
ช่วงเวลาที่ฉางอันเลื่อนผ่านไปอย่างไร้กำหนดใต้แสงตะวันที่เริ่มคล้อยต่ำลงทุกที เมฆที่กำลังล่องลอยอย่างไร้จุดหมายบนท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีส้มเรืองกลายเป็นสีดำขึ้นในทุก ๆ ที เงาของยอดเสาไกลตาและจวนแถวนั้นก็บรรจงทอดยาวลงมายังพื้นถนนหินเรียงตัวกันอย่างงดงามและปราณีตกลาง จัตุรัสกลางเมืองฉือจิ่วชาน ซึ่งเป็นเหมือนกับจุดศูนย์กลางของชีพจรของนครฉางอันที่ไม่อาจหลับใหลแม้เลยสักคราดั่งทะเลที่ครืนคร้ำขยับผิวน้ำของมันตลอดเวลาที่พบเห็น
ภาพที่หลินหยาเห็นคือความโออ่าของสถาปัตกรรมจีนโบราณที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบทว่าแฝงไปด้วยชีวิตชีวิต จังหวะของผู้คนที่เคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน ถึงขนาดเป็นช่วงเย็นเกือบค่ำคนยังเยอะถึงเพียงนี้ไม่ต้องคิดถึงช่วงกลางวันเลยว่าผู้คนจะคราคร่ำกันขนาดไหนถึงเพียงใด โครงสร้างหลักของจัตุรัสนั้นคือพื้นทรงกลมขนาดใหญ่ที่ล้อมด้วยอาคารทรงหลังมังกรโค้งกันไปมาเป็นชั้น ๆ ทางเดินหินนั้นทอดยามเชื่อมต่อจัตุรัสแห่ง
นี้จากทุกทิศทางของเมืองฉางอันราวกับว่าสถานที่แห่งนี้คือเส้นเลือดใหญ่ของเมือง เหมือนเช่นราชวังคือหัวใจของเมืองแห่งนี้เช่นเดียวกัน
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสถานที่แห่งนี้ เธอพบว่ามีแผงอยู่นิดหน่อยสำหรับค้าขายหรือไม่นะ? แต่ตอนนี้มันปิดแล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่าตอนกลางวันพวกผู้คนคงเยอะมาก ๆ แน่นอน รอบ ๆ มีคนสัจจรไปมา เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่โดนพาตัวกลับบ้าน สถานที่ซึ่งติดต่อกับทุกที่กระทั่งราชวังหลวงที่สูงตระหง่ายอยู่ไม่ไกล เห็นหอเฝ้าเหตุการณ์เงียบงันตัดกับพื้นหลังที่ทอดตัวผ่านด้านหลังเมือง..
ตอนนี้ทุกอย่างราวกับกำลังเริ่มหลับใหลในชั่วครู่เพื่อรอเช้าวันใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้น พุ่งดอกไม้กลางลานขยับไปมาเบา ๆ ใต้เงาของแสงตะวันคล้อย สิ่งเดียวที่ยังมีชีวิตเห็นจะเป็นหลินหยาที่พึ่งเดินทางมาถึง เธอเดินทางทั้งวันจนฝ่าเท้าปวดไปหมดจนแทบจะกลายเป็นแผ่นกระดาษที่ขาด เธอทิ้งตัวนั่งลงตรงสักกะที่แล้วถอนหายใจ ก่อนที่จะเอนหลังพิงระเบียง ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งราวกับคนที่พึ่งรอดตายจากการเดินทางอันแสนยากจะคาดเดาได้เลย
“เหนื่อยจัง…ปวดฝ่าเท้าไปหมดเลย” นางเอ่ยแล้วหลุบดวงตาของตนเองลงเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ขยับตัวถอดรองเท้าออกมาเพื่อเป็นการพักเท้าของตัวเอง นางคิดถึงอ่างน้ำ อยากจะเอาเท้าลงไปแช่น้ำอุ่น แล้วก็ไปแช่น้ำลอยดอกไม้แสนหอมหวนคงรู้สึกดีแทบขาดใจแน่ ๆ เลยล่ะ ก่อนที่เธอจะกระพริบดวงตาตนเอง
เพราะความเบื่อเลยล้วงเข้าไปในถุงผ้าแล้วหยิบเหรียญตำลึงเงินออกมาหนึ่งเหรียญแล้วหมุนเล่นระหว่างปลายนิ้วอย่างชำนาญราวกับนักพนันที่กำลังประเมินชีวิตหลังจากตนเองนั้นหมดทุนกงเต๊กแต่เหลือเหรียญอยู่เพียงเหรียญเดียว กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก…ติ้ง!!
เหรียญที่หลินหยาดีดเล่นนั้นกระเด้งหลุดจากมือของตนเองไปด้วยความประมาทเลินเล่อของตัวเเธอเอง หญิงสาวตกใจจนแทบเหม่อมองท้องฟ้าแบบจะถามหาพระเจ้าว่าจะแกล้งอะไรเธอนักหนาสำหรับวันนี้ ยังไม่จบอีกหรือ แน่นอนว่าเธอได้ยินอะไรบางอย่าง เหรียญตำลึงเงินของเธอนั้นปลิวหมุนติ้ว ๆ ผ่านอากาศอย่างสโลว์โมชั่น เยี่ยงใบไม้ที่ต้านแรงลมที่พัดผ่านกรรโชกแรง พุ่งไปอย่างอิสระด้วยแรงของการดีดและโชคชะตาที่เกิดขึ้น
แป๊ะ..!!
เข้าไปกลางหน้าผากของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหมือนกำลังจะเดินมาทางนี้อยู่พอดี..ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแบบน้ำตาลมะพร้าวเบิกตาขึ้นกว้างอย่างรวดเร็ว เธออ้าปากค้างแล้วรีบลุกขึ้นทันทีหลังจากเบิกตากว้างเป็นไข่ห่านผสมไข่นกกระจอกเทศ “เฮือกก!!” จะโดนด่าไหมนะ กลัวง่ะ เอาเป็นว่ารีบขอโทษก่อนดีกว่า
“เอ่อ..คุณชาย ข้าขอโทษจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าหลุดมือไป ขออภัยยิ่งนัก” นางเอ่ยขึ้นแบบรู้สึกผิดกลับมองสีแดง ๆ ตรงหน้าผากของอีกคน ชายคนนั้นไม่ได้ล้มหรือไม่ได้สถบออกมาอย่างหงุดหงิด เขายังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกับไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาคมใต้คิ้วเรียวสวยนั้นยกขึ้นมองเหรียญตำลึงเงินที่กลิ้งตกที่เท้าเขาอย่างสงบ สงบจนหลินหยารู้สึกกลัว เธอทำหัวใจหล่นไปถึงใต้ตาตุ่ม ถ้ามากกว่านั้นก็อยู่ใต้บันไดเลยแหละ..
เขาเป็นบุรุธหนุ่มที่มีเรือนผมสีเงินขาวยาวถึงกลางหลัง เกล้าเส้นผมครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยดสีดำรูปหน้าเรียวยาวเหมือนอย่างกับเทพเซียน ผิวขาวซีดเผือกแทบจะกลิ่นไปกับชุดที่เขาได้สวมใส่อยู่ตอนนี้ เสื้อคลุมสีขาปักลายเมฆสีขาวตรงคอปกเสื้อ บ่าของเขามีดาบที่อยู่ด้านหลัง..ที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะมาจากร้านขายของ 20 อีแปะแน่นอน แง้ เขาจะหยิบดาบมาฆ่าหนูไหม
“เจ้า..เอ่อ…แม่นางทำเหรียญตกใส่ข้าหรอ?” เขาเอ่ยถาม
หลินหยาเลยขยับหัวพยักหน้ารัว ๆ ราวกับไก่กำลังจิกกินข้าว “เจ้าค่ะ ข้าขอโทษนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ มือมันลื่นเจ้าค่ะ ข้าหยิบเล่นเพลินเพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อย ๆ น่ะเจ้าค่ะ” เอ่ยขออภัยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่ก้มหัวผงก ๆ แบบคนที่ไม่รู้ว่าควรขอโทษยังไงถึงจะพอกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป
เขาเหมือนกับคิดนิดหน่อยแล้วขยับริมฝีปากเอ่ยถามขึ้นมา “แม่นางเป็นนักเดินทางหรอ? มาทำอะไรที่ฉางอันเล่า?” เอ่ยถามพลางขยับตัวลงไปเอื้อมหยิบเหรียญเงินที่พื้นเขาก้มลงไปเก็บเหรียญนั้นแล้วยื่นส่งให้เด็กสาวเพราะนางคงไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ
แม้ว่าชายตรงหน้าจะถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา และคำถามธรรมดา แต่สำหรับหลินหยากลับได้ยินคำว่า มาทำบ้าอะไรที่นี่! ในเขตของข้า! แบบจิตปรุงแต่งเองจัด ๆ ตามประสาคนที่คิดอะไรไปเรื่อยไปเปื่อยจริง ๆ หลินหยากลืนน้ำลายลงคอแบบยากลำบากสุด ๆ นางกระพริบตาปริบ ๆ แล้วเหมือนกลืนเข็มทั้งมหาสมุทร “ข้า..ข้ามาส่งของเจ้าค่ะ แล้วก็กำลังจะออกผจญภัยใช้ชีวิตที่นี่สักพัก กะว่าจะเที่ยวเล่นน่ะค่ะ ไม่ก็หางานใหม่” นางเอ่ยบอกเช่นนั้น เขาเหมือนกับเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจได้ “ก็ดีนะ..” ยังไม่ทันจะพูดจบอยู่ ๆ หลินหยาก็ขมวดคิ้ว..เธอเหมือนพึ่งตั้งสติได้ เด็กสาวขยับดวงตาของตนเองมองอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางเริ่มลูบต้นคอตัวเองเบา ๆ ด้วยอาการบางอย่าง หัวขาวเงิน? หน้าก็โคตรขาว? ผิวก็ซีดๆ ..ขาวเหมือนผ่านแป้งกระป๋องมาเลย.. ใบหน้าของอีกคนก็ดูขรึม ๆ ดาบที่หลังผมที่ปลิวและออร่าที่เหมือนกับบอกว่า ไม่ใช่คนปกติแน่นอน ทำให้หัวใจของหลินหยาเต้นแรง ไม่ใช่ว่าชอบนะ..
กลัว!!
เซิ้งหนีก่อนได้ไหมวะเนี้ย!
เธอค่อย ๆ ขยับตัวถอยหลังทีละนิด ทีละนิด จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีสุดชีวิตไปทางตลาดหรือคนเยอะ ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปได้เกินสองก้าวเลยคุณผู้ชายคนนั้นก็มาขวางไว้ไวปานว๊อก! เป็นเงาของบุรุธที่โดนดีดเหรียญดีดหัวเมื่อกี้แหละ หลินหยาเบรกตัวเองทันทีที่เห็นเช่นนั้นก่อนที่จะยกมือไหว้ผงก ๆ ไหว้ ๆ สาธุ ๆ ๆ ขอร้อง ๆ อย่ามาหลอกหลอนกันเลย สาธุ ๆ
‘ผีแน่ ๆ ผี! ผีวิญญาณ ผีเหรียญบาท!’ หญิงสาวคิดด้านในหัวรัวแบบไม่ได้ทำอะไรนอกจากความน่ากลัวแล้วขยับเท้าที่เกือยลื่นล้มเมื่อกี่แล้วถอยหลังยิก ๆ อีกรอบหนึ่ง “สาธุ ท่านวิญญาณ ขอร้องเถอะเจ้าค่ะ ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคนเถอะเจ้าค่ะ ถ้าจะเรียกส่วนบุญรอก่อนนะเจ้าคะ ข้าไม่มีเงินตอนนี้ ถ้าอยากได้เหล้าขอเวลาก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะราดให้เต็มโค้นต้นไม้เลย สาธุ ๆ โอมเพี้ยง ๆ กุสสะลาธรรมมา” หลินหยาพูดแล้วไหว้รัวอย่างกับกล่องตีตอนทำศึก
ส่วนชายคนนั้นก็กรอกตาอีกสักทีแล้วเหมือนจะกระพริบตามองสตรีตัวเตี้ยที่สมองน่าจะกลับพลิกตลบไปคนละส่วน เขากำลังพิจารณาว่าควรเรียกหมอมาดูสมองของนางไหม ส่วนไหนของเธอที่มีปัญหากันนะ?
“ข้าไม่ใช่ผีนะแม่นาง” เอ่ยขึ้นเหมือนจะหมดความอดทนสักที
“ห๊ะ!?” เอ่ยเหมือนตกใจแล้วหยุดมือที่ไหว้อยู่ชะงัก ก่อนที่จะขมวดคิ้วเข้ากันผูกเป็นโบว์ปมเลยทีเดียว เด็กสาวทำท่าทางคิดนิดหน่อยแล้วเอ่ยถาม “แล้ว?..คุณชายเป็นตัวอะไรหรือเจ้าคะ?” ถามแบบยังไม่ไว้ใจนิดหน่อย เขาเลยเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะอธิบายให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าเป็นทูตนักเดินทางต่างหาก” ชายหนุ่มผมขาวเงินอธิบายให้เธออย่างชัดเจน
แต่ทันทีที่ได้ยินก็ขยับหมุนตัวกำลังจะหันวิ่งหนี จนต้องโดนบอก “หยุดเลย” เพราะหลินหยาได้ยินคำว่า ภูต น่ะสิ …เพราะกลัวอยู่หูเลยฟังผิดพอสมควรเลยแหละ “เจ้าจะหนีไปไหน” ชายคนนั้นเอ่ยถามแบบงง ๆ “ก็..ข้าได้ยินว่า..ภูตินักเดินทาง…??” เด็กสาวเอ่ยเหมือนมีตัวอักษรเควสชั่นมาร์คอยู่ด้านหลังของคำพูดด้วย
“ไม่ใช่ภูต …ทูต ต่างหาก” ชายหนุ่มเอ่ยบอกให้อีกคนเข้าใจ เมื่อได้ยินหลินหยาก็เหมือนจะงงนิดหน่อยแบบยังไม่ไว้ใจ
“ภูต?…ทูต? งึม..แล้วมันต่างกันสินะ ก็ต่างแหละ ท่านมั่นใจหรอว่าท่านไม่ใช่ผีจริง ๆ อ่ะ ล่อลวงข้าหรือเปล่าท่านชาย ท่านคิดว่าข้าจะต้องโดนดูดอายุไขหรือวิญญาณหรือเปล่า หรือจะให้ข้าเดินตามไปแล้วหายไปในก้อนเมฆหรือเปล่า ข้าเคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับผี 7 เล่มเลยนะ ข้าไม่โง่!”
ชายผมเงินเริ่มรู้สึกว่าบางทียัยเด็กตรงหน้านี้มันสมองกลับแน่ ๆ เลย เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นพลางเสยเส้นผมแบบหนุ่มหล่ออย่างกับดัชชี่บอย..รู้จักไหม? สมัยนี้ยังมีอยู่ปะ? อาจจะไม่มีแล้วแหละมั้งชั่งมันเถอะ ริมฝีปากสีจางเผยออกมาแล้วพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอะไรให้ฟังแล้วยัยเด็กคนนี้จะเลิกสมองกลับคิดว่าเขาเป็นภูตสักเสียที โดนตราหน้าว่าเป็นวิญญาณมันน่าเขกหัวยัยเด็กนี้สักป๊าบได้ไหมวะครับ
“ข้ามีนามว่า โหรว ซางเมิ่ง เป็นทูตนักเดินทางที่จะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำกับนักเดินทางทุกรายที่เดินทางมาเหยียบฉางอันเป็นครั้งแรก”
เมื่อเขาอธิบายแบบนั้นเธอก็เหมือนจะเข้าใจหน่อยแล้วล่ะ..เข้าใจกับผีน่ะสิ ตำแหน่งนี้มันมีซะที่ไหนวะเนี้ย! โอ้ววว มิจจี้ มิจจี้ชัด ๆ “คุณชายกำลังจะบอกว่าท่านเป็นคนที่ช่วยเหลือหรือเจ้าคะ? เอ่อ ข้าขอเสียมารยาทแต่ท่านสถาปนาตัวเองมาใช่ไหมเนี้ย? หน้าที่แบบนี้มีจริงหรือเจ้าคะ? คนอะไรจะเป็นทูตนักเดินทางเนี้ย ท่านหน้าตาหล่อแล้วยังจะว่างมาดูคนหลงทางอีกหรือเจ้าคะ? หรือแบบ ท่านเป็นคนมีตำแหน่งหนีงานมาเที่ยวเล่นหรือเปล่า?” หลินหยาเอ่ยถามแบบสงสัยจริง ๆ ยังไม่เชื่อเต็มร้อยอ่ะ ท่านแม่สอนว่าจงอย่าไว้ใจมนุษย์หัวใจสุดลึกล้ำเหลือกำหนด เหมือนเถาวัลน์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่อาจคดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน แค่กๆ–
“แม่นางหมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มตอนนี้ปวดหัวจัดแล้วขอยาแก้ไมเกรนทีจังหวะนี้
“ก็เอ่อ ท่านชาย คนอย่างท่านถ้าบอกว่าเป็นภูตข้ายังว่าน่าเชื่อกว่าอ่ะ แถวบ้านข้าแบบพวกคนทำงานทางการต้องใส่ชุดสีเข้ม ใส่หมวกทรงสูงถือพัดอะไรงี้ แต่ดูท่านสิ ชุดไหมสีขาวเงิน ปลิวสะบัดอย่างกับท่านจะไปเดินเล่นข้ามสะพานนกกระเรียนขาว..มันแปลก ๆ น่ะ” โดยที่ไม่ได้เติมคำว่าเหมือนเดินแฟชั่นโชว์ อินฉางอินซิตี้แบบงานเมทกาล่า แต่เมื่อได้ยินคำนี้ตอนนี้โหรว ซางเมิ่งเริ่มมองแบบสายตาอันหลากหลาย แล้วกำลังทบทวนว่าสตรีตรงหน้าของเขาควรได้รับยาและคำแนะนำในการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตที่ไหน? หอสุขภาพจิตต้องการตัวนางแน่ ๆ
ภายใต้แสงตะวันยามพลบค่ำนั้นทอดผ่านไปยังหลังคาของสถานที่ตรงหน้าตัวเองของชายหนุ่ม ริมจัตุรัสตอนนี้เหลือเพียงคนบางเบาพร้อมกับสายลมที่พัดผ้าแพรสะบัดเบา ๆ ไปตามลมที่พัดผ่าน แน่นอนว่าตอนนี้มีมุมหนึ่งของลานแห่งนี้ที่สองร่างยังคงยืนประจันหน้ากันแบบไกลนิดหน่อย
ฝ่ายแดงคือ หลาน หลินหยา บุตรีเจ้าเมืองกว่างโจวที่พึ่งผ่าหมาเห่าเมื่อกลางวัน และความงงที่กำลังผลิดอกแบบไม่เชื่อ ๆ ไม่จริง ๆ หน้าตาเราดีที่สุด แค่ก– จ้องมองชายหนุ่มลึกลับในผมสีเงินที่อ้างตนเองว่าเป็นทูตนักเดินทางของฉางอัน ส่วนฝ่ายแดงคือชายหนุ่มที่เหนื่อยกับสตรีตรงหน้าแบบสุด ๆ นี้สินะ ความซื่อ เอาความจริงมันเหมือนกับเธอเป็นคนที่ดูพูดคุยด้วยง่ายนะ แต่อันนี้คือยากสุด ๆ ไปเลยล่ะ
“แม่นาง..ข้าทำไปเพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำ..และต้องทำ” เขาพยายามพูดให้เข้าใจอีกครั้ง..สุดท้ายต้องงัดไม้เด็ดของตนเองออกมาแล้วล่ะ “เอาล่ะ หากแม่นางฟังข้า แม่นางจะได้เงิน”
!!!
ทันทีที่ได้ยินคำนั้นหญิงสาวก็ตัวนิ่ง “คุณชายคิดจะซื้อข้าด้วยเงินตราหรือ! ฮึ!” นางมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดสุด ๆ แล้วก็ขยับตัวนั่งลงแต่โดยดี ตาเป็นประกายรูปเงินในแววตาแบบชัดเจนว่า ดิสอิสอะคนหิวเงินที่แท้ทรู …
“เชิญเลยเจ้าค่ะ เชิญอธิบายได้เลยท่านทูตนักเดินทาง ข้าจะตั้งใจฟังท่านทุกคำ สอนมาเลยค่ะ ข้าชอบความรู้แม้ว่าจะชอบเงินมากกว่าแต่ชอบความรู้ค่ะ” หลินหยาพูดพลางตาเป็นประกายยกมือกำแน่นแบบคนหิวเงินขั้นวิกฤติ
ง่ายเว่อ…ง่ายจัด ยัยนี้มันหิวเงินขนาดไหนกันวะเนี้ย ชายหนุ่มมองเธอด้วยสายตาอันหลากหลายจริง ๆ นะตอนนี้น่ะ เขายกมือกุมขมับของตัวเอง แบบที่คิดว่าควรจะใช้เงินฟาดหัวยัยนี้ตั้งนานแล้ว สักทีเถอะว่ะ! เขาพูดขึ้นต่อ “ดีมาก งั้นเรามาเริ่มจากมารยาทการเรียกขานชื่อของผู้คนก่อนแล้วกัน”
เมื่อได้ยินหัวข้อแรกหลินหยาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย เธอยกมือขึ้นในท่าทางปางห้ามญาติแล้วเอ่ยก่อน “สต๊อปปุคุณชาย..” ทำท่าเบรกไว้ก่อนเลยแหละ “ใจเย็นท่าน ของแบบนั้นต้องเรียนหรอเจ้าคะ? ข้าดูเป็นคนหลังเขาขนาดนั้นเลยหรอ? ข้าไม่ได้เกิดมาไร้การศึกษาถึงเพียงนั้นสักหน่อยนะเจ้าคะ” เอ่ยบอกแล้วถอนหายใจเฮือกแบบคนที่ไม่รู้สภาพของตัวเองตอนนี้
เพราะเดินทางมาทั้งวัน หัวฟู ผมตก เสื้อผ้าเปื้อนคราบดิน รอยแผลถลอก..มองยังไงก็เหมือนคนที่พึ่งเดินทางมาถึง อาจจะมาจากหลังเขาจริง ๆ ก็ได้นะ หากนางมีสภาพเป็นเช่นนี้ “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าควรใช้แบบใดแม่นาง?” ชายหนุ่มพูด เขาไม่ปฎิเสธว่านางอาจจะรู้ก็ได้และหากนางเข้าใจแบบผิด ๆ เขาจะได้แก้ไขได้อย่างทันท้วงทีเหมือนกันราวกับการทวนความจำของเด็ก
“งึม..ก็ประมาณว่า ชื่อทางการจะถูกใช้ในเอกสาร บันทึกต่าง ๆ งานราชพิธี หรือเวลาที่ทำความผิดใหญ่จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล!” หลินหยาบอกอันแรก ชายหนุ่มก็เงียบ..เพราะเอาเข้าจริงมันก็ถูกนะ แต่ดูการยกตัวอย่างแล้วมันเหม่ง ๆ แปลก ๆ “แล้วก็ชื่อรองใช่ไหมเจ้าคะ? ชื่อรองจะถูกใช้ในหมู่สังคม เวลาเข้าสังคมในคนหมู่มากเจ้าค่ะ เหมาะสำหรับการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ถึงกับออกงานพระราชพิธีเจ้าค่ะ เป็นชื่อที่แบบให้คนไม่สนิทเรียกกันหรือว่าพึ่งพบกันเช่นข้ากับท่าน แต่สตรีจะไม่มีชื่อรองเจ้าค่ะ” เมื่อถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็พยักหน้าเพราะอันนี้ถูกต้องสำหรับการอธิบายและการยกตัวอย่าง
“แต่ก็สำหรับพบกันครั้งแรกจะไม่เรียกชื่อกันตรง ๆ เจ้าค่ะ เพราะถือว่าจะไร้มารยาท จะเรียกเหมือนที่ข้าเรียกท่านว่า ท่านชาย ส่วนท่านก็เรียกข้าว่า แม่นาง เช่นเดียวกันใช่ไหมล่ะเจ้าคะ? ตามด้วยชื่อสกุล อย่างหากท่านเรียกข้า ข้าชื่อหลินหยา สกุลหนาน เลยเป็น แม่นางหลินหยา หรือแม่นางหนาน หลินหยา”
“แล้วก็..อืม..ชื่อทางการนะ หากตามด้วยเอ๋อร์ จะนิยมใช้เรียกผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหรือรักใคร่เอ็นดูเจ้าค่ะ อย่างเรียกเด็ก ๆ เช่นนี้ ท่านแม่ของข้าก็เรียกข้าว่า หยาเอ๋อร์เช่นเดียวกัน” หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะนิดหน่อยแบบประมาณว่า อันนี้ถูกไหม
ชายหนุ่มก็พยักหน้าเพราะเธอยกตัวอย่างได้ถูกต้องดี…
แน่ล่ะ..ก็หลินหยาน่ะที่จวนสกุลหนานมีหนังสือมากมายก่ายกอง ถ้าจะไม่ได้ก็ไม่รู้จะยังไงแล้วล่ะ เพราะอะไรน่ะหรอ? ปกติอันนี้มันเรื่องพื้นฐานเลยนี้หน่า? สำหรับคนที่ต้องเข้าวงสังคมบางครั้งน่ะ เธอไม่ใช่คนไกลปืนเที่ยงนะ หลินหยาโดนท่านพ่อคัดตำราเป็นสิบยี่สอบเล่ม อาจจะถึงร้อยเล่มเลยก็ได้ เพราะว่าอะไรน่ะหรอ เป็นการฝึกคัดลายมือให้สวยงามไงล่ะ ถึงแม้ว่าหลินหยาจะไม่สามารถคัดลายมือให้สวยได้ก็ตาม อีกอย่างก็คือ ยิ่งคัดลายมือยิ่งหวัดเหมือนกับไก่เมายาบ้าเข้าไปทุกทุกทีด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเธอจำไม่ได้นะ เธอก็คงต้องโง่โคตร ๆ แล้วล่ะ เพราะคัดเป็นร้อย ๆ รอบจนตอนนั้นมือเต็มไปด้วยกลิ่นของหมึกสีดำติดมือเลยทีเดียว
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ถูกต้องทุกประการนะ ถึงจะมีบางอันแปลก ๆ ก็ตามเถอะ” โหรว ซางเมิ่งเอ่ยบอกแบบนั้นแต่ก็ตอบด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นว่าเด็กสาวตรงหน้าก็ไม่ได้เกินเยียวยาถึงเพียงนั้นหรอก
“ข้าจะได้เงินยังเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามต่อ เหมือนคนหิวเงินเหมือนเดิม… “ยัง..อย่าพึ่งใจร้อน” คุณชายผมขาวเงินเอ่ยพลางเกือบทำมือปางห้ามญาติว่าใจเย็น ๆ เถอะโยมอยู่รอมร่อ “อ้าว..ก็เมื่อกี้บอกว่าได้เงิน…โหย..ถ้าข้าไม่กลัวโดนฟันนะ ข้างอแงดิ้นชักกระเด้ว ๆ บนพื้นไปละ” โดยที่ประโยคหลังก็พยายามพูดเบา ๆ แต่ซางเมิ่งก็ได้ยินอยู่ดีแหละ รู้สึกคิ้วกระตุกใส่ยัยเด็กคนนี้จนอยากจะเขกหัวแต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวจะโดนหาว่ารังแกเด็กอีก
แสงไฟในยามค่ำของจัตุรัสตอนนี้ค่อนข้างมืดแต่ที่นี่คือเมืองหลวงที่สว่างไสวงดงาม แสงโคมรอบ ๆ ลอยอ้อนอิ่งอยู่ในสายลมออร่าออกมาจนมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างง่าย ๆ ขณะที่เหล่าประชาชนและผู้คนโดยรอบกำลังทยอยกันกลับบ้านเรือนหรือจวนของตนเอง ฝั่งหนึ่งของลานแห่งนี้ที่ร้างผู้คนก็มีเงาของบุรุธผมขาวเงินยาวพริ้วไหวพร้อมกับเด็กสาวหัวสมองไม่เต็มเต็งหน้าตาป่วงระดับร้อยล้านประจำตำบลนั่งเถียงกันข้าง ๆ คู ๆ กลางจัตุรัสนครฉางอัน
โหรว ซางเมิ่ง ผู้มีตำแหน่งเป็นทูตนักเดินทาง ซึ่งก็อาจจะมีเขาคนเดียวในจักรวาล เอ็นพีซีที่หนักกว่าเอ็นพีซีตัวประกอบ เพราะมีแค่ชื่อกับหน้าตา..น่าสงสารจริง ๆ เลยนะ ยืนอึน ๆ หน้าหลินหยาเพราะเขาต้องทำการสอนขั้นตอนต่อไป “วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีหุงข้าวสาลีด้วยเตาถ่านฉบับนักเดินทางกันต่อ” เขาพูดพลางกำลังจะขยับมือไปหยิบถุงข้าวสาลีที่เตรียมมาไว้ในตอนแรก แต่ยังไม่ทันจะเอาออกมาเสียงของเด็กสาวก็เอ่ยขึ้นทันที
“สต๊อปปุ คุณชายซางเมิ่ง..” พูดพลางยกมือขึ้นในท่า มือปางห้ามญาติจากการเอาหัวพุ่งชนเข้าหม้อข้าว พร้อมกับเบิกตากว้างประหนึ่งพึ่งเห็นคนใช้หม้อทองคำหุงมาม่าในซอง แต่โลกนี้ไม่มีมาม่านี้..ช่างเถอะ ฮือ แต่เรามีบะหมี่! แน่นอนว่าน้องไม่ได้คิด คนเขียนคิดเอง น้องไม่เกี่ยว
“คุณชายจะหุงข้าวสาลีหรือ?”
“...ใช่”
“เป็นข้าวสวยหรอ!?”
“...ใช่..”
“บาปศักดิ์สิทธิ์! ท่านทำอะไรกันเนี้ย!” พูดพลางทำท่าทางเหมือนโลกจะแตกเพราะว่าไม่เคยกินอะไรแบบนั้นเลยสักที หรืออาจจะเคยกินแต่ไม่ชอบก็ได้..ไม่แน่ใจเหมือนกัน “ใครเขาทำแบบนั้นกัน! ข้าวสาลีมันต้องหมักในถังไม้โอ๊ค! ทำเหล้า! กลั่นเป็นกลิ่นผลไม้! หอมหวานจิบเบา ๆ ยามเย็นใต้ต้นท้อสิบลี้! ใครมันจะเอามาหุงเป็นข้าวสวยกันเจ้าคะ! หาาาา!!!” หลินหยาพูดขึ้นอย่างตกใจ เธอแค่รู้สึกว่าทำแบบนั้นมันเสียของสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่หรอนั้นน่ะ ของแบบนี้มันต้องทำเป็นเครื่องดื่มสีเหลืองทองเข้มที่มีฟองเหมือนเก๊กฮวยบูดสิเจ้าคะ!
ท่านชายผมสีขาวเงินยาวจ้องมองเด็กสาว เขาเงียบไปสองอึดใจ แล้วยกมือของตนเองนวดขยับเบา ๆ แบบที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กที่พึ่งค้นพบว่า วัยรุ่น คนนี้มี ‘เอกลักษณ์ทางความคิดเฉพาะทางชนิดมากเกินไป มาก ๆ แบบมาก’ เขาเหมือนพยายามกำลังคิดอยู่ว่าจะอธิบายยังไงดี “นักเดินทางส่วนใหญ่ก็กินแบบนี้กันเป็นปกตินะแม่นาง” เขาเอ่ยบอกแล้วมองเธอ หลินหยาถึงกับมองอีกคนค้อน ๆ นิดหน่อยเพราะยังคิดว่ามันเสียของอยู่เลย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยต่ออีก “แม่นางคงเป็นลูกคุณหนูสักคนสินะ..สำเนียงเจ้าฟังแล้วเหมือนคนกว่างโจวแบบชัดเป๊ะมากเลยนะ”
หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ห๊าาา!!?” อ้าปากกว้างขึ้นก่อนที่จะยกมือกุมอกกุมใจตัวเองเอาไว้แบบคนโดนสะกิดบ้านเกิดแบบเดาถูกทะลุพิกัดของไส้ติ่งอันไร้ประโยชน์กันเลยทีเดียว “ท่านชายรู้ด้วยหรอ โห..เก่งจัดอ่ะ ท่านเดาสำเนียงข้าได้เป๊ะมากเลย ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาจากกว่างโจว โห..ท่านเก่งนะ นี่ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปเลยล่ะ สมแล้วที่เจอนักเดินทางมาเยอะจริง ๆ ท่านจับสำเนียงข้าได้ด้วยนะเนี้ย” นางเอ่ยพลางมองอีกคนแบบประมาณว่า เริ่มยอมรับจริง ๆ แล้วว่าเขาคือ ทูตนักเดินทางตัวจริงเสียงจริงเพียงหนึ่งเดียว
ท่านชายซางเมิ่งเมื่อได้ยินก็หัวเราะชอบใจเบา ๆ พลางโบกมือเหมือนกับคนชิล ๆ เพราะทำเด็กสาวที่ทำเอาเขาปวดหัวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วให้ยอมรับเขาได้สักกะทีหนึ่ง และเธอก็ตะลึงตึงงันจนเกือบลืมหายใจ “แม่นางนี่ตลกดีแฮะ ข้าดีใจที่เจ้าร่าเริงนะ นักเดินทางก็ประมาณนี้แหละ มีชีวิตมีชีวาบางคนมีปณิธานอันแน่วแน่ไม่ไหวติง นักเดินทางทุกคนล้วนมีเป้าหมายของตนเอง” ชายผมสีขาวเงินพูดแล้วระบายยิ้มอ่อนเพราะตอนนี้เขาก็โอเคนะ คุยกับเธอก็ไม่แย่อย่างที่คิดไว้ตอนแรก ตอนนี้เริ่มเหมือนคนทรงภูมิจริง ๆ แล้ว
หลินหยาเริ่มพยักหน้าทำท่าทางเหมือนคนที่เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วล่ะ “ข้าคิดว่าท่านชายขี้โม้อ่ะตอนแรกเลยนะ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วล่ะ ว่าของจริงจริง ๆ ท่านแม่ง โคตรเด็ด โหรว ซางเมิ่ง ทูตนักเดินทาง” พูดชื่อออกมาแล้วล่ะตอนนี้เต็มที่สุด ๆ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มแล้วหยิบถุงข้าวสาลีออกมา “งั้นตอนนี้ก็ลองหุงข้าวสามีเป็นข้าวสวยดูนะแม่นาง”
“...ต้องหุงจริง ๆ สินะ..เอาเถอะข้าก็ต้องหุงอยู่ดีแหละ เดี๋ยวอดได้เงิน” เอ่ยขึ้นอย่างสบายใจก่อนที่จะรับถุงข้าวสามีขนาดจับสองมือได้ไม่เป็นปัญหา หนักหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นถือไม่ได้หรอกนะ เหมือนถือถุงเมล็ดข้าวเวลาหว่านลงนานั้นแหละตอนนี้น่ะ หญิงสาวเหลือบมองไปโดยรอบ ในขณะนี้หมอกเริ่มลงแล้วเพราะความเย็นลงมาปะทะกับพื้นดินด้านล่าง ไม่สิ..มันเป็นอากาศเย็น ๆ มากกว่า ตอนนี้จัตุรัสฉางอันยามค่ำคืนเปลี่ยนโฉมเป็นสถานที่ฝึกหัดมาสเตอร์เชฟจำเป็นแล้วล่ะ
“แม่นางจะต้องต้มหุงข้าวสาลีอันนี้เองเพื่อประสบการณ์ของตนเอง ข้าไม่ทำให้หรอกนะ เจ้าจะต้องทำเองข้าจะบอกเพียงวิธีเท่านั้น” ชายหนุ่มเอ่ยบอก
“จริงหรอเจ้าคะ?”
โหรว ซางเมิ่งจึงพยักหน้าแบบว่า ใช่แล้วครับ ประมาณนั้น นี่แหละ ความเป็นจริงอันขมขื่นของนักเดินทางที่หิวแต่ต้องต้มของกินเองเสมอหากไม่อาจซื้อได้ยามเดินทางพักแรมในการเดินทางพร้อมเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงอย่างสงบเหมือนกับกำลังท่องบทที่จำได้มาเป็นพัน ๆ ครั้งแล้ว "ข้าวสาลีใช้เวลาหุงนานกว่าข้าวเจ้าทั่วไป ต้องใส่น้ำเยอะกว่าปกติ เพื่อให้เมล็ดมันอุ้มน้ำจนเต่งและปริขึ้นมา เวลากินจะได้หอมนุ่มไม่เหนียวเหนอะนะ รสชาติเข้มกว่า อยู่ท้องนานกว่า แต่ก็ไม่ได้นุ่มแบบข้าวสวยทั่วไป"
เมื่อพูดถึงตรงนี้หลินหยากลับยืนฟังนิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่ซางเมิ่งกำลังหวังว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่แย่หรอกนะในหัวของเธอน่ะ
“เอาล่ะ ฟังให้ดีนะแม่นาง ล้างด้วยน้ำเปล่าเหมือนล้างข้าวปกติ สัดส่วนคือข้าวหนึ่งส่วน น้ำสองส่วน จากนั้นให้ต้มน้ำให้เดือดก่อน แล้วค่อยใส่ข้าวลงไป หุงสักยี่สิบถึงสามสิบนาที แล้วแต่ปริมาณ” หลังจากบอกแบบนั้นเสร็จก็ขยับมือไปชี้ที่เตาตรงแผงมุมจัตุรัสเสียอย่างงั้น "ตรงนั้นมีเตาถ่านอยู่ ไปจัดการเลย" มีการชี้ทางบอกเสียด้วย
หลินหยามองไปทางตรงนิ้วที่ชี้ไป แล้วหันไปทางชายหนุ่มใกล้ตัวเอง
"แผงคนอื่นปะเนี่ย!? เราจะแอบใช้ของเขาเหรอ!? ท่านนี่มัน...หัวขโมยประจำจัตุรัส!" ท่านชายโหรว ซางเมิ่งถึงกับอยากจะยกมือแล้วกุมขมับแต่สุดท้ายก็ขยับมือขึ้นปัดอากาศเหมือนกำลังบอกว่าคำกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง "ไม่ใช่ นั้นของข้าเอง แล้วก็คนอื่นเขาใช้กันมาตั้งนาน”
"ไม่เชื่อ! ท่านอาจจะแต่งเรื่องหลอกข้าก็ได้!" นางยืนกอดถุงข้าวไว้แน่น ทำตาขวางเล็กน้อยอย่างกับจะต่อยข้าวสาลีเองได้ถ้าจำเป็นขึ้นมาจริง ๆ ส่วนท่านชายตอนนี้ค่อนข้างปวดหัว แต่เขารู้วิธีรับมือเด็กสาวตรงหน้าแล้ว
“จะเอาไหมเงิน”
คำเดียวสะเทือนถึงเพดาน หญิงสาวสะดุ้งเฮือก แล้วหลินหยาก็ขยับตัวพุ่งไปเร็วเท่าเสียงของตัวเอง “ข้าจะทำ ๆ ทำเดี๋ยวนี้แล้วเจ้าค่ะ!” ว่านอนสอนง่ายแล้วรีบวิ่งไปราวกับเงินติดล้อทำให้มันเร็วขึ้นแหละ วิ่งไปตรงที่เต่าถ่านแล้ววิ่งกลับมาเหมือนจะถามว่าน้ำอยู่ไหน แต่ชายหนุ่มชี้โอ่งน้ำที่อยู่ข้าง ๆ …ประมาณว่า ตาถั่วเราะ? หลินหยาที่พึ่งเห็นก็ทำมือประมาณว่า ฉันเห็นแล้วค่ะ ขออภัยที่ตาถั่ว ถั่วอะไรก็ได้ห้ามเป็นถั่วเหลืองแล้วกันเดี๋ยวขิตขึ้นมาทำไงอ่ะ
ปึก!!
เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อแม่นางน้อยหลินหยาของเราใช้ฟืนท่อนหนึ่งทุบลงกับพื้นใกล้เตาถ่านเพื่อจัดตำแหน่งให้เข้าที่ราวกับกำลังจะปักธงชัยในสนามรบของตนเอง แล้วก็ค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงอย่างคนที่จริงจังกับของกิน แล้วค่อย ๆ หยิบก้อนฟืนอีกสองท่อนมาต่อซ้อนให้เป็นรูปฐานสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่ปิดเบี้ยวไปบ้างแบบคนที่ไม่ได้เรียงดี ๆ เน้นใช้งาน ไม่เน้นสวยงามน่ะนะ “งึม..ไฟเอ่ยไฟ..” หญิงสาวพึมพำเหมือนอยากจะร้องเพลงเสียให้ได้ เธอกัดปากแบบผู้กล้า เธอเริ่มจุดไฟพร้อมกับยื่นไปจ่อใบไม้แห้งกับเศษเชื้อไฟที่เตรียมไว้ ราวกับกำลังจุดตะเกียงแห่งโชคชะตา...แน่นอนว่าเปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นมาในทันใด
ไฟเยอร์ อยู่ในปาร์ตี้ร้อนแรงดั่งไฟเยอร์ เธอสวยเซ็กซี่ฮอตยังกะฟายเยอร์!
“ไฟมาแล้ว!” หลินหยาเอ่ยขึ้นมาอย่างภาคภูมิสุด ๆ พัดมือเริ่มไล่ควันขึ้นไปมาก่อนจะยกหม้อดินขึ้นตั้งบนเตาเหมือนนักปรุงยาขั้นต้นในหอคัมภีร์สมุนไพร “ใส่น้ำสองส่วนต่อข้าวหนึ่งส่วน…งึม ๆ เอาล่ะประมาณนี้” เธอรำพึง ขณะกะปริมาณน้ำจากกะลามะพร้าวที่ใช้ตักราวกับกำลังรินน้ำลงเครื่องกลั่นยาอมแก้ไอโบราณ ระหว่างรอน้ำเดือดก็ไปล้างซาวข้าวสาลีไล่เศษไม้แล้วก็ฝุ่นออกจาเมล็ดให้เรียบร้อย พอน้ำเดือดปุด ๆ แล้วก็หันไปหยิบข้าวสาลีในถุงขึ้นมา มือหนึ่งส่ายถุงเบา ๆ มือหนึ่งลูบปลายคางอย่างนักวิจัย "มันคล้ายข้าว...แต่ไม่ใช่ข้าว…หน้าตาแบบนี้เหมือนเม็ดข้าวโพดกับงาขาวทะเลาะกันแล้วออกลูกมาอะ"
ท่าทางของเธอตอนนี้เหมือนคนที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง….หุงข้าว แต่ท่าทางเหมือนคนที่กำลังจะต้มเหล้าอย่างไรก็ไม่รู้จนชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่แทบกุมขมับ “แม่นาง..หุงข้าว ไม่ใช่กลั่นเหล้า" เสียงโหรว ซางเมิ่งดังขึ้นจากด้านหลังอย่างสุภาพแต่สั่นกล้ามเนื้อหน้าเบา ๆ
หลินหยาเบิกตากว้างทันที "อะไรนะเจ้าคะ!? แล้วจะไม่ให้ข้าคิดอย่างงั้นได้ไง! ข้าวสาลีคือวัตถุดิบของเหล้าท่านก็รู้! นี่มันเรียกว่ากลั่นได้เลยนะ!" นางพูดพลางคนข้าวในหม้อไปด้วยเหมือนจะค้นหาวิญญาณของเทพสุราในเมล็ด ชายหนุ่มทอดถอนใจเงียบ ๆ แต่ใบหน้าก็แอบอมยิ้ม "นี่มันข้าวไม่ใช่หมักโอ๊ค ถ้าแม่นางอยากหมักเอาไว้ตอนหลังเถอะ ตอนนี้หุงข้าว!"
หญิงสาวยักคิ้ว "น่าสนนะ…ถ้าเอาข้าวสาลีหุงสุกไปหมักแล้วเติมผลไม้ตามฤดูเข้าไป เช่น...ลูกหม่อนแดง ลูกพีชเหลืองสุกงอม หรือลิ้นจี่จากแคว้นใต้..." ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบศาสตร์ใหม่ของโลก แต่กลับทำเอาชายหนุ่มผมขาวเงินถึงกับลูบหน้าตัวเองขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดเรียบ ๆ ว่า "ขี้เหล้าจังนะ ตัวแค่นี้"
“อะไรเล่า! ข้าไม่ใช่ขี้เหล้า! ข้าแค่...ชอบทำเหล้าเองต่างหาก! ข้าชอบปลูกต้นไม้ที่กินได้ ชอบกินผลไม้หลายชนิด!” นางประกาศเสียงดังราวนักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่งพร้อมกับวักน้ำต้มข้าวขึ้นมาดูการขุ่นของน้ำราวกับกำลังจับเวลาให้วิญญาณสุราบรรจบกับปฐพี กลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวสาลีเริ่มลอยแตะจมูก มีกลิ่นนวล ๆ แฝงกลิ่นคล้ายถั่วปนข้าวโพดปิ้งจนหญิงสาวอดเงยหน้าดมไม่ได้
“.....อี๋..กลิ่นถั่ว..” ทำหน้าเหม็นแหวะนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เหมือนถั่วเหลืองแบบนั้น มันมีกลิ่นเฉพาะตัวหน่อย ๆ เพราะงั้นเลยจะยังพอโอเคได้อยู่ เธอจะพยายามไม่เฉียดไปใกล้ร้านทำเต้าหู้แน่ ๆ เมื่อข้าวเริ่มพองหลินหยาก็ค่อย ๆ เขี่ยไฟให้เบาอย่างตั้งใจ จ้องหม้อราวกับกำลังประเมินวิญญาณของมัน "พอเดือดแล้วเบาไฟใช่มะ เอาแบบตุ๋น ๆ เหมือนกำลังทำพะโล้กันเลยอ่ะสิ..ไม่สิ แค่ 1 ถึง 2 นาทีสินะ"
เมื่อข้าวสาลีในหม้อค่อย ๆ คลายความร้อนของไอร้อนที่ร้อนระอุแล้ว เปลวควันค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาแตะจมูกของเด็กสาว กลิ่นหอมของเมล็ดข้าวที่บานสะพรั่งเต็งเต็มเมล็ดราวดอกไม้แห่งฤดูร้อนหรือใบชาแห้งที่คลายตัวในจอกชาผสานกับควันไม้ถ่านที่อบอวลเต็มเตา หลินหยาหยิบทัพพีไม้ขึ้นมาตักข้าวช้อนแรกขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมโตเบิกนิด ๆ อย่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเมล็ดข้าวนั้นเต่งและแวววาวราวกับไข่มุกสีทองซีด ๆ มันดู...น่ากินกว่าที่คิดอีกนะเนี้ย
โหรว ซางเมิ่งเดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมกับชามไม้ใบหนึ่ง ยื่นมาตรงหน้าเธอ "อันนี้ของเจ้าล่ะ ลองชิมตอนที่อุ่น ๆ ร้อน ๆ จะดีที่สุดหอมแล้วก็นุ่มกว่าด้วย” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าแล้วรับชามมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะยกมือขึ้นพนมมือแทบจะไหว้กราบแนบพื้น “ข้าวเย็น! ได้กินสักกะที!!” ดูเหมือนว่าเธอจะหิวมาตั้งนานแล้วนะเนี้ย ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นขอบคุณอีกรอบแล้วโค้งให้จนเส้นผมของตนเองตกระคนแก้มสีระเรืองนั้นอย่างน้อย ๆ แต่ยังมีรอยเปื้อนจากถ่านอยู่เลยริมฝีปากคลี่ยิ้มสดใสอย่างหาได้ยาก "ขอบคุณมาก ๆ นะ เจ้าคะ ข้าจะลองชิมแน่นอน!" ดวงตาของเธอเปล่งประกายระยิบระยับจนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแจกข้าวให้ลูกกระต่ายในร่างคน
“ถ้าหลังจากนี้แม่นางมีอะไรสอบถามเกี่ยวกับการเดินทางก็ลองถามข้าดูนะ ข้าอยู่แถวนี้แหละ” ท่านชายคนนั้นเอ่ยขึ้นมาแต่ตอนนี้หลินหยาเหมือนจะฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เพราะหิวข้าวมากกว่า หลินหยาเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้นแต่ก็รีบพยักหน้าหงึก ๆ แทนการตอบรับ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไหวตามแรงลมยามค่ำที่เพิ่งย่างเข้าสู่ยามโหย่ว และการพบกันครั้งนี้ มันคือสิ่งที่จะส่งเธอให้ไปได้ไกลมากขึ้น
แต่เดี๋ยวนะ…
หลินหยารีบวางชามข้าวแล้ววิ่งไปหาอีกคนที่กำลังจะเดินออกแบบเท่ ๆ …เด็กสาวเด้งตัวลุกพรวดขึ้นเหมือนสปริงกระตุก ตะโกนลั่นกลางถนนจนแมวข้างทางสะดุ้งเผ่นหนี "เดี๋ยวก่อนคุณชาย! ไหนเงินข้าล่ะ!!" เสียงหวานกังวานขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทะลุทะลวงเข้าไปในจิตใจของชายหนุ่มที่คิดว่าจะเดินออกจากฉากไปอย่างเท่ ๆ จนต้องชะงักเท้าแล้วหันหลังกลับมาช้า ๆ
"...หืม?" เขาเลิกคิ้วพลางยิ้มอย่างเซ็ง ๆ แบบคนที่เพิ่งโดนเด็กสาวจับไต๋ไม่ให้ลืมจ่ายค่าจ้างแต่ความจริงเขาแค่แกล้งเล่นเฉย ๆ "ที่ตกลงกันไว้น่ะ! ว่าถ้าข้าฟังเจ้าพูดจะได้ตังค์!" หลินหยาเดินดุ่ม ๆ เข้ามาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจราวกับผู้ตรวจการของกรมการเงินกลางสวรรค์ มือกอดอก คิ้วขมวดอย่างมีศักดิ์ศรีของหญิงสาวผู้ทำงาน(?) แลกเงินด้วยหัวใจ
ซางเมิ่งถอนหายใจอย่างยาวเหยียดราวกับจะปล่อยลมวิญญาณออกไปทั้งตัว "เหนื่อยกับเด็กชอบเงินจริง ๆ ให้ตายเถอะ หิวเงินเวอร์..." แต่ก็ยังไม่ลืมคำพูดตัวเอง เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วควักของสารพัดจากกระเป๋าหนังข้างเอวออกมา พร้อมกับร่ายเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนพ่อค้าในตลาดเช้า
เสียง กริ๊งง ของเหรียญทองหนัก ๆ ดังขึ้นในมือหญิงสาวพร้อมกับเหรียญตำลึงทองถึงห้าเหรียญสวยงามวาววับเหมือนเพิ่งออกจากโรงหลอม และตามติดด้วยเสียงกระทบกันของเหรียญทองแดงอีกสองร้อยเหรียญ อีแปะร่วงใส่ฝ่ามือเธอจนเกือบล้น ไหนจะกระเป๋าขนาดกลางหนึ่งใบ..ห่ออาหารยังชีพ!! โอ้ววว สุดยอดเลยเว้ยย นี้มันลาภปากสุด ๆ หลินหยารีบคว้าของทุกอย่างมากอดแน่นเหมือนคนไทยเพิ่งชนะล็อตเตอรี่ถูกหวยรางวัลที่ 1 สัก 10 ใบ ไม่ใช่มิจจี้จริง ๆ ด้วย กรี๊ดดดด ดวงตากลมโตกระพริบวิบวับเหมือนมีประกายดาวห้าดวงเปล่งประกายออกจากม่านตา "โอ๊ยย! ขอบใจขนาดดดท่านชายย!" เธอพูดเสียงหวานลั่น แล้วโค้งให้เขาอย่างเว่อร์ ๆ จนเกือบหัวโขกพื้น
นี้สินะ ลาภลอย(?) …ใช่หรอวะ?

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: +50 พลังใจ , +5 ตำลึงทอง , +200 อีแปะ , +25 EXP
กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ , ห่ออาหารยังชีพ(50) 1 ห่อ (เก็บไว้เปิดใช้ยามฉุกเฉิน)