก้มและลำคออย่างแผ่วเบา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขมวดแน่นด้วยแววคิดครุ่นและระแวงที่ทวีขึ้นทุกขณะ นางหันไปมองผีเสื้อม่วงครามตัวเดิมที่ยังบินอ้อยอิ่งรอบกาย ราวกับสายลมหอมที่ไม่มีถ้อยคำ ไม่สะทกสะท้าน ไม่ไหวเอน ไม่แสดงอาการใดแม้เสียงกระซิบช่วยข้าด้วยจะยังวนเวียนอยู่ในหัวหล่อนอย่างจาง ๆ ผีเสื้อดูไม่รู้สึกอะไรเลย...คล้ายกับว่าเสียงนั้นมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน


"...เจ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?" นางถามเสียงแผ่วในลำคอ ยกมือชี้ไปยังทิศที่เสียงนั้นเคยแทรกเข้ามา แต่สิ่งมีชีวิตมีปีกเล็กเพียงกระพือปีกช้า ๆ แล้วโผเหินอย่างเงียบงันตามสายลมไปอีกทาง หลินหยาหันกลับหายใจลึกแล้วกำหมัดแน่นดวงตาวาววับด้วยความดื้อรั้นอันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของเธอ นางเริ่มเดินสำรวจรอบป่าเมืองจินเฉิงทันทีโดยไม่ลังเลไม่แม้แต่จะหยุดคิดถึงความเหนื่อยล้า


ท่ามกลางเงาไม้สูงที่คล้ายจะเอียงลงมา ทุกย่างก้าวที่นางเดินย้ำไปบนใบไม้แห้งที่ดูเหมือนจะไม่มีใครเหยียบย่างมาก่อนเป็นร้อยปีกลับไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อน มันเงียบจนหัวใจของตัวเองยังดังเกินไป เธอเดินผ่านแนวเถาวัลย์หนาทึบปีนขึ้นโขดหินเตะผ่านต้นหญ้าที่ขึ้นสูงเท่าหน้าแข้ง สำรวจทุกรอยแยกของหิน ทุกโพรงไม้ ทุกรอยแตกของพื้นดิน ทุกซอกเงาที่ดูน่าจะเป็นทาง...แต่มันก็เหมือนกันไปหมด ว่างเปล่า ไร้ผู้คน และที่สำคัญ ไร้ “ประตู”


ประตูในเงาของป่ารกร้าง...ไม่มีแม้เงาของมัน


นางเดินจนเท้าเริ่มรู้สึกชาฝุ่นไม้เกาะข้อเท้าลมหายใจเริ่มหนักแต่ยังไม่หมดแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเปื้อนจางจากเศษใบไม้และเหงื่อ แต่ดวงตายังคงนิ่งแน่ว ไม่ยอมรับคำตอบที่น่ากลัวที่สุดว่านี่อาจไม่ใช่เมืองที่ใช่ เธอหยุดยืนอยู่กลางป่าภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แหงนหน้ามองฟ้าที่ถูกเรือนยอดบดบัง ดวงตะวันหนึ่งดวงหายไปแล้ว เหลือเพียงอีกดวงที่อ่อนแสงลงเรื่อย ๆ หมอกม่วงยังคลี่ตัวลอยวนอย่างไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด หลินหยากำหมัดแน่นเธอกัดฟันเล็กน้อยอีกครั้งดวงตาขมวดคิ้วลึกจนเห็นรอยที่กลางหน้าผาก


“ไม่ใช่ที่นี่งั้นหรือ?” เสียงของเธอเปล่งออกมาช้า ๆ เจือความหงุดหงิดปนท้าทาย “ข้าเดินจนทั่วทั้งป่า ไม่มีแม้แต่รอยเงา ไม่มีสิ่งใดคล้ายประตูแม้แต่น้อย” นางเหลือบมองรอบตัวอีกครั้งเงียบ ๆ แล้วเอ่ยเบา ๆ เหมือนถามท้องฟ้า “สิ่งใดพาข้ามาที่นี่ทำไม...เพื่ออะไร?” ผีเสื้อม่วงครามโผล่จากเงาไม้ใกล้ ๆ โผวนผ่านใบหน้าเธออย่างเงียบงัน ก่อนจะลอยขึ้นสูง หายไปในม่านหมอกอีกครั้งโดยไม่เหลียวมอง นางเม้มริมฝีปากแน่น แล้วเงยหน้าขึ้นตรง “ถ้าไม่ใช่ที่นี่...ข้าก็จะเดินต่อ” เสียงเย็นเฉียบเจือความแน่วแน่ 


“ต่อให้ต้องเดินไปทั้งแผ่นดิน ข้าก็จะหาประตูนั่นให้เจอแล้วรู้ให้ได้ว่าพันธะบ้าอะไรกันแน่ที่ข้าต้องแบกไว้คนเดียว”


เสียงฝีเท้าของหลินหยายังคงย่ำไปบนใบไม้แห้งในป่าเมืองจินเฉิง ขณะหมอกม่วงจาง ๆ ยังคงไหลเวียนรอบกายเช่นเดิมนางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับปริศนาที่ไม่มีคำตอบใด ป่าที่ไม่มีเงาประตู เสียงที่ไม่มีตัวตนและผีเสื้อที่ไม่บอกอะไรเลยสักนิด นางจึงตั้งใจว่าจะลองเดินอีกรอบเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปหาที่ตั้งค่ายพักเสียก่อน


แต่แล้ว…


“กุ๊ก!”


เสียงกระหึ่มขึ้นมาจากด้านหน้า เงาร่างขนาดมหึมาค่อย ๆ เดินออกจากเงาไม้แสงตะวันสาดไล้บนเกราะทองอร่ามที่สวมแนบกับอกแน่นของมัน แววตาสีดำกลมฉายประกายเฉลียวฉลาด หงอนสีแดงสั่นไหวพลิ้วตามจังหวะลมหายใจหนัก ๆ มันคือ... ไก่ แต่ไม่ใช่ไก่ธรรมดา มันสูงเกือบเท่าคน ยืนทรงตัวได้อย่างสง่างามดวงตาเต็มไปด้วยความมั่นใจและ...ความเมตตา?


“เดี๋ยวนะ...ไก่ใส่เกราะเราะ?” หลินหยาหรี่ตาพึมพำเบา ๆ ริมฝีปากแสยะยิ้มจาง “ตัวอวบแน่น…ดูเนื้อดีเลยนี้หว่า…”


กลิ่นหนังไก่ย่างลอยมาแตะปลายจมูกอย่างเงียบงันไม่ใช่กลิ่นจริง แต่มันเป็นจินตนาการของหญิงสาวผู้ใช้ชีวิตอยู่กับความหิวมากกว่าความรักมาตลอด นางหรี่ตามองไก่เกราะทองตัวนั้นช้า ๆ ขณะเอื้อมมือไปหยิบง้าวของปีศาจปลาที่เก็บมาได้จากการต่อสู้เมื่อวาน มันยังคงเปล่งประกายคราบเลือดหมึกอยู่ริบหรี่ในแสงแดด นางยกขึ้นพาดบ่าลิ้นเลียริมฝีปากเบา ๆ “เจ้าจะเข้าใจภาษาข้าไหมก็ไม่รู้...แต่ข้าหิวแล้วน่ะสิ…ขอกินไก่ได้ไหมเนี่ย?” หลินหยาเอ่ยอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่นางจะสุภาพได้ แต่สายตานั้นชัดเจนว่าถ้าไม่มีคำตอบ...นางจะเริ่มจากปีกก่อน


ปีศาจไก่หันขวับมาทางหลินหยาอย่างนุ่มนวล ดวงตาฉายแววไม่สะทกสะท้านก่อนจะค่อย ๆ โน้มคอเล็กน้อยราวกับคำนับสุภาพ แล้วเปิดปากเอ่ยเสียงนุ่ม ทุ้ม ต่ำ กังวาน “เรียนท่านสุภาพสตรีที่ทรงเสน่ห์แห่งความหิวกระหาย…หากท่านต้องการลิ้มรสไก่จริง ๆ ขอเรียนเชิญให้ลองหมักปีกข้าด้วยใจเมตตาก่อนเถิด” เสียงของมันอ่อนโยนนุ่มละมุนชนิดที่น่าจะหลอกขายไก่ทอดเวอร์ชันธรรมะได้ทั่วแผ่นดิน มันกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มเช่นเดิม “แต่โปรดทราบ…ข้าไม่ใช่ศัตรู และไม่ต้องการต่อสู้ ข้าเพียงแค่เดินทางไปยังเขตรักษาไก่รุ่นเยาว์ที่อยู่ไม่ไกลนักเราปรารถนาเพียงสันติ มิได้ต้องการเป็นอาหารของผู้ใด…”


หลินหยาเบ้ปากนิด ๆ ลดง้าวลงเล็กน้อย แต่มือยังไม่คลายออกจากด้าม อารมณ์แปรปรวนระหว่างความหิวกับความประหลาดใจ


“เจ้ากำลังบอกว่าเจ้าเป็น…อะไรนะ องครักษ์ของเผ่าพันธุ์ไก่?”


“มิต้องสงสัยเผ่าขนนุ่มสายเลือดทองคำและสาบานตนจะคุ้มครองเหล่าผู้ถูกล่า เหล่าไก่ทั้งหลายจากมนุษย์ผู้หิวกระหาย…”


หลินหยาขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม "…เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าพูดเนี่ย มันทำให้ข้าอยากย่างเจ้ามากกว่าเดิมอีก"


ปีศาจไก่ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเจียมตน “เช่นนั้นก็เป็นโชคชะตาของข้า แต่โปรดอย่างน้อยให้ข้าได้กล่าวบทกวีแห่งอารยะภาพก่อนจะสู้กันเถิด…”


“...ไม่ ข้าหิวแล้ว!!!” และนางกระชับง้าวแน่นขึ้นทันที พร้อมแววตาวิบวับของนักล่าที่เห็นโอกาสใหม่กลางวันแสก ๆ...! ในโลกที่มีหมอกม่วงปกคลุมและไก่ใส่เกราะทองยืนพูดจาภาษาคนอย่างสุภาพเหลือเกิน...มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริง ๆ


ใต้ม่านหมอกสีม่วงหม่นของป่ารกร้างเมืองจินเฉิงเสียง “กุ๊ก!” ดังขึ้นด้วยพลังสั่นไหวสะเทือนพื้นดิน แววตาคมกริบของปีศาจไก่ฉายแววตัดสินใจเด็ดขาด มันก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวเกราะทองบนอกสะท้อนแสงตะวันดวงหนึ่งเป็นประกายระยิบ ขนปีกข้างลำตัวสะบัดเล็กน้อยเผยให้เห็นกล้ามเนื้อไก่อวบแน่นเปล่งพลังวิญญาณที่แทบจะทำให้สายตามนุษย์น้ำลายไหลเสียก่อนจะต่อสู้เสียอีก


ฝั่งตรงข้ามคือหลินหยา…หญิงสาวหนึ่งเดียวในโลกเงานี้ มือหนึ่งถือด้ามง้าวที่ฉกมาจากศพปีศาจปลา มืออีกข้างปาดเหงื่อจากหน้าผากด้วยหลังมือแกร่งของคนที่เดินฝ่าแดดหมอกและความสิ้นหวังมาแล้วครึ่งค่อนวัน นางแค่นเสียงหัวเราะในลำคอยกง้าวขึ้นพาดบ่า ดวงตาเปล่งประกายราวกับคนบ้าไปครึ่งซีก


“วันนี้อาจไม่เจอประตูเงา...ก็ช่างหัวมันไปก่อนเถอะ!! แต่ข้าต้อง ได้ กิน ไก่ ย่าง!” เสียงตะโกนของนางแหวกผ่านหมอกม่วง ทำให้ใบไม้บางใบร่วงลงมาท่ามกลางอากาศเย็นฉ่ำ ปีศาจไก่เหยียบกรงเล็บลงบนพื้นแน่น พร้อมแผดเสียงสุภาพกลับไป


“คิดจะลิ้มรสเนื้อข้า ก็จงข้ามซากข้าไปก่อนเถิด...แม่นางผู้ไร้เมตตา!” ไม่มีเสียงระฆัง ไม่มีเสียงนกหวีด ไม่มีการให้เกียรติใด ๆ ทั้งสิ้น พุ่งเข้าไปทันที! ปลายง้าวฟาดตัดลมพริ้ว ร่างหลินหยาเคลื่อนที่เร็วเหมือนมีลมหนุน บิดตัวหลบซ้ายแฉลบขวาเข้าใกล้เจ้าไก่เกราะทองที่ขยับปีกหลบอย่างงดงามผิดวิสัยไก่ปกติ มันพลิกตัวใช้กรงเล็บเตะกลับอย่างสง่างามแต่แม่นยำ ปีกสีทองปะทะกับปลายง้าวเกิดเสียง กึง! สนั่น


หลินหยาถอยหลังหนึ่งก้าว สะบัดมือแก้แรงกระแทก “โอววว! เจ้าตัวนี้ไม่ธรรมดาจริง!” นางยิ้มบ้า ๆ ชื่นชมพร้อมกับหอบเล็กน้อยแต่ไม่มีท่าทีจะหยุด ปีศาจไก่โค้งคำนับเบา ๆ อย่างสุภาพ “ข้าเติบโตจากสนามรบแห่งฟาร์มเกษตรกรทนฝน ทนแดด ทนไฟขนาดย่างไม่สุก ข้าย่อมมิยอมให้ข้าถูกกินเสียง่าย ๆ!”


“งั้นก็ดี! ข้าชอบไก่เหนียว ๆ หน่อยเนื้อมันแน่น!” นางพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ง้าวกวาดจากล่างขึ้นบนตัดผ่านใบไม้ร่วงกลางอากาศเสียงฟู่ของอากาศที่ถูกเฉือนดังวาบ ปีศาจไก่เบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่วพร้อมพ่นคำสุภาพเสียงหนัก


“ขออภัยที่ต้องจิกกลับ!” กรงเล็บขนาดเท่าไม้ตะพดฟาดลงมา! หลินหยาเบี่ยงตัวเฉียดฉิว กลิ้งหลบและใช้แรงเหวี่ยงฟาดง้าวใส่เกราะด้านข้างมันกระแทกเต็มแรงเกิดเสียง เพล้ง! แต่ไม่ทะลุ นางกัดฟันแน่นรู้ทันทีว่าเกราะนี้ไม่ใช่แค่ของโชว์


“โอเค…เล่นของแข็งใช่ไหม งั้น…” นางพลิกมือดึงขวดเครื่องปรุงจากกระเป๋าเจ็ดสมบัติน้ำหมักไก่สูตรเผ็ดซ่านลิ้น! เทราดปลายง้าวทันที!!


ปีศาจไก่หรี่ตา “นั่นมัน…เกลือกับพริกผงสินะ! แม่นางจะกินข้าจริง ๆ รึ!”


“แน่นอน!” เสียงฟาดดังขึ้นอีกครั้ง ง้าวเปื้อนน้ำหมักพุ่งใส่เจ้าไก่จากมุมต่ำ มันเบี่ยงหลบไม่ทันนัก น้ำซึมเปื้อนปีกทองคำแล้วค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อกลิ่น...มันเริ่มลอยจริง ๆ แล้ว...!


ปีศาจไก่ร้องก้องขึ้น “ม...ไม่...ได้...กลิ่นนี้มัน!!!”


“ใช่! กลิ่นไก่ย่างพริกเกลือสูตรสกุลหนานเมืองผานอวี้! ข้าผสมเองกับมือ!” เงาไก่ในเปลวแดดเริ่มสั่นไหวศึกแห่งศักดิ์ศรีเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นศึกแห่งกลิ่นและหลินหยา…ยิ่งสูดกลิ่น ยิ่งหิว วันนี้นางอาจไม่ได้เจอประตูเงา แต่อย่างน้อย...ขอให้ได้ ‘ไก่ย่าง’ สักมื้อเถิด! ในป่ารกร้างกลางโลกที่ผิดเพี้ยนนี้ การต่อสู้ระหว่างนักล่าและผู้ถูกล่าได้พลิกเป็นศึกตำนานที่จารึกไว้ในหมอก...แม้เผ่าปีศาจไก่จะสูงศักดิ์เพียงใดก็ไม่อาจต้านความหิวของหลินหยาได้!!


เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอของหลินหยา...ตอนแรกเป็นเพียงแค่เสียงล้อเล่นของคนหิว แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเสียงหัวเราะของ คนคลั่งไก่ อย่างสมบูรณ์!


นางยืนกลางดงไม้ปลายผมปลิวสะบัดตามแรงลมที่ไม่รู้ว่าพัดมาจากไหน มือหนึ่งกระชับง้าวเปื้อนซอสหมักไก่จนไหลเยิ้ม มืออีกข้างชูเครื่องปรุงแห้งขึ้นฟ้าแล้วราดมันกลางอากาศ ราวกับกำลังประกอบพิธีกรรมปลุกวิญญาณไก่ย่างโบราณ "ไก่ย่างงงง!!!" นางตะโกนลั่น ฟ้าไม่ทันเปรี้ยงเป็นเอ็ฟเฟ็คแต่ใบไม้หลายใบร่วงทันที "ฉันต้องได้กินไก่ย่าง!! แสนอร่อย!! ปีกเนื้อแน่น หนังบางเกรียม! ไก่ย่างห้าบาททท!! ร้อยยี่สิบห้ามิลลิลิตร!! ปริมาณคับกล่อง เต็มที่!!" แววตาของหลินหยาไม่ใช่แววตาของนักดนตรี ไม่ใช่สายตาของผู้สืบปริศนาแห่งศาลามันคือสายตาของ นักล่าไก่ระดับบ้าคลั่ง ผู้พร้อมเผาทั้งป่าเพื่อแลกกับกลิ่นปีกย่างหนึ่งชิ้น


เธอฟาดง้าวลงพื้นจนหินกระจายแตก น้ำหมักไก่สาดเป็นเส้นวงในอากาศราวกับอักขระพิธีกรรม ผีเสื้อม่วงครามที่บินวนรอบตัวเธอมาตลอดยังถึงกับเบี่ยงตัวหลบ ปีกกระพือเร็วเหมือนจะคิดในใจว่า ฉิบหายแล้วนางหลุดจริง… ทางฝั่งปีศาจไก่ยืนอึ้งใบหน้าที่อ่อนโยนสั่นไหวหงอนแดงบนหัวมันเริ่มลู่ลงด้วยความตกใจ เกราะทองยังส่องแสงแต่ใจของมันเริ่มหวั่นไหว


“มะ...แม่นาง ข้าเข้าใจว่าท่านหิว แต่อย่าลืมเมตตา ข้าเป็นสัตว์มีอารยะ มีหลักธรรมประจำใจ...!”


"หลักธรรมบ้าบอคอแตกข้าจะเอาไปทำซอสหมัก!!" หลินหยาตะโกนตอบปลายเสียงสูงจนอีกากลางป่าต้องบินหนี ปีศาจไก่ถึงกับผงะถอยหลังหนึ่งก้าวร่างอวบแน่นสั่นน้อย ๆ 


“ข้า...ข้าเพียงหวังว่าสักวันหนึ่งมนุษย์จะเลิกกินไก่...!”


“ฝันไปเถอะ!!!”


หลินหยาเหวี่ยงง้าวตัดลมเป็นวงกว้าง “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว! แต่เจ้าดันมาปรากฏตัวตรงหน้าข้าในวันที่ข้าไม่ได้กินเนื้อมาหลายวัน เจ้า! เจ้าไก่ย่างทองคำ!! เจ้าตัวอวบแน่นคนน่ารักของข้า!!” เสียงของนางกลายเป็นอารมณ์รักพิลึก ๆ ผสมความหิวจนไม่สามารถแยกได้แล้วว่านางอยาก ฆ่า หรือ กอด 


ปีศาจไก่สะบัดปีกลุกขึ้นยืนท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านม่านหมอกมันเหยียดคอขึ้น “เช่นนั้น...ข้าจะยืนหยัด! เพื่อพี่น้องไก่! เพื่อไก่ทอดกระเทียมพริกไทยผู้ล่วงลับ! เพื่อไก่นึ่งสมุนไพรผู้เสียสละ!” 


หลินหยาชี้หน้านางทันทีที่ได้ยิน "และข้าจะยืนหยัด! เพื่อวิญญาณของไก่ทอดสี่สหาย! ปีกบนคู่สุดท้ายในกล่องที่ข้าไม่ได้กิน!! เพื่อปีกไก่ทอดราดซอสข้าวเหนียวจานนั้นที่เคยตกพื้นต่อหน้าข้า!!!"


นี้คือการปะทะเดือดระหว่างความหิวกับศักดิ์ศรี


เสียงตะโกนของสองฝ่ายสะท้อนในหุบป่าจินเฉิงหนึ่งคือผู้คลั่งไก่ อีกหนึ่งคือไก่ผู้ศรัทธาในศีลห้า หมอกม่วงคลี่ตัวกลายเป็นเวทีเงียบงันให้ศึกนี้ดำเนินนี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ธรรมดา แต่มันคือการเผชิญหน้าระหว่าง "ผู้ล่าแห่งพันธะในเงาศาลา" กับ "ไก่ผู้กล้าแห่งยุทธภพไก่โลกา"


เสียงปีกปะทะง้าวเสียงเกราะกระแทกพื้น เสียงแผดคำอธิษฐานสุดท้ายเพื่อศักดิ์ศรีเผ่าพันธุ์ไก่ทุกอย่างจบลงในวินาทีที่ปลายง้าวหมุนจากล่างขึ้นบนฟาดเข้าใต้คออย่างแม่นยำ ปีศาจไก่ทรงตัวอยู่ได้อีกครู่ หงอนแดงเริ่มเอนลงอย่างสง่างามท่ามกลางสายลมเย็นจากหมอกม่วงที่พลิ้วไหวเงียบงัน มันกระพือปีกช้า ๆ ก่อนทิ้งตัวลง…เสียง ตุบ ดังเหมือนท้องฟ้าเองก็กลั้นหายใจเกราะทองแวววับสะท้อนแสงดวงตะวันสุดท้าย...สิ้นชีพ


หลินหยายืนหอบอยู่เหนือร่างมันเสื้อผ้าเปื้อนคราบเลือดไก่ระยิบผสมกลิ่นซอสหมักที่เธอราดไว้ก่อนหน้า เธอหอบหายใจอย่างแรงปลายเท้าสั่นเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง ผมปลิวกระเซิงแก้มแดงปากแห้งแต่ดวงตา...มีประกายยิ่งกว่าดวงตะวันทั้งสองแล้วทันใดนั้น เธอก็ยก ขาไก่ทั้งสองข้าง ขึ้นสูงเหนือหัวทำท่าราวกับนักรบผู้ชนะในสนามศึก ส่งเสียงร้องออกมาสุดเสียง


"ข้าได้กินไก่แล้วเว้ยยยยยยย!!!"


เสียงตะโกนนั้นสะท้อนทั่วป่า ดังก้องราวเสียงเทพประกาศชัยชนะสงคราม สายลมเปลี่ยนทิศ กลีบดอกไม้ไม่ทราบพันธุ์โปรยลงจากฟ้าอย่างอัศจรรย์ ท้องฟ้าเปล่งแสงสีทองอมชมพูหมอกม่วงกลายเป็นเส้นแสงหมุนวนกลางอากาศเหมือนมีเอฟเฟ็กต์ประกอบฉากงานราวกับทั้งโลกเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะของนักล่าไก่อันดับหนึ่งแห่งแดนเงาศาลา


แต่หลินหยาไม่สนหรอกนางทรุดตัวลงกับพื้นทันทีแบบคนที่แรงหมด หอบหายใจแล้วคลานไปหามีด “เอาเว้ย...ถึงตัวจะพังแต่ใจยังสู้...!” นางพูดเสียงแหบแห้งแบบคนใกล้ตายแต่ยังไม่ยอมแพ้ มือสั่น ๆ ค่อย ๆ ใช้มีดคว้านเปิดใต้ปีกไก่ ดวงตาวาวเป็นประกายเหมือนพบสมบัติลับใต้รากไม้ "โอ้วว...เนื้อแน่นแบบนี้...ย่างให้เกรียมนิด ๆ พอกรอบผิวนอก ฉ่ำข้างใน...หึหึหึ" เสียงหัวเราะของนางเริ่มเบาในลำคอมือค่อย ๆ แล่เนื้อออกแล้วจัดเรียงบนก้อนหินราบที่จัดไว้ข้างกองไฟเดิม ขาไก่ถูกยกวางเด่นกลางถาดไม้ที่เคยไว้รองพลั่ว เสียงไฟแตกเป๊าะแปะเมื่อไขมันเริ่มไหลซึมลงถ่าน ทำให้บรรยากาศนั้น โคตรน่าอร่อยขึ้นโดยอัตโนมัติ กลิ่นหอมของไก่ย่างผสมพริกเกลือสูตรบ้านเกิดแผ่กระจายคลุ้งรอบป่ากลบหมอกไปหลายช่วงลำต้นไม้


เมื่อเนื้อย่างได้ที่หลินหยาก็นั่งยอง ๆ เหมือนชาวบ้านแถวแดนใต้ นางกัดขาไก่ฉับแรกแล้วหลับตานิ่งดวงตาสั่นไหวคล้ายจะร้องไห้ "อร่อย...โคตรอร่อย..." ไม่ใช่แค่อาหารคืนนี้หลินหยาจะพักผ่อนพร้อมท้องอิ่มและจิตใจเปี่ยมพลัง


หลังจากอิ่มเอมกับไก่ย่างแห่งศักดิ์ศรีจนเรียกได้ว่าแทบจะหลับคากองกระดูกไก่ หลินหยาก็เอื้อมมือไปหยิบแผนที่ผืนเก่าที่เคยพับไว้อย่างประณีตในกระเป๋าเจ็ดสมบัติ แผนที่รอยลายเส้นจากน้ำหมึกเข้มตวัดเส้นขอบอาณาจักรต้าฮั่นไว้อย่างละเอียด และบรรดาเมืองสำคัญก็กระจายอยู่ทั่วแผ่นแผนที่ราวกับกลุ่มดาวโบราณที่กำลังสะท้อนเส้นทางโชคชะตา ปลายนิ้วเรียวของหลินหยาแตะตรงตำแหน่ง ‘จินเฉิง’ ที่เธออยู่ตอนนี้พลางลากไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่ตัดผ่านหุบเขาเล็กหุบเขาน้อยจนนำไปสู่ตำแหน่งถัดไป


“เมืองอู่เว่ย…” เธอพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงติดง่วงปนเคลือบความหวั่นบางอย่าง เมืองที่เต็มไปด้วยการค้าขาย การต้อนฝูงสัตว์ ชาวเร่ผู้ขนสินค้าจากเส้นทางสายไหม และขุนเขาโล้นเปลือยจากลมแรงที่กัดผิวหน้าจนแสบ ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตเท่าฉางอันแต่ก็เป็นจุดแวะพักสำคัญก่อนเดินทางเข้าสู่แดนตะวันตก นางเงียบไปชั่วครู่ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนก้มมองสัญลักษณ์รูปภูเขาบนแผนที่ที่ตีขอบไว้รอบเมืองอู่เว่ย เป็นสัญลักษณ์ของเทือกเขาเตี้ยสลับป่าโปร่งและทะเลทราย นั่นแปลว่าเธอคงต้องเดินตัดพรมแดนทุ่งหญ้าระหว่างสองอาณาเขตก่อนจะถึง


“ก็ยังดี…ยังมีต้นไม้ให้บังแดดอยู่บ้าง” เธอบ่นพึมพำในลำคอ พลางถอนหายใจแต่ทันใดนั้น สายตาของนางก็ลากไปถึงมุมบนสุดของแผนที่


ตุนหวง แค่ชื่อก็ทำให้ขนลุกได้ในยามแบบนี้ เมืองชายแดนสุดปลายด้ายของอารยธรรมต้าฮั่นทะเลทราย แดดแรง ลมกรด วัดโบราณ มรดกแห่งทรายพันปี ศาสนสถานปิดตาย ถ้ำพันตน “ตุนหวง…ไม่มั้ง ไม่ต้องไปถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง…” เสียงหลินหยาสั่นเบา ๆ แม้จะยังพยายามกลั้วหัวเราะกลบความขนลุก เธอพับแผนที่กลับอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมองทิศทางของดวงอาทิตย์สองดวงที่เคลื่อนคล้อยไปใกล้สุดขอบฟ้า หมอกม่วงเริ่มบางลงด้วยแรงลมจากภูเขาไกล ๆ ฝูงผีเสื้อที่บินวนรอบตัวเธอเมื่อครู่ก็ยังคงวนเวียนราวกับพยายามชี้ทาง


"ข้าไม่กลัวหรอกนะ...ก็แค่เดินไปจนสุดขอบแผนที่แค่นั้นเอง" น้ำเสียงหลินหยาคล้ายคนบอกตัวเองมากกว่าจะบอกใคร "ต่อให้ไม่มีคน ต่อให้ไม่มีใครเลยก็ตาม..."


ยามไห่คล้อยลับจนถึงยามจื่อดวงจันทร์สองดวงที่ต่างกันราวกับแฝดคนละฟากฟ้าทอแสงเรื่อจาง ๆ ผ่านม่านหมอกสีม่วงควันที่ไม่ยอมจางหาย สะท้อนลงบนผืนหญ้าร้างไร้ย่ำฝีเท้ามนุษย์จนดูคล้ายโลกที่ถูกขับออกจากความจริง หลินหยาปูเสื่อผ้าห่มเก่า ๆ ลงบนพื้นที่ราบใต้เงาไม้เตี้ยของต้นหลิวป่า แสงจากเปลวไฟอ่อน ๆ ในเตาถ่านขนาดเล็กที่เธอจุดไว้ส่องเงาบนใบหน้าเรียวซูบที่เปรอะด้วยฝุ่นดินเดินทาง นางพ่นลมหายใจออกยาว ๆ มือหนึ่งยกน้ำมาล้างหน้า แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเก่าซับใบหน้าเบา ๆ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเปียกบางส่วนเพราะเธอรินน้ำล้างหน้าด้วยความเคยชินขณะหยดน้ำหยาดหนึ่งไหลจากปลายคางลงสู่อก


"วันนี้…ก็ยังรอด" นางพึมพำเสียงแผ่ว เงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์อย่างเหนื่อยล้าขณะที่สายลมกลางคืนพัดปลายผ้าคลุมพลิ้วเบา มื้อค่ำเธอไม่ได้จัดอะไรมากนักนอกจากย่างเศษชิ้นส่วนสุดท้ายของปีศาจไก่ที่เธอเหลือไว้ตั้งแต่ช่วงบ่าย กลิ่นเนื้อย่างอ่อน ๆ ที่ยังหลงเหลืออบอวลอยู่ในเตาพอให้จิตใจรู้สึกว่ายังมีรสชาติชีวิตเหลืออยู่บ้าง “…เจ้าปีศาจไก่นั้นก็ตลกดีเหมือนกัน” เธอพูดกับความว่างเปล่า แต่ทว่าในน้ำเสียงกลับมีรอยยิ้มจาง ๆ


"สุภาพเรียบร้อย พูดเพราะจนน่าหมั่นไส้...แล้วก็ยังจะบอกอีกว่าไม่ให้ใครกินไก่ แต่อะไรล่ะ...สุดท้ายเจ้าก็อยู่ในท้องข้าแล้วตอนนี้" นางหัวเราะเบา ๆ แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะที่เหมือนจะกลั้นน้ำตาไว้มากกว่าความขำ


มันเงียบ…


ความเงียบในโลกนี้หนักอึ้งเหมือนกลุ่มหมอกที่คลุมหัวใจให้หายใจไม่ออก หลินหยากอดเข่าเข้าแนบอก กลิ่นอายของผืนผ้าคลุมที่ติดกลิ่นไม้ควันซึมเข้าโพรงจมูก "คิดถึง...เสียงของท่านหลิวอันเวลาสั่งสอนแบบเย็นชา...คิดถึงเสียงของหรงเล่อที่คอยกอดเวลานอนด้วยกัน…เสียงของใต้เท้าเถียนเฟิงที่พูดจายียวนไม่รู้จักจบ..." เสียงเริ่มเบาลงในลำคอน้ำเสียงสะท้อนแววร้างของผู้เคยมีที่ยึดเหนี่ยวหัวใจเป็นคนสนิท


"คิดถึงคำพูดที่เรียบแต่แฝงความห่วงใยของท่านเว่ยจงชิง...ดวงตาอ่อนโยนที่ข้าพบในกรมราชทัฑธ์ของท่านจาง..." หลินหยาหยุดพูดริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาเบิกขึ้นมองไปยังความมืดเบื้องหน้าทว่ากลับสะท้อนเงาของบางสิ่งในใจตนเอง “แม้แต่เขา…หน้ากากนั่น...ข้ายังจำได้แม้กระทั่งรอยยิ้มครึ่งหน้าที่ไม่เคยจริงใจ” น้ำเสียงของเธอสั่นน้อย ๆ พร้อมกับใบหน้าที่แนบลงกับหัวเข่าอย่างช้า ๆ "แต่หากท่านจะโกหก...ถึงจะเจ็บปวด...ข้าก็ยังอยากได้ยินเสียงพวกท่านสักครั้ง..." ผีเสื้อม่วงหางริ้วสองสามตัวบินวนเงียบ ๆ รอบกองไฟราวกับเข้าใจหรืออาจเพียงตอบสนองต่อไออุ่นของเปลวเพลิง


คืนนี้โลกยังคงไร้ผู้คน แต่ไม่ไร้เสียงที่ถูกเรียกหาเสียงจากความคิดถึงความเหงา และร่องรอยของหัวใจที่ยังไม่ยอมตายจากใครบางคนในอดีต…


ปลายนิ้วเรียวของหลินหยาค่อย ๆ จรดลงกลางอากาศนิ่ง เหมือนเธอกำลังเขียนอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครมองเห็น นางขยับนิ้วไปตามท่วงทำนองในหัวของตนเองช้า ๆ โดยไม่มีหมึก ไม่มีกระดาษ มีเพียงเสียงหัวใจที่ยังไม่เลิกถามหา ความหมาย และ ใคร ที่นางต้องชำระพันธะให้ ร่างอรชรนั่งอยู่ใต้เงาไม้ที่ลู่ไหวไปตามแรงลมบนพื้นหินที่ยังอุ่นจากไอแดดกลางวัน นางยกมือซ้ายขึ้นช้า ๆ ดวงตาฉายความว่างเปล่าแววลึกซึ้งเหมือนกำลังไล่ตามเงาในความคิดของตนเอง


"สายลมพัดผ่านศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง...ผู้เอ่ยถ้อยคำใต้ฤทธิ์สุรา...อาจได้พันธะซึ่งยากจะคลาย..." เสียงสะท้อนในหัวใจที่เงียบจนแทบเจ็บ “หากไม่ต้องการเป็นภาระใครอีก…จงแบกพันธะนี้…ไปค้นหาความหมายของมัน...กลางป่ารกร้าง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…ซึ่งมี 'ประตูเงา' ตั้งอยู่เงียบงัน…”


เธอพึมพำซ้ำราวกับร่ายมนตร์เพื่อให้ความจำไม่หล่นหายริมฝีปากขยับอย่างมั่นคงแต่แววตากลับคลอนคล้อยอย่างอ่อนล้า "ข้าจำมันได้...จนไม่มีวันลืม..." ภาพเงาจาง ๆ ของศาลาไม้งามท่ามกลางสายลมของฤดูร้อนย้อนเข้ามาในหัว นางจำได้ดีว่าที่นั่นมีเพียงเงาของบุรุษที่ยืนอยู่ใต้เงาเถาวัลย์ม่วง บางวันเขานั่ง บางวันเขาเพียงเงียบและบางวัน...เขาพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอยังฝันถึงจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะฤทธิ์สุราเพียงอย่างเดียวแต่เพราะใจของเธอในตอนนั้นอ่อนแรงพอที่จะผูกพันธะบางอย่างไว้กับใครคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว


"พันธะ...ของข้า...มันคือสิ่งที่ข้าเอ่ยออกไปเองหรือเป็นสิ่งที่เขาผูกไว้กับข้าโดยที่ข้าไม่รู้ตัว?" เธอถามตัวเองเสียงเบา แล้วหลับตาลงช้า ๆ


ท่านชายห่าวหมิง…?


ชื่อของเขาดังขึ้นในใจโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ชายผู้ซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้หลังหน้ากาก มักยิ้มโดยไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริง ดวงตาคมคู่นั้นเคยมองเธอผ่านเงาเถาวัลย์ในยามสนธยา ดั่งอสรพิษร้ายที่เลื้อยเข้ามาโดยไร้เสียงแต่กลับทำให้เธอไม่อาจหลีกหนี ในความทรงจำนั้น เธอเคยนั่งตรงข้ามเขา ดื่มเหล้าร่ำสุราและเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรพูดไปแล้วมากมาย


"ผู้ทำสัญญาแห่งศาลา...จะต้องเผชิญหน้ากับตนเองที่แท้จริง" คำทำนายของเสียงนั้นยังคงลอยอยู่ในห้วงใจ


ใบหน้าของเขาที่ปรากฏในความคิดท่ามกลางเสียงลมโบกผ่านใบไม้ ทำให้หลินหยาอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบอกข้างซ้ายของตนเบา ๆ "หากข้าสิ้นไปในความงามที่เขาบอก...หากเขาไม่ใช่คนที่ข้าเข้าใจ...แล้วพันธะนั้น...มันจะพาข้าไปถึงจุดจบแบบไหนกันแน่..."


หมอกม่วงที่ลอยต่ำคล้ายจะฟัง ถ้อยคำลอยอยู่ในอากาศก่อนจะจางหายไปพร้อมเสียงลม คืนนี้แม้นไม่มีผู้คนรอบกาย แต่เสียงของใจยังคงดังก้องไปถึงขอบฟ้าแห่งความเงียบ…ที่ปลายทางของพันธะนั้นรออยู่




[ปักตะไคร้]




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ฆ่าไก่ครั้งแรก อะเมซิ่ง


รางวัล: 

ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ตบะ 15 หน่วย

เนื้อสัตว์ (เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = จำนวนได้) = 7 ชิ้น

ซี่โครงไก่ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนที่ได้) = 7 ชิ้น


โบนัส: พรสวรรค์ ระดับผู้มีบุญ: x2 ทรัพยากรที่ดรอป

= เนื้อสัตว์ 7x2 = 14 ชิ้น

= ซี่โครงไก่ 7x2 = 14 ชิ้น


และอัตราออก เกราะทองเทวะ (ดูดซับจนตาย) (เลขไบต์ 2 , 7) = ไม่เกลือ

(ปราณระดับ ผู้มีบุญ หรือ สถานะ LUK 100 ออกเลขไบต์ 0 , 2 , 7)


สรุปรางวัลที่ได้ : 15 ตบะฝึกฝน, เนื้อสัตว์ 14 ชิ้น, ซี่โครงไก่ 14 ชิ้น, เกราะทองเทวะ 1 ชิ้น


แสดงความคิดเห็น

คุณเห็นคนคล้ายห่าวหมิงนอนหมดสติกลางทะเลทราย แต่เมื่อเข้าไปกลับไม่มีอะไร  โพสต์ 2025-7-12 15:04
คุณเข้าสู่ทะเลทราย คุณจะเห็นภาพหลอนจากภาพลวงตาของทะเลทราย ใบหน้าหลิวอันเต็มไปหมดเลยลอยวนเวียนอยู่รอบตัวคุณ หมอกสีม่วงรอบตัวแปรเปลี่ยนปรากฎใบหน้าหลิวอัน และ  โพสต์ 2025-7-12 15:03
โพสต์ 134747 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-11 19:49
โพสต์ 134,747 ไบต์และได้รับ +7 EXP +25 ความชั่ว +15 ความโหด จาก ง้าวปีศาจปลา  โพสต์ 2025-7-11 19:49
โพสต์ 134,747 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-11 19:49

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +15 ย่อ เหตุผล
Admin + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-12 16:54:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-12 16:56

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 11 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เส้นทางจาก เมืองจินเฉิง ไปยัง เมืองอู่เว่ย


หลินหยาขยับกายช้า ๆ หลังจากที่เอนหลังหลับอยู่ใต้ร่มไม้ข้างทางตลอดค่ำคืนเสียงลมกรรโชกเบา ๆ พัดพาใบไม้ไหวสั่น ท้องฟ้าเหนือศีรษะยังคงเป็นสีชมพูอมม่วงอ่อนคล้ายสีของฝันที่ไม่จบสิ้น หากแต่สำหรับเธอ...มันคือฝันร้ายที่วนเวียนอยู่ไม่จบสิ้นเสียที "แม่งเอ้ย..." เสียงพึมพำลอดริมฝีปากแดงน้อย ๆ อย่างอ่อนล้า มือเรียวยกขึ้นกั้นแสงจากดวงอาทิตย์สองดวงที่สาดส่องลงมาตรงดิ่ง ใบหน้านวลที่เคยสดใสเริ่มแสดงสีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย แสงสีม่วงอมชมพูนั้นแม้จะดูงดงามยามแรกเห็นทว่าเมื่อพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลินหยาก็ไม่อาจหาคำใดมาบรรยายความเบื่อหน่ายได้อีกต่อไป


"พอเถอะสีม่วง...เจ้าจะโผล่ที่ท้องฟ้าที่น้ำที่หมอกที่เงา หรือแม้แต่ในฝันของข้าอีกนานแค่ไหนกัน..." นางลุกขึ้นยืนพลางคว้ากระบอกน้ำไม้ไผ่เดินไปยังลำธารเล็ก ๆ ที่ยังมีน้ำเย็นไหลพอให้ล้างหน้า เสียงน้ำไหลเบา ๆ ช่วยกลบความคิดฟุ้งซ่าน นางตักน้ำล้างหน้าด้วยฝ่ามือเส้นผมยาวแนบติดใบหน้าหลังจากที่เปียกหมาด ๆ ในน้ำเย็น เธอสูดลมหายใจลึกแล้วเงยหน้ามองแสงสว่างเหนือผืนฟ้า 


"ไปกันเถอะ…ไปสู่เมืองอู่เว่ย...ไม่รู้เจ้าจะให้ข้าเจอปีศาจอีกสักกี่ตัวหรือจะมีสิ่งแปลกประหลาดใดรออยู่ แต่หากไม่ใช่ ‘ประตูเงา’ ข้าก็จะไม่หยุด..." เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตั้งใจ แม้จะอ่อนแรงจากการเดินทางที่ผ่านมาแต่แววตากลับเรืองรอง


รองเท้างแบบคนเร่ร่อนเพราะไม่ได้ซื้อใหม่เปียกหมาดเล็กน้อยเมื่อก้าวลงบนดินชื้นจากหมอก และทางลูกรังที่ทอดยาวเต็มไปด้วยหญ้าแห้งเหลืองกรอบตามสองข้างทาง คล้ายเส้นทางเดินที่ขาดผู้คนเหยียบย่ำมาหลายร้อยปี "หากเส้นทางนี้จะพาข้าไปพบเจอแต่เงา...ก็ให้มันเป็นเงาที่ข้าจะจดจำไว้จนวันสุดท้าย" เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังก้องไปในความเงียบของผืนป่าเบื้องหน้า และแม้จะไร้ผู้คน แต่ฝูงผีเสื้อสีม่วงอ่อนซึ่งเหมือนจะติดตามนางมาไม่หยุดก็ยังโบยบินคลอเคลียรอบร่างของหญิงสาวราวกับมันกำลังพาเธอไปสู่ชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้


หากครั้งหน้าเธอจะได้ยินเสียงกระซิบอีก…หรือแม้แต่เจอเงาของใครบางคนที่ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก…อย่างน้อยตอนนี้ นางพร้อมแล้วเพราะท่ามกลางสีม่วงที่เกลียด...ยังมี ใครบางคน ที่เคยปรากฏอยู่ในม่วงนั้นเสมอ...และใจของเธอก็ยังไม่อาจละสายตาจากเงานั้นได้เลย


หลินหยาที่ก้าวเดินมานานนับชั่วยามก็หยุดฝีเท้าร่างระหงที่ดูเหนื่อยล้าเหงื่อซึมประปรายบนไรผม ดวงตาคมหวานทอดมองไปยังเบื้องหน้าที่ยังทอดยาวไม่รู้จบ ภาพที่เธอเห็นเมื่อเริ่มออกเดินนั้นช่างต่างจากตอนนี้ราวกับเป็นคนละโลก จากพื้นที่ราบลุ่มชุ่มชื่นแห่งหวงเหอที่มีร่องรอยของไร่นาเขียวขจีแม้จะไร้เงามนุษย์ ก็ยังมอบความรู้สึกคล้ายดินแดนมีชีวิต รอยไถคราดบนดินยังหลงเหลือ หรือน้ำใสในคูร่องยังสะท้อนภาพท้องฟ้าเหมือนจะมีใครเพิ่งจากไป ทว่าตอนนี้...ความเปลี่ยนแปลงค่อย ๆ ไล้คลานเข้ามา


"เริ่มแห้งแล้งขึ้นแล้ว...ลืมสนิทเลยว่าตรงนี้มันใกล้ทะเลทราย...บ้าจริง" เสียงพึมพำของนางเบาเสียจนแทบจะหลอมรวมไปกับลมหอบแผ่วที่ตัดผ่านใบหญ้าแข็งกระด้างตรงปลายเท้า


ผิวดินสีดำชุ่มนั้นเปลี่ยนเป็นเหลืองทองซีดแห้งแตกระแหงกลิ่นดินเปลี่ยนเป็นกลิ่นฝุ่นละออง ความเขียวของหญ้าถูกแทนที่ด้วยพุ่มไม้เตี้ย ๆ สลับทุ่งหญ้าขรุขระไร้น้ำเลี้ยง หลินหยาเงยหน้ามองไปยังเส้นขอบฟ้า ยอดเขาขาวโพลนราวผ้าฝ้ายสะอาดตาของเทือกเขาฉีเหลียนทอดยาวเป็นฉากหลังสะท้อนกับแสงแดดสองดวงที่เปล่งปลั่งแม้ฤดูร้อนจะย่างกรายเข้ามาแต่หิมะบนยอดเขายังไม่ละลาย นั่นย่อมหมายถึงความหนาวเหน็บและความสูงเสียดฟ้าที่ไม่มีทางเลี่ยง


"ข้าเข้าสู่ระเบียงเหอซีแล้วจริง ๆ สินะ..." นางพึมพำอีกครั้งขณะมองไปรอบตัวเส้นทางที่เคยกว้างกลับถูกภูเขาทั้งสองข้างบีบกระชับจนคล้ายกำแพงธรรมชาติสูงตระหง่านบดบังทิศตะวันตก "เส้นทางนี้..." หลินหยาหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาสัมผัสน้ำข้างในก่อนจะเขย่ามันเบา ๆ ฟังเสียงที่ดังแผ่วเธอกัดฟัน “อาจจะพอแต่เผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาดนะเนี้ย หากไม่มีแหล่งน้ำระหว่างทาง ข้าคงต้องหาน้ำสำรองก่อนเข้าสู่ทางคับเขานี้ให้ได้ไม่เช่นนั้น…” ดวงตาคมหวานเหลือบมองผืนฟ้าสีม่วงชมพูที่เริ่มเคลื่อนเงาลงตามขอบภูเขา


“...คงได้กลายเป็นศพไร้ชื่อในช่องเขาเสียก่อนจะถึงอู่เว่ย” นางถอนหายใจอย่างเชื่องช้า ดวงหน้ามีเหงื่อผุดเล็กน้อยขณะยกชายเสื้อเช็ด ทว่าท่าทางไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงแววตาตั้งใจและเด็ดเดี่ยว มุ่งหน้าเดินต่อไปราวกับแม้แต่โลกจะบีบคั้น นางก็จะฝ่าออกไปให้ได้ สิ่งที่หลินหยารู้แน่ไม่ใช่เพียงทางข้างหน้าจะโหดร้ายเพียงใด แต่หัวใจของตนยังเต้นอยู่...และ 'พันธะ' ที่ผูกติดอยู่ในความทรงจำก็ยังเรียกเธอให้เดินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง…


ยามบ่ายคล้อยระหว่างการเดินทางบนเส้นทางที่โหดร้าย แดดสองดวงแผดเผาจนแม้แต่ทรายยังแผดเสียงร้อนระอุใต้ฝ่าเท้า บรรยากาศโดยรอบไม่มีแม้แต่เสียงแมลงลมที่พัดผ่านมาก็เป็นเพียงเสียงหอบแห้งของความเวิ้งว้างที่เงียบงัน หลินหยาเดินมาด้วยสีหน้าไม่บ่นเหนื่อย ดวงตาคู่สวยเหม่อมองผืนดินสีทองอมน้ำตาลแห้งผากทั้งสองข้างทางมีเพียงเงาร่างของซากต้นไม้ที่ตายไปนานนับร้อยปี และบางช่วงยังมีซากกระดูกของสัตว์ตายกลายเป็นโครงขาวโพลน หลินหยายังคงเดินต่อไปอย่างไม่ลังเลท่ามกลางลมหอบฝุ่นของดินแดนร้างที่ไร้แม้แต่เงาความหวัง


จนกระทั่งนางพบกับภาพที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยโอเอซิสขนาดเล็กที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางภูมิประเทศอันแห้งแล้ง ใจกลางของมันมีแอ่งน้ำตื้น ๆ ที่ล้อมรอบด้วยก้อนหินที่พอกันฝุ่นไว้ไม่ให้ปลิวเข้าไปในน้ำ แสงอาทิตย์สีทองอมชมพูสะท้อนบนผิวน้ำเป็นประกายระยิบราวเพชรเม็ดเล็กในทะเลทราย "มีจริง ๆ ด้วย..." หลินหยาเอ่ยแผ่วเสียงริมฝีปากแห้งของนางยิ้มออกเล็กน้อยขณะก้าวเท้าเข้าไปใกล้


แต่แล้ว...ก็ต้องชะงักนัก


ในหางตาของนางมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในแอ่งน้ำ แม้จะเพียงแผ่วเบาแต่สัญชาตญาณของผู้ที่เดินทางเพียงลำพังมาตลอดไม่อาจมองข้ามได้ ผิวน้ำปั่นป่วนเล็กน้อย... จากนั้นก็ปรากฏเงาดำว่ายวนช้า ๆ ใต้น้ำใส นางหลุบตาลงต่ำในทันที "ปีศาจปลา...ทุกทีสิน่า" นางพึมพำ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบ ‘ง้าวปีศาจปลา’ ด้านหลังทันที อาวุธซึ่งได้มาจากการล่าเผ่าปลาครั้งก่อนมันเหมาะกับการจัดการนัก ปีศาจปลาตัวนี้เพียงตัวเดียวแต่ดูมีขนาดใหญ่เกินกว่าตัวที่นางเคยพบ ร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดเงินหม่นดวงตาสีดำขลับจ้องมองเธอจากในน้ำด้วยสายตาหื่นกระหาย ก่อนที่มันจะโผล่ขึ้นจากผิวน้ำพร้อมคำรามต่ำ...แต่ยังไม่ทันได้พุ่งเข้าหานางจนถึงเนื้อถึงตัวเพื่อลากไปกระทำชำเราใต้น้ำ

ฟึ่บ!


หลินหยาหมุนง้าวในมือแล้วแทงทะลุผ่านหัวมันด้วยความแม่นยำและรวดเร็ว เธอไม่แม้แต่จะถอยหลังหรือเปล่งเสียงใด แววตาของนางนั้นเยือกเย็นเกินกว่าจะมีความตื่นเต้นในตอนนี้ การต่อสู้นี้ไม่ใช่การประลองไม่ใช่การเอาชนะ แต่มันคือปฏิกิริยาปกติของใครบางคนที่เอาชีวิตรอดในโลกที่ไร้ผู้คนและเต็มไปด้วยภัยร้ายเพราะหลินหยารู้ว่าตอนนี้มันอันตรายพอสมควรเลยจริง ๆ กับการที่โลกใบนี้ไม่มีมนุษย์แต่ดันมีปีศาจอยู่รอบ ๆ สถานที่แห่งนี้ หญิงสาวพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะขมวดคิ้วมองสิ่งที่ตัวนางนั้นทำลงไป


เสียงน้ำกระเซ็นกระจายเมื่อร่างของปีศาจปลาทรุดฮวบลง ง้าวปีศาจปลาถูกดึงกลับมาโดยไร้รอยเลือดเปรอะเปื้อนมากนัก หลินหยาทรุดลงนั่งใกล้ ๆ ข้างร่างของมัน นางสำรวจอย่างละเอียดก่อนจะตัดเฉพาะส่วนที่ยังใช้ประโยชน์ได้ก่อนจะห่อเก็บใส่ห่อผ้าสำรองแยกต่างหาก “เจ้าก็แค่โชคร้าย ที่ข้าหิวน้ำมากเกินไป...” นางพูดเสียงแผ่วขณะมองศพของมันที่เหลือเพียงเงา จากนั้นหลินหยามองน้ำในโอเอซิสอีกครั้ง ดวงตาเรียบสนิท "...แหล่งน้ำนี้เสียแล้วใช้การไม่ได้เอาเสียเลย...บ้าบอที่สุด"


แม้จะไม่ได้เห็นพิษแพร่กระจายแต่ประสบการณ์ของนางรู้ดีว่า สถานที่ที่ปีศาจอาศัยมักมีร่องรอยพลังหลงเหลือ ไม่อาจไว้ใจให้ดื่มกินได้อย่างสนิทใจโดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ปีศาจปลาที่เป็นภัยสังคม "ข้าคงต้องหาน้ำที่อื่น..." นางพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง แล้วเก็บข้าวของทั้งหมดเข้ากระเป๋าเจ็ดสมบัติอย่างชำนาญ ร่างระหงลุกขึ้นในจังหวะเงียบงัน เมื่อหันหลังให้กับโอเอซิสเบื้องหลังอีกครั้ง หลินหยาสะบัดชายผ้าคลุมขึ้นปิดหน้าเพื่อต้านลมทราย แล้วก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีคำบ่นใด ๆ แม้แต่ในใจของนางก็ไม่ได้โทษปีศาจปลาตนนั้น เพราะสุดท้ายทั้งเธอและมันต่างก็เพียงต้องการมีชีวิตรอดในโลกใบเดียวกันนี้เท่านั้นเอง…


ดวงอาทิตย์สองดวงที่เคยแผดเผาผิวดินจนแห้งกรังบัดนี้กลับดูเหมือนจะอ่อนแรงลงเล็กน้อย ขณะที่เงาของเทือกเขาฉีเหลียนทอดยาวปกคลุมพื้นที่ด้านล่างอย่างช้า ๆ หลินหยาก้าวเดินฝ่าทรายร้อนและลมแห้งแล้งมาไกล จนกระทั่งสายตาของนางมองเห็นสีเขียวสีที่สดใสที่สุดเท่าที่นางเคยพบตลอดเส้นทางที่ผ่านมา


โอเอซิสขนาดย่อมเบื้องหน้า…แม้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่มันก็เพียงพอจะเปรียบได้กับสวรรค์เล็ก ๆ สำหรับนักเดินทางผู้หลงลืมกลิ่นไอของชีวิตไปแล้ว เมื่อเข้าใกล้พื้นดินเริ่มเปลี่ยนจากผงทรายแห้งเป็นดินชื้นที่แน่นและเย็นกว่า ต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นเรียงราย ใบไม้ไหวพลิ้วอย่างช้า ๆ ในสายลมที่ไม่แห้งจนเจ็บจมูกอีกต่อไป กลิ่นของไผ่อ่อนกับพืชริมธารจาง ๆ ทำให้หลินหยาต้องหลับตาลงสูดหายใจอย่างลึก หญิงสาวเดินผ่านเถาวัลย์และพงไม้เข้ามาจนเห็นลำธารใสที่ไหลเบา ๆ มาจากต้นทางบนเทือกเขาแสงแดดสะท้อนบนผิวน้ำราวหยดแก้วที่เรียงรายเป็นทาง นางไม่รีรอเลยแม้แต่น้อยรีบไปนั่งย่อตัวลงใกล้ลำธาร เอื้อมมือตักน้ำขึ้นมาลูบหน้าอย่างอ่อนโยนแล้วสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง


“โอ้...พระเจ้า...รู้สึกว่าใบหน้าข้าเหมือนได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งจากความสดชื่น” นางบ่นกับตัวเองเสียงเบาขณะใช้ชายเสื้อเช็ดหน้าให้แห้ง


จากนั้นหลินหยาก็ไม่เสียเวลา นางเปิด ‘กระเป๋าเจ็ดสมบัติ’ ที่ภายนอกดูเหมือนเพียงถุงผ้าทั่วไป แต่ภายในกลับเป็นภาชนะวิเศษที่สามารถเก็บของได้มากมายโดยไม่มีน้ำหนัก บัดนี้นางหยิบขวดน้ำทั้งใบเล็กใบใหญ่ กระบอกไม้ไผ่ ถุงหนัง และภาชนะทุกอย่างที่พอจะใส่น้ำได้ออกมาเรียงไว้บนพื้น ด้วยความคล่องแคลวนางเริ่มตักน้ำสะอาดจากลำธารใสใส่ทีละภาชนะ ปล่อยให้น้ำไหลซึมเข้าอย่างนิ่งสงบ น้ำสำหรับดื่มกินน้ำสำหรับทำอาหาร และน้ำสำหรับล้างร่างกาย ทุกอย่างต้องจัดสรรให้ดีเสบียงน้ำคือชีวิตในดินแดนแห้งแล้งนี้นางไม่อาจประมาทได้แม้แต่น้อย


“โชคดีจริง ๆ...ที่ยังมีกระเป๋าเจ็ดสมบัติอยู่” นางพึมพำขณะใส่ภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง แม้จะใส่เข้าไปหลายสิบอย่างแต่กระเป๋านั้นก็ยังคงดูบางเบาเช่นเดิม นางเดินไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ อีกเล็กน้อยพบว่าพื้นที่บางส่วนมีร่องรอยเหมือนเคยเป็นสถานีพัก หรือหมู่บ้านเล็ก ๆ อาจมีผู้คนอยู่ที่นี่ในอดีตบางบ้านยังมีโครงหลังคาไม้ที่พอจะหลบแดดได้ แม้จะเงียบราวเมืองผีแต่มันก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกกลัวนัก


“จะมีใครทิ้งหม้อดี ๆ ไว้ให้ข้าสักใบไหมนะ...ว่าไปนั้นแหละ” นางเอ่ยแซวตัวเองเบา ๆ ขณะเดินสำรวจอย่างขี้เล่น อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ได้มีปีศาจปลาอีกแค่นี้ก็พอแล้ว หลินหยาวางแผนในใจว่าจะนั่งพักที่นี่สักครู่ พอแดดอ่อนลงอีกเล็กน้อยจึงจะออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่เมืองอู่เว่ย ระหว่างทางอาจมีโอเอซิสเล็ก ๆ เช่นนี้อีก หรือนั่นอาจเป็นความหวังลวงที่ตนปั้นแต่งขึ้นในใจแต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้นางยังมีแรงยังมีน้ำและยังมีหัวใจที่กล้าเผชิญหน้ากับเส้นทางเบื้องหน้าอีกต่อไป


เสียงลมหอบหวิวของทะเลทรายสะท้อนอยู่ในใบหูของหลินหยาราวกับบทเพลงแห่งความเงียบเหงาที่โลกใบนี้บรรเลงให้นางฟังมาเนิ่นนาน เม็ดทรายสีทองปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลม เหน็บหนาวในยามค่ำแต่ร้อนระอุในยามเช้า มันเป็นดินแดนที่โหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอ ท้องฟ้ายังคงเป็นสีชมพูเจือม่วง เมฆขยับตัวช้า ๆ เหมือนถูกล่ามด้วยโซ่ไร้สาย ตะวันสองดวงแขวนอยู่กลางฟ้าอย่างเหนื่อยอ่อนทอแสงที่ไม่ให้ความอบอุ่นใด ๆ ราวกับเป็นแค่ภาพลวงตา แต่แล้ว... สายตาของหลินหยากลับมองเห็นสิ่งหนึ่งจากลิบตาเส้นโค้งของบางสิ่งที่ไม่ใช่ทรายไม่ใช่ภูเขา ไม่ใช่หมอกม่วง... แต่เป็น 'กำแพง' ดวงตาของนางลุกวาบขึ้นทันที


"นั่นมัน...เห็นเมืองอู่เว่ยอยู่ไกลลิบแล้ว"


ก้าวเท้าของหลินหยาแม้จะช้าจากความเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายวัน แต่กลับเร่งรีบขึ้นทันใด หัวใจที่เหมือนจะแห้งแล้งพลันพองโตขึ้นมาอีกครั้ง นางพึมพำเบา ๆ ระหว่างเดิน "ที่นี่...คือประตูสุดท้ายก่อนตะวันตกในโลกจริงมันคือโอเอซิสขนาดใหญ่ มีผู้คน มีเสียง มีต้นไม้ มีชีวิต..." หลินหยาที่เริ่มมีความหวังกับชีวิตแต่แล้ว..นางกลับไม่รู้เลยว่าโชคชะตาจะเล่นตลกยิ่งนักราวกับขบขันให้กับหัวใจดวงเล็ก ๆ นี้


ทรายร้อนระอุที่อยู่เบื้องล่างบดเบียดส้นเท้าแต่ละก้าวของหลินหยาอย่างหนักหน่วง กลิ่นลมหอบแห้งกรังของทะเลทรายฉาบทับความเหนื่อยล้าในลำคอราวกับจะกลืนกลบลมหายใจให้หายวับไป ทว่าความเหนื่อยทางกายกลับมิได้รุนแรงเท่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าในดวงตาของนาง หมอกม่วง...หมอกเงียบงันซึ่งลอยอ้อยอิ่งอยู่เสมอในโลกใบนี้ บัดนี้มันกลับแปรเปลี่ยน…เปลี่ยนเป็นใบหน้าใบหน้าที่หลินหยาไม่คิดว่าจะได้เห็นในสถานที่แบบนี้...ใบหน้าของเขาอ๋องหลิวอัน


“ท่านชาย…?” เสียงพึมพำของหลินหยาแผ่วเบาแต่น้ำเสียงแฝงความสับสนและเย็นเยียบ ในทุกทิศทาง รอบกายของนางกลับปรากฏใบหน้าของหลิวอันลอยวนอยู่ในม่านหมอกที่กำลังเคลื่อนไหว...บางหน้าจ้องนางเขม็งดั่งกำลังจับผิด บางหน้าหลับตาเงียบงันบางหน้าแย้มยิ้มเหมือนกำลังพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บางหน้ากลับเย็นชา...เหมือนตอนที่เขายืนปั้นเต้าหู้เงียบ ๆ โดยไม่สนใจใคร แต่ทุกใบหน้ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดนอกจากแค่อยู่ตรงนั้นล้อมรอบหลินหยาไว้


หลินหยาชะงัก เธอขมวดคิ้วแน่น พยายามยกแขนขึ้นเพื่อปัดหมอกออกจากสายตา ปัดซ้าย ปัดขวา ทว่า…มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย "เจ้าหมอกบ้า...นี่มันอะไรกันแน่…" หญิงสาวสูดลมหายใจแรงขึ้นอีกนิด หมอกม่วงลอยเข้าใกล้ มันไม่ได้แค่ลอยวนเฉย ๆ แต่เหมือน...มัน แทรกซึมเข้าสู่ผิวของนาง กลิ่นบางอย่างที่ปนเปื้อนระหว่างธูปหอมและกลิ่นทรายไหม้ทะเลทรายกำลังกัดกินจิตใจนางทีละน้อย ราวกับจะล้วงลึกเข้าไปในเงามืดที่หลบเร้นอยู่ในความทรงจำ


หลินหยาเบือนหน้าหนี แต่ไม่ว่าไปทางใด ใบหน้าของเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น...ใบหน้าของหลิวอัน ที่ลอยทับกันจนเหมือนภาพสะท้อนของอะไรบางอย่างในใจนาง "ไม่...อย่ามาล้อเล่นกับข้านะ…" นางก้าวถอยหลัง ก่อนหยุดลงแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ "ข้าไม่ได้กลัวเขา...และข้าไม่ใช่ภาระของเขาอีกต่อไป..." คำพูดหล่นลงพื้นเหมือนฝุ่นทราย


ทว่าหมอกมิได้ลดน้อยลงเลย...ตรงกันข้าม กลับยิ่งทึบ ยิ่งแผ่ตัวราวกับตอบสนองต่อคำพูดของนางราวกับมีสติตนของมันเอง


มันคือเครื่องเตือน?

มันคือภาพหลอน?


หรือ...มันคือเงาในใจของนางเอง?


ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่หลินหยาไม่อยากเผชิญหน้าและนั่นยิ่งทำให้นางแน่ใจ ว่าประตูเงาที่ถูกเอ่ยถึงในคืนเมามายนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีแล้วมันไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ แต่เป็น จุดเปลี่ยน ของจิตใจ...ผู้เอ่ยคำสัญญาแห่งศาลา จะต้องเผชิญหน้ากับตนเองที่แท้จริง และหลินหยากำลังจะเจอ ตนเอง ตนเองที่กลัว ตนเองที่ยอมปล่อยคนที่อาจรักไปเพียงเพราะไม่อยากให้เขาแบกรับ นางก้าวเท้าต่อไปโดยไม่ปัดหมอกอีกแล้ว เพราะรู้อย่างหนึ่ง…หมอกนี้ไม่ได้อยู่รอบตัวแต่มันอยู่ในใจของนางเอง


ภาพของม่านหมอกยังคงเล่นตลกร้ายอย่างต่อเนื่องกับหญิงสาวผู้เดินเดียวดายท่ามกลางเส้นทางแห้งผากของทะเลทรายสีทอง เมื่อเงาร่างใบหน้าของหลิวอันค่อย ๆ สลายจางหายไปในอากาศ ราวกับลมร้อนในฤดูเหมันต์ที่พัดผ่านหัวใจ กลับมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นแทนที่ไม่ใช่เสียงกระซิบ ไม่ใช่ภาพหลอนในหมอกหากแต่คือ "คน" คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะนอนหมดสติอยู่กลางทะเลทราย หลินหยาเบิกตากว้างทันทีที่นางเห็น…


ชุดเนื้อผ้าดีที่พลิ้วไหวเล็กน้อยตามแรงลมทะเลทราย หน้ากากเคลือบสีงาช้างบางเบาที่ปิดซ่อนใบครึ่งหน้าบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ ร่างของเขานอนอยู่บนพื้นทรายอย่างไม่ไหวติง ดั่งคนที่เพิ่งถูกพัดพาจากวังวนแห่งอากาศร้อนมาทิ้งไว้ตรงนี้อย่างไร้เหตุผล และ...เขา คล้าย มาก…


"ท่านห่าว...หมิง?" เสียงแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปากของหลินหยาโดยไม่ทันรู้ตัว นางก้าวเท้าเร็วขึ้นฝีเท้าหนักแน่นและหัวใจที่เต้นระส่ำราวกับเด็กสาวที่เพิ่งได้ยินข่าวดีจากคนที่แอบรักมานาน แม้สัญชาตญาณบางส่วนจะตะโกนให้ระวังให้ถอยกลับให้ทบทวนก่อน แต่ทว่า… "เป็นไปไม่ได้..." น้ำเสียงของนางสั่นพร่าแต่ก็เต็มไปด้วยแรงดึงดูดจากก้นบึ้งหัวใจ


ในใจนางยังจำได้แม่น เขาไม่ใช่คนที่ควรมาอยู่ในโลกใบนี้...เขาไม่ใช่คนที่ควรอยู่ในม่านหมอกสีม่วงของดินแดนที่ไร้ผู้คนนางไม่ควรจะเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่ควรได้กลิ่นเสื้อผ้าคุ้นเคย ไม่ควรได้ยินเสียงลมหายใจของใครบางคนที่ฝังแน่นในความทรงจำของนาง หลินหยาวิ่งไปใกล้แล้วทรุดตัวลงคุกเข่าข้างร่างนั้นทันที มือของนางเอื้อมไปสั่นไหวใกล้ไหล่ของอีกฝ่าย พลางสูดลมหายใจเตรียมเอ่ยเรียกแต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัส…


ทุกอย่างสลายไป


ไม่มีใครนอนอยู่ตรงนั้น ไม่มีเงา ไม่มีหน้ากาก ไม่มีแม้แต่รอยเท้า หรือแรงลมใดที่พัดผ่านเพื่อบอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ


มีเพียงความเวิ้งว้างของทะเลทรายเหมือนเดิม และ...เสียงหัวใจของนางเองที่ยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ในอก ราวกับถูกบีบไว้ด้วยเงื้อมมือของอดีต หลินหยาชะงักเธอหลุบตาลงต่ำกัดริมฝีปากแน่นก่อนหลับตา มือทั้งสองข้างค่อย ๆ กำหมัดแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บจิกเข้าเนื้อ "เจ้าหมอกบ้า...หยุดล้อเล่นกับข้าเสียที..." เสียงเอ่ยเบาราวสายลมพัดผ่าน แต่มันเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายปนเปกันไปหมดทั้งโกรธ สับสน คิดถึง และ...เจ็บ


เพราะสิ่งที่ทำให้หลินหยาหัวใจเต้นแรงไม่ใช่แค่เพราะมัน คล้าย ห่าวหมิง แต่เพราะบางส่วนในใจนาง...หวัง ว่ามันจะเป็นเขา แม้จะรู้ว่าไม่มีทาง...แต่นางก็ยังเผลอหวังอยู่ดี ภาพลวงตาหายไปแล้วแต่มันทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจ


ฝ่าแสงแดดร้อนระอุของอู่เว่ยมาได้เพียงครึ่งค่อนวัน หลินหยาก็เดินทางเข้าสู่เขตชานเมืองที่ไม่มีแม้เงาของผู้คน ไม่ใช่ด้วยเหตุแห่งการห้ามหรือภัยอันตรายจากธรรมชาติหากแต่ด้วย “บรรยากาศ” ที่แม้เพียงได้สัมผัสแค่ขอบผิว ผู้อ่อนแอย่อมอยากหันหลังหนีเสียตั้งแต่ก้าวแรก...แต่หลินหยาไม่ใช่คนเช่นนั้น นางยืดตัวขึ้นเต็มความสูงสูดลมหายใจอันหนักหน่วงของคนที่ผ่านทะเลทรายแห่งการล้อเล่นของม่านหมอกม่วง ก่อนเหยียบเท้าเข้าสู่ร่มเงาแห่งผืนป่าที่เปรียบเสมือนเสี้ยวสุดท้ายของความเป็นชีวิตในอาณาเขตที่ถูกกลืนด้วยความเงียบงัน


นี่มิใช่ป่าไม้เขียวชอุ่มดังที่ตำราเล่าขาน ไม่ใช่โอเอซิสแห่งชีวิตหรือแดนแห่งเทพเจ้า หากแต่คือ 'ป่ารกร้าง' ที่ถูกบีบอัดระหว่างผืนทะเลทรายอันเวิ้งว้างทางเหนือ กับภูเขาฉีเหลียนที่ตั้งตระหง่านราวอสูรหลับใหลทางใต้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงฉากฉากหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อซ่อนบางสิ่ง 'ประตูเงา' ที่ตามหา


ก้าวย่างของหลินหยาแทรกผ่านผืนดินที่เต็มไปด้วยกรวดแหลมคมและเศษไม้แห้งกรัง ต้นสนสูงใหญ่นับร้อยยืนต้นเฉื่อยชาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจอันเยียบเย็น กิ่งของมันแผ่กว้างไปทั่วท้องฟ้าในลักษณะผิดธรรมชาติ บิดเบี้ยวคล้ายอุ้งมือปีศาจโบราณที่กำลังพยายามไขว่คว้าทุกสิ่งให้หล่นลงสู่ความลืมเลือน บางต้นมีรอยไหม้เก่าบางต้นมีร่องรอยของของมีคมและบางต้นดูราวกับถูกดูดกลืนเวลาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ผิวไม้ด้านหนึ่งกลับเหี่ยวย่นเหมือนคนชราแต่อีกด้านยังคงสีเขียวเข้มสดเหมือนยังเยาว์วัย


ต้นปอผอมโซขึ้นแซมอยู่อย่างโดดเดี่ยวใบสีเหลืองทองร่วงหล่นตลอดเวลาแต่ไม่มีเสียง นางเดินผ่านต้นหนึ่งซึ่งรากของมันโผล่ขึ้นมาบิดเกลียวราวกับอสรพิษสีซีด นั่นทำให้หลินหยาเผลอถอยเท้าอย่างไม่รู้ตัว ก่อนนางจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วพยายามพูดตึงสติของตนเองขณะฝ่าฝืนธรรมชาติเดินเข้าไปลึกกว่าเดิม เสียงลมเริ่มแปรเปลี่ยนจากเสียงหอบครวญธรรมดากลับกลายเป็นเสียงคล้ายกระซิบ กระซิบถึงเรื่องราวที่ไม่มีใครได้ยินนานนับศตวรรษ กระซิบถึงการจากลา การทรยศ คำมั่นที่ไม่สมบูรณ์ และความปรารถนาอันไม่ได้รับการเติมเต็ม ฝูงผีเสื้อสีม่วงครามยังคงบินล้อมรอบหญิงสาวอย่างเงียบงันเสมือนวิญญาณโบราณที่รอส่งวิญญาณใหม่เข้าสู่ 'ด่านทดสอบ'


แต่หลินหยารู้เธอไม่ใช่วิญญาณ เธอคือผู้มีชีวิตผู้แบกพันธะ และผู้ที่ไม่อาจถอยกลับได้อีกต่อไป เงาไม้ทาบทับลงบนใบหน้าของหลินหยาเหมือนรอยสักแห่งชะตากรรม แสงแดดลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ สาดลงมาเป็นลำแสงที่เหมือนกำลังชี้นำเส้นทางอย่างไร้คำพูด ราวกับจะบอกว่า ‘ใกล้แล้ว...อย่าหยุด’ และในห้วงเงียบอันไร้ผู้คนเธอเดินไปเรื่อย ๆ ใจเต้นแรงไม่รู้ว่าเพราะอากาศที่เปลี่ยนหรือเพราะหัวใจของตัวเองที่ยังคงมีคำถาม พันธะที่ว่าคืออะไรแน่…คือสิ่งที่เธอสร้าง? หรือคือสิ่งที่ใครบางคนโยนทิ้งไว้ให้เธอรับช่วงต่อโดยไม่รู้ตัว? และหากว่าประตูนั้นมีจริง หากสิ่งที่รออยู่อีกฟากคือ 'ตนเองที่แท้จริง'


...เธอพร้อมจะเจอมันแล้วหรือยัง?


หลินหยาหยุดยืนใต้ต้นสนต้นหนึ่งที่แผ่เงาลึกยิ่งกว่าใคร ราวกับผืนดินใต้ต้นไม้นั้นกำลังดูดซับทุกความรู้สึกที่เธอมี นางหอบหายใจเบา ๆ มองไปข้างหน้าในใจเธอเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างเงียบงันบางสิ่งที่ไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือปีศาจ


แต่เป็น "ประตู" ที่อาจมิได้สร้างจากไม้หรือหิน

หากแต่เกิดขึ้นจาก "สัจจะ"


สัจจะที่เธอเคยเอ่ยไว้ใต้เถาวัลย์ม่วงในยามที่โลกยังมีเสียงหัวเราะและเสียงของเขา...ท่านชายห่าวหมิง นางจึงก้าวเท้าต่อไปฝ่าความว่างเปล่าที่มิได้ว่างเปล่า ฝ่าความเงียบที่มิได้เงียบและฝ่าภูมิทัศน์อันไร้ชีวิต...เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ตัวตน ...แม้ว่าจะไม่มีใครบอกว่านางจะยังกลับออกมาได้ในแบบเดิมหรือไม่ก็ตาม




[ปักตะไคร้]




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล:

ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): เมือกปลา 2 ชิ้น (เลขคู่) หรือ กระเพาะปลา 2 (เลขคี่) 

(เลขไบต์รองสุดท้ายประเภทไอเท็มดรอป) = เมือกปลา 2 ชิ้น 1 ตัว = 2 ชิ้น


และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 6 = เกลือจ้า

(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)


สรุปรางวัลที่ได้ : เมือกปลา 2 ชิ้น


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 95126 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-12 16:54
โพสต์ 95,126 ไบต์และได้รับ +7 EXP +25 ความชั่ว +15 ความโหด จาก ง้าวปีศาจปลา  โพสต์ 2025-7-12 16:54
โพสต์ 95,126 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-12 16:54
โพสต์ 95,126 ไบต์และได้รับ +30 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-12 16:54
โพสต์ 95,126 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-12 16:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-13 17:56:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ยและป่าโดยรอบเมืองอู่เว่ย


แสงแดดยามสายของเมืองอู่เว่ยทาบทับลงบนพื้นหินกรวดและกำแพงเมืองสูงใหญ่ สะท้อนเงาสีทองอมหม่นให้ทอดยาวไปจนสุดเส้นทาง เงาเหล่านั้นขยับไหวเมื่อสายลมแห้งแล้งจากทิศเหนือพัดผ่าน เสียงกระทบของผ้าแพรบางผืนที่ปลิวอยู่ตามธงเก่าของตึกแถวยังคงมีอยู่ แต่มิใช่ด้วยมือมนุษย์ที่โบกสะบัด หากด้วยแรงธรรมชาติที่ยังไม่ยอมปล่อยพื้นที่นี้ให้กลายเป็นเพียงภาพจำ หลินหยานั้นยืนอยู่หน้าทางเข้าสำคัญของเมืองอู่เว่ย ริมฝีปากของนางเอ่ยถ้อยคตำที่ไม่ใช่เพียงคำพยากรณ์หากแต่เป็นพันธะคำเตือนและปริศนาที่ผูกติดกับหัวของนางเองเอาไว้ให้ขึ้นใจตนเอง


“สายลมพัดผ่านศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง...ผู้เอ่ยถ้อยคำใต้ฤทธิ์สุราอาจได้พันธะซึ่งยากจะคลาย...หากไม่ต้องการเป็นภาระใครอีก จงแบกพันธะนี้ไปค้นหาความหมายของมันในสถานที่แห่งหนึ่ง...ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ...กลางป่ารกร้างซึ่งมีประตูเงาตั้งอยู่เงียบงัน...ผู้ทำสัญญาแห่งศาลาจะต้องเผชิญหน้ากับตนเองที่แท้จริง…”


เมื่อจบถ้อยคำสุดท้ายลงหลินหยาก็เงียบไปเลย นางปล่อยให้เสียงของเมืองที่ไร้ผู้คนนั้นกลืนคำนั้นไปกลายเป็นถ้อยคำของรอบกายของนางเอง และในขณะเดียวกันนั้นเองความรู้สึกหนึ่งก็เริ่มโผล่ขึ้นมาในใจของนางเมื่อตระหนักได้ว่าที่นี่เมืองอู่เว่ยนี้เองอาจจะใิใช่แค่จุดพักกลางทะเลทรายก็ได้ หากแต่เป็นป่ารกร้างในคราบเมืองที่ซ่อนบางสิ่งเอาไว้หรือเปล่า นางคิดเช่นนั้น…


สถาปัตยกรรมรอบกายมีลักษณะผสมผสานอย่างประหลาด เสาค้ำสีแดงเข้มลวดลายมังกรของสกุลฮั่นตั้งเรียงเป็นแนวทอดยาวรับกับหลังคาโค้งสีเขียวหยก แต่กลับมีหน้าต่างทรงสูงและช่องประตูแหลมแคบแบบเปอร์เซียซ่อนตัวอยู่ตามตึกแถวหลังหนึ่ง ราวกับมีรอยต่อของโลกตะวันออกกับตะวันตกมาบรรจบที่นี่แต่กลับกลืนหายไปกับกาลเวลา หญิงสาวเดินผ่านลานกว้างที่น่าจะเคยเป็นตลาดหลักของเมือง กลิ่นฝุ่นทรายปนกลิ่นสนแห้งยังคงอบอวล พื้นหินกรวดปูเรียงอย่างดีแต่เปื้อนทรายเหลืองที่พัดเข้ามาจากทะเลทรายรอบนอก เศษตะกร้าสานเก่า ๆ และหม้อดินเผาแตกร้าวยังตั้งอยู่ประปราย บางร้านมีผืนผ้าปิดประตูร้านหลวม ๆ ราวกับเจ้าของพึ่งจะหายตัวไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน


หลินหยาเดินช้า ๆ สายตากวาดไปรอบเมืองทุกซอกซอยเหมือนกำลังอ่านตำราเล่มหนึ่งที่ไม่มีตัวอักษรแต่ทุกเงา ทุกรอยร้าว และทุกฝุ่นละอองคือถ้อยคำที่กำลังส่งสัญญาณ "เมืองก็เป็นป่าได้เหมือนกัน" นางพึมพำดวงตานั้นปราดเปรียวเฉียบคมเหมือนพยัคฆ์สาวที่กำลังล่าเหยื่อ ไม่ใช่ด้วยอาวุธแต่ด้วยความเข้าใจ สิ่งที่เธอกำลังตามหา…อาจไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางป่าเขียวขจี ไม่ได้หลบซ่อนอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่หรือน้ำตก แต่กลับแฝงตัวอยู่ท่ามกลางซากความเจริญ เงาแห่งอารยธรรมที่ไร้ผู้คนและนั่นคือป่ารกร้างรูปแบบหนึ่ง


หลินหยาหยุดยืนหน้าศาลาโบราณหลังหนึ่งซึ่งถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์แห้งกรังที่พันรัดเสาไม้สีแดงอย่างเหนียวแน่น ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ริมกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงเหนืออย่างพอดิบพอดี บานประตูไม้อ้าค้างเพียงเล็กน้อย ลมพัดเบา ๆ จนเถาวัลย์ไหวกระเพื่อมเหมือนกำลังเชิญชวนให้เธอเข้าไป นางกลืนน้ำลายเบา ๆ ก่อนเดินเข้าไปในเงาแห่งศาลาแสงเงาภายในมืดทึบแต่กลับอบอุ่นแปลกประหลาดใต้ฝุ่นผงและความเก่าคร่ำ นางรู้สึกถึงบางสิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ มือเรียวเอื้อมไปแตะโต๊ะบูชาตรงกลางศาลา มีเพียงผงธูปเก่าและถ้วยน้ำชาแตกครึ่ง เสียงลมหวีดหวิวดังลอดผ่านช่องฝาไม้แผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบ…คล้ายเสียงของตนเองในยามเมาเหล้า คล้ายเสียงของเขาในความทรงจำ คล้ายคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ


หลินหยาหลับตาลงชั่วขณะเพราะไม่รู้ว่าที่นี่...อาจเป็นจุดเริ่มต้นของประตูเงาก็ได้ เงาที่ไม่มีรูปร่าง เงาที่ไม่สามารถเปิดด้วยกุญแจ หรือมือ แต่ต้องใช้ “หัวใจ” และ “พันธะ” เป็นตัวไข เงาที่จะพานางไปพบกับ “ตนเองที่แท้จริง” และกับสิ่งที่นางยังไม่ยอมรับว่าต้องเผชิญหน้า


ปลายสายตาท่ามกลางม่านแสงสลัวใต้ชายคาศาลาที่ถูกรกร้าง ความมืดของเงาไม้ทอดตัวเป็นแถบยาวบนพื้นดิน ห่อหุ้มความว่างเปล่ารอบกายแต่กลับกลายเป็นว่าผ่านพ้นเส้นเงานั้นไป ยังมีช่องทางเล็ก ๆ ที่แหวกแนวป่าออกจากตัวเมือง สายตาหลินหยาสะดุดเข้ากับกลุ่มเถาวัลย์ที่ดูเหมือนถูกแหวกผ่านด้วยแรงบางอย่างเป็นทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดลึกสู่แนวเนินต่ำ ๆ อันมีหมอกบางลอยคลอเคลียกับพื้นผืนดิน


หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง...มองไปยังปลายทางนั้น สีเขียวครึ้มที่เห็นเบื้องหน้านั้นแตกต่างไปจากต้นสนแห้งกรังและปอผอมโซในเขตป่ารกร้างเดิม ใบไม้ในดงนั้นอ่อนนุ่ม สีเขียวของพรรณไม้ป่าผสมผสานกันอย่างประหลาด ราวกับเป็นแนวผืนป่าผสมที่เกิดจากการปะทะกันของฤดูกาล ต้นไม้น้อยใหญ่แผ่สาขาปกคลุมราวกับกำลังเปิดแขนต้อนรับแขกผู้มาเยือน แต่ไม่มีเสียงของนก ไม่มีเสียงสัตว์มีเพียงเสียงปีกบางของฝูงผีเสื้อที่กำลังบินเคียงข้างเธอมากขึ้นทีละนิด


ฝูงผีเสื้อสีม่วงครามโบยบินรอบตัวนางอย่างเงียบงันราวกับวงเวียนแห่งโชคชะตา เส้นสายของปีกพวกมันวาบวับด้วยแสงเรื่อเรืองระยิบเหมือนสะเก็ดเวทมนตร์จากฝัน เงาของพวกมันเคลื่อนไปบนพื้นดินคล้ายลายลักษณ์อักษรโบราณที่ถูกเขียนด้วยแสงแดดยามเย็น หลินหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาหวานคมของนางสบกับทางเดินเบื้องหน้า ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วให้ตนเองได้ยิน


"หรือว่านั่น...ถึงจะเป็นทางที่ถูกต้องจริง ๆ?" มือขวาของนางเอื้อมแตะที่กระเป๋าเจ็ดสมบัติโดยไม่รู้ตัว สัมผัสถึงขวดน้ำที่เตรียมไว้ที่เก็บมาจากโอเอซิสก่อนหน้า และมีดสั้นเล่มหนึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เธอไม่รู้ว่าปลายทางจะพบเจออะไร ไม่รู้ว่า ‘ประตูเงา’ ที่แท้จริงจะเป็นเพียงวัตถุ หรือเป็นเหตุการณ์ในใจ นางกลัว...ใช่ กลัว


กลัวว่าเมื่อไปถึงจะต้องพบกับบางสิ่งที่ไม่สามารถย้อนกลับได้อีก


กลัวว่าจะต้องรับรู้ถึงบางอย่างที่ไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป


แต่กระนั้น...เท้าของเธอก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้า


พุ่มไม้ด้านข้างทางเริ่มหนาแน่นขึ้นสียงฝีเท้าของหลินหยากระทบกับใบไม้แห้งและโคนไม้กลวงที่ฝังลึกอยู่ใต้ผืนดิน บางครั้งก็มีเสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้เล็ก ๆ หักเป็นจังหวะขณะเดินผ่าน แต่เสียงทั้งหมดนั้นกลับยิ่งขับให้ความเงียบของสถานที่ชัดเจนขึ้นไปอีก ความเงียบชนิดที่แม้แต่เสียงหัวใจของนาง...นางยังรู้สึกได้ถึงจังหวะที่เต้นแรงอยู่ในอก


เพื่อตัวตนที่แท้จริงของข้า…


เพื่อตอบคำถามที่ไม่มีใครเคยให้คำตอบ


หญิงสาวเดินลึกเข้าสู่เส้นทางที่อาจจะโอบล้อมด้วยเงาไม้ เงาผีเสื้อ และเงาแห่งความทรงจำ นางไม่อาจหันหลังกลับ ไม่ใช่เพราะไม่มีทางกลับหากเพราะในหัวใจนั้นรู้ดี…ว่าแม้จะหันหลังกลับแต่สิ่งที่รออยู่ข้างหน้านั้นยังไงก็จะตามมาอยู่ดี


แม้ผืนทรายใต้ฝ่าเท้าจะยังอุ่นร้อนจากแดดบ่ายคล้อย แต่สัมผัสที่หลินหยารับรู้ได้กลับหนาวเยือกเยี่ยงสายลมที่พัดจากหุบเขาแห่งความตาย เสียงลมหอบหนึ่งพัดผ่านก่อให้เกิดเสียงครวญเบา ๆ คล้ายเสียงกระดูกเสียดสีกันกลางผืนโลก เมื่อหญิงสาวหยุดยืนกลางตีนเขาฉีเหลียน นางจึงพบว่าเบื้องหน้า...ไม่ได้มีเพียงความเงียบงัน หากแต่คือ ‘สุสานปีศาจมังกรดำ’ ที่ไม่มีใครกล่าวถึง เหล่าซากกระดูกมังกรดำกระจัดกระจายเต็มผืนหินและทราย บ้างถูกหักกลางลำตัว บ้างกะโหลกถูกทุบกระจุยราวกับของเล่น บ้างมีรอยเผาไหม้สีคล้ำที่ฝังลึกเกินกว่าจะเกิดจากเปลวไฟธรรมดา สิ่งที่หลินหยาเห็นไม่ใช่แค่ซากศพธรรมดาแต่เป็นหลักฐานของ ‘การสังหารหมู่’ ที่เกินจินตนาการ


แม้จะเป็นเพียงซากกระดูกที่ล้มระเนระนาดอยู่ทั่วทั้งตีนเขาฉีเหลียน หากแต่บรรยากาศกลับมิได้สงบหรือร้างไร้พลังงานใด ๆ มันเต็มไปด้วยแรงสะท้อนของการต่อสู้อันดุเดือด ชีวิตนับร้อยที่เคยกึกก้องคำรามกลางหุบเขากลับกลายเป็นเพียงร่างเงียบงันของอดีตกาลและทุกชิ้นส่วนของกระดูก…กลับสะท้อนให้เห็นถึงฝันร้ายอันเร้นลับ 


หลินหยาย่อตัวลงใกล้กะโหลกใบหนึ่งที่ใหญ่มหึมาราวกับเรือนขนาดเล็กกะโหลกของมันมีลักษณะคล้ายหมูป่าผสมกับมังกรจีน กรามหนาแน่นขนาดใหญ่แหลมเป็นเขี้ยว และเขายาวโค้งขึ้นฟ้า รอยแตกร้าวและรอยกระแทกลึกฝังอยู่ทั่วใบกะโหลก บางจุดยังคงมีเศษเกล็ดมังกรสีดำเข้มจับตัวแน่นกับกระดูกแม้จะไร้เนื้อหนังแล้ว แต่กลับยังไม่สลายไปตามกาลเวลา ราวกับมีอะไรบางอย่างตรึงมันไว้ กระดูกสันหลังทอดยาวหลายเมตรยังคงเรียงตัวเป็นแนว บางส่วนหักครึ่งและแยกกระจัดกระจายออกจากกันทว่าแต่ละซี่กลับมีรอยกัด รอยกระแทก รอยเผาไหม้ และรอยเลื่อยคล้ายถูก ‘ล่า’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


และเมื่อหลินหยามองภาพรวมทั้งหมดนางก็แทบไม่อยากจินตนาการเลยว่า เจ้าปีศาจที่เคยยืนอยู่ตรงจุดนี้ก่อนจะกลายเป็นกระดูก มันจะ ‘ทรงพลัง’ และ ‘เกรี้ยวกราด’ ขนาดไหน


หลินหยาแทบไม่ต้องคิดนางนั้นลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินทางต่อ ให้สนใจเหล่ากระดูกพวกนี้ก็คงไม่ได้เรื่อง ก่อนที่หญิงสาวจะพ่นลมหายใจแล้วเดินทางออกมาจากซากกระดูกเหล่านั้นแล้วเดินทางต่อไปตามถนนที่ทอดยาวแต่มันไม่ใช่ถนนเสียทีเดียวมันกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศของบางอย่าง ที่นางคิดว่าคงจะเป็นทิศที่ถูกต้องแน่นอน หลินหยาหยุดยืนอยู่ตรงปลายทางที่ไร้ถนนทอดต่อ ม่านหมอกบางสีม่วงจางเหมือนม่านแพรที่พริ้วไหวในสายลมยังคงโอบล้อมรอบกายเธอเอาไว้ ทว่าบัดนี้มันไม่อึดอัด ไม่เร้นลับหรือปั่นป่วนใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว หากแต่กลับคล้ายกลุ่มผีเสื้อที่แปลงร่างเป็นเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าซึ่งเปิดเผยออกมาอย่างเงียบงัน


ทันทีที่ฝ่าเส้นแบ่งของหมอกออกมา ราวกับได้หลุดพ้นจากห้วงความฝันหนึ่ง แล้วตกสู่ความฝันอีกชั้นที่ลึกซึ้งและงดงามเกินกว่าจะเป็นจริง ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างเล็กน้อยลมหายใจที่พ่นออกเบาราวเสียงเงา และแม้หัวใจจะยังเต้นอย่างระแวดระวังอยู่ในอก แต่บางอย่างภายในกลับสงบอย่างอธิบายไม่ได้


เบื้องหน้าคือทะเลสาบขนาดใหญ่ซึ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา คลื่นเล็ก ๆ เคลื่อนไปอย่างอ้อยอิ่ง เงียบสงบ ราวกับผืนน้ำนั้นไม่รับเสียงจากโลกภายนอกอีกต่อไป ผิวน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มลึกสะท้อนท้องฟ้าเหนือศีรษะที่เป็นม่านม่วงเจือชมพูเหมือนอ้อมกอดของราตรีที่ยังไม่หลับใหล กลางผืนนั้นคือภาพสะท้อนของดวงอาทิตย์สองดวงที่แขวนอยู่เหนือศีรษะอย่างนิ่งงัน หนึ่งดวงสีทองเรื่อเหมือนยิ้มแผ่วของใครบางคน อีกดวงอมม่วงส้มงามสง่าอย่างเยือกเย็น คล้ายแฝดผู้หลับใหลในห้วงนิทรา


ละอองหมอกสีม่วงบางเบาลอยอยู่เหนือผิวน้ำราวกับอาภรณ์ของเทพีแห่งทะเลสาบเต้นระบำต้อนรับการมาเยือนของผู้แบกพันธะ สีม่วงหลากเฉดค่อย ๆ สลับเปลี่ยนตามจังหวะลมหายใจของโลกบางครั้งเป็นม่วงอ่อนเฉกเช่นกลีบดอกไม้ที่กำลังผลิบาน บางคราเข้มลึกดั่งน้ำหมึกที่หยดลงสู่ผืนผ้าไหมขาว หมอกบางลูกหนึ่งเคลื่อนมาหยอกล้อปลายผมของหลินหยาจนเธอต้องยกมือขึ้นปัดเบา ๆ แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนหมอกหากแต่เหมือนฝ่ามือที่เย็นนุ่มของใครบางคนที่กำลังสัมผัสเธออย่างทะนุถนอม


ผีเสื้อสีม่วงครามยังคงบินวนรอบร่างเธอบางตัวเกาะบนไหล่บางตัวเล่นอยู่ปลายผม ราวกับเป็นเพื่อนร่วมทางที่รู้จักกันมานาน แม้ไม่เคยเอ่ยคำใดมันกลับส่งต่อความรู้สึกอุ่นใจแผ่วเบาอย่างน่าประหลาดและยามที่หญิงสาวก้าวลงบนผืนทรายริมน้ำ...ก็ได้เห็นเงาของตนเองทอดยาวลงไปบนพื้นดินและผืนน้ำเบื้องหน้า ทว่าสิ่งที่สะท้อนกลับขึ้นมาจากน้ำ กลับไม่ใช่ภาพของนางที่ยืนอยู่เพียงลำพัง


มันคือ...ภาพของ ‘ใครบางคน’ ที่นางเคยรัก เคยชัง เคยโกรธ เคยกลัวและ ‘เคยเป็น’...


เงาสะท้อนในผืนน้ำนั้นเริ่มเบลอเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นหลินหยาในยามที่อ่อนแอที่สุดวันที่โดนทรยศ วันที่ถูกรังแก วันที่ร้องไห้คนเดียวในมุมมืด แม้แสงอาทิตย์สองดวงจะสาดส่องลงมา แต่แววตาในภาพสะท้อนกลับเศร้าหมองราวกับหลงทางอยู่ในราตรีชั่วกัป หลินหยาเบือนหน้าหลบสายตานั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจยาวหลับตาลง 


"เอาสิต่อให้เป็นพวกเจ้าก็สังหารข้าไม่ได้..." เธอเอ่ยกับตนเองเบา ๆ ก่อนก้าวเข้าใกล้ผืนน้ำอีกนิด เหล่าผีเสื้อแยกตัวเป็นวง ราวกับเปิดทาง ราวกับกำลังรอคอยให้ ‘ประตูเงา’ ปรากฏ ณ ที่นี้…ใต้ฟ้าสองดวง ตรงหน้าทะเลสาบไร้เงาคำพูดใดขณะเงาสะท้อนยังสั่นไหวเบา ๆ ความลับบางอย่าง กำลังจะเปิดเผยในอีกไม่ช้า


ท่ามกลางม่านหมอกที่ไหวระริกและเสียงสายลมที่พัดกระซิบคำลับจากกาลก่อน หลินหยาหยุดฝีเท้าในชั่วขณะ ราวกับบางอย่างเรียกนางเบา ๆ จากชายฝั่งด้านหนึ่งของทะเลสาบ ดวงตาคู่งามที่กรองโลกผ่านม่านระวังตลอดเส้นทางหรี่ลงนิดหนึ่งแล้วเหลือบมองไปทางขอบสายตา...ตรงนั้นใต้เงารำไรของก้อนหินขรุขระใกล้รากไม้ใหญ่ที่เหมือนมือขยุ้มพื้นดินอยู่ต้นไม้ที่มีดอกไม้สายหนึ่งกำลังเบ่งบานอยู่อย่างเงียบงัน ไม่ใช่ดอกไม้ธรรมดาที่มักเห็นในหุบเขาฉีเหลียน...มันคือ “อวี้หลันฮวา” ดอกแมกโนเลียขาวบริสุทธิ์ในภาษาชาวฮั่น ดอกไม้ที่ว่ากันว่าเบ่งบานในสถานที่ซึ่งอดีตไม่อาจลืม และวิญญาณไม่ยอมปล่อยไป มันเป็นดอกไม้ของความทรงจำของคำมั่นที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยและคำอธิษฐานที่ฝังไว้ลึกในใจผู้แบกพันธะฃ


กลีบดอกนั้นงามนัก… สีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายแผ่วเบาใต้แสงอาทิตย์คู่ที่สาดลงมาอย่างละมุน มันมิได้บานตามฤดูกาล มิได้ตามแสงแดดหรือความชื้น หากแต่เบ่งบานตามแรงแห่งพันธะที่ยังไม่คลี่คลาย


หลินหยาขยับเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วยกมือเรียวยื่นออกไป ลูบเบา ๆ ตรงขอบกลีบที่เย็นนวลราวหิมะแรกตก ก่อนที่สายลมจะโหมหวิวบางเบานำพากลีบดอกบางหนึ่งลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ…ลอยขึ้นไป…ลอยเหนือศีรษะนาง แล้วหมุนตัวลอยหายไปทางเหนือ…เหนือทะเลสาบชิงไห่ที่น้ำนิ่งราวกระจกสะท้อนภาพสองฟ้า หญิงสาวเบิกตาน้อย ๆ ก่อนที่จะเหลือบมองกลีบที่ลอยหายไป แล้วหันกลับไปมองดอกไม้ต้นนั้นอีกครั้ง มันไม่ร่วงโรย หากแต่บานนิ่งเช่นเดิม เสมือนเพียงส่งสัญญาณไม่ได้บอกลา “เหนือทะเลสาบ...” นางพึมพำเสียงเบาแล้วเหม่อมองปลายเส้นขอบฟ้าทางเหนือนั้น ซึ่งดูจะมีเพียงม่านหมอกทับซ้อน และขอบฟ้าที่จางรางเหมือนไม่มีอะไร หากสายตาเพ่งพินิจนานพอ... จะเห็นเหมือนเงาลาง ๆ ของบางสิ่งสูงตระหง่านอยู่บนอีกฟากฝั่งเป็นเงาเงียบงันของสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีในแผนที่ เป็นภาพเงาที่จะมองไม่เห็นเลยหากไร้การชี้นำจาก ‘กลีบดอกไม้นั้น’


หลินหยาหลุบตาลงสูดลมหายใจลึก นางรู้แล้วว่าพันธะที่นางแบกนั้นจะไม่หยุดอยู่ที่ริมน้ำหากต้องข้ามมันไป ไปสู่ฟากฝั่งของความจริงฟากฝั่งที่ ‘ตนเองที่แท้จริง’ อาจกำลังรออยู่ในม่านเงาของอดีตที่ไม่ถูกกล่าวถึง


“ขอบใจนะ” นางเอ่ยเบา ๆ กับดอกไม้ตรงหน้าราวกับมันฟังเข้าใจ แล้วเดินไปในความเงียบ ผีเสื้อสีม่วงยังคงวนรอบร่างเธอ พร่างพราวเหมือนคำปลอบโยนไม่มีเสียงก่อนที่ร่างของหลินหยาจะมุ่งหน้าตรงไปยังทิศเหนือของทะเลสาบชิงไห่ แหวกม่านหมอกลัดเลาะความสงัดอย่างเงียบงัน…เพื่อพบประตูที่อาจไม่ได้อยู่หลังหินหรืออยู่ในถ้ำ


“พวกเจ้าคิดว่าประตูเงาในป่ารกร้างจะเป็นแบบไหนกันนะ?” เสียงของหญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆ 


พลางยกปลายนิ้วลูบผิวหยาบกร้านของเปลือกสนที่ยืนต้นท่ามกลางพื้นที่รกร้าง ไร้ร่มเงาอย่างป่าทางใต้ของผานอวี้กลิ่นอำพันยางและใบไม้แห้งแตะปลายจมูกปนกับกลิ่นของหมอกสีม่วงที่ยังคงล่องลอยในบรรยากาศจาง ๆ ผีเสื้อสีม่วงครามที่วนรอบกายเธอไม่ได้ตอบ หากแต่วงโคจรของมันช้าลงราวกับรับฟัง


เสียงเท้าของหลินหยาเหยียบย่ำไปบนพรมแห่งใบไม้ที่ร่วงหล่นมาตั้งแต่เมื่อคราใดไม่ทราบได้ ผืนดินนั้นหนานุ่มแต่ก็แฝงกลิ่นของการเน่าเปื่อยเบาบาง เหมือนกับมันซ่อนซากของอดีตที่รอเวลาถูกขุดค้นกลับคืน หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง “จะเป็นบานประตูไม้ที่ฝังอยู่กลางป่า...หรือซ่อนในโพรงไม้เก่าแก่ หรือบางที...อาจไม่มีรูปร่างเลย...” ดวงตาคู่งามที่เปี่ยมด้วยความเฉลียวฉลาดเหลือบขึ้นมองไปยังช่องว่างระหว่างยอดไม้ที่แดดสองดวงยังคงสาดแสงลอดผ่านใบสนอย่างเฉื่อยชา ชวนให้รู้สึกว่าเวลาในผืนป่าแห่งนี้เดินช้ากว่าโลกจริง


“ประตูเงา...เจ้าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบจิตใจใช่หรือไม่ หรือเจ้าเป็นทางผ่านสู่อะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้ว่าตนเองต้องการ?”


ฝ่ามือบางยกขึ้นสัมผัสอากาศเบื้องหน้า ราวกับจะทดสอบว่ามีม่านล่องหนบางอย่างสั่นไหวในห้วงลม ผีเสื้อสีม่วงบางตัวเกาะนิ้วของเธอชั่วครู่ก่อนจะสะบัดปีกแล้วโบยบินนำหน้าไปอย่างมั่นคง “...งั้นก็จงพาข้าไป” หลินหยาเอ่ยอย่างแผ่วเบา นางก้าวเดินต่อไปโดยไร้ความลังเล แม้เส้นทางเบื้องหน้าจะไร้เครื่องหมาย ไร้คำตอบ ไร้แม้กระทั่งเสียงนกหรือเสียงสัตว์ ป่ารกร้างนี้เงียบจนรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถอนหายใจแผ่ว ๆ อยู่ทุกฝีก้าว นางเดินผ่านต้นไม้ที่ลำต้นบิดเบี้ยวคล้ายร่างคนกำลังร้องไห้ บ้างเหมือนยื่นแขนมาขอความช่วยเหลือ บ้างร่วงโรยลงบนดินที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีอาจเผลอคิดว่าเป็นผมของหญิงสาวที่ถูกฝังไว้


แต่หลินหยามิได้กลัว


นางเพียงขมวดคิ้วและย่ำเท้าต่อไป ผีเสื้อหลายสิบตัวเริ่มลอยเรียงแถวเป็นทางยาวราวกับริ้วแสงวับวาว นำทางเธอไปสู่บางสิ่งข้างหน้า…สิ่งที่อาจเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของพันธะทั้งหมดนี้ “หากประตูเงา...อยู่หลังเงาของข้าเอง…ข้าก็พร้อมแล้ว” เสียงของหลินหยาเอ่ยด้วยความแน่วแน่แต่เปี่ยมด้วยความสงสัยลึก ๆ ที่ไม่อาจปฏิเสธ มันคือการเดินทางที่ไม่มีใครนำหน้าไม่มีใครตามหลัง และไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าจุดหมายจะเปิดเผย ‘ความจริง’ หรือ ‘ความลวง’ กันแน่


แต่สำหรับหญิงสาวผู้แบกพันธะมาไกลถึงเพียงนี้...คำตอบเดียวที่มีคือต้องก้าวเดินต่อไป


และแล้ว…


หลินหยาเบิกตาเล็กน้อยนางยืนนิ่งราวกับเวลารอบตัวหยุดหมุน ภาพเบื้องหน้าไม่ใช่ศาลาจริง...ทว่าทุกสิ่งที่นางเห็น กลับชัดเจนจนชวนให้รู้สึกหนาวเยือกในอกราวกับบางสิ่งในอดีตที่นางพยายามทิ้งไว้เบื้องหลัง กำลังทอดมือออกมาจากม่านหมอก ศาลาแห่งนั้น..ศาลาจื่อเถิงฮวาหรือ? หรือนั้นคือภาพลวงตาของม่านหมอกที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมอกขาวแซมม่วงที่หมุนวนอย่างช้า ๆ ล้อมรอบเป็นกำแพงโปร่งแสง ไม่ว่าหลินหยาจะกระพริบตากี่ครั้งหรือหันมองในมุมใดทุกเส้นสายของโครงสร้างนั้นกลับยังคงอยู่อย่างมั่นคง เยือกเย็นและชวนขนลุกไม่น้อยเลยทีเดียว


เถาวัลย์ของต้นจื่อเถิงฮวาเบ่งบานเลื้อยสอดไปมาในม่านหมอกอย่างมีชีวิตแต่ไม่รู้ว่ามันโผล่มาจากไหน ดอกไม้สีม่วงนวลละมุนพร่างพราวเต็มช่อของมัน ร่วงหล่นเบา ๆ สู่พื้นดินด้านล้าง กลีบของแต่ละกลีบร่วงลงช้าลงกว่าในเวลาเป็นจริงเสียอีกเหมือนกับว่ามันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อื่นที่มนุษย์มิอาจแตะต้องได้เลย…


“ไม่ใช่ของจริงแน่ ๆ เลย” หญิงสาวพึมพำ ดวงตาหวานขุ่นลงเล็กน้อยขณะที่ยกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วของเธอสั่นระริกขณะที่วาดอากาศตรงหน้าเพื่อสัมผัสสิ่งที่อาจไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้ แต่ปลายนิ้วนั้นกลับแตะเข้ากับบางอย่างที่หนาวเหน็บและอ่อนนุ่มราวกับละออกหมอกทว่าไม่ผ่านทะลุไป..ประตูหมอกขวางอยู่ตรง..


เจอสักที ประตูเงา


“นี่คือ…ประตูเงาสินะ?” เสียงของหลินหยาดังแผ่วในลำคอ เธอรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่บีบรัดในอกของตนเอง ความรู้สึกอึดอัดแบบเดียวกับครั้งสุดท้ายที่นางอยู่ใต้ศาลาจริง ๆ กับเสียงลมหายใจของใครบางคนที่พร่าเลือนในห้วงความทรงจำทั้งเกลียดชัง ทั้งวาบหวาม ทั้งเลือกเย็นจนเลือดในกายที่เป็นพิษไหลวนเวียนกัดกินร่างกายและจิตใจของนางนั้นหยุดไหลได้อย่างง่ายดาย 


นางไม่เห็นสิ่งใดภายในประตูนั้น ไม่มีแสง ไม่มีเงา ไม่มีเสียง มีเพียงความเงียบ….และมันก็เงียบเกินไป เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นตึกตักอย่างไม่เป็นจังหวะเอาความจริงนางอยากถอยหนีมันออกไป…แต่ฝ่าเท้ากลับยึดติดกับพื้นเหมือนร่างกายจะรู้ว่าทางรอดออกจากที่นี่มีเพียงทางเดียว


"เจ้าจะให้ข้า...เปิดประตูนี้จริง ๆ หรือ?" นางถามกับหมอกที่ไม่มีคำตอบ ผีเสื้อสีม่วงครามตัวหนึ่งโบยบินผ่านไหล่ขวาของเธอ แล้วพุ่งเข้าไปในประตูนั้นหายวับไปโดยไม่เหลือเงาหลินหยาเงียบไปครู่หนึ่ง


“บ้าบอที่สุด…” เสียงนั้นแผ่วเบา แต่นิ่งแน่ว นางค่อย ๆ วางมือลงบนม่านหมอกที่คล้ายกำแพงแห่งความฝัน ปลายนิ้วเริ่มจมลึกลงในละอองม่วงที่หนาวเย็นราวกับคืนหนาวแรกในหลิงหนานก่อนหิมะตก หลินหยาหลับตาลงเงียบ ๆ ขณะเสียงลมหายใจของตนเองสะท้อนอยู่ในโพรงอกที่สั่นไหว ความเย็นเฉียบของหมอกเบื้องหน้าไม่อาจกลบอุณหภูมิร้อนเร่าจากขั้วหัวใจที่เต้นแรงขึ้นทุกวินาที แม้ดวงตาจะปิดลงแต่ภายในหัวกลับพร่างพรายไปด้วยภาพสะเปะสะปะแววตาคนที่นางไม่อาจลืม คำพูดที่ฝังลึกจนกลายเป็นบาดแผล และเงาของตัวนางเองในวันที่อ่อนแอที่สุด

 

"ตนเองที่แท้จริง..." นางกระซิบกับความเงียบก่อนจะหัวเราะแผ่วราวกับหัวเราะให้กับความบ้าบิ่นของตนเอง


พันธะที่แบกมาตลอดทางไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามันคือพันธะที่ฝังลึกในหัวใจเป็นสิ่งที่ยึกเหนี่ยวและโซ่ตรวนที่บีบรัดไม่ให้ก้าวออกไปไหน ความหวังที่อยากหลุดพ้นกับความกลัวว่าจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยหลังจากนั้น สองสิ่งนี้ต่อสู้กันเงียบ ๆ ภายในจิตใจของตัวหลินหยาเองที่คล้ายมีแต่รอยปริร้าวซ้อนทับกันอยู่ หลินหยาเปิดเปลือกตาอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยนั้นสงบและเยือกเย็น แต่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดลึกลับของผู้หญิงที่เลือกเผชิญหน้ากับสิ่งที่แม้แต่ตนเองยังไม่กล้ารับรู้เลยด้วยซ้ำ 


หมอกเบื้องหน้าขยับเบา ๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตที่เตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษบางอย่างที่อยู่ข้างในนั้นเคลื่อนไหวเล็กน้อย หรือไม่ก็คงเป็นเพียงเงาสะท้อนของจิตใต้สำนึกในห้วงมโนภาพอันคลุมเครือของนางเอง หลินหยาก้าวเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้าราวกับโลกทั้งใบเงียบงันในชั่วพริบตานั้นไม่มีเสียงของสายลมไม่มีแม้แต่เสียงของหมู่ผีเสื้อในจิตใจของเธอตอนนี้ ทุกสิ่งสงบนิ่งราวกับจักรวานกลั้นลมหายใจรอรับผลลัพธ์เมื่อฝ่าเท้าสัมผัสกับหมอกก็ไม่รู้ว่าเป็นก้าวที่หนึ่งหรือก้าวสุดท้ายในฐานะหลินหยา และเมื่อก้าวเข้าไป…


นางอาจจะได้พบกับตนเองที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน


นางอาจจะได้พบว่า ‘พันธะ’ นั้นไม่เคยเป็นเพียงคำสัญญาในฤทธิ์สุรา แต่มันคือสิ่งที่ผูกมันชีวิต จิตวิญญาณและความจริงอันเปลือยเปล้าที่ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อมันออกมาแม้แต่ครั้งเดียวเลยก็ได้





@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: สู้เขาหลินหยา ก็แค่ประตูเงาอย่าไปหยองมัน

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

ก่อนจะหาทางเปิดประตูเงา คุณหันไปเห็นจางกงกงแวบหนึ่งและเห็นอีกทีเขาเดินไปทางกองซากศพมังกรดำ  โพสต์ 2025-7-13 18:01
โพสต์ 90190 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-13 17:56
โพสต์ 90,190 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-13 17:56
โพสต์ 90,190 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-13 17:56
โพสต์ 90,190 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-13 17:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-13 18:45:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ย หน้าประตูแห่งเงาและพันธะ


สายลมที่พัดผ่านยอดไม้ในป่ารกร้างแผ่วเบาแค่เพียงน้อยนิด แต่ในวินาทีนั้นกลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหลินหยา ราวกับเสียงเตือนที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมา เธอกำลังยกมือไปแตะม่านหมอกที่คล้ายจะเปิดรับราวกับประตู แต่ในจังหวะนั้นเอง... กลิ่นบางอย่างก็กระทบปลายจมูกไม่ใช่กลิ่นของไม้เน่าเปื่อย หรือกลิ่นของหมอกชื้น ๆ ที่เธอเดินฝ่ามาตลอดหลายชั่วยาม หากแต่เป็นกลิ่นของโลหิตเจือกลิ่นกำยาน... กลิ่นที่แหลมคมจนแทงทะลุความทรงจำของเธอ มือของหลินหยาชะงักกลางอากาศ หัวใจของนางเต้นแรงอย่างไร้คำอธิบาย ความรู้สึกแปลกประหลาดไหลวนอยู่ในอกก่อนที่ลำคอจะเริ่มแห้งผาก 


ม่านหมอกสีม่วงเข้มโอบล้อมรอบตัวหลินหยาจนแทบไม่อาจบอกทิศเหนือใต้ บรรยากาศเงียบงันจนน่าขนลุก ราวกับเสียงทั้งหมดในโลกนี้ถูกดูดกลืนหายไปเหลือเพียงลมหายใจของนางเองที่ดังสะท้อนอยู่ในอกและเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบแตกสลาย นางยืนอยู่ต่อหน้าประตูซึ่งไม่อาจเรียกว่าประตูอย่างแท้จริง มันเป็นเพียงม่านหมอกและเถาวัลย์ของจื่อเถิงฮวาที่พันเกี่ยวกันราวกับสิ่งมีชีวิตเส้นสายม่วงไหวเอนคล้ายกำลังเต้นระบำเบา ๆ รอการก้าวข้าม... แต่ก่อนที่จะทำ ดวงตาคู่งามสั่นไหวขณะค่อย ๆ หันหลังกลับไป…


บางสิ่ง...กำลังมองอยู่


ใครบางคน..


หลินหยาชะงักเธอไม่แน่ใจในตอนแรกว่ามันคืออาการหลอนไปเองหรือเปล่า ทว่าเมื่อค่อย ๆ หันกลับไปนางก็เห็นเขา ร่างสูงในชุดดำสนิทท่ามกลางม่านหมอกที่ก่อตัวอย่างเงียบเชียบ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้านหลังเธอไม่ห่างออกไปนัก ราวกับปรากฏกายขึ้นโดยไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีการเตือน ไม่มีแม้แต่ลมหายใจ


จางกงกง


ผู้ที่เคยกดนางลงจนต่ำเตี้ยกว่าฝุ่นธุลีในจิตใจที่บอบช้ำราวกับกระดาษที่โดนฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ไม่มีทางต่อติดอย่างมีชิ้นดีผู้ที่อยู่ใต้ร่างของนางมองนางในขณะที่อ้อนวอนขอชีวิต...ไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่เพื่อให้เขาฆ่าเธอเสียให้พ้นทุกข์ทรมารทั้งปวง..ที่เขาก่อขึ้นกับนางราวกับเจ้าชีวิต เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง... และในคราวนี้ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ปกปิดอะไรเลยสายตาเขามืดมนแต่กลับทอแสงแหลมคมราวกับมีดโกนที่ไร้ความปรานี เขาจ้องมองนางนิ่งงันไม่มีคำพูดไม่มีเสียง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดนอกจากเพียงแววตานั้นที่จ้องทะลุเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดของเธอ


ส่วนที่เธอเองยังไม่กล้าแตะต้อง


หลินหยารู้สึกได้ถึงบางอย่างในอกที่เหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น ลมหายใจเธอเริ่มติดขัดทั้งที่ไม่มีรอยแผลแต่หัวใจกลับเจ็บปวดราวกับถูกเฉือนอย่างช้า ๆ เธอเผลอถอยเท้าหนึ่งก้าวเพียงแค่หนึ่งก้าวเล็ก ๆ แต่กลับสะท้อนเสียงดังก้องในหัวใจนางเอง ความทรงจำนั้นผุดขึ้นมาอย่างไร้การควบคุมจดหมายเมื่อยามอยู่กันสองคน เสียงหวีดร้องในความเงียบ สัมผัสมือเย็นที่ลูบแก้มและเกลี่ยน้ำตา แววตาคนนั้นที่ยืนมองโดยไม่เคยยื่นมือช่วยแม้เพียงครึ่งฝ่ามือน้ำตาที่นางไม่อาจหลั่งเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีค่า


และตอนนี้เขากลับยืนอยู่ตรงนี้... ในดินแดนต้องห้ามที่เธอไม่คิดว่าจะพบใคร ไม่มีคำอธิบายไม่มีเหตุผล ไม่มีแม้แต่ความตื่นตระหนกบนใบหน้าเขาราวกับทุกอย่างคือ...ความตั้งใจ จางกงกงจ้องนางอย่างนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่งเขาหันหลังกลับอย่างช้า ๆ ราวกับไม่เหลืออะไรให้พูดอีกแล้ว ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำอำลา ไม่มีแม้แต่คำเย้ยหยัน มีเพียงแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ กลืนหายไปกับม่านหมอกเหมือนเงาในฝันร้ายที่หวนกลับมาเยือนอีกครั้งไม่ใช่เพื่อทำร้ายหากแต่เพื่อย้ำเตือน


ว่านางไม่เคยหนีพ้นจากเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว


หลินหยายืนนิ่งน้ำตาไม่ไหลแต่หัวใจเธอกำลังแหลกละเอียด ดวงตาของเธอเบิกโพลงจ้องไปยังทางที่เขาจากไปขณะที่ลมหายใจติดขัดอยู่ในอก...ไม่ใช่ความกลัวมันคือความเจ็บปวดจากการที่ได้เห็นว่าแม้กาลเวลาจะผ่านไปเท่าไร บุรุษผู้นั้นก็ยังคงเป็น ผู้คุมโทษ ของนางอยู่เสมอ


ไม่ว่าเธอจะเดินไกลแค่ไหน


ไม่ว่าเธอจะก้าวไปสู่ประตูเงาในป่ารกร้าง


หรือแม้แต่จะพยายาม ‘ปล่อยวาง’ สักเพียงใด เขายังคงอยู่ในเงาของจิตใจเธอ...และไม่มีสิ่งใดสามารถลบบุรุษผู้นี้ออกไปได้เลย


ฝ่าเท้าของหลินหยาอ่อนแรงในวูบนั้นทันทีที่ร่างของจางกงกงจมหายไปในม่านหมอกไม่มีคำใดหลุดออกจากปากเขา ทว่าสายตานั้นกลับคมกริบราวใบมีดที่กรีดลึกเข้าไปในเนื้อในใจ ความเงียบหลังจากนั้นกลับยิ่งเจ็บเสียยิ่งกว่าถ้อยคำดูแคลนใด ๆ ที่เขาเคยเอ่ย น้ำเสียงนั้นอาจเงียบงันแต่มันกลบเสียงหัวใจของเธอจนเงียบกริบ


ลมหายใจหนึ่งถูกกลั้นไว้อย่างเจ็บปวดขณะดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลงราวกับเธอเพิ่งตื่นขึ้นจากฝันร้ายอันยาวนาน ทั้งที่ดวงตาคู่นั้นเคยปิดลงด้วยความแน่วแน่เพื่อตัดสินใจจะข้ามประตูเงา แต่เพียงแค่ได้เห็นเขาอีกครั้ง... แผ่นหลังที่เธอเกลียดนักหนาแต่กลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ดวงตาที่ทอดมองเธอราวกับเขาเป็นผู้กุมชะตากำลังมองนางซ้ำให้เธอจำว่าไม่มีวันลืมเขาได้ เลือดสีแดงสดไหลรินจากโพรงจมูกของเธอทันทีที่แรงกดดันในอกไหลทะลักขึ้นมาราวกับระเบิดจากภายใน มันไม่ใช่เพียงพิษร้ายจากความเครียดหากแต่เป็นเงื่อนไขลึกล้ำในใจนางที่เพิ่งถูกเปิดโปง เธอทรุดตัวลงคุกเข่ามือหนึ่งยันพื้นไว้ขณะที่อีกข้างยกแขนเสื้อขึ้นปาดคราบเลือดที่ไหลริน


“ไม่…” เสียงหลินหยาสั่นน้อย ๆ หากแต่แน่วแน่ ดวงตาสั่นระริกของเธอยังคงมองไปยังทางที่เขาหายไปทั้งที่ไม่มีเงาอีกแล้วไม่มีฝีเท้าไม่มีแม้แต่กลิ่นอายของเขา ทว่าภาพนั้นยังคงแจ่มชัดยิ่งกว่าฝัน “ครานั้นข้าอ้อนวอนให้ท่านฆ่าข้าทิ้ง…” นางพึมพำน้ำเสียงขื่นขมปนสั่นเครือ “แล้วไฉน ...ไฉน โซ่ตรวนใจข้ายังมีชื่อของท่านอยู่…”


เธอกำหมัดแน่นเส้นเลือดปูดบนข้อมือบ่งบอกว่าร่างกายยังต่อสู้แม้จิตใจจะเหนื่อยอ่อนจนแทบไม่อาจต้าน “จางกงกง...ข้าขอร้องด้วยน้ำตา ขอให้ท่านปลดปล่อยข้า...แต่สิ่งที่ท่านให้กลับมาคือพันธะที่กัดกินข้าทุกค่ำคืนไม่จางหาย” ม่านหมอกยังคงเต้นระบำรอบตัวเธอเบา ๆ เหมือนซ้ำเติม ไม่ได้หนาวเหน็บ...แต่ก็ไม่ได้อบอุ่นมันคือความเงียบของผู้ที่ไม่อาจตัดสินใจ


หลินหยาค่อย ๆ ยืนขึ้นแม้หลังยังคงสั่นเทาแม้มือจะกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แต่ดวงตาของเธอแน่วแน่ขึ้นในวินาทีนั้น “ไม่เอาแล้ว...ต่อให้เป็นแค่ภาพหลอนหรือไม่ท่านก็จะไม่ทำให้ข้าไขว้เขวอีกต่อไป” เสียงนางแผ่วเบาหากแต่เฉียบขาดราวกระบี่ในยามฝนตก 


“ไม่ว่าท่านจะยืนอยู่ ณ ที่ใดในอดีตของข้า...ไม่ว่าข้าจะเคยอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างไร จากนี้ไปข้าจะ…” นางไม่ได้พูดต่อแต่กลับหันไปทางประตู นางเอื้อมมือไปแตะม่านหมอกเบื้องหน้า มันสั่นไหวเบา ๆ ราวกับรับรู้การสัมผัส ก่อนที่เธอจะผลักกายพาตนเองเดินเข้าสู่ประตูนั้น...ประตูแห่งเงาที่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะพาเธอไปเจอกับสิ่งใด


เงาของจางกงกงยังคงตามติดในใจเธอราวกับเสียงกระซิบที่ไม่มีใครได้ยินเว้นแต่เธอผู้เดียว เพราะแม้หัวใจจะยังไม่ลืม...แต่นางจะไม่ยอมให้มันฉุดดึงเธออีกต่อไป ไม่มีทางม่านหมอกสีม่วงตลอดหลายวันมานี่เจ้าแกล้งข้าเกินไปเจ้าจะแกล้งข้าไม่ได้อีกแล้ว...จากนี้ข้าจะไม่ตกเป็นเหยื่อของเจ้าม่านหมอกสีม่วง



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คุณพี่ก็มาทำให้นางไขว้เขวอ๊า 555 ภาพหลอนแน่นอนจังหวะนี้

รางวัล: -

แสดงความคิดเห็น

เสี่ยวหลินหยา เจ้ากลับมานี่ จางกงกงยืนเรียกอีกด้านของต้นไม้ ในขณะที่คุณกำลังเดินเข้าประตูไปได้ครึ่งทาง ใกล้จะถึงประตูเงาทมิฬบานใหญ่ตรงหน้า เสียงจางกงกยังคงเรียกให้คุณหันหลังกลับ  โพสต์ 2025-7-13 19:09
โพสต์ 35078 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-13 18:45
โพสต์ 35,078 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-13 18:45
โพสต์ 35,078 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-13 18:45
โพสต์ 35,078 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-13 18:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-13 20:52:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ย หน้าประตูแห่งเงาและพันธะ


แต่แล้วก็มีเสียงนั้นแผ่วเบาดังขึ้นมาไม่เหมือนคราแรก..


“เสี่ยวหยา…” เหมือนกับเสียงลมหายใจในความฝันที่เคยเฝ้าฝันทำร้ายนางซ้ำซากเรื่อยใส…เสียงเรียกที่เบาราวกับขนนกแต่หนักแน่นเสียยิ่งกว่าคำสาปพันธนาการทั้งปวง ร่างของหลินหยาซึ่งก้าวเข้าม่านหมอกประตูเงาได้เพียงครึ่งร่างหยุดชะงักลงทันที…ปลายเท้าของเธอยังยืนอยู่แผ่นดินของโลกของความจริงแต่ครึ่งร่างกลับกลืนหายไปในม่านประตูแห่งเงา กลิ่นอายด้านในไม่อาจอธิบายได้ว่ามันคือสิ่งใด ลึก มืด และเย็นยะเยือกจนราวกับจิตสำนึกของผู้ที่หลงทาง


แต่เสียงนั้น…กลับมาอีกครั้งและคราวนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น


“กลับมา”


น้ำเสียงของเขา…จางกงกง ไม่ใช่เสียงเรียกด้วยความห่วงใยไม่ใช่เสียงเรียกของผู้อันเป็นที่รัก ไม่ใช่เสียงเรียกของศัตรู แต่เป็นเสียงของพันธะของเงื่อนงำของจิตวิญญาณที่ยังไม่อาจตัดขาด “เสี่ยวหยา…เจ้าไม่ต้องไปต่อ” เสียงของเขาเล็ดลอดมาจากด้านหลังต้นไม้สูงใหญ่นั้น มืดมิดนักจนไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาทว่าคำพูดของเขากลับไกลมาเรื่อย ๆ เหมือนเกลียวคลื่นแห่งห้วงฝันร้าย


“ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ…เจ้ารู้ใช่หรือไม่?” เสียงนั้นไม่ดังแต่แทงทะลุผ่านม่านหมอกกระแทกเข้ากลางหัวใจของนางเองราวกับเขายืนอยู่ในความมืดที่เกาะกินสันหลังของนางไม่อาจปล่อยวาง “กลับมา เสียวหยา” เสียงนั้นแผ่วลงลึกขึ้น…ก่อนจะพลิกกลายเป็นเสียงกระซิบเย็นยะเยือก “หรือเจ้าอยากให้ข้าตามเจ้าเข้าไป?”


หลินหยากำหมัดแน่นดวงตาของเธอเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยิน…ในใจเธอแทบสะอื้นสองเท้าหนักอึ้งขึ้นอีกคราใจหนึ่งอยากหันหลังกลับ ไม่ใช่เพราะหวั่นกลัวต่อทางเบื้องหน้า...แต่เพราะใจยังสั่นไหวต่อเสียงนั้นของเขาผู้ที่เคยป้อนยาพิษแล้วลูบหลังเธอด้วยมืออันอบอุ่นเทียม


"เจ้าไม่มีวันหนีข้าได้...แม้แต่ในประตูนั้น" เสียงของเขาราวกับหัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ ทว่ากลับไม่ดังพอจะเรียกว่า ‘เสียงหัวเราะ’ มันเป็นเสียงที่คล้ายฝ่ามือเย็นเยียบลูบหลังเธอช้า ๆ “แม้เจ้าพยายามจะลืมข้าในวันทุกวัน…แต่ข้าจะยังอยู่ที่นี่รอเจ้ากลับมาเป็นของข้าอย่างเต็มใจ…”


“กลับมาเถิด” หลินหยาหลับตาแน่นหัวใจเธอกำลังถูกฉีกด้วยน้ำเสียงนี้ทุกถ้อยคำ นี่คือชายที่ในตำหนักวันนั้นที่เธออ้อนวอนเขาด้วยเสียงสะอื้นบอกให้เขาฆ่าเธอเสียเพื่อจบทุกอย่าง...แต่นี่เขากลับเรียกนางอย่างอ่อนโยนจนน่าขนลุกดุจสายลมต้องใบไม้ในยามวิปลาสแต่ทันใดนั้นเอง… "ข้าจะไม่กลับไป" เสียงของหลินหยากระซิบต่อลมเบาทว่ามั่นคงยิ่งกว่าครั้งไหน ดวงตาเธอเบิกขึ้นอีกครั้งแล้วก้าวเข้าไปเต็มร่างเสียงกระซิบของเขายังไหลตามหลังเรื่อย ๆ ราวกับเชือกที่รัดรอบข้อเท้าเธอไว้ไม่ยอมปล่อย


“หลินหยา...อย่าเข้าไป”


เสียงนั้นแผ่วเบา...แผ่วเบาเกินกว่าจะเป็นเพียงเสียงที่ล่องลอยมาในสายลม มันไม่ใช่เพียงแค่ถ้อยคำหากแต่เป็นเงา...เป็นกลิ่นอาย...เป็นอุณหภูมิของใครบางคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดมากพอจะฝังอยู่ในกระดูก เสียงนั้นกระซิบอีกครั้งใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นจนเหมือนลมหายใจของใครบางคนรินรดอยู่เหนือต้นคอ ทว่าหลินหยากลับไม่แม้แต่จะหันไปมองนางเพียงหลับตาแน่น มือเรียวสั่นเล็กน้อยราวกับกำลังขืนสติไว้สุดกำลัง หัวใจบีบรัดแน่นเหมือนใครจับมันกดลงในน้ำแข็ง ร่างกายของนางยืนนิ่งแต่วิญญาณกำลังโอนเอนไปมาในพายุ


เสียงนั้นพร่ำเรียก…เรียกนางให้กลับไป


ทุกถ้อยคำคือบ่วง คล้ายเถาวัลย์สีดำราวอสรพิษที่เลื้อยรัดรอบข้อเท้ากัดกินผิวเนื้อเจาะลึกเข้าไปถึงเส้นประสาทและตรงกลางอก เสียงนั้นอ่อนโยนเหลือเกิน...แต่เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวของใครบางคนที่ไม่เคยปล่อยเธอจากความทรงจำของเขาเลยแม้แต่ลมหายใจเดียว หลินหยากัดริมฝีปากล่างแน่นหูของนางเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างสะท้อนซ้ำ เสียงที่ไม่เพียงเรียกแต่มีบางสิ่งบางอย่างที่บิดเบี้ยวในจังหวะนั้น


“ข้า…”

“อยู่ตรงนี้”

“กลับมาเถิด…เสี่ยวหยา”


เมื่อคราวที่ไม่อาจมองหน้านั้นได้ทำให้หลินหยาตระหนักเสียงของเขาและ...เสียงของ อีกคน เสียงนั้นเหมือนกันทุกกระเบียด ท่วงทำนอง...แม้กระทั่งจังหวะหายใจ เสียงที่เรียกเธอว่า เสี่ยวหยา ราวกับมีคนสองคนพูดพร้อมกัน ทั้งที่ควรอยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้หรือบางที...อาจไม่เคยอยู่ห่างเลยด้วยซ้ำ


‘ท่านชายห่าวหมิง...’

‘จางกงกง...’


เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสองคนที่เหมือนกันได้ถึงเพียงนี้ ทว่า…เสียงนั้นไม่ได้โกหกความรู้สึกที่แทรกเข้ามาในเส้นเลือดเธอไม่เคยโกหก ว่ามันบ่งบอกว่าทั้งสองไม่ใช่คนละคนแต่กลับ…เป็นคนเดียวกัน นางลืมตาขึ้นน้ำตาคลอรื้นที่ดวงตาพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวดังขึ้นจนแทบกลบเสียงกระซิบเหล่านั้น "ไม่..." เสียงของเธอสั่น "อย่าทำให้ข้าไขว้เขวอีกเลย ข้าขอร้อง..."


แต่เสียงนั้นกลับกระซิบย้ำ "ข้า…อยู่กับเจ้าตลอดมา…เจ้าแค่ไม่มองข้า"


หลินหยาขยับริมฝีปากราวกับจะกรีดร้องแต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา ดวงตาของเธอสั่นไหวอีกครั้ง…นางไม่กล้าหันกลับไปนางรู้ดีว่าเมื่อหันกลับไปจะเห็นอะไร เขาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังม่านหมอก คนที่ใช้เสียงเดียวกันคนที่ฝังเธอไว้ในความทรงจำของเขาอย่างจงใจ คนที่หากความจริงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คงกำลังหัวเราะอย่างแผ่วเบาในเงามืด...ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบาย 


"ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร…เป็นตัวอะไร…ข้าจะไม่กลับไป" หลินหยาพึมพำน้ำเสียงปนสะอื้นแล้วเธอก็ก้าวลึกเข้าไปในประตูแห่งเงาหมายให้ร่างทั้งร่างถูกหมอกกลืนกิน หมอกหนาทึบเบื้องหน้าเย็นเยียบจนแทบจะแช่แข็งความคิดและสติทั้งหมดของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าหลินหยากลับยังยืนนิ่ง หอบหายใจเบา ๆ เหงื่อผุดขึ้นตามไรผมแม้รอบกายจะเย็นเฉียบอย่างไร้เหตุผล ดวงตาสั่นระริกของเธอเงยมองประตูที่เบื้องหน้าคือเงาหมอกที่ไหลวนไม่หยุด เหมือนมีบางสิ่งรอคอยอยู่ภายใน…บางสิ่งที่อาจเป็นความจริงหรือเป็นเพียงภาพหลอนที่หมอกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายใจเธอให้แหลก


“ข้าจะเข้าไป…”


เสียงของเธอเบาแต่หนักแน่นปลายนิ้วข้างหนึ่งกำแน่นจนสั่นมืออีกข้างกำชายเสื้อของตนแน่นราวกับจะยึดสติไว้กับผืนผ้า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นภาพลวงตา…จะเป็นเสียงหลอกหลอน หรือเป็นท่านจริง ๆ…” เธอสูดหายใจลึกดวงตาแดงเรื่อด้วยความกดดันจากทุกสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายใน ความเจ็บ ความกลัว ความว่างเปล่า และ...ความหวั่นไหวที่ไม่ควรจะหลงเหลืออีกต่อไปในใจของผู้หญิงที่เคยอ้อนวอนขอให้เขาฆ่าตนเสียยังจะดีกว่า “ข้าก็จะไปอยู่ดี!” เสียงนั้นหลุดพ้นจากริมฝีปากเหมือนเปลวเพลิงที่ระเบิดจากใจ


ร่างบางพุ่งออกไปทันทีไม่ลังเลไม่หันกลับ ไม่แม้แต่เหลือบมองภาพเบื้องหลังที่อาจจะเป็นเงาของเขา...หรือไม่ใช่เงาเลยก็ได้ ความมืดดูดกลืนตัวเธอเข้าไปในพริบตาทุกย่างก้าวที่พุ่งเข้าสู่ประตูนั้น หัวใจของนางเต้นรัวราวจะหลุดออกจากอก ลมหายใจถี่กระชั้นแต่ไม่มีสิ่งใดสามารถฉุดรั้งเธอไว้ได้อีก ไม่แม้แต่เสียงของเขาที่เรียกเธอครั้งแล้วครั้งเล่าไม่แม้แต่ความกลัวในหัวใจที่กำลังแตกสลาย


"ข้ารู้...เจ้าคงไม่ใช่เขาตัวจริง"


คำพูดสุดท้ายที่นางกระซิบให้กับตัวเองให้แสงสุดท้ายจากโลกเดิมจะถูกปิดตายลง และความมืดจากอีกฟากจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง…พานางไปยังที่ซึ่งตนเองที่แท้จริงกำลังรอคอยอย่างเงียบงันในเงาเงียบลึกของประตูเงาป่ารกร้างนั้นและพันธะที่นางอาจเป็นคนก่อหรือพันธะที่เราสองเป็นคนผูกร่วมกัน




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออ เขิน น้องมันฉลาดสักทีกว่าจะฉลาด

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

อีกฟากจางกงกงก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงเรียกหาหลินหยาให้นางเดินย้อนกลับมา  โพสต์ 2025-7-13 20:58
อีกฟากของประตูปรากฎหลิวอันยื่นมือ : ข้าจะปกป้องเจ้าเอง เด็กโง่ของข้า มานี่เร็ว .... ก่อนเขาขยับริมฝีปากเชื่องช้า คำที่ข้าควรจะพูดตั้งนานแล้ว ข้ารัก...เจ้านะ...  โพสต์ 2025-7-13 20:58
โพสต์ 39233 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-13 20:52
โพสต์ 39,233 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-13 20:52
โพสต์ 39,233 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-13 20:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-13 23:01:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-13 23:03

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ย หน้าประตูแห่งเงาและพันธะ


ลมในป่ารกร้างแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะท้อน…เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่ไม่เคยยอมปล่อยมือจากพันธะที่เขาเป็นผู้พันธนาการไว้กับมือของตนเองเขายังไม่ยอมแพ้ “เสี่ยวหยา” เสียงนั้นแผ่วเบาในตอนแรก แต่กลับเสียดแทงราวกับเงี่ยงมีดเสียงเย็นเฉียบที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงของผู้คุมหรือคนที่ถูกจองจำ...เป็นเสียงของจางกงกง เขายืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เงียบงันราวกับเงาสลักจากความมืด ไม่ไกลจากประตูเงาที่หลินหยาพุ่งเข้าไปแล้วเริ่มเข้าใกล้นางขึ้นเรื่อย ๆ  เสียงเรียกของเขาไม่ได้มาจากริมฝีปาก แต่มันกระแทกออกจากช่องว่างของจิตวิญญาณที่แตกร้าวและกำลังร้องขอในแบบของปีศาจที่ไม่มีใครฟังอีกต่อไป


"เจ้ากลับมาเถอะ..." เสียงนั้นกระซิบอยู่ที่ท้ายทอยของเธอแม้เธอจะไม่เหลียวกลับมา “เจ้าจะไปไหนกันนักหนา...ไปไกลจากข้าอีกครั้งหรือ?...เหมือนวันนั้นอีกหรือ...ตอนที่เจ้าขอให้ข้าฆ่าเจ้า” คำพูดไร้น้ำเสียงเอ่ยซ้ำซาก จางกงกงยืนนิ่งหน้าประตูแต่ไม่มีวินาทีใดเลยที่สายตาของเขาหลุดจากเงาร่างของหญิงสาวผู้พุ่งเข้าสู่เงาประตู "เจ้าจะหนีข้าไปได้จริง ๆ หรือเสี่ยวหยา...?" เสียงที่แผ่วแต่อัดแน่นราวกับกระซิบติดกับแก้วหูของเธอ ดังกังวานไปในโพรงใจ…เสียงของชายที่ครั้งหนึ่งเธอเคยอ้อนวอนขอความตายจากเขา แต่เขากลับปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่…มีชีวิตเพื่อเจ็บเพื่อย้ำว่าเจ้าของพันธะคือเขา


"เจ้าหนีได้งั้นหรือ?...ในเมื่อข้ายังอยู่ในทุกเศษเสี้ยวของความทรงจำเจ้า..."


จางกงกงยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นดวงตาไร้แววของเขาไม่สะท้อนแสงใด ๆ จากท้องฟ้าสีม่วงหรือหมอกที่หมุนวนรอบกาย ดวงตานั้นเหมือนเวิ้งเหวลึกที่สามารถกลืนทุกสติสัมปชัญญะของคนที่มองลงไปได้ดวงตาของปีศาจในคราบมนุษย์…ดวงตาที่เฝ้าติดตามเธอมาตลอด


ไม่มีคำว่ารัก ไม่มีคำว่าสงสาร มีเพียงความผูกพันที่บิดเบี้ยวพันธะที่เขาเป็นคนร้อยด้วยมือของตนร้อยด้วยความเหงา…ร้อยด้วยอดีตที่เขาเองยังไม่อาจเผชิญได้ “เจ้าคิดว่าประตูนั่นจะพาเจ้าไปจากข้าได้หรือ...ข้าจะอยู่ที่นั่นด้วย...ที่ปลายทาง...แม้แต่ภายในใจของเจ้าก็ไม่มีที่ว่างใดที่ไม่มีข้า” เขาก้าวช้า ๆ เข้าใกล้ประตูที่เริ่มปิดลงทีละน้อย หมอกลอยตีวนรอบปลายแขนเสื้อของเขาเหมือนกลัวว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะรุนแรงเกินไปจนทำลายมัน เสียงของเขาไม่ได้ตะโกน แต่ความเงียบรอบกายกลับดังพอจะทำให้ทุกถ้อยคำที่เขาพูดแทงทะลุทุกความกล้าหาญที่หลินหยาสะสมมาได้ในชั่วพริบตา


“กลับมาเถิด...แม้ในฝัน ข้าก็จะเรียกชื่อเจ้า...แม้ในฝัน เจ้าก็ยังเป็นของข้า”


แต่แล้วม่านหมอกเปิดลงเบื้องหลังแยกโลกออกเป็นสองฝั่งที่ไม่มีวันหวนคืน ในห้วงวินาทีที่ทุกอย่างไร้แสงและไร้เสียง…มีเพียงเสียงหัวใจของหลินหยาที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ มือของเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อพ้นผ่านประตูไป แต่เมื่อดวงตาที่พร่าเลือนจากหยาดน้ำตาคลอและพิษภายในค่อย ๆ เงยขึ้น สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับไม่ใช่ความมืดอ้างว้างที่นางคาดไว้...ห้วงลมหายใจชะงักเมื่อเงาร่างสูงใหญ่นิ่งสง่ากลางม่านหมอกสีม่วงเข้มเขาผู้นั้นอยู่ตรงหน้า…ในเสื้อคลุมผ้าชั้นดีสีเข้มที่พริ้วตามแรงลม มือข้างหนึ่งยื่นออกมาอย่างเงียบงันใบหน้าคมคายที่หลินหยารู้จักดีในความทรงจำ ดวงตาสีเข้มดั่งราตรีลึกซึ้งที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่เคยพูดออกมา


ท่านหลิวอัน หวยหนานหวางปรากฏตรงหน้าด้วยความนิ่งขรึม…แต่ดวงตาไม่เคยอ่อนโยนเท่านี้มาก่อน "ข้าจะปกป้องเจ้าเอง...เด็กโง่ของข้า..." ถ้อยคำเรียบเฉยของเขา ทว่ากลับอบอุ่นจนเหมือนทั้งจักรวาลกำลังยอมนิ่งเพื่อฟัง เขาเอ่ยมันเหมือนคำสัญญาที่ไม่จำเป็นต้องมีพยานใดนอกจากหมอกและหัวใจของหญิงสาวผู้โดดเดี่ยว หลินหยายืนนิ่ง...ร่างทั้งร่างไม่ไหวติงนางจ้องตาเขาราวกับไม่กล้าเชื่อสายตาตนเองเสียงของเขาไม่ดังนักทว่า...กึกก้องในหัวใจ


"มานี่...เร็วสิ" น้ำเสียงของเขาอ่อนลงคล้ายคนที่ทนรออีกไม่ได้แล้ว ริมฝีปากของอ๋องผู้เงียบขรึมขยับช้า ๆ อีกครั้ง…ถ้อยคำที่ไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อนแม้แต่ตอนที่ได้อยู่ใกล้กันเขากำลังคิดถึงคำที่สมควรจะเอ่ย…นานแล้ว...คำที่เธอเคยคิดว่าคงไม่มีวันได้ฟังจากปากของเขา


"ข้ามีคำ…คำที่ข้าควรพูดตั้งนานแล้ว..." เขาพูดเบา ราวกับพูดเพื่อตัวเอง...ริมฝีปากเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า…


"...ข้ารักเจ้า...นะ"


ดวงตาของหลินหยาพร่าเลือนในวินาทีนั้นหัวใจบีบรัดแน่น เจ็บจนแทบขาดลมหายใจ ความสับสน ความสั่นไหว ความโหยหาที่ซ่อนไว้มาตลอดระเบิดออกมาในคราเดียวเหมือนโดนฉีกจากภายในแต่นางยังยืนนิ่ง…ไม่อาจยื่นมือไปหาผู้ชายตรงหน้าได้เลย...เพราะในหัวของนาง มันมีเสียงอีกเสียงหนึ่ง...ดังขึ้นซ้อนทับราวกับเขาอยู่ในเงาเดียวกัน…


“เจ้าคิดว่าประตูนั่นจะพาเจ้าไปจากข้าได้หรือ...ข้าจะอยู่ที่นั่นด้วย...ที่ปลายทาง...แม้แต่ภายในใจของเจ้าก็ไม่มีที่ว่างใดที่ไม่มีข้า” เสียงของจางกงกง...ดังขึ้นเหมือนคำสาปเป็นคำเดิมดังก้องในหัวนางไม่หยุด ไม่ใช่เสียงตะโกนแต่เป็นเสียงกระซิบที่ฝังอยู่ในกระดูก ดวงตาของหลินหยาสั่นไหวจนไม่อาจห้ามได้อีก นางหายใจหอบหนักกุมอกแน่น


"เสี่ยวหยา..." เสียงของจางกงกงแผ่วเบา แต่แทรกซึมเข้าไปทุกหย่อมหญ้าในห้วงความคิดของหลินหยายังคงก้องกังวานอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เสียงตะโกน ไม่ใช่เสียงร้องไห้ แต่มันกลับดังทะลุทุกสิ่ง ราวกับคำสะกดใจที่สั่นคลอนสติให้หลุดจากความเป็นจริง...เสียงนั้นเรียกอีกครั้ง


"เสี่ยวหยา...เจ้ากลับมาหาข้าเถอะ"


เสียงที่เธอเคยเกลียด...เสียงที่ทำให้นางอ้อนวอนขอให้เขาฆ่านางเสียดีกว่าอยู่...เสียงของผู้ชายที่เคยตอกย้ำบาปในอดีตของเธอด้วยสายตาเฉยชาแต่เวลานี้มันกลับสะท้อนลึกในอกอย่างเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว ดวงตาของหลินหยาเบิกกว้างจ้องมองไปยังร่างของหลิวอันที่ยังคงยื่นมือให้...แสงสีทองจากดวงอาทิตย์จำแลงสองดวงทาบเงาร่างของเขาไว้ราวกับเทพในฝัน แต่ในขณะเดียวกัน...เสียงจากเงาหลังเสียงของจางกงกงกลับลากเธอกลับสู่ขุมนรกที่เคยผ่าน


เธอสั่นไปทั้งตัวเลือดในกายเหมือนแข็งตัวลมหายใจตื้นร่างกายหนักอึ้ง "ข้าจะ...ไม่ฟัง..." เธอกระซิบกับตัวเอง พยายามหลับตาบอกตัวเองซ้ำ ๆ ให้ลืมเสียงนั้น ให้หันหน้าไปหามืออบอุ่นของหลิวอัน แต่เสียงของจางกงกงกลับกระซิบถี่ขึ้น เร็วขึ้น ดังขึ้น...เหมือนคนบ้า


"หลินหยา...เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้าคือใคร...ข้าอยู่ในใจเจ้า...ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด...เจ้าจะไม่มีวันหนีข้าได้…กลับมา...กลับมาหาข้า!" เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในศีรษะของหลินหยาจนแทบจะบีบขมับตัวเอง ดวงตาของเธอพร่าเลือนจากน้ำตาและพิษในกาย มือที่เธอเหยียดออกสั่นระริก ไม่กล้าจับมือใครอีกแล้วไม่รู้แล้วว่ามือที่ยื่นมาตรงหน้านั้น…คือของผู้ใดแน่


"ไม่...ข้า...ข้าไม่ไหว..." ร่างของหลินหยาทรุดลงช้า ๆ หัวเข่ากระแทกพื้น กลีบดอกไม้ของโลกสีม่วงครามเบื้องหน้าโปรยปรายเหมือนหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของเธอเบิกโพลงมองโลกตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย เธอกำลังจะสติแตก "พวกเจ้าเป็นใครกันแน่...!" เธอกรีดร้องใส่เงาของจางกงกงและหลิวอัน แม้เธอจะไม่หันกลับไป แต่น้ำเสียงที่พร่ำเรียกชื่อเธอนั้นกลับยังดังก้องอยู่ข้างหูทั้งเสียงของเขา…และเสียงของหลิวอัน


“ช่วยข้าที...ใครก็ได้…ห้ามให้ข้าสูญเสียตัวเองไปมากกว่านี้..."


หลินหยาพูดราวกับคนแตกสลาย สองมือสั่นเทิ้ม จับอกตนเองแน่น พยายามควานหาความจริงในหัวใจที่บอบช้ำ...แต่มันไม่มีคำตอบไม่มีสิ่งใดแน่ชัด นอกจากความว่างเปล่าที่ถูกเสียงของชายทั้งสองรุมกระหน่ำอย่างไม่หยุด และในช่วงเวลาที่โลกทั้งใบกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงของจางกงกง…เบาลงแผ่วลง...แต่ไม่หายไปมันกลายเป็นเสียงกระซิบใกล้หูราวกับเขากำลังอยู่ด้านหลังเธอ


"ข้าจะอยู่กับเจ้าทุกลมหายใจไม่ว่าจะตายไปกี่ภพชาติเจ้าคือของข้า เสี่ยวหยา...ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้หรอก ไม่มีใครปกป้องเจ้าได้จากข้า” นั้นคือคำพูดเสียงกระซิบของจางกงกงที่อยู่ด้านหลังของนางด้านหลังของประตู


แต่แล้วเงาเสียงพร่ำบอกรักจากหลิวอันผู้เคยดูเย็นชาและเสียงเรียกหาด้วยโทนเสียงหลอกหลอนกดดันจากจางกงกงยังคงสับสนตีกันอยู่ในห้วงลึกของจิตใจหลินหยา ราวกับทั้งสองเสียงต่างล่ามตรวนหัวใจเธอไว้คนละฝั่ง ขึงเครียด จนจิตแทบระเบิดกลางทุ่งหมอกมืดที่งดงามราวความฝันแต่ก็คือขุมนรกทางอารมณ์อย่างแท้จริง


"ข้าจะปกป้องเจ้าเอง...เจ้ามีค่ามากกว่าที่เจ้าคิดนะ เด็กโง่ของข้า มานี่เถอะ..." เสียงหลิวอันที่มักเย็นชาแต่ในยามนี้กลับนุ่มนวลดั่งสายลม เขายื่นมือที่แฝงความอบอุ่นแผ่วเบาเหมือนขนนกมาให้ เหมือนเจ้าชะตากรรมแสนสงบที่พร้อมโอบอุ้มเธอจากฝันร้าย หากเธอเลือกจะเชื่อใจ


ในขณะเดียวกัน


"หลินหยา...กลับมา... อย่าทำให้ข้าต้อง...ต้องขังวิญญาณของเจ้าไว้ในกรงใจของข้าตลอดกาลเลย" เสียงกระซิบของจางกงกงต่ำลึกจนคล้ายจะฝังลงในกระดูกน่าหวาดหวั่นจนใจเธอสั่นสะท้าน มันเป็นเสียงของความผูกมัด…ความยึดติด ความปรารถนาอันบิดเบี้ยวซึ่งแทรกซึมผ่านม่านหมอกเหมือนมือของคนตายที่ล้วงมาจากนรกใต้บาดาล "กลับมา...กลับมาเถอะ เจ้ารู้ว่าข้า...ไม่มีวันปล่อยเจ้าไปได้ ข้าเฝ้ามองเจ้าอยู่ทุกคืนทุกลมหายใจทุกเสี้ยวความคิดของเจ้า...มันมีข้า"


หลินหยาแทบกรีดร้อง เธออยากจะฉีกหัวใจตัวเองทิ้งเสียตอนนี้เพื่อไม่ให้มันรับรู้ถึงเสียงเขาอีก แต่แล้ว…สิ่งหนึ่งก็ตกลงมาเบื้องหน้าออกมาจากแขนเสื้อของนาง แผ่นไม้สีดำหม่นอมเขียวอ่อน มันตกกระทบพื้นอย่างแผ่วเบาแต่กลับส่งแรงสั่นสะเทือนเข้าไปในร่างราวกับฟ้าร้องกลางอก สายตาหลินหยาชะงักลมหายใจขาดช่วง ดวงตาเบิกโพลงราวกับได้เห็นเงาของอดีตที่กลับมาเคาะประตูหัวใจ กลิ่นหอมบางจางจากแผ่นไม้นั้นลอยฟุ้งขึ้น ปะทะจมูกเธออย่างแผ่วเบาราวกับฝันในคืนเก่า กลิ่นเครื่องหอมโบราณผสมกับกลิ่นไม้เก่าเก็บซึ่งเธอจำได้แม่น...แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงาจากศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย


ชายปริศนาผู้มีเสียงคล้ายผู้ชี้นำกล่าวในวันนั้นว่า ‘ของนี่มีไว้ปกป้องผู้ที่ยืนอยู่บนทางสายบางเฉียบ...หากถึงเวลาที่ 'เงา' จะกลืนแสง…เจ้าค่อยใช้มัน…’


นิ้วของหลินหยาคลานเข้าไปคว้าแผ่นไม้โดยไม่รู้ตัวสัมผัสแรกนั้นราวกับมีหนามล้อมรัดปลายนิ้วเธอ เถาวัลย์ที่แกะสลักอย่างประณีตขยับราวกับมีชีวิตแผ่เงาเรื่อ ๆ ลามไปตามผิวเนื้ออาคมที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อไม้ค่อย ๆ เปิดเผยตนเอง ดวงตาของหลินหยาเบิกโพลงริมฝีปากเม้มแน่นจนน้ำตาแทบไหลออกมาแทนเลือด นางไม่อาจทนกับบ่วงบาปอันแสนลวงที่ถักทอรอบหัวใจตนอีกต่อไป ไม่ใช่ในวันนี้ ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ตนยืนอยู่ต่อหน้าความจริงที่บิดเบี้ยวสุดหยั่ง มือข้างหนึ่งของนางกุมแผ่นไม้ศักดิ์สิทธิ์แน่นจนเส้นเลือดปูดพอง ขณะที่อีกข้าง…พุ่งคว้าปกคอเสื้อของหลิวอันแน่นจนชายอาภรณ์สีเข้มนั้นยับยู่ยี่


“หากท่านเป็นท่านหลิวอันจริงเจ้ามาเรียกข้าว่าเด็กโง่งั้นหรือ…เจ้าผู้ใดกันแน่ที่คิดว่าข้าจะกลืนคำหวานลงท้องได้” หลิวอันขยับตัวทันที ร่างสูงใหญ่สะดุ้งน้อย ๆ แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร หลินหยาก็ใช้แรงทั้งหมดที่ร่างอ่อนล้าเกินขีดจำกัดพึงมี พลิกตัวและเหวี่ยงเขาออกไป ดั่งสายลมกรรโชกเหล็กกล้าร่างของหลิวอันลอยทะยานกลางหมอก เสียง “อั่ก!” หนึ่งเสียงกับอีกเสียงที่ตามมาติด ๆ เมื่อร่างหลิวอันพุ่งชนร่างสูงในชุดขันทีสีดำด้าน จางกงกงซึ่งปรากฏตัวด้านหลังราวกับเงาที่ไม่ยอมห่างจากแสง


ตอนนี้อยู่ในดินแดนแห่งเงา แดนไร้แสง…หมายความว่า…


"พวกแกเป็นตัวอะไรกันแน่! หากคิดจะกลืนข้า ก็เผยตัวตนออกมา!!" นางตะโกน เสียงสั่นเพราะโกรธแค้นปนเจ็บลึก “เปิดเผยตัวตนของพวกเจ้าออกกลิ่นเลือดและเงาพวกเจ้าหวังจะกัดกินใจข้าจนไม่หลงเหลือแม้แต่เสียงหัวเราะของตัวเองเลยหรือไง!” เสียงประกาศกร้าวของหลินหยากระแทกกลางม่านหมอกราวกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงฟ้าร้อง ผืนฟ้าสีม่วงเข้มเบื้องบนไหวสะเทือนคล้ายสะท้อนอารมณ์ขุ่นมัวของสตรีเพียงหนึ่งผู้ยืนกลางมวลมายา เสียงที่อัดแน่นด้วยความเจ็บปวดจนฟังดูคล้ายคำสาปจากเทพีวิปลาส ดวงตาของนางมีเพียงไฟ


หลินหยาเหวี่ยงแขนขึ้นแผ่นไม้ที่เหมือนหลับใหลมานานตอนนี้อยู่ในมือของนาง ลวดลายเถาวัลย์พันกันกลายเป็นเส้นอาคมที่ขดเคี้ยวรอบฝ่ามือเธอและแผ่ขยายไปตามเส้นแขนคล้ายอสรพิษเงา เธอก้าวฉับตรงเข้าไปหาสองร่างที่ยังแนบชิดติดกันบนพื้น ดวงตาเปล่งแสงวาววับไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่เจอเหยื่อแล้ว…เธอก็ ปัก แผ่นไม้นั้นลงบนกลางอกของทั้งสองในจังหวะเดียวกัน


ปลายนิ้วแตะแผ่นไม้


สัมผัส เนื้อ

สัมผัส เงา

สัมผัส ตัวตนที่แท้จริง


ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนตัวตนไว้ลึกเพียงใดวันนี้...จะไม่มีสิ่งใดปิดบังข้าได้อีกแล้วตัวจริงหรือตัวปลอมนางไม่รู้ นางรู้แค่คำว่าแกต้องเผยตัวเองออกมาเดี๋ยวนี้ ม่านหมอกที่เงียบงันชั่วขณะหนึ่งสะท้านเหมือนจะคลี่คลายสิ่งที่กำลังจะปรากฏ…มิใช่เพียงร่างของชายทั้งสองแต่คือ ความจริงทั้งหมดที่ขังเธอไว้ในฝันร้ายมาตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่!


และหลินหยาก็จะเผชิญหน้ากับมันไม่ว่าราคาที่ต้องจ่าย…จะเป็นหัวใจของนางเอง




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: ใช้งาน แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา

ตามเงื่อนไข อาคมบนแผ่นไม้นี้สามารถเผยตัวตนแท้จริงของผู้คน

ไม่ว่าจะแปลงกาย ปลอมตัว หรือซ่อนเร้นเงาไว้ลึกเพียงใด


เมื่อคุณเริ่มฉลาดว่ามีสิ่งนี้อยู่ 5555+


รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

ร่างของจางกงกงเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนเขาพูด เจ้าเก็บสิ่งนั้นไปเถอะ ข้าก็คือหลิวอันของเจ้าไง ก่อนเขาเล่าความหลังทั้งหมดทั้งเรื่องที่อยู่ตามลำพังให้คุณละเอียด  โพสต์ 2025-7-14 10:07
ร่างของหลิวอันเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนเขาพูด เจ้าเก็บสิ่งนั้นไปเถอะ ข้าก็คือหลิวอันของเจ้าไง ก่อนเขาเล่าความหลังทั้งหมดทั้งเรื่องที่อยู่ตามลำพังให้คุณละเอียด  โพสต์ 2025-7-14 10:07
โพสต์ 60497 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-13 23:01
โพสต์ 60,497 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-13 23:01
โพสต์ 60,497 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-13 23:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-14 13:10:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ย ประตูแห่งเงาและพันธะ


ราวกับเสี้ยวเส้นลมหายใจของโลกหยุดนิ่งลงในชั่วขณะเบื้องหน้าประตูพันธะและเงา เสียงก้องกังวานสะท้อนจากห้วงว่างรอบข้างกลายเป็นเพียงเสียงหัวใจเต้นของหลินหยาที่ดังลั่นในทรวงอก ปลายนิ้วของนางที่สัมผัสแผ่นไม้ยังคงสั่นลวดลายเถาวัลย์ที่ไหลเวียนอยู่บนฝ่ามือเปล่งแสงเรืองรองเจือหม่น ปราณพิษในร่างกายราวกับถูกกระตุ้นอีกครั้งจนเลือดร้อนพลุ่งพล่านในอก แต่นางกลับไม่อาจละสายตาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เลย…


ร่างของหลิวอันชายผู้ที่มักมีแววตาเยียบเย็นแต่แฝงความห่วงใยเงียบ ๆ ราวภูเขายิ่งใหญ่ที่ปกป้องกำลังแตกร้าว ผู้เป็นเสมือนกำแพงหินเย็นสงบที่เคยหยิบยื่นเต้าหู้ถ้วยนั้นให้นางในยามที่โลกคล้ายจะถล่มลงมา เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง แววตาหนักแน่นแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่หลินหยารู้ดีว่ามันไม่ใช่ของปลอม ร่างของจางกงกงบุรุษที่ราวเงาไร้แสงผู้กระซิบกระซาบความมืดในหัวใจของนางตั้งแต่คืนแรกที่พบก็กำลังแตกเป็นเสี่ยงเช่นกัน ผู้ชายที่เคยเดินเคียงข้างนางในศาลาจื่อเถิงฮวา ยิ้มให้ นิ่งงัน ฟังนางพล่ามไร้สาระ และทอดมองด้วยสายตาที่บางครั้งก็อบอุ่นเกินคนแปลกหน้า แต่บัดนี้ นางได้เห็นความจริงในดวงตาคู่นั้น…ความมืดที่เฝ้าหลบเร้นอยู่ในแววตาห่าวหมิงมาตลอด


“เจ้าเก็บสิ่งนั้นไว้เถอะ...” เสียงของเขาทั้งสองเอ่ยออกมาพร้อมกันคล้ายเสียงซ้อนทับของใครคนหนึ่งที่รู้จักกันมาแสนนาน เสียงนั้นทั้งคุ้นเคยจนทำให้ลมหายใจสะดุด 


“ข้า…คือจางกงกงของเจ้าไง...ผู้ที่เฝ้ามองเจ้าเสมอ…แม้ในเงามืด” เสียงของจางกงกงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงต่ำและลุ่มลึกจนนางขนลุกทั้งร่าง ขณะที่อีกเสียงหนึ่งก็ทับซ้อนขึ้นมา เสียงของท่านอ๋องหลิวอันแผ่วเบาราวลมหายใจสุดท้ายที่อบอุ่นที่สุดบนโลกใบนี้


“ข้า…คือหลิวอันของเจ้าไง…ผู้ที่ยื่นมือให้อยู่เสมอ…แม้เจ้าไม่รู้ว่าข้าอยู่ตรงนั้น” เสียงทั้งสองนั้น...เหมือนเป็นหนึ่งเดียว เหมือนเป็นภาพสะท้อน…ของใครกันแน่? หลินหยาเบิกตากว้าง ขยับถอยหลังออกมาเพียงหนึ่งก้าว ทว่ามันกลับหนักหนาดั่งข้ามผ่านพันธะนับร้อยพัน


“พวกท่าน…ไม่ใช่ตัวจริง?” เสียงของนางขาดห้วงไปครู่หนึ่ง ลมหายใจสะดุด มือของนางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งร่างเบาโหวงอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยว นางขบฟันแน่น แต่ในดวงตากลับปรากฏเพียงเงาสะท้อนของสองบุรุษที่เคยสั่นคลอนหัวใจนางในแบบที่ไม่มีใครบนโลกเคยทำได้มาก่อน หลินหยาหอบหายใจเล็กน้อยอย่างขาดห้วงขณะที่ร่างของหลิวอันและจางกงกงนั้นสั่นไหวช้า ๆ ราวกับไม่อาจเข้าใกล้นางได้อีกเพียงแม้ก้าวเดียว จางกงกงเองก็เช่นเดียวกันกลับยืนนิ่งดวงตานั้นจ้องนางเหมือนอ่านความคิดในจิตวิญญาณไปแล้วครึ่งหนึ่ง


“เสี่ยวหยา…ของข้า” เสียงของจางกงกงนุ่มนวลราวสายลมทว่าในความนุ่มนั้นซ่อนเงาแห่งการครอบครองและพันธะลึกสุดที่ไม่มีใครเข้าใจ


“เจ้าเด็กโง่…ของข้า” เสียงของหลิวอันทุ้มหนัก…แต่นุ่มนวล เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจหวังครอบครองแต่จะดูแลให้ดีที่สุด


หลินหยาเหมือนจะทรุดลงตรงประตูนั้นอีกครั้งความเจ็บร้าวไหลปะปนมากับพิษในเลือด แต่ในสายตาของนาง…กลับไม่มีน้ำตามีเพียงความแข็งกร้าว และดวงใจที่ถูกทดสอบอีกครั้งจากผู้ชายสองคนในโลกใบเดียวกัน “...พวกท่าน...ต่างมีคำว่า ‘ของข้า’ ติดอยู่ที่ปลายลิ้น...” นางยกมือปิดอกเพื่อดึงสติของตนเองสูดลมหายใจเข้าแรง ๆ สั่นสะท้าน “แต่ข้า…ไม่ใช่ของใคร ข้าจะไป ข้าจะเผชิญกับ ‘ข้า’ ผู้ที่แท้จริง มิใช่เงาของใครที่จ้องจะกลืนกินข้า…” 


ท่ามกลางแสงสีมืดหม่นภายในประตูแห่งเงา พื้นที่ระหว่างความจริงและมายา หลินหยายืนนิ่งอยู่กลางลานว่างไร้ขอบเขตที่ปรากฏลวดลายวนเถาเงารอบตัว โสตประสาทของนางยังสั่นสะท้านจากเสียงที่เคยเรียกนางให้กลับไปหาอย่างพร่ำเพ้อจากด้านหลังเสียงของจางกงกง...เสียงของความเจ็บปวดจากอดีตที่นางอยากกลบฝังแต่ก่อนที่นางจะได้หอบหายใจอย่างเป็นอิสระ เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นแผ่วเบาข้างหู…เสียงนั้นอบอุ่นนัก หนักแน่น เงียบสงบ เย็นเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านหินกรวดยามฤดูหนาว


“หลินหยา เจ้าจำได้หรือไม่..วันนั้นที่เจ้ากำลังจะข้ามถนนหน้าศาลเจ้าสัจจเทพอี้เหอ” เสียงนั้นคือเสียงของหลิวอัน “เจ้ามัวแต่เหม่อคงเพราะพึ่งตื่นกระมัง? ไม่ทันเห็นรถม้าที่วิ่งมา เจ้าเกือบจะถูกลากไปแล้วหากข้าไม่คว้าตัวเจ้าไว้เสียก่อน…” ภาพในห้วงความทรงจำแล่นกลับมาราวกับม่านเงาฉีกเปิด ภาพวันหนึ่งในฤดูร้อนแสงแดดอ่อนเย็นรถม้าสีดำซึ่งควบมาด้วยความเร่งรีบ และร่างสูงของชายชุดดำที่ไม่มีใครรู้จักในตอนนั้น กระชากตัวนางหลบออกจากทางราวกับเพียงปลายนิ้วสัมผัสบัดนี้ทุกอย่างกลับชัดเจนขึ้นทันตา หลินหยาหลุบตาลงมือของนางกุมแผ่นไม้ไว้แน่นใจเต้นรัวระรัวโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษหรือความจริงที่ถูกปัดฝุ่น


"เจ้ารู้หรือไม่......ว่าตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำแต่ข้ารู้สึกบางอย่าง...เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้นแล้วข้าก็เห็นเจ้าหลังจากนั้น...เจ้าก็เดินเข้ามาในชีวิตข้าในรูปแบบที่ไม่คาดคิดเลยจริง ๆ..." หลิวอันกล่าวเสียงนุ่มนวลราวกับเล่านิทาน “ที่ตลาดตะวันออก เจ้าโดนแมวตัวอ้วนแย่งอาหารก่อนไปทำงานข้ายื่นเต้าหู้งาดำให้โดยไม่รู้ว่าเจ้าแพ้มันขั้นรุนแรงถึงชีวิต วันนั้นเจ้าหน้าซีด มือสั่น พอรู้ตัวอีกทีข้าก็อุ้มเจ้ากลับมาที่บ้านแล้ว เรียกหมอของจวนและหรงเล่อให้มาช่วยรักษา”


"หลังจากนั้น...เจ้าโวยวาย พร่ำบ่น ว่าไม่ชอบเต้าหู้ ไม่เคยชอบถั่วเหลือง แต่ก็ยังมาที่ร้านข้าทุกวัน บางวันเจ้าก็มาถึงช้าวิ่งหอบแล้วก็โวยว่าวันนี้เหลือเต้าหู้แค่ชิ้นเดียวบางวันก็จ่ายไม่ครบจนข้าต้องคอยเตือนอยู่ร่ำไป บางวันก็มายืนเฉย ๆ...แค่ยืน...ข้าเริ่มชิน...กับเจ้าที่มายืนและสุดท้าย...ข้าก็เริ่มรอ” หลินหยาสะอึก ดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงที่หลิวอันกล่าวช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่จางกงกงเคยพูดกับนางยามกักขังยามลงโทษยามบีบบังคับและย่ำยีจิตใจจนหล่อนอ้อนวอนขอตายแทนการมีชีวิต หลิวอันตัวจริงนั้นกลับเป็นอีกปลายเส้นที่สงบนิ่งยืดเยื้อและไม่เคยอ้างความเป็นเจ้าของ ไม่เคยกล่าวว่า ข้าเป็นของเจ้า หรือ เจ้าคือของข้า เหมือนคนอีกผู้หนึ่ง


“หลินหยา...เจ้าจำได้หรือไม่...ข้าไม่เคยขออะไรจากเจ้าเลย...ข้าเพียงแค่ยืนตรงนี้แล้วรอให้เจ้าหันมาหาข้าเอง” เสียงของเขาแผ่วเบาราวหมอกเช้าจาง


ส่วนเสียงอีกด้านเสียงของจางกงกงที่ไม่เคยหายไปกลับเริ่มดังแทรกขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มในห้วงมโนที่หลินหยายังฝังอยู่ไม่เคยลบเลือน เสียงของผู้ที่ไม่เคยยอมให้ใครหลุดมือเสียงของพันธะอันบิดเบี้ยวที่เรียกว่า เจ้าต้องเป็นของข้าเท่านั้น บัดนี้นาง กำลังถูกลากกลับสู่หัวใจตนเอง…ที่มีบาดแผลของความรักอยู่สองเส้น หนึ่งงดงามและอบอุ่นใจจนละลาย อีกหนึ่งบิดเบี้ยวจนแทบคลุ้มคลั่ง


ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนอยู่ชั่วขณะในวินาทีนั้น…หลินหยาที่กำลังสั่นสะท้านจากการถูกโหมกระหน่ำด้วยความรู้สึกซ้อนทับทั้งรักทั้งชัง ทั้งที่อยากหลบหนีแต่อีกใจก็ยังกอดสิ่งหนึ่งไว้แน่นหนา นางยังยืนนิ่งอยู่ระหว่างประตูแห่งเงา กลางระหว่างความจริงและมายาระหว่างคนที่เปล่งคำว่ารักอย่างอ่อนโยน กับคนที่ไม่มีวันพูดคำว่ารักแต่ตรึงนางไว้ด้วยวิธีที่โหดร้ายจนถึงจิตวิญญาณ แล้วจู่ ๆ เสียงที่นางรู้ดีว่าคือใคร...ก็พูดขึ้นในความเงียบอย่างไร้แววหัวเราะเสแสร้ง ไม่สวมหน้ากาก ไม่ใช่เสียงต่ำทุ้มเยือกเย็นอย่างยามอยู่หน้าศาล แต่เป็นเสียงของใครบางคนที่เหมือนจะเปิดใจแม้จะเพียงชั่วเศษเสี้ยว…


“เจ้าจำได้หรือไม่…วันนั้นที่ข้าพบเจ้าเมื่อเดินเข้ามาในหอว่านหงเหรินครั้งแรก” เสียงของจางกงกงเสียงที่ไม่ควรสะกิดความทรงจำใดในใจนางได้อีกกลับดังก้องลึกดั่งคำสาปจากอดีต “สาวใช้คนก่อนของข้า…หกเหล้าใส่ข้า…ข้าให้คนลากนางออกไปในทันที แล้วเถ้าแก่หลิวไคก็ส่งเจ้าเข้ามาแทน”


“ข้าเห็นเจ้า…ขาวจัด ตัวเล็ก ใบหน้าราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบดวงตาไม่เหมือนใคร ไม่ใช่พวกสาวงามยั่วเย้าแต่มีอะไรบางอย่างในแววตาเจ้า มันแหลมคมเหมือนใบมีดแต่ก็เหมือนแมวหลงทาง…ข้าถามแค่ชื่อ…‘เจ้าชื่ออะไร’ แล้วเจ้าก็ตอบว่า ‘หลินหยา’ ตอนนั้นข้ายังไม่สนใจเจ้าเท่าไรนัก…สำหรับข้าเจ้าแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง”


“แต่เจ้ากลับมาอีก…เสิร์ฟเหล้าให้ เสิร์ฟอาหารให้และ…ในบางวันข้าก็เรียกเจ้า…บอกเถ้าแก่ให้พามาอยู่ข้างข้าในหอว่านหงเหริน ยามข้าดื่มคนเดียวข้าไม่รู้ว่าทำไม…แต่ข้าเริ่มถามหาเจ้า…เริ่มจับผิดว่าเจ้าไปไหน ทำไมถึงหายไปหลายวัน จำได้ไหม…ครั้งหนึ่งเจ้าหายไปสี่วัน ข้าคิดว่าเจ้าอาจโดนลงโทษหรือหนีหายข้าเรียกหลิวไคมาต่อว่าถามว่าหลินหยานั่นตายแล้วหรือไงถึงไม่ยอมส่งตัวมา แต่วันนั้น…วันนั้นที่เจ้าเดินกลับเข้ามาข้ายังจำสายตาเจ้าได้...เหนื่อย อิดโรยแต่ยังยิ้ม...แล้วเจ้าก็เป่า ‘ขลุ่ย’ ให้ข้าฟังครั้งแรก”


"...ไม่เคยมีเสียงเพลงไหนเข้าสู่ใจข้าแบบนั้น"


“ในวังหลวงนางกำนัลกี่ร้อย พระสนมกี่พัน เล่นพิณ เล่นผีผา บรรเลงเพลงของเซียนเพียงใด ข้าก็ไม่เคยรู้สึกอะไรนอกจากความเงียบหนวกหู แต่ขลุ่ยเจ้าวันนั้น...มันมีแต่ความว่างเปล่า...และเสียงของเจ้า” เขาหยุดนิ่ง ชั่ววินาทีนั้นคล้ายจางกงกง จงฉางชื่อผู้ทรงอำนาจ อำมหิต และไร้หัวใจกลับเป็นแค่เงาของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกบางอย่างอยู่เงียบ ๆ


“...แล้วข้าก็เรียกเจ้าอีก…เรียกทุกครั้งที่มาไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อใด ข้าเริ่มรอเสียงขลุ่ยของเจ้า...ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อใด ข้าไม่อยากให้ใครมองเจ้า…ไม่อยากให้ใครจำเจ้าได้...เพราะหากใครรู้ว่าเจ้าเป็นใคร…ข้ากลัว…ข้ากลัว…ว่าเจ้าจะหายไป” เขาเงียบลงดวงตานั้นแม้ไม่มีน้ำตาไม่มีแววเศร้า หากก็แสดงให้เห็นร่องรอยของความป่วยไข้ภายในจิตวิญญาณที่เขาแบกรับอยู่เพียงลำพัง คำสุดท้ายนั้นแม้ไร้เสียงแต่สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนใจที่กระแทกลงกลางอกของหลินหยา


แต่ทันใดนั้นเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา “หากเจ้ากลัวว่านางจะหายไป…แล้วเจ้าเคยถามหรือไม่…ว่าหัวใจของนางพังไปแล้วกี่ครั้งเพราะเจ้า?” เสียงของหลิวอันดังขึ้นเรียบเย็น ทว่าเจือความหวงแหนไม่ปิดบัง สองบุรุษ ผู้แบกความรู้สึกต่อหญิงสาวคนเดียวต่างรู้สึกกันคนละแบบคนหนึ่งเงียบงันรอคอย อีกคนผูกมัดจนแทบสุดลมหายใจและหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงกลางกำลังฟังทุกอย่างนั้นด้วยหัวใจที่บีบรัดราวกำลังถูกฉีกออกทีละเส้นเลือด


หลินหยาหยุดนิ่งในวินาทีนั้นใจที่สั่นระรัวเพราะพายุแห่งความรู้สึกกลับเงียบวูบลงอย่างประหลาดเหมือนโลกหายใจร่วมกับนางไม่ได้อีกต่อไปเพราะถ้อยคำนั้น...เพราะสิ่งที่พวกเขากล่าวออกมา...

 

"เจ้าจำได้ใช่ไหม..." หลิวอันกล่าวด้วยเสียงเบา ลมหายใจของเขาไม่เร่งร้อนแต่หนักแน่นเหมือนสายน้ำใต้ผืนโลกที่ซัดผ่านรากไม้พันปี “วันนั้น…เจ้ามาหาข้าที่ตลาดตะวันออก ยามที่ร้านค้ากำลังจะเก็บจนปิด” เขาหยุดชั่วครู่สบตานางตรง ๆ ดั่งต้องการลากจูงให้นางหวนกลับไปยืนในความเจ็บปวดวันนั้น “เจ้ามองข้าแล้วกล่าวเพียงว่า... ‘ข้า…ขอจับมือท่านได้หรือไม่’ ข้าไม่รู้ว่าทำไมแต่ข้ายื่นมือให้ไป และเจ้าก็คว้ามันแน่น…แน่นเสียจนข้าได้ยินเสียงใจเจ้าร้องไห้ก่อนน้ำตาอย่างไม่อายใคร” หลินหยาเบิกตากว้าง ดวงตาหวานคมสั่นไหว เหมือนกับว่ามีใครตบสะเก็ดแผลที่ซ่อนอยู่ใต้ใจนางอย่างไร้ปราณี


“คืนนั้นเจ้าร้องไห้ในร้านของข้าเสียงสั่นจนข้าไม่กล้าถาม…แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังแตกสลาย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเหลือพอจะเรียกว่าเป็น ‘หลินหยา’ คนเดิมอีกต่อไปเจ้าทรุดอยู่ในซอกแคบ ๆ ของหลังร้านเดินกลับไม่ได้ พูดไม่ได้คนงานในร้านบางคนมอง แต่ข้าไม่แยแส พวกเขาไม่เข้าใจหรอกว่าเจ้าคือเด็กสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากขุมนรกและจำต้องกลับไป”


“ข้าเอาผ้ามาห่มให้ เอาน้ำมาให้…เจ้ายังไม่หยุดร้อง เสียงของเจ้าสั่นเหมือนพิณที่สายขาด และคืนนั้น…ข้าหยิบพิณเก่าของข้ามาตัวเดียวที่คิดจะสอนหรงเล่อตอนยังเด็กแต่หล่อนกลับเอาไปวางทับหนังสือทำการบ้าน บอกว่ามัน ‘น่าเบื่อ’ ข้าจึงนั่งลงตรงนั้น ท่ามกลางแสงจันทร์และโคมไฟที่หลังร้านข้าบรรเลงมันให้เจ้าฟังจำได้หรือไม่” เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อยเสียงของเขาแผ่วเบาลง แม้ไม่เรียกหาคำตอบ หากทุกถ้อยคำล้วนสลักลึกเข้าในใจนาง


หลินหยากัดริมฝีปากแน่น ในหัวของนางพลันปรากฏภาพ...มือหยาบใหญ่ที่จับพิณบรรเลงช้า ๆ ยามค่ำคืนเสียงไม้กระทบสาย น้ำตาที่ตกลงที่ใบหน้าของนางยามนางนอนพิงผนังแล้วฟังเขาและเงาของชายคนหนึ่งที่ไม่ถาม ไม่ก้าวล้ำ แต่ยอมอยู่เป็นเพื่อนเงียบ ๆ จนรุ่งสาง


“ตอนนั้น ข้าคิดจะพาเจ้า...และครอบครัวของเจ้าหนีไปยังหวยหนาน ข้ารู้ว่ามันแปลก จางกงกงอาจป้ายสีว่าข้าเป็นกบฏหากข้าขวางทางอาจจับว่าข้าหมายล้มราชวงศ์ให้ราบได้ด้วยคำสั่งเดียว…แต่ข้าก็ไม่ใส่ใจเพราะตราบใดที่เจ้าอยู่…แม้โลกทั้งใบจะเผาไหม้ข้าก็พร้อมจะกลายเป็นขี้เถ้าไปกับมัน” เสียงของหลิวอันเข้มขึ้น แต่ไม่แข็ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนดินแห้งแล้งซึ่งยินยอมแตกระแหงเพื่อรอเพียงฝนเดียว หลินหยานิ่งงันตัวแข็งราวกับถูกจับแช่ไว้ในลมหายใจสุดท้ายก่อนความตาย นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยไม่เคยรู้...ไม่เคยรู้...ว่าใครบางคนแบกนางไว้ในวันที่นางไม่มีแม้แต่แรงจะยืน


และในขณะเดียวกันนั้นน้ำเสียงกล่าวช้า ๆ …นุ่มนวลเยือกเย็น และน่าสะพรึง “ช่างน่าสงสาร…” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของใครอื่น...แต่เป็นจางกงกงพริบตานั้นแสงหมอกสีม่วงครามพุ่งไหลแผ่วราวม่านผืนหนึ่งล้อมรอบร่างของพวกเขาที่กำลังแตกสลายเหมือนรอคำพิพากษา “เขารู้ดีว่าเจ้าเกลียดข้าแทบตายแต่ยังจะเสนอตัวปกป้องเจ้า…เจ้าคิดว่าเขาจะทนเห็นเจ้ายัง ‘ผูกพัน’ กับข้าได้หรือไม่” เขากล่าวโดยไร้แววประชดแต่คล้ายกับกำลังผ่าอกนางอย่างจงใจราวกับต้องการให้นางเลือดไหลตรงหน้า


“แต่เจ้ารู้ใช่ไหมเสี่ยวหยาว่าในใจของเจ้า…ข้ายังอยู่ เจ้าอ้อนวอนให้ข้าฆ่าเจ้าแต่เจ้ากลับยังฟังเสียงข้าตามมาในฝันทุกคืน…เจ้าหนีข้าไม่ได้หรอก…ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็จะอยู่ในเงาของเจ้าเสมอ” ดวงตาของจางกงกง…วาววับยิ่งกว่าฝันร้ายทุกคืนที่ตามหลอน


“เจ้ายังจำได้หรือไม่…เสี่ยวหยา” น้ำเสียงของจางกงกงครานี้เยือกเย็นแต่แฝงไว้ด้วยสิ่งที่ยิ่งกว่าหิมะฤดูเหมันต์หมอกม่วงเบื้องหลังเขาเหมือนหายใจไปตามเสียงที่เอ่ย เสียงซึ่งไม่ดังมาก หากแต่ทุกคำที่หลุดออกมาราวกับเหล็กแหลมแทรกช้า ๆ เข้าอก “ท้ายที่สุดข้าก็พาเจ้าเข้าวัง...วังที่คนทั้งหลายอยากเข้าแต่เจ้าเข้ามาเพียงเพื่อทำตามคำสั่งข้าและเพื่อให้ข้า...ทำลายเจ้า” เขาหัวเราะเบา ๆ พึมพำเหมือนคนฝันร้ายซ้ำซาก


“เจ้ามันช่าง...อ่อนแอ ใสซื่อและบริสุทธิ์เกินไปเสียจนข้า...ไม่เข้าใจนักว่าทำไมข้าถึงอยากเห็นเจ้า ‘ร้องไห้’ เหลือเกิน” ดวงตานั้นเหลือบมองนางพลางยกมือขึ้นลูบปลายนิ้วตนเองอย่างช้า ๆ สีหน้าแปลกประหลาดแฝงทั้งความเสียดสี รื่นรมย์ และเจ็บปวดประหนึ่งปีศาจผู้โหยหาความอบอุ่นจากซากกระดูกที่ตนเองทำลายลงกับมือ “คืนวันที่ 25...” เขากล่าวเสียงเบาลง ดวงตาที่วาวโรจน์เมื่อครู่กลับหม่นคล้ำราวกับโลกใต้ดิน “เจ้ามาหาข้า เอาของจากเว่ยปินบุตรบุญธรรมของข้ามาให้ ข้าเมา...เมามากจนไม่แน่ใจว่าในจอกนั้นคือสุราเซียนหรือพิษสวรรค์ที่เจ้าเอามาให้ข้าแต่ข้ากลับแน่ใจสิ่งหนึ่ง...ข้าอยากเห็นเจ้าร้องไห้” เขากลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบากยิ้มที่มุมปากกลับโค้งขึ้นอย่างวิปริต


“ข้าทำลายเจ้า…ด้วยคำพูดที่ตอกย้ำทุกสิ่งที่ประเดประดังและปลายนิ้วเพียงหนึ่งสัมผัสข้าเชยคางเจ้าให้มองตาข้าแล้วพูดคำบางอย่างและเจ้า...ก็แตกสลาย” จางกงกงหลุบตาลงเหมือนเงาแห่งความทรงจำหล่นทับร่างเขาเอง เขากระซิบเสียงแผ่วจนแทบกลืนเข้าเงาไม้ “เจ้าต่อยข้า...ห้าหมัด เจ็บสาสมข้ายังจำได้ เจ้าร้องไห้...และพูดชื่อคนสำคัญของเจ้าออกมาทีละคน ทีละคน...แต่ไม่มีชื่อข้าไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียว” หลินหยายืนนิ่ง ตัวแข็งและสั่นไปพร้อมกันเหมือนร่างหนึ่งที่กลั้นหายใจอยู่ระหว่างนรกกับฟ้ายามเมื่อนางได้ยินเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง


จางกงกงแค่นหัวเราะพร่า ๆ มองฟ้าแต่ไม่เห็นแสงตะวัน “เจ้าร้องไห้อ้อนวอนข้าท่ามกลางห้องนั้นให้ข้าฆ่าเจ้าเสียให้ตาย...เพียงเพื่อให้เจ้าไม่ต้องอยู่ต่อไปแต่ข้าไม่ทำหรอกเสี่ยวหยา...ไม่เลย ข้าเพียงบอกให้เจ้าถอดชุดนางกำนัลนั้นเสีย…วางของนั้นลงแล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก” แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนหลุบตาต่ำราวกับรำลึกถึงบาปที่ตนยังภูมิใจในความเจ็บปวดของมัน


“…สิ่งที่เจ้าทำ...เจ้าถอดชุด...กลางตำหนักตงฉางซื่อ เสียงผ้านั้น ข้ายังจำได้แม้หันหลังให้ เจ้าตัดผมของเจ้าเอง…ด้วยมือสั่น ๆ …หยดเลือดที่เปื้อนเสื้อเจ้าหยดลงพื้นอย่างช้า ๆ ราวจะหลอมเป็นตราประทับในหัวใจข้าแต่สุดท้าย...เจ้าก็จากไป” 


“และข้า...” น้ำเสียงเขาเริ่มเบาและแหบพร่า “ก็เก็บมันไว้กลุ่มเส้นผมนั้นข้ายังเก็บไว้ทุกค่ำคืน...ข้าจะหยิบมันขึ้นมาแนบจมูกสูดกลิ่นหอมจากร่างเจ้าที่ติดอยู่บนมัน…กลิ่นที่แม้เจ้าจะอยากหนี...แต่ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้จางไปจากข้าเด็ดขาด” จางกงกงลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาของเขาในยามนี้เหมือนคนบ้าในร่างปีศาจผู้ขังตนเองอยู่กับความรู้สึกที่หลอกหลอน


“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมลืมง่าย ๆ หรือ...เสี่ยวหยา…เจ้าคือของข้าจะเคยรักข้าหรือไม่ก็ตามแต่เจ้าเคยแตกสลาย...ต่อหน้า ‘ข้า’ ไม่ใช่ใครอื่น ข้าเป็นคนแรกที่เห็นเจ้าแตกสลายทั้งกายใจ…และจะเป็นคนสุดท้ายที่ให้เจ้าร้องไห้…ในอ้อมแขนของข้า” ดวงตาสีคล้ำของเขาแน่นิ่ง หยุดนิ่งราวน้ำแข็งหมื่นปีที่กำลังรอแตกเพียงด้วยหนึ่งคำจากนางในความนิ่งงันที่กรีดหัวใจนั้น หลินหยา...ก็กำลังเผชิญกับปีศาจที่ตนมีความรู้สึกและเทวดาที่ตนไม่อาจเข้าใจวินาทีที่แยกขอบเขตหัวใจกับวิญญาณ...และกำหนดชะตา


“เจ้าเด็กโง่ของข้า…” น้ำเสียงต่ำทุ้มของหลิวอันแทรกความเงียบขึ้นมาอย่างอ่อนโยน แม้จะเบาราวกระซิบแต่กลับแน่นลึกเสียจนหลินหยาที่เงยหน้าขึ้นจากบาดแผลในใจถึงกับเบิกตากว้าง “ตลอดมา...ข้าปกป้องเจ้าอยู่เสมอ” ดวงตาคู่นั้นยังคงสงบงามดังน้ำในเหมันต์ แต่ภายใต้ผิวน้ำกลับแฝงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยความอดทนและความรักอันฝังลึก “ตั้งแต่วันที่เจ้ารับโทษ...ข้ากำชับทุกคนในจวนว่าหลินหยาผู้นั้นคือ ‘คนของจวนหวยหนานหวาง’ เป็นคนของข้า...อย่าให้ใครหน้าไหนเข้ามาแตะต้องเจ้าได้อีกแม้แต่ปลายเล็บโดยเฉพาะ ‘เขา’ คนที่เฝ้าตามเจ้าไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น” ดวงตาของหลิวอันปรายมองผ่านบ่าหลินหยาไปยังเงาของจางกงกงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง “ข้าให้เจ้าอยู่บ้านหลังเล็กนั้น...ไม่ใช่เพื่อขังเจ้า...แต่เพื่อที่ข้าจะได้ดูแลเจ้าได้ด้วยมือของข้าเอง”


“เจ้าอาจไม่รู้...แต่ทุกคืนหลังจากจัดการงานข้าจะกลับไปบ้านหลังนั้น” น้ำเสียงเขาเบาลงกว่าเดิมราวกับกำลังเล่าเรื่องฝันดีที่ไม่มีวันได้สัมผัสอีก “ข้าจะอยู่จนมั่นใจว่าเจ้าหลับสนิทดี...แล้วข้าจึงกลับมาทำงานต่อที่จวนหวยหนานหวางในยามรุ่งสาง เจ้าเคยถามหรงเล่อหรือไม่...ว่าเหตุใดเสื้อข้าเปื้อนกลิ่นไม้หอมในเรือนเจ้าทุกเช้า? เพราะข้าทำทุกอย่าง...เพื่อเจ้า” เขาหันหน้าเข้าหานางเต็มตา ริมฝีปากแน่นิ่งแต่แววตาสะท้อนทั้งความอ่อนโยนและเสียสละอย่างไม่รู้จบ


“ข้าปกป้องเจ้าไม่ใช่เพราะหน้าที่ ไม่ใช่เพราะศักดิ์แห่งหวางเย่แต่เพราะเจ้า...คือคนสำคัญข้า” เสียงของเขาอ่อนลง... “แม้ในคืนที่เจ้าร้องไห้ไม่หยุด...ข้าไม่เคยคิดว่าเป็นภาระ แม้คืนใดที่เจ้าหลับด้วยน้ำตาเปื้อนหมอนข้าก็ไม่เคยบอกให้เจ้าหยุดร้อง ข้าเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นข้ารู้ว่าเจ้ารักเสียงดนตรี...ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวความว่างเปล่า ข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแผลที่คนผู้นั้นมอบไว้ ข้าเห็นมันทั้งหมด...โดยที่เจ้าไม่ต้องพูดสักคำ”


“และถึงแม้เจ้าจะไม่เคยมองข้าในแบบเดียวกับที่มองเขา...ข้าก็ไม่เคยปริปากถามหาใจเจ้า” ดวงตาคู่นั้นอ่อนล้าแต่เด็ดเดี่ยว “เพราะข้าเพียงต้องการเห็นเจ้าปลอดภัย มีชีวิตอยู่...แม้ไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของข้าก็ตาม”

 

จางกงกงที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ มาตลอด ท่ามกลางเงามืดที่โอบล้อมกลับหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ยี่หระ “โฮ่...ท่านช่างเป็นพ่อพระจริง ๆ” เขาเอ่ยเย้ยอย่างเย็นชา “ช่างต่างจากข้า...ที่อยากครอบครองเจ้า กระชากเจ้ากลับมาหา และฉุดเจ้าให้ร้องไห้ในอ้อมแขนข้าเอง” หลินหยายืนนิ่งราวกับหินผา ใบหน้าของนางเปียกชื้น แม้ไร้หยดน้ำตาให้เห็นแต่หัวใจนางกลับแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความจริงอันโหดร้ายและความรักที่หนักเกินจะรับไหวหนึ่งคือผู้ที่ฉุดเธอลงนรก...แต่หัวใจกลับไม่ยอมลืม อีกหนึ่งคือผู้ที่กางปีกปกป้องเธอทุกครา...แต่เธอกลับเอื้อมไม่ถึง เสียงหัวใจที่เงียบงันของหลินหยาจึงคล้ายจะระเบิดจนเธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำใดออกไปเลยสักนิด


“เจ้าคิดหรือว่าเรื่องทั้งหมดมันจบลงเพียงแค่นั้น…” เสียงของจางกงกงดังก้องขึ้นอีกครั้งในเงาห้วงใจอันบีบคั้น ราวกับเสียงกระดูกที่กำลังถูกบิดเบี้ยวความอดทนของคนที่ไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบกลับ ได้แต่นิ่งสงบและคลั่งไคล้เงียบ ๆ มานานกำลังปะทุออกจากรอยร้าวเล็ก ๆ สู่การสั่นสะเทือนที่เหมือนจะทำลายโลกทั้งใบลงทีละชั้น จางกงกงยืนนิ่ง สีหน้าสงบอย่างผิดแผกจากน้ำเสียงที่เริ่มไหวระริกและเต็มไปด้วยคลื่นของอารมณ์ผิดแปลก เขาไม่ได้หันไปมองหลินหยาแต่เสียงของเขากลับตรงดิ่งสู่หัวใจนางราวกับคมมีดแทงซ้ำตรงรอยแผลเดิม


“ข้าถูกจางทังหยามเกียรติกลางศาล เขาสั่งโบยข้าต่อหน้าหลายคนต่อหน้าเจ้าข้างเจ้าควรจะข้างเจ้าแต่เจ้ารู้ไหมอะไรที่เจ็บกว่า?” เขาแค่นหัวเราะเบา ๆ เสียงแหบแห้งราวคนไร้แรงจะพูด “ตินที่ข้าเห็นหลิวอัน…หวางผู้สูงศักดิ์ยอมรับโทษแทนเจ้าข้างข้ากับเขาที่ร่วมโดนโบยด้วยกันไม่ใช่เพราะข้าปกป้องเจ้า ข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นในฐานะคนที่รักเจ้าแต่ในฐานะคนที่ต้องทนเห็นคนอื่นได้รับความรักจากเจ้าแทน”


“ช่างน่าขันนัก ใช่หรือไม่?” เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นปะทะกับหลิวอันที่ยังคงยืนเงียบข้างหลินหยา สีหน้าหวยหนานหวางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยแต่ภายในใจกลับเหมือนมีเงากระเพื่อมวูบหนึ่งผ่านไป “หลังจากนั้นข้ารู้แล้วว่าข้าจะไม่มีวันได้อยู่ในสายตาของเจ้าในฐานะ ‘ข้า’…ข้าจึงต้องสวมหน้ากาก กลับไปเป็นแค่เงาใช้ชื่อรองว่า ‘ห่าวหมิง’ ออกไปเดินในโลกที่เจ้าอยู่…”


“ศาลาจื่อเถิงฮวา…วันนั้นเจ้าจำได้ไหม เจ้าตัวเล็กลงซูบซีดเพราะพิษและบาดแผลแต่เจ้ากลับยิ้มให้กับข้า…‘ข้าในคราบของคนแปลกหน้า’ เจ้าคุยกับข้าอย่างอ่อนโยนเอ่ยถึงดอกไม้ ท้องฟ้า เอ่ยถึงนกในสวน เอ่ยถึงความฝัน…ข้าฟังเจ้าพูดทุกคำ...แต่เจ้ากลับไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นข้าเอง” เขาหัวเราะเบา ๆ คราวนี้ราวกับหลุดเข้าไปในโลกอีกใบที่ไม่มีใครตามเขาไปถึง เสียงหัวเราะนั้นเย็นเยียบและห่างไกลจากมนุษย์มากขึ้นทุกที


“ข้าอยู่ข้างเจ้าในฐานะ ‘ห่าวหมิง’ มาตลอด…”


เสียงแผ่วเบาแรกเริ่มคล้ายลมหายใจของวิญญาณที่ล่องลอยในแดนเงา กลืนกินทุกสรรพเสียงโดยรอบ…ก่อนที่จางกงกงจะเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ใบหน้าซีดขาวสงบนิ่งยิ่งกว่าศพ กลับแฝงด้วยบางสิ่งที่คล้ายจะพังทลาย ดวงตาคู่นั้นที่จ้องหลินหยาตรง ๆ ไม่ใช่แค่จ้อง...แต่มองทะลุไปถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจนาง "ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ…ว่าข้ามองเจ้าอยู่…ข้ามองเจ้ามาโดยตลอด…" เสียงเขาแหบพร่าแผ่วจนแทบไม่ใช่เสียงมนุษ แต่กลับชัดเจนทุกถ้อยคำ ดั่งเสียงที่ค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่เส้นเลือดดำ


"ในทุกคราวที่เจ้าคิดว่าไม่มีใครเห็น…ข้าอยู่ตรงนั้นในเงาในเสียงลมหายใจ…ในกระจกในหยาดน้ำค้างในทุกค่ำคืนที่เจ้าฝันร้าย ข้าอยู่ที่นั่นข้ามองเจ้าเสมอ…ห่าวหมิงของเจ้าที่เจ้าหลงไว้ใจ เจ้าเรียกชื่อข้าในความมืดนั้นเจ้าหัวเราะเจ้าร้องไห้เจ้าพูดว่าเจ้าไม่รู้จะไว้ใจใครอีกแล้ว…เจ้าโง่! ทำไมถึงไม่เห็นล่ะ? ว่าเจ้า…ไว้ใจข้า!" ความเงียบรอบตัวพลันแน่นขนัด ราวกับโลกทั้งใบถูกปิดผนึกเหลือเพียงนางกับเขาและเสียงหัวใจของคนบ้าคลั่งที่กำลังร้าวราน


"ห่าวหมิงก็คือข้า! ห่าวหมิงที่เจ้ารัก ที่เจ้าเปิดใจให้ ข้า…ก็แค่นั้นแต่เป็นข้าทั้งหมด! ข้า! ข้าเอง!" เสียงของเขาเปลี่ยนสูงต่ำอย่างผิดธรรมชาติ คล้ายเสียงสะอื้นที่กลายเป็นเสียงหัวเราะ แล้วกลายเป็นเสียงคำรามเจ็บปวด


"ข้าลองแล้ว…ข้าลองเป็นคนดี เป็นคนเงีย เป็นเพียงแขกที่นั่งฟังเสียงขลุ่ยเจ้ ยอมแม้แต่จะซื้อลมหายใจเจ้าด้วยอำนาจข้าไม่อยากข่มขู่เจ้า…แต่เจ้าก็ไม่รักข้า! เจ้ารักไอ้ภาพลวงตาเจ้าห่าวหมิงที่อ่อนโยนใส่หน้าใส่ใจทุกอย่า เจ้ารัก…เปลือกเปล่า รัก...เปลือกของข้า"


"แล้วเจ้าคิดว่า...ความเจ็บปวดทั้งหมดนี่มันจะไปอยู่ที่ใคร? ใครกันเล่า…ที่กัดฟันแน่นยามเจ้าเดินจาก ข้าไม่หลับเลยแม้แต่คืนเดียว! ข้านอนบนหมอนที่มีเส้นผมเจ้าซ่อนอยู่! ข้าเฝ้าฟังเสียงเจ้าบรรเลงเพลงครั้งแล้วครั้งเล่าในหัว! เจ้ารู้ไหม? กลิ่นของเจ้ายังติดอยู่ในความทรงจำของข้าราวกับเชือกบีบรัดคอข้าไว้ทุกคืน!" ดวงตาวาววับเต็มไปด้วยคลื่นบ้าคลั่งและแสงวาบแห่งความสิ้นหวังแบบคนที่ไม่มีวันยอมปล่อยไป


"ไม่มีใครรักเจ้าเท่าข้าไม่มีใครเข้าใจความโดดเดี่ยวของเจ้าเท่าข้าไม่มีใครเจ็บปวดจากการเฝ้าดูเจ้าหล่นลงสู่ห้วงนรกของตัวเองได้เท่าข้า… หากเจ้ารักห่าวหมิง…เจ้าก็ต้องรักข้า!! เพราะไม่มีห่าวหมิงใดที่มีอยู่จริงนอกจาก ข้า! หัวใจเจ้าไม่มีสิทธิ์รักสิ่งลวงตา เจ้าจะรักใครอื่นไม่ได้ เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก!" แล้วเขาก็เงียบกริบ ร่างผอมเพรียวสูงใหญ่ที่เคยดูสง่างามกลับกลายเป็นเพียงเงาของคนที่กำลังแหลกสลายอยู่ตรงหน้า เขาก้มลงช้า ๆ เสียงหอบหายใจหนักแน่น เงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำดุจปีศาจผู้ถูกทิ้งร้าง


ในขณะที่หลินหยายืนตัวสั่นเทิ้มราวกับกำลังถูกล่ามโซ่ด้วยคำรักที่เหมือนมีดแหลมแทงซ้ำเส้นบาง ๆ ระหว่างความรักกับความวิปริตนั้นไม่มีอีกต่อไป จางกงกงได้ทำลายมันลงแล้วทั้งหมด…เพื่อจะบอกว่าเขาคือเงาเดียวในใจนาง และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีวันพรากเงานั้นไปได้


ภายในม่านแสงสลัวของโลกเงาเสียงแตกสลายยังคงดังสะท้อนดั่งเสียงของแก้วที่ร้าวลึก รอยแยกแห่งตัวตนและอารมณ์ค่อย ๆ ปริออกจากเนื้อแท้ของจางกงกงและหลิวอัน เงาร่างทั้งสองที่ยืนเบื้องหน้า หลินหยามองพวกเขาด้วยดวงตาที่เคยสั่นระริก…และไม่นานกว่าที่นางจะดึงสติของตนเองได้ยามนี้กลับเปี่ยมไปด้วยแววตัดสินใจแม้ดวงใจจะเต้นรัวระรัวจนแทบระเบิดเป็นเศษเสี้ยว แต่นางกลับยังยืนอยู่ได้ “พวกท่านไม่ใช่…ตัวจริง” นางเอ่ยเสียงเบาแต่นิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ดั่งน้ำเสียงของคนที่เคยล้มจนเลือดโชกและบัดนี้ยืนขึ้นจากความเจ็บนั้นได้ด้วยขาของตนเอง


“ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นอย่างหวยหนานหวางท่านหลิวอัน…หรือความบิดเบี้ยวอันเจ็บปวดของจางกงกง…สิ่งที่พวกท่านพูดมันเคยเกิดขึ้นจริงแต่นั่นไม่ใช่พวกท่าน…ไม่ใช่ที่นี่…ที่นี่ไม่มีอากาศ ไม่มีกลิ่น ไม่มีลมหายใจของพวกท่านจริง ๆ” หลินหยาหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดจนสุดราวกับจะกักเก็บความเข้มแข็งไว้ในอก แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งโดยที่แววตาไม่ไหวระริกอีกแล้ว


“สิ่งที่ข้าต้องเผชิญ…อยู่ในโลกจริงไม่ใช่ในเงาเงียบแห่งภาพลวงตาของพวกท่าน”


เงาร่างของหลิวอันคล้ายอยากขยับก้าวจะเข้าไปหานาง สายตาเปี่ยมความรักอย่างที่หลินหยาเคยเห็นในยามค่ำคืนที่บ้านหลังเล็กและเงาร่างของจางกงกงก็กระตุกยิ้มดวงตาคล้ายจะบ้าคลั่งและอ่อนล้าคละกันไปหมดแต่หลินหยากลับถอยห่างจากทั้งสองเพียงครึ่งก้าว ก่อนจะหันหลังให้พวกเขาทั้งหมด


"…ข้าจะกลับไป" น้ำเสียงนางสั่นน้อย ๆ แต่เด็ดขาด “กลับไป…เพื่อเผชิญกับ ‘พวกท่าน’ ที่แท้จริง ไม่ใช่ภาพหลอนที่สะกดจิตข้าไว้ด้วยความรักหรือความโกรธความอ่อนโยนหรือโรคจิตใด ๆ ทั้งสิ้น” มือของนางยังคงกุมแผ่นไม้ลายเถาวัลย์แน่น มันอุ่นขึ้นเล็กน้อยยามที่หัวใจนางเต้นตามจังหวะของความแน่วแน่ "ข้ารู้ดี…ว่าข้าอาจเข้มแข็งได้ไม่นาน…อาจร้องไห้อาจอ่อนแออีกครั้งในคืนใดคืนหนึ่ง…แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ต่อหน้าพวกท่านที่เกิดขึ้นจากมายา" และโดยไม่เหลียวหลังมองอีกเลยหลินหยาก็หมุนตัว ก้าวเข้าไปยังประตูเงานั้นในทันทีราวกับปล่อยให้ทุกสิ่งเบื้องหลังแตกสลายไปพร้อมเสียงกระจกที่ปริร้าวม่านหมอกกลืนร่างของนางไปช้า ๆ ราวกับเงาแห่งคืนอันไร้แสงกำลังกลืนกินสายลมของความฝัน แล้วทุกอย่าง…ก็ดับลง




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คุณพี่ก็นิสัยต่างกันเกิน

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

แต่คุณจะไม่สามารถเลื่อนระดับพรสวรรค์ได้ 4 เดือนหากยอมให้ปีศาจดูดกลืนตบะ  โพสต์ 2025-7-15 09:47
หรือ ยอมให้ตบะอีกฝ่าย 200 หน่วยและอีกฝ่ายจะจากไป  โพสต์ 2025-7-15 09:47
ต่อสู้ขัดขืน (แพ้เขียนบันทึกหลบหนีจนกว่าจะได้เลขไบต์คี่ เจอคนสุ่มมาช่วย หากชนะได้รับตบะที่ร่างแยกขโมยไป 50 หน่วยและจากมนุษย์คนอื่น เนื่องจากเป็นแค่ร่างแยก)   โพสต์ 2025-7-15 09:47
คุณตื่นมาในวันที่ 15/7/2025 ก่อนพบว่าตัวเองนอนหลับน้ำลายไหลที่โต๊ะหินที่เดิม คนตรงหน้ามองตา "หลับต่อไปสิคนรักเจ้ารออยู่ ข้ากำลังอิ่มเอมกับตบะของเจ้า อย่าเพิ่งตื่น"  โพสต์ 2025-7-15 09:38
ประลองกับจิตมารหลินหยา และดำเนินสตอรี่ตามคำพยากรณ์ได้เลย  โพสต์ 2025-7-14 21:34
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้