
วันที่ 14 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเฉิน - เวลา 07.00 - 16.00 น. ณ หน้าร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้
เมื่อหลินหยาพาจางกงกงออกมาจากบริเวณโรงทานจนพ้นสายตาของผู้คน เสียงจอแจด้านหลังค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงลมหอบอุ่นจากฤดูใบไม้ร่วงที่พัดกลีบดอกเหมยปลิวผ่านริมหน้าร้าน เธอหันมามองเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความทั้งตกใจ ทั้งอาย ทั้งยังไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านนี่มัน... ทำไมถึงเปิดเผยขนาดนั้นล่ะเจ้าคะ ตอนนี้ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าข้ากับท่าน—” หลินหยาหยุดพูดกลางคัน แก้มแดงจัดแทบจะกลืนเข้ากับผ้าพันคอสีอ่อนของตนเอง ดวงตากลมโตหลบสายตาคมลึกของเขาที่มองมาไม่วาง
จางกงกงหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นต่ำและเรียบแต่แฝงความเย้ยอย่างเจือจาง “แล้วมันผิดตรงไหนเล่า เสี่ยวหยา” เขาเอ่ยเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแต่น้ำหนักคำกลับแน่นราวโซ่เหล็ก “ข้าเบื่อเต็มทีแล้วกับการต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเจ้า... ต้องคอยทำเหมือนไม่สนใจทั้งที่ความจริงข้าอยากให้ทั้งแผ่นดินรู้ ว่าเจ้าน่ะเป็นของข้า”
“แต่ท่าน...” หลินหยาพยายามพูดเสียงอ่อนลง “มันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านหรือเจ้าคะ คนจะพูดกันไปทั่ว...”
จางกงกงแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ ดวงตาคมวาวแสงราวเหล็กกล้า “ปล่อยให้พวกแมลงเหลือบไรพวกนั้นพูดไปสิ ข้าไม่หวังจะให้มันเข้าใจ ข้าเพียงไม่อยากให้มันมีโอกาสแม้แต่จะไต่ตอมเจ้าด้วยซ้ำ” เขาก้าวเข้ามาใกล้จนเงาของทั้งคู่ทาบซ้อนกัน “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกขุนนางสวะในวัง หรือพวกพ่อค้าหัวหมาแถบตลาดมองเจ้าด้วยสายตาแบบไหนได้หรือ? ไม่ ข้าไม่ยอม” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาอึ้งไปชั่วขณะ หัวใจนางเต้นแรงราวกลองศึก ดวงหน้าแดงซ่านจนต้องเบือนหน้าหนี เธอรู้ดีว่านี่คือจางกงกง คนที่แสนเยือกเย็น เจ้าเล่ห์ แต่เวลาเขาพูดจริงกลับตรงและรุนแรงยิ่งกว่าใคร “ข้า... ไม่รู้จะพูดยังไงดี” เธอกลืนน้ำลายฝืดคอ “ท่านนี่... ทำให้ข้ารู้สึกเหมือน...”
“เหมือนเป็นของข้า?” เขาต่อคำขึ้นเบา ๆ แต่เจือรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้เธอแทบหายใจไม่ทัน “ก็ดีแล้วสิ เพราะนั่นคือสิ่งที่ข้าตั้งใจจะให้เจ้ารู้สึก” หลินหยาหลุบตาลง มือเรียวกำชายเสื้อตัวเองแน่น “ถ้าอย่างนั้น...” เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยแววอบอุ่น “ข้าก็จะถือว่าสิ่งที่ท่านทำเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับข้าเลยเจ้าค่ะ”
จางกงกงถึงกับนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อหลินหยาบอกแบบนั้น ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ต่างจากตอนอยู่ตามลำพังในราตรี “ของขวัญ? หึ... ข้าดีใจที่เจ้าชอบ”
พูดจบยังไม่ทันที่เขาจะได้แตะมือตามสัญชาตญาณ หลินหยาก็รีบเบือนหน้าหนี แก้มแดงลามถึงหู “ข้าไปช่วยหรงเล่อแจกของก่อนนะเจ้าคะ!” แล้วก็หมุนตัวเดินเร็วแทบจะหนีไปเสียอย่างนั้น เหลือเพียงจางกงกงที่ยืนมองตาม ยกพัดขึ้นพาดไหล่และหัวเราะในลำคอเบา ๆ “หนีข้าอีกแล้วสินะ เสี่ยวหยา”
ระหว่างที่หลินหยาเดินกลับเข้าไปช่วยหรงเล่อ คนทั้งสองหญิงกำลังยื่นขนมและอาหารให้ชาวบ้านด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกฟากหนึ่งของโรงทานจางกงกงก็ก้าวไปบริจาคถุงเงินหนักพอดีมือให้กับ ไป๋จิ่นหง ผู้ดูแลโรงทาน (จำเป็น) ในตอนนี้ “จงเขียนชื่อข้าในบัญชีว่าบริจาคจากราชสำนักเพื่อประชา” เขาเอ่ยเรียบ น้ำเสียงสง่างามราวกับเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้วังเองโดยปริยาย แต่ยังไม่ทันจะเงียบ หลิวอัน หรือคุณชายอันเล่อ ก็ก้าวเข้ามายื่นห่อเงินถุงใหญ่ไม่แพ้กัน “งั้นข้าจะขอร่วมสมทบในนามร้านเต้าหู้อันเล่อ เพื่อเป็นการตอบแทนแม่นางหลินหยาเช่นกัน” เขาว่าด้วยน้ำเสียงสงบแต่แฝงประกายบางอย่างในแววตา
จางกงกงเหลือบมอง พลางยกพัดขึ้นพาดไหล่ “ท่านพ่อค้าช่างใจบุญเสียจริง” เขาเอ่ยเรียบแต่คม “หวังว่าการแจกเต้าหู้ครั้งนี้จะไม่ทำให้ผู้คนแพ้ตายก่อนจะอิ่มท้องกระมัง?” หลิวอันหัวเราะเบา ๆ ไม่สะทกสะท้าน “ร้านข้าขายของสะอาด...ไม่เหมือนบางคนที่ชอบเก็บของสวยงามไว้ในวังจนไม่ยอมให้ใครเห็นแสงตะวัน” คำพูดนั้นแทงลึกกว่าดาบในสนามรบ จางกงกงเลิกคิ้วมองหลิวอัน พลางพลิกพัดในมือช้า ๆ ก่อนตอบกลับ “ดีกว่าปล่อยให้ของสวยไปอยู่ในที่สกปรก...อย่างตลาดที่เต็มไปด้วยคนอยากได้แต่ไม่เคยรู้จักคำว่าดูแล”
หลินหยาและหรงเล่อที่ยืนห่าง ๆ ถึงกับหน้าซีดพร้อมกัน ก่อนจะสบตากันแล้วรีบวิ่งเข้ามาแทบจะพร้อมกัน “พอแล้วเจ้าค่ะท่าน!” หลินหยาคว้าแขนเขาไว้แน่น ส่วนหรงเล่อก็รีบจับแขนบิดาตัวเอง “ท่านพ่อ ข้าขอเถิด เดี๋ยวข้าซื้อขนมถังหู่ลู่ให้เพิ่มอีกสิบไม้เลยเจ้าค่ะ แต่อย่าพูดต่อเลยนะ!”
จางกงกงเหลือบตามองหลินหยาที่ดึงแขนเขาไว้แน่น เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าปกป้องข้าแบบนี้...ข้าอาจชินเสียแล้วสิ” ส่วนหลิวอันเพียงส่ายหน้าเบา ๆ แต่ในแววตากลับมีรอยยิ้มขำที่กลบไม่มิด “เด็กพวกนี้...เอาแต่ใจเหมือนกันทั้งคู่”
แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดกระทบผืนดินฉางอันอย่างอบอุ่น เงาต้นเหมยทอดยาวเป็นลวดลายละมุนบนพื้นหินหน้าร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคักขณะถือขนมถังหู่ไว้ในมือ ส่วนคนแก่ต่างนั่งพักใต้ร่มผ้าใบ แจกข้าว แจกน้ำ แจกรอยยิ้ม โรงทานของหลินหยาวันนี้คึกคักราวงานบุญใหญ่ประจำปี แต่ท่ามกลางความพลุกพล่านนั้น เสียงฝีเท้าสงบนิ่งของใครบางคนกลับดึงดูดสายตาผู้คนให้หันมองโดยพร้อมเพรียง เถียนเฟิง ต้าซือคงผู้เลื่องชื่อแห่งราชสำนัก ก้าวเข้ามาช้า ๆ ในชุดขุนนางสีดำปักดิ้นเงิน ท่วงท่าผ่อนสง่า ดวงตาเรียวยาวซ่อนอยู่หลังพัดไม้จันทน์กลิ่นอ่อน ท่าทีสุขุมเรียบง่าย แต่ทุกฝีก้าวกลับแฝงแรงกดดันราวคลื่นใต้น้ำ
“ต้าซือคงเถียนเฟิงมาแล้ว!” เสียงกระซิบดังขึ้นรอบบริเวณ ผู้คนรีบก้มศีรษะถวายคารวะโดยไม่ต้องมีใครสั่ง
หลินหยาที่กำลังแจกขนมอยู่กับหรงเล่อ พอเห็นร่างนั้นก็เบิกตากว้าง ดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างยินดี “ท่านเถียนเฟิง!” เธอรีบวางของแล้วเดินตรงเข้าไปต้อนรับเองด้วยมารยาทและความสนิทใจที่หาได้ยากยิ่งในวังหลวง เขาหัวเราะเบา ๆ แผ่วราวสายลม “ข้าว่าที่นี่คงเป็นงานบุญหรือไม่ก็งานรวมตัวคู่กรณีเก่าของเจ้าสินะ” น้ำเสียงนุ่มแต่แฝงแววขบขันเต็มเปี่ยม เมื่อสายตาเขาเหลือบไปเห็นจางกงกงกับหลิวอันที่ยังยืนกันอยู่คนละฟากโต๊ะบริจาค ใบหน้าสงบทั้งคู่แต่แววตาเหมือนยังไม่ยอมลดศึก
“ท่านนี่...” หลินหยามองค้อนน้อย ๆ พลางเม้มริมฝีปาก “พูดมากอีกแล้วนะท่านหมอแห่งอุบาย ข้าแค่จัดงานวันเกิด ไม่ได้ตั้งวงศัตรูสักหน่อย”
เถียนเฟิงหัวเราะแผ่ว ดวงตาคมวาวขึ้นเหนือพัดไม้ในมือ “อ้อหรือ ข้าก็นึกว่าเจ้าเชิญพวกที่ทำให้หัวใจเจ้าวุ่นวายมารวมกันเสียอีก จะได้ไม่ต้องเลือกให้เหนื่อย”
“หยุดเลยเจ้าค่ะ!” หลินหยาหน้าแดงจัด ยกมือปัดลมตรงหน้า “ท่านมาคนเดียวหรือเจ้าคะ?” คำถามนั้นทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง พัดในมือหยุดนิ่ง ดวงตาที่ปิดบังไว้ภายใต้เงาพัดคล้ายสั่นไหวบางอย่าง ก่อนเอ่ยตอบเสียงเรียบแต่ทุ้มต่ำ “คนเดียว” เพียงคำนั้น...แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยบางสิ่งที่เธอไม่อาจเข้าใจ ทั้งอบอุ่น ทั้งเย็นชาในคราวเดียวกันเมื่อดวงตาของเขาในตอนนี้ไม่ได้มองไปทางหลินหยาแต่มองไปยังทิศทางหนึ่งของใครบางคน
หลินหยามองเขาอย่างสงสัย แต่เพราะรู้ดีว่าเถียนเฟิงไม่เคยเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจนัก นางจึงเพียงยิ้มอ่อน “วันนี้วันดี อย่าเก็บเรื่องเครียดไว้เลยเจ้าคะ มานี่เถิดข้ารู้ว่าท่านคงไม่ชอบแจกทานหรอก มานั่งพักเถอะ”
เขาพับพัดลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบาง “เจ้ารู้ใจข้าดีเสมอ...” นางหัวเราะเบา ๆ พลางดึงแขนเขาไปยังโต๊ะด้านในที่จัดไว้สำหรับแขกคนสำคัญ ระหว่างนั้นสายตาคมเฉียบของจางกงกงซึ่งยืนอยู่ใกล้บริเวณโรงทานสะกดรอยตามเงียบ ๆ เขาไม่ได้พูด แต่ปลายพัดในมือกระตุกเบา รอยยิ้มของเขาเรียบสนิทจนแทบจะนับเป็นรอยยิ้มไม่ได้เลย หลิวอันที่เห็นภาพนั้นเพียงยกคิ้วขึ้น ดวงตาเย็นจัด “อีกหนึ่งงูเห่าในสวนบุปผา... ขันทีอย่างเจ้าคงได้งานเพิ่มละมัง”
จางกงกงหัวเราะหึในลำคอ “งูเห่ากัดไม่ตายหรอก หากเจอคนที่รู้จักบีบคอเสียก่อน” ทั้งสองสบตากันอีกครั้ง ไม่มีคำหยาบ ไม่มีเสียงดัง มีเพียงรอยยิ้มที่เหมือนสายฟ้าแลบใต้ผ้าไหมมูลค่าพันตำลึง หรงเล่อกับหลินหยาที่อยู่ห่างออกมาพอเห็นบรรยากาศนั้นถึงกับทำหน้าตกใจหลินหยาเห็นงั้นก็รีบหันไปเห็นจางกงกงที่มองมาทางโต๊ะเถียนเฟิง สีหน้าเขานิ่ง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เธอจึงรีบโบกมือให้เขาหยุดคิด “อย่าแม้แต่จะเริ่มนะเจ้าคะ ข้าเห็นแล้ว!”
เถียนเฟิงหันมองตามเสียง พลันยกพัดขึ้นปิดปากหัวเราะเบา ๆ “เจ้าดูสิ ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็โดนเพ่งโทษเสียแล้ว... นี่สินะ พลังของคนที่มีเจ้าของ”
“ท่านเถียนเฟิง!” หลินหยาเผลอโวยขึ้นทันที หน้าร้อนวาบยิ่งกว่าแดดบ่ายทั้งโต๊ะถึงกับหลุดหัวเราะ แต่มันเป็นแค่การแยกหยอกกันของคนสนิทไม่นาน เถียนเฟิงก็เอ่ยคำอวยพรเสียงนุ่มชัด “ขอให้แม่นางหนานมีอายุยืนดุจจันทร์ในฤดูใบไม้ผลิ และมีความสุขดังหิมะแรกแห่งปลายปี” หลินหยายกมือไหว้ขอบคุณยิ้มละไม “ข้าซาบซึ้งในคำอวยพรของท่าน ขอบคุณที่มาเจ้าค่ะ”
เถียนเฟิงก้มหัวเล็กน้อย “เพียงให้ข้ามีโอกาสเห็นเจ้ามีความสุข...ก็พอแล้ว” คำพูดนั้นทำให้เธอใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว แต่ยังไม่ทันตอบอะไร จางกงกงก็เดินเข้ามาร่วมบริจาคอีกก้อนใหญ่ ถุงเงินหนักพอจะซื้อข้าวให้ชาวบ้านทั้งตำบล เขายิ้มเรียบแต่เยือก “ข้าเห็นว่ามีคนแย่งบทเด่นในโรงทาน ข้าคงต้องสมทบด้วยเสียหน่อย”
หลิวอันเองก็ไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นดูท่าว่าข้าขอเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง เพื่อให้บ้านเมืองมั่นคงไม่ต้องพึ่งขันทีมากนัก”
“ท่านพ่อ!” หรงเล่อรีบคว้าแขนบิดาไว้ ส่วนหลินหยาก็หันไปจับแขนจางกงกง “พอแล้วเจ้าค่ะ! จะบริจาคหรือจะประลองศักดิ์ศรีกันแน่!” สองสาวยืนกั้นกลางระหว่างสามบุรุษที่ต่างหัวไวปากคม คนหนึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์ อีกคนยิ้มเย็น อีกคนยิ้มหวานแต่แฝงพิษและคนที่เหนื่อยที่สุดคือหญิงสาวสองคนที่ต้องคอยห้ามทุกที สุดท้ายพวกเขาก็หัวเราะออกมาแทนเสียงดาบ เถียนเฟิงเพียงยกพัดขึ้นปิดปาก “ดูเหมือนวันเกิดเจ้าจะไม่ขาดสีสันเลยนะ”
“อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ...” หลินหยาพูดพลางถอนหายใจ แต่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า “ข้าไม่รู้ว่าควรดีใจหรือหนีไปซ่อนดี...”
หรงเล่อหัวเราะคิกเกาะแขนหลินหยา “ดีใจสิ! เพราะวันนี้เจ้ามีทั้งขันที มหาเสนาบดี และต้าซือคงมางานวันเกิดพร้อมกัน ขนาดองค์หญิงยังอิจฉาแน่ ๆ”
ขณะนั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความคึกคักของโรงทาน แสงแดดอ่อนปลายบ่ายสะท้อนกับชุดผ้าสีฟ้าเงินของหญิงสาวผู้หนึ่ง ร่างสูงโปร่ง งามสง่าดุจเมฆบนขุนเขา ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาลึกล้ำเยือกเย็นแต่เปี่ยมเมตตานางคือ ฉู่ ซ่วนจื่อ หรือที่หลินหยาเรียกอย่างสนิทว่า “พี่ฉู่” เซียนกระบี่ผลิวสันต์ผู้เลื่องชื่อแห่งยุค ผู้ไม่เคยปรากฏตัวในงานสังคมใด ๆ แต่วันนี้กลับก้าวมาที่ร้านเล็ก ๆ กลางตลาดเพียงเพื่ออวยพรวันเกิดของหญิงสาวผู้เป็นดั่งน้องคนหนึ่งในใจ
หลินหยาที่อยู่กับหรงเล่อแจกของอยู่ ถึงกับชะงักเมื่อเห็นร่างนั้น ดวงตาเป็นประกายสดใสราวเด็กน้อยเห็นคนในครอบครัว “พี่ฉู่!” เธอร้องเสียงใส แล้วรีบขยับมือบอกกับหรงเล่อว่าขอตัวแปปหนึ่งก่อนจะวิ่งเข้าไปหาอย่างลืมตัว
ฉู่ซ่วนจื่อยกยิ้มบางแววตาอ่อนโยนลึกซึ้ง “แม่นางน้อย วันนี้เจ้าดูเปล่งปลั่งนัก” เสียงนุ่มของนางอบอุ่นดุจสายลมต้นฤดูใบไม้ผลิ “สุขสันต์วันเกิดนะหลินหยา ขอให้ชีวิตเจ้าร่มเย็นดุจสายน้ำ อย่ามีทุกข์ใดแตะต้อง” หลินหยากลั้นยิ้มไม่อยู่ ยกมือไหว้อย่างเคารพแต่แฝงความสนิทใจ “พี่ฉู่มา ข้าดีใจจริง ๆ เลยเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดเลยว่าพี่จะว่างมาวันนี้”
“ข้าไม่อาจพลาดวันเกิดของน้องสาวที่ข้าเอ็นดูที่สุดได้หรอก” นางพูดด้วยน้ำเสียงละมุน ทว่าแววตาแฝงรอยลึกล้ำอย่างผู้ที่เห็นทุกสิ่งในโลกผ่านการเวลา
ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยกันนั้น เสียงฝีเท้าเบาอีกคู่ก็ดังขึ้นทางด้านหลังท่านหมอหญิงซูเหยาปรากฏกายอย่างเงียบงันราวเงาแสงจันทร์ ใบหน้าเรียบสงบงดงามอ่อนเยาว์ แต่งชุดผ้าสีขาวขลิบฟ้าเขียวอ่อนมือหนึ่งถือถุงสมุนไพร อีกมือประคองบางสิ่งไว้ในอ้อมแขนเล็ก ๆ มันคือภูติตัวจิ๋ว ร่างเล็กเท่าฝ่ามือ ใบหน้าใสซื่อแต่เหมือนจะนอนไม่เต็มอิ่ม กำลังหลบอยู่ในแขนเสื้อของนางอย่างขี้อาย(?)ต่อคนเยอะ ๆ
“ท่านหมอหญิง!” หลินหยาทักอย่างยินดี “เจ้าภูติน้อยนี่ใครกันหรือเจ้าคะ?”
#ท่านหมอ
หลินหยาย่อตัวลงระดับเดียวกับเจ้าภูติตัวน้อย ดวงตากลมใสเปล่งประกาย “ยินดีที่ได้รู้จักนะ เจ้าภูติน้อยฮว่าอิง” เธอยื่นปลายนิ้วไปข้างหน้า ภูติตัวจิ๋วลังเลก่อนแตะนิ้วของหลินหยาเบา ๆ เพียงเสี้ยววินาที รัศมีแสงจาง ๆ สีทองอมชมพูก็แผ่วออกจากปลายนิ้วของหลินหยา คล้ายแรงตบะภายในตัวเธอพลั้งหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นอากาศรอบตัวแปรเปลี่ยน ภูติตัวจิ๋วสะดุ้ง ดวงตาเล็ก ๆ เบิกกว้างราวเห็นโลกอีกใบ มันกะพริบตาแล้วโผออกมาหมุนรอบหลินหยาอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนกลับไปซ่อนในแขนเสื้อของซูเหยา
#ท่านหมอ
หลินหยาหัวเราะเบา ๆ มือแตะท้ายทอยอย่างเขิน “ข้าคงเผลอแผ่ออกไปเองเจ้าค่ะ ไม่ได้ตั้งใจเลย”
พี่ฉู่ที่ยืนมองอยู่ยิ้มบาง ๆ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “มันคือของขวัญจากสวรรค์ เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอก พลังที่ส่งจากใจโดยไม่ตั้งใจ...คือพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดแล้ว” หลินหยาพยักหน้า ยิ้มละไม ดวงตาเต็มไปด้วยแววซาบซึ้ง “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ฉู่ ข้าดีใจที่ท่านทั้งสองมา ข้าเตรียมอาหารไว้มากเลยนะเจ้าคะ ไปนั่งพักกันเถอะ อาหารของข้าวันนี้ไม่ธรรมดาแน่ ๆ ข้าวอบหอมหมื่นลี้ เป็ดย่างน้ำผึ้งซ่อนกลิ่น หรือเป็ดเป่ยจิงก็มีนะเจ้าคะ และซุปใสที่ข้าทำเองก็มี”
#ท่านหมอ
“ขอบคุณนะ ยินดีที่ได้พบท่านหมอหญิงเช่นเดียวกัน ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผล” พี่ฉู่กล่าวเบา ๆ พร้อมเดินตามหลินหยาไปยังโต๊ะที่จัดไว้ข้างใน “บางทีเหตุผลของวันนี้...อาจเพื่อให้พวกเรามาพบกันอีกครั้งในยามที่หัวใจของเด็กน้อยที่เปล่งประกายที่สุด”
หลินหยาหันกลับไปยิ้ม ดวงตาเป็นประกายใส “หากเป็นเช่นนั้น...ข้าก็จะจำวันนี้ไว้ในใจตลอดไปเจ้าค่ะ”
#ท่านหมอ
แดดยามบ่ายอ่อนเริ่มคล้อยเมื่อเสียงเกือกม้าดังขึ้นหน้าร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ผู้คนที่กำลังต่อแถวรับของแจกต่างหันมามองพร้อมกัน รถม้าทหารเรียบแต่สง่างามหยุดลงตรงข้างโรงทาน ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเกราะเบาเฉดเข้มก้าวลงมา ใบหน้าคมคายดุดันแต่แฝงความสงบสุขุม เว่ยจ้งชิง ทหารหนุ่มจากชายแดนที่หลินหยารู้จักและเคารพดั่งพี่ชาย “ท่านพี่เว่ยจ้งชิง!” หลินหยาตาโต รอยยิ้มสดใสเหมือนเด็กเห็นคนในครอบครัว เธอรีบเดินไปหาและยกชายกระโปรงโค้งคำนับเบา ๆ “ข้าดีใจนักที่ท่านมางานวันเกิดของข้า!”
เว่ยจ้งชิงชะงักนิดหนึ่ง ดวงตาคมหรี่ลงก่อนเผยรอยยิ้มบาง “ขอบคุณที่เชิญนะ ข้าเกรงว่าจะมารบกวนเสียอีก”
“พูดอะไรเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ แค่ท่านมาข้าก็ดีใจมากแล้ว!” หลินหยาเอ่ยอย่างจริงใจ เสียงหัวเราะของนางสดใสราวระฆังเงินในสายลม “ท่านสะดวกใจจะนั่งใกล้คนอื่น ๆ ไหมเจ้าคะ?”
เว่ยจ้งชิงเหลือบตามองรอบงานเล็กน้อย แขกแต่ละคนไม่ธรรมดา เถียนเฟิงยกพัดมาปิดปากยิ้มอย่างจับสังเกต หลิวอันนั่งนิ่งราวภูผา ส่วนจางกงกง...สบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีก็แทบฟังได้ถึงเสียงสายฟ้าในอากาศ รอยยิ้มสงบนิ่งของขันทีใหญ่ในชุดเข้มปักดิ้นทองนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด “ข้านั่งได้” เว่ยชิงเอ่ยเรียบ “กับท่านต้าซือคงก็ได้ ไม่มีปัญหา”
หลินหยายิ้มหวาน “ดีเลยเจ้าค่ะ ท่านเถียนเฟิงนั่นเป็นเพื่อนสนิทข้าเอง แล้วนี่พวกท่าน…นี้ท่านพี่ของข้า เว่ยจ้งชิง” เธอหันไปแนะนำตัวกับทุกคนอย่างภาคภูมิใจ ทว่าบรรยากาศบนโต๊ะกลับนิ่งขึ้นในพริบตา เถียนเฟิงเพียงยกพัดขึ้นแตะริมฝีปากปลายแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขันที่ดูจะรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว หลิวอันขยับตัวเล็กน้อยยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบเงียบ ๆ ส่วนจางกงกงเพียงเลิกคิ้วริมฝีปากโค้งบางยิ้มเย็นอย่างผู้ที่มองเห็นทุกสิ่งแต่ไม่คิดพูด
หลินหยายังไม่ทันสังเกตความอึดอัดนั้น นางยิ้มระรื่นก่อนจะหันไปหาหรงเล่อกับพี่ฉู่ “เดี๋ยวข้าไปช่วยหรงเล่อกับพี่ฉู่ก่อนนะเจ้าคะ ท่านทั้งหลายก็นั่งคุยกันเถิด” พูดเสร็จก็ผละจากโต๊ะไปทางสตรีทั้งสามอย่างอารมณ์ดี
ทันทีที่เธอก้าวห่างออกจากวงโต๊ะ ความเงียบก็โรยตัวลง เถียนเฟิงยกพัดขึ้นหมุนเล่นพลางยิ้มมุมปาก “ต้าซือหม่า มาร่วมงานโรงทานแบบนี้...นับว่าหาได้ยากยิ่งนะ”
เว่ยชิงปรายตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมลึกแต่สงบนิ่ง “ข้าเพียงมาตามคำเชิญของนาง ไม่เกี่ยวกับตำแหน่ง” เสียงทุ้มเรียบแต่มั่นคง “ข้าไม่ใช่ต้าซือหม่าในที่แห่งนี้ ข้าเป็นเพียงเว่ยจ้งชิง”
จางกงกงหัวเราะเบา ๆ เสียงต่ำราวควันพิษ “คำพูดนั้นเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีสิทธิ์จะพูดมากกว่า” เขาเอนหลังพิงเบาะ ยกพัดในมือเคาะปลายนิ้วช้า ๆ “แต่ก็แปลก...แม่นางหนานเรียกท่านว่าพี่อย่างสนิท ข้าล่ะสงสัยนักว่า ‘พี่ชาย’ เช่นท่านคิดกับนางแบบไหนกันแน่” แววตาของเว่ยชิงเข้มขึ้นทันที แต่ยังไม่ทันเปิดปาก เถียนเฟิงก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อา จงฉางชื่อ ข้าขอเตือนว่าอย่าพูดมากนัก เดี๋ยวท่านจะถูกตราหน้าว่าขันทีขี้หึงกลางวันแสก ๆ”
จางกงกงหัวเราะในลำคอ “ท่านคิดว่าข้าจะสนใจหรือว่าผู้ใดจะตราหน้า แต่ข้าไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อหลินหยาอย่างสนิทปากนักเท่านั้น”
หลิวอันที่ฟังอยู่เฉย ๆ มาตลอดวางถ้วยชาลงเสียงดัง “ขันที คนมีพัด กับนายทหารใหญ่...สามพิษในโต๊ะเดียวกัน ถ้าข้าตายวันนี้ก็คงไม่แปลกใจนัก” เถียนเฟิงหัวเราะหึเบา ๆ “ท่านหวยหนานหวาง ข้ารับรองว่าท่านจะไม่ตายจากพิษหรอกแต่จากคำพูดท่านเองมากกว่า”
จางกงกงเหลือบตามองเว่ยชิงอีกครั้ง แววตาเย็นเยียบ “ข้ามิได้มีเวลามากพอจะเล่นเกมอำนาจกับท่านหรอก แต่จำไว้...นางคือคนของข้า”
เว่ยชิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “นางเป็นของตัวเอง ข้าเพียงมาปกป้องนาง ไม่ใช่แย่งนางจากใคร”
“ปกป้อง?” จางกงกงหัวเราะต่ำ “คำพูดสวยหรูของทหารที่ทำตามคำสั่งอย่างว่านั่นหรือ?” เถียนเฟิงส่ายหัว “ข้าขอชาเพิ่มอีกถ้วยเถิด ขืนอยู่ต่ออีกหน่อยคงต้องสั่งดาบแทน แต่ถ้ามีมวยข้าก็มีอาหารกินพร้อมดูไปด้วยเหมือนกัน”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด จนกระทั่งเสียงหัวเราะใส ๆ ดังขึ้นจากอีกฟากของโรงทาน หลินหยาเดินกลับมาพร้อมหรงเล่อ พี่ฉู่ และท่านหมอหญิงที่ถือถาดขนมอยู่ “อะไรกันเจ้าคะ หน้าทุกคนเคร่งเช่นนั้น มีใครไม่อิ่มหรือ?” เธอถามพลางยกคิ้ว หรงเล่อหัวเราะคิก “ข้าก็สงสัยเหมือนกันท่านพ่อข้าทำหน้าเหมือนกินของขมเลยอ่ะ”
จางกงกงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มสงบอย่างเป็นธรรมชาติราวกับการพลิกลิ้นในปาก “เปล่าหรอก เราเพียงพูดคุยเรื่องศึกชายแดนกันนิดหน่อย” เว่ยชิงพยักหน้ารับเช่นเดียวกันเหมือนรู้จักกันมานาน “ใช่ ข้าเล่าให้ฟังเรื่องข้าวสารขาดแคลนที่ทางเหนือและการรบ” เถียนเฟิงแสร้งถอนหายใจ “ใช่สิ...เรื่องศึก เรื่องศึกกันทั้งนั้น” ส่วนหลิวอันจิบชาเงียบ ๆ ดั่งคนที่เป็นผู้ใหญ่คอยห้ามทัพเด็กตีกันอยู่ทุก ๆ วัน
หลินหยาหรี่ตาใส่หนุ่ม ๆ “น่าสงสัยจริง ๆ” แต่ก็ยิ้มหวาน “เอาเถิด ทุกท่านอย่าเคร่งเลย วันนี้วันเกิดข้า อยากให้มีแต่รอยยิ้มนะเจ้าคะ”
“ทุกสิ่งล้วนมีเหตุผล” เสียงพี่ฉู่ดังขึ้นอย่างอ่อนโยน “แม้คนที่มาพบกันในวันนี้ ก็ล้วนเป็นด้วยวาสนา”
#ท่านหมอ
เสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้ง คราวนี้อบอุ่นกว่าก่อนหน้านี้มาก แม้หนุ่ม ๆ แต่ละคนยังแอบชำเลืองกันบ้างด้วยแววตานิ่งสงบที่บอกว่าศึกนี้ยังไม่จบ แต่ในบรรยากาศของวันนั้น ภายใต้แสงแดดยามเย็นที่อาบทอง ทุกอย่างกลับดูงดงามเหมือนบทเพลงแห่งมิตรภาพและความผูกพันที่แม้จะซับซ้อน แต่ก็แสนจะมีชีวิตชีวา

@SuYao
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
มอบพลังแก่สัตว์อสูร ของ ซูเหยา ฮว่าอิง | Huaying
ใช้ได้เฉพาะคน Level Max เท่านั้น และ EXP ตัน 99
เปิดติดตามสัตว์อสูรและต้องปิดการใช้งานสกิลทั้งหมด
สัตว์อสูรจะได้รับ 99 EXP จากผู้ถ่ายโอน
(-50 ตบะฝึกฝน -99 EXP ในการถ่ายโอนพลังฝีมือแก่สิ่งมีชีวิต)
สรุปรางวัลที่ได้ : +500 คุณธรรม, +100 พลังใจ
เราพูดคุยกับหรงเล่อ คุยกับทุกคึนนนนนนนนนน
ตีกันเลยๆๆๆๆ มวยๆๆๆ