“แสงอาทิตย์ยามบ่ายเหมือนผ้าแพรบางที่ปกคลุมฉางอานไว้ทั้งนคร
กลิ่นเต้าหู้หอมอ่อนลอยเคล้ากับฝุ่นทราย และหัวใจที่เพิ่งได้พัก”
เสียงลมอุ่นพัดผ่านตรอกเล็กที่ทอดยาวจากหน้าร้านเต้าหู้ ม่านไม้ไผ่ที่ประดับอยู่เหนือประตูพลิ้วไหวราวกับกล่าวลาแก่ชายหนุ่มผู้เพิ่งเดินออกมา เขาก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า มือหนึ่งถือไหเต้าหู้ดินเผาที่อบอวลด้วยกลิ่นถั่ว อีกมือถือแตงกวาหรรษาสีเขียวสดซึ่งดูโดดเด่นราวหยกน้ำผึ้งในยามบ่าย ฉีชิงหลง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีสีฟ้าผสมทองจากแสงอาทิตย์ยามสามโมงครึ่ง ดวงตาสีอำพันอมเขียวของเขาสะท้อนเงาโคมไฟที่เริ่มถูกแขวนไว้ริมถนนอย่างเกียจคร้าน แสงแดดกระทบเส้นผมสีเงินของเขาให้เปล่งประกายราวแพรไหม ผ้าคลุมสีอ่อนสะบัดเบา ๆ ตามลม จังหวะการก้าวเดินของเขาช้าเสียจนคนขายของริมทางยังเผลอมองตาม กลิ่นถั่วเหลืองต้มยังติดอยู่ที่มือของเขา — อบอุ่นและสะอาดในแบบที่ไม่คิดว่าจะได้จากเต้าหู้ธรรมดา
เขายกไหขึ้นดื่มช้า ๆ รสละมุนขมปลายลิ้นแต่ชวนติดใจ ทำให้เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “น่าแปลกดีนะ…” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยเบา ๆ ขณะเดินผ่านร้านขายผ้าไหม “ข้าดื่มน้ำเต้าหู้มาไม่น้อยในชีวิต แต่กลับไม่มีสักหยดที่ทำให้รู้สึกเหมือน…ถูกปลอบใจได้ถึงเพียงนี้” ภาพชายขายเต้าหู้ผู้พูดน้อยแต่คมคายแวบเข้ามาในหัว หลิวอัน—บุรุษที่ดวงตาเย็นเฉียบราวแม่น้ำกลางฤดูหนาวแต่กลับมีมืออุ่นยามจับหม้อต้มเต้าหู้ ชิงหลงหัวเราะแผ่วในลำคออย่างขบขัน “พูดแค่ไม่กี่คำก็ทำข้าจำได้เสียอย่างนั้น…คนอะไร” เขาส่ายหน้าเบา ๆ รอยยิ้มเจือความเหนื่อยใจค่อยผุดขึ้น “แต่ก็ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยวันนี้ข้ายังมีคนให้คิดถึงระหว่างที่เงินในย่ามเหลือไม่ถึงกำมือ”
ตลาดตะวันออกของฉางอานยามบ่ายเป็นภาพที่สวยงามจนเหมือนความฝัน
แสงแดดทาบพื้นหินเป็นสีทองอ่อน ผู้คนหลากชนชาติเดินปะปนกันไปมา
หญิงชาวฮั่นในเสื้อผ้าแพรสีหม่นกำลังต่อราคาผ้าไหมกับพ่อค้าซอกเดียนาผิวเข้มที่พูดภาษาผสมแปลกหู, เด็กชายจากแดนซื่อหมอหลงสวมกำไลทองแดงร้องขายลูกกวาดหอม, กลิ่นเครื่องเทศจากแดนไกลลอยผสมกับกลิ่นชาอ่อนจากโรงน้ำชาที่อยู่ไม่ไกล เสียงหัวเราะและเสียงระฆังทองของเกวียนประดับสินค้าดังสลับกันเป็นจังหวะ
ตลาดแห่งนี้คือหัวใจของนคร ศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรม พ่อค้าจากตะวันตกตะวันออก ต่างแลกเปลี่ยนทั้งของมีค่าและรอยยิ้ม ชิงหลงก้าวผ่านร้านขายเครื่องแก้วจากเปอร์เซีย เห็นแสงสะท้อนหลากสีในผลึกใส เขาหยุดเพ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางกลับมาแต้มมุมปากอีกครั้ง “งดงาม...แต่เปราะบางเหลือเกิน” เขาพึมพำราวพูดกับแก้วตรงหน้า “คล้ายหัวใจคนในตลาดนี้ ใสจนมองทะลุ แต่ไม่มีใครอยากให้แตกร้าว”
เสียงนักดนตรีริมถนนเริ่มบรรเลงพิณเหอเถา เสียงสายพิณสะท้อนคลอไปกับเสียงขลุ่ยของเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่เป่าคลออยู่ข้าง ๆ ผู้คนชะลอฝีเท้า บ้างโยนเหรียญเงินลงในกล่องไม้ บ้างเพียงฟังแล้วยิ้ม ชิงหลงหยุดยืนฟังอยู่ครู่หนึ่ง สายตาเหม่อมองผู้คนที่ไม่รู้จักกันแต่ยิ้มให้กันได้อย่างง่ายดาย เขายกขลุ่ยไม้ที่พกติดตัวขึ้นแตะริมฝีปาก ลองเป่าเบา ๆ เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่แทรกผ่านเสียงตลาดมาได้อย่างแปลกประหลาด เสียงขลุ่ยของเขาแตกต่างจากเด็กหนุ่มคนนั้น มันมีแววของความเหงาปนอยู่ในความอ่อนโยน เด็กหนุ่มนักดนตรีหันมามองก่อนยกมือคารวะอย่างนอบน้อม ชิงหลงเพียงยิ้มตอบ แล้ววางเหรียญสองเหรียญสุดท้ายลงในกล่องไม้ “เสียงเจ้าดีแล้วล่ะ แต่ยังขาดรสของชีวิต” เขาว่าพลางยกไหเต้าหู้ขึ้นดื่มอีกครั้ง กลิ่นหอมอ่อนทำให้หัวใจที่พร่าเลือนรู้สึกมีชีวิตขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อแดดเริ่มอ่อนแรง แสงทองเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนคล้ายกำมะหยี่คลุมทั่วตลาดตะวันออก เสียงพ่อค้าปิดร้านดังระงม กลิ่นไม้จันทน์จากศาลเจ้าหัวถนนลอยมาพร้อมสายลม ชิงหลงเดินไปจนสุดตลาด เหลือบมองเงาตัวเองที่ทอดยาวบนพื้นหิน เขาหยุดเท้า พลางหัวเราะเบา ๆ “คนผมขาวในตลาดทองแดง ดูอย่างไรก็โดดเด่นเกินไปหน่อย…” สายตาของหญิงสาวจากร้านผ้าใกล้เคียงมองมาอย่างสนใจ แต่เขากลับเพียงยิ้มให้แล้วก้าวเดินต่อ เหมือนจะบอกว่า “ข้าชินแล้วกับสายตาแบบนั้น”
ลมเย็นยามเย็นเริ่มพัดพาเอากลิ่นควันไฟและกลิ่นอาหารจากร้านริมถนนเข้ามา เสียงขายของแผ่วลง เหลือเพียงเสียงขลุ่ยและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ไกล ๆ ชิงหลงหยุดมองถนนสายยาวที่ทอดไปยังย่านทางใต้ ดวงตาสีทองอมเขียวสะท้อนเงาแสงสุดท้ายของวัน ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้ม “บางที...ข้าควรกลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง” ภาพหอว่านหงเหรินลอยขึ้นมาในหัว หอที่อบอวลด้วยแสงโคมแดง กลิ่นกำยาน และเสียงหัวเราะของหญิงสาว เสียงขลุ่ยเมื่อคืนยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของเขา เสียงนั้น...ที่ทำให้เขารู้สึกมีตัวตนอีกครั้ง “หากยังมีที่ให้ข้าได้เป่าขลุ่ย แลกกับข้าวสักมื้อ...” เขาพึมพำยิ้มอ่อน “ก็คงดีไม่น้อย”
ดวงอาทิตย์ลับขอบกำแพงเมือง ฉางอานเปลี่ยนจากสีทองเป็นสีชาด ลมพัดแรงขึ้นจนผมสีเงินของเขาไหวคล้ายคลื่นเงินในแสงสุดท้าย ชิงหลงโยนแตงกวาหรรษาในมือขึ้นแล้วรับไว้พลางหัวเราะกับตัวเอง “แตงกวากับเต้าหู้...ข้าวเย็นของคุณชายฉีในวันนี้ คงหรูหราที่สุดแล้วกระมัง”
เสียงหัวเราะของเขาเบาเสียจนกลืนไปกับเสียงลม แต่รอยยิ้มนั้นกลับอ่อนโยนอย่างประหลาด เขาหยุดเท้ามองแสงโคมดวงแรกที่เริ่มถูกจุดขึ้นริมถนน ดวงตาเป็นประกายราวมีแผนบางอย่างผุดขึ้นในใจ “ได้เวลาเสียที...” เขาว่าพลางหันหลังกลับมองตลาดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังถนนสายใต้ที่นำไปสู่หอว่านหงเหริน “ยามแดดลับฟ้า คนผู้ถือไหเต้าหู้เดินเข้าสู่เงาโคม
เสียงหัวใจของเขา...เริ่มบรรเลงอีกครั้งโดยไร้พิณใด”
|