
วันที่ 29 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซื่อ เวลา 10.00 - 11.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตอนใต้ ศาลเจ้าผู้เฒ่าจันทรา (เยว่เหล่า)
อีเว้นท์ ภารกิจ “มิตรภาพเหนือกาลเวลา”
สายลมเช้าวันนั้นพัดใบไม้ไหวเบา ๆ ศาลเจ้าผู้เฒ่าจันทราเงียบสงบ มีเพียงกลิ่นธูปที่ลอยคลุ้งตัดกับแสงแดดยามสายที่ส่องลอดชายคาไม้เก่าแก่ เถียนเฟิงก้าวช้า ๆ เคียงข้างหลินหยา พลางสังเกตสีหน้าที่แม้จะพยายามยิ้มแต่แววตายังคงหม่นลึก หลินหยาถอนหายใจออกมายาว “ข้าว่าเทพเยว่เหล่าคงเบื่อข้าแล้วแน่ ๆ มาบ่อยจนคงเอียนหน้าไปแล้ว” เสียงบ่นของนางเต็มไปด้วยความขี้เล่นกลบความเศร้า เถียนเฟิงเหลือบมองนาง ยกมุมปากแซวเบา ๆ “เจ้ามาบ่อยถึงเพียงนั้นหรือ? แล้วท่านโผล่มาให้เจ้าเห็นหน้าหรือไม่”
หลินหยาหันมามองเขา ขยับยิ้มบาง “อืม โผล่มาแล้วด้วย…หน้านิ่งสุด ๆ เลยนะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เอียงศีรษะ “โกหกหรือเปล่า?” นางหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เรื่องจริงแหละ ท่านมาแบบหน้าตาดี เท่ ๆ คูล(?) ๆ หน้านิ่ง…เหมือนใครบางคนเลย” ดวงตาหวานเหลือบไปทางเถียนเฟิงอย่างเจ้าเล่ห์ เขาชะงักไปครู่ ก่อนถอนหายใจพร้อมยิ้มอย่างจนใจ “ข้าหรือ? อย่างน้อยข้าก็ยังพูดกับเจ้า”
“จริงด้วย” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นแม้จะอ่อนแรงแต่ก็อบอุ่น ทั้งสองเดินไปยังแท่นบูชา หลินหยายกธูปขึ้นเหนือหัว หลับตาอธิษฐานอย่างเงียบ ๆ เถียนเฟิงยืนนิ่งข้าง ๆ มองภาพหญิงสาวในแสงแดดที่ส่องลงมาพอดี ดวงตาเขาสะท้อนแววกังวลที่ปิดไม่มิด เทพเยว่เหล่า…หากท่านฟังอยู่ ช่วยชี้ทางให้เด็กคนนี้ด้วย
เมื่อหลินหยาเปิดตาขึ้น นางหันมายิ้มกับเขา “ข้าอธิษฐานแล้วนะ หวังว่าเทพจะไม่รำคาญคำขอข้า” เถียนเฟิงยกพัดเคาะไหล่นางเบา ๆ “ถ้าเทพรำคาญ ข้าก็จะอธิษฐานแทนเจ้าบ้าง” หญิงสาวหัวเราะออกมาอีกครั้ง แม้หัวใจยังเจ็บ แต่ยามนี้ในศาลเจ้าที่เงียบสงบ มีเพื่อนคนหนึ่งยืนข้าง ๆ นางก็รู้สึกว่าโลกไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก เถียนเฟิงเลยเดินไปหยิบเซียมซีมาให้ เธอพ่นลมหายใจแล้วรับมา เถียนเฟิงมองหลินหยาเงียบ ๆ ขณะที่นางรับไม้เซียมซีจากมือเขา เสียงกระทบของไม้เล็กกับกระบอกไม้ไผ่ดังกรุ๋งกริ๋งเบา ๆ ก่อนหนึ่งไม้จะหลุดร่วงลงมาบนพื้นศาล หลินหยาหยิบมันขึ้นแล้วยื่นให้สตรีวัยกลางคนผู้ดูแลศาลเจ้าอย่างเคยชิน
ผู้ดูแลรับไม้เซียมซีไป เธอเปิดแผ่นคำทำนายที่สอดไว้ในลิ้นชักเล็ก ๆ ของโต๊ะบูชา อ่านเงียบ ๆ สักพักก่อนสีหน้าจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยน ความสงบเปลี่ยนเป็นความสับสน สุดท้ายสตรีนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาหลินหยา “ข้าขอโทษนะเด็กน้อย…คำทำนายนี้…ข้าอ่านไม่ได้” เสียงของนางแผ่วแต่ชัดเจน
หลินหยาขมวดคิ้ว “อ่านไม่ได้? หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? มันไม่ดีหรือเจ้าคะ?”
ผู้ดูแลส่ายศีรษะช้า ๆ “มิใช่ว่ามันไม่มีคำตอบ แต่ข้ามองไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลย…ราวกับว่ามีม่านหมอกหนาทึบปกคลุมทุกสิ่ง ข้ามองไม่ทะลุ” สตรีนั้นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปมองเถียนเฟิงกับหลินหยาอย่างประหลาด “อันนี้…เกินปัญญาของข้าแล้วจริง ๆ”
หลินหยาถึงกับเอ๋อค้าง ดวงตากะพริบปริบ ๆ มองไม้เซียมซีในมือราวกับมันกำลังล้อเลียนเธอ เธอหันไปสบตาเถียนเฟิงช้า ๆ “เอ่อ…นี่มันหมายความว่ายังไง?” เถียนเฟิงเองก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมเต็มไปด้วยแววคิดคำนวณราวกับพยายามหาคำตอบ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเรียบ “เจ้ามักดึงดูดเรื่องที่ไม่ปกติอยู่เสมอหลินหยา…แม้แต่คำทำนายของเทพก็ยังปกปิดชะตาของเจ้า”
หญิงสาวทำหน้าตายู่ ๆ พลางถอนหายใจ “โอ้ย แบบนี้น่ากลัวนะท่านเถียนเฟิง…แล้วข้าจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย”
เถียนเฟิงหันไปยิ้มบาง แต่สายตาแฝงความกังวล “บางที…บางสิ่งอาจกำลังทดสอบเจ้าอยู่” เขาพูดพลางยื่นมือมารับไม้เซียมซีคืนจากนาง ลอบมองตัวอักษรจาง ๆ ที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ ก่อนจะยื่นคืนให้หญิงสาว “แต่อย่างน้อย เจ้าก็ไม่ต้องเผชิญมันคนเดียว” หลินหยามองเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนระบายยิ้มบาง ๆ ออกมา แม้ไม่เข้าใจชะตาตัวเอง แต่ความอบอุ่นเล็ก ๆ ในหัวใจทำให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
หลังจากเรื่องน่าสงสัยหลินหยาเลยเดินเล่นรอบ ๆ ศาลเจ้าแทนกับเถียนเฟิง รอบ ๆ ศาลเจ้าผู้เฒ่าจันทรามีต้นซากุระใบเขียวสลับด้วยดอกสีขาวโปรยบาง ๆ ลมยามสายพัดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ แผ่วผ่านเข้ามา หลินหยาก้าวเดินช้า ๆ ลากปลายนิ้วไปตามราวไม้เก่าแก่ของศาล ดวงตาเธอทอดมองขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกำลังพูดกับบางสิ่งที่อยู่เหนือสายลม “องค์เทพเยว่เหล่าเคยบอกข้าแล้วนะ…ทางที่ข้าเลือกเต็มไปด้วยขวากหนาม” เสียงนางสั่นน้อย ๆ แต่เต็มไปด้วยความมั่นคง
เถียนเฟิงที่เดินเคียงข้างเพียงเหลือบมองก่อนถอนหายใจยาว ดวงตาคมฉายความเข้าใจ “เทพพูดถูก…ทางของเจ้าไม่ได้ง่ายเลยหลินหยา” หญิงสาวหันมายิ้มบาง ๆ “แต่ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าข้าไม่เคยกลัว” แล้วเสียงเธอก็แผ่วลงเมื่อพูดต่อ “องค์เทพยังบอกด้วยว่า…ชะตามิอาจฝืน หากความรักของข้าไม่อาจชนะอุปสรรคได้ เส้นด้ายจะขาดสะบั้น…” คำพูดนั้นทำให้เถียนเฟิงชะงักเล็กน้อย มือเขากำพัดแน่นราวกับกดความคิดในใจ เขาหลุบตาลงคล้ายถามตัวเอง หรือว่าข้า…กำลังทำให้เส้นด้ายโชคชะตาของนางขาดกันนะ?
ทว่าเสียงใส ๆ ของหลินหยาก็ดึงเขากลับมา “แต่สำหรับข้า…มันยังไม่ขาด” เธอหันมายิ้มทั้งที่ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย “เพราะข้ายังไม่ได้ตัดใจจากเขาเลย…จากจางกงกงน่ะ” เถียนเฟิงเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไรต่อ ความเหนื่อยใจฉายชัดบนสีหน้าของเขา เขารู้ว่าความรักที่หลินหยามีช่างดื้อดึงมั่นคงจนเหมือนคนมืดบอด แต่ในแววตาเธอตอนนี้…มันไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดอีกต่อไป มันมีประกายของการต่อสู้กับชะตาชัดเจน
เขาพยักหน้าเบา ๆ “ตราบที่เจ้ายังมีแสงในใจ…เส้นด้ายนั้นจะยังอยู่” คำพูดเรียบง่ายแต่น้ำเสียงจริงใจ ทำให้หลินหยาหันมายิ้มกว้างขึ้นนิดหนึ่ง ทั้งสองเดินต่อไปอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางศาลเจ้าอันเงียบงันที่เหมือนกำลังฟังคำสัญญาของพวกเขาอยู่เงียบ ๆ “เช่นนั้นแล้ว เจ้ารู้อดีตของเขา เจ้าไม่ลองอยากรู้ปัจจุบันของเขาดูบ้างล่ะ? เขาแสดงสิ่งใดให้เจ้าได้รู้บ้าง นอกจากความมืดบอดของตัวจางกงกงเองน่ะ”
บรรยากาศรอบศาลเจ้าผู้เฒ่าจันทรายามสายยังคงเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดไหวใบไผ่และเสียงระฆังที่ดังคลอเบา ๆ เถียนเฟิงยืนกอดอก ใช้พัดขนนกเคาะฝ่ามืออย่างครุ่นคิด ดวงตาคมจับจ้องหลินหยาที่กอดอกแน่น พยายามหลบสายตาเขา นางเงยหน้ามองฟ้าแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจะไปหาข้อมูลจากไหนล่ะ จางกงกงอยู่ในวัง ตอนนี้ข้าไม่ใช่นางกำนัลแล้วจะไปหาข้อมูลจากไหน” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความท้อแท้ นางกัดริมฝีปากแน่น ก่อนกอดอกต่อราวกับกำลังป้องกันหัวใจของตนเอง
เถียนเฟิงยกคิ้วเล็กน้อย เขาก้าวเข้ามาใกล้จนเงาของเขาทาบลงบนร่างบาง ดวงตาเฉียบคมฉายแววคาดคั้นแต่แฝงความห่วงใย “เจ้าก็อยากรู้สินะ ว่าปัจจุบันเขาเป็นเช่นไร?” เสียงทุ้มราบเรียบ แต่แฝงแรงกดดันจนหลินหยาขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“ข้าก็อยากรู้” หลินหยาตอบเบา ๆ แววตาเจือความลังเล “แต่การหาข้อมูลคนอย่างจางกงกงมันยากมากนะ อีกอย่างเขาระวังตัวมาก ๆ…ถ้าจะมีคนหาจริง ๆ ก็คงต้องเป็นพวกคนลับ ๆ เท่านั้นมั้ง” เถียนเฟิงยกพัดขึ้นเคาะกับฝ่ามือเบา ๆ แววตาคมมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าว่าถ้าจะมีคนลับ ๆ หาข้อมูลได้คงเป็นใครระดับนั้น…แล้วถ้าข้าเสนอจะเป็นคนนั้นให้เจ้าเล่า?” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหันขวับกลับมามองทันที “หา? ท่าน…จะทำอะไรนะ?” เธอขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“ข้าถามจริง หลินหยา” เถียนเฟิงก้าวเข้ามาใกล้ ลดเสียงลงจนแทบเป็นกระซิบ “ถ้าเจ้าต้องการรู้ ‘ปัจจุบัน’ ของเขา เจ้ากล้าพอไหมที่จะรับรู้ทุกสิ่ง…แม้จะเป็นสิ่งที่ทำร้ายหัวใจเจ้าก็ตาม?”
หญิงสาวชะงักไปดวงตาสั่นไหว เธอกอดอกแน่นกว่าเดิม ราวกับป้องกันตัวเองจากคำถามนั้น “ข้า…” เสียงเธอแผ่วลง “ข้าอยากรู้…แต่ก็กลัว…”
เถียนเฟิงก้าวเข้ามาอีกก้าว เสียงเขาทุ้มลง กลายเป็นกระซิบที่แผ่วแต่แฝงด้วยความจริงจัง “ความกลัวนั้นเป็นสิ่งที่ธรรมดา แต่การเลือกที่จะไม่รู้ก็เท่ากับปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความมืดบอดตลอดไปหลินหยา เจ้าจะอยู่กับความไม่รู้ หรือจะกล้าเผชิญกับความจริงแม้มันจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม” สายตาของเขาจับจ้องเธอไม่วางราวกับรอคำตอบ หญิงสาวหลุบตาลง กอดอกแน่นยิ่งกว่าเดิม ลมหายใจเธอสั่นพร่าแต่สุดท้ายก็พึมพำออกมา “ข้า…อยากรู้” เสียงนั้นแผ่วเบาแต่หนักแน่นในที
เถียนเฟิงยิ้มมุมปากบาง ๆ พัดขนนกถูกกางออกช้า ๆ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นนิ่งและเย็นเฉียบ “ดี…หากเจ้ากล้าพอข้าก็จะสนอง” ลมในลานศาลเจ้าแรงขึ้นราวกับสัญญาณแห่งการเริ่มต้นบางสิ่ง หลินหยามองเถียนเฟิงเงียบ ๆ แววตายังคงสับสน มือหนึ่งหมุนพัดขนนกอย่างใจเย็น สายตาคมราวกับอ่านทะลุใจคนมองหลินหยาที่ทำหน้ามึนงงอยู่ตรงหน้า เขายกคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่น้ำหนักเต็มไปด้วยความหมาย “ไปหอจิวหลิ่งอิน”
หลินหยาขมวดคิ้วทันที “หอจิวหลิ่งอิน? นั้นมัน…หอปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ไม่ใช่หรือ? ท่านให้ข้าไปถามวิธีแก้ปัญหารักสามเส้าหรือไง?” นางถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขุ่นกึ่งล้อ แต่สายตาก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ พัดขนนกสะบัดช้า ๆ ก่อนจะตอบ “ไม่ใช่แค่ชีวิตคู่ เจ้าคิดตื้นเกินไปแล้ว ที่นั่นคือศูนย์กลางข่าวสารลับในเงาของฉางอัน ใครก็ตามที่เข้าไป ต้องมีเหตุผลและหลักฐานยืนยันถึงสิทธิ์ ข้าให้เจ้ามาที่นี่ เพราะข้าต้องการให้เจ้ารู้ความจริงทั้งหมด”
“แล้วคนในหอนั้นจะเชื่อข้าได้ยังไงล่ะ? ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแม่ค้าปากตลาด แถมยังเป็นสาวใช้ในสายตาคนอื่นอีก” หลินหยายู่ปาก ทำเสียงเหมือนคนไม่พอใจ
เถียนเฟิงไม่ตอบในทันที เขาหยิบตราประจำตำแหน่งของตนจากอกเสื้อ ยกขึ้นให้แสงแดดสะท้อนประกายโลหะ ก่อนจะยื่นไปให้หลินหยาด้วยมือที่มั่นคง “ใช้สิ่งนี้ ตราของต้าซือคงแห่งราชสำนัก เมื่อพวกเขาเห็น พวกเขาจะเชื่อทุกคำที่เจ้าพูด…และเจ้าจะได้รับการต้อนรับที่สมเกียรติ”
“ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ? ท่านถึงกับยอมให้ข้าใช้ตราส่วนตัวขนาดนี้เชียว?” หลินหยามองตรานั้น ดวงตากลมโตฉายแววลังเล นางยู่ปากหนักกว่าเดิม
เถียนเฟิงยิ้มมุมปากอย่างคนที่รู้คำตอบอยู่แล้ว “ใช่ ต้องทำ เพราะเจ้าคือเพื่อนที่ข้าเลือกจะปกป้องด้วยตัวเอง ข้าไม่ให้ใครมาดูแคลนเจ้าได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำหนักแน่นทำให้หลินหยาหลบตาไปเล็กน้อย หัวใจอบอุ่นขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ก็ได้…ข้าจะไป แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะโทษท่านคนเดียวเลยนะ” นางพึมพำเสียงเบา เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ พลางเก็บพัดขนนกลง “โทษข้าได้ทุกเมื่อ หลินหยา…แต่อย่าลืมสิ เจ้ากำลังจะก้าวไปในเงามืดที่แม้แต่คนในราชสำนักยังไม่กล้าเหยียบ” ดวงตาของเขามองนางนิ่งจนหัวใจเธอเต้นแรง หลินหยากอดอกทำท่าประชด “เฮอะ…ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าให้ข้าไปถึงที่นั่นแล้วมันน่ากลัวเกินไปนะ ข้าจะวิ่งกลับมาด่าท่านแน่”
“ข้ารอให้เจ้ากลับมาด่าอยู่แล้ว” เถียนเฟิงยิ้มบาง มุมปากยกขึ้นราวกับกำลังพอใจในความกล้าของนาง
แล้วเหมือนหลินหยาจะนิ่งไปสักพักเหมือนนางพึ่งคิดอะไรบางอย่างได้ เลยหันไปทางท่านเถียนเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ กัน “ท่าน ๆ เราเข้าไปในตัวศาลเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่?” เถียนเฟิงยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม หลินหยาก็ลากแขนเขาเข้าไปในตัวศาลเจ้าผู้เฒ่าจันทราเสียแล้ว ก้าวเท้าของนางรวดเร็วราวกับคนที่คุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ดวงตานั้นเปล่งประกายขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้งที่เมื่อครู่ยังดูอิดโรยอยู่แท้ ๆ เถียนเฟิงมองด้วยสายตาแปลกใจแต่ก็ยอมปล่อยให้เธอลากไปโดยไม่ขัดขืน เมื่อเข้ามาในศาล ภายใต้เงาโคมแดงที่แกว่งไหวช้า ๆ ด้วยแรงลม เสียงกระดิ่งเล็กที่ประดับอยู่เหนือประตูส่งเสียงกังวาน หลินหยาไม่เสียเวลาลังเล นางก้าวตรงไปยังแท่นบูชาของเทพเยว่เหล่า หยิบเครื่องสักการะที่เตรียมจากไหนไม่รู้ลงอย่างคล่องมือ เถียนเฟิงเลิกคิ้วขึ้นนิด ริมฝีปากยกยิ้มจาง ๆ กับความคล่องแคล่วนี้
“สุราไผ่เขียวหนึ่งไห หม้อไฟแปดเซียนร้อน ๆ หนึ่งหม้อ และผลท้อสองผล...” หลินหยาพึมพำพลางจัดเรียงทุกอย่างบนแท่นบูชาอย่างระมัดระวัง กลิ่นสุราหอมละมุนลอยคลุ้งไปทั่ว พร้อมกับไอร้อนจากหม้อไฟที่ยังคงเดือดปุด ๆ บ่งบอกถึงความตั้งใจที่นางมีต่อการถวายครั้งนี้ เถียนเฟิงพับพัดขนนกลง มองภาพตรงหน้าอย่างเงียบงัน เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยอย่างสงสัยแต่แฝงรอยขัน “เจ้าดูคล่องเกินไปนะหลินหยา...เจ้ามาที่นี่บ่อยจนเทพเองยังจำหน้าเจ้าได้แล้วสินะอย่างว่า”
หลินหยาหันมามอง ยิ้มระคนแววตาล้อเลียน “แน่นอนสิ ข้ามาบ่อยจนเทพเยว่เหล่าคงเอือมข้าไปแล้วล่ะ” นางหันกลับไป จุดธูปสามดอกแล้วปักลงในกระถางอย่างมั่นคง ก่อนหลับตาไหว้อย่างจริงจัง “ข้าไม่ขอพรใหญ่โตอะไรหรอก แค่ขอให้เส้นด้ายแดงของข้า...ไม่ขาดกลางทางก็พอ” เสียงของนางเบาหวิวแต่แฝงความสั่นเครือ เถียนเฟิงยืนนิ่งข้าง ๆ ใจเหมือนถูกกระตุกอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อหลินหยาลืมตาขึ้นนางหันมายิ้มกว้างให้เขา “เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้วว่าทำเป็น”
“เจ้าทำเหมือนนี่เป็นบ้านของเจ้าเลยนะหลินหยา” เถียนเฟิงส่ายหน้าเล็กน้อยทั้งเหนื่อยใจทั้งเอ็นดู
นางยักไหล่พลางตอบอีกคนแบบง่าย ๆ “ก็ไม่ต่างกันหรอก ข้ามาที่นี่จนรู้ทุกมุมแล้ว...เฮ้อ แต่รู้ไหม ข้าสบายใจทุกครั้งที่ได้มาที่นี่” เถียนเฟิงมองเธอด้วยสายตานิ่ง ๆ แต่ลึกซึ้ง “ถ้าอย่างนั้น...เจ้าก็ทำสิ่งที่ทำให้เจ้าสบายใจต่อไปเถอะ แม้แต่เทพยังยอมฟังเสียงของเจ้า ข้าเองก็จะฟัง” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาชะงักเล็กน้อย ก่อนระบายยิ้มบาง ราวกับได้แรงใจใหม่ แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความสับสน แต่มีเถียนเฟิงอยู่ตรงนี้...นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดินลำพังในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามอีกแล้ว

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: มีเควสไหนที่ผมไม่ต้องมาที่นี่บ้าง 555+
เผาค่าความโหด
“ข้า หนาน หลินหยา ขอถวายศรัทธาจากก้นบึ้งของหัวใจแก่เหล่าเทพ องค์เทพเยว่เหล่า เทพแห่งการแต่งงานและพรหมลิขิต”
จำนวนค่าความโหดที่มอบให้: 3000
(ทุก ๆ 1000 ความโหด = +50 ความโปรดปรานจากเทพ)
รางวัล:
ได้รับ "เครื่องรางแห่งความหวัง" (ไอเท็มประกอบฉาก)
(เครื่องรางเต็มตัวแล้วเย็กแม๊)
สักการะบูชาและถวายอาหาร แด่ [GOD-02] ผู้เฒ่าจันทรา (เยว่เหล่า)
สักการะด้วย ลูกท้อ 2 ผล
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
เผาค่าความโหดในการเคารพบูชาเทพเจ้า ความโปรดปราน +150 แต้ม
ถวายคอมโบ หม้อไฟแปดเซียน อาหารเกรดแดง + สุราไผ่เขียว สุราเกรดทอง โบนัสเพิ่ม +15 แต้ม
อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม