12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: LinYa

[บันทึกการเดินทาง] : พันธะในเงาศาลา

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-15 06:06:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ย ประตูแห่งเงาและพันธะ


เมื่อหลินหยาก้าวเข้าสู่ประตูเงาดำซึ่งทอดตัวยาวราวกับหลุมลึกในห้วงฟ้าหลังฝน เสียงรอบกายนางพลันดับลงราวกับมีใครฉุดดึงสายเสียงทั้งมวลของโลกไปแช่ไว้ในบึงน้ำตาย เสียงลมหายใจของตนยังเบาจนคล้ายไม่มีอยู่จริง ความรู้สึกแรกที่แผ่ซ่านมาจากภายในกลับไม่ใช่ความกลัว หากแต่เป็นอาการชา…ชาที่แล่นจากปลายนิ้วมือไล่ขึ้นสู่ต้นคอ เสมือนทุกอณูของร่างกายกำลังถูกสำรวจโดยบางสิ่งที่ไร้ตัวตน โลกเบื้องหน้านั้นคล้ำทึบไร้แสงจนแม้กระทั่งเงาของตนเองยังไม่มีสิทธิ์ตกทอดไปบนพื้นผิว นางเหมือนยืนอยู่บนบ่อหมึกที่ไร้ก้น ขอบเขตของพื้นที่ก็พร่าเบลอจนไม่อาจแยกได้ว่าก้าวข้างหน้าจะเหยียบสิ่งใดหรือถูกกลืนไปด้วยบางสิ่งที่มิอาจเรียกว่าพื้น


หลินหยายกมือขึ้นแตะอกพยายามกำหนดลมหายใจให้นิ่ง ขณะที่ริมฝีปากขยับออกด้วยเสียงกระซิบเล็ก ๆ ราวจะลองว่าตนยังสามารถเปล่งถ้อยคำได้หรือไม่ แต่เสียงที่นางเปล่งออกกลับไม่ใช่เสียงของนางล้วนอีกต่อไป หากแต่แว่วสะท้อนกลับมาเป็นร้อยทิศทางในโทนที่แตกต่างกัน ทั้งเสียงแหลมสูงคล้ายหญิงสาววัยเยาว์ เสียงต่ำคล้ายหญิงแก่เจ็บไข้เสียงสั่นพร่าคล้ายกับน้ำตาเพิ่งหยุดไหล และแม้กระทั่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ของตนเองที่ไม่เคยรู้ตัวว่าหัวเราะเช่นนั้นเคยมีอยู่ในความทรงจำ เสียงทุกเสียงเหล่านั้นคือเสียงของนาง แต่บิดเบี้ยว เลือนลาง และเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอันมิอาจนิยาม


“อะไรกัน…”


สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นไม่ใช่ความมืด หรือเสียงที่มิใช่ของผู้อื่นหากแต่เป็นความรู้สึก…รู้สึกว่าตนมิได้อยู่เพียงลำพัง ราวกับมี ‘บางอย่าง’ อยู่ที่นี่ก่อนแล้ว และไม่ได้เพียงแค่สังเกต หากแต่จับจ้อง ขบคิด ประเมินและพร้อมจะกลืนกินนางในยามที่เผลอแม้เสี้ยวใจ


หลินหยาหันศีรษะช้า ๆ ทุกองศาของคอและหัวไหล่เหมือนถูกชั่งด้วยหินก้อนโต เธอไม่เห็นใคร ไม่มีแม้เงาไม้หรือแสงริบหรี่แต่รับรู้ได้ชัดเจนว่ามีดวงตาห้าคู่กำลังจ้องมองตนจากทุกทิศทาง บางดวงตาส่งความรู้สึกหนาวเย็น ราวกับเธอยืนเปลือยอยู่กลางลมเหมันต์ บางดวงตาส่งพลังร้อนราวลาวาแผดเผา บางดวงตาทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดจนเจ็บปวดร้าวไปถึงกระดูกสันหลัง มันไม่ใช่สายตาของคนแต่มันคือสายตาของ ‘ตัวตน’ ที่ซ่อนอยู่ในความเงียบมืดของจิตใจเธอเอง


ไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือ แต่เป็นเศษเสี้ยวของเธอที่ถูกกลบฝังไว้ในที่ซึ่งแสงสว่างไม่เคยเอื้อมถึงเงาของจิตมารทั้งห้าของนาง…


หลงผิด—ดวงตาพร่าเบลอ มัวหมอง คล้ายดวงตาที่เคยมองโลกผ่านม่านน้ำตาและหมอกจิต มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองผิดหรือเพียงแค่กลัวจะไม่ถูกต้อง

หลงใหล—มันเป็นดวงตาเดียวที่เหมือนจะร้องไห้แต่รอยยิ้มที่แฝงไว้กลับหวานลึก เหมือนเงาบุรุษที่เคยกอดเธอไว้ใต้ผ้าห่มเปื้อนเหงื่อและคำโกหก

ริษยา—ราวกับดวงตานั้นเขียวคล้ำและหดแคบ ราวกับมองเห็นแค่สิ่งที่คนอื่นมีและตนไม่มี มันเคยถามเธอว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกเธอ…

โลภะ—จ้องมองนางด้วยแววตาที่เยือกเย็นและไม่รู้จักคำว่า ‘พอ’ มันเคยกระซิบให้นางยึดถือผู้คนและความรักเป็นกรรมสิทธิ์ของตน

โทสะ—เรืองแสงแดงฉานประหนึ่งดวงอาทิตย์ในห้วงนรก สั่นระริกราวกับพร้อมจะระเบิดเข้าใส่ทุกสิ่งที่กล้าแตะต้องหัวใจ


หลินหยาหายใจช้า ๆ แต่มือสองข้างกลับกำแน่นเสมือนร่างกายกำลังจะหลุดออกเป็นเสี่ยง ๆ จากภายใน ทั้งห้าดวงตายังไม่พูดอะไรไม่ขยับไม่แม้แต่กะพริบเหมือนกำลังรอ…แต่อะไรบางอย่างบอกนางว่าการเผชิญหน้านี้ไม่อาจเลี่ยงได้และมันเพิ่งจะเริ่มต้น


เสียงฝีเท้าของหลินหยาดังก้องในโลกที่ไร้ทิศทาง ความมืดดำคล้ายหมอกพิษตลบอบอวลทั่วทุกอณูราวกับกลืนกินแม้แต่ลมหายใจที่นางพยายามกลั้นเสียงไว้ ไม่ว่าจะหันซ้ายหรือขวาก็ไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวแสงที่จะช่วยยึดเหนี่ยวใจนางให้มั่นคง แต่กระนั้นดวงตาคู่งามยังจับจ้องเบื้องหน้าอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้ นางรู้ดี...ว่านี่ไม่ใช่ที่ของความกลัวอีกต่อไป “ข้ารู้อยู่ว่าพวกเจ้ามองอยู่” น้ำเสียงของหลินหยาดังขึ้นในเงียบงันมั่นคงแม้นจะฟังออกว่าเบื้องลึกยังแฝงความระแวดระวังอยู่เต็มเปี่ยม 


“โผล่หัวออกมาเสีย!” เสียงเอ่ยครั้งที่สองนั้นหนักแน่นยิ่งขึ้น สะท้อนกลับจากผนังแห่งเงามืดรอบตัวนางเป็นระลอกเหมือนเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากสิ่งไร้ตัวตน ทว่าไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา มีเพียงเสียงสะท้อนซ้ำ ๆ ของคำว่า “เสีย...เสีย...เสีย...” ที่ระเบิดกระจายเหมือนฝนห่าแรกของฤดูมรสุม


หลินหยาขมวดคิ้วทันทีความอดทนของนางเริ่มแตกร้าวลงทีละน้อย ยิ่งสถานที่นี้เงียบงันคล้ายกับรู้ใจคนเสียงลมหายใจก็เริ่มดังขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะแต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังแทรกมา เป็นเสียงที่ไม่เพียงแค่คล้ายเสียงของนางเองแต่คือเสียงของนาง


“เจ้าช่างไร้ความอดทนเอาเสียจริง” เสียงนั้นแผ่วเบาแต่ลึกล้ำแฝงด้วยความรู้ทันอันน่าขนลุก และแล้วเงารอบด้านก็เริ่มเปลี่ยนไป ม่านหมอกเบื้องหน้าค่อย ๆ เปิดเผยเงาเลือนรางก่อนที่สิ่งมีชีวิตทั้งห้าจะก้าวออกมาจากทิศทั้งห้ารอบกายของนาง เสียงฝีเท้าราวเสียงหิมะย่ำลงบนผืนไม้เปียกแม้ไร้แสงแต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนจนน่าขนหัวลุก


หลินหยาห้าคนเดินตรงมาพร้อมกัน คนละวัย คนละบุคลิก คนละอาภรณ์ แต่...ล้วนเป็น ‘นาง’


เด็กหญิงในชุดฝ้ายดิบเปื้อนฝุ่นโคลนตัวแทนแห่ง ‘หลงผิด’ ดวงตาใสบริสุทธิ์แต่สั่นไหวหวาดกลัว บ่งบอกถึงความไม่มั่นคงทางใจ แม้จะมีรอยยิ้มบาง ๆ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวจนไม่รู้ว่าเป็นความดีใจหรือเพียงภาพลวงหลอก ผิวขาวจัดยิ่งขับให้ชุดผ้าแพรบางที่หล่อนสวมอยู่ดูเปราะบาง ชุดคล้ายเสื้อฝ้ายพื้นเมืองบ้านเกิดหลินหยา ผืนเสื้อเปื้อนหมึกกับคราบน้ำตา "ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ…" เด็กหญิงพึมพำดวงตาไหววูบ "ท่านมีคำตอบให้ข้าหรือไม่ แม่นางหลินหยา?"


หญิงสาวผู้สะพรั่งในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อนปลิวไสวด้วยแรงลมที่ไม่มีอยู่จริงตัวแทนแห่ง ‘หลงใหล’ ก้าวอย่างเชื่องช้าราวกับล่อลวงเดินออกจากม่านหมอกด้วยท่วงท่าเย้ายวนดั่งสายลมฤดูร้อนบนสะพานบุปผา ริมฝีปากสีสดแย้มยิ้มแต่แววตากลับเหม่อลอยคล้ายจมอยู่ในความฝันแห่งตัณหา นางสวมเสื้อคลุมบางเบาสีชมพูอ่อน ผิวพรรณงดงามประหนึ่งยังไม่ได้รับบาดแผลใดจากโลก สายตาหยาดเยิ้มเส้นผมสลวยล้อมกรอบใบหน้าเฉิดฉาย “เจ้าจำได้หรือไม่…ว่าตนเองเคยหลงใหลสิ่งใด? แล้วสิ่งใดเล่าที่น่าหลงใหลกันแน่?”


หญิงวัยกลางคนสวมอาภรณ์ชนชั้นสูงแต่ยับย่นและหม่นหมองตัวแทนแห่ง ‘ริษยา’ ดวงตาของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธสะสม นิ้วมือเรียวยาวขบเข้าหากันแน่นจนข้อขาวซีด ทุกอากัปกิริยาคล้ายจะระเบิดออกมาเป็นเพลิงเผาผลาญประหนึ่งสตรีที่ผ่านความผิดหวังซ้ำซาก เปลือกตาหนักหน่วงคล้ายไม่ได้พักผ่อนมาหลายคืน สีปากจืดชืดแต่กัดฟันแน่น "พวกมัน…พวกมันมีทุกอย่าง" เสียงนางขมขื่น "แต่ข้ากลับต้องดิ้นรนแทบตายเพื่อเพียงเศษเสี้ยวของความรัก ความเมตตา หรือแม้แต่ความไว้ใจ นั่นยุติธรรมหรือ?"


หญิงชราผมขาวในชุดแพรหรูหราร้อยเรียงด้วยเครื่องประดับมรกตหยกหยกตัวแทนแห่ง ‘โลภะ’ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปนเศร้า ราวกับผู้ที่สะสมทุกสิ่งมาได้แต่กลับว่างเปล่าในใจนางสวมผ้าพันคอด้วยไหมหายาก ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่ดวงตาเปล่งประกายความโลภอันเงียบงัน มือกร้านจากกาลเวลาแต่กำกระเป๋าเงินแน่นราวจะไม่มีวันปล่อย "เจ้าต้องการมากกว่านี้อีกใช่หรือไม่? พลัง อำนาจ ชื่อเสียง ผู้คนที่คุกเข่าให้เจ้าทุกมื้อเช้า" เสียงแหบพร่าแต่ลึกซึ้ง "เจ้าบอกว่าเจ้าอยากมีอิสระ แต่ทำไมถึงยังมองหาคนที่รักเจ้าทุกวี่วันกันล่ะ?"


และสุดท้าย...หลินหยาวัยปัจจุบันนางยืนอยู่ตรงข้ามกันในชุดนางกำนัลเปื้อนเลือดเก่าตัวแทนแห่ง ‘โทสะ’ แววตาแน่นิ่งแข็งกร้าว ดั่งกระจกสะท้อนความเจ็บช้ำในก้นบึ้งของใจที่ไม่เคยถูกเยียวยา ผิวซีดจากพิษแววตานั้นเต็มไปด้วยเพลิงขมขื่น ปากเม้มแน่น ชุดนางกำนัลยับย่นและเปื้อนเลือดจาง ๆ จากการต่อสู้ "อย่าทำเป็นไม่รู้จักข้า ข้าคือ ‘เจ้า’ ยามที่โดนทรยศ ยามที่โดนหลอกใช้ ยามที่ถูกลากไปต่อหน้าผู้คนและฟังคำพิพากษาเพราะข้อหาของบุรุษที่บีบเจ้าให้ตายทั้งเป็นข้าไม่ลืม…ไม่เคยลืม…"


ทั้งห้าคนก้าวเข้าหานางพร้อมกันอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเงาสีดำที่คลืบคลานเข้ามาจากทุกด้าน ราวกับโลกทั้งใบจะแปรเปลี่ยนเป็นวงล้อมของการเผชิญหน้าในตัวตนทั้งห้าคนเดินเข้ามาล้อมหลินหยาไว้ ช้า ๆ...ช้าอย่างเจตนา


"ข้าก็คือท่าน…"

"เจ้าคือข้า..."

"ไม่มีใครหนีจากตนเองได้..."

"ไม่ว่ารักแค่ไหน ไม่ว่าทิ้งทุกสิ่งแค่ไหน พวกเราก็ยังอยู่ตรงนี้..."

"ทุกย่างก้าวที่เจ้าเดิน…ล้วนมีพวกเราเฝ้ามอง"


เสียงทุกเสียงซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ดวงตาทั้งห้าคู่ ส่องประกายพร้อมกันราวกับโลกทั้งใบหลอมรวมเป็นกระจกสะท้อนตัวตนที่หลินหยาไม่เคยยอมรับอย่างสิ้นเชิง เสียงรอบกายดังแผ่วคล้ายคำสาป…และความจริงในคราเดียวกัน ปนเปกันระหว่างเสียงหัวเราะ เสียงสะอื้น และเสียงสะอิดสะเอียนคล้ายสายน้ำที่ขุ่นมัวผสมโคลนตมตลอดกาล ดวงตาทั้งห้าคู่จับจ้องเข้ามา...จ้องเข้าไปถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของหลินหยาอย่างเงียบงันราวคำพิพากษาอันไม่มีวันลบล้าง โลกเงาเงียบงัน แต่แรงกดดันกลับหนักหนาสาหัสประหนึ่งนางกำลังยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ ที่แตกเสียงดังในความเงียบ

แต่ทว่าหลินหยากลับเลือกที่จะนิ่งแล้วเงียบงันดุจหลุมลึกในหุบเหว เงียบงันเสียจนหลินหยารู้สึกได้แม้กระทั่งเสียงหัวใจตนเองที่เต้นระรัวอยู่ภายในอกอันอึดอัด ทั้งห้าร่างในเงามืดนั้นยืนล้อมรอบนางไว้ราวกับโซ่ตรวนไร้ตัวตน ปิดทางถอย ปิดทุกโอกาสจะเลี่ยงหนี หากเป็นครั้งก่อนนางอาจจะหวาดกลัวหรือสั่นไหวไปแล้ว แต่ในยามนี้ดวงตาคมหวานคู่นั้นกลับนิ่งเสียจนแทบเย็นชาราวกับเหล็กกล้า


นางขมวดคิ้วเล็กน้อยดวงหน้างามยังเปื้อนสีไม่หายสงสัยไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะงุนงง "นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกล่ะเนี้ย..." นางพูดพึมพำกับตนเองแล้วเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ในลำคอ “หึ…นี่น่ะหรือ...การเผชิญหน้ากับตนเอง? ข้าควรจะกลัวใช่ไหม? หรือรู้สึกตระหนักอะไรบางอย่างออกมา? ฮึ…” นางหัวเราะแผ่วเบา แต่เสียงนั้นปะปนไปด้วยเสียดสีและความสับสนเหมือนคนที่รู้ตัวว่าต้องเล่นหมากกระดานแต่ไม่เคยได้รับเบี้ยสักตัว “พะวกเจ้าทำเหมือนมีอำนาจมากนักแหล่ะ…คือข้าต้องทดสอบยังไงหรอ?...ก็แค่…ตัวเองในวัยต่าง ๆ ที่เดินก้าวเข้ามาแนะนำตัวแบบลิเกอลังการแต่ไม่ซัดกันซักที” เหมือนหลินหยาจะพยายามยั่วยุทั้งห้าคน


ทว่าทันใดนั้นเองเด็กหญิงในชุดฝ้ายเปื้อนดินก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ใบหน้าเล็ก ๆ ซีดเซียวใต้แสงเงาจาง ๆ สะท้อนความอ่อนแอในดวงตากลมโตที่แฝงรอยหลอกลวงจากความเชื่อผิด ๆ จนแทบมองไม่เห็นแก่นแท้ “ผิดแล้วเจ้าค่ะ…” เด็กหญิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วบาง แต่ทิ่มแทงเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งบนใบมีดทำตัวเป็นใสซื่อแต่วาจาดุจคมบาดที่ลับด้วยที่ลับชั้นยอด “ข้าไม่ใช่แค่ท่านในวัยเยาว์เจ้าค่ะ…ข้าคือความหลงผิดในใจของท่าน ความเชื่อผิด ๆ ทั้งหลายที่ท่านกอดเก็บไว้ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ความฝัน ความคาดหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงเจ้าค่ะ คนดีที่ท่านเชื่อว่ามีอยู่จริง คนเลวที่ท่านแสร้งว่าเขาจะกลับใจได้หรือกระทั่งคำสัญญาที่ท่านเก็บไว้ทุกคำทั้งที่รู้ว่ามันกลวงเปล่ายิ่งนัก”


หลินหยาเงียบฟังดวงตาสั่นเล็กน้อยก่อนกลับมานิ่งอีกครั้ง ยังไม่ทันที่นางจะตอบอะไรหญิงสาวในวัยสะพรั่งก็หมุนกายเข้าหา หล่อนแต่งกายงดงามชุดแพรชมพูปลิวไสวเหมือนมีลมแห่งราคะประคองอยู่ตลอดเวลาริมฝีปากแดงจัดยกยิ้มอย่างยั่วเย้า "ข้าคือความหลงใหล" เสียงหล่อนเย้ายวนจนแทบสัมผัสได้ถึงกลิ่นกำยานในถ้อยคำ “ข้าหลงใหลในทุกสิ่งที่เจ้าแอบซ่อนไว้ใต้หัวใจ อาหารแสนอร่อย…เงินก้อนโต…สร้อยหยกงามบนคอผู้ร่ำรวย…หรือแม้กระทั่งสัมผัสจากบุรุษที่เจ้าทำเป็นไม่เหลียวแล...แต่เจ้าใฝ่หา” นางยื่นปลายนิ้วชี้แตะแผ่นอกของหลินหยาเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีใครบางคนในใจ และในคืนนั้นเจ้าคร่ำครวญหาเขาจนแทบกลืนกลิ่นเขาติดกับหมอนผืนบาง"


หญิงวัยกลางคนย่างเท้าออกมาเสียงก้าวหนักหน่วงราวจะเหยียบย่ำทุกคนที่ยืนอยู่ ผ้าคลุมยาวสีหม่นถูกปาดเปิดเผยให้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของความไม่พอใจที่สั่งสมมาหลายสิบปี "ข้าคือริษยา…เหอะ" นางแค่นเสียงเหอะใส่หลินหยา "ข้าเกลียดทุกสิ่งที่เจ้าไม่มี...เกลียดแม้กระทั่งความงดงามในอดีตของตัวเจ้าเอง เจ้าเคยเป็นสิ่งใด แต่เจ้าลืมหรือไม่ว่ามีสิ่งใดบ้างที่สว่างกว่า? ข้าเกลียดเด็กที่ได้รับความรัก...เกลียดหญิงที่ถูกอุ้มขึ้นรถม้า...เกลียดสหายคนสนิทที่หัวเราะได้แม้ข้าจะร้องไห้จนหมดแรงเพียงคนเดียว" แววตาหล่อนแดงจัดเหมือนเปลวเพลิงที่ไม่มีน้ำดับ ริษยาทุกแววตา ริษยาทุกอ้อมกอดริษยากระทั่งลมหายใจของโลกใบนี้


หญิงชราเดินตามออกมาอย่างช้า ๆ เส้นผมสีเงินยาวถูกถักอย่างประณีตแต่กลับหลุดรุ่ยเหมือนไม่มีใครใส่ใจมาแรมปีใบหน้าผากลึกไปด้วยริ้วรอยเหมือนจารึกของความกระหายไม่สิ้นสุด "ข้าคือโลภะ..." นางกล่าวช้า ๆ เหมือนบทสวดศพ "ข้าโลภในทุกสิ่งที่เจ้าไม่มี...ในสิ่งที่เจ้าคิดว่าเจ้าไม่สมควรได้...ในเวลาที่ขาดหายไป คนรักที่จากไป สุราที่หมดแก้ว อ้อมแขนที่ไม่กลับมา..." นางยื่นมือเหี่ยวย่นออกไปแตะอากาศ "โลภแม้แต่เศษเสี้ยวของอดีตที่เจ้ารู้ว่าไม่มีวันหวนคืน"


สุดท้าย...หญิงสาวในชุดนางกำนัลเปื้อนคราบเลือดนั้นก็ก้าวออกมาช้า ๆ ไม่มีคำพูด ไม่มีท่าทาง แค่ยืนตรงหน้าหลินหยา สายตาตรงราวกระจกที่สะท้อนตัวตนของนางเอง "...เจ้าเคยทำร้ายใครไปบ้าง?" เสียงนั้นนิ่งเรียบแต่แทงลึกเหมือนปลายเข็มยาว "จำได้ไหมว่าผู้ใดอยู่ใต้ร่างและใต้หมัดของเจ้า? เลือดของใครที่แห้งกรังบนหมัดข้างขวานั้น? จำได้ไหมว่าเจ้าใส่ชุดนางกำนัลนี้ไปทำไม...ใครให้เจ้า? ข้าคือโทสะ…โทสะที่เจ้าบอกว่าไม่มีแต่ปล่อยให้มันกัดกินเงียบ ๆ ในทุกค่ำคืน"


เมื่อทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จหลินหยานิ่งงัน ทุกเสียงกรีดลึกเข้าหาเส้นประสาททุกคำเหมือนตะขอเกี่ยวความทรงจำอันบิดเบี้ยวให้ผุดกลับขึ้นมาราวฝูงปีศาจใต้บาดาล เสียงหัวเราะของหลินหยาอีกห้าคนเริ่มแทรกซ้อน เสียงแผ่วต่ำ สะท้อนในเงา


“เจ้าจะเผชิญหน้ากับพวกข้าได้หรือไม่...หลินหยา? หรือเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า…ข้าก็คือเจ้า”


แต่ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นหลินหยากลับหัวเราะ…หัวเราะออกมาแบบไม่ปิดบัง เสียงหัวเราะของหลินหยาแผ่วพร่าในความมืดราวกับคมมีดที่แล่เนื้ออย่างเชื่องช้า เสียงนั้นมิได้เปล่งออกมาด้วยความขบขันแท้จริงหากแต่ปนเปด้วยความตลกร้ายและชิงชังต่อตนเอง นางสบตากับเงาอีกห้าร่างที่รายล้อมเหมือนดอกไม้พิษทั้งห้าแฉกที่เบ่งบานกลางเงามัจจุราชแล้วยิ้มเอียงศีรษะ


“ข้านึกแล้วเชียวว่านี่มันต้องมีอะไรพิเศษกว่าภาพหลอนธรรมดาๆ…เอาเข้าจริง ข้าอยากหัวเราะให้กับเงาหรือใครก็ตามที่ออกแบบบททดสอบพรรค์นี้เสียเหลือเกิน…” นางจ้องหน้าพวกมันทีละคนอย่างไม่ไหวเอน “จะเข้ามาพร้อมกันเลยไหมล่ะหรือจะให้ข้าจัดการเรียงทีละตัว?”


ใบหน้าทั้งห้าขยับไปพร้อมกันราวกับภาพฝันอันบิดเบี้ยว เสียงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใดดังแว่วลอยขึ้นจากรอบทิศคล้ายจะเป็นเสียงของทั้งห้าในเวลาเดียวกัน “เจ้าคงจะเบื่อ...เกินไปหน่อยที่จะรับมือทีละตน แต่หากเจ้าคิดจะรับมือข้าทั้งห้าพร้อมกันล่ะก็...เจ้าคงสติแตกเสียก่อนแน่ ๆ” สิ้นเสียงนั้น ร่างหนึ่งก็ย่างเท้าออกมาก่อนเหมือนโลกทั้งใบบีบอัดจนเหลือเพียงจุดเดียวที่มีแสงอ่อนเรืองล้อมอยู่กลางวง เธอในวัยเด็กผิวขาวซีดใบหน้าเปื้อนรอยดิน ขลุ่ยไม้ผูกริ้วผ้าสีจางในมือเล็กของเธอสะท้อนแสงเงาเบาบางเหมือนเศษความฝันที่ยังไม่ถูกกลืนหาย


"หากเป็นเช่นนั้นคงเป็นข้า…งั้นข้า...จะเริ่มก่อนเองเจ้าค่ะ"


นางยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปากเล็ก ๆ เสียงแรกที่เป่าออกมามิใช่บทเพลงหากเป็นเสียงหวีดที่ราวกับข่วนหัวใจ คล้ายเสียงขลุ่ยจริงหากแต่มันส่งตรงถึงแก่นแห่งสำนึกทุกโน้ตทุกถ้อยคำที่กล่าวต่อจากนั้น ไม่ใช่เสียงพูดปกติแต่มันคือเสียงของความคิด…ความหลงผิด…ที่แทรกเข้ามาในหัวหลินหยาอย่างไร้ปรานี


"ท่านเคยคิดว่าโลกนี้งดงาม...ว่าไหมเจ้าคะ?" เด็กน้อยยังคงเป่าขลุ่ยแต่คำพูดไหลออกมาพร้อมเสียงนั้น "ท่านเคยคิดว่าความดีจะได้รับรางวัล…แต่สุดท้ายท่านกลับถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือแม้แต่เศษฝันจนหนักหนาใช่ไหมเจ้าคะ?" เสียงโน้ตแปรเปลี่ยนดุจเสียงสะอื้น เสียงกระซิบ เสียงหัวเราะเยาะตนเองในความฝันที่ว่างเปล่า "ท่านคิดว่าท่านยายจะไม่ตาย ท่านตาจะไม่เปลี่ยนไป เพื่อนจะไม่ทรยศ...ท่านพ่อท่านแม่จะยังคงเดิม คำสัญญาทุกคำที่ท่านกล่าวออกไป...มีสิ่งใดบ้างที่ท่านทำได้แม้แต่คำที่ว่า 'ข้าจะลืมเขา ข้าจะเกลียดเขา' ท่านก็ยังละเมิดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าใช่ไหมเจ้าคะ?"


"ท่านตามหาความรักแท้อันอบอุ่นในทุกหนแห่งเหมือนคนตาบอด ราวกับคนขอทานจากความอบอุ่นแม้รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริงแต่ท่านก็ยื่นมือออกไปอยู่ดีใช่ไหใล่ะเจ้าคะ?" ขลุ่ยหยุดลงอย่างฉับพลันเด็กหญิงยืนนิ่งเงยหน้ามองหลินหยา ดวงตากลมโตที่ครั้งหนึ่งเคยสื่อความไร้เดียงสาบัดนี้กลับฉายแววโหดร้ายของการรู้แจ้งเสียจนหลอกหลอน "ข้าคือหลงผิดของท่านเจ้าคะ…ข้าคือท่านที่ยังกล้าเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าจะเชื่อ ยังกล้าเชื่อในรักที่ไม่ควรรัก…ในคนที่ไม่ควรรอ…และในชีวิตที่ไม่เคยมีทางเป็นของท่าน" เสียงสุดท้ายนั้นสะท้อนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า


หลินหยายืนนิ่ง ใบหน้างดงามของนางไม่เปลี่ยนสีไม่ยิ้มไม่ร้องไห้ แต่ดวงตากลับวาววับเป็นประกายบางอย่างที่ยากจะแปลความความแข็งกร้าว หรืออาจเป็นประกายเศษสุดท้ายของคนที่ยังอยากเชื่อ ขลุ่ยไม้ในมือหลินหยาเย็นเยียบราวกับถูกแช่ในสายธารแห่งคืนวัน เสี้ยววินาทีหนึ่งก่อนที่นางจะเป่าเสียงสะท้อนอันแหลมคมจากบทเพลงของ ‘เด็กหญิงผู้หลงผิด’ ยังดังก้องอยู่ในโสต ทว่าหลินหยาเพียงยิ้มบางดวงตาคู่นั้นไม่มีอีกแล้วซึ่งความไร้เดียงสา หากมีเพียงประกายแน่วแน่จากผู้ที่เรียนรู้แล้วว่าความจริงมันเจ็บแต่ก็จำเป็นต้องมองตรงเข้าไป


นางแนบขลุ่ยกับริมฝีปากเป่าลมแรกออกไปช้าๆ ทว่าหนักแน่น เสียงที่เปล่งออกมิได้อ่อนหวานหรือไพเราะแบบนักดนตรีบรรเลง หากแต่เต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของชีวิตจริงทุกลมหายใจของบทเพลงคือบาดแผลที่ไม่อาจลบเลือน แต่เป็นแผลที่นางเลือกจะยอมรับมันทั้งหมด “โลกใบนี้...ข้าเคยคิดว่ามันสดใส” หลินหยาเป่าต่อโดยไม่มองร่างวัยเด็กที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “ข้าเคยเชื่อว่าเพียงเราทำดี ทุกอย่างจะตอบแทนกลับมาดี ข้าเคยเชื่อว่าเจ้าหญิงในนิทานจะไม่ถูกสาปหรือนางโลมจะมีวันที่หลุดพ้นจากหออันโสมม…แต่ข้าเข้าใจแล้ว โลกมันไม่ได้โหดร้ายเพราะมันเกลียดข้าแต่มันโหดร้ายเพราะข้าไม่เข้าใจมันต่างหาก” บทเพลงยังดำเนินต่อเสียงดนตรีเหมือนสายลมที่ไหลผ่านโคลนตม กลั่นกรองกลิ่นเน่าของความหลงผิดให้กลายเป็นบทเรียน หลินหยายิ้มบางยกปลายนิ้วปาดไรผมที่หลุดลงบนหน้าผาก


“แต่ถึงอย่างนั้น โลกนี้…มันก็งดงามกว่าที่ข้าคิด” นางกล่าวเสียงเบา “เพราะแม้ในวันที่ข้าถูกจ้อนจนจนมุมและทรมาณ ข้ายังได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กในตลาด แม้ในวันที่ข้าร้องไห้ ข้ายังได้ยินเสียงแมวหลับอยู่ข้างกระถางดอกท้อของข้า การออกเดินทางของข้าไม่ใช่เพราะข้าหลงผิด แต่เพราะข้าอยากเข้าใจให้มากขึ้น ข้าอยากรู้ว่าโลกนี้จะมีความหมายอะไรอีก ข้าอยากเชื่อ…ว่ามันยังมีสิ่งที่ข้ายังไม่เข้าใจพอ” นางหยุดเป่าขลุ่ย ดวงตาสบตาร่างวัยเด็กของตนเองที่ยังจ้องมาด้วยแววตาผสมระหว่างสับสน โกรธ เศร้า และไม่เข้าใจ


“เจ้า...คือข้าในวัยเด็ก เจ้าคือความหลงผิดที่ไม่อาจหนีแต่ข้าเติบโตแล้ว ข้าผ่านมาแล้ว เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอกข้าไม่ใช่เด็กที่เฝ้าแต่ถามว่าทำไมใครๆ ถึงไม่รักข้าอีกต่อไป…ไปเถิดไป…เจ้าหมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ร้องหาคำตอบจากความฝันลม ๆ แล้ง ๆ อีก ข้าเดินอยู่ในโลกจริงแม้มันจะสกปรกเต็มไปด้วยความโหดร้าย…แต่ข้าก็ยังอยากเดินต่อ” เสียงของขลุ่ยดังก้องขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เสียงแห่งการยอมแพ้ หากแต่เป็นเสียงของการปลดปล่อยเสียงแห่งความเข้าใจและอำลา เงาร่างของหลินหยาในวัยเด็กแปรเปลี่ยนกลายเป็นแสงจางเบา ก่อนจะสลายตัวหายไปในความมืดอย่างเงียบงัน เหลือไว้เพียงลมเบาที่พัดผ่านแก้มนางดุจมือของอดีตที่ยอมโบกลาอย่างอ่อนโยน...นางก้าวข้ามจิตหลงผิดไปได้แล้ว




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: พยายามแล้วคุณพี่ ตัดเถอะถ้ามันจะขนาดนี้ 555555

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 83209 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-15 06:06
โพสต์ 83,209 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-15 06:06
โพสต์ 83,209 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-15 06:06
โพสต์ 83,209 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-15 06:06
โพสต์ 83,209 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-15 06:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-15 06:07:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-15 15:28

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 12 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองอู่เว่ย ประตูแห่งเงาและพันธะ


เสียงขลุ่ยสุดท้ายเมื่อครู่ยังไม่ทันจางลงดี เงาแสงของจิตหลงผิดที่สลายไปทิ้งไว้เพียงความเงียบแสนบาดลึกในใจ ทว่า... ความเงียบก็กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตาอันแสนสั้นเมื่อก้าวถัดมาจากเงาสลัว ๆ กลับเผยร่างของสตรีหนึ่งออกมาช้า ๆ ราวกับภาพในควันหอมจากธูปต้องมนตร์ เธอคือหลินหยาเช่นกัน...แต่เป็นหลินหยาที่งดงามเกินจะต้านดวงตะวันขึ้นฟ้า ใบหน้างามคมคล้ายจะละมุนแต่ดวงตากลับเจือกลิ่นไหวสะท้านราวอสรพิษในม่านไหม กลิ่นดอกไม้ผสมกลิ่นน้ำหอมบางเบาจากน้ำมันยำยู่อยู่ปลายจมูก ทุกท่วงท่าของนางคือเสน่ห์ที่ถูกกลั่นจากตัณหาล้วน ๆ


“เจ้ากำจัดข้าไม่ได้หรอก” เสียงหวานเย้ายวนเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหัวเราะเบาแผ่วดุจละอองน้ำผึ้ง “เพราะเจ้าก็คือข้าและข้าก็คือเจ้าที่แท้จริง ไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งหรอกหลินหยา” นางก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ปลายนิ้วของเธอลูบไล้ผ่านแนวกรามของหลินหยา ก่อนจะเชยคางของนางขึ้นเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วเย็นเฉียบสายตาของอีกฝ่ายพราวระยับดั่งดวงดาวในยามรัตติกาลที่ซุกซ่อนอสรพิษไว้เบื้องหลัง


“เจ้าชอบของสวยของงาม ชอบเงินที่เต็มถุง ชอบข้าวของหอมหวาน ชอบเวลามีคนมองเจ้าเหมือนเจ้าเป็นของเล่นราคาแพง และแน่นอน…เจ้าชอบมือของเขาที่ลูบหลังเจ้าอย่างแผ่วเบา ชอบลมหายใจของเขายามกระซิบที่ใบหู...หรือไม่จริง?”


ลมหายใจอุ่นร้อนนั้นไล้ชิดแก้มหลินหยาทันทีที่ประโยคสิ้นสุด นางหลินหยาผู้งามสะพรั่งผู้นั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชิด สัมผัสนุ่มของริมฝีปากเฉียดริมฝีปากของหลินหยาเล็กน้อยก่อนที่มืออีกข้างจะเลื่อนลงมาจิกเบา ๆ ที่ช่วงเอวราวกับจะปลุกความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าของร่างหลงลืมไปนาน


“เจ้าไม่ต่างจากข้าหรอก...” เสียงกระซิบเบาหวิวเต็มไปด้วยแรงถาโถมของความหิวกระหาย 


“เจ้าแค่โกหกตัวเองว่าอยากเดินทางอยากเติบโต ทั้งที่สิ่งที่เจ้าต้องการคือความรักความต้องการ...การครอบครองใครบางคนไว้จนไม่เหลืออากาศให้เขาหายใจต่างหาก” เล็บของเธอกดลึกลงไปอีก เสียงหายใจร้อนผ่าวยังคงแผ่วผ่านซอกคอของหลินหยา ราวกับปีศาจที่พ่นเปลวไฟแห่งกิเลสออกมาเผาผลาญตนเองไปพร้อมกับเจ้าของกาย

“ข้าคือเจ้าที่แท้จริง...ไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจาก...ความปรารถนาทุกหยาดหยดในหัวใจของเจ้า อย่าคิดว่าจะรอดจากข้าได้ง่าย ๆ เพราะเจ้าก็ยังต้องการข้า...เสมอ”


เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังสะท้อนในห้องเงา อ้อมแขนของหลินหยาผู้งามสะพรั่งโอบรัดร่างของหลินหยาไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนหัวใจในอกของเจ้าตัวเริ่มสั่นระรัวระคนปวดร้าวนี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่มันคือการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เจ้าไม่อาจละสายตาจากได้…ความจริงที่ถูกห่อไว้ในกลิ่นกาย...และแววตาที่เจ้าปรารถนาจนต้องหลอกตัวเองว่าไม่เคย


หลินหยาโดนตรึงไว้ในอ้อมกอดและอ้อมแขนร่างอันงดงามยั่วยวนราวกับสตรีในความฝัน ดวงตานางหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแผ่ว คล้ายจะระบายแรงอึดอัดบางอย่างที่กดทับใจมานานแสนนาน เงาร่างเบื้องหน้าแม้จะเป็นตนเอง…แต่กลับช่างแปลกแยกเสียจนยากจะยอมรับ สายตาที่ฉาบด้วยเพลิงปรารถนา ท่าทางแช่มช้อย และรอยยิ้มที่แม้จะหวานล้ำก็กลับเต็มไปด้วยความหิวกระหายราวพยาธิในท้องนางยักษ์


"ข้าขอถามเจ้าสักอย่าง" หลินหยาตัวจริงเอ่ยขึ้นในที่สุดน้ำเสียงราบเรียบเย็นเยือก แต่นัยน์ตากลับฉายแววแน่นิ่งของผู้กลืนเลือดตัวเองมาทั้งชีวิต "เจ้าหลงใหลสิ่งใดกันแน่นอกจากเงินตรา อาหาร และใครกันแน่ที่ข้าหลงใหล?"


สตรีงามผู้เป็นจิตหลงใหลนั้นแค่นหัวเราะเบา ๆ คล้ายพอใจนักกับคำถามที่ได้ยิน เสียงหัวเราะของนางคล้ายระฆังทองในซุ้มกุหลาบ แต่ซ่อนหนามที่อาบยาพิษปลายนิ้วขยับลูบไล้เส้นผมหลินหยาอย่างแผ่วเบาราวกับแสร้งเอ็นดู ก่อนจะยื่นใบหน้ามาแนบข้างแก้มหลินหยาเสียงกระซิบร้อนระอุไล้ผ่านใบหูของนางไปช้า ๆ พร้อมความขนลุกที่แล่นซ่านแผ่นหลัง "ข้าต้องบอกเจ้าหรือ? หรือเจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าข้าหลงใหลใคร..." จิตหลงใหลกล่าวเสียงหวานปานหยดน้ำผึ้งที่ละลายยาพิษในใจร่างสตรีวัยสะพรั่งที่แทนด้วยจิตหลงใหลหัวเราะเบา ๆ แววตานางสั่นระริกเหมือนแม่น้ำที่ถูกลูบไล้ด้วยลมฤดูร้อน ปลายเล็บเรียวยาวลูบลำคอของหลินหยาเบา ๆ พร้อมไล้นิ้วเรียวไปตามโครงหน้าของตัวจริงอย่างแช่มช้า…ราวกับจะประทับรอยจำลงในกระดูก


"ข้าหลงใหลในทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา...เจ้ารู้ดีไม่ใช่หรือ? ความปรารถนาเจ้าไม่เคยหายไปมันแค่ซ่อนลึก" เสียงของนางหวานจัดจนชวนเวียนหัวริมฝีปากสีแดงสดยิ้มเยาะขณะเอ่ยต่ออย่างไม่ละสายตา "เจ้าปรารถนาเหล้ารสเลิศในวันที่ฝนตก ปรารถนาชายคนหนึ่งในยามที่อ้อมแขนของเขาไม่ใช่ของเจ้า ปรารถนาจะให้สายตาทุกคู่มองมาด้วยความชื่นชม...แม้แต่คนที่เจ้าเกลียดที่สุด เจ้าก็ยังอยากให้เขารักเจ้า"


"ถามตัวเองสิหรือบอกข้าก็ได้...บุรุษคนใดกันที่อยู่ในใจของข้าหรือของเจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ หรือไม่กล้าแม้แต่จะพูด?" หลินหยาตัวจริงเอ่ยถามต่อ สบตาอีกฝ่ายแน่นิ่งอย่างไม่ละล่ำละลักใบหน้าไม่สั่นไหวเลยสักนิดแม้หัวใจจะคล้ายถูกตอกย้ำด้วยข้อกล่าวหาทุกถ้อยคำก่อนหน้านั้น


สตรีงามหยุดนิ่งไปชั่วครู่ใบหน้างามงดสลดลงเพียงชั่ววินาทีหนึ่ง แววตาแปรเปลี่ยนไปคล้ายกับงุนงง…ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวและเสียงหัวเราะที่เริ่มไม่เป็นจังหวะ "เจ้าก็รู้ว่าเขาคือใคร...เจ้าคิดถึงเขาทุกครั้งที่หลับตา เจ้าฝันถึงเขาแม้จะบอกตนเองว่านั่นคือฝันร้าย เจ้าฟังเสียงของเขาแม้ในความเงียบ เจ้า...ต้องการเขา!"


"งั้นตอบมา" หลินหยาพูดแทรกทันควันเสียงของนางแข็งกระด้างขึ้น ขณะที่มือกำขลุ่ยแน่นจนข้อขาว "ถ้าเจ้าคือข้า เจ้าก็ต้องพูดชื่อของเขาออกมาให้ได้"


จิตหลงใหลชะงักไปทันทีรอยยิ้มคล้ายถูกตอกด้วยตะปู เสียงในลำคอนางขาดห้วงไปชั่วขณะ ดวงตาหลุบต่ำลง...ขยับริมฝีปากเงียบ ๆ อย่างคนที่รู้ความจริงแต่ไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้


หลินหยาตัวจริงเงยหน้าขึ้นทอดถอนหายใจเบา ๆ แล้วกระซิบ "เจ้าไม่รู้..." ดวงตาของนางแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง "เพราะเจ้ามีแค่ความปรารถนา แต่ไม่มีหัวใจ" ขณะพูดจบมือของหลินหยาเหวี่ยงขลุ่ยไม้จากด้านล่างขึ้นสูงอย่างฉับพลัน เสียงหวีดของไม้ผ่าลมสะบัดไปกระแทกกลางร่างสตรีงามในทันที แรงสั่นสะเทือนที่อัดแน่นด้วยจิตแห่งการยอมรับ ความเข้าใจและการก้าวข้าม แผ่กระจายออกมาราวกับลมพายุที่พัดพาความลุ่มหลงไปทั้งแผ่นดิน จิตหลงใหลเซถอยหลังไปหลายก้าว เงาร่างเริ่มสั่นคลอนเสียงหัวเราะของนางแตกพร่าในลำคอเหมือนบทเพลงที่เล่นด้วยสายผีผาขาด


"เจ้า…กำลังหันหลังให้ข้า?" นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว "เจ้าจะทิ้งข้า? ทิ้งความปรารถนาทั้งหมดนั้นไปจริง ๆ หรือ?"


"ไม่ใช่การทิ้งแต่ข้าเลือกจะเดินต่อโดยไม่แบกเจ้าไว้" หลินหยาพูดเบา ๆ แต่มั่นคง


ใต้เงาสะท้อนแห่งจิตใจอันบิดเบี้ยว เมื่อเงาหลินหยาในวัยสาวสะพรั่งกำลังสั่นไหวจวนดับสูญในความล่มสลายจากขลุ่ยไม้ที่ผ่านมาไม่กี่ลมหายใจ ร่างของหลินหยา...ตัวจริงก้าวยืนนิ่งอยู่กลางความว่างเปล่า นัยน์ตาของนางสาดแสงราวกับเปลวเพลิงที่ไม่ยอมดับต่อสายลมอันเยือกเย็น ดวงหน้าแม้ยังคงเปื้อนฝุ่นและรอยหม่นจากทุกสิ่งที่เผชิญมา แต่กลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของการสั่นคลอนหลงเหลืออยู่ หลินหยาค่อย ๆ ลดขลุ่ยในมือลงริมฝีปากนางขยับเอ่ย...ชัดถ้อยชัดคำ ราวกับค่อย ๆ หลอมความจริงในใจตนออกมาเป็นถ้อยคำตรงหน้า


"ข้าหลงใหล… ใช่ ข้าเคยปรารถนาได้ปลื้มไม่ว่าจะเงินตรา อาหารแสนอร่อย เครื่องประดับหรูหรา กลิ่นหอมของดอกไม้มงคล และ...ความรักจากใครบางคนที่แม้ข้าไม่อาจเอื้อมถึง" น้ำเสียงของนางไม่สั่นแม้ใจในยามนั้นเหมือนจะต้องกัดกลืนเงาของตนเอง "แต่ข้าก็เลือกได้… หากสิ่งใดที่ข้าหลงใหลนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตัวตนของข้าเอง ข้าก็จะ สละมัน" สายตาของหลินหยาไม่ละจากร่างจิตหลงใหลซึ่งยังเหลือเพียงเสี้ยวเงาแหลมคมที่เหมือนจะพังทลายลงในทุกจังหวะลมหายใจ


"ข้าสละเงินตรา หากมันทำให้ข้ากลายเป็นคนที่ไร้ศักดิ์ศรี ต้องกราบแทบเท้าเพื่ออยู่รอดในโลกเลวทรามนี้… ข้าสละอาหารอันโอชะหากมันทำให้ข้าลืมว่าโลกใบนี้ยังมีคนหิวโหยกว่าอยู่เต็มเมืองและความรักของบุรุษ… ข้าก็สละได้หากมันจะฉุดข้าลงเหว หากมันจะเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นเพียงเงาของเขาหากมันจะทำลายข้าให้แหลกสลาย"


มือขวาของหลินหยาขยับรวดเร็ว ก่อนจะคว้างขลุ่ยไม้ลงสู่พื้นเบื้องข้าง เสียงกระทบสะท้อนในห้วงความว่างเงียบงันนั้นดั่งสัญญาณแห่งการสิ้นสุดแล้วในมือของนางกลับปรากฏง้าวคมกริบด้ามยาว ร่างของหลินหยาก้าวฉับไปข้างหน้าอีกครึ่งก้าว วาดง้าวขึ้นสูงอย่างองอาจก่อนจะสะบัดมันจนปลายใบง้าวตวัดแสงวาบเฉือนเงาร่างจิตหลงใหลจนแตกกระจายกลายเป็นผงเงาละเอียด ละลายไปกับความมืดโดยสิ้นเชิง


"ข้าทำได้เพียงบอกว่าข้ารักเขา" หลินหยาเอ่ยพลางทอดตามองที่ว่างเปล่าข้างหน้า ริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กน้อยแม้ในดวงตาจะมีไอเศร้า "แต่ข้าจะ เคารพตัวเองเสมอ แม้ในวันที่โลกทั้งใบจะไม่เคยเคารพข้าเลยก็ตาม" ก่อนที่จะหมุนปลายง้าวขึ้นพาดบ่าและเอ่ยคำสุดท้ายกับตัวเองเสียงเบาแต่ชัดเจนดั่งคำสาบาน


"ถูกต้องนัก ข้าหลงใหลและเพราะเช่นนั้น… ข้าต้องกลับไปโลกปกติให้ได้ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ข้าหลงใหลนั้น... ว่าข้าจะรักมันอย่างไรให้ไม่เสียตัวตนของข้า"


ในม่านเงาที่เย็นเยียบและหนักอึ้งราวโลกแห่งคำสาปร่างหนึ่งก้าวเข้ามาช้า ๆ จังหวะฝีเท้าทุกก้าวเต็มไปด้วยแรงอาฆาตซึ่งเกาะกินจากภายในเหมือนสนิมกัดเนื้อเหล็ก หญิงวัยกลางคนผู้มีผมยาวสีดำเกล้าไว้หลวม ๆ ด้วยปิ่นหยกหม่นที่ดูแพงแต่กลับหม่นหมองไร้รัศมีงดงามอย่างที่ควรเป็น นางสวมชุดคลุมแพรม่วงเข้มขลิบดำ ที่เมื่อสะบัดพลิ้วก็ราวกับเงาแห่งความไม่พอใจพัดผ่านท้องฟ้าในใจหลินหยา ริมฝีปากของนางหยักยิ้มเยียบเย็น ตาคมเฉียงมองตรงมาด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ถูก มันไม่ใช่ความเกลียด...แต่เป็นความอยากได้… อยากมี… อยากเป็นไม่ว่าอะไรก็ตามที่หลินหยาตัวจริงไม่เคยวางใจใฝ่หา


"ข้าคือเจ้าในวันที่ความอ่อนล้าเกาะกุมหัวใจ...ในวันที่ยิ้มของคนอื่นกลายเป็นมีดแทงใจของเจ้า" หลินหยาในวัยกลางคนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางหนักแน่นและชวนสะอึกช่างคล้ายเสียงกระซิบของปีศาจในค่ำคืนเปลี่ยวเหงา "ข้าริษยา...พวกมันล้วนมีสิ่งที่เจ้าไม่มี ไม่ว่าจะความรักของบิดา ความอบอุ่นของแม่ ความทรงจำวัยเยาว์ที่ไม่เปรอะเปื้อน หญิงสาวที่ผิวนุ่มกว่าข้า...สวยกว่าข้าร่ำรวยกว่า ได้รับความสนใจมากกว่า... หรือได้ เขา ไปครอบครอง"


เสียงนั้นกลืนเข้ากับความเงียบรอบกายแต่กลับดังก้องในหัวใจอย่างยากปฏิเสธ ดวงตาของเงาริษยาเริ่มแวววาวคล้ายร้อนแรงขึ้น ราวกับไฟปรุงเผาทุกหยดความทรงจำให้งอกรากกลายเป็นเถาวัลย์แห่งความชิงชังที่กำลังรัดรึงต้นไม้ใจของนางไว้


แต่หลินหยากลับไม่หวั่นไหว


นางหัวเราะเบา ๆ หัวเราะทั้งที่ยังมีรอยฟกช้ำในใจจากจิตดวงก่อนหน้านั้นเหมือนใครบางคนที่ได้ยินเรื่องล้อเล่นแสนตลกในงานศพ "ริษยา? กับสิ่งที่ข้าไม่เคยต้องการอย่างจริงใจงั้นรึ?" ดวงตาของหลินหยาเป็นประกายอย่างเยือกเย็นแต่มั่นคงราวหินผารับคลื่นลมบ้าคลั่ง "เจ้าน่ะ… อ่อนแอกว่าทุกดวงจิตด้วยซ้ำรู้ตัวไหม? เพราะในชีวิตของข้า…ข้าไม่เคยต้องการมากเกินไปสักครั้ง" น้ำเสียงนางไม่อ่อนโยนแต่ก็ไม่เยาะเย้ย กลับกลายเป็น เมตตาอย่างเย้ยหยัน ต่อเศษเงาของตนเองที่บิดเบี้ยวเกินจะรับรู้ความรัก


"ข้าไม่เคยริษยาผู้หญิงที่สวยกว่าเพราะข้ารู้ว่าข้าสวยในแบบของข้า ข้าไม่เคยริษยาผู้ที่รวยกว่า เพราะข้ารู้ว่าข้าใช้สิ่งที่มีได้ดีกว่า ข้าไม่เคยริษยาแม้แต่เขาบุรุษที่ข้าเคยหลงใหลหากเขาจะรักใครที่ไม่ใช่ข้า ก็ช่างหัวเขาเถอะ ข้าจะเสียอะไรไปไม่ได้ในเมื่อข้าไม่เคยต้องการมันจริง ๆ"


เสียงของนางค่อย ๆ เงียบลง ก่อนยกมือขึ้นวาดเป็นวงอย่างเชื่องช้าง้าวในมือที่หลับใหลกลับตื่นขึ้นมาในมือราวมีชีวิต หลินหยาไม่ได้พุ่งใส่เงาริษยา ไม่จำเป็นหรอก….นางเพียงกวาดง้าวไปด้านข้างเบา ๆ แต่พลังของคำพูดและจิตใจที่แน่วแน่ของนาง กลับสร้างแรงกระเพื่อมในเงาริษยาเหมือนระลอกคลื่นซัดทรายหลวม ๆ หลินหยาวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยเงาความริษยา ค่อย ๆ แตกร้าวราวกับร่างถูกสะกิดเบา ๆ ก็ล้มครืนลงเป็นเศษผง เสียงนางหล่นวูบก่อนสิ้นไปกับคำพูดสุดท้ายที่ลอยเคว้งคว้าง 


"เพราะข้าไม่เคยต้องการ...เจ้าจึงไม่ใช่ข้าอีกต่อไป"


หลินหยาค่อย ๆ หายใจออกลึกสูดอากาศในโลกเงานี้ราวกับอยากแยกให้ชัดระหว่างสิ่งที่เป็นตนเองกับสิ่งที่จิตใจเคยตกหลุมหลง เอาอะไรกับคนที่ไม่อยากเป็นเมียเอกและไม่คิดที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลกกันล่ะ?...


ในขณะที่เงาริษยาค่อย ๆ สลายตัวเป็นฝุ่นธุลี ความเงียบกลับเข้าปกคลุมโลกแห่งเงาอีกครั้งหนึ่ง เสียงฝีเท้า...ครืด...ครืด...ดังแผ่วเบาแต่หนักแน่น ราวกับเหยียบย่ำผ่านทรายแห่งกาลเวลา ร่างที่ปรากฏตรงหน้านั้นคือหญิงชรา ผู้มีเรือนผมขาวดุจหิมะในฤดูเหมันต์แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความสง่างามอันเยือกเย็น ดวงตาแก่ชราเหล่านั้นขุ่นมัวราวกับเคยพบเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้และไม่มีวันพอใจในสิ่งใดอีก หลินหยาวัยชราสวมอาภรณ์ไหมชั้นดีลวดลายดอกเหมยปักด้วยด้ายทองละเอียด เส้นริ้วเงินแต่งแต้มบนชายผ้าและสวมกำไลทองหยกเต็มสองข้อมือ ร่างกายของนางดูรวยล้น ฟุ้งเฟ้อ และอ่อนล้าในเวลาเดียวกัน


"เจ้าอยากได้มันใช่หรือไม่...?" เสียงนางเอ่ยดั่งผู้มีอำนาจในตำนานโบราณปรัมปรา มือเหี่ยวย่นยื่นกล่องไม้ไผ่ลายโบราณมาให้เป็นกล่องที่เมื่อหลินหยาเห็นเพียงแวบเดียว หัวใจของนางก็เต้นโครมดังราวถูกตีด้วยฆ้องอาญาในกล่องนั้นคือของทุกชิ้นที่หลินหยาคิดจะเก็บไว้จนลมหายใจสุดท้าย


เครื่องประดับจากมารดาที่ไม่เคยได้มาครอบครอง

กำไลหยกของท่านย่าอาจารย์ดนตรีคนแรกที่นางทำหายไปเมื่อวัยเจ็ดขวบ

ถุงเหรียญตำลึงทองที่นางใช้ซื้อของมือเติบในการเดินตลาด

ภาพวาดใบเดียวที่วาดพร้อมกับใครบางคนเมื่อค่ำวันฝนตกในศาลาจื่อเถิงฮวา

และที่แหลมคมที่สุด... ม้วนกระดาษปิดผนึกสีแดงเลือดสองชิ้น…ที่คุ้นตา


หลินหยาวัยชรากระซิบด้วยเสียงแหบแห้งราวกับงูเลื้อยผ่านหญ้าแห้ง "แค่เจ้ายอมอยู่ที่นี่กับข้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าหวังไว้...ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องสูญเสีย ไม่ต้องสละใด ๆ อีกต่อไป เจ้าเหนื่อยแล้วมิใช่หรือ? เจ้าเคยสู้จนเลือดออกยืนหยัดจนไม่มีใครเหลือ...มาเถิด มาอยู่กับข้า เราจะ เก็บไว้ทั้งหมดไม่ต้องสูญเสียอะไรอีกเลย" ใช่…ความโลภของนางไม่ใช่เพียงอยากได้ มากขึ้น


แต่มันคือความกลัว…กลัวสูญเสียสิ่งที่เคยมี… กลัวความผิดพลาด กลัวสิ่งที่กระทบ กลัวความทรงจำจะถูกลืม กลัวว่าจะมีใครพราก ‘เขา’ ไปจากนาง กลัวจะไม่มีเงินพอในยามป่วย กลัวจะไม่ได้กลับบ้าน...กลัวแม้กระทั่งจะลืมว่า ตัวเองคือใคร ความโลภนั้น...แฝงตัวอยู่ใน ความกลัว


ร่างหลินหยาวัยชรานั้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบงันไม่ไหวติง เหมือนกับว่าสิ่งที่นางเพิ่งกล่าวเสนอ ยื่นให้ด้วยความเวทนาแฝงความงกเงี้ยวขี้งอนของโลกีย์ทั้งหลายกลับไร้น้ำหนักอย่างสิ้นเชิงในสายตาของหญิงสาวเจ้าของร่างแท้จริง


"ขยะทั้งนั้น..." หลินหยาพึมพำแผ่ว ๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนใจบนใบหน้า ราวกับว่าของทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอดีตที่ไม่น่าสนใจเสียด้วยซ้ำ ดวงตาคู่งามของนางมองกล่องไม้เบื้องหน้า แล้วค่อย ๆ ลากสายตาขึ้นสบกับร่างหญิงชราเบื้องบนที่กุมกล่องราวกับเป็นหีบสมบัติของโลก "เจ้าเรียกตัวเองว่าโลภ?" นางแค่นหัวเราะเบา ๆ พลางยกง้าวขึ้น "ถ้าข้าจะโลภ ข้าจะโลภในอ้อมแขนของบุรุษ...ในเสียงหัวเราะของคนที่รัก...หรือในรสของเหล้าดีคืนวันฝนพรำเสียยังจะดีกว่า!" เสียงของนางก้องกังวานขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวแม้จะอยู่ต่อหน้าตัวตนบิดเบี้ยวของจิตตนเอง


แสงสีเงินแวบวาบพร้อมเงาง้าวอันคมกริบเสี้ยววินาทีนั้น นางกวัดแทงออกไปตรงกลางกล่อง ร่างหญิงชราเบิกตากว้างพร้อมกับเสียงร้องที่ไม่อาจแปลความได้ก่อนที่ร่างทั้งหมดจะสลายกลายเป็นเศษหมอกดุจควันธูปที่ถูกเป่าปลิว "ของพรรค์นั้น ข้าไม่เอา" นางหันหลังให้ ไม่เหลียวมองแม้แต่ซากของเศษเสี้ยวใจตนเองที่เพิ่งถูกเผาทำลาย ดวงหน้าคมหวานเปรอะไปด้วยฝุ่นเงา แต่แววตาเต็มไปด้วยความกระจ่างใสและอารมณ์คล้ายรอยยิ้มของผู้หญิงที่เพิ่งเอาชนะเจ้าหญิงแก่ตระหนี่ในนิทาน


แต่แล้ว…


กึก…


เสียงฝีเท้าหนักหน่วงรุนแรงทรงพลัง และกดดันยิ่งกว่าทุกจิตก่อนหน้า บีบรัดกล้ามเนื้อและโสตประสาทให้ตึงเครียดในพริบตา หลินหยาหยุดยืนเต็มฝ่าเท้าง้าวยังอยู่ในมือกระชับแน่นกว่าเดิม และนั่นเอง...หลินหยาอีกคนหนึ่งในชุดนางกำนัลเก่าเก็บก้าวออกมาจากเงามืด เงาของนางราวกับมีเปลวเพลิงลุกลามไปตามพื้น ม่านไฟโทสะลามทุ่งดั่งพายุลมร้อนม่านตาของหลินหยาจิตโทสะนั้นแดงก่ำ ราวกับย้อมด้วยเลือดน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นคล้ายเสียงของหลินหยาในวันนั้น วันที่ดวงใจนางพังยับ วันที่นางตะโกนใส่สวรรค์ วันที่นาง ทำร้ายคน


"เจ้ากลัวข้าใช่ไหม? หรือเจ้ากำลังโกรธข้าอยู่?" เสียงนั้นไม่ถามไม่รอคำตอบ มัน ตัดสินกลาย ๆ ว่านางต้องกลัว 


"เพราะข้าน่ะคือเลือดที่เปื้อนมือเจ้า ชุดนี้ที่ใส่เพราะเจ้า ‘สมควร’ ถูกกดให้อยู่ต่ำ ข้าจำได้...เจ้าสะบัดหน้าใส่เขาร้องไห้ต่อหน้าคนแปลกหน้าจนได้คำสาปจากบุรุษที่เจ้าเกลียด โกรธนักหนา"


หลินหยาตัวจริงแสยะยิ้ม...รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มของหญิงสาวบอบบางอีกต่อไป แต่เป็นของนักรบผู้ฝ่ามรสุมมาสิบครา ร่างงดงามนั้นขยับขาไปข้างหน้า...ราวกับกำลังจะเข้าสู่สนามรบแท้จริงเป็นครั้งแรก นางยิ้มพลางกระซิบเบา ๆ ให้ตนเอง "ตาต่อตา...ฟันต่อฟันกับเจ้าสินะ สมเป็นความโกรธข้าจริง ๆ เจ้าน่าภูมิใจนัก" ดวงตานางวาววับเยือกเย็นอย่างบ้าคลั่งเปี่ยมด้วยความกล้าหาญแฝงความเศร้า ทั้งง้าว ทั้งมือ และหัวใจพร้อมแล้ว


ไม่มีบทพูดไม่มีเสียงกรีดร้องไม่มีแม้แต่การสบตา มีเพียงเสียงกระแทกของเหล็กกระทบเหล็ก เสียงดินทรายปะทะอากาศและเสียงลมหายใจของสองร่างที่สาดซัดกันอย่างไร้ความปรานี หลินหยากระโจนเข้าใส่ในเสี้ยววินาทีง้าวในมือของนางฟาดลงในแนวเฉียง รวดเร็วและรุนแรงพอจะแหวกอากาศให้ฉีกขาด หากแต่หลินหยาฝ่ายตรงข้ามคือจิตโทสะกลับรับไว้ด้วยง้าวที่ยกขึ้นอย่างแม่นยำ การปะทะทำให้พื้นสั่นสะเทือนราวผืนดินแตกระแหง เลือดออกจากแผลที่เปิดร้าวบนแขนของนาง...แต่นางไม่ถอย


ทั้งสองต่างดาหน้าเข้าใส่กันราวกับสัตว์ร้ายไร้สติที่ถูกปลุกจากบาดแผลในอดีต หลินหยาไม่พูด ไม่คิด ไม่ออมมือ และที่สำคัญไม่ยั้งใจ แม้นจะเจ็บแต่ยิ่งเจ็บก็ยิ่งกัดฟันยิ่งคลุ้มคลั่งก็ยิ่งปลดปล่อย เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ง้าวอีกฝ่ายก็ใช้เช่นกัน ต่างเพียงท่วงท่าและแรงอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาจากเบื้องใน หลินหยาหมุนตัวฟาดด้วยด้ามง้างแขนทุ่มด้วยพลั่วโบราณที่เหมือนจะปรากฏขึ้นจากความทรงจำในคืนที่นางฝังร่างสัตว์ป่าที่เคยช่วยนางไว้ โทสะก็หยิบพลั่วบิ่นขึ้นมาจากดินตื้น ๆ ใต้เท้าเหมือนจะเยาะเย้ย


"เจ้าก็แค่โกรธ! โกรธที่เขาเห็นเจ้าเป็นเพียงหมาก! เป็นเพียงของเล่น! เป็นเพียงเครื่องมือ! โกรธที่เจ้าคิดว่าเขาคิดว่าเจ้าไร้ใจ! โกรธที่เขาทำร้ายทุกคนรอบตัวเจ้า!! โกรธที่เขามันโหดร้าย!! โกรธจนเลือดขึ้นหน้าของเจ้า!! ข้าจำความรู้สึกนั้นได้ดีนักเหตุใดข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกยังไง!!!" หลินหยาตัวจริงพูดด้วยปากด้วยร่างที่พุ่งเข้าใส่ด้วยทุกแรงของกล้ามเนื้อที่นางมี 


เมื่อหลินหยาตั้งโล่ขึ้นด้วยความคิดถึงวันที่นางหลบขวานจากมือของผู้มีอำนาจ โทสะก็เรียกโล่ขึ้นจากฝ่ามือราวกับสะท้อนคืนเหตุการณ์นั้นกลับมาทุกหยด หญิงทั้งสองปะทะกันตรงภายในพื้นที่เงาอันว่างเปล่าด้วยแรงสั่นสะเทือนของคำสาปในอดีต เสียงเหล็กปะทะสะท้อนในความว่างเปล่าราวกับเสียงร้องไห้ที่ไม่มีใครเคยได้ยิน


ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครอธิบาย ไม่มีใครจะหยุด


แม้เลือดจะซึมออกจากปาก หลินหยาทั้งสองก็ยังไม่หยุดนางกำมือแน่น ริมฝีปากเม้มจนแทบขาด เส้นผมปลิวระโยนกลางเงาแห่งโลกมืดบนใบหน้านั้นมีเพียงความมุ่งมั่นอันดิบเถื่อน ม่านตาไร้แววแห่งเมตตา นี่ไม่ใช่การฝึกวิชา ไม่ใช่การประลองยุทธ์แต่คือ การระบายความเจ็บปวด ที่ถูกอัดแน่นไว้ในใจของนางมานับปี โทสะคือกระจกที่สะท้อนใบหน้าของนางในยามที่เสียศักดิ์ศรี ความภาคภูมิ และคนรัก โทสะคือความเงียบที่นางกลืนกล้ำไว้ในค่ำคืนที่คนทั้งโลกเหมือนหันหลังใส่ โทสะคือเสียงกรีดร้องในคอที่ไม่เคยได้หลุดออกมา


และนั่นคือเหตุผลที่หลินหยาจะต้องล้มมันให้ได้


ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ…แต่เพื่อจะกล้าเงยหน้ามองตัวเองได้อีกครั้งในนามของหญิงนางหนึ่ง…ชื่อ หลินหยา คนที่ยังไม่ยอมตายแม้จะถูกเผาไหม้ในใจมานับพันครา


เสียงลมหายใจหอบกระชั้น เสียงโลหะกระแทกกันอย่างโหดเหี้ยมกึกก้องสะท้อนทั่วห้วงเงาแห่งจิตวิญญาณ จนเงามืดโดยรอบเหมือนจะกระพือไหวตามแรงโทสะของทั้งสองที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุด หลินหยายังยืนอยู่ แม้ร่างจะเต็มไปด้วยรอยบาดจากง้าว โล่ของนางร้าวเป็นเสี่ยง ๆ มือข้างที่ถนัดสั่นเล็กน้อยจากแรงตีกลับและความเหนื่อยล้า แต่นัยน์ตานั้นยังคงทอประกายไม่ยอมพ่ายเฉกเช่นเปลวไฟสุดท้ายของตะเกียงที่ใกล้หมดไส้ มันยังจะลุกโชนขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อประกาศตนว่ายังมีชีวิต


ตรงข้ามกับนางร่างของจิตโทสะคุกเข่าลงหอบหายใจหนัก ใบหน้าแสดงความขุ่นแค้นเจือสับสน ปลายนิ้วสั่นระริกเหมือนยังไม่เชื่อว่านางจะพ่ายแม้สภาพร่างกายจะชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด


หลินหยาสะบัดง้าวขึ้นอีกครั้งง้าวของนางสะท้อนประกายราวแสงสุดท้ายของอาทิตย์ก่อนตกขอบฟ้า พริบตานั้นเองนางเหวี่ยงมันออกไปด้วยพลังแห่งสัจจะครั้งสุดท้าย ฟาดลงอย่างเฉียบคมกรีดผ่านกลิ่นอายโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายเหมือนฉีกม่านหมอกให้จางลงในชั่วขณะ เสียงกระแทกดังสนั่นราวกับฟ้าผ่ากลางอกจิตโทสะร่างนั้นถูกผลักถอยออกไปชั่วขณะกลับเงยหน้าขึ้นสบตานางด้วยแววตาสั่นไหวก่อนจะแหลกสลายหายไป


หลินหยาหอบหายใจนางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ พลางเอ่ยเสียงแหบพร่าแต่กลับแน่นไปด้วยความหนักแน่นที่ฝังแน่นในแก่นวิญญาณ


“แล้วเจ้าจะรู้... ว่าคนที่เจ้าโกรธคนที่เจ้าคิดว่าเจ้าชิงชังที่สุดน่ะ… เจ้าอาจจะเผลอ ‘เก็บเขาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ’ ไปเสียแล้ว เพราะเจ้าไม่ได้โกรธเขา… เจ้า ‘รัก’ เขา แต่ไม่เคยให้อภัยเลยต่างหาก” นัยน์ตาของหลินหยานิ่งสนิทไม่มีทั้งความหวั่นไหวหรืออ่อนแออีกต่อไป น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การกล่าวหาหรือประณาม แต่คือเสียงของผู้ที่ ยอมรับ ทุกความผิดของตนเองและก้าวข้ามมันไปได้เสียที

ในวินาทีนั้นเงาการต่อสู้รอบกายเริ่มสลายราวกับความขุ่นมัวทั้งหมดของใจได้ถูกกวาดทิ้งไป เหลือเพียงหลินหยา ผู้ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าของใจตนเองในที่สุดก็ไร้ศัตรู ไร้ความโกรธ เหลือเพียงความเงียบและเงาสะท้อนของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนหยัดได้ในเงามืดของตนเอง


สองขาของหลินหยารู้สึกเหมือนกำลังจะอ่อนแรง นางแทบไม่อาจทรงตัวได้อีกต่อไปหลังจากต้องสู้กับเงาของตนเองด้วยใจที่แทบจะแหลกละเอียด ทว่า...แม้จะไร้ศัตรูแล้วแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลับยังไม่สลายไปไหนมันคือ เงาความจริง ที่ยังหลงเหลือในใจ นางเหมือนจะทรุดลงกับพื้นแต่มือกลับคว้ากำชายชุดไว้แน่น สุดท้ายจึงเพียงค่อย ๆ ทรุดนั่งลงอย่างช้า ๆ บนพื้นเงาอันเยียบเย็นของโลกในใจ หัวใจเต้นเนิบช้าแต่กลับดังราวระฆังสะท้อนเข้าโสตประสาทของตนเองอย่างเงียบงัน


หลินหยาเงยหน้าขึ้นมองความมืดที่โอบล้อมเหมือนกำลังทอดตามองฟ้าในคืนไร้ดาว ทั้งที่ไร้แสง แต่ก็สงบ... สงบเสียจนเจ็บปวดราวกับใจเงียบเกินไป นางหลับตาลงยอมให้น้ำหนักจากภายในถ่วงรั้งทุกอย่างให้หนักขึ้นทีละน้อย น้ำเสียงที่ไม่เอื้อนเอ่ยหลุดออกมาทว่าในใจกลับสะท้อนชัด ราวกับบทสนทนากับตัวเองที่ไม่ต้องออกเสียง


“พันธะในเงาศาลา...” ความคิดนั้นแวบเข้ามาอย่างชัดเจนและในวินาทีนั้นเองนางก็เริ่มเข้าใจ


หากวันนั้นนางไม่เดินไปศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง หากวันนั้นเขาไม่เลือกหยุดยืนอยู่ที่นั่น...พวกเขาคงไม่มีวันได้สบตากันในแบบนั้นไม่มีคำพูดใด ไม่มีความรู้สึกใด ไม่มีพันธะใดถูกผูกไว้เลยแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเขาและนาง ต่างก็เป็นผู้เลือกแม้นางจะไม่รู้ตัวแต่นางก็เลือกเดินเข้าสู่เวทีเดียวกันโดยไม่รู้ตัว ต่างคนต่างใช้มือมัดปมด้ายแดงรอบปลายนิ้วอีกฝ่าย ทั้งด้วยใจที่สับสนและด้วยคำพูดที่เก็บงำ ทั้งด้วยการกระทำที่ไม่อาจย้อนกลับและความรู้สึกที่ไม่อาจสลัดทิ้งได้


มันไม่ได้เป็นเรื่องของโชคชะตาแต่เพียงลำพังแม้มันอาจจะมีส่วน หากแต่คือเรื่องของความตั้งใจที่เงียบงันของทั้งสองฝ่ายที่ร่วมกันผูกปมจนยุ่งเหยิงและเพราะไม่มีใครกล้าแกะ ปมจึงกลายเป็นสายรัดแน่นหนา สะสมพันเกี่ยวกันกับเรื่องราวของทุกคน ทุกสิ่ง ทุกความรู้สึก ไม่อาจคลี่คลายมีเพียงจะ “เคียงคู่” กันไปในสภาพนั้นเท่านั้นเอง


นางไม่รู้ว่านี่คือโชคชะตาหรือบ่วงกรรม นางไม่รู้ว่ามันคือความผูกพันหรือพันธะที่ล่ามหัวใจไว้ไม่ให้เป็นอิสระแต่ที่นางรู้ในตอนนี้คือ…


“ข้าเดินเข้าไปในศาลานั้นเอง…เดินเข้าไปรอเขาในทุกเย็น” นางเป็นคนเลือกและเขาก็เลือกเช่นกัน


หลินหยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาคมหวานนั้นไม่ได้แข็งกร้าวหากแต่เปล่งประกายวูบหนึ่งของการยอมรับ...ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์จากคนหนึ่งคนใด แต่มันเป็นการเขียนเรื่องราวร่วมกัน แม้ในความมืด แม้ในความเศร้า แม้ในความสับสนที่แทบหาทางออกไม่พบและต่อให้ปมพันธะนี้จะยุ่งเหยิงจนไม่อาจปลดออกได้...นางก็จะยอมอยู่กับมันอย่างเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อยอมแพ้ แต่เพื่ออยู่กับมันให้ได้อย่างที่เป็น


ไม่ว่าจะรักหรือชัง ไม่ว่าจะเจ็บหรือหวาน ไม่ว่าจะเขาหรือเธอ...ทุกอย่างได้ผูกกันไว้แล้ว





[ปักตะไคร้]




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คุณพี่ก็โรลเยอะเกิน 55555 สองโรลเลยง่า ตัดทอนยับ ๆ

รางวัล: -

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 114963 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-15 06:07
โพสต์ 114,963 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-15 06:07
โพสต์ 114,963 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-15 06:07
โพสต์ 114,963 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-15 06:07
โพสต์ 114,963 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-15 06:07
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-15 17:20:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-17 03:27

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 15 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (ประตูแห่งเงาและพันธะ)


เมื่อเปลือกตาที่หนักอึ้งของหลินหยาค่อย ๆ เปิดออกอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือโต๊ะหินหยกเก่าคร่ำในศาลาจื่อเถิงฮวากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเถาวัลย์ม่วงลอยเอื่อยราวสายลมหวนมาเรียกวิญญาณให้คืนกลับ แต่ขณะนางมองไปรอบตัวพลันใจกลับสะดุด ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีฟ้าปกติ ไม่ใช่สีชมพูอมม่วงอุ่นตามยามบ่ายที่เธอเคยอยู่มาก่อน ดวงอาทิตย์เป้นหนึ่งดวงไม่ใช่สอง...กลับมาแล้ว กลับมาแล้วใช่ไหม!!!!! กลับมาแล้วอย่างงั้นหรอ!!


หญิงสาวแทบกรี๊ดสิ้นสติตอนรู้ว่าตัวเองกลับมาแล้ว


หลินหยากระพริบตาหอบหายใจเบา ๆ อย่างระแวดระวัง นางรู้สึกได้...รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่เบื้องหลัง สายตานั้นไม่เย็นชาไม่ดุร้ายหากแต่แนบแน่นราวกับแฝงเจตนาทะลุทะลวงเข้าสู่จิตวิญญาณ นางหันขวับไปช้า ๆ แล้วสบตากับบุรุษผู้หนึ่งที่นางไม่เคยพบมาก่อน


เขานั่งอยู่บนตั้งไม้อันเก่าของศาลาท่ามกลางม่านหมอกบางที่หล่นคลี่จากฟ้า ท่วงท่าราวกับสิงสถิตอยู่ตรงนั้นมาตลอด ชายหนุ่มผมยาวสีเงินอมฟ้าโอบพลิ้วอย่างมีชีวิตชีวาปลายผมแตะชายเสื้อขนสัตว์หนานุ่มที่ประดับลวดลายทองคำอย่างวิจิตร กลางหน้าผากมีสัญลักษณ์คล้ายเปลวเพลิงสองใบหูจิ้งจอกสีขาวเทายืนชูอย่างสง่างามยิ่งนัก ใบหน้าคมจัดแต่งแต้มรอยยิ้มพรายจางเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากบางคล้ายจะเอื้อนเอ่ยคำใดแต่ก็เงียบงัน เขาเพียงจ้องมองนางด้วยแววตาเปล่งประกายวาววับราวกับเห็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่าสมบัติพันปี


“หืม…เจ้าคือแม่นางผู้แบกพันธะจากเงาศาลานั้นหรอกหรือ?” เสียงของเขานุ่มทุ้มแต่ขี้เล่นเอาเรื่องทุกคำพูดฟังราวกับกำลังหยอกล้อเสียมากกว่าเอาจริง


หลินหยาหรี่ตามองอีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งทันทีแม้ภายในจะกังขาหนัก นางไม่ได้ตอบทันที นางเพียงค่อย ๆ ลุกขึ้นประเมินเขาด้วยสายตาเดียวกับที่ใช้ประเมินบุรุษแปลกหน้าทุกคน “ท่านเป็นใครเจ้าคะ?” น้ำเสียงของนางราบเรียบแต่แฝงความระแวดระวัง


เขายิ้มขำก่อนขยับกายกระโจนลงมาจากตั่งไม้อย่างนุ่มนวลจนชายผ้าขนสัตว์พลิ้วไหว เสียงกระทบพื้นไม่มีแม้แต่เศษธุลีปลิวขึ้นตามรอยเท้า เขาก้มศีรษะเล็กน้อยคล้ายคารวะแต่กลับมีบางอย่างในท่าทางที่ดูจะเย้ยหยันเสียมากกว่า “ข้า? เรียกข้าว่า ‘ไป๋เซียว’ ก็แล้วกัน” เขาเชิดคางนิด ๆ ดวงตาคมเรียวยกยิ้มในแววตาเต็มไปด้วยความคึกคะนอง ราวกับคำตอบที่ให้ไปนั้นเป็นเพียงคำลวงเล่นสนุกแต่กลับมีพลังบางอย่างที่ทำให้หลินหยาต้องเก็บชื่อเขาไว้ในใจ


“ปีศาจ?” นางเอ่ยเสียงต่ำจ้องหูบนศีรษะเขาที่ขยับเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียก


“ปีศาจ? ฮ่า ใช่สิ ใช้คำนี้ก็ไม่ผิด ข้าได้ยินว่ามีมนุษย์น่าสนใจคนหนึ่งเข้าไปในเงาศาลาแล้วยังรอดออกมาได้คราวนี้เห็นทีข้าจะต้องมาพิสูจน์ด้วยตาตนเอง” เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าวเขาหยุดห่างเพียงแค่หนึ่งช่วงลมหายใจ สายตาจับจ้องที่ดวงตาของหลินหยาราวกับกำลังมองทะลุหัวใจเธออยู่


“เจ้ามีแววตาแบบนั้น…แววตาที่แปลกประหลาดไม่ธรรมดาอีกต่อไป”


หลินหยารู้ตัวว่าใจของตนกำลังเต้นแรงขึ้นอย่างไม่สมควร ทั้งเพราะพลังของอีกฝ่ายและบางสิ่งที่คุกกรุ่นในอากาศอารมณ์แบบปีศาจอารมณ์ที่เหมือนเวียนวนอยู่รอบกายแต่ไม่จับต้องได้


ไป๋เซียวเอียงคอน้อย ๆ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงละมุน “เจ้าผ่านจิตมารของตัวเองมาแล้ว แต่ข้าอยากรู้…เจ้าจะผ่าน ‘ข้า’ ได้หรือไม่?” แล้วเขาก็ยิ้มรอยยิ้มที่ทั้งงดงาม เย้ายวนและเต็มไปด้วยเพลิงวิปลาสบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นอย่างร้ายกาจ...ใช่แล้ว สำหรับปีศาจจิ้งจอกมองคนแบบหลินหยาเป็นอาหารเท่านั้นแหละ


"ทำไมเจ้าไม่หลับต่อล่ะ?...หลับต่อไปสิ...คนรักของเจ้ากำลังรออยู่มิใช่หรือ?" เสียงทุ้มต่ำของไป๋เซียวดังขึ้นใกล้ใบหูนักกว่าที่หลินหยาคิด มันพร่ำกระซิบอย่างละมุนอ่อนราวกับเสียงเพลงกล่อมยามดึกแต่กลับแฝงไว้ด้วยแรงดึงดูดอันแปลกประหลาด นางรู้สึกถึงปลายเล็บเย็นเฉียบที่แตะข้างขมับเบา ๆ แล้วลูบไล้เส้นผมของนางราวกับกำลังลูบไล่ความคิด ความทรงจำ และจิตใจอย่างถี่ถ้วน "อืม...กลิ่นของเจ้า...หวานดีจริง ๆ เหมือนน้ำผึ้งที่เก็บข้ามศตวรรษ...แต่ไม่ได้หวานแบบไร้สาระ..." เสียงของเขาแปร่งเปลี่ยนเป็นอารมณ์ประหลาด คล้ายปีศาจกำลัง ‘ลิ้มรส’ ไม่ใช่ร่างกาย หากแต่เป็นพลังงานภายในบางอย่างที่นางมีอยู่


“ตบะของเจ้ามันช่าง...สะอาดบริสุทธิ์แต่กลับมีรอยปนเปื้อนเล็ก ๆ ที่ข้าชอบใจ...ข้ากำลังอิ่มเกมกับมันอยู่เลยอย่าเพิ่งรีบตื่นสิ” เสียงหัวเราะเบา ๆ เล็ดลอดออกจากลำคอไป๋เซียวมันขบขันแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ต่างจากเสียงขย้ำของอสูรกายยามจ้องเหยื่อ นางรู้สึกเหมือนลมหายใจของเขาร้อนระอุลอยวนเวียนอยู่ตรงต้นคอ กายแทบขยับไม่ได้แม้สติจะยังครบถ้วนแต่ร่างกลับหนักอึ้งราวกับมีหมอกหนาทึบถ่วงไว้ทั้งตัว


หลินหยาเริ่มขมวดคิ้วความรู้สึกบางอย่างกำลังดึงออกไปจากใจกลางลำตัว มันไม่ใช่เลือด ไม่ใช่พลังภายนอก หากแต่เป็นตบะที่นางสั่งสมไว้จากทุกบทเรียนในชีวิตทุกการเจ็บปวดและการยืนหยัด...มันกำลังไหลออกไปอย่างช้า ๆ นางกัดฟันแน่น แม้จะไม่สามารถสับสนจนงงและรู้สึกไม่ดีนักแต่สติยังไม่หลุด "ท่านชอบมันมากเลยหรือเจ้าคะ...แม้จะน้อยนิดไร้ค่าเมื่อเทียบกับตบะของท่านก็ตาม?" นางเอ่ยเสียงต่ำนักน้ำเสียงไม่แฝงความกลัวแม้แต่น้อย มีแต่ความรู้สึกไม่พอใจปะปนกับการประเมินอย่างเยือกเย็น


ไป๋เซียวเอนกายลงเล็กน้อยจนเงาของเขาบดบังแสงจากดวงอาทิตย์สีชมพูทั้งสองไว้หมดสิ้น ริมฝีปากยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีทว่าในดวงตานั้นกลับเรืองรองด้วยแววคลุ้มคลั่งที่หายากนักจะเห็นบนหน้าของจิ้งจอกเจ็ดหางผู้เจนโลก "ชอบสิ...ข้าชอบตบะของเจ้าที่สุด มัน...น่ารังเกียจแต่จริงใจ อ่อนแอแต่ดื้อรั้น โสโครกแต่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้พบตบะแบบนี้มานานนักแล้วล่ะ..." เขาค่อย ๆ วางมือไว้ตรงกลางอกของนาง เล็บสีเงินปลายเรียวแนบกับจุดชีพจรที่เต้นสั่นเป็นจังหวะ “มันไม่ใช่เพียงตบะธรรมดาแต่มันคือ ‘ตัวตน’ ที่เจ้าสั่งสมมาเองทั้งชีวิต...ยิ่งเจ้าเติบโตผ่านบททดสอบมากเพียงใด เจ้าก็ยิ่ง ‘อร่อย’ สำหรับข้า” น้ำเสียงของเขาเจือรอยรื่นรมย์อย่างแท้จริง ราวกับกำลังซดเหล้าหอมเก่าเก็บเขายังคงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหลินหยาอย่างไม่ปิดบัง ราวกับกำลังมอง ‘เนื้อแท้’ ของนางที่แม้แต่นางก็ยังไม่กล้าสบตาตนเอง


“อย่าตื่นเลยคนดี...เรายังเล่นกันไม่จบ ข้ายังไม่ได้ลิ้มรสตบะของเจ้าทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ” เสียงกระซิบแผ่ว ๆ ราวกับมนต์สะกด ลมหายใจร้อนจัดของเขาแตะต้นคอหลินหยาจนผิวสั่นสะท้าน...นางกำลังเผชิญกับปีศาจที่ไม่เพียงลวงโลกด้วยหน้าตา แต่ลวงใจด้วยคำหวานปานยาพิษเสียแล้ว…


หลินหยาขยับตัวถอยฉับทันทีเมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนระอุของอีกฝ่ายที่ไล้ชิดต้นคอราวกับจะแผดเผาผิวเนื้อให้หลอมละลายความห่างเพียงปลายจมูกทำให้นางเย็นสันหลังวาบ ดวงตากลมโตเบิกโพลงทั้งงุนงงและขยะแขยงในคราเดียวกัน เข้ามาใกล้ขนาดนี้ได้ยังไง? ทั้งที่นางไม่ทันรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่าอีกฝ่ายขยับ


"นี้สินะปีศาจ…" นางพรูลมหายใจสั้น ๆ แผ่วกระซิบกับตัวเอง


แต่ยังไม่ทันก้าวถอยให้พ้นเงาร่างของอีกฝ่าย มือของไป๋เซียวก็ฉวยโอกาสคว้าเข้าที่ข้อมือนางไว้อย่างแม่นยำ ฝ่ามือของเขาเย็นจัดแต่กลับแน่นราวกับเหล็กกล้าน้ำหนักการกดรั้งไม่ได้มากไปกว่าความรุนแรงนัก หากแต่มากพอจะทำให้ร่างกายนางสั่นสะท้านเพียงเพราะสัมผัสนั้น “จะไปไหนเล่า...?” เสียงเอื้อนเอ่ยเจือแววขำขัน แต่ความเจ้าเล่ห์ในถ้อยคำกลับเย็นเยียบเหมือนมีดคมที่ลับจนวาววับ “ข้ายังดูดได้ไม่หมดเลย...ดูสิ ตบะเจ้ากำลังหลั่งไหลออกมาช้า ๆ...มันน่าเสียดายนักถ้าข้าปล่อยเจ้าตื่นไปกลางคัน” ริมฝีปากปีศาจยกยิ้มพึงพอใจ ดวงตาที่เรืองแสงจาง ๆ คล้ายจันทราสะท้อนความโหยหาอันยากจะเข้าใจได้โดยมนุษย์ หากความรู้สึกที่หลินหยาได้สัมผัสมันแน่ชัดความหิวโหยความหลงใหลและกลิ่นอายของความตาย


แต่หลินหยาไม่ใช่หญิงสาวที่จะยอมถูกข่มเหงง่าย ๆ ขณะที่เขากำลังเอนหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก นางกลับพลิกมืออย่างฉับไวยกอีกข้างที่ว่างขึ้นแล้วกระชาก ‘หาง’ ของเขาจากด้านหลังโดยไม่ลังเล เสียง "เฮือก" หลุดออกจากลำคอของไป๋เซียวทันที แววตาวิบวับหรี่ลงอย่างเจ็บปวดก่อนจะเบิกกว้างราวกับตกใจคงไม่คิดว่านางจะกล้าทำถึงเพียงนี้


“อ๊าาาา!! นี้เจ้า!!?”


"ปีศาจตะกละ!!! ไอ้โรคจิต!!!" หลินหยาเหวี่ยงคำด่าทั้งหมดที่คิดได้รัวใส่หน้าเขาทันทีโดยไม่รั้งริมฝีปากแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวจัดแดงก่ำขึ้นเพราะโทสะปนความรังเกียจเธอรีบดึงตัวออกมาอย่างไว เหวี่ยงหางขนนุ่ม ๆ ลงพื้นให้กระแทกดังตุบอย่างไม่ใยดี “เจ้านึกว่าตัวเองหน้าตาดีแล้วจะลูบคลำใครก็ได้หรือไง?! โธ่เว้ย! ตบะข้าจะเอาไปกินก็ไม่บอก ติดรสบ้าอะไรนักหนาอมตะอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?!!!”


ไป๋เซียวที่ยังคงยืนนิ่งดวงตาวิบวับสั่นระริกด้วยความตกใจคละเคือง ความเจ็บเล็ก ๆ จากหางไม่อาจเทียบเท่ากับแรงสะเทือนจากถ้อยคำของนางเลยแม้แต่น้อย ปีศาจจิ้งจอกผู้ทำให้ทั้งป่าเขาหวาดเกรง...กำลังถูกสตรีมนุษย์ตัวเล็กด่าเป็นชุดต่อหน้าดวงอาทิตย์สองดวง


หลินหยาหอบหายใจแรงดวงตายังจับจ้องเขม็ง “ถ้าคิดจะดูดข้าให้ตาย ก็เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ ว่าจะได้อะไรกลับไปแทนกันแน่…เพราะข้าคือข้า! ไม่ใช่ข้าวต้มหรือยาให้เจ้าแดกหรือพี๊ยามว่าง!” เสียงของนางก้องสะท้อนสะใจไปทั่วศาลาจื่อถงฮวาอันวิปลาสนั้น ขณะที่ไป๋เซียวกะพริบตาปริบ ๆ อยู่กับหางเจ็บ ๆ ของตนเองอย่างคนที่ไม่แน่ใจว่า...ตัวเองควรหัวเราะหรือควรฆ่านางดี


หลังจากนั้นหลินหยาก็หรี่ตาลงก่อนจะยกมือขึ้นอย่างเฉียบขาด สองนิ้วคีบขลุ่ยไม้ไผ่สีดำอมน้ำตาลที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผย ท่วงท่าเรียบง่ายแต่มั่นคงราวกับนักรบหญิง แม้นมือเล็กเรียวจะสั่นไหวเพียงน้อยแต่แววตาและลมหายใจกลับหนักแน่นเกินกว่าจะถูกกลืนกินโดยความกลัวหรือความเย้ายวน "เอาว่ะ...ปีศาจก็ปีศาจ" นางพึมพำเบา ๆ คล้ายพยักหน้ากับตัวเอง ทั้งสายตาจับจ้องไปยังบุรุษหน้าสวยประหลาดที่ยังยิ้มระรื่นอยู่ไม่ไกล


ไป๋เซียวเหยียดยิ้มบางยกมือขึ้นวางหลังคอเอียงหัวมองนางคล้ายมองของเล่นชิ้นใหม่ที่น่าหลงใหล ใบหน้าคมหวานประดับด้วยแววปรานีแบบปลอม ๆ ที่ทำให้เลือดในกายแทบเดือด "เจ้าคิดจะสู้กับข้างั้นหรือ?" เขาเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ เสียงราวระฆังเงินในคืนหิมะตกแต่ฟังแล้วขนลุกจนแทบอยากเขวี้ยงขลุ่ยใส่หน้า "เจ้ารู้หรือไม่ ว่าร่างนี้...เป็นเพียง ร่างแยก ของข้าเท่านั้น..." ไป๋เซียวเอ่ยพลางกวาดมือแผ่วเบาไปรอบบรรยากาศ ท้องฟ้าสีชมพูม่วงที่ดูเหมือนฝันก็สั่นสะเทือนเล็กน้อยราวรับรู้พลังของผู้สร้างมัน "เป็นเศษเสี้ยวของข้า...แต่เจ้ากลับคิดว่าตัวเองจะมีปัญญาทำอะไรร่างนี้ได้?"


หลินหยาขมวดคิ้วริมฝีปากเม้มแน่นแต่ไม่ยอมก้มหน้าหลบสายตาจ้องไปยังอีกฝ่ายนิ่ง “แม่งเอ้ย…ถ้ารู้ว่าร่างแยกยังขนาดนี้...แล้วร่างจริงจะขนาดไหนวะ ข้ายังจะชนะท่านได้ไงล่ะเนี่ย?” แล้วนางก็พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา เพราะนี่คือหลินหยาคนที่มองโลกอย่างที่มันเป็น


ไป๋เซียวหัวเราะกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมมายืนตรงหน้าอย่างช้า ๆ จนปลายผ้าคลุมขนจิ้งจอกของเขาแตะปลายเท้านางแผ่วเบา "แล้วเจ้าจะกลัวทำไมล่ะคนสวย?" เขาโน้มหน้าลงจนดวงตาแทบชิดกัน "หรือเจ้าอยากให้ข้าไปหาพวกที่เก่งกว่า เย็นชา เยือกเย็น กักตุนตบะไว้เต็มตัว...แล้วไถขออย่างพวกปีศาจทั่วไปงั้นรึ? ฮึ ข้าไม่เอาหรอก" เขาพูดพร้อมกลืนน้ำเสียงลงต่ำ "ข้าชอบ รสชาติ แบบเจ้านี่แหละเผ็ดจัดจ้านแต่แอบซ่อนความเจ็บในรอยยิ้ม...กลิ่นหอมแบบเจ้า ข้าต้องส่ง ร่างแยก มาลองเองถึงจะมั่นใจ...จะให้กลับไปมือเปล่าได้ยังไงเล่า?"


“แล้วจะให้ข้าอยู่เฉย ๆ เหรอ?” หลินหยากระแทกเสียงใส่ทันทีไม่สนว่าอีกฝ่ายคือใคร ร่างจริงหรือร่างแยกตราบใดที่ยังย่ำยีศักดิ์ศรีนาง นางก็พร้อมตอบโต้เสมอ "คิดจะดูดตบะก็จ่ายค่าครูมาซะก่อนเถอะ ไอ้ปีศาจตะกระ...ข้าไม่ใช่กระบอกไม้ไผ่ที่เจ้าจะดูดน้ำจนแห้งแล้วปาไปข้างทางหรอกนะ!” เสียงสะบัดวาจากระทบพื้นศาลากึกก้องพร้อมกับแรงกดดันจากปลายนิ้วที่กุมขลุ่ยแน่น ในนาทีที่บรรยากาศโดยรอบนิ่งงันดวงตาของหลินหยาเองกลับวาววับพร้อมไฟต้านทาน


ปีศาจจิ้งจอกผู้ช่ำชองเรื่องการเล่นเกมกับหัวใจมนุษย์เผลอยิ้มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว สตรีผู้นี้...ช่างรสชาติหอมหวานยั่วยวนยิ่งกว่าตบะใด ๆ ที่เคยลิ้มลองเสียอีก “ฮึ…ฮ่า ๆ” แค่เสียงหัวเราะของไป๋เซียวที่ก้องกังวานอยู่ในหูก็ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรว่าอีกฝ่ายไม่ได้สู้เพราะความจำเป็น ไม่ได้ต่อกรเพราะโกรธเคืองหากแต่เพราะ...เขากำลังเล่นสนุกอยู่ต่างหาก


ศาลาจื่อเถิงฮวาที่ควรเป็นที่สงบเงียบกลางป่าเขากลับกลายเป็นลานประลองแห่งกลลวง พื้นไม้ลายเมฆฟ้าสั่นไหวจากแรงกระแทก ขณะที่เส้นผมสีเงินของปีศาจจิ้งจอกสะบัดพลิ้วราวริ้วน้ำเงินในพายุ ใบหน้างามหยดย้อยกลับประดับรอยยิ้มอย่างรื่นรมย์จนดูวิปลาสในแสงจันทร์สีม่วงสองดวงที่ค้างคาอยู่กลางฟ้า “ข้าชอบพวกที่สู้กลับนะ โดยเฉพาะถ้าสู้แบบลนลานแต่ยังพยายามเชิดหน้าอยู่แบบเจ้าเนี่ย...มันเร้าใจดี” ไป๋เซียวกระโดดเข้าหา ดวงตาสีเพลิงเรืองวาบกร้าวนิด ๆ ราวกับเตรียมจะปลิดวิญญาณ แต่ทันใดนั้น…


ฟึ่บ!!


หลินหยาเหวี่ยงตัวหลบแทบจะกลิ้งด้วยหลังแข็ง ๆ ของศาลา จังหวะพอดีจนอีกฝ่ายเกือบชนเสาไม้ลายแกะสลักเข้าเต็มแรง เธอเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลังเพราะไม่ทันตั้งตัวเลยพลางหอบแรงแล้วตะโกนสวนด้วยเสียงขุ่นจัด “ข้าไม่ได้ลนลานนะเว้ย! ข้าเรียกสิ่งนี้ว่า...ทักษะการเอาตัวรอดขั้นเทพต่างหากล่ะ!”


เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาร่างของนางก็พุ่งพรวดหลบอีกครั้งอย่างล้มลุกคลุกคลานเมื่อโดนจู่โจม ใบหน้ากัดฟันแน่นพลางสบถคำหยาบในลำคอเพราะต่อให้หลบได้อีกแค่กี่รอบ ก็ยังรู้ชัดว่า...ตนเองนั้น เป็นรอง ทุกทางยกเว้นเรื่องเดียว


ความโชคดีที่แม่งโคตรจะ "เหนือเหตุผล"


ระหว่างที่ขลุ่ยในมือฟาดเปรี้ยงลงไปเฉียดชายเสื้อของปีศาจจิ้งจอกได้เพียงปลายด้าย ไป๋เซียวก็หรี่ตาพริ้มก่อนจะตวัดกรงเล็บในอากาศ จู่ ๆ ก็เกิดแสงเรืองวาบเป็นสัญลักษณ์วิญญาณล้อมรอบหลินหยาไว้ราวกับกรงขัง "เจ้าหลบได้ทุกทีเลยนะ" เขาว่าพลางย่อตัวลงโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เกินจะปลอดภัย เสียงทุ้มต่ำราวกับอยากจะกระซิบใส่ติ่งหูนาง "แบบนี้เขาเรียกว่า โชคดี...หรือพรหมลิขิตกันแน่?"


“เรียกว่า แม่งฟลุคโคตร ๆ!” หลินหยาตะโกนลั่นก่อนจะเตะเข้าที่เข่าของอีกฝ่ายพลางพุ่งตัวออกจากกรงพลังนั้นด้วยการสไลด์เข้าใต้โต๊ะศาลาและเธอเริ่มหลุดภาษาจากชาติก่อนแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป นี้แหละนะ ปลุกพลังภาษาไทยมาแล้ว


ไป๋เซียวชะงักแล้วหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่เสียงหัวเราะของเขาเหมือนเด็กที่เจอของเล่นต้องใจมากกว่าผู้ที่เสียเปรียบเสียอีก "ฮ่ะ ๆ ๆ โอ้ ข้ายอมรับ ข้ายังไม่เคยเจอใครที่หลบข้าได้โดยไม่ได้ใช้พลัง...แต่ใช้ดวงแทน...เจ้ามันสัตว์ในตำนานหรือเปล่ากันแน่แม่นางน้อย?"


หลินหยาโผล่หัวจากข้างศาลา ผมยุ่งเสื้อผ้าเปรอะฝุ่นแต่ยังมีแววฮึดอยู่เต็มตา “เจ้ามันปีศาจ ส่วนข้าน่ะ...คือ บั๊ก ของโลกนี้ต่างหากล่ะ! ไป๋เซียว!! ถ้าคิดจะเล่นกับข้า...ก็จงรู้ไว้ซะว่าจะทำให้ข้าตายน่ะไม่ง่ายหรอกโว้ย!” หลินหยาโผล่หัวจากข้างศาลา ผมยุ่ง เสื้อผ้าเปรอะฝุ่นแต่ยังมีแววฮึดอยู่เต็มตาการไล่ล่านี้...จะไม่จบง่าย ๆ แน่นอน แต่เมื่อไป๋เซียวเริ่มโจมตีเร็วขึ้นและหนักขึ้นเธอก็…


“อ๊าคคคคค!!!!” หลินหยาแทบจะอยากกรี๊ดออกมาให้ฟ้าสะเทือน ท้องฟ้าสีม่วงชมพูที่มีดวงตะวันสองดวงนี่ก็ช่างบ้าคลั่งไม่แพ้ปีศาจตรงหน้าที่กำลังสะบัดหางเจ็ดเส้นพรูเป็นคลื่นราวกับจะลากนางไปทิ่มลงกับพื้น


“เจ้าจะกรี๊ดอะไรนักหนา!?” เสียงทุ้มต่ำของไป๋เซียวแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นร่างของหลินหยาแหวกม่านหางพริ้วของเขาออกมาได้อีกครั้ง ทั้งที่ควรถูกพันธนาการไว้แล้วแท้ ๆ แต่สิ่งที่จิ้งจอกผู้เก่งกาจน่าจะเรียนรู้ได้ตั้งแต่ต้นก็คือไม่มีอะไรในโลกที่ควบคุมความขี้โกงของมนุษย์ที่ชื่อ ‘หนาน หลินหยา’ ได้ง่าย ๆ


“กรี๊ดแล้วทำไมฮะ!!? ข้าสู้ไม่ได้ก็ต้องกรี๊ดสิวะ จะให้ทำอะไรอ่ะนอกจากขัดจังหวะเจ้าให้สติแตกไงล่ะ!” นางตะโกนกลับมา ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยทั้งความโกรธ ความเครียด และความตะเกียกตะกายในการมีชีวิตอยู่ แล้วจากนั้นเองจากเสียงหลินหยาที่กรี๊ดหรือร้องด้วยความเจ็บปวดกับเป็นอีกคนแทนที่ร้อง….


ไป๋เซียวร้องออกมา “อ๊าาาาาา!!!!!!!”


เพราะเมื่อครู่หลินหยาไม่ได้พูดเปล่าแต่กระโดดเข้าไปกระชาก หาง ของไป๋เซียวเต็มแรง พลางเอามืออีกข้างบิดหูจิ้งจอกแบบไม่ไว้หน้า เท่านั้นยังไม่พอยังมีจังหวะนึงที่เธอถีบหน้าอกเขาแล้วอุทานด้วยน้ำเสียงสะใจสุดขีด “หึ! คิดว่าจะปล่อยให้เจ้าตายอย่างสง่างามเรอะ หากข้าต้องตายด้วยข้าขอตายอย่างน่าเกลียดแต่รอดดีกว่าว้อย!!”


ปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหางที่กำลังจะสะบัดพลังโจมตีในตอนแรกจู่ ๆ ก็ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะโดนดึงหาง ดวงตาเรียวยาวเบิกโพลงเล็กน้อยด้วยความตกตะลึงสุดใจ เขาไม่เคย... เคยเลย ที่จะโดนศัตรูเล่นงานด้วยท่วงท่า ปลาตอดจิ้งจอก แบบนี้มาก่อนในชีวิตอันยาวนานของเขา "โอ๊ย...แม่งเจ็บจริง..." ไป๋เซียวกุมหางด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ "เจ้าไปฝึกมาจากแม่ชีเถื่อนวัดไหนถึงกล้ากระชากหางจิ้งจอกผู้สูงศักดิ์แบบนี้วะ!?"


หลินหยาแค่นหัวเราะอย่างคนที่กำลังหอบหายใจระโหยแล้วกระชับขลุ่ยไว้แน่น “หางเหรอ? หูเหรอ? ต่อให้ต้องควักลูกตาเจ้าข้าก็ทำ...ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าดูดตบะข้าหรอก ไอ้ตะกละโรคจิต!” ตอนที่หลินหยาพูดแบบนั้นแต่หลบการโจมตีอยู่ไม่นิ่งมันทำให้ความรู้สึกของไป๋เซียวถึงจุด


"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!" เสียงหัวเราะของไป๋เซียวดังสะท้านอย่างหฤหรรษ์จนเกินบรรยาย ร่างเขาแทบจะสั่นไปด้วยความยินดี ไม่ใช่เพราะเจ็บแต่เพราะเขาพบอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจปีศาจของเขาเต้นแรง “เจ้า...น่าสนใจยิ่งนัก!! ข้าล่ะอยากดูดตบะเจ้าให้ตายไปเลยจริง ๆ!!!”


“ฝันไปเถอะ!” หลินหยาแหกปากพลางเหวี่ยงขลุ่ยโจมตีต่อขยันจนไป๋เซียวถึงกับต้องถอยหลังหนึ่งก้าว หากวัดกันด้วยพลังเธออ่อนกว่า หากวัดกันด้วยความเร็วเธอก็ด้อยกว่า แต่ถ้าวัดกันด้วย ความหน้าด้านเอาตัวรอด ไป๋เซียวคงต้องเริ่มสงสัยว่าตัวเอง... แพ้ตั้งแต่เริ่มแล้วหรือเปล่า


ร่างของหลินหยาในตอนนี้แทบจะไม่เหลือเค้าหญิงสาวในเมืองใหญ่แห่งฉางอันผู้เรียบร้อยอีกต่อไป แขนเสื้อของนางขาดวิ่นผ้าบางแนบชิดกับเรือนกายเปรอะฝุ่นและคราบเลือดบางส่วน ขณะบางชิ้นฉีกขาดเผยผิวเนียนขาวสะท้อนแสงเหนือม่านฟ้าม่วงชมพูที่ไร้ดาว รอยข่วน รอยฟาด เส้นผมยุ่งพันยุ่งเหยิงกับปลายคิ้วดั่งคนบ้าคลั่งหากแต่ดวงตากลับยังวาววับเปี่ยมพลัง นางหอบหายใจ ริมฝีปากแดงเจ่อเพราะเลือดที่กัดไว้ขณะหลบการโจมตีเมื่อครู่มือข้างหนึ่งกำขลุ่ยแน่นจนข้อขึ้นสีซีด ข้างหนึ่งดันตัวจากพื้นลุกขึ้นยืนอีกครั้งในขณะที่เสียงฝีเท้าของผู้หนึ่งดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ


ไป๋เซียว…


ปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหางผู้ลือชื่อที่ตอนนี้กลับกลายเป็นภาพที่ไม่สมศักดิ์ศรีสักนิด เสื้อผ้าร่างแยกของเขาขาดสะบั้น หางบางเส้นมีรอยไหม้ รอยฟัน รอยจิกกัดกระจายทั่ว ใบหน้าหล่อเหลาเคยดูงามสง่าแย้มยิ้มอย่างผู้ควบคุมเกม บัดนี้กลับมีรอยเล็บถากเฉียดผ่านข้างแก้มริมฝีปากมีคราบเลือดไหลลงตามแนวคาง มองหลินหยาอย่าง ขุ่นเคืองเจือปรารถนาอันมิอาจควบคุม "ข้าไม่คิดเลย...ว่าเจ้าจะทำให้ข้าสภาพเยี่ยงนี้ได้" เสียงนั้นสั่นต่ำดั่งขู่แต่ข้างในกลับแฝงความตื่นเต้นราวสัตว์ป่ากำลังตกอยู่ในห้วงระคนระหว่างความแค้นกับหิวกระหาย


หลินหยาเหยียดยิ้มเธอยังคงเหนื่อยลมหายใจหนักและหอบอยู่ในอกจนหน้าอกกระเพื่อมแรง นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาท่ามกลางสภาพที่แทบจะหายใจต่อไม่ได้ “ก็บอกแล้วไง...อย่าคิดจะดูดตบะข้าฟรี ๆ” เสียงตะโกนแบบพยศของหลินหยาดังขึ้นก่อนที่ร่างบางจะดีดตัวขึ้นอีกครั้งอย่างน่าตกใจด้วยพละกำลังเฮือกสุดท้าย


"ถ้าตีกับคนข้างถนน...ก็ต้องใช้วิธีข้างถนนน่ะสิวะ!!" เสียงฝ่าอากาศผ่าวาดแหวกม่านลม กลิ่นเลือดจางในอากาศลอยขึ้นตามแรงเคลื่อนไหว


เป็นจังหวะที่ไป๋เซียวเบิกตามือที่ยังยกขึ้นครึ่งหนึ่งเพื่อป้องกันชะงักกลางอากาศ ราวกับในชั่วขณะนั้นเขาเห็นดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าสะท้อนแสงตะวันคู่ที่ซ้อนทับกับเงาตัวเอง “หลิน…!!” เสียงเรียกชื่อของนางจากริมฝีปากเขาดังไม่ทันจบ ขณะที่ขลุ่ยไม้ในมือของหลินหยาแทงเข้ากลางอกของร่างแยกปีศาจแรงเสียบทำให้ร่างนั้นสั่นสะท้านก่อนแสงสีเทาพร่างพรายจะเริ่มลุกวาบจากภายในตัว ไป๋เซียวสบตานางสายตานั้น...ยังคงเป็นสายตาของผู้ที่อยากกลืนกินแต่ตอนนี้แฝงไว้ด้วยคำถามค้างคาเพียงหนึ่งเดียว…


“เจ้า...เป็นอะไรกันแน่?”


“เป็นคนจนตรอกที่ไม่อยากตายเพราะความโลภของใครน่ะสิ” หลินหยายกยิ้มใบหน้าขาวเปรอะฝุ่นและเลือดแต่อ่อนโยนแบบประหลาด


เสียงลมแผ่วพัดผ่านกลีบบุปผาในเงาโลกปลอมที่กำลังสลายตัวลงทีละน้อย ฝุ่นเงินระยิบระยับค่อย ๆ ปลิวล่องขึ้นจากร่างแยกของปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหางไป๋เซียวที่ถูกทำลายด้วยแรงพุ่งสุดท้ายของหลินหยา หากแต่ก่อนที่เถ้าสีเงินนั้นจะเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิงเสียงหนึ่งก็ดังสะท้อนก้องในอากาศ ราวกับมาจากทุกทิศทุกทาง บางเบาแต่อวลไปด้วยเสน่ห์พิษร้ายยิ่งกว่าคำสาป


"รอก่อนเถอะ..." เสียงนั่นทุ้มต่ำอย่างเอาแต่ใจคล้ายแว่วในหู คล้ายกระซิบลงมาถึงกระดูกสันหลัง


"ข้าไม่ยอมแพ้เจ้าหรอก หลินหยา..." แม้น้ำเสียงจะราวผู้แพ้แต่ถ้อยคำนั้นกลับเปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งดั่งนักล่าผู้ยอมให้เหยื่อหลุดมือเพียงเพื่อความสนุกที่จะตามล่าใหม่อีกครั้ง ดวงตาที่เคยจ้องมองนางด้วยความหิวกระหายแม้จะกลายเป็นเศษฝุ่นทิ้งไว้เพียงร่องรอยความว่างเปล่า แต่เสียงของเขากลับยังคงชัดเจน "ข้าจะปล่อยให้เจ้าบ่มตบะของเจ้าต่อไปเถิด..." สายลมแผ่วเบาราวกับเลียผ่านแผลสดของหลินหยา นางยืนนิ่งไม่ไหวติงในท่ามกลางแสงสีเงินที่หลอมรวมกันกลายเป็นเงาเลือนรางในรูปร่างของไป๋เซียวอีกครั้ง


"ข้าจะปล่อยให้เจ้าสะสมมันอย่างตั้งใจ ขัดเกลาให้มันหอมหวาน...ให้ร่างกายเจ้ากลายเป็นถังบ่มเหล้าตบะชั้นเลิศที่เหมาะแก่การกลืนกิน...โดยเฉพาะกับข้า..." ภาพเงานั้นเงยหน้าขึ้นยิ้ม ดวงตาเรียวยาวของจิ้งจอกเผยรอยยินดีอันบิดเบี้ยว หิวจนเกินขอบเขตของความปรารถนา


"แล้วข้าจะกลับมา..." ลมหายใจสุดท้ายของร่างแยกแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสงที่ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ดวงอาทิตย์คู่บนท้องนภาสะท้อนเงาแวววับในระลอกแสงนั้น ขณะที่เสียงของไป๋เซียวทิ้งท้ายเอาไว้


"หากคราวหน้าเราพบกันอีก...คงไม่ใช่แค่ร่างแยกเช่นนี้อีกแล้ว..."


ทุกอย่างเงียบงันเหลือเพียงเสียงหอบหายใจของหลินหยาและใจที่ยังเต้นระส่ำ มือยังกำขลุ่ยไว้แน่นริมฝีปากเม้มแนบแต่ในแววตาสั่นระริกกลับจุดประกายแห่งการเอาตัวรอด "แม่ง...เป็นปีศาจที่ชอบพูดเหมือนพวกติดเหล้าเลยให้ตายสิ..." นางสบถเบา ๆ หลินหยาโงนเงนก้าวขาผ่านม่านแสงจางที่เหมือนกำลังหลอมละลายจากปลายพริบตา ความรู้สึกเหมือนฝันยังหลงเหลืออยู่ในห้วงหายใจ ร่างกายที่เหนื่อยอ่อนเหมือนขยับไปข้างหน้าเพียงนิดเดียวก็คล้ายใช้พลังชีวิตทั้งวัน นางยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อออกจากใบหน้า ก่อนจะปล่อยลมหายใจยาวอย่างคนที่อยากถ่มคำด่าทั้งหุบเขาออกมาทีเดียว


"แม่ง...เหนื่อยฉิบหาย..." นางสบถพลางทรุดตัวลงอย่างไร้จริตใด ๆ บนพื้นไม้เย็นเฉียบของศาลาจื่อเถิงฮวา ปล่อยกายให้พิงเสาไม้อย่างหมดสภาพ ร่างเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมนั้นปลิวไสวเบา ๆ ยามสายลมเย็นตอนบ่ายต้นยามซวีเอื่อยเฉื่อยพัดมาพัดเอากลิ่นดอกเถิงฮวาที่บานสะพรั่งขึ้นมาอาบจมูก ปนไปกับกลิ่นเหงื่อ เหล็ก และเลือดที่ยังเปื้อนบางส่วนตรงร่างกาย


"นี่...ยังไม่ใช่โลกจริงใช่ไหม..." หลินหยาหลุบตามองรอบตัว ท้องฟ้าที่ไร้หมอกม่วงท้องฟ้าสีฟ้าครามโคตรดีโคตรดีจริง ๆ ดวงอาทิตย์หนึ่งดวงลอยแขวนราวจะเย้ยหยันกิ่งไม้สีหม่นของเถิงฮวาเหนือหัวส่งเสียงกรอบแกรบเบา ๆ ทุกอย่างเหมือนโลกปกติแต่แปลกตาในทุกอณู "ยัง...ยังไม่จบสินะ..." นางบ่นพึม ลมหายใจหนักหน่วง มือหนึ่งลูบข้างซี่โครงที่ปวดหนึบ มืออีกข้างยังจับขลุ่ยไว้แน่นราวกับของประคองวิญญาณ ถึงจะมีแค่แรงพอตบแมลงวันแต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสู้กับอะไรอีกแล้ว ..ใช้ขลุ่ยทุบปีศาจจนแทบจะใช้งานไม่ได้แล้วล่ะตอนนี้


"ขอ...พักก่อนได้ไหมนะ..." เสียงกระซิบเบาราวบทสวดของสตรีผู้ผ่านการเจ็ดตลบสิบสลายออกจากประตูนรก นางยืดขาเหยียดเต็มพื้นปล่อยมือจากขลุ่ยแล้วเอนคอพิงเสาด้วยท่าทางหมดสภาพน้ำเสียงที่ลอดออกจากลำคอแหบแห้งแต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง "สวรรค์...อย่ามีตัวประหลาดอะไรโผล่มาอีกเลยเถอะ ขอละ...ให้ข้านอนตายตรงนี้ก่อนสักครึ่งเค่อก็ยังดี..."







@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: แล้วรูปกับปีศาจจิ้งจอกคือเยอะมาก 5555 แต่มีแต่แบบรักกัน จะโรลก็คริ้นแปลก ๆ


รางวัล: ต่อสู้ชนะ ได้รับ 50 ตบะฝึกฝนและจากมนุษย์คนอื่น(?)

(เห็นเขียนไว้แบบนี้หนูก็ไม่เข้าใจว่าได้เท่าไรเหมือนกัน 555+)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 105779 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-15 17:20
โพสต์ 105,779 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-15 17:20
โพสต์ 105,779 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-15 17:20
โพสต์ 105,779 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-15 17:20
โพสต์ 105,779 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-15 17:20

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-16 19:04:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-17 03:28

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 15 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น ปลดความทรงจำจางกงกงวัยเยาว์ 


ในตอนทีร่หลินหยาคิดแล้วว่านางคงจะได้พักเสียบ้างโลกของหลินหยาเปลี่ยนจากแสงสีฝันของแดนพิศวงกลับกลายเป็นเงามืดอันเงียบงัน หนาวเย็นชวนสิ้นหวัง แสงอาทิตย์สองดวงหายไป เหลือเพียงเงาไร้รูปร่างที่ลอยวนในความมืดดั่งม่านกำมะหยี่สีดำสนิทที่ดูดกลืนแสงทุกสายตา ร่างของหญิงสาวเหมือนถูกปล่อยตกจากความฝันสู่ขุมนรกในเสี้ยวพริบตา ขาแตะพื้นเสียงดังกรอบแกรบของกิ่งไม้แห้งใต้ฝ่าเท้า เมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับไม่ใช่ศาลาอีกต่อไป


มันคือจวนเก่าคร่ำหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในที่ดอนสูงอันแห้งแล้ง…ขอบเขตนอกแคว้นหลวงของแผ่นดินฮั่นจากที่ดูแล้วคงเป็นที่ห่างไกลทางทิศตะวันตก สภาพโดยรอบดูแห้งแล้งแล้วยังมืดมนแม้เป็นเวลากลางวัน ป้ายไม้ที่เขียนว่าสกุลจางปักอย่างแข็งแรงหน้าจวนใหญ่ ดูเหมือนกำแพงสูงและบานประตูนั้นจะไม่ได้ไว้กันโจรแต่กัน “ใครบางคน” จากการหลบหนี


เสียงหวีดลมพัดผ่านปลายชายผ้าของหลินหยา นางก้าวเข้าไปใกล้ภาพตรงหน้าเสมือนถูกบังคับให้เห็น ไม่อาจหันหน้าหนี 


ในลานกว้างหน้าจวนเด็กชายวัยราว 6-7 ขวบ รูปร่างผอมบาง ดวงตากลมโตคู่นั้นซุกซ่อนประกายหวังไว้ในเงามืดที่คลุมร่าง ใบหน้าขาวจัดโดนดินเปรอะเปื้อน เส้นผมกระเซิงแต่ยังพอมองเห็นเค้าความงามของเด็กที่ ‘น่าจะ’ เติบโตเป็นบุรุษรูปงามได้ในอนาคต...หากเขาไม่เกิดในตระกูลจางอันน่าสะพรึง บุตรชายคนรองเด็กที่ไม่เคยถูกเรียกชื่อด้วยความอ่อนโยน เด็กที่ถูกดุด่าราวเป็นสุนักจรจัดข้างถนนถูกเหยียบศักดิ์ศรีในทุกเช้าเย็นทั้งน้ำร้อนที่ราดรดศีรษะเพื่อ ‘ล้างความไม่เชื่อฟัง’ ทั้งแส้ที่ใช้ตีบนหลังจนเลือดซึมทุกครั้งที่เขาเผลอเล่นหรือหัวเราะ


"เด็กระยำ! คิดจะหนีอีกแล้วรึ!"


เสียงตวาดต่ำดังก้องจากเงาดำหลังม่านหน้าต่างมือของบิดาผู้เป็นหัวหน้าสกุลยกไม้ไผ่ด้ามใหญ่ขึ้น ก่อนฟาดลงเต็มแรงบนหลังเด็ก เสียงเนื้อกระทบไม้สะท้อนก้องทั่วลาน ดวงตาใสของเด็กชายเบิกกว้างขณะที่ฟันกรามกัดแน่น ร่างเล็กไม่ส่งเสียงร้องซักนิด...เขาเรียนรู้แล้วว่าเสียงร้องยิ่งเร้าให้โดนมากขึ้นและจะกลายเป็น ‘ของเล่น’ ให้พี่ชายต่างแม่หัวเราะเยาะ แม้แต่พี่ชายของเขาบุตรคนโตของสกุลจางผู้เกิดจากอนุภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานยังยืนมองด้วยสายตาเหยียดหยาม พลางโยนเศษผลไม้เน่าไปยังเด็กชายผู้นั่งก้มหน้าเลือดเปื้อนเสื้อผ้าขาดวิ่น มือเล็กชื้นไปด้วยเลือดแห้งติดหนองตรงรอยข้อมือที่ถูกมัดด้วยเชือก


"อยากจะวิ่งเล่นรึ? หึ...เกิดมาเป็นขี้ข้าในบ้านนี้แล้วยังคิดเพ้อฝัน"


ชายชราอีกคนอาจเป็นอาจารย์ผู้คุมบทเรียนกระชากข้อมือเล็กของเด็กชายลากให้เดินบนเข่าผ่านลานหินร้อนยามสาย แล้วขว้างสมุดบัญชีให้จดตัวอักษรลงบนพื้นทั้งที่นิ้วมือเปื้อนเลือดและร่างกายอ่อนแรง เด็กชายกัดฟันเขียนต่อไปด้วยมือสั่นเทาพื้นหินแผดร้อนบาดเข่าจนเลือดหยดซึมผ่านผ้าน้อยชั้น ดวงตาเล็กคู่นั้น...ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว มีแต่ไฟที่ค่อย ๆ ก่อตัว ไฟที่ไม่ใช่โทสะหากเป็นไฟที่เงียบเย็นและไร้ความหวัง ไฟของความทรงจำที่ถูกฝังกลบอย่างแนบเนียน ไฟที่วันหนึ่งจะเผาผลาญโลกทั้งใบเพื่อเอาสิทธิ์ในการเป็น “มนุษย์” กลับคืน


หลินหยายืนเงียบมองภาพทั้งหมดผ่านม่านอดีต รู้สึกได้ว่าร่างนั้นเด็กชายผู้ไร้ชื่อในตอนนั้นคือจางกงกง คนที่นางเคยมองด้วยความหวาดกลัวสับสนและชิงชัง...เขาเคยเป็นเพียงเด็กผู้ไม่มีแม้แต่โอกาสจะยิ้มและสิ่งที่เขาอยากได้...ก็อาจไม่เคยมีใครยื่นให้แม้แต่เทพเจ้า หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่นสายลมเย็นแผ่วพัดผ่าน กลิ่นเลือดและควันเผาหนังยังคละคลุ้งในอากาศ ฉากนี้ยังไม่จบมันเพิ่งจะเริ่ม…ความทรงจำนี้ยังมีอีกมาก และหลินหยากำลังจะได้รู้ว่าชีวิตของคนที่นาง “ไม่เคยเข้าใจ” นั้น…มันปวดร้าวกว่าที่นางจินตนาการมากนัก


ความมืดรอบกายหลินหยาเงียบงันลงก่อนภาพเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เสียงรัวของพู่กันลงกระดาษ เสียงคำสั่งแข็งกระด้างที่เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้หัวใจ ทุกอย่างล้วนหล่อหลอมเป็นบาดแผลทางจิตที่ไม่มีวันสมาน เด็กชายในวัยเพียงหกหรือเจ็ดขวบรูปร่างบอบบางผอมแห้ง ผิวขาวซีด ดวงตาคู่นั้นไม่แสดงอารมณ์ใดอีกแล้วเหงื่อเปียกชุ่มตลอดแผ่นหลัง มือเล็ก ๆ จับพู่กันไม้ไผ่ขนาดใหญ่กว่าข้อมือเขาอย่างสั่นระริก เสียงของคนเป็นพ่อดังก้องอยู่เบื้องหลังน้ำเสียงแหบพร่าจากการตะโกนด่าวันแล้ววันเล่า


“เขียนให้ได้พันตัวอักษรก่อนเย็น ถ้ายังสะกดผิดอีกแม้แต่คำเดียว ก็จะไม่ได้ข้าว ไม่ได้พัก! ขุนนางในราชสำนักไม่ใช้พวกโง่งม เจ้าคิดจะเข้าวังทั้งที่เขียนอักษรไม่ได้งั้นหรือ?”


เสียงฟาดของไม้เรียวยาวกระทบร่างเล็ก ๆ นั้นในวินาทีถัดมา รอยแดงไหม้ลากยาวเต็มแผ่นหลัง เสื้อบางเก่า ๆ ที่สวมอยู่ขาดวิ่นเหลือเพียงเศษผ้าพอปกเปลือยผิวที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เสียงฟาดนั้นไม่ได้เกิดจากการตีอย่างบันเทิงใจ แต่มันเป็นการลงโทษตามกฎที่ถูกพ่อผู้เป็นหัวหน้าสกุลสร้างขึ้น ‘กฎที่ไม่มีใครต้องทำตามนอกจากเขาคนเดียว’


ในทุกเช้าตรู่เด็กชายผู้นี้ต้องตื่นแต่ตีสี่ ฝึกการเดินถวายบังคม ขานพระนามจักรพรรดิ ฝึกการหายใจ การเคลื่อนไหว การวางท่าทางอย่างนอบน้อมให้ดู น่าเชื่อถือ ไม่ใช่เพื่อเป็นขุนนาง ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ราชการแต่อย่างใด แต่เพื่อเป็น “ขันทีในราชสำนัก”


"เจ้าจะไม่มีทางเป็นขุนนาง! อย่าแม้แต่จะคิด! รู้หรือไม่ว่าใครเข้าถึงไท่จื่อหรือองค์จักรพรรดิได้เร็วกว่าขุนนาง? ขันที! เจ้าควรภูมิใจที่ข้าเห็นคุณค่าของเจ้ามากกว่าบุตรชายคนโตเสียอีก" เด็กชายก้มหน้าเงียบดวงตาว่างเปล่า มีเพียงพู่กันในมือที่เปื้อนหมึกและเลือดจากรอยบาดบนฝ่ามือ คนเป็นพ่อยื่นพู่กันอีกด้ามให้อย่างไม่ใยดีขณะเอ่ยต่อ "ในเมื่อตัวเจ้าไม่มีค่าในฐานะ 'ลูก' งั้นก็จงเป็นเครื่องมือของข้า อย่าเงยหน้า อย่าตอบโต้ และอย่าคิดว่าความเจ็บปวดของเจ้ามีความหมาย"


บ้านทั้งหลังไม่มีใครมองเขาเป็นคนแม้แต่สาวใช้ก็เอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยถ้อยคำเย้ยหยัน ‘เจ้าขันทีน้อย’ ขณะที่พี่ชายต่างมารดาซึ่งเป็นดั่งศูนย์กลางของความรักความหวัง เดินผ่านไปพร้อมขนมหวานในมือพูดกระซิบเย้ยด้วยแววตาเยาะหยัน "เจ้าจะมีลูกไม่ได้ ไม่มีใครรักเจ้า ไม่มีใครจะแต่งกับเจ้า ข้าอยากเห็นเจ้าถูกโยนเข้าวังเป็นขี้ข้าตามที่ท่านพ่อพูดจริง ๆ"


หลินหยายืนนิ่งงันนางอยากจะห้าม อยากจะตะโกน อยากจะพังฉากภาพตรงหน้าให้พ้นไปจากสายตา แต่ทำไม่ได้ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงภาพความทรงจำที่โถมทับเหมือนคลื่นหนักจากทะเลลึก ภาพที่ไม่ได้ทำเพียงเล่าอดีต...แต่มันกัดกินหัวใจให้รับรู้ถึง “เหตุผล” ที่ชายผู้เป็นจงฉางชื่อไม่เคยหลับใหลโดยไม่ฝันร้ายและไม่เคยมองใครด้วยแววตาเชื่อใจเลยแม้แต่คนเดียว เขาเป็นเด็กชายที่ถูกสร้างให้ “ไม่เหลือจิตวิญญาณของมนุษย์” อีกต่อไป


แต่ก่อนที่นางจะได้ทำอะไรมากกว่านี้สิ่งที่หลินหยาเห็นนางต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังสนั่นหู นางยกมือขึ้นปิดปากตนเองแน่นทันทีที่เสียงกรีดร้องนั้นดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทเสียงที่ไม่ใช่เสียงของเด็กธรรมดา แต่เป็นเสียงของบางสิ่งที่ถูกบีบคั้นจนไร้ซึ่งความเป็นคนอีกต่อไป เสียงนั้นแหลมคมแทรกผ่านกระดูกสันหลังทุกปล้องของนางราวกับมันกำลังข่วนเล็บผ่านวิญญาณของผู้ฟัง


“อ๊า!! ไม่! อย่า! เจ็บ...เจ็บ!!”


เสียงกรีดร้องที่เปล่งออกมาอย่างหมดสิ้นศักดิ์ศรีดังก้องในอากาศรอบตัว หลินหยาหลับตาแน่น ไม่ใช่เพราะไม่กล้าดูแต่เพราะมันบีบหัวใจเกินกว่าจะยอมรับ นางพยายามกัดฟันสะกดเสียงสะอื้นอย่างเงียบงันทว่าไม่อาจหยุดมือที่สั่นไหวหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บร้าวกลางอก ภาพที่แทรกผ่านม่านเปลือกตาแม้จะหลับตาอยู่ กลับชัดเจนราวกับสลักไว้กลางแสงเด็กชายตัวเล็กผิวขาวซีด นอนจมอยู่ในแอ่งน้ำผสมเลือดของตนเอง มือทั้งสองถูกมัดไว้กับเสาไม้สูงเหนือศีรษะ แผ่นหลังเล็กนั่นเต็มไปด้วยรอยแตกของผิวหนังเศษเสื้อผ้าเปื่อยขาดหลุดลุ่ยจนแทบจะไม่เหลือความเป็นอาภรณ์ เสียงหอบหายใจของเขาเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นปนเลือด


ในห้องนั้นไร้คนเมตตามีเพียงบ่าวรับใช้สองคนที่ถูกสั่งให้จัดการลงโทษบุตรชายรองตามคำสั่งเจ้านายตนเอง บ่าวทั้งสองไม่มีแววลังเลไม่มีแม้แต่คำถามว่าสิ่งที่ทำคืออะไร พวกเขาคุ้นเคยกับมันเกินไปแล้ว “บ่าวเช่นข้า...ยังได้กินข้าวอุ่น ๆ ทุกวัน แล้วท่าน? ท่านเป็นคุณชายแท้ ๆ ยังไร้ค่ายิ่งกว่าสุนักขี้เรื่อนข้างทางเสียอีก” หนึ่งในบ่าวพูดพลางหัวเราะเหี้ยม ๆ ก่อนใช้ปลายไม้ยาวจิ้มลงบนแผลจนเด็กชายสะดุ้งสุดตัวกรีดร้องอีกครั้งด้วยเสียงที่ปริแตกจากความเจ็บ


หลินหยายกมือกดแน่นที่ริมฝีปากตนเองหายใจไม่ออก รู้สึกราวกับจะอาเจียน ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายนั้นแทรกซึมเข้ามาในร่างกายนางราวกับความทรงจำพวกนั้นไม่ได้เป็นแค่ภาพ...แต่มันเป็น “ของจริง”


“ข้า...ไม่อยาก...เป็นขันที...” เด็กชายสะอื้นสะอึกแม้เสียงจะแทบไม่ออกมา ทว่ามันกลับกรีดลึกเข้าไปในหัวใจหลินหยาได้ดั่งคมมีด เธอไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นั้นเอ่ยคำวิงวอนนั้นเป็นร้อยพันครั้งแล้วหรือยัง ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครหยุดมันและไม่มีใครสนใจว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร


เขาไม่ใช่ “ลูก” สำหรับคนในบ้านนั้น

เขาไม่ใช่ “คน” ด้วยซ้ำ


เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดถูกฝึกถูกทำลายถูกหล่อหลอมให้สูญเสียทุกสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นมนุษย์” โดยมีสายเลือดตนเองเป็นผู้ตัดสิน หลินหยา...สะอื้นในลำคอนางยกมือขึ้นปิดตาแน่นด้วยสองมือสั่นไหว ริมฝีปากนั้นกัดไว้แน่นจนเจ็บ เธออยากวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ อยากปิดหู ปิดตา ปิดหัวใจ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนี่คือความทรงจำ...ของคนที่เคยเอ่ยดูถูกนางทรมาณนางอย่างเลือดเย็น ของคนที่นางเคยลงมือทำร้ายของคนที่นาง...ไม่เคยรู้จักเลยจริง ๆ


เงามืดแปรเปลี่ยนอีกครั้งภาพของเด็กชายวัยไม่เกิน 11 ขวบปีผุดขึ้นท่ามกลางฉากหลังอันเงียบเชียบของราชธานีฉางอันในฤดูเหมันต์ ร่างเล็กในชุดผ้าหยาบหม่นหมองสะอาดกว่าผ้าขี้ริ้วเพียงนิด ยืนอยู่กลางลานหินอ่อนเบื้องหน้าของ "สำนักกงกงกลาง" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหมือนขุมนรกใต้เงาพระราชวัง รอบกายเขาเต็มไปด้วยเหล่าเด็กชายอีกหลายสิบคนบ้างผอมโซ บ้างยังมีหยาดน้ำตาติดปลายตา บ้างกอดอกตัวเองแน่นด้วยความหนาวเย็นและความกลัวจนตัวสั่น แต่ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงอ้อนวอน ไม่มีใครกล้าส่งเสียง…เพราะเสียงนั้นมัน “ไร้ค่า”


หลินหยายกมือขึ้นทาบอกด้วยความรู้สึกแน่นในอก เมื่อมองสบดวงตาของเด็กชายเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้น ดวงตาคู่นั้น...ไม่มีประกายใด ๆ เหลืออยู่เลยไม่มีแววกลัวไม่มีน้ำตา ไม่มีแม้แต่คำขอชีวิต มันว่างเปล่าราวกับจิตวิญญาณถูกคว้านหายไปหมดแล้วเด็กชายยืนนิ่งราวกับรูปปั้นที่ไร้แสงส่องถึงเขาไม่ใช่ "คน" อีกต่อไป


เขาคือ "ของถวาย" คือสิ่งของที่ถูกส่งเข้าวังเพื่อใช้งานเพื่อความสะดวกเพื่อทำงานสกปรก เพื่อกลายเป็น "ขันที" อย่างสมบูรณ์หรือถ้าไม่สมบูรณ์เขาก็จะกลายเป็นเพียงซากศพ เสียงโบยแส้ปะทะร่างดังก้องในอากาศเหมือนสัญญาณเริ่มต้นของ "การล้างตัว" การบ่มเพาะร่างกายให้พร้อมจะกลายเป็น “ทาสในเงา”


หลินหยาไม่อยากมองแต่ภาพกลับฉายขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน เด็กชายถูกจับกดลงในอ่างไม้ใบใหญ่ น้ำในนั้นเย็นจัดจนเกิดไอควันจากความเย็นแต่สิ่งที่เย็นกว่านั้นคือดวงตาของผู้ดูแลที่กดหัวเขาจมลงไปดั่งจะล้างความเป็นคนออกให้หมดเหลือไว้แต่ร่างเปล่า ๆ ให้พร้อมใช้งาน เสียงหายใจรวยรินดังเพียงครู่ ก่อนร่างเล็กจะชักกระตุกพ่นน้ำออกมาทางจมูกและปาก ทว่าไม่มีใครหยุดไม่มีใครช่วย แม้เขาจะสำลักจนตัวสั่นเสียงสะอื้นก็ไม่มี...เขาไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ได้อีกต่อไป


หลินหยาเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่นางอยากจะเรียก อยากจะห้าม อยากจะยื่นมือไปช่วย ทว่ามือของนางสัมผัสอะไรไม่ได้เลยเหมือนร่างเธออยู่ในอีกโลกหนึ่งเป็นเพียงผู้ชมที่ไม่อาจเปลี่ยนชะตาใครได้


เด็กชายถูกพาขึ้นจากอ่างถูกโยนเสมือนถุงผ้าเปียกน้ำมาทิ้งบนพื้นหิน อุณหภูมิที่ต่ำจนแข็งกรอบแผ่นกระเบื้อง ทำให้หลังเปลือยเปล่าของเขาระบมทันทีเสื้อผ้าไม่มีให้เปลี่ยนมีเพียงเสื่อฝืด ๆ ให้ห่มน้อยเกินไปที่จะบรรเทาความเจ็บ 


วันนั้น...คือวันเริ่มต้นของ "จางกงกง" 

จุดเริ่มต้นของวันที่เด็กชายตายไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ

วันที่ไม่มีชื่อ ไม่มีตัวตน และไม่มีใครเหลียวแล 

วันที่เขาเริ่มเข้าใจว่า “น้ำตา” ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไร

วันที่เขาก้าวแรก...เข้าสู่นรกที่แท้จริง


จากภาพหนึ่งสู่ภาพถัดไปความมืดมิได้จางหายแต่กลับแผ่ขยายบดบังแม้แสงเพียงริ้วของความหวัง สำนักกงกง สถานที่ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “จวนบ่มขันทีหลวง” ทว่าในสายตาของเด็กชายและอีกนับร้อยมันไม่ต่างจาก “หลุมศพที่ขุดไว้ล่วงหน้า” ฝันร้ายไม่มีทางตื่นความตายไม่มีทางหลีกหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่รอดมาได้...ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ทั้งร่างและใจ


หลินหยาเห็นมันชัด...ชัดเกินไป…


เสียงแส้ดังฉับ! ฝุ่นละอองในอากาศไม่ทันได้ตกพื้น ร่างของเด็กชายอีกคนที่อายุมากกว่าจางกงกงเพียงปีสองปีก็ฟุบลงอย่างหมดแรง พยายามลุกแต่ไร้เรี่ยวแรงพริบตาต่อมา...เขาก็ถูกลากออกจากแถวเหมือนหมาข้างถนนไปยังเรือนเย็นและไม่มีใครได้เห็นเขาอีกเลย...


หลิวกงกง ขันทีชราผู้มีดวงตาเหมือนจะตายไปแล้วครึ่งหนึ่งใช้แส้และไม้ไผ่ยาวในการ “ฝึกจิต” เขาเชื่อว่าความเป็นขันทีที่ดีต้อง “ไร้เสียง ไร้ใจ และไร้เจ็บ” ความเจ็บปวดถูกประเคนเข้าไปเพื่อให้วิญญาณสั่นคลอนจนกว่าจะสลายไปโดยสิ้นเชิงเด็กชายในสายตาเขาไม่ใช่ศิษย์ ไม่ใช่ผู้คนเป็นเพียงเนื้อหนังดิบที่ต้อง “ตบแต่ง” ให้เชื่องเหมือนสัตว์ เมื่อใดที่เด็กชายแสดงความรู้สึกไม่ว่าจะกลัว เจ็บ โกรธหรือแม้กระทั่งเศร้า...บทลงโทษจะทวีคูณ


หลินหยารู้สึกขมคอ...ขยับตัวไม่ได้ เธอเห็นเด็กชายคนนั้นจางกงกงในวัยเยาว์ยืนนิ่งไม่ขยับไม่หันมองแม้เพื่อนรอบข้างจะค่อย ๆ หายไปทีละคน เขารู้...รู้ว่าถ้าไหวเอนสักนิดเขาอาจเป็นรายต่อไปและแล้ว...วันที่เขาเสียสิ่งสุดท้ายไปก็มาถึง


ในห้องแคบมืดสนิท มีกลิ่นยาสมุนไพร กลิ่นเลือด กลิ่นสนิมเหล็ก และกลิ่นบางอย่างที่น่าคลื่นไส้ หลินหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เธอกำลังเห็นเป็นภาพจริงหรือภาพลวงเพราะมันเลือนรางแต่ทุกรายละเอียดเจ็บลึกจนลืมไม่ได้เสียงน้ำหยด...เสียงหายใจ...เสียงกรีดร้องในความเงียบ นั่นคือวันที่เขาถูก “ทำให้สมบูรณ์” ตามมาตรฐานของขันทีแห่งราชสำนัก ไม่มีใครกุมมือเขา ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีแม้แต่คำพูดอ่อนโยนจากใครสักคน เด็กชายได้แต่กัดฟันจนน้ำตาไหลโดยไร้เสียง...ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงคำถามไร้เสียงที่อยากเปล่งวาจาออกมาว่า


  “ทำไม?”

“ทำไมข้าต้องเกิดมาเพื่อเจ็บปวดถึงเพียงนี้”


เมื่อเขากลับมายังเรือนรวมหลังเสร็จสิ้นพิธีนั้นไม่มีใครพูดกับเขาไม่มีใครแม้แต่สบตา เขาไม่ใช่ “คน” แล้วในสายตาของผู้คนเขาเป็นเพียงเงา...เงาที่เกิดจากฝันร้ายของโลกที่ไร้หัวใจ หลินหยาเบือนหน้าหนีเธอไม่อาจทนมองดวงตาของเขาในยามนั้นได้อีกดวงตาที่ว่างเปล่าจนไม่มีแม้เงาสะท้อนตัวเอง ดวงตาที่ปฏิเสธความรักตั้งแต่ยังไม่รู้จักมันเสียงในใจเด็กชายดังก้องในหัวของหลินหยา


“ไร้ความรัก...ไร้คนรัก...ไร้บุตรหลาน...ไร้อ้อมแขนอันอบอุ่นเคียงข้าง...”


เสียงในหัวของหลินหยาเอ่ยออกมาจากความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด เป็นเสียงที่หลุดออกมาจากหัวใจที่บีบรัด...เพราะเธอเพิ่งเข้าใจจางกงกง...ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘อ้อมกอด’ เพราะเขาเชื่อว่าชาตินี้ทั้งชาติของเขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมันตั้งแต่ต้น


ความมืดยังไม่สิ้นสุดความเจ็บปวดยังไม่ลดน้อยแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของเด็กชายคนเดิมไม่มีอีกแล้วดวงตาคู่นั้น…ที่เคยมอดแสง…กลับเริ่มสะท้อนแสงบางอย่างที่ไม่ใช่แสงแห่งชีวิต หากแต่คือประกายของ “เงา” ที่หนาวเหน็บเป็นเงาของ “ความแค้น” จางเติบโตในสำนักกงกงได้ด้วยการ อดทน ไม่ใช่ในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจแต่คือการอดทนแบบสัตว์ที่ถูกบังคับให้ยอมจำนนเพียงเพื่อรอวันขย้ำผู้ล่า เขาเริ่มเรียนรู้ว่า ความอ่อนแอ ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจหากใช้ให้ถูกจังหวะมันคือเกราะที่คนไม่สงสัย เขาเริ่มเข้าใจว่า รอยยิ้ม สามารถกลายเป็นมีดที่ทิ่มแทงได้ลึกยิ่งกว่าคำด่า


เขาเริ่มฟังมากขึ้น สังเกตทุกซอกเรือน ทุกบรรยากาศที่เปลี่ยน ทุกเสียงที่ลอยในสายลม เขารวบรวมข้อมูลจากซอกหลืบของความเน่าเฟะในวังหลวงบันทึกไว้ในหัวสมองทุกชื่อ ทุกความลับ ทุกบาดแผลของผู้คน…เพียงเพื่อใช้มัน ‘ย้อนคืน’ และเขาเริ่ม สะสมความลับของผู้อื่น เหมือนคนสะสมเหรียญตำลึงทองคำ


ขันทีผู้ใหญ่ที่ชอบขืนใจเด็กใหม่ในเงามือของตำหนักไม้เก่า

นางกำนัลคนหนึ่งที่ลักลอบตั้งครรภ์กับองครักษ์

ขันทีอาวุโสที่ขายยาเสพติดผสมในขนมหวานของพวกนางใน

เรื่องเสพสมโสมมกามาทุกอย่าง...เขาเก็บไว้หมด ไม่มีแม้แต่เรื่องเดียวที่หลุดจากเงาของเขาไปได้


และสิ่งที่โหดร้ายที่สุด...คือแม้ตัวเขาจะยังอยู่ในวัยเด็ก เขากลับต้องใช้ รูปลักษณ์ที่งดงามผิดวิสัยเด็กชาย เป็นโล่กำบังเขาไม่ได้ ใช้ มันด้วยความภาคภูมิใจ...หากแต่ จำใจ ให้มันกลายเป็นเหยื่อล่อของผู้ใหญ่ที่มักง่ายจิตวิปริต เพียงเพื่อให้ได้คำพูดสักประโยค...ความลับสักบรรทัด...หรือการขยับฐานะในเงาอีกสักนิด สนมบางคน...เรียกหาเขาด้วยเสียงพร่าแม้เขาจะยังเป็นเด็กแต่พวกนางไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์ ขันทีบางคน...ส่งอาหารให้แต่ก็หวังสิ่งตอบแทนที่ไม่ควรหวังจากเด็กที่ยังไม่รู้จักร่างกายตนเองดีพอ เขาทน...เขานิ่ง...เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น แม้จะต้องกัดฟันจนเลือดไหลในยามค่ำคืนแม้จะต้องกลั้นเสียงสะอื้นไว้ลึกจนเสียงแหลกคอเขาจะไม่ร้องไห้อีก…เพราะเขาตั้งใจแล้วว่า น้ำตาแต่ละหยดของเขา จะต้องมีราคาที่คนทั้งวังนี้ต้องจ่าย


หลินหยามองเห็นภาพเหล่านี้ราวกับยืนอยู่ในความฝันอันบิดเบี้ยว หัวใจของเธอหนักจนอยากจะอาเจียน ไม่ใช่เพราะความรุนแรงของภาพ…แต่เพราะจิตใจของเด็กชายคนหนึ่งที่บิดเบี้ยวจนแทบไม่เหลือความเป็นเด็กให้ควานหานี่หรือ…คือจางกงกงในวัยเด็ก? ชายที่ยิ้มให้เธอด้วยสายตาแฝงเล่ห์ ชายที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยพูดหมด ชายที่พร้อมจะขย้ำ…แต่ก็พร้อมจะกอดเธอในเวลาเดียวกัน? หากนี่คือที่มาของเขา…หลินหยาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อรักใครทั้งนั้น แต่ในขณะเดียวกัน…เธอก็เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีใครเคยรักเขาจริงเลยเช่นกันและบางที…เธออาจเป็นคนแรกที่ได้เห็น ‘เขา’ ในแบบที่แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจลืมไปแล้วว่าเคยเป็น


คืนหนึ่ง…เด็กชายตัวเล็กที่ยังไม่ทันผ่านพ้นวัยสิบปีดี กำลังนั่งอยู่ใต้แสงเทียนเล่มสุดท้ายที่ลมกรรโชกจะพัดดับอยู่ทุกคราวสาย เขานั่งอยู่ตรงนั้น เลือดซึมที่มุมปากยังคงสดใหม่จากการถูกฝ่ามือเหี่ยวแห้งของหลิวกงกงฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความผิดเพียงเล็กน้อยจากขันทีชั้นสูงอีกคนที่เลื่องลือว่าเกลียดขันทีอายุน้อยที่ยังคงดูดีจนทำให้ความเหี่ยวแห้งของตนกลายเป็นเงาสะท้อน


วันนั้นจางกงกงหลุดวาจาที่โดนตัดสินว่าควรถูกตัดลิ้นอย่างไร้ความยุติธรรม เสียงตบหน้าที่ดังในตอนนั้นหนักราวกับฟ้าผ่าดาบในมือของขันทีชั้นสูงชักออกมาจากฝัก เสียงมันครูดไถกับพื้นกระเบื้องราวกับลากเสียงของยมทูตมากระซิบข้างหู “ตัดลิ้นมันเสีย จะได้เรียนรู้ว่าสุนัขต่ำศักดิ์ ไม่ควรแยกเขี้ยวใส่เจ้าของ” ขันทีชั้นสูงกล่าว ก่อนยกมือเป็นสัญญาณให้คนจับตัวเขาไว้แน่น


เด็กชายไม่ดิ้น…ไม่ร้อง…แต่ในหัวของเขานั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คนที่ใช้เขาเป็นเครื่องเซ่นไหว้ถวายบรรณาการ เขาหลับตาแน่นแล้วเตรียมใจรับความเจ็บปวด แต่ทว่าทุกอย่างกลับถูกหยุดลงด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง


“หยุด!”


เสียงหนึ่งที่เย็นเยียบแต่เปี่ยมด้วยอำนาจดังขึ้นจากประตูตำหนักไม้เก่า เสียงฝีเท้าขององครักษ์ที่ค่อย ๆ แหวกฝูงขันทีออกไป และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับกลายเป็นองค์ชายในชุดขาวสะอาด เส้นผมถูกรวบอย่างเรียบง่าย ใบหน้านั้นยังไม่ใช่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หากแต่เป็นเพียงบุรุษหนุ่มวัยรุ่นผู้มีดวงตาแจ่มกระจ่างอย่างน่าประหลาด องค์ชายหลิวเช่อ ยืนมองภาพเบื้องหน้าใบหน้าหาแววตกใจไม่เจอ มีเพียงแววตาเรียบนิ่งที่แลดูราวกับเทพแห่งความยุติธรรมบรรจุตัวมาในเรือนร่างมนุษย์


“ในราชสำนัก…มิมีใครควรถูกเหยียบซ้ำเพียงเพราะเกิดต่ำ” พระองค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากท่านสั่งตัดลิ้นเขาโดยไม่มีความผิดที่ระบุชัดตามกฎข้าจะกราบทูลว่าท่านนี่แหละ…ควรถูกถอนตำแหน่งก่อน” เสียงขององค์ชายไม่ดังมากแต่หนักแน่นพอจะทำให้ขันทีชั้นสูงชะงักหยาดเหงื่อผุดขึ้นที่ขมับ เขารีบคุกเข่าก้มกรานทูลขออภัย ในขณะที่พระองค์หันมาทางเด็กชายขันทีผู้น้อยอย่างเงียบ ๆ สำหรับเด็กชายในเวลานั้น…นี่ไม่ใช่แค่การช่วยชีวิต แต่เป็น ครั้งแรกในชีวิตที่มีใครมองเขาด้วยแววตาแบบนั้น ไม่ใช่แววตาแห่งความอยากครอบครอง แววตาเยาะหยัน แววตาสงสารอันสูงส่ง หากแต่เป็น…แววตาของคนที่มองว่าเขาเป็น "มนุษย์"


หลินหยาที่ยืนดูอยู่ยังจำทุกสิ่งในช่วงเวลานั้นได้ แม้กระทั่งแสงเงาที่สะท้อนบนผ้าม่านแสงจากกระเบื้องฝ้า และลมหายใจของพระองค์ที่อบอุ่นแม้อยู่ในตำหนักเย็นเฉียบ เด็กชายขันทีผู้น้อยก้มศีรษะลงต่ำจนหน้าผากแนบกับพื้นอย่างสุดแรง ริมฝีปากสั่นระริกไม่กล้ากล่าววาจาสักคำ น้ำตารื้นขึ้นแต่เขากลั้นไว้ด้วยไม่อยากให้พระองค์เห็นว่าตนเองอ่อนแอ แต่นับจากวันนั้นเป็นต้นมา…จางกงกง...ก็มีจุดยึดใหม่ของชีวิต


องค์ชายหลิวเช่อ คือแสงสว่างดวงเดียวในโลกที่มืดสนิทของเขาพระองค์คือผู้เดียวที่ไม่มองว่าเขาเป็นอวัยวะที่เหลืออยู่เพียงครึ่งของมนุษย์ พระองค์คือผู้เดียวที่ไม่หวังสิ่งใดจากเขาแต่กลับหยิบยื่นมือเปล่าเพื่อช่วยเขาให้รอดจากขอบเหว นั่นคือวันที่ความแค้นในตัวเขาเปลี่ยนรูปมันไม่ใช่เพียงการสะสมเพื่อระบายอีกต่อไป หากแต่คือการสะสมพลังทั้งหมด…เพื่อส่งคืนทุกสิ่งให้ พระองค์ผู้เดียว และหากวันใดมีใครคิดแตะต้องพระองค์แม้เพียงปลายผมวันนั้นเขาจะ ทำลายโลกทั้งใบ นี้เพื่อรักษาแสงเพียงหนึ่งเดียวที่ยึดตัวเขาไว้จากการแตกสลาย


ตั้งแต่วันนั้นวันที่พระหัตถ์ขาวสะอาดขององค์ชายหลิวเช่อยื่นเข้ามาฉุดเขาขึ้นจากเหวลึก จางกงกง เด็กชายที่ไม่มีใครในโลกหล้าเรียกชื่อจริงของเขาอีกได้ถวายหัวให้ดวงจันทร์ดวงเดียวในคืนมืดมิดนั้นอย่างไม่มีวันหันกลับ หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่นานนักเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขันทีข้างกายขององค์ชายหลิวเช่อประจำตำหนักฝ่ายใน แม้ยศฐาจะต่ำกว่าขันทีผู้ใหญ่หลายคน ทว่าสถานะของเขากลับไม่อาจมีใครแตะต้องได้แม้แต่ครึ่งก้าว เพียงประโยคไม่กี่ประโยคขององอค์ชาย จางกงกงก็มีที่ยืนในราชสำนักอันไร้ที่ให้ผู้ต่ำต้อย


เด็กชายผู้มากับสายลมสาบเลือดของสำนักกงกงเริ่มก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งมารยาทและกฎเกณฑ์ เขานั่งเบื้องหลังโอรสแห่งสวรรค์ทั้งวันทั้งคืนเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งทั้งพิธีการในราชสำนัก ศิลป์แห่งคำพูด กระบวนชั้นของขุนนาง การประลองเชิงวาทะในลานสาธารณะ ความเคลื่อนไหวของขุนศึกและเสนาบดีแต่ละฝ่าย...เขาท่องจำแม้กระทั่งความชอบในการดื่มชาของเหล่าพระญาติฝ่ายใน สายเลือดชั้นสูงแต่ละตระกูลและวิธีหลบเลี่ยงกับดักของนักสืบราชสำนัก


องค์ชายหลิวเช่อไม่เคยหวงห้ามไม่ให้เขาเรียนรู้ ตรงกันข้ามพระองค์เปิดโอกาสให้เขาเรียนร่วมด้วยหลายครั้ง ถึงแม้จะเพียงเป็นเพื่อนร่วมฝึกในยามเช้าหรือเสวนาในบ่ายสงบ แต่ทุกวินาทีที่ได้อยู่เคียงข้างพระองค์คือวินาทีที่เขาเรียนรู้ทุกอย่างเร็วกว่าเด็กชายใดในราชสำนักเสียอีก


และความผูกพันที่ก่อตัวขึ้น…แม้จะไม่ใช่คำว่า ‘เพื่อน’ อย่างเปิดเผย

แต่ก็ลึกซึ้งยิ่งกว่า ‘เจ้านายกับคนรับใช้’ นัก


เพราะจางกงกงไม่เคยหลับตาเมื่อพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยไม่เคยปิดหูเมื่อได้ยินใครกล่าวร้ายไท่จื่อและไม่เคยละสายตาแม้แต่ครึ่งลมหายใจหากพระองค์ยืนอยู่เบื้องหน้า


วันเวลาผ่านไปไท่จื่อเติบโตขึ้นเป็นโอรสแห่งสวรรค์ผู้เปี่ยมปัญญาและพระปรีชาสามารถขณะที่จางกงกงเองก็เติบโตขึ้นเป็นบุรุษผู้มากฝีมือและเฉลียวฉลาด เขาซ่อนความเจ็บปวดความแค้นเดิมที่ถูกแปรรูปเป็นแรงผลักดันอยู่ใต้รอยยิ้มอ่อนน้อมและกิริยาเรียบร้อย เขารู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ด้วยวาทะเรียบง่ายแต่ทิ่มแทง รู้วิธีทำให้คนประมาทเขา แล้วค่อยสะสมทุกจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ในมือเหมือนหนอนในรากไม้ที่กัดกินช้า ๆ แต่ไม่มีวันลืม


เมื่อถึงเวลาที่องค์ชายหลิวเช่อขึ้นเป็นไท่จื่ออย่างเป็นทางการเสียงหนึ่งจากสำนักในเอ่ยว่า “ขันทีจาง...คือเงาใต้เท้าของไท่จื่อ” เขากลายเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดในราชสำนักไม่เกรงทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีแม้แต่วรรณะ ไม่มีตระกูล ไม่มีบุตร ไม่มีมารดาให้ร้องเรียกชื่ออีกแล้ว มีเพียงนามเดียวคือ จางกงกง


ที่คอยเคียงข้างพระพักตร์แห่งจักรพรรดิในอนาคต...พร้อมจะ ‘ลงมือ’ เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ความแค้นในอดีตไม่เคยหายไปหากแต่มันถูกหล่อหลอมเป็น ‘ความภักดี’ อันร้ายกาจที่สุดเพราะเขาไม่เพียงแค่ “ภักดี” ต่อจักรพรรดิหากแต่ “รัก” องค์ไท่จื่อ มากพอที่จะใช้ชีวิตของเขา


ฆ่า แทนพระองค์

เผา แทนพระองค์

ลบชื่อคนจากประวัติศาสตร์ทั้งตระกูล เพื่อพระองค์


และถ้าใครถามว่าจางกงกงคืออะไร...เขาคือ “มือที่เปื้อนเลือด เพื่อให้พระองค์ทรงสะอาด” คือ “ดวงตาที่มองในความมืด เพื่อให้พระองค์อยู่ในแสงสว่าง” และคือ “หัวใจที่ยอมแตกสลายเพื่อให้พระองค์ทรงอยู่ครบถ้วนเสมอ” นี่แหละ…จางกงกง ผู้ที่โลกอาจมองว่าเป็นเพียงขันทีคนหนึ่ง


.....

..........


เสียงเครื่องเขียนวาดเส้นหมึกดำเป็นระเบียบอยู่บนกระดาษหวงฝู หยดน้ำหมึกยังอุ่นชื้นในยามที่องค์ไท่จื่อหลิวเช่อยกพระพักตร์ขึ้นจากเอกสารราชการ หรี่พระเนตรพลางขมวดคิ้วคล้ายระลึกบางสิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบสายตามองขันทีน้อยที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ข้างโต๊ะทรงพระอักษรในยามนั้น เด็กหนุ่มวัยประมาณ 11-12 ปี รูปร่างผอมบางแต่ยืดยาวอย่างสง่างามตามวัย สวมอาภรณ์ขันทีสีฟ้าอ่อนทอด้วยดิ้นเงิน มีรอยเปื้อนหมึกจาง ๆ ตรงปลายแขนเสื้อจากการชงชาและเปลี่ยนน้ำหมึกให้พระองค์อยู่ทุกวัน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตานิ่งสงบราวกับทะเลที่ไร้คลื่นแต่ลึกในนั้น…ใครจะรู้ว่าคลื่นพิโรธแค่ไหนเคยซัดสาดอยู่ในนั้น


"หลายปีแล้วใช่หรือไม่...ที่เราอยู่ด้วยกันมา" ไท่จื่อเอ่ยขึ้นช้า ๆ เสียงทุ้มนุ่มทว่าเต็มไปด้วยความคิดพินิจอย่างสงบ "แต่ข้ายังไม่รู้เลย…เจ้าชื่อจริงว่าอะไร" ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ข้างพระองค์ชะงักเล็กน้อย ปลายนิ้วที่กุมพัดไม้ในมือแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะยอบกายเล็กน้อยแล้วตอบด้วยเสียงเรียบแผ่วไม่สั่นไหวว่า 


“กระหม่อม…ไม่มีชื่อพะย่ะค่ะ หรืออาจเคยมีแต่จำไม่ได้แล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นน้อย ๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงแน่วแน่แต่เต็มไปด้วยเงาของความว่างเปล่า “กระหม่อมเป็นเพียงคนของวังหลวง ไม่มีชาติกำเนิด ไม่มีนาม ไม่มีผู้เรียก ไม่มีผู้ตอบ” ผู้ได้รับคำตอบเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ปลายพู่กันของไท่จื่อจะวางลงบนตลับหมึก พระองค์ทอดพระเนตรเขานิ่ง ๆ แล้วทรงยิ้มเบา ๆ อย่างที่ทรงเคยยิ้มเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต


“ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะตั้งให้เจ้าเอง”


ขันทีน้อยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองพระพักตร์อย่างไม่เข้าใจแต่ไม่ได้ปฏิเสธ ไท่จื่อจึงหยิบกระดาษอีกผืนมาวางไว้ตรงหน้า ทรงวาดอักษรด้วยลายมือสง่างาม หนึ่งคำ…ห่าว…อีกคำ…หมิง


“ห่าวหมิง (浩明) ห่าว จาก (浩 - Hào) คำนี้มีความหมายว่า กว้างใหญ่, ไพศาล, ยิ่งใหญ่, อุดมสมบูรณ์ หรืออาจสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของมหาสมุทรหรือท้องฟ้า ส่วน หมิง (明 - Míng) คำนี้มีความหมายว่า สว่าง, เจิดจ้า, สุกใส, ชัดเจน, เฉลียวฉลาด หรือมีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง รวมเป็น ผู้มีความรู้กว้างขวางและเฉลียวฉลาด หรือ ผู้มีความคิดกระจ่างแจ้งและยิ่งใหญ่ เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงสติปัญญา ความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล” พระองค์ทรงเอ่ยชัดถ้อยชัดคำดวงเนตรแน่วแน่ไม่ลดละ


"ตั้งแต่วันนี้ไป…เจ้าคือ 'จาง ห่าวหมิง'"


ราวกับเสียงสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านหุบเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ดวงตาของขันทีน้อยเบิกขึ้นช้า ๆ คล้ายเงาสีดำที่เคยปกคลุมทุกสิ่งพลันหายวับไป ริมฝีปากที่ไม่เคยสั่นไหวของเขาขยับเพียงน้อยนิด…แต่ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยออกมาใบหน้าที่เคยไร้สีเลือดกลับค่อย ๆ มีแสงอ่อนบางซึมซับอยู่ใต้ผิวจาง ๆ แม้จะไม่ใช่ชื่อที่มารดาตั้งให้…แต่ก็เป็นชื่อเดียวที่เขาเคยได้จากใครบางคนที่เห็นเขาเป็นคนจริง ๆ


“…ขอบพระทัยพะย่ะค่ะฝ่าบาท…” คำพูดสั้น ๆ ที่เปล่งออกมาเบาหวิวทว่าแทบทำให้ห้องทรงพระอักษรพลันเงียบสงัด ไท่จื่อเพียงยกยิ้มแล้วทรงเขียนนามนั้นต่อท้ายในบันทึกสำหรับรายชื่อข้าราชบริพารด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่นั้นมา “ห่าวหมิง" ก็คือชื่อที่เขายึดมั่นราวกับมันเป็นชื่อที่กลายเป็นดั่งตราประทับว่าเขาไม่ใช่แค่ “ขันที” แต่เป็น “คนของไท่จื่อ”…ผู้หนึ่งในเงาที่จะไม่มีวันทอดทิ้งแสงนั้นอีกตลอดชีวิต


.....

..........


หลินหยายืนนิ่งอยู่ในม่านหมอกแห่งความทรงจำซึ่งฉายภาพฉากต่อไปเบื้องหน้า ภาพที่นางไม่เคยเห็น ไม่อาจจินตนาการและยากจะเข้าใจหากไม่อยู่ ณ ตรงนี้ จากห้องทรงพระอักษรของไท่จื่อ เวลาราวหมุนเร็วราวถูกบิดบัง ม่านหมอกหอบพาให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ดวงจันทร์สุกสว่างฉาบแสงสีเงินเหนือป่าทึบเขตต้องห้ามที่แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังไม่กล้าเหยียบย่างโดยไม่มีราชโองการและท่ามกลางป่าอันชื้นเย็นแปลกตาเงาของเด็กหนุ่มในชุดขันทีแทรกตัวอยู่ระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ เขา...ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ใบหน้าของเขาเริ่มเฉียบคมขึ้น ร่างกายสูงโปร่ง เสื้อคลุมที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้มีรอยเปรอะเปื้อนโคลนและเลือดจาง ๆ ที่ปลายชายเสื้อ 


"ที่นี่คือ…?" หลินหยาขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าเคยเห็นสถานที่นี้ในตำราบางเล่มของหมอยาในโรงหมอของท่านหมอเจิ้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับเร็วจนน่าตกใจงูพิษขนาดใหญ่สีดำเขียวแวววาวพุ่งออกจากพุ่มไม้กัดเข้าที่ข้อมือของจางกงกงอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเลือดพุ่งเขาทรุดฮวบลงทันที ร่างกายชักกระตุก ดวงตาพร่าเลือน ท่ามกลางภาพหลอนแห่งความตายที่ย่างกรายเข้ามาแต่ขณะที่เขากำลังจะหมดสติ เสียงหนึ่ง...เสียงอันเยียบเย็นดุจเลื้อยคลานของงูพิษก็ปรากฏขึ้นภายในหัวของเขา


“หากเจ้ายังไม่อยากตาย…จงเป็นหนึ่งกับข้ากลืนพิษ กลืนเงา กลืนความอ่อนแอให้หมดสิ้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันถูกเหยียบซ้ำอีกต่อไป…”


หลินหยาที่ยืนอยู่ราวกับวิญญาณผู้ชมเหตุการณ์พลันชะงัก ดวงตานางเบิกขึ้นน้อย ๆ เพราะเสียงนั้น...แม้เลือนรางแต่นางกลับได้ยินชัดเจนเช่นกัน มันไม่ได้เอ่ยกับนางแต่คล้ายว่าความทรงจำที่ศาลาแห่งเงาสะท้อนให้เธอ…กำลังเปิดช่องให้บางสิ่งกระซิบกับหัวใจของนางไปพร้อมกับหัวใจของเด็กหนุ่มเช่นกัน ในห้วงขณะระหว่างความตายกับการตื่นเด็กหนุ่มเริ่มสูดลมหายใจอีกครั้งไม่ใช่เพราะรอดมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่เพราะเขากลืนพิษนั้นลงไป กลืนความกลัว กลืนความอ่อนแอแล้วบีบบังคับตนเองให้อยู่รอดด้วย ‘จิตใจ’ ที่แข็งราวเหล็กกล้าปกคลุมด้วยยาพิษเข้มข้น


หลังจากวันนั้น ห่าวหมิงหรือจางกงกงก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน


หลินหยามองภาพของเขาที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งในป่ามืด ภาพที่นางเห็น...คือดวงตาสีดำที่เคยหม่นมืดบัดนี้กลับส่องประกายแวววาวราวกับนัยน์ตาของอสรพิษสีหน้าเย็นเยียบจนแม้แต่ลมที่พัดมาก็รู้สึกสะท้าน เขาเดินกลับวังด้วยเท้าที่มั่นคงกว่าเดิมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนแต่จิตใจเยือกเย็น ทุกถ้อยคำที่เอ่ยล้วนเฉือนลึก มองทะลุจิตใจคนรอบตัวได้อย่างแม่นยำ และแม้แต่หมอยาวังที่ตรวจอาการบาดเจ็บของเขาในภายหลัง...ก็ยังประหลาดใจว่าเหตุใดร่างกายของขันทีน้อยผู้นี้จึงไม่แสดงอาการใดจากพิษร้ายแรงขนาดนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นยาพิษ น้ำพิษ หรือพิษในใจคน...เขากลืนมันเข้าไปทั้งหมดแล้วกลั่นกรองออกมาเป็น "พิษแห่งคำพูด" พิษแห่งความเยือกเย็นทางสายตา และพิษแห่งการล่วงรู้ความลับ เขาเริ่มฟังสิ่งที่คนไม่พูดเริ่มเห็นสิ่งที่คนพยายามปิดเริ่มคำนวณความผิดพลาดเพียงปลายนิ้วสัมผัสหรือปรายตามอง


หลินหยาเงยหน้าขึ้นมองภาพของเขา พลางรู้สึกได้ว่าตั้งแต่จางกงกงตอนนี้ ความเป็นมนุษย์ในร่างกายเขาก็ค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับบางสิ่งที่บิดเบี้ยว โรคจิต วิปลาส และรอคอยการจู่โจมราวกับงูเงียบซุ่มในรัง


คราแรกเริ่มหลินหยาคิดว่าภาพทั้งหมดนี้จะสิ้นสุดลงแล้วใจที่ตึงเครียดเหมือนเส้นด้ายร้อยมีดคมเริ่มคลาย แต่ทว่าเบื้องหน้ากลับบิดเบี้ยวอีกครั้ง ม่านหมอกของศาลาแห่งเงาเปลี่ยนฉากอีกหน และคราวนี้คือจุดที่ไม่ใช่เพียงปลายทางของความแค้น…แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การชำระล้างด้วยไฟนรก” ภาพตรงหน้าคือจางกงกงในวัยเพียงราว 13 หรือ 14 ปี หากเป็นเด็กสามัญเขาย่อมยังคงเรียนหนังสือหรือวิ่งเล่นยามค่ำในหมู่บ้านแต่ไม่ใช่เขา เขาผู้นี้ไม่เคยได้รับแม้แต่นิยามว่า “เป็นเด็ก” บนยอดบันไดของตำหนักจงฉางชื่อ เขาคือ “จงฉางชื่อ” ขันทีผู้ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนักฮั่น บุคคลผู้เดินตามเสด็จจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้มาตั้งแต่ยังทรงเป็นไท่จื่อ เป็นเงาเงียบเบื้องหลังราชบัลลังก์ เป็นผู้ที่ฮ่องเต้ไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดและในวันที่จันทราส่องแสงเพียงครึ่งดวงนั้นเอง…วันที่ทุกขุมนรกภายในหัวใจของเขาเงียบงันลง


คือวันที่เขา “กลับบ้าน”


จวนสกุลจางอันห่างไกล จวนเดิมของเขาที่เคยทั้งถูกกักขัง วิ่นเฉือน และย่ำยีจิตวิญญาณของเด็กชายผู้ไม่เคยได้รับแม้แต่คำว่า “ลูก” ด้วยความจริงใจ ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ลานหินของจวนใหญ่ในยามวิกาล ฝุ่นตลบจากล้อเหล็กบดทับผืนดินท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญของบ่าวรับใช้ที่มิรู้ชะตากรรมของตน พ่อของเขาเจ้าบ้านผู้เคยถืออำนาจสูงสุดในบ้านที่เด็กชายต้องกราบกรานเยี่ยงสัตว์เลี้ยง เงยหน้าขึ้นยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าปลื้มปีติที่บุตรชายผู้เขาขยี้เพื่อเป็น “เครื่องมือแห่งเกียรติยศ” ในที่สุดก็เดินมาสู่จุดสูงสุด


“ในที่สุด…เจ้าก็สำเร็จ” ผู้เป็นบิดากล่าวด้วยน้ำเสียงหวงแหนในสิ่งที่ตนเคยถ่มน้ำลายรด เขายื่นมือออกไปราวกับจะรับ ‘รางวัล’ จากบุตรที่เขาไม่เคยกอดด้วยรักแม้สักครั้งแต่สิ่งที่เขาได้รับ…กลับเป็นบางสิ่ง…ไม่มีคำพูด ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าหลบหนี


"คนอย่างเจ้าสมควรตายตั้งแต่ข้ายังเด็กแล้ว" น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างเย็นชาท่ามกลางคมดาบที่วาดเป็นวงกลมฉับพลัน บ่าวไพร่ในจวนกรีดร้องแต่ทุกเสียงพลันสิ้นสุดลงด้วยเลือดที่สาดไหลดั่งน้ำตกเหนือศาลบรรพบุรุษห้วงภาพสุดท้ายไม่ใช่เสียงร้อง ไม่ใช่ไฟลุกโชน ไม่ใช่คมดาบที่เฉือนผ่านลำคอ แต่คือ ความเงียบ ความเงียบงันที่น่าสะพรึงราวอเวจีที่กลืนกินทุกสิ่ง หลินหยาแทบไม่อยากกระพริบตาภาพตรงหน้ามันไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมมันคือผลพวงของนรกที่สุมอยู่ในร่างของเด็กชายผู้ไม่เคยได้เติบโตในฐานะมนุษย์


ศพของผู้นำสกุลจาง ชายผู้เคยถืออำนาจเด็ดขาดในจวนนอนกองอยู่ท่ามกลางเศษเลือดที่ไหลเยิ้มจนเปื้อนรอบเรือน เสื้อผ้าเขาขาดวิ่น ใบหน้าซูบซีดบวมช้ำ เต็มไปด้วยรอยเล็บจิกและแผลบวมเป่งจากยาพิษชนิดร้ายแรงที่ค่อย ๆ แผดเผาเส้นเลือดให้ระเบิดทีละเส้นจากภายใน ดวงตาปูดโปน อ้าค้างราวกับอยากร้องขอความเมตตาแต่ก็ไร้เสียง เพราะลิ้นของเขาถูกคว้านออกไปตั้งแต่ก่อนสิ้นใจเสียอีก


และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือภาพของ จางกงกง ในชุดขันทีเต็มยศ ยืนอย่างนิ่งสงบข้างกายศพนั้นราวกับเป็นเพียงรูปปั้นไร้ความรู้สึกห่างจากร่างที่คร่ำคร่าเพียงไม่ถึงก้าว และในชั่วขณะหนึ่ง เขายกเท้าขึ้นไม่ใช่ด้วยความรังเกียจแต่ด้วยความเย็นชาราวเครื่องจักร


"กร่อก…"


เสียงสัมผัสของปลายรองเท้าปักไหมกับใบหน้าเหี่ยวแห้งของบิดาดังขึ้นเบา ๆ แต่สะท้อนก้องในโสตประสาทหลินหยาราวกับค้อนทุบกลางอก เขาไม่ได้เตะ ไม่ได้เหยียบ…เขาเพียงแตะมันไว้ราวกับลูบไล้ด้วยเท้า เป็นสัมผัสสุดท้ายระหว่างพ่อกับลูกสัมผัสที่ไร้เนื้อแท้ของมนุษย์และขณะที่คนตายกระตุกเฮือกสุดท้าย ริมฝีปากของจางกงกงก็ขยับเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉียบจนหลินหยาต้องขนลุกซู่


"เจ้าสร้างข้าขึ้นมาในนรก...งั้นข้าก็จะกลายเป็นนรกนั้นเอง"


ไม่มีน้ำตา ไม่มีการสั่นไหว ไม่มีความสลดหรืออาลัยมีเพียงความเย็นชาของภูตผีและอำนาจที่ไม่ต้องการคำอนุญาตจากใครในโลก หลินหยาที่ได้เห็นภาพนั้นนางยืนนิ่งไม่อาจขยับ แม้แต่ลมหายใจยังแล่นผ่านลำคออย่างยากเย็น นางเข้าใจทันทีว่า “แววตาเย็นเยียบ” ของจางกงกงหาได้เกิดขึ้นเพราะเขาเกิดมาเช่นนั้น…แต่มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากนรกทั้งเป็นจากการถูกทรยศโดยคนที่ควรจะปกป้องเขา


การฆ่าล้างสังหารอย่างโหดเหี้ยมเผาบ้านทั้งหลัง เผาทุกต้นไม้ที่เคยเป็นเงาร่มให้เขาตอนที่เขาหลบการทุบตี ทุบทำลายป้ายชื่อบรรพชนด้วยน้ำมือของตนเอง สั่งให้ถอดรื้อฐานบันทึกประวัติศาสตร์สกุลจางออกจากทำเนียบขุนนาง เผาขี้เถ้าทิ้งลงในแม่น้ำเว่ยสุ่ยให้ไม่มีแม้เถ้าถ่านใดเหลือให้ฟื้นฟูความทรงจำ


“ข้าไม่ได้ฆ่าพ่อ…ข้าฆ่าคนที่เคยฆ่าข้าให้ตายตั้งแต่ข้ายังหายใจ” เขาเคยกล่าวกับขันทีคนสนิทอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเดินกลับขึ้นตำหนักหลวงในยามรุ่งเช้า รอยเลือดยังเปรอะอยู่ที่รองเท้าปักไหม และในฉากสุดท้ายนั้นเอง ไฟลุกวาบขึ้นราวกับทั้งฟ้าใต้หล้าร่วมเป็นพยาน จวนสกุลจางถูกเผาไหม้ทั้งจวนจนไม่หลงเหลือแม้กระทั่งชื่อในทะเบียนขุนนาง ขี้เถ้าไหลรวมกับสายลม หายวับเหมือนไม่เคยมีบ้านหลังนี้อยู่บนโลกนี้มาก่อน


หลินหยายืนนิ่ง มือนางสั่น ใบหน้าซีดเผือด หัวใจเหมือนถูกคว้านลึกลงไปยังเหวนรก สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่แค่เรื่องราวของอดีตแต่มันคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เกิดจากความ ไร้รัก ไร้ความอบอุ่น...สามารถสร้าง ปีศาจในคราบมนุษย์ ขึ้นมาได้อย่างแท้จริงและจางกงกง…คือปีศาจนั้น ปีศาจที่เลือกจะฝังหัวใจตนเองทั้งเป็นแล้วแทนที่มันด้วย นรกที่ไม่มีใครรอดพ้น


.....

..........


ขาของหลินหยาอ่อนแรงราวจะถูกสูบพลังชีวิตจากร่าง นางทรุดตัวลงกระแทกพื้นศาลาจื่อเถิงฮวาอย่างช้า ๆ โดยไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าเสียงดังแค่ไหนหรือฝุ่นจากพื้นกระเบื้องโบราณของศาลาเงาแห่งพันธะจะกระเซ็นใส่ผ้าผ่อนงามวิจิตรของนางเพียงใด มือหนึ่งทาบแน่นที่อกซ้ายราวจะฉุดหัวใจที่กำลังหล่นวูบสู่ห้วงเหวน และอีกมือยกขึ้นปิดปากแน่นน้ำตาหยดแรกไหลเงียบราวกับเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเอ่อล้นตาออกมาตั้งแต่เมื่อใด


"...นี่หรือ...ชีวิตของเขา..." เสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากนุ่มนั้นแผ่วเบาเกินกว่าจะเรียกว่ากระซิบ มันเต็มไปด้วยอาการสะอื้นในลำคอจนถ้อยคำสั่นระริก...หลินหยาไม่เคย...ไม่เคยแม้แต่จะนึกเลยว่าโลกนี้จะมีชีวิตเช่นนั้นอยู่จริงชีวิตที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยได้รับแม้เพียงเศษเสี้ยวของความรัก ความอบอุ่น หรือแม้แต่คำเรียกขานว่า "ลูก" ที่เปล่งจากใจคนเป็นพ่อ หัวใจของนางบีบรัดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออกราวกับบาดแผลที่ไม่เคยเป็นของตนได้ฉีกกลางอกตนเองอย่างไม่มีเยียวยา หลินหยาเกิดในบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ พี่น้องแย่งของเล่นกันแต่ก็โอบกอดกันเสมอ ยามล้มแม่จะประคอง พ่อยิ้มแม้เพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ 


แต่เด็กคนนั้น...เด็กชายผู้ไม่เคยรู้จักการลูบหัวอย่างอบอุ่นไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของใครที่เป็นครอบครัว ไม่เคยได้รับแม้กระทั่งชื่อ...จนต้องให้ผู้อื่นมาตั้งให้...ความคิดนั้นราวสายฟ้าฟาดกลางทรวง หลินหยารู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วงร่างทั้งร่างชาวาบเย็น นางไม่เคยเข้าใจเลย...ไม่เคยเห็น…ว่า “จางกงกง” คนที่นางเคยกลัวเคยตะคอกใส่ เคยต่อยหน้า เคยสาปแช่ง...เขาคือคนที่เดินมาไกลขนาดนี้จากนรกที่ไม่มีใครแม้แต่จะมองลงไป


“ห่าวหมิง...” นางเอ่ยชื่อที่จักรพรรดิมอบให้เขาด้วยเสียงสั่นพร่าชื่อเดียวกับชายสวมหน้ากากครึ่งหน้า คล้ายกำลังเรียกใครสักคนในอดีต...เรียกตัวตนที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย หัวใจของหลินหยาบัดนี้เต็มไปด้วยอะไรหลายอย่าง ความเวทนา…ความเจ็บปวด…ความรู้สึกผิดอันไม่รู้จะชดเชยยังไง…แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ความเศร้า


เศร้าที่มีคนคนหนึ่งต้องแบกโลกทั้งใบไว้ในอกโดยไม่เคยมีใครช่วยถือ

เศร้าที่ต้องมีเด็กสักคนเกิดมาเพียงเพื่อถูกบดขยี้ให้กลายเป็นฝุ่น

เศร้าที่คน ๆ หนึ่งต้องฆ่าพ่อของตนเองเพื่อยืนยันว่าตนนั้นมีตัวตน…ในโลกที่ไม่เคยให้เขาเป็นใครเลย


“ข้ารู้แล้ว…” หลินหยาพึมพำราวบอกกับลมกับฟ้าหรือกับดวงวิญญาณที่ยังสถิตอยู่ในห้วงพันธะ “เพราะเช่นนี้เองสินะ…ท่านถึงเป็นแบบนี้” นางเอ่ยขึ้นยิ้มขืนตัวเองแม้นางจะรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้าย และไม่ควรจะมีใครโดนแบบที่จางกงกงทำกับนาง แต่ก็ไม่มีใครควรทำกับจางกงกงแบบนั้นเช่นเดียวกัน แม้นี่คือเพียงความทรงจำในพันธะ แต่นางรู้…รู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพลวงตามันคือบาดแผลที่จารึกอยู่ในกระดูกของชายผู้นั้นและหลินหยารู้…ว่าไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น 


นางจะไม่มีวันมองเขาเหมือนเดิมอีกเลย




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: จบยังอ่ะ ไอนีทรางวัล แต่แบบแต่งไปแต่งมานิยายเกย์หรอ 555 หลิวเช่อกับจางกงกงเกย์มากอ่ะ

รางวัล: ???

แสดงความคิดเห็น

(จบ) ได้รับหน้ากากไร้ใจ   โพสต์ 2025-7-17 00:40
ชายหนุ่มคนนั้นวิ่งผ่านตัวคุณไป (https://i.imgur.com/aJ6IpsI.jpg) เขาหันมากล่าวขอโทษเป็นภาษาจีนที่ซนคุณด้วยความเร่งรีบ เขากำลังไล่ตามเด็กผู้ชายตัวเล็ก  โพสต์ 2025-7-17 00:40
ระลึกความทรงจำ งานแฟนชีหน้ากาก 1 ความทรงจำ โดยในงานมีพลุถูกจุด วินาทีพลุจุดก็เกิดเสียงระเบิดตู้มดังสนั่น คุณเห็นร่างบางคนวิ่งผ่านตัวคุณที่ไม่เหมือนตัวคุณเพราะแต่งชุดประหลาดหมอลำ?   โพสต์ 2025-7-17 00:39
ก่อนคุณจะพบคนลึกลับสีดำท่านหนึ่ง และเขาวางหน้ากากใบหนึ่งก่อนหายไป (จบ) ในจังหวะที่ทำท่าจะหยิบหน้ากากขึ้นมา  โพสต์ 2025-7-17 00:37
โพสต์ 176651 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-16 19:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-17 01:59:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-17 03:29

บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา


วันที่ 15 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ณ จักรวรรดิต้าฮั่น เมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


หลินหยาเงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนแรงดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนคู่งามที่เคยฉายแววแวววาวบัดนี้พร่าเลือนราวฝันร้ายที่ยังไม่ยอมคลายตัว ดวงตะวันสองดวงยังคงทอดแสงลงมาอย่างเย้ยหยัน เธอแทบจะกรีดร้องแล้วตะโกนถามว่า "อีกนานแค่ไหน? ต้องเห็นอะไรอีกเท่าไรวะเนี้ย?" แต่ก่อนที่เสียงนั้นจะทันหลุดริมฝีปากภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยน เงาร่างหนึ่ง...สูงโปร่งราวกับหลอมขึ้นจากหมอกและเงาดำทะมึนไร้รูปร่างชัดเจน...แต่ไม่ใช่ภาพน่าสะพรึง หากกลับดึงดูดสายตาอย่างไม่อาจละไปได้ราวกับบางสิ่งที่อยู่ในห้วงลึกของความทรงจำที่ไม่มีอยู่จริง ร่างนั้นก้าวมาเงียบ ๆ ไม่มีเสียงฝีเท้าไม่มีแม้เสียงลมหายใจ มีเพียงแรงกดทับของบรรยากาศรอบตัวที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักจนเธอแทบลุกไม่ไหว


หลินหยาพยายามเพ่งมองแต่ภาพหน้าของอีกฝ่ายกลับพร่าเบลอ ราวกับสติของเธอกำลังจะหลุดลอยไปทั้ง ๆ ที่ยังตื่นอยู่เลยแต่ไม่สามารถเห็นหน้าเขาได้เลยไม่ว่าจะพยายามเพียงใด เขาไม่พูดอะไรสักคำไม่เอื้อนเอ่ย ไม่ผงกหัว ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจที่บอกว่ามีชีวิต...มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำเขาวาง “หน้ากาก” เอาไว้ต่อหน้าเธออย่างเงียบงัน


หน้ากากนั้น...คือ "หน้ากากไร้ใจ"


มันมิใช่เพียงเครื่องปกปิดใบหน้าหากแต่คล้ายกับ “ดวงจิต” ที่ถูกสกัดจนแห้งสนิท หยกสีหม่นเยือกเย็นราวกับสัมผัสแรกของศพที่ไร้ชีวิต เงาควันบางเบาปรากฏพรายไล้ผิวหยกอย่างน่าขนลุก รูปทรงของหน้ากากนั้นแบนเรียบแต่เย้ายวน เส้นสายของลายแกะสลักอสรพิษพันหมอกถูกสลักราวกับมีมือเทพเจ้าสลับพันเกี่ยวกันอย่างแยบยล ทุกแววตาที่มองสบกลับรู้สึกราวกับสิ่งเหล่านั้น “ขยับ” ได้จริง สัมผัสมัน...คือสัมผัสความตายที่ยังไม่เกิดขึ้น เรื่องราวพลันกระซิบในห้วงลึกของโลกที่เธอไม่เคยรู้จักว่า หน้ากากนี้ถือกำเนิดจากหยกต้องสาปและ “เศษใจ” ของชายผู้ถูกสร้างให้ไร้หัวใจตั้งแต่ยังไม่รู้จักความรัก เขาเคยเป็นขันทีผู้ต่ำต้อยเด็กชายคนหนึ่งในนรกซ้อนนรกที่ต้องกลืนกินทุกอารมณ์จนกลายเป็น “สิ่ง” ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใจของตนเคยรู้สึกรักได้เช่นใด


หน้ากากไร้ใจนั้น…จะกลืนกลบความรู้สึกทั้งปวงของผู้สวมใส่ ความหวั่นไหวจะเลือนหาย รอยยิ้มจะกลายเป็นรอยยิ้มที่จำไม่ได้ว่ามีไว้เพื่ออะไร ดวงตาจะมองโลกอย่างเย็นชาโดยไม่รู้ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่นคือสิ่งใด และหัวใจ...จะกลายเป็นหินที่เคยเต้นอยู่เพียงครั้งเดียวในวันที่ถูกเหยียบย่ำจนแตกละเอียด หลินหยามองหน้ากากนั้น เธอรู้ทันที...นี่ไม่ใช่แค่วัตถุธรรมดา แต่มันคือ "เศษใจที่แหลกละเอียด" ของใครคนหนึ่ง เธอกระพริบตาช้า ๆ มือไม้สั่น เธอไม่แน่ใจว่าร่างนั้นมอบให้เธอ...หรือทิ้งให้เธอเห็นว่านี่คือสิ่งที่เขาเป็น


ดวงใจของหลินหยาสั่นระรัวราวกับเสียงลมในที่ราบที่ว่างเปล่า ร่างเธอเอื้อมมือไปอย่างช้า ๆ...เพียงปลายนิ้วสัมผัสขอบหยกเย็นเฉียบสัมผัสนั้นทำให้จิตใจของเธอสะเทือนสะท้ายราวกับโลกถล่มลงกลางความรู้สึกของตนเองโดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดมันหนาวเกินไป...หนาวจนเหมือนจะกลืนเธอไปทั้งร่าง


“เจ้ารู้สึกหนาวเพราะเจ้ามีใจ...” เสียงหนึ่งกระซิบในหัวเธอ ราวกับสะท้อนมาจากหน้ากาก “แต่สำหรับเขา...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘หัวใจ’ คือสิ่งใด”


หลินหยาเอื้อมมือขึ้น...ปลายนิ้วที่ยังสั่นไหวจากแรงสะเทือนภายในแตะลงบนขอบหยกของหน้ากาก “ไร้ใจ” อย่างเชื่องช้า สัมผัสนั้นแผ่ซ่านความเย็นเยียบลอดผ่านผิวหนังราวกับจุ่มมือลงไปในธาราน้ำแข็งแต่สิ่งที่ไหลย้อนกลับมานั้นไม่ใช่เพียงความเย็นหากแต่คือ...เสียงกระซิบแห่งความทรงจำ ดวงตาคู่งามเบิกโพลงใจของเธอกระตุกวูบหนึ่งก่อนทุกสิ่งจะฉายภาพซ้อนทับมาไม่ทันตั้งตัว


ตอนแรกหลินหยาคิดว่ามันจะเป็นเสียงของเด็กชายกรีดร้องเสียงนั้นเต็มไปด้วยความกลัว การดิ้นรนในความมืด เสียงตะโกนหาผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยหันมาซ้อนทับด้วยเสียงของเด็กคนเดียวกันที่แปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะเย็นเยียบ...หัวเราะในคืนที่เขาฆ่าทุกคนในจวน เสียงเปรี้ยงของไฟ ไอควัน และเศษเนื้อที่ถูกลากตัดและโยนทิ้งอย่างไร้เมตตา


แต่กลับเป็นภาพอีกแบบ…และในวินาทีนั้นเอง...ทุกอย่างดับวูบ โลกตรงหน้ากลืนหายกลายเป็นความว่างเปล่าสีขาวโพลนโอบรัดเธอไว้ทั้งตัวทุกอย่างเงียบเชียบเกินไปราวกับว่าสรรพสิ่งล้วนหยุดหมุนโลกที่มีพระอาทิตย์สองดวง...สิ้นลงแล้ว หลินหยาไม่รู้ว่าร่างเธอล้มลงหรือยังยืนอยู่ไม่รู้ว่าเธอหลับหรือลืมตา เธอรู้เพียงอย่างเดียว..ภารกิจนี้...จบลงแล้ว


ปลายนิ้วที่สัมผัสหน้ากากเย็นเฉียบค่อย ๆ หลุดปล่อยแต่ทว่าอีกมือกำลังจับมันแน่นไว้แม้มันจะเป็นเพียงเศษใจของใครบางคนความว่างเปล่ากลายเป็นแรงดึงดูดที่ฉุดกระชากจิตใจของเธอกลับไปยังที่เดิมราวกับประตูบานหนึ่งเปิดออกโดยไร้เสียง ร่างของหลินหยาไถลย้อนกลับ ราวกับดวงจิตกำลังหล่นจากขอบฟ้ากลับสู่ร่างเดิม...กลับไปยังโลกที่ยังคงรอเธออยู่...โลกที่ "พันธะ" กำลังจะเดินทางต่อไปตามโชคชะตาที่โดนขีดโดยเทพเจ้า เสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นในห้วงลึกของสติหลินหยานั้น แผ่วเบาแต่กรีดลึกยิ่งนัก


“เมื่อเจ้าเห็นทุกสิ่ง...เจ้าจะยังกล้ามองตาเขาอยู่อีกหรือไม่?” หลินหยา...จะต้องเผชิญหน้ากับคำตอบนี้ด้วยหัวใจของเธอเอง




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: จบแล้วโว้ยยยยยยยย แล้วเอาอ่าวรุ่ยเผิงมาล่อฉันงั้นหรอ จับทำสามีซะหรอกแก!!


รางวัล: 

จบภารกิจ เควส บันทึกท่องยุทธจักร ระดับ Normal “พันธะในเงาศาลา”


+100 พลังใจ , +600 ตำลึงเงิน + 1 Level up และ +30 บารมี และ +40 ตบะฝึกฝน

ค่าความสนิทสนมกับ NPC จางกงกง +35 


ภารกิจสำเร็จ เลือก ขลุ่ยไม้พันธะในเงาศาลา


(น้องต้องไปตื่นที่ไหนวันไหนบอกน้องที 555)

(ฉากสุดท้ายก่อนสลบคือนอนซบอกจางกงกงอยู่ วันที่ 08 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11)

(ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา)

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 100 EXP โพสต์ 2025-7-17 02:41
คุณได้รับ +30 คุณธรรม โพสต์ 2025-7-17 02:41
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-7-17 02:40
โพสต์ 30146 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-17 01:59
โพสต์ 30,146 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หน้ากากไร้ใจ  โพสต์ 2025-7-17 01:59

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +100 ตำลึงเงิน +600 ตบะฝึกฝน +40 ย่อ เหตุผล
Admin + 100 + 600 + 40

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้