เจ้าของ: Admin

[ตลาดตะวันออก]

[คัดลอกลิงก์]

2

กระทู้

17

ตอบกลับ

583

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
519
ตำลึงทอง
1
ตำลึงเงิน
89
เหรียญอู่จู
11170
STR
0+2
INT
0+0
LUK
0+7
POW
0+0
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
44
ความชั่ว
0
ความโหด
29
โพสต์ 2025-5-29 18:11:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ถนนสิบลี้

จัตุรัสกลางเมือง

จัตุรัสกลางเมืองอยู่ไม่ไกลจากจวนเว่ยมากนัก ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ผู้คนยิ่งมากมายเท่านั้น หลันหรูเบียดเสียดเข้าไปกลางผู้คนเรื่อยๆ เสียงตะโกนเรียกให้เข้ามาดูแผง เสียงคนขายน้ำตาลปั้น กลิ่นซาลาเปาปั้นสด เกี๊ยวข้างทางชวนให้อยากเข้าไปในทุกที่

"ลบไปเจ้าขอทาน!" เหม่อลอยไม่นานหลันหรูกลับถูกกระแทกชนจากสตรีสองนางผู้หนึ่งแต่งกายสีเหลืองอ่อน อีกผู้หนึ่งสีใบไผ่ "อย่ามาขวางทางคุณหนูของข้า! สกปรกยิ่งนัก!"

ดูจากสายตาที่มองมาที่นางคำก็ขอทาน สองคำก็ขอทาน! หลันหรูเมื่อรับรู้ว่าหมายถึงตนแม้จะหัวเสียแต่ก็ต้องก้มหน้ายอมรับ เพราะนางยังสวมชุดข้ารับใช้ชายของห้องซักรีดอยู่เลย ทั้งยังสตรีที่แม่นางทั้งสองปกป้องอยู่นั้นแต่งกายหรูหราดูอย่างไรก็น่าจะสูงศักดิ์ นางโต้ตอบไปมีแต่เสียกับเสีย หลันหรูจึงได้แต่ก้มศรีษะถอยออกมา

“ขออภัยเจ้าคะ” มือบางกุมตรงประสานหน้าท้องแน่น ห้มหัวเม้มปากอย่างไม่พอใจนัก ช่างขายหน้ายิ่ง ผู้คนหลากหลายมองมาที่นางอย่างเหยียดหยาม

เมื่อสตรีทั้งสามสบัดหน้าไปทางอื่นหลันหรูที่ยืนค่อมตัวอยู่นานจึงค่อยๆก้าวออกจากตรงนี้นางควรหาที่แลกเงินเพื่อที่จับจ่ายใช้สอย นางมีเพียง 15 ตำลึงทองที่นายท่านเคยให้ แต่หลันหรูรับรู้มาว่าไม่ควรนำตำลึงทองมาใช้สอยไปเรื่อย ผู้คนยิ่งมากโจรยิ่งเยอะตาม โดยเฉพาะนางที่เคยโดนโจรปล้นมาแล้ว หลันหรูพอจะรู้ที่มาของตนอยู่บ้างว่าเหตุใดต้าซือหม่าผู้นั้นถึงได้ช่วยนางไว้

"หลานเอ้อห์ วันนี้กินอะไรรึยังจ๊ะ ถังหูลู่ไหมเดียวลุงซื้อให้" เสียงชายผู้หนึ่งกำลังนั่งทับเท้าคุยกับเด็กเล็กที่มีมารดาจูงมาคุยด้วยน้ำเสียงเอ็นดูไม่น้อย หลันหรูมองไปตามดูเหมือนเขาจะขายกระเป๋าสัมภาระ นางคิดว่าตนเองควรจะซื้อสักใบจึงเดินเข้าไปดู

"ท่านลุงข้ามีนามว่าเจียงหลาน ไม่ใช่หลานเอ้อห์ ใช่ไหมเจ้าคะท่านแม่" เด็กน้อยสับสนมึนงงหันขึ้นไปมองหน้ามารดาของตน ได้ยินเช่นนั้นหลันหรูก็อดยิ้มตามไม่ได้หันไปมองกลุ่มสนทนาตรงนั้นอย่างเอ็นดู

"ท่านลุงเขาเอ็นดูลูกเลยเรียกเจ้าเช่นนั้นอย่างไรเล่า"

"ใช่แล้ว หากผู้ใหญ่เรียกชื่อเจ้าลงท้ายด้วยเอ้อห์นั้นเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าและเอ็นดูเจ้าไม่น้อย หากเป็นชายโตขึ้นก็จะได้ชื่อรองในพิธีสวมหมวกไว้เรียกกันทั่วไป ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แต่กำเนิดก็ให้คนที่เจ้าสนิทเรียก"

"หากข้าเป็นหญิงข้าจะได้ชื่อรองด้วยหรือไม่เจ้าคะ?" เด็กน้อยถามอย่างไร้เดียงสา

"ฮ่าๆ สตรีน่ะไม่มีหรอก มีเพียงชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้โดยกำเนิดไปชั่วชีวิต ใช่หรือไม่แม่นาง?" อยู่ๆชายหนุ่มเกศาขาวผู้นั้นก็หันมาถามนาง ทำให้หลันหรูรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชราภาพถึงขนาดเรียกเป็นลุงได้เลย ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มเป็นมิตรหันไปคุยกับเด็กน้อย

“ใช่แล้ว ชายมีพิธีสวมหมวก สตรีมีพิธีปักปิ่นหากเจ้าถึงวัยปักปิ่นก็จะได้ปักปิ่นสวยๆ แต่งตัวงามๆไม่ดีหรือ” นางพูดตะลอมเด็กน้อยที่ดูเหมือนจะเสียดายที่ตนจะไม่มีชื่อรอง

"ดีเจ้าคะ ท่านแม่! ข้าอยากได้ปิ่นที่ประดับเหมยฮวา ใส่อาภรณ์สีชมพูจากร้านซือโฉวที่ท่านแม่เคยพาไป!"

“ร้านซือโฉว?” หลันหรูถามอย่างสงสัย

"ร้านซือโฉวเป็นร้านขายอาภรณ์และเครื่องประดับเจ้าคะ มีแต่ของสวยๆ พี่สาวก็น่าจะไปร้านนั้นนะเจ้าคะ พี่สาวถ้าแต่งตัวงามๆท่านต้องงามมากแน่ๆ ขนาดตอนนี้ท่านยังเหมือนเทพธิดาจำแลงกายมาเลย!"

“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง”

"แหะๆ งั้นข้าไม่บังร้านท่านลุงแล้ว ไว้เจอกันนะคะท่านลุงโหรว พี่สาว" ได้ยินเช่นนั้นหลันหรูก็โบกมือลาเด็กน้อยก่อนจะหันมาดูสัมภาระที่ตนต้องการซื้อต่อ

"กระเป๋าขนาดเล็กสุด 8 ตำลึงทองนะแม่นาง หากซื้อวันนี้ข้าแถมกระเป๋าให้อีกหนึ่งใบถ้าเจ้าว่างหุ้งข้าวให้ข้าสักหม้อ" นางหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายพลางคุยเล่น

“แม้ข้อเสนอดีจริงเชียว กระเป๋าหนึ่งใบแลกกับหุ้งข้าวให้งั้นรึ? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะหุ้งข้าวเป็น” นางถามยั่งเชิง

"นั่นอาภรณ์ข้ารับใช้จวนเว่ยมิใช่รึ เห็นเช่นนี้ข้ามีสายตากว้างขวางนัก ถึงเจ้าจะสวมอาภรณ์ชายก็เถอะ ไม่น่าเชื่อว่าจวนเว่ยจะจ้างสตรีเป็นข้ารับใช้" คำถามของเขาทำเอารอยยิ้มนัยน์ตาของหลันหรูหายไป นางไม่ค่อยชอบให้ใครมาล้วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนางเท่าใดนัก

“ท่านช่างมีความรู้กว้างขวางแท้ เช่นนั้นข้าต้องไปเยือนร้านอาภรณ์ซือโฉวที่หนูน้อยเจียงหลานผู้นั้นว่าในเร็วๆนี้เสียแล้ว”

"โอ้!ดีเลย ร้านนั้นอยู่ตรงหัวมุมสุดซอยนี้เองแม่นาง"

“ท่านช่างใจกว้างยิ่งนักเช่นนั้นเอาตามที่ท่านว่า ข้าหุ้งข้าวให้ท่าน พร้อมขอสัมภาระใบเล็กหนึ่งใบ” ทันทีที่เอ่ยเช่นนั้นหลันหรูก็เดินไปที่มุมของแผงหุ้งข้าวไว้ให้เขา “ผ่านไปสักครึ่งชั่วยามน่าจะทานได้แล้ว ท่านอย่ามัวแต่ขายของจนลืมล่ะ”

"ได้เลย!" ว่าแล้วหลันหรูก็ควักก้อนตำลึงทองออกมาแปดก้อนอย่างน่าเสียดายก่อนจะลอบถอนหายใจ

“ท่านรู้หรือไม่ว่าร้านแลกเงินอยู่ที่ใด” ก่อนอื่นก็ต้องแลกเงินก่อนถึงจะไปซื้ออย่างอื่นได้

"ใกล้ๆร้านอาภรณ์ที่เจ้าจะไปเลยแม่นาง"

“ขอบคุณท่านมาก” นางกล่าวพร้อมค่อมศรีษะอย่างสุภาพให้เพื่อขอตัวออกไป

ช่างเป็นสัมภาระที่ราคาแพงอะไรเยี่ยงนี้!



เอฟเฟคพรสวรรค์ลาภลอย : มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

:: ภารกิจมือใหม่ ::
รางวัล: +50 พลังใจ , +5 ตำลึงทอง , +200 อีแปะ , +25 EXP กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ , ห่ออาหารยังชีพ(50) 1 ห่อ (เก็บไว้เปิดใช้ยามฉุกเฉิน)

ซื้อกระเป๋า: กระเป๋าขนาดเล็ก (ขยายช่อง 10 ช่อง) 8 ตำลึงทอง

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 25 EXP โพสต์ 2025-5-29 18:13
โพสต์ 16668 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-5-29 18:11
โพสต์ 16,668 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 เกียรติยศ +6 ความศรัทธา จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-5-29 18:11

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +5 เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Admin + 50 + 5 + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ขลุ่ย
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x4
x1
x33
x1
x42
โพสต์ 2025-6-1 16:32:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด







วันที่ 31 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11
ยามอู่ (เวลา11.00 น.)



ขบวนทัพของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งเคลื่อนตัวออกจากพระราชวังผ่านประตูเมืองใหญ่และถนนสายสำคัญ จนกระทั่งเข้าสู่ย่านจัตุรัสกลางเมืองฉือจิ่งชานอันเป็นใจกลางแห่งความเจริญรุ่งเรืองแห่งฉางอัน

เมื่อเสียงกีบม้าและฝีเท้าทหารเริ่มดังขึ้นแต่ไกล ชาวเมืองมากหน้าหลายตาก็เริ่มทยอยออกจากบ้านเรือน บ้างออกมาจากร้านค้า บ้างมายืนกันบนระเบียงหรือริมทาง ท่ามกลางเสียงตะโกนเรียกกันเบา ๆ และกระซิบกระซาบในขณะมองดูกองทัพ

เด็ก ๆ วิ่งนำกลุ่มผู้ใหญ่ มองดูเหล่าทหารด้วยสายตาชื่นชม บางคนโบกผ้าเล็ก ๆ ในมือ บางคนยื่นดอกไม้ หรือขนมอบจากร้านหน้าตลาดมาให้ทหารที่เดินผ่าน หญิงชรา คนเฒ่าคนแก่ ยืนพนมมือส่งคำอวยพร แม่ค้าในตลาดหยุดชั่งของ ยกมือป้องปากแล้วตะโกนเสียงแหบแห้ง

“ขอให้ปลอดภัย! กลับมาพร้อมชัยชนะ!”

พ่อค้าหนุ่มยื่นน้ำชาให้ทหารที่เดินแถวใกล้ริมถนน เสียงตะโกน “ทัพต้าฮั่นจงเจริญ!” ดังขึ้นเป็นระยะ แทรกอยู่ในเสียงฝีเท้าทหารและเสียงล้อเกวียน

ซิ่วอิงที่เดินแถวอยู่ในกองทัพ หันมองไปรอบกายอย่างระมัดระวังตามหน้าที่ กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งที่ทำให้นางต้องกะพริบตาปริบ ๆ ที่ด้านหน้าขบวนทัพใกล้กับแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งบนหลังม้าขาว เริ่มมีแม่นางชาวเมืองจำนวนหนึ่งวิ่งกรูออกจากฝูงชน ราวกับทนไม่ไหวต่อเสน่ห์และความสง่างามของแม่ทัพหนุ่มผู้เลื่องชื่อ พวกนางแต่ละคนนำดอกไม้สดสีสวย บ้างเป็นช่อดอกเหมย บ้างเป็นกลีบดอกบัวก่อนจะยื่นให้แม่ทัพฮั่วด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยและแก้มแดงระเรื่อ

แม่ทัพฮั่วรับดอกไม้ไว้ด้วยความนอบน้อมและอัธยาศัยดี มิได้แสดงอาการรังเกียจหรือหลบหลีก หากแต่ยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้พอเหมาะ แม้รอยยิ้มนั้นจะปรากฏเพียงชั่วพริบตา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้แม่นางผู้มอบดอกไม้ให้ถึงกับไปไม่เป็นหันหลังกลับไปวิ่งหนีด้วยความเขินอาย ราวกับหัวใจจะหลุดออกจากอก

ซิ่วอิงมองภาพนั้นตาโตเล็กน้อย ก่อนหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะเบือนหน้ากลับมาข้างหน้าแล้วพึมพำกับตัวเอง

“แม่ทัพฮั่วนี่ใช่ย่อยแฮะ...” แม้จะกล่าวเช่นนั้นอย่างขบขัน แต่ภายในใจนางกลับรู้สึกได้ถึงบารมีและความน่าเคารพของชายผู้นั้น

เด็ก ๆ ยังคงโบกมือส่งเหล่าทหาร บางคนตะโกนชื่อพ่อหรือพี่ชายของตนด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาแต่เปี่ยมด้วยรัก แม่นางบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้เงียบ ๆ พลางโบกมือลาพ่อและสามีของตน

ซิ่วอิงเดินในแถวทหารด้วยก้าวที่มั่นคง ท่ามกลางเสียงอำลาและกลิ่นฝุ่นคละเคล้ากับกลิ่นดอกไม้ในอากาศ จู่ ๆ สายตาของนางก็สะดุดเข้ากับใบหน้าหนึ่งในฝูงชน นั่นคือ หรงป๋อเหวิน พี่รองของนาง ที่ยืนแทรกอยู่ท่ามกลางฝูงชนริมถนน แม้ไม่ได้แต่งชุดเต็มยศดั่งขุนนาง แต่แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงที่ไม่อาจปิดบังได้ ดวงตาของพี่น้องทั้งสองสบกันชั่วขณะ ก่อนที่เสียงของเขาจะตะโกนฝ่าฝูงชนขึ้นมาอย่างหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความรัก

"น้องสี่! เจ้าต้องรอดกลับมานะ!"

ซิ่วอิงไม่ได้ตะโกนตอบ นางเพียงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าให้เขาช้า ๆ และส่งรอยยิ้มกลับไป เป็นรอยยิ้มที่สื่อว่า “ข้าจะกลับมาแน่นอน...ไม่ต้องห่วง”

พี่ชายของนางยังคงมองตามแผ่นหลังของนางด้วยความกังวล ส่วนซิ่วอิงหันกลับมาสู่แถว พลางเหลือบมองฝูงชนอีกครั้ง ดวงตาของนางไล่หาบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่ง คุณชายตงฟาง...สหายเพียงคนเดียวของนางในเมืองหลวง แต่น่าเสียดาย...ในหมู่ใบหน้านับร้อย ไม่มีแม้แต่เงาของเขาปรากฏให้เห็น

ซิ่วอิงกลั้นลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนเบือนหน้ากลับมา ขบวนทัพเคลื่อนออกจากเมืองโดยไม่มีการหยุดพัก ทหารม้าอยู่ด้านหน้า ทหารเดินเท้าตามหลังอย่างเป็นระเบียบ ล้อเกวียนเสบียงหมุนไปอย่างไม่เร่งรีบ

เมื่อผ่านประตูเมือง เสียงประชาชนเริ่มเลือนหายอยู่เบื้องหลัง เหลือเพียงเสียงลมและเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารที่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ชะตากรรมรอพวกเขาอยู่…



เดินทางออกจากเมืองหลวง

@Admin 






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14206 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 16:32
โพสต์ 14,206 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +2 เกียรติยศ +2 ความศรัทธา จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-1 16:32
โพสต์ 14,206 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +5 เกียรติยศ +5 ความศรัทธา จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-1 16:32
โพสต์ 14,206 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +4 เกียรติยศ จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-1 16:32
โพสต์ 14,206 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +4 เกียรติยศ จาก เกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-1 16:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
ง้าวปีศาจปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x11
x1
x63
x44
x42
x1
x18
x28
x15
x10
x30
x20
x2
x1
x10
x76
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x114
x4
x4

6

กระทู้

44

ตอบกลับ

3240

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2436
ตำลึงทอง
124
ตำลึงเงิน
321
เหรียญอู่จู
14713
STR
5+1
INT
15+0
LUK
5+7
POW
5+0
CHA
0+0
VIT
0+10
คุณธรรม
377
ความชั่ว
12
ความโหด
217
โพสต์ 2025-6-1 17:11:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-6-1 17:15








ณ จตุรัสฉือจิ่งฉาน

1 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามซื่อ < 09.00  น. - 10.59 น. >


เวลาคล้อยผ่านไปอย่างไม่รีบร้อน ลมเย็นพัดพลิ้วให้ชายแขนเสื้อบางขององค์ชายน้อยสะบัดเบา ๆ ไปตามจังหวะย่างก้าว เขาเดินทอดน่องออกจากโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง โดยยังไม่ลืมลูบคลำกระดองเต๋าในอกเสื้อด้วยความรู้สึกครึ่งจริงจังครึ่งเล่นสนุก


เมื่อก้าวเข้าสู่ถนนสิบลี้ ดวงตากลมดุจหยกดำก็เบิกกว้างโดยอัตโนมัติ สองข้างทางคึกคักเต็มไปด้วยร้านค้า แผงลอย และพ่อค้าแม่ขายเสียงดังจอแจราวฝูงนกกระเรียนโต้คลื่น เหมาะสมแล้วที่คนเรียกกันว่า “เส้นเลือดของฉางอัน”


กลิ่นหอมของซาลาเปาไส้หมูลอยมาตีจมูกข้างหนึ่ง อีกข้างก็โดนกลิ่นหอมฉุนของยาเป่าท้องเสียจากร้านข้าง ๆ ตีสวน ความวุ่นวายแปรเปลี่ยนเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของถนนสายนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์


เด็กชายกำลังจะโน้มตัวลงไปดูแผงขายของเล่นไม้หมุนสีสดตรงมุมถนน ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมาทางด้านหลัง


"โอ๊ย เจ้าหนูยุคนี้นี่ช่างเสียธรรมเนียมนัก! เดินดุ่ม ๆ มาไม่รู้จักขานชื่อให้ถูกต้อง จะให้คนสูงวัยอย่างข้าทำอย่างไรเล่า!"


เสียงนี้ไม่คุ้นหูนัก แต่หรูเสวียนก็ชะงักฝีเท้า หันไปมองด้วยความสงสัย ปรากฏภาพของชายหนุ่มผมขาวสะอาดคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงลานจตุรัสกลางเมือง ชุดคลุมสีฟ้าหม่นปลิวไสว มือหนึ่งถือพัด อีกมือจับกระบี่ไม้จันทน์ไว้แน่น สีหน้าผู้นั้นไม่แสดงความโกรธ แต่เต็มไปด้วยความเอือมระอาอย่างใจดี


เด็กชายขยับเดินเข้าไปใกล้ แล้วประนมมือไหว้เล็กน้อยอย่างที่เคยทำเวลาอยู่ต่อหน้าหวงไท่โฮ่ว “ท่านลุง ท่านว่าข้าหรือขอรับ?”


บุรุษผมขาวเหลือบตามอง เขามีแววตาเหมือนคนอ่านหนังสือมาสามหอสมุด แต่ยังไม่เบื่อชีวิต “เด็กไม่คุ้นหน้า... มาจากต่างเมืองกระมัง?”


หรูเสวียนพยักหน้าเร็วไว “ขอรับ ข้ามาจากเมืองใต้ พึ่งเดินทางมาถึง ไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมเมืองหลวงเลย อยากให้ท่านผู้อวุโสชี้แนะด้วยเถิด”


ชายผู้นั้นถอนหายใจเหมือนคนเพิ่งเจอเด็กมีสัมมาคารวะ “ชื่อข้า โหรว ซางเมิ่ง เป็นทูตผู้ดูแลนักเดินทางใหม่ของฉางอัน เด็กน้อย เจ้าชื่อว่าอย่างไร?”


หรูเสวียนสบตาเขาอย่างเปิดเผย ก่อนจะยืดอกตอบอย่างมั่นใจ “ข้าชื่อ เสวียนอิ๋งขอรับ!”


“เสวียนอิ๋งหรือ... เป็นนามรองใช่หรือไม่?”


เด็กชายพยักหน้า แม้จะเพิ่งคิดสด ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วยาม แต่ก็ตอบด้วยสีหน้ามั่นคงราวใช้ชื่อนี้มาแรมปี


ซางเมิ่งยิ้มบาง ๆ ก่อนจะนั่งยองลงให้สายตาเสมอกับเด็กชาย “เจ้าฟังให้ดีนะ เด็กน้อย การขานชื่อมีธรรมเนียมของมันในแผ่นดินนี้อยู่”


เสียงของเขาเรียบ นุ่มนวล แต่แฝงด้วยวินัยดั่งกระบี่ที่ถูกลับอย่างดี


“ชื่อคนเรามีสามแบบ — ชื่อทางการ ใช้ในงานพิธี บันทึก และเอกสารราชการ มักตามด้วยคำว่า ‘เอ๋อห์’ เช่น ‘หลิวเอ๋อห์’ หากผู้นั้นยังเยาว์ หรือเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น”


หรูเสวียนพยักหน้าตาแป๋ว จดจำทุกถ้อยคำราวท่องตำราพิชัยสงคราม


“นามรอง หรือ ‘จื่อ’ ใช้ในวงสนทนากว้างขวาง เจ้าเพิ่งแนะนำตัวเองว่า เสวียนอิ๋ง นั่นคือจื่อของเจ้า — และสุดท้าย ชื่อสกุล นั้น เมื่อเพิ่งพบกัน เราจะไม่เอ่ยชื่ออีกฝ่ายตรง ๆ ให้เรียกว่า คุณชาย หรือ แม่นาง ตามด้วยแซ่ เช่น ‘คุณชายหลิว’ เข้าใจหรือไม่?”


“เข้าใจแล้วขอรับ!” เด็กน้อยยิ้มแป้น ดวงตาแพรวพราวด้วยความสนุก


ซางเมิ่งหัวเราะในลำคอ แล้วลุกขึ้น “ดีมาก เด็กดีเช่นเจ้าหาได้ยาก”


จากนั้นเขาหยิบถุงผ้าขนาดเล็กยื่นให้เด็กชาย “นี่คือข้าวสาลี เจ้านำไปฝึกหุงข้าวเองที่เตาตรงมุมนั้น เตากับถ่านอยู่ครบ ลองทำดูสิ แล้วข้าจะประเมิน”


หรูเสวียนรับถุงข้าวอย่างตื่นเต้นราวกับได้รับสมบัติในวังหลวง เขาก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังแผงหุงข้าวที่ตั้งอยู่ริมลานจตุรัส ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ที่ใบไหวคลอนเบา ๆ ตามแรงลม


มีกระทะเหล็กเล็กหนึ่งใบ ถ่านก่อไฟไว้พอดีอุ่น และหม้อเล็กวางรออย่างท้าทาย เด็กน้อยเทข้าวสาลีออกมา ล้างน้ำอย่างเบามือตามที่เคยเห็นนางกำนัลทำในครัววัง เขาเคาะปลายนิ้วกับขอบหม้อเหมือนพ่อครัวเอก แล้วเทน้ำใส่ลงไปอย่างพอดีไม่ขาดไม่เกิน


กลิ่นข้าวหอมลอยขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไป เขาก้มดมด้วยสีหน้าจริงจัง ย่นจมูกเล็กน้อยแล้วหรี่ตาเหมือนกำลังตัดสินว่ามันสุกพอหรือยัง


“อีกนิดเดียว...” เขาพึมพำกับตัวเอง แล้วหรี่ไฟลงตามสัญชาตญาณ ก่อนจะปิดฝาทิ้งไว้ให้ไอน้ำอบเม็ดข้าวต่ออีกชั่วขณะ


ในที่สุด เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นหอมของข้าวสุกใหม่ก็ฟุ้งกระจาย เด็กชายยิ้มราวเพิ่งคว้าชัยชนะในสนามรบครั้งใหญ่ เขาตักใส่ชามเล็กแล้วเดินกลับไปหาทูตซางเมิ่งด้วยท่าทางภูมิใจนัก


“เชิญท่านลุงลองชิมได้เลยขอรับ!”


ซางเมิ่งรับชามมา ช้อนข้าวขึ้นชิมช้า ๆ แล้วพยักหน้า


“เม็ดข้าวฟู นุ่ม กลิ่นดี... เจ้ามีฝีมือดีนัก เด็กน้อย”


หรูเสวียนยิ้มตาหยีอย่างอารมณ์ดี เหมือนลูกหมาที่เพิ่งโดนลูบหัวแรง ๆ


ในใจเขาอดคิดไม่ได้ว่า... หากวันหนึ่งต้องออกจากวัง... การเป็นพ่อครัวในโรงเตี๊ยมก็ดูจะไม่เลวทีเดียว



เสียงช้อนกระทบชามข้าวดังเบา ๆ เคล้ากับกลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวสุกที่ยังลอยอ้อยอิ่งในลานจตุรัสกลางเมือง ซางเมิ่งวางชามลงข้างตัว มองเด็กชายตรงหน้าด้วยแววตาแฝงรอยยิ้มพึงใจ จากเด็กแปลกหน้าในเสื้อผ้าเก่าเก็บ มาบัดนี้กลับแสดงให้เห็นทั้งมารยาท ความสามารถ และความเฉลียวฉลาดเกินวัยโดยมิได้อวดโอ่


“ว่าแต่เจ้า...” ทูตหนุ่มผมขาวเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตากวาดไปทางถุงข้าวสาลีที่ยังเหลืออยู่ “เจ้ามีกระเป๋าไว้เก็บของหรือไม่?”


ได้ยินคำถามเช่นนั้น เด็กชายก็ไม่รีรอ มือเล็กควักกระเป๋าผ้าสีซีดใบหนึ่งออกมาจากชายเสื้อ ดูเผิน ๆ ก็เป็นเพียงถุงผ้าธรรมดาที่เย็บด้วยมือ และปะชุนไว้หลายจุดจนแทบจำรูปเดิมไม่ได้ ทว่าเจ้าตัวกลับยื่นมันให้ดูด้วยความภาคภูมิใจราวกับเป็นหีบสมบัติวังหลวง


“นี่ขอรับ กระเป๋าคู่ใจของข้า!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมชีวิตชีวา


ซางเมิ่งเลิกคิ้วขึ้น “กระเป๋าใบเดียวหรือ?” ชายหนุ่มผมขาวหัวเราะเบา ก่อนจะหยิบกระเป๋าหนังออกมาจากลังกระจายข้างตัว “หากเจ้าต้องการเพิ่ม ก็สามารถซื้อจากข้าได้นะ”


“ข้าเคยเห็นเด็กเดินทางใหม่หลายคนเลยล่ะ ที่ของเต็มกระเป๋าไปหมด จนไม่มีที่ใส่เสื้อผ้าหรือของสำคัญ” เขาว่าเสียงจริงจังแต่ยังแฝงความขบขัน “ข้าเลยแอบหารายได้เสริมด้วยการขายกระเป๋านี่แหละ แต่เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสด้วย เราจึงจำกัดโควต้าไว้ด้วยนะ”


ดรุณน้อยเริ่มเบิกตากว้าง แต่ยังคงฟังอย่างตั้งใจ


“แต่อย่าลืมนะ การแบกกระเป๋าหลายใบอาจลำบากนัก โดยเฉพาะเวลาเดินป่าหรือเดินทางไกล... อย่างไรก็ดี” ซางเมิ่งเว้นคำไปครู่หนึ่ง แววตาราวกับจะเปล่งแสงจากภายใน “ในโลกนี้ก็ยังมีของวิเศษอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่า แหวนดาราจรัส”


“แหวน?” เด็กชายทวนคำทันที “คือแหวนที่ใช้ใส่นิ้ว?”


“ใช่แล้ว” ซางเมิ่งพยักหน้าช้า ๆ “แต่ไม่ใช่แหวนธรรมดา มันสามารถเก็บของได้เป็นร้อย ๆ อย่างในวงแหวนเพียงวงเดียว ราวกับโลกอีกใบซ่อนอยู่ภายใน”


หรูเสวียนถึงกับอ้าปากน้อย อย่างทึ่ง


“ว่ากันว่า... แหวนวงหนึ่งเคยถูกนำขึ้นประมูลที่หอประมูลสือฟั่งเมื่อปีกลาย ราคาสุดท้ายที่ลงค้อนคือ สามร้อยเก้าสิบตำลึงทอง!”


แทบไม่ทันที่เสียงของทูตจะสิ้นสุด เด็กชายก็หน้าถอดสีแทบจะทันที เขาเบะปากนิด ๆ แล้วทำตาเศร้าราวกับเพิ่งสูญเสียข้าวกลางวัน


สามร้อยเก้าสิบตำลึงทอง... เขาทวนคำในใจอย่างสลด ทั้งตัวข้า รวมรองเท้าเก่า ๆ คู่นี้ ยังไม่ถึงร้อยตำลึงเสียด้วยซ้ำ!


ความฝันที่จะได้ของวิเศษในมือพลันละลายหายไปเหมือนหิมะตกในเปลวไฟ


“ถอดถอนใจอยู่หรือ?” ซางเมิ่งยิ้มขำ “ไม่เป็นไร ของล้ำค่าเช่นนั้นแค่ได้ยินก็สนุกแล้ว”


หรูเสวียนพยักหน้าเบา ๆ แต่จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมามองกระเป๋าที่อีกฝ่ายหยิบโชว์อย่างสงบนิ่ง


“เช่นนั้น... กระเป๋าที่ท่านมีล่ะ ราคาเท่าใด?”


ซางเมิ่งพยักหน้าช้า ๆ เหมือนรู้ทันความอยากรู้อย่างไม่มีพิษภัยของเด็กชาย “กระเป๋าขนาดเล็ก ราคาแปดตำลึงทอง คนหนึ่งซื้อได้สองใบ”


“ขนาดกลาง สองเท่าความจุ ราคาอยู่ที่สิบสองตำลึงทอง จำกัดหนึ่งใบ”


“ส่วนขนาดใหญ่ที่สุด ราคาอยู่ที่ยี่สิบตำลึงทอง เจ้าก็ซื้อได้แค่หนึ่งใบเช่นกัน”


ยังไม่ทันที่ซางเมิ่งจะได้พูดอะไรต่อ เด็กชายตรงหน้าก็ยิ้มหวาน แววตาเจ้าเล่ห์แวบวับเหมือนจิ้งจอกน้อย


“เช่นนั้น... ข้าขอเอาทั้งหมดเลยขอรับ!”


คำพูดนั้นทำเอาทูตนักเดินทางผงะเล็กน้อย “หา? เจ้า—เด็กตัวเท่าลูกหมาเช่นเจ้า จะมีเงินถึงขนาดนั้นได้อย่างไร”


ไม่พูดเปล่า หรูเสวียนล้วงเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมาอย่างอารมณ์ดี เสียงเหรียญกระทบกันดังกริ่งเหมือนบทเพลงหวาน หยิบออกมานับตรงหน้าอย่างใจเย็น


“แปดตำลึงทอง สองใบ รวมสิบหก ขนาดกลางหนึ่งใบ สิบสอง... และขนาดใหญ่ยี่สิบตำลึงทอง รวมแล้ว... สี่สิบแปดตำลึงทองพอดีขอรับ”


ซางเมิ่งตาค้างอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับมองเด็กแปลงร่างเป็นมังกรอยู่ตรงหน้า


“นี่... เจ้าขโมยใครมาหรือเปล่า”


หรูเสวียนหัวเราะพลางยื่นถุงเงินให้อีกฝ่าย “เปล่าเลยขอรับ นี่เป็นเงินที่บิดาของข้าให้มา เขาบอกว่า... จะนำไปซื้ออะไรก็ได้ ขอแค่ใช้ให้มีประโยชน์”


ทูตหนุ่มรับถุงเงินมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่สุดท้ายก็หัวเราะพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “เจ้านี่มันแปลกเกินไปแล้วจริง ๆ!”


ภายหลังสนทนาอีกเล็กน้อย หรูเสวียนก็ได้กระเป๋าใหม่ครบถ้วนทั้งสี่ใบ มีทั้งใบเล็กสอง ใบกลางหนึ่ง และใบใหญ่หนึ่ง มัดรวมกันไว้อย่างเรียบร้อยด้วยผ้าสีคราม ขณะเด็กชายกอดกองสัมภาระไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่สุด


ดวงตากลมดำมองไปยังท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีอำพันของยามเย็น ลมเย็น ๆ พัดมาพร้อมกลิ่นฟางแห้งจากตรอกไกล ๆ


“ขอบคุณท่านทูต... วันนี้ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจริง ๆ”


ซางเมิ่งยิ้มรับ “หากเจ้าฝึกดี วันหน้าอาจจะได้ครอบครองแหวนดาราจรัสก็ได้นะ”


องค์ชายผู้สวมรอยเป็นสามัญชนยิ้มรับคำอย่างไม่โต้ตอบ ดวงตาเปล่งประกายราวจะบอกว่า แม้วันนี้ยังไม่มีแหวนวิเศษ แต่เขาก็มีความมุ่งมั่นที่ไม่แพ้ใคร


และกระเป๋าใหม่ทั้งสี่ใบนี้… จะเป็นเพื่อนร่วมทางชิ้นแรกของการเดินทางอันยาวไกลในโลกกว้างที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า



เหมากระเป๋าทั้งหมด : 48 ตำลึงทอง - โอนเรียบร้อยแล้วฮะ


รับรางวัลเควส : +50 พลังใจ , +5 ตำลึงทอง , +200 อีแปะ , +25 EXP กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ , ห่ออาหารยังชีพ(50) 1 ห่อ


@Admin 


เปิดใช้งานพรสวรรค์


ลาภลอย 


- มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


(เผื่อจะมีข่าวลือของวิเศษสำหรับใส่ของอื่น ๆ...)

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 25 EXP โพสต์ 2025-6-1 18:05
เนื้อหาจดหมาย: เบาะแส พบเห็นนางแถวฉางอัน กำลังมาตรวจสอบข่าวลือ.... (คุณเห็นกระดาษอีกแผ่นแนบด้านหลัง ให้หลังโรลอ่าน)  โพสต์ 2025-6-1 18:05
มีจดหมายบางอย่างร่วงหล่น (หากมองเห็นโรลเปิดอ่านได้)  โพสต์ 2025-6-1 18:03
โพสต์ 34617 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 17:11
โพสต์ 34,617 ไบต์และได้รับ +6 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-1 17:11

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +5 เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Admin + 50 + 5 + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x38
x35
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10

6

กระทู้

44

ตอบกลับ

3240

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2436
ตำลึงทอง
124
ตำลึงเงิน
321
เหรียญอู่จู
14713
STR
5+1
INT
15+0
LUK
5+7
POW
5+0
CHA
0+0
VIT
0+10
คุณธรรม
377
ความชั่ว
12
ความโหด
217
โพสต์ 2025-6-1 20:35:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-6-1 20:50








ข่าวลืออีกแล้ว ?

1 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามซื่อ < 09.00  น. - 10.59 น. >


จตุรัสฉือจิ่งฉานในยามสายดูคึกคักเป็นพิเศษ แสงแดดส่องลอดเงาหลังคาเรือนและต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายริมถนนจนเกิดเงาทอดยาวเป็นแนว เด็กน้อยในชุดกระสอบเดินต้วมเตี้ยมไปตามลานหินที่อุ่นจากแดดจาง ๆ มือข้างหนึ่งสะพายกระเป๋าใบใหญ่ไว้บนไหล่ อีกข้างกอดกระเป๋าใบกลางไว้แน่น ขณะที่ใบเล็กสองใบถูกคล้องรวมกันไว้กับสายผ้าที่พันรอบเอวเป็นพวงตุง ๆ คล้ายคนเพิ่งออกจากตลาดใหญ่แล้วยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ


แต่จะหาทางกลับไปที่ใดกันล่ะ… เขาเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าวันนี้จะจบลงตรงไหน


“โฮ่... ด้ายแดงผูกชะตาหรือ” เด็กน้อยกระซิบกับตัวเอง ก้มหน้าดูพู่ไหมที่ห้อยตรงมุมแผงอย่างใคร่รู้ ก่อนจะเดินผ่านไปโดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมาสักชิ้น


หรูเสวียนเดินสำรวจเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ท่าทีสบายอกสบายใจราวกับเป็นลูกขุนนางที่พ่อแม่ปล่อยออกมาเดินเล่น แม้จะเดินผ่านแผงผลไม้สุกฉ่ำ แผงของเล่นกลไกจากเหล็กขัดมัน หรือแม้แต่ร้านที่โชว์ของเล่นพ่นควันได้จากฟืนไม้จริง เจ้าตัวก็เอาแต่มอง ตื่นเต้นในใจ แต่ไม่ยื่นมือแตะต้องหรือหยิบจับสิ่งใด นับว่าฝึกวินัยมาดีไม่ใช่น้อย


เขาหยุดมองภาพวาดพู่กันจีนที่แขวนเรียงรายบนผ้าใบ แล้วแวะดูลูกกลม ๆ ที่ช่างตีเหล็กสาธิตวิธีขัดกระบี่อยู่แวบหนึ่ง ทอดสายตาไปยังเหล่าเด็กน้อยวัยเดียวกันที่กำลังไล่จับกันรอบบ่อน้ำ สายตาเต็มไปด้วยความสนุกระคนอิจฉาเล็ก ๆ


“ข้าเองก็อยากจะไล่จับแบบนั้นบ้างนะ...” เด็กชายพึมพำเบา ๆ พลางเบือนหน้าหนี เหมือนปิดบังความอยากไว้ในเสื้อ



ระหว่างที่เดินดูของไปเรื่อย เจ้าหนูก็หยุดกะทันหันเมื่อสายตาจับจ้องไปยังสิ่งบางอย่างบนพื้นหินด้านหน้าร้านขายสมุนไพรเก่า


“หือ?” เขาโน้มตัวลงชะโงกดู


แผ่นกระดาษสีขาวร่วงอยู่ตรงนั้น ปลายกระดาษมีรอยพับและรอยเปื้อนเล็กน้อยเหมือนโดนเหยียบ แต่กระนั้นตัวอักษรบนหน้ากระดาษก็ยังปรากฏชัด


เด็กชายกวาดสายตามองซ้ายขวา ใต้เพิงร้าน ไม่มีผู้ใดมองมาทางนี้ ไม่มีท่าทีว่าใครลืมของ เจ้าตัวจึงค่อย ๆ หยิบกระดาษขึ้นมาพลิกดู


ไม่มีชื่อ ไม่มีผู้ส่ง ไม่มีแม้กระทั่งตราประทับ เขาเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นเหมือนกำลังตีโจทย์


เนื้อความมีเพียงไม่กี่บรรทัด สั้นยิ่งกว่าจดหมายน้อยจากเด็กวัยสามหนาวถึงแม่ทัพในสนามรบ


เบาะแส พบเห็นนางแถวฉางอัน กำลังมาตรวจสอบข่าวลือ...


นาง?


คิ้วบางขององค์ชายน้อยขมวดเข้าหากันทันทีอย่างเคยชินเมื่อเจอเรื่องชวนกังขา ดวงตากลมโตไล่อ่านอักษรที่จางเป็นบางจุดราวกับหวังว่ามันจะเผยความลับที่ซ่อนไว้ให้แจ่มชัดขึ้น


“นางไหนกัน...” เขาพึมพำในลำคอ “แล้วข่าวลือไหนอีกล่ะ วันนี้ทั้งวันข้ามีแต่ข่าวลือ!”


ราวกับฟ้าดินแกล้ง เขาค่อย ๆ สะบัดจดหมายให้คลายตัวก่อนจะพบว่าที่ด้านหลังกระดาษ ยังแนบไว้อีกแผ่น…


“หือ?” เจ้าหนูกระพริบตาปริบ “มีอีกแผ่น”


มือเล็ก ๆ ค่อย ๆ แงะกระดาษซ้อนนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง…


@Admin 


เปิดใช้งานพรสวรรค์


ลาภลอย 


- มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

(ข้อความใต้รูปวาด หากพบเจอสตรีในภาพ มาส่งข่าวทิ้งไว้ที่ สุสาน เซี่ยงเส้าหลง  โพสต์ 2025-6-1 21:13
(ค่าหัว 30 ตำลึงทอง https://i.imgur.com/9PjM075.jpeg)  โพสต์ 2025-6-1 21:12
โพสต์ 12473 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 20:35
โพสต์ 12,473 ไบต์และได้รับ +4 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-1 20:35
โพสต์ 12,473 ไบต์และได้รับ +5 เกียรติยศ +4 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-6-1 20:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x38
x35
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10

6

กระทู้

44

ตอบกลับ

3240

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2436
ตำลึงทอง
124
ตำลึงเงิน
321
เหรียญอู่จู
14713
STR
5+1
INT
15+0
LUK
5+7
POW
5+0
CHA
0+0
VIT
0+10
คุณธรรม
377
ความชั่ว
12
ความโหด
217
โพสต์ 2025-6-1 23:49:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด







เรื่องที่น่าสงสัย

1 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามซื่อ < 09.00  น. - 10.59 น. >


เมื่อลมโชยผ่านพ้นอย่างแผ่วเบา เส้นผมสีดำขลับขององค์ชายน้อยก็สะบัดพลิ้วตามแรงลมอย่างพลอยไหว เด็กชายผู้แสร้งเป็นสามัญชนยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่กลางจตุรัสฉือจิ่งฉาน ดวงตากลมดำแนบสนิทกับแผ่นกระดาษในมือ มุมปากที่เคยยิ้มอยู่ตลอดวันพลันนิ่งงันลงชั่วขณะเมื่อสายตากวาดผ่านเนื้อความในแผ่นที่แนบอยู่หลังจดหมายเดิม


เมื่อเด็กชายค่อย ๆ พลิกกระดาษอีกแผ่นอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วเล็กแตะลงบนผิวกระดาษอย่างระแวดระวัง เสี้ยววินาทีที่สายตากวาดผ่านเนื้อหาที่เขียนด้วยหมึกสีหม่น องค์ชายน้อยก็ชะงักเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะลม แต่เป็นเพราะถ้อยคำหนึ่งบนนั้น…


“ค่าหัว: 30 ตำลึงทอง”


หรูเสวียนกะพริบตาปริบ ๆ พลางโน้มหน้าลงไปใกล้ภาพวาดที่ปรากฏแนบอยู่ด้านล่างถ้อยคำนั้น


เป็นภาพของสตรีผู้หนึ่ง... ดวงหน้านิ่งงันแต่ดูอ่อนช้อย ผิวพรรณดูแล้วคงขาวราวหยกน้ำค้าง ผมยาวสลวยร่วงลงแนบไหล่ประหนึ่งสายน้ำไหลเอื่อย ใบหน้านั้นมีม่านบางปกปิดครึ่งหนึ่งด้วยหมวกไม้ไผ่แบบที่หญิงชาวป่าหรือสตรีเร้นกายจากโลกภายนอกนิยมสวม


นางงดงามจนเด็กชายถึงกับเผลอพึมพำออกมา “งามเหมือนนางเซียน...” แม้จะไม่สามารถเทียบได้กับมารดาของเขาก็ตาม


แม้จะพินิจอยู่นาน ดวงหน้าก็ยังไม่กระตุกความทรงจำของเขาให้เชื่อมโยงกับใครในวังหลวงได้เลย


“ไม่รู้จัก...” เด็กชายพึมพำ


แน่นอนสิ เขาเติบโตในวังหลัง ล้อมรอบด้วยม่านแพรและเสาแกะสลักมังกร มีเพียงนางกำนัล ขันที และขุนนางที่ผลัดเวรเข้าออกทุกวัน หน้าสตรีจากนอกวังจึงหาได้มีโอกาสปรากฏในสายตาเขาบ่อยครั้งนัก


หรูเสวียนไล่สายตาดูค่าหัวอีกครั้ง


สามสิบตำลึงทอง


ตอนแรกยังนึกประชดในใจว่า “โอ้ ช่างน่าสงสารนัก ค่าหัวนางเท่ากับเบี้ยขนมของข้าในหนึ่งเดือน” แต่พอคิดอีกที... เบี้ยขนมนั้นนับว่าเป็นยอดเงินที่ชาวบ้านธรรมดาอาจต้องทำงานเป็นปีถึงจะสะสมได้


แถมกระเป๋าทั้งสี่ใบที่เขาซื้อมาหมาด ๆ ก็ยังอยู่ในราคาใกล้เคียงกับยอดเงินในจดหมายฉบับนี้


“สามสิบตำลึง... ไม่ใช่น้อยเลยนี่นา” เขากระซิบเบา ๆ กับตัวเอง พลางเหม่อมองไปยังปลายถนนที่มีแสงแดดส่องลงบนพื้นหินเป็นลายเงา


พอกลับมาเพ่งจ้องใบหน้าสตรีในภาพอีกครั้ง เขาก็ยังนึกไม่ออกว่ารูปวาดนี้เหมือนตัวจริงหรือไม่ หากเห็นตัวจริงจะรู้ได้ไหมนะว่าใช่หรือต่าง?


เด็กชายถอนหายใจแผ่ว ๆ มือหนึ่งเกาท้ายทอยอย่างครุ่นคิด อีกมือนั้นยังจับกระดาษไว้มั่น


แต่สิ่งที่คาใจเขาไม่ใช่แค่ภาพวาด


หากแต่เป็นข้อความก่อนหน้านี้… “พบเห็นนางแถวฉางอัน กำลังมาตรวจสอบข่าวลือ...” ข่าวลือ... อีกแล้ว


องค์ชายตัวน้อยหรี่ตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างเงียบงัน ก่อนจะพึมพำเบา ๆ ราวกับพูดกับลม


“เพราะเหตุใดนอกวังถึงเต็มไปด้วยเรื่องราวอัศจรรย์น่าสงสัย ชวนงงงวยเช่นนี้กัน...” เขาพึมพำติดประชด


ความสงสัยก่อตัวในใจเช่นหมอกยามรุ่งสาง แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ก็หนาทึบจนบดบังความแน่ใจไปเสียหมด


หรูเสวียนเหลือบมองรอบตัวอีกครั้ง ยังไม่มีใครไล่ตามมา ไม่มีเสียงฝีเท้าเร่งเร้า ไม่มีผู้ใดมองตนอย่างผิดสังเกต บางทีนี่อาจไม่ใช่ประกาศของทางการจริง ๆ เพราะถ้านางเป็นอาชญากร นางคงไม่กล้ามาปรากฏตัวกลางฉางอันหรอกกระมัง


และหากเป็นคำสั่งจับของทางการ ข้อความก็ควรประกอบด้วยตราประทับของหน่วยตราของกรมอาญา หรืออย่างน้อยก็ตรากรมราชทัณฑ์  แต่บนกระดาษแผ่นนี้ไม่มีแม้แต่ตราแดงขนาดเหรียญเงินทั้งรูปวาดที่คล้ายเขียนด้วยฝีมือชาวบ้านฝีมือดีคนหนึ่งมากกว่าเป็นผลงานราชสำนัก

 



“ไม่น่าจะใช่คนเลว...” เขาว่าเสียงเบาเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง


ไม่มีตราประทับ ไม่มีรายชื่อเจ้าหน้าที่ ไม่ปรากฏชื่อกรม หรืออักษรแบบทางการ ไม่มีข้อความว่าจับเป็นหรือจับตาย แถมยังลงท้ายอย่างประหลาดว่า...


"หากพบเจอสตรีในภาพ มาส่งข่าวทิ้งไว้ที่ สุสาน เซี่ยงเส้าหลง"


หรูเสวียนอ่านบรรทัดนั้นซ้ำถึงสามรอบ ก่อนจะเริ่มใช้ตรรกะเท่าที่มีอยู่


“สุสาน?” เขาพึมพำเสียงต่ำ “ถ้าเป็นคำสั่งของราชสำนักจริง คงไม่ให้มาทิ้งข่าวในสุสานกระมัง”


เสียงลมหวีดเบา ๆ พัดผ่านใบไม้ ทำให้เงารอบตัวไหวคล้ายเงาคนในห้วงฝัน เด็กชายไม่ไหวหวั่น แต่กลับจ้องกระดาษในมืออย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น


“หรือว่านางกำลังถูกตามหาจากใครบางคน... ที่ไม่ใช่ทางการ?” นั่นยิ่งทำให้สมองขององค์ชายน้อยเริ่มวิเคราะห์ไปไกล


อาจจะเป็นคนสำคัญของใคร หรือหนีการแต่งงาน? หรือถูกใส่ร้าย? หรือ... หรือว่า... เขาหยุดความคิดตัวเองตรงนั้น พยักหน้าให้กับจินตนาการอันฟุ้งซ่านแล้วตบหน้าผากเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับมา


เด็กชายถอนหายใจยืดยาว ขณะคิดถึงข่าวลือที่ตนเองฟังมาตลอดทั้งวัน ทั้งเรื่องทารกปีศาจ เทพธิดาตัวน้อย ไปจนถึงแสงจันทร์สีเลือดและเสียงคำรามจากใต้พิภพ


“ฉางอันนี่...ช่างเต็มไปด้วยเรื่องชวนปวดหัวยิ่งกว่าวังหลวงเสียอีก” เขาว่าแล้วก็ยกกระดาษทั้งสองแผ่นขึ้นแนบกันอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็พับให้เล็กลงแล้วสอดไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่สะพายอยู่ด้านหลัง



“เก็บไว้ก่อน บางที... อาจจะมีประโยชน์ในวันหนึ่งก็ได้”


แม้จะยังไม่รู้ว่าหญิงในภาพคือใคร หรือมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องใด แต่ความรู้สึกบางอย่างในใจเขาบอกว่า นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่


ราวกับโลกภายนอกที่เขาเพิ่งได้ออกมาสัมผัส... กำลังจะเผยใบหน้าที่แท้จริงให้เขาเห็นทีละน้อย ทีละเสี้ยว และสิ่งที่เคยเรียกว่า ‘ข่าวลือ’อาจจะไม่ใช่เพียงลมปากที่ไร้สาระ


@Admin 


เปิดใช้งานพรสวรรค์


ลาภลอย 


- มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


แสดงความคิดเห็น

(หากแพ้จะมีคนสุ่มมาช่วย)  โพสต์ 2025-6-2 01:35
คุณกำลังเดินอยู่ดีๆ ก็โดนฉุดลากเข้าไปในตรอก เป็น อันธพาล Level 13 ยกมีดจี้คุณ "ส่งเงินมาเดี๋ยวนี้คุณชายน้อย การแต่งกายท่านดูดีนี่!" 30 ตำลึงทอง หรือขัดขืน เข้าโหมดต่อสู้  โพสต์ 2025-6-2 01:35
โพสต์ 21822 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 23:49
โพสต์ 21,822 ไบต์และได้รับ +6 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-1 23:49
โพสต์ 21,822 ไบต์และได้รับ +15 เกียรติยศ +6 ความกล้า +15 ความศรัทธา จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-6-1 23:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x38
x35
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10

6

กระทู้

44

ตอบกลับ

3240

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2436
ตำลึงทอง
124
ตำลึงเงิน
321
เหรียญอู่จู
14713
STR
5+1
INT
15+0
LUK
5+7
POW
5+0
CHA
0+0
VIT
0+10
คุณธรรม
377
ความชั่ว
12
ความโหด
217
โพสต์ 2025-6-2 11:15:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-6-2 12:59








เรื่องวุ่นวาย 

1 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามอู่ < 11.00  น. - 12.59 น. >



ยามเที่ยงตรง แสงแดดสาดส่องตรงศีรษะพอดิบพอดี เหงื่อผุดพราวตามไรผมของผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่ในจตุรัสฉือจิ่งฉาน เสียงค้าขายจอแจปะปนกับเสียงหัวเราะ เสียงกลองเล็กจากคณะนักแสดงเร่ริมถนน และเสียงขลุ่ยของคนขายน้ำผลไม้แช่เย็นกลายเป็นบรรยากาศคึกคักที่ล้อมรอบองค์ชายน้อยผู้แฝงตัวในชุดสามัญชน


หลังพบเจอจดหมายปริศนา เด็กชายเลือกที่จะเก็บมันไว้ในกระเป๋าใบเล็กอย่างเป็นระเบียบ ใจหนึ่งก็อยากรู้อยากเห็น แต่ใจอีกครึ่งก็เตือนตัวเองว่า… “ใส่ใจมากไปก็ใช่ว่าจะได้คำตอบ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แล้วส่ายหัวขับไล่ความคิดสับสน


เมื่อทิ้งเรื่องน่าปวดหัวไว้เบื้องหลัง เขาก็หันกลับมาใส่ใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน เด็กน้อยเดินตัวปลิวไปตามตรอกย่อยที่แยกออกจากถนนสายหลัก สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ พลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างสนุกสนาน ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับเพิ่งเคยเห็นโลกเป็นครั้งแรกในชีวิต



หรูเสวียนเดินเตร่ไปตามเส้นทางด้วยสีหน้าผ่อนคลายหลังเก็บจดหมายปริศนานั้นลงในกระเป๋าเรียบร้อย เขายังไม่อาจตัดสินได้ว่าข้อความนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ใดหรือไม่ แต่ในฐานะเด็กชายผู้รู้ดีว่าโลกนี้มีเรื่องที่อธิบายไม่ได้อยู่มากมาย เขาก็เลือกที่จะไม่หมกมุ่นกับมันนัก


ตรงหัวมุมหนึ่งมีแม่ค้าขายเกี๊ยวทอดกำลังพูดคุยกับลูกค้าอย่างออกรส เด็กชายหยุดดมกลิ่นหอม ๆ อยู่พักหนึ่งอย่างอดกลั้น แล้วจึงเดินต่อไปดูแผงขายเครื่องประดับราคาถูกที่มีสร้อยลูกปัดและกำไลหินหยกปลอมวางเรียงราย เสียงระฆังเล็ก ๆ ดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อมีลมโชยพัดผ่าน ทำเอาองค์ชายน้อยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างเคลิบเคลิ้ม


แต่ก่อนที่เขาจะเดินเลยออกจากมุมเงาร่มไม้


“เฮ้!”


เสียงแหลมไม่คุ้นหูดังขึ้นกะทันหัน


มือหนึ่งพุ่งคว้าชายแขนเสื้อของเด็กชายอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด หรูเสวียนยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างเล็กก็ถูกแรงฉุดกระชากเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ทางด้านหลังแผงขายขนมทอด


“โอ๊ย!” เด็กชายร้องออกมา ร่างเกือบล้มลงจากแรงกระชากที่รุนแรงผิดธรรมดา เขาทิ้งน้ำหนักถ่วงไว้กับกำแพงตึกแคบ ๆ พลางหันขวับไปยังผู้ที่ลากเขามา


สายตาสีหยกนิลเบิกกว้างทันทีที่พบว่าเบื้องหน้าเขาคือชายแปลกหน้าในชุดเก่าเกรอะกรัง หน้าตาซูบซีดคล้ายคนอดนอนมาทั้งเดือน ดวงตาแดงก่ำและเต็มไปด้วยรอยเส้นเลือดฝอย มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น อีกข้างถือมีดปลายแหลมที่ดูเหมือนจะเอามาใช้ปอกผลไม้แต่กำลังทำตัวไม่เหมาะกับงานนั้นเสียเลย 


ชายแปลกหน้าร่างสูงในเสื้อคลุมสีมอมแมมยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า ผิวหน้าด้านหยาบคล้ายคนกร้านแดดกร้านลมมาทั้งชีวิต ดวงตาขุ่นคล้ายสุนัขจรจัดที่เฝ้ารอเหยื่ออย่างกระหาย



“ส่งเงินมาเดี๋ยวนี้คุณชายน้อย การแต่งกายท่านดูดีนี่!” เสียงขู่คำรามลอดไรฟันเน่าเปื่อยออกมา ชายผู้นั้นยื่นมีดออกมาขู่เขาอย่างโจ่งแจ้ง


หรูเสวียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หัวใจเขากระหน่ำเต้นไม่เป็นจังหวะอย่างบ้าคลั่ง เหงื่อไหลซึมลงข้างแก้มแม้ในร่มเงา สถานการณ์ตรงหน้านั้นไม่ได้เปิดโอกาสให้แกล้งซื่อใสอย่างเคยได้เลย



ถ้าข้าให้เงินไป เขาอาจจะไม่พอใจ หรืออยากได้มากกว่านั้น แล้วข้าจะโดนปิดปากหรือไม่? ถ้าข้าขัดขืนเล่า... ข้ามีอะไรในตัวเลยหรือ?


ไม่มีเลย เขารู้ดีว่า… ต่อให้ยื่นเงินให้ ชีวิตก็อาจไม่รอดอยู่ดี



ข้าต้องหนี... หนีเท่านั้น!



และในตรอกนี้ ไม่มีอาวุธ ไม่มีที่หลบ ไม่มีทางเลือกให้สู้ หรือแม้แต่จะตะโกนเรียกใคร


สมองของเด็กชายวิเคราะห์รวดเร็วในเสี้ยวลมหายใจ แล้วร่างน้อยก็พุ่งตัวออกไปทันที ผ่านไหล่ของชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ขาสั้น ๆ ของเขาจะพาไปได้


โชคดีที่หรูเสวียนตัวเล็กและผอมเพรียว เขาจึงสามารถเบียดผ่านร่างของคนร้ายที่ตั้งท่าไม่มั่นคงได้ในชั่วพริบตา และวิ่งพรวดออกจากตรอกอย่างไม่เหลียวหลัง


ในพริบตาเดียวที่ชายคนนั้นกะพริบตา เด็กชายก็กระโจนออกจากตรอกอย่างสุดแรง ร่างผอมวิ่งผ่านลานตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คน เสียงฝีเท้าของเขาเบาแต่เร็วราวแมวป่า ฝ่าฝูงชนที่ยังไม่ทันรู้ตัวด้วยความคล่องแคล่ว


เสียงฝีเท้าตามหลังมารวดเร็วราวกับปีศาจไล่ล่า แต่ไม่มีสิ่งใดเร่งฝีเท้าเด็กชายให้เร็วเท่าความกลัว


“ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย!! โจร!! โจรอยู่ตรงนั้น!!!” เสียงขององค์ชายน้อยแหลมสูงราวลูกเป็ดที่ถูกเหยียบหาง ดังลั่นไปทั่วจตุรัส เสียงแสบแก้วหูของเขาดึงดูดสายตาผู้คนให้หันมามอง


ทว่า... เหมือนฟ้าจะเล่นตลก


ขณะที่เขากำลังจะเลี้ยวเข้าทางแยกอีกด้านเพื่อวิ่งหลบเข้าสู่ฝูงชน ปลายเท้าเล็กสะดุดเข้ากับแผ่นหินที่โผล่พ้นพื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“อั่ก—!”


ร่างน้อยลอยคว้างเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะฟาดลงพื้นเต็มแรง ใบหน้าแนบกับอ้อมแขนที่ยกขึ้นกันไว้ ดินฝุ่นปลิวขึ้นเป็นวง


...........


เสียงฝีเท้าเหยียบพื้นหินดังถี่ ๆ อย่างเร่งร้อน ราวกับคำรามของพายุที่กำลังเคลื่อนเข้าหาเหยื่อตัวน้อย… หรูเสวียนนอนอยู่บนพื้นอย่างจุกแน่น หน้าแนบกับหินร้อนจากแดดยามตะวันตรงหัว มือเล็กขยับพยุงกายขึ้น แต่แขนที่สะบัดไปฟาดกับถังน้ำเมื่อครู่ยังเจ็บจนชา


เสียงหอบหายใจดังอยู่ด้านหลัง เขารู้ว่าเจ้าคนร้ายยังตามมาทัน และเพียงไม่กี่ลมหายใจเงื้อมมือมืดมนก็จะคว้าถึงตน


“เจ้าหนู! จะหนีไปไหน—”


วินาทีนั้นเอง!


“หยุดนะ!!”


เสียงประกาศก้องจากด้านบนตรอกพร้อมเงาสีเข้มที่พุ่งวาบราวอัสนีจากฟากฟ้าระเบิดกลางฉากนั้นอย่างพอดิบพอดี เงาร่างในชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ทางการก็กระโจนลงมาจากชายหลังคาอย่างรวดเร็วราวทหารฝึกมาจากสนามรบ มีดไม้ของคนร้ายกระเด็นหลุดจากมือเมื่อถูกเตะสวนเข้าที่ข้อมือเต็มแรง


เสียงเหล็กกระทบพื้นดัง เคร้ง!


“อ๊าก!!” ชายคนนั้นร้องลั่นก่อนร่างจะถูกจับกดกับพื้นอย่างไม่มีท่าทีลังเล


ตามหลังมาอีกสามนาย ทั้งหมดสวมเสื้อคลุมของกรมตรวจการณ์แผ่นดินฮั่นที่ปักตรานกกระเรียนทองตรงอกซ้าย ต่างคนต่างมาพร้อมไม้กระบองและตะขอเหล็กสำหรับจับผู้ร้าย


“เด็กนั่นปลอดภัยหรือไม่!?” นายหนึ่งร้องถามขณะพุ่งเข้าไปตรวจตรารอบข้าง


หรูเสวียนซึ่งตอนนี้ยังลุกไม่ขึ้นนัก ได้แต่เงยหน้ามองผู้ช่วยชีวิตด้วยดวงตาเบิกโต ริมฝีปากเม้มแน่น ขมับยังมีเหงื่อซึมอยู่แม้ว่าเหตุการณ์เฉียดตายจะผ่านไปแล้ว


“ข้า… ข้าไม่เป็นไรขอรับ…”


เสียงเด็กน้อยสั่นน้อย ๆ แต่พยายามเก็บความตกใจไว้เต็มที่ เขานั่งกอดกระเป๋าใบเล็กแน่นพลางกวาดตามองเจ้าหน้าที่ตรงหน้า ใบหน้าของแต่ละคนจริงจังแต่ไม่โหดเหี้ยม 


คนร้ายถูกจับมัดมือไขว้หลังแล้วกดหน้าลงกับพื้นหิน หนึ่งในเจ้าหน้าที่หันมาเปิดกระเป๋าที่ผูกติดกับเอวอีกฝ่าย พบเหรียญทองและเงินจำนวนหนึ่งรวมถึงของเล็ก ๆ ที่น่าจะขโมยมาจากคนอื่น


“คนผู้นี้เป็นพวกก่อเหตุในตลาดมาหลายวันแล้ว หลบไปหลบมาเหมือนแมวร้ายในตรอกมืด ขอบคุณสวรรค์ที่พวกข้าเฝ้าติดตามอยู่จึงมาทันเวลานี้” เจ้าหน้าที่ที่ดูอาวุโสที่สุดในกลุ่มกล่าวด้วยเสียงทุ้ม


หรูเสวียนกะพริบตาปริบ ๆ พลางก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณ แม้ใจอยากจะลุกขึ้นยืนเต็มที แต่หัวเข่าข้างหนึ่งก็ยังปวดตุบ ๆ อยู่ จนสุดท้ายชายในเครื่องแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาช่วยพยุง


“เด็กน้อย เจ้าเดินไหวหรือไม่” เขาถามน้ำเสียงอ่อนโยนผิดจากตอนเข้าปะทะ


“เดินไหวขอรับ แค่ล้มเจ็บเล็กน้อย...” เด็กชายยิ้มเจื่อน ๆ มือข้างหนึ่งเกาะเสาไม้ข้างร้านไว้ ขณะอีกข้างยังกอดกระเป๋าสะพายแน่นอย่างกับสมบัติ


“เจ้ามาจากที่ใด ทำไมถึงเดินทางลำพัง”


หรูเสวียนเม้มปากนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนด้วยท่าทีที่เตรียมไว้เสมอเมื่อโดนจี้คำถาม


“ข้าเดินทางมากับพ่อค้าเร่ที่รู้จักกันขอรับ เขาพาข้าเข้าเมือง แล้วก็ปล่อยให้ข้าเดินชมรอบ ๆ เอง เพราะเห็นว่าข้ามักระวังตัวเก่ง…


คำตอบนั้นไม่ผิดเกินไปจากความจริงนัก เด็กชายใช้ท่าทีสุภาพ อ่อนน้อม และดูไม่อันตรายชนิดที่เจ้าหน้าที่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ


“ครั้งหน้าระวังให้มาก อย่าเดินลึกเข้าตรอกที่ไม่คุ้นนะ เด็กชายเช่นเจ้าถูกจับตามากกว่าที่คิดนัก”


หรูเสวียนพยักหน้าแรง ๆ จนผมสะบัดไหว “ขอรับ! ข้าจะระวังยิ่งกว่าไก่ที่ไข่ใบแรกเลย!”


คนที่ช่วยพยุงหัวเราะออกมาทันที “เจ้าหนูนี่ปากกล้าใช้ได้เลยนะ”


หลังจากมั่นใจว่าไม่มีบาดเจ็บร้ายแรง เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้เขาเดินได้ตามเดิม ก่อนจะพาตัวคนร้ายไปทางถนนด้านหลังของจตุรัส ท่ามกลางสายตาผู้คนที่เริ่มมุงดูด้วยความสนใจ หลายคนพึมพำชื่นชม บางคนตบมือเล็กน้อยตามประสาคนดูการจับผู้ร้ายได้ต่อหน้า


หรูเสวียนยืนอยู่เงียบ ๆ อีกครู่ใหญ่ ดวงตากวาดมองพื้นถนนที่ตนเพิ่งล้มลง ความตื่นตระหนกเมื่อครู่ยังทิ้งร่องรอยไว้ในอกราวฝุ่นที่เกาะบนขอบกระเบื้อง แม้จะผ่านเหตุการณ์มาได้ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะจดจำว่าชีวิตนอกวังนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องสนุกหรือเรื่องเล่าขำขันเท่านั้น


มันมีทั้งผู้คนใจดี… และคนที่ใจดำ


เขาก้าวเดินออกจากตรอกอย่างเชื่องช้า ดวงหน้าแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่ดวงตากลับเป็นประกายจริงจังกว่าก่อนหน้า เด็กน้อยเหลือบมองท้องฟ้าที่แดดจ้าเต็มแรง พลางถอนหายใจยาว


“ข้าเพิ่งจะหนีออกมาท่องโลกเองนะ...” เขาบ่นอุบ กับตัวเอง “แต่เจอเรื่องสนุกเกินไปหน่อยแล้วกระมัง…”


ขณะพูด ในใจเขาก็เริ่มคิดว่า... บางที ที่เขาออกจากวังครั้งหน้าต้องเตรียมการให้พร้อมกว่านี้เสียแล้ว




@Admin 


เปิดใช้งานพรสวรรค์


ลาภลอย 


- มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่



หลักฐานการต่อสู้


https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=514



(แก้ไขโรลเรียบร้อย เอาเป็นว่ามีเจ้าหน้าที่มาช่วยแล้วกันนะครับ เพราะในโรลหรูเสวียนตอนนี้น่าจะสู้เองมะไหว...)


แสดงความคิดเห็น

(แก้ไขโรลเรียบร้อย เอาเป็นว่ามีเจ้าหน้าที่มาช่วยแล้วกันนะครับ เพราะในโรล หรูเสวียนตอนนี้น่าจะสู้เองมะไหว...)  โพสต์ 2025-6-2 12:59
(ไม่มี แก้ไขโรลสู้จนชนะเลย)  โพสต์ 2025-6-2 11:39
โพสต์ 18416 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-2 11:15
โพสต์ 18,416 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 ความกล้า +6 ความศรัทธา จาก หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ  โพสต์ 2025-6-2 11:15
โพสต์ 18,416 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-6-2 11:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x38
x35
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10
โพสต์ 2025-6-5 09:56:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ช่วงเวลาที่ฉางอันเลื่อนผ่านไปอย่างไร้กำหนดใต้แสงตะวันที่เริ่มคล้อยต่ำลงทุกที เมฆที่กำลังล่องลอยอย่างไร้จุดหมายบนท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีส้มเรืองกลายเป็นสีดำขึ้นในทุก ๆ ที เงาของยอดเสาไกลตาและจวนแถวนั้นก็บรรจงทอดยาวลงมายังพื้นถนนหินเรียงตัวกันอย่างงดงามและปราณีตกลาง จัตุรัสกลางเมืองฉือจิ่วชาน ซึ่งเป็นเหมือนกับจุดศูนย์กลางของชีพจรของนครฉางอันที่ไม่อาจหลับใหลแม้เลยสักคราดั่งทะเลที่ครืนคร้ำขยับผิวน้ำของมันตลอดเวลาที่พบเห็น


ภาพที่หลินหยาเห็นคือความโออ่าของสถาปัตกรรมจีนโบราณที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบทว่าแฝงไปด้วยชีวิตชีวิต จังหวะของผู้คนที่เคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน ถึงขนาดเป็นช่วงเย็นเกือบค่ำคนยังเยอะถึงเพียงนี้ไม่ต้องคิดถึงช่วงกลางวันเลยว่าผู้คนจะคราคร่ำกันขนาดไหนถึงเพียงใด โครงสร้างหลักของจัตุรัสนั้นคือพื้นทรงกลมขนาดใหญ่ที่ล้อมด้วยอาคารทรงหลังมังกรโค้งกันไปมาเป็นชั้น ๆ ทางเดินหินนั้นทอดยามเชื่อมต่อจัตุรัสแห่ง

นี้จากทุกทิศทางของเมืองฉางอันราวกับว่าสถานที่แห่งนี้คือเส้นเลือดใหญ่ของเมือง เหมือนเช่นราชวังคือหัวใจของเมืองแห่งนี้เช่นเดียวกัน


ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสถานที่แห่งนี้ เธอพบว่ามีแผงอยู่นิดหน่อยสำหรับค้าขายหรือไม่นะ? แต่ตอนนี้มันปิดแล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่าตอนกลางวันพวกผู้คนคงเยอะมาก ๆ แน่นอน รอบ ๆ มีคนสัจจรไปมา เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่โดนพาตัวกลับบ้าน สถานที่ซึ่งติดต่อกับทุกที่กระทั่งราชวังหลวงที่สูงตระหง่ายอยู่ไม่ไกล เห็นหอเฝ้าเหตุการณ์เงียบงันตัดกับพื้นหลังที่ทอดตัวผ่านด้านหลังเมือง..


ตอนนี้ทุกอย่างราวกับกำลังเริ่มหลับใหลในชั่วครู่เพื่อรอเช้าวันใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้น พุ่งดอกไม้กลางลานขยับไปมาเบา ๆ ใต้เงาของแสงตะวันคล้อย สิ่งเดียวที่ยังมีชีวิตเห็นจะเป็นหลินหยาที่พึ่งเดินทางมาถึง เธอเดินทางทั้งวันจนฝ่าเท้าปวดไปหมดจนแทบจะกลายเป็นแผ่นกระดาษที่ขาด เธอทิ้งตัวนั่งลงตรงสักกะที่แล้วถอนหายใจ ก่อนที่จะเอนหลังพิงระเบียง ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งราวกับคนที่พึ่งรอดตายจากการเดินทางอันแสนยากจะคาดเดาได้เลย


“เหนื่อยจัง…ปวดฝ่าเท้าไปหมดเลย” นางเอ่ยแล้วหลุบดวงตาของตนเองลงเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ขยับตัวถอดรองเท้าออกมาเพื่อเป็นการพักเท้าของตัวเอง นางคิดถึงอ่างน้ำ อยากจะเอาเท้าลงไปแช่น้ำอุ่น แล้วก็ไปแช่น้ำลอยดอกไม้แสนหอมหวนคงรู้สึกดีแทบขาดใจแน่ ๆ เลยล่ะ ก่อนที่เธอจะกระพริบดวงตาตนเอง


เพราะความเบื่อเลยล้วงเข้าไปในถุงผ้าแล้วหยิบเหรียญตำลึงเงินออกมาหนึ่งเหรียญแล้วหมุนเล่นระหว่างปลายนิ้วอย่างชำนาญราวกับนักพนันที่กำลังประเมินชีวิตหลังจากตนเองนั้นหมดทุนกงเต๊กแต่เหลือเหรียญอยู่เพียงเหรียญเดียว กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก…ติ้ง!!


เหรียญที่หลินหยาดีดเล่นนั้นกระเด้งหลุดจากมือของตนเองไปด้วยความประมาทเลินเล่อของตัวเเธอเอง หญิงสาวตกใจจนแทบเหม่อมองท้องฟ้าแบบจะถามหาพระเจ้าว่าจะแกล้งอะไรเธอนักหนาสำหรับวันนี้ ยังไม่จบอีกหรือ แน่นอนว่าเธอได้ยินอะไรบางอย่าง เหรียญตำลึงเงินของเธอนั้นปลิวหมุนติ้ว ๆ ผ่านอากาศอย่างสโลว์โมชั่น เยี่ยงใบไม้ที่ต้านแรงลมที่พัดผ่านกรรโชกแรง พุ่งไปอย่างอิสระด้วยแรงของการดีดและโชคชะตาที่เกิดขึ้น


แป๊ะ..!! 


เข้าไปกลางหน้าผากของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหมือนกำลังจะเดินมาทางนี้อยู่พอดี..ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแบบน้ำตาลมะพร้าวเบิกตาขึ้นกว้างอย่างรวดเร็ว เธออ้าปากค้างแล้วรีบลุกขึ้นทันทีหลังจากเบิกตากว้างเป็นไข่ห่านผสมไข่นกกระจอกเทศ “เฮือกก!!” จะโดนด่าไหมนะ กลัวง่ะ เอาเป็นว่ารีบขอโทษก่อนดีกว่า


“เอ่อ..คุณชาย ข้าขอโทษจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าหลุดมือไป ขออภัยยิ่งนัก” นางเอ่ยขึ้นแบบรู้สึกผิดกลับมองสีแดง ๆ ตรงหน้าผากของอีกคน ชายคนนั้นไม่ได้ล้มหรือไม่ได้สถบออกมาอย่างหงุดหงิด เขายังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกับไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาคมใต้คิ้วเรียวสวยนั้นยกขึ้นมองเหรียญตำลึงเงินที่กลิ้งตกที่เท้าเขาอย่างสงบ สงบจนหลินหยารู้สึกกลัว เธอทำหัวใจหล่นไปถึงใต้ตาตุ่ม ถ้ามากกว่านั้นก็อยู่ใต้บันไดเลยแหละ..


เขาเป็นบุรุธหนุ่มที่มีเรือนผมสีเงินขาวยาวถึงกลางหลัง เกล้าเส้นผมครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยดสีดำรูปหน้าเรียวยาวเหมือนอย่างกับเทพเซียน ผิวขาวซีดเผือกแทบจะกลิ่นไปกับชุดที่เขาได้สวมใส่อยู่ตอนนี้ เสื้อคลุมสีขาปักลายเมฆสีขาวตรงคอปกเสื้อ บ่าของเขามีดาบที่อยู่ด้านหลัง..ที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะมาจากร้านขายของ 20 อีแปะแน่นอน แง้ เขาจะหยิบดาบมาฆ่าหนูไหม


“เจ้า..เอ่อ…แม่นางทำเหรียญตกใส่ข้าหรอ?” เขาเอ่ยถาม


หลินหยาเลยขยับหัวพยักหน้ารัว ๆ ราวกับไก่กำลังจิกกินข้าว “เจ้าค่ะ ข้าขอโทษนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ มือมันลื่นเจ้าค่ะ ข้าหยิบเล่นเพลินเพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อย ๆ น่ะเจ้าค่ะ” เอ่ยขออภัยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่ก้มหัวผงก ๆ แบบคนที่ไม่รู้ว่าควรขอโทษยังไงถึงจะพอกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป


เขาเหมือนกับคิดนิดหน่อยแล้วขยับริมฝีปากเอ่ยถามขึ้นมา “แม่นางเป็นนักเดินทางหรอ? มาทำอะไรที่ฉางอันเล่า?” เอ่ยถามพลางขยับตัวลงไปเอื้อมหยิบเหรียญเงินที่พื้นเขาก้มลงไปเก็บเหรียญนั้นแล้วยื่นส่งให้เด็กสาวเพราะนางคงไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ 


แม้ว่าชายตรงหน้าจะถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา และคำถามธรรมดา แต่สำหรับหลินหยากลับได้ยินคำว่า มาทำบ้าอะไรที่นี่! ในเขตของข้า! แบบจิตปรุงแต่งเองจัด ๆ ตามประสาคนที่คิดอะไรไปเรื่อยไปเปื่อยจริง ๆ หลินหยากลืนน้ำลายลงคอแบบยากลำบากสุด ๆ นางกระพริบตาปริบ ๆ แล้วเหมือนกลืนเข็มทั้งมหาสมุทร “ข้า..ข้ามาส่งของเจ้าค่ะ แล้วก็กำลังจะออกผจญภัยใช้ชีวิตที่นี่สักพัก กะว่าจะเที่ยวเล่นน่ะค่ะ ไม่ก็หางานใหม่” นางเอ่ยบอกเช่นนั้น เขาเหมือนกับเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจได้ “ก็ดีนะ..” ยังไม่ทันจะพูดจบอยู่ ๆ หลินหยาก็ขมวดคิ้ว..เธอเหมือนพึ่งตั้งสติได้ เด็กสาวขยับดวงตาของตนเองมองอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางเริ่มลูบต้นคอตัวเองเบา ๆ ด้วยอาการบางอย่าง หัวขาวเงิน? หน้าก็โคตรขาว? ผิวก็ซีดๆ ..ขาวเหมือนผ่านแป้งกระป๋องมาเลย.. ใบหน้าของอีกคนก็ดูขรึม ๆ ดาบที่หลังผมที่ปลิวและออร่าที่เหมือนกับบอกว่า ไม่ใช่คนปกติแน่นอน ทำให้หัวใจของหลินหยาเต้นแรง ไม่ใช่ว่าชอบนะ..


กลัว!! 


เซิ้งหนีก่อนได้ไหมวะเนี้ย!


เธอค่อย ๆ ขยับตัวถอยหลังทีละนิด ทีละนิด จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีสุดชีวิตไปทางตลาดหรือคนเยอะ ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปได้เกินสองก้าวเลยคุณผู้ชายคนนั้นก็มาขวางไว้ไวปานว๊อก! เป็นเงาของบุรุธที่โดนดีดเหรียญดีดหัวเมื่อกี้แหละ หลินหยาเบรกตัวเองทันทีที่เห็นเช่นนั้นก่อนที่จะยกมือไหว้ผงก ๆ ไหว้ ๆ สาธุ ๆ ๆ ขอร้อง ๆ อย่ามาหลอกหลอนกันเลย สาธุ ๆ 


‘ผีแน่ ๆ ผี! ผีวิญญาณ ผีเหรียญบาท!’ หญิงสาวคิดด้านในหัวรัวแบบไม่ได้ทำอะไรนอกจากความน่ากลัวแล้วขยับเท้าที่เกือยลื่นล้มเมื่อกี่แล้วถอยหลังยิก ๆ อีกรอบหนึ่ง “สาธุ ท่านวิญญาณ ขอร้องเถอะเจ้าค่ะ ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคนเถอะเจ้าค่ะ ถ้าจะเรียกส่วนบุญรอก่อนนะเจ้าคะ ข้าไม่มีเงินตอนนี้ ถ้าอยากได้เหล้าขอเวลาก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะราดให้เต็มโค้นต้นไม้เลย สาธุ ๆ โอมเพี้ยง ๆ กุสสะลาธรรมมา” หลินหยาพูดแล้วไหว้รัวอย่างกับกล่องตีตอนทำศึก 


ส่วนชายคนนั้นก็กรอกตาอีกสักทีแล้วเหมือนจะกระพริบตามองสตรีตัวเตี้ยที่สมองน่าจะกลับพลิกตลบไปคนละส่วน เขากำลังพิจารณาว่าควรเรียกหมอมาดูสมองของนางไหม ส่วนไหนของเธอที่มีปัญหากันนะ?


“ข้าไม่ใช่ผีนะแม่นาง” เอ่ยขึ้นเหมือนจะหมดความอดทนสักที


“ห๊ะ!?” เอ่ยเหมือนตกใจแล้วหยุดมือที่ไหว้อยู่ชะงัก ก่อนที่จะขมวดคิ้วเข้ากันผูกเป็นโบว์ปมเลยทีเดียว เด็กสาวทำท่าทางคิดนิดหน่อยแล้วเอ่ยถาม “แล้ว?..คุณชายเป็นตัวอะไรหรือเจ้าคะ?” ถามแบบยังไม่ไว้ใจนิดหน่อย เขาเลยเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะอธิบายให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าเป็นทูตนักเดินทางต่างหาก” ชายหนุ่มผมขาวเงินอธิบายให้เธออย่างชัดเจน


แต่ทันทีที่ได้ยินก็ขยับหมุนตัวกำลังจะหันวิ่งหนี จนต้องโดนบอก “หยุดเลย” เพราะหลินหยาได้ยินคำว่า ภูต น่ะสิ …เพราะกลัวอยู่หูเลยฟังผิดพอสมควรเลยแหละ “เจ้าจะหนีไปไหน” ชายคนนั้นเอ่ยถามแบบงง ๆ “ก็..ข้าได้ยินว่า..ภูตินักเดินทาง…??” เด็กสาวเอ่ยเหมือนมีตัวอักษรเควสชั่นมาร์คอยู่ด้านหลังของคำพูดด้วย


“ไม่ใช่ภูต …ทูต ต่างหาก” ชายหนุ่มเอ่ยบอกให้อีกคนเข้าใจ เมื่อได้ยินหลินหยาก็เหมือนจะงงนิดหน่อยแบบยังไม่ไว้ใจ


“ภูต?…ทูต? งึม..แล้วมันต่างกันสินะ ก็ต่างแหละ ท่านมั่นใจหรอว่าท่านไม่ใช่ผีจริง ๆ อ่ะ ล่อลวงข้าหรือเปล่าท่านชาย ท่านคิดว่าข้าจะต้องโดนดูดอายุไขหรือวิญญาณหรือเปล่า หรือจะให้ข้าเดินตามไปแล้วหายไปในก้อนเมฆหรือเปล่า ข้าเคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับผี 7 เล่มเลยนะ ข้าไม่โง่!”


ชายผมเงินเริ่มรู้สึกว่าบางทียัยเด็กตรงหน้านี้มันสมองกลับแน่ ๆ เลย เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นพลางเสยเส้นผมแบบหนุ่มหล่ออย่างกับดัชชี่บอย..รู้จักไหม? สมัยนี้ยังมีอยู่ปะ? อาจจะไม่มีแล้วแหละมั้งชั่งมันเถอะ ริมฝีปากสีจางเผยออกมาแล้วพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอะไรให้ฟังแล้วยัยเด็กคนนี้จะเลิกสมองกลับคิดว่าเขาเป็นภูตสักเสียที โดนตราหน้าว่าเป็นวิญญาณมันน่าเขกหัวยัยเด็กนี้สักป๊าบได้ไหมวะครับ


“ข้ามีนามว่า โหรว ซางเมิ่ง เป็นทูตนักเดินทางที่จะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำกับนักเดินทางทุกรายที่เดินทางมาเหยียบฉางอันเป็นครั้งแรก”


เมื่อเขาอธิบายแบบนั้นเธอก็เหมือนจะเข้าใจหน่อยแล้วล่ะ..เข้าใจกับผีน่ะสิ ตำแหน่งนี้มันมีซะที่ไหนวะเนี้ย! โอ้ววว มิจจี้ มิจจี้ชัด ๆ “คุณชายกำลังจะบอกว่าท่านเป็นคนที่ช่วยเหลือหรือเจ้าคะ? เอ่อ ข้าขอเสียมารยาทแต่ท่านสถาปนาตัวเองมาใช่ไหมเนี้ย? หน้าที่แบบนี้มีจริงหรือเจ้าคะ? คนอะไรจะเป็นทูตนักเดินทางเนี้ย ท่านหน้าตาหล่อแล้วยังจะว่างมาดูคนหลงทางอีกหรือเจ้าคะ? หรือแบบ ท่านเป็นคนมีตำแหน่งหนีงานมาเที่ยวเล่นหรือเปล่า?” หลินหยาเอ่ยถามแบบสงสัยจริง ๆ ยังไม่เชื่อเต็มร้อยอ่ะ ท่านแม่สอนว่าจงอย่าไว้ใจมนุษย์หัวใจสุดลึกล้ำเหลือกำหนด เหมือนเถาวัลน์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่อาจคดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน แค่กๆ– 


“แม่นางหมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มตอนนี้ปวดหัวจัดแล้วขอยาแก้ไมเกรนทีจังหวะนี้ 


“ก็เอ่อ ท่านชาย คนอย่างท่านถ้าบอกว่าเป็นภูตข้ายังว่าน่าเชื่อกว่าอ่ะ แถวบ้านข้าแบบพวกคนทำงานทางการต้องใส่ชุดสีเข้ม ใส่หมวกทรงสูงถือพัดอะไรงี้ แต่ดูท่านสิ ชุดไหมสีขาวเงิน ปลิวสะบัดอย่างกับท่านจะไปเดินเล่นข้ามสะพานนกกระเรียนขาว..มันแปลก ๆ น่ะ” โดยที่ไม่ได้เติมคำว่าเหมือนเดินแฟชั่นโชว์ อินฉางอินซิตี้แบบงานเมทกาล่า แต่เมื่อได้ยินคำนี้ตอนนี้โหรว ซางเมิ่งเริ่มมองแบบสายตาอันหลากหลาย แล้วกำลังทบทวนว่าสตรีตรงหน้าของเขาควรได้รับยาและคำแนะนำในการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตที่ไหน? หอสุขภาพจิตต้องการตัวนางแน่ ๆ 


ภายใต้แสงตะวันยามพลบค่ำนั้นทอดผ่านไปยังหลังคาของสถานที่ตรงหน้าตัวเองของชายหนุ่ม ริมจัตุรัสตอนนี้เหลือเพียงคนบางเบาพร้อมกับสายลมที่พัดผ้าแพรสะบัดเบา ๆ ไปตามลมที่พัดผ่าน แน่นอนว่าตอนนี้มีมุมหนึ่งของลานแห่งนี้ที่สองร่างยังคงยืนประจันหน้ากันแบบไกลนิดหน่อย


ฝ่ายแดงคือ หลาน หลินหยา บุตรีเจ้าเมืองกว่างโจวที่พึ่งผ่าหมาเห่าเมื่อกลางวัน และความงงที่กำลังผลิดอกแบบไม่เชื่อ ๆ ไม่จริง ๆ หน้าตาเราดีที่สุด แค่ก– จ้องมองชายหนุ่มลึกลับในผมสีเงินที่อ้างตนเองว่าเป็นทูตนักเดินทางของฉางอัน ส่วนฝ่ายแดงคือชายหนุ่มที่เหนื่อยกับสตรีตรงหน้าแบบสุด ๆ นี้สินะ ความซื่อ เอาความจริงมันเหมือนกับเธอเป็นคนที่ดูพูดคุยด้วยง่ายนะ แต่อันนี้คือยากสุด ๆ ไปเลยล่ะ 


“แม่นาง..ข้าทำไปเพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำ..และต้องทำ” เขาพยายามพูดให้เข้าใจอีกครั้ง..สุดท้ายต้องงัดไม้เด็ดของตนเองออกมาแล้วล่ะ “เอาล่ะ หากแม่นางฟังข้า แม่นางจะได้เงิน”


!!! 


ทันทีที่ได้ยินคำนั้นหญิงสาวก็ตัวนิ่ง “คุณชายคิดจะซื้อข้าด้วยเงินตราหรือ! ฮึ!” นางมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดสุด ๆ แล้วก็ขยับตัวนั่งลงแต่โดยดี ตาเป็นประกายรูปเงินในแววตาแบบชัดเจนว่า ดิสอิสอะคนหิวเงินที่แท้ทรู …


“เชิญเลยเจ้าค่ะ เชิญอธิบายได้เลยท่านทูตนักเดินทาง ข้าจะตั้งใจฟังท่านทุกคำ สอนมาเลยค่ะ ข้าชอบความรู้แม้ว่าจะชอบเงินมากกว่าแต่ชอบความรู้ค่ะ” หลินหยาพูดพลางตาเป็นประกายยกมือกำแน่นแบบคนหิวเงินขั้นวิกฤติ


ง่ายเว่อ…ง่ายจัด ยัยนี้มันหิวเงินขนาดไหนกันวะเนี้ย ชายหนุ่มมองเธอด้วยสายตาอันหลากหลายจริง ๆ นะตอนนี้น่ะ เขายกมือกุมขมับของตัวเอง แบบที่คิดว่าควรจะใช้เงินฟาดหัวยัยนี้ตั้งนานแล้ว สักทีเถอะว่ะ! เขาพูดขึ้นต่อ “ดีมาก งั้นเรามาเริ่มจากมารยาทการเรียกขานชื่อของผู้คนก่อนแล้วกัน”


เมื่อได้ยินหัวข้อแรกหลินหยาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย เธอยกมือขึ้นในท่าทางปางห้ามญาติแล้วเอ่ยก่อน “สต๊อปปุคุณชาย..” ทำท่าเบรกไว้ก่อนเลยแหละ “ใจเย็นท่าน ของแบบนั้นต้องเรียนหรอเจ้าคะ? ข้าดูเป็นคนหลังเขาขนาดนั้นเลยหรอ? ข้าไม่ได้เกิดมาไร้การศึกษาถึงเพียงนั้นสักหน่อยนะเจ้าคะ” เอ่ยบอกแล้วถอนหายใจเฮือกแบบคนที่ไม่รู้สภาพของตัวเองตอนนี้


เพราะเดินทางมาทั้งวัน หัวฟู ผมตก เสื้อผ้าเปื้อนคราบดิน รอยแผลถลอก..มองยังไงก็เหมือนคนที่พึ่งเดินทางมาถึง อาจจะมาจากหลังเขาจริง ๆ ก็ได้นะ หากนางมีสภาพเป็นเช่นนี้ “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าควรใช้แบบใดแม่นาง?” ชายหนุ่มพูด เขาไม่ปฎิเสธว่านางอาจจะรู้ก็ได้และหากนางเข้าใจแบบผิด ๆ เขาจะได้แก้ไขได้อย่างทันท้วงทีเหมือนกันราวกับการทวนความจำของเด็ก


“งึม..ก็ประมาณว่า ชื่อทางการจะถูกใช้ในเอกสาร บันทึกต่าง ๆ งานราชพิธี หรือเวลาที่ทำความผิดใหญ่จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล!” หลินหยาบอกอันแรก ชายหนุ่มก็เงียบ..เพราะเอาเข้าจริงมันก็ถูกนะ แต่ดูการยกตัวอย่างแล้วมันเหม่ง ๆ แปลก ๆ “แล้วก็ชื่อรองใช่ไหมเจ้าคะ? ชื่อรองจะถูกใช้ในหมู่สังคม เวลาเข้าสังคมในคนหมู่มากเจ้าค่ะ เหมาะสำหรับการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ถึงกับออกงานพระราชพิธีเจ้าค่ะ เป็นชื่อที่แบบให้คนไม่สนิทเรียกกันหรือว่าพึ่งพบกันเช่นข้ากับท่าน แต่สตรีจะไม่มีชื่อรองเจ้าค่ะ” เมื่อถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็พยักหน้าเพราะอันนี้ถูกต้องสำหรับการอธิบายและการยกตัวอย่าง


“แต่ก็สำหรับพบกันครั้งแรกจะไม่เรียกชื่อกันตรง ๆ เจ้าค่ะ เพราะถือว่าจะไร้มารยาท จะเรียกเหมือนที่ข้าเรียกท่านว่า ท่านชาย ส่วนท่านก็เรียกข้าว่า แม่นาง เช่นเดียวกันใช่ไหมล่ะเจ้าคะ? ตามด้วยชื่อสกุล อย่างหากท่านเรียกข้า ข้าชื่อหลินหยา สกุลหนาน เลยเป็น แม่นางหลินหยา หรือแม่นางหนาน หลินหยา”


“แล้วก็..อืม..ชื่อทางการนะ หากตามด้วยเอ๋อร์ จะนิยมใช้เรียกผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหรือรักใคร่เอ็นดูเจ้าค่ะ อย่างเรียกเด็ก ๆ เช่นนี้ ท่านแม่ของข้าก็เรียกข้าว่า หยาเอ๋อร์เช่นเดียวกัน” หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะนิดหน่อยแบบประมาณว่า อันนี้ถูกไหม


ชายหนุ่มก็พยักหน้าเพราะเธอยกตัวอย่างได้ถูกต้องดี…


แน่ล่ะ..ก็หลินหยาน่ะที่จวนสกุลหนานมีหนังสือมากมายก่ายกอง ถ้าจะไม่ได้ก็ไม่รู้จะยังไงแล้วล่ะ เพราะอะไรน่ะหรอ? ปกติอันนี้มันเรื่องพื้นฐานเลยนี้หน่า? สำหรับคนที่ต้องเข้าวงสังคมบางครั้งน่ะ เธอไม่ใช่คนไกลปืนเที่ยงนะ หลินหยาโดนท่านพ่อคัดตำราเป็นสิบยี่สอบเล่ม อาจจะถึงร้อยเล่มเลยก็ได้ เพราะว่าอะไรน่ะหรอ เป็นการฝึกคัดลายมือให้สวยงามไงล่ะ ถึงแม้ว่าหลินหยาจะไม่สามารถคัดลายมือให้สวยได้ก็ตาม อีกอย่างก็คือ ยิ่งคัดลายมือยิ่งหวัดเหมือนกับไก่เมายาบ้าเข้าไปทุกทุกทีด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเธอจำไม่ได้นะ เธอก็คงต้องโง่โคตร ๆ แล้วล่ะ เพราะคัดเป็นร้อย ๆ รอบจนตอนนั้นมือเต็มไปด้วยกลิ่นของหมึกสีดำติดมือเลยทีเดียว


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ถูกต้องทุกประการนะ ถึงจะมีบางอันแปลก ๆ ก็ตามเถอะ” โหรว ซางเมิ่งเอ่ยบอกแบบนั้นแต่ก็ตอบด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นว่าเด็กสาวตรงหน้าก็ไม่ได้เกินเยียวยาถึงเพียงนั้นหรอก


“ข้าจะได้เงินยังเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามต่อ เหมือนคนหิวเงินเหมือนเดิม… “ยัง..อย่าพึ่งใจร้อน” คุณชายผมขาวเงินเอ่ยพลางเกือบทำมือปางห้ามญาติว่าใจเย็น ๆ เถอะโยมอยู่รอมร่อ “อ้าว..ก็เมื่อกี้บอกว่าได้เงิน…โหย..ถ้าข้าไม่กลัวโดนฟันนะ ข้างอแงดิ้นชักกระเด้ว ๆ บนพื้นไปละ” โดยที่ประโยคหลังก็พยายามพูดเบา ๆ แต่ซางเมิ่งก็ได้ยินอยู่ดีแหละ รู้สึกคิ้วกระตุกใส่ยัยเด็กคนนี้จนอยากจะเขกหัวแต่ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวจะโดนหาว่ารังแกเด็กอีก


แสงไฟในยามค่ำของจัตุรัสตอนนี้ค่อนข้างมืดแต่ที่นี่คือเมืองหลวงที่สว่างไสวงดงาม แสงโคมรอบ ๆ ลอยอ้อนอิ่งอยู่ในสายลมออร่าออกมาจนมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างง่าย ๆ ขณะที่เหล่าประชาชนและผู้คนโดยรอบกำลังทยอยกันกลับบ้านเรือนหรือจวนของตนเอง ฝั่งหนึ่งของลานแห่งนี้ที่ร้างผู้คนก็มีเงาของบุรุธผมขาวเงินยาวพริ้วไหวพร้อมกับเด็กสาวหัวสมองไม่เต็มเต็งหน้าตาป่วงระดับร้อยล้านประจำตำบลนั่งเถียงกันข้าง ๆ คู ๆ กลางจัตุรัสนครฉางอัน 


โหรว ซางเมิ่ง ผู้มีตำแหน่งเป็นทูตนักเดินทาง ซึ่งก็อาจจะมีเขาคนเดียวในจักรวาล เอ็นพีซีที่หนักกว่าเอ็นพีซีตัวประกอบ เพราะมีแค่ชื่อกับหน้าตา..น่าสงสารจริง ๆ เลยนะ ยืนอึน ๆ หน้าหลินหยาเพราะเขาต้องทำการสอนขั้นตอนต่อไป “วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีหุงข้าวสาลีด้วยเตาถ่านฉบับนักเดินทางกันต่อ” เขาพูดพลางกำลังจะขยับมือไปหยิบถุงข้าวสาลีที่เตรียมมาไว้ในตอนแรก แต่ยังไม่ทันจะเอาออกมาเสียงของเด็กสาวก็เอ่ยขึ้นทันที


“สต๊อปปุ คุณชายซางเมิ่ง..” พูดพลางยกมือขึ้นในท่า มือปางห้ามญาติจากการเอาหัวพุ่งชนเข้าหม้อข้าว พร้อมกับเบิกตากว้างประหนึ่งพึ่งเห็นคนใช้หม้อทองคำหุงมาม่าในซอง แต่โลกนี้ไม่มีมาม่านี้..ช่างเถอะ ฮือ แต่เรามีบะหมี่! แน่นอนว่าน้องไม่ได้คิด คนเขียนคิดเอง น้องไม่เกี่ยว


“คุณชายจะหุงข้าวสาลีหรือ?”

“...ใช่”

“เป็นข้าวสวยหรอ!?” 

“...ใช่..”

“บาปศักดิ์สิทธิ์! ท่านทำอะไรกันเนี้ย!” พูดพลางทำท่าทางเหมือนโลกจะแตกเพราะว่าไม่เคยกินอะไรแบบนั้นเลยสักที หรืออาจจะเคยกินแต่ไม่ชอบก็ได้..ไม่แน่ใจเหมือนกัน “ใครเขาทำแบบนั้นกัน! ข้าวสาลีมันต้องหมักในถังไม้โอ๊ค! ทำเหล้า! กลั่นเป็นกลิ่นผลไม้! หอมหวานจิบเบา ๆ ยามเย็นใต้ต้นท้อสิบลี้! ใครมันจะเอามาหุงเป็นข้าวสวยกันเจ้าคะ! หาาาา!!!” หลินหยาพูดขึ้นอย่างตกใจ เธอแค่รู้สึกว่าทำแบบนั้นมันเสียของสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่หรอนั้นน่ะ ของแบบนี้มันต้องทำเป็นเครื่องดื่มสีเหลืองทองเข้มที่มีฟองเหมือนเก๊กฮวยบูดสิเจ้าคะ! 


ท่านชายผมสีขาวเงินยาวจ้องมองเด็กสาว เขาเงียบไปสองอึดใจ แล้วยกมือของตนเองนวดขยับเบา ๆ แบบที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กที่พึ่งค้นพบว่า วัยรุ่น คนนี้มี ‘เอกลักษณ์ทางความคิดเฉพาะทางชนิดมากเกินไป มาก ๆ แบบมาก’ เขาเหมือนพยายามกำลังคิดอยู่ว่าจะอธิบายยังไงดี “นักเดินทางส่วนใหญ่ก็กินแบบนี้กันเป็นปกตินะแม่นาง” เขาเอ่ยบอกแล้วมองเธอ หลินหยาถึงกับมองอีกคนค้อน ๆ นิดหน่อยเพราะยังคิดว่ามันเสียของอยู่เลย ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยต่ออีก “แม่นางคงเป็นลูกคุณหนูสักคนสินะ..สำเนียงเจ้าฟังแล้วเหมือนคนกว่างโจวแบบชัดเป๊ะมากเลยนะ”


หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ห๊าาา!!?” อ้าปากกว้างขึ้นก่อนที่จะยกมือกุมอกกุมใจตัวเองเอาไว้แบบคนโดนสะกิดบ้านเกิดแบบเดาถูกทะลุพิกัดของไส้ติ่งอันไร้ประโยชน์กันเลยทีเดียว “ท่านชายรู้ด้วยหรอ โห..เก่งจัดอ่ะ ท่านเดาสำเนียงข้าได้เป๊ะมากเลย ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาจากกว่างโจว โห..ท่านเก่งนะ นี่ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปเลยล่ะ สมแล้วที่เจอนักเดินทางมาเยอะจริง ๆ ท่านจับสำเนียงข้าได้ด้วยนะเนี้ย” นางเอ่ยพลางมองอีกคนแบบประมาณว่า เริ่มยอมรับจริง ๆ แล้วว่าเขาคือ ทูตนักเดินทางตัวจริงเสียงจริงเพียงหนึ่งเดียว


ท่านชายซางเมิ่งเมื่อได้ยินก็หัวเราะชอบใจเบา ๆ พลางโบกมือเหมือนกับคนชิล ๆ เพราะทำเด็กสาวที่ทำเอาเขาปวดหัวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วให้ยอมรับเขาได้สักกะทีหนึ่ง และเธอก็ตะลึงตึงงันจนเกือบลืมหายใจ “แม่นางนี่ตลกดีแฮะ ข้าดีใจที่เจ้าร่าเริงนะ นักเดินทางก็ประมาณนี้แหละ มีชีวิตมีชีวาบางคนมีปณิธานอันแน่วแน่ไม่ไหวติง นักเดินทางทุกคนล้วนมีเป้าหมายของตนเอง” ชายผมสีขาวเงินพูดแล้วระบายยิ้มอ่อนเพราะตอนนี้เขาก็โอเคนะ คุยกับเธอก็ไม่แย่อย่างที่คิดไว้ตอนแรก ตอนนี้เริ่มเหมือนคนทรงภูมิจริง ๆ แล้ว


หลินหยาเริ่มพยักหน้าทำท่าทางเหมือนคนที่เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วล่ะ “ข้าคิดว่าท่านชายขี้โม้อ่ะตอนแรกเลยนะ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วล่ะ ว่าของจริงจริง ๆ ท่านแม่ง โคตรเด็ด โหรว ซางเมิ่ง ทูตนักเดินทาง” พูดชื่อออกมาแล้วล่ะตอนนี้เต็มที่สุด ๆ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มแล้วหยิบถุงข้าวสาลีออกมา “งั้นตอนนี้ก็ลองหุงข้าวสามีเป็นข้าวสวยดูนะแม่นาง”


“...ต้องหุงจริง ๆ สินะ..เอาเถอะข้าก็ต้องหุงอยู่ดีแหละ เดี๋ยวอดได้เงิน” เอ่ยขึ้นอย่างสบายใจก่อนที่จะรับถุงข้าวสามีขนาดจับสองมือได้ไม่เป็นปัญหา หนักหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นถือไม่ได้หรอกนะ เหมือนถือถุงเมล็ดข้าวเวลาหว่านลงนานั้นแหละตอนนี้น่ะ หญิงสาวเหลือบมองไปโดยรอบ ในขณะนี้หมอกเริ่มลงแล้วเพราะความเย็นลงมาปะทะกับพื้นดินด้านล่าง ไม่สิ..มันเป็นอากาศเย็น ๆ มากกว่า ตอนนี้จัตุรัสฉางอันยามค่ำคืนเปลี่ยนโฉมเป็นสถานที่ฝึกหัดมาสเตอร์เชฟจำเป็นแล้วล่ะ


“แม่นางจะต้องต้มหุงข้าวสาลีอันนี้เองเพื่อประสบการณ์ของตนเอง ข้าไม่ทำให้หรอกนะ เจ้าจะต้องทำเองข้าจะบอกเพียงวิธีเท่านั้น” ชายหนุ่มเอ่ยบอก


“จริงหรอเจ้าคะ?”


โหรว ซางเมิ่งจึงพยักหน้าแบบว่า ใช่แล้วครับ ประมาณนั้น นี่แหละ ความเป็นจริงอันขมขื่นของนักเดินทางที่หิวแต่ต้องต้มของกินเองเสมอหากไม่อาจซื้อได้ยามเดินทางพักแรมในการเดินทางพร้อมเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงอย่างสงบเหมือนกับกำลังท่องบทที่จำได้มาเป็นพัน ๆ ครั้งแล้ว "ข้าวสาลีใช้เวลาหุงนานกว่าข้าวเจ้าทั่วไป ต้องใส่น้ำเยอะกว่าปกติ เพื่อให้เมล็ดมันอุ้มน้ำจนเต่งและปริขึ้นมา เวลากินจะได้หอมนุ่มไม่เหนียวเหนอะนะ รสชาติเข้มกว่า อยู่ท้องนานกว่า แต่ก็ไม่ได้นุ่มแบบข้าวสวยทั่วไป"


เมื่อพูดถึงตรงนี้หลินหยากลับยืนฟังนิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่ซางเมิ่งกำลังหวังว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่แย่หรอกนะในหัวของเธอน่ะ


“เอาล่ะ ฟังให้ดีนะแม่นาง ล้างด้วยน้ำเปล่าเหมือนล้างข้าวปกติ สัดส่วนคือข้าวหนึ่งส่วน น้ำสองส่วน จากนั้นให้ต้มน้ำให้เดือดก่อน แล้วค่อยใส่ข้าวลงไป หุงสักยี่สิบถึงสามสิบนาที แล้วแต่ปริมาณ” หลังจากบอกแบบนั้นเสร็จก็ขยับมือไปชี้ที่เตาตรงแผงมุมจัตุรัสเสียอย่างงั้น "ตรงนั้นมีเตาถ่านอยู่ ไปจัดการเลย" มีการชี้ทางบอกเสียด้วย


หลินหยามองไปทางตรงนิ้วที่ชี้ไป แล้วหันไปทางชายหนุ่มใกล้ตัวเอง 


"แผงคนอื่นปะเนี่ย!? เราจะแอบใช้ของเขาเหรอ!? ท่านนี่มัน...หัวขโมยประจำจัตุรัส!" ท่านชายโหรว ซางเมิ่งถึงกับอยากจะยกมือแล้วกุมขมับแต่สุดท้ายก็ขยับมือขึ้นปัดอากาศเหมือนกำลังบอกว่าคำกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง "ไม่ใช่ นั้นของข้าเอง แล้วก็คนอื่นเขาใช้กันมาตั้งนาน”


"ไม่เชื่อ! ท่านอาจจะแต่งเรื่องหลอกข้าก็ได้!" นางยืนกอดถุงข้าวไว้แน่น ทำตาขวางเล็กน้อยอย่างกับจะต่อยข้าวสาลีเองได้ถ้าจำเป็นขึ้นมาจริง ๆ ส่วนท่านชายตอนนี้ค่อนข้างปวดหัว แต่เขารู้วิธีรับมือเด็กสาวตรงหน้าแล้ว


“จะเอาไหมเงิน”


คำเดียวสะเทือนถึงเพดาน หญิงสาวสะดุ้งเฮือก แล้วหลินหยาก็ขยับตัวพุ่งไปเร็วเท่าเสียงของตัวเอง “ข้าจะทำ ๆ ทำเดี๋ยวนี้แล้วเจ้าค่ะ!” ว่านอนสอนง่ายแล้วรีบวิ่งไปราวกับเงินติดล้อทำให้มันเร็วขึ้นแหละ วิ่งไปตรงที่เต่าถ่านแล้ววิ่งกลับมาเหมือนจะถามว่าน้ำอยู่ไหน แต่ชายหนุ่มชี้โอ่งน้ำที่อยู่ข้าง ๆ …ประมาณว่า ตาถั่วเราะ? หลินหยาที่พึ่งเห็นก็ทำมือประมาณว่า ฉันเห็นแล้วค่ะ ขออภัยที่ตาถั่ว ถั่วอะไรก็ได้ห้ามเป็นถั่วเหลืองแล้วกันเดี๋ยวขิตขึ้นมาทำไงอ่ะ


ปึก!!


เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อแม่นางน้อยหลินหยาของเราใช้ฟืนท่อนหนึ่งทุบลงกับพื้นใกล้เตาถ่านเพื่อจัดตำแหน่งให้เข้าที่ราวกับกำลังจะปักธงชัยในสนามรบของตนเอง แล้วก็ค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงอย่างคนที่จริงจังกับของกิน แล้วค่อย ๆ หยิบก้อนฟืนอีกสองท่อนมาต่อซ้อนให้เป็นรูปฐานสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่ปิดเบี้ยวไปบ้างแบบคนที่ไม่ได้เรียงดี ๆ เน้นใช้งาน ไม่เน้นสวยงามน่ะนะ “งึม..ไฟเอ่ยไฟ..” หญิงสาวพึมพำเหมือนอยากจะร้องเพลงเสียให้ได้ เธอกัดปากแบบผู้กล้า เธอเริ่มจุดไฟพร้อมกับยื่นไปจ่อใบไม้แห้งกับเศษเชื้อไฟที่เตรียมไว้ ราวกับกำลังจุดตะเกียงแห่งโชคชะตา...แน่นอนว่าเปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นมาในทันใด


ไฟเยอร์ อยู่ในปาร์ตี้ร้อนแรงดั่งไฟเยอร์ เธอสวยเซ็กซี่ฮอตยังกะฟายเยอร์! 


“ไฟมาแล้ว!” หลินหยาเอ่ยขึ้นมาอย่างภาคภูมิสุด ๆ พัดมือเริ่มไล่ควันขึ้นไปมาก่อนจะยกหม้อดินขึ้นตั้งบนเตาเหมือนนักปรุงยาขั้นต้นในหอคัมภีร์สมุนไพร “ใส่น้ำสองส่วนต่อข้าวหนึ่งส่วน…งึม ๆ เอาล่ะประมาณนี้” เธอรำพึง ขณะกะปริมาณน้ำจากกะลามะพร้าวที่ใช้ตักราวกับกำลังรินน้ำลงเครื่องกลั่นยาอมแก้ไอโบราณ ระหว่างรอน้ำเดือดก็ไปล้างซาวข้าวสาลีไล่เศษไม้แล้วก็ฝุ่นออกจาเมล็ดให้เรียบร้อย พอน้ำเดือดปุด ๆ แล้วก็หันไปหยิบข้าวสาลีในถุงขึ้นมา มือหนึ่งส่ายถุงเบา ๆ มือหนึ่งลูบปลายคางอย่างนักวิจัย "มันคล้ายข้าว...แต่ไม่ใช่ข้าว…หน้าตาแบบนี้เหมือนเม็ดข้าวโพดกับงาขาวทะเลาะกันแล้วออกลูกมาอะ"


ท่าทางของเธอตอนนี้เหมือนคนที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง….หุงข้าว แต่ท่าทางเหมือนคนที่กำลังจะต้มเหล้าอย่างไรก็ไม่รู้จนชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่แทบกุมขมับ “แม่นาง..หุงข้าว ไม่ใช่กลั่นเหล้า" เสียงโหรว ซางเมิ่งดังขึ้นจากด้านหลังอย่างสุภาพแต่สั่นกล้ามเนื้อหน้าเบา ๆ


หลินหยาเบิกตากว้างทันที "อะไรนะเจ้าคะ!? แล้วจะไม่ให้ข้าคิดอย่างงั้นได้ไง! ข้าวสาลีคือวัตถุดิบของเหล้าท่านก็รู้! นี่มันเรียกว่ากลั่นได้เลยนะ!" นางพูดพลางคนข้าวในหม้อไปด้วยเหมือนจะค้นหาวิญญาณของเทพสุราในเมล็ด ชายหนุ่มทอดถอนใจเงียบ ๆ แต่ใบหน้าก็แอบอมยิ้ม "นี่มันข้าวไม่ใช่หมักโอ๊ค ถ้าแม่นางอยากหมักเอาไว้ตอนหลังเถอะ ตอนนี้หุงข้าว!"


หญิงสาวยักคิ้ว "น่าสนนะ…ถ้าเอาข้าวสาลีหุงสุกไปหมักแล้วเติมผลไม้ตามฤดูเข้าไป เช่น...ลูกหม่อนแดง ลูกพีชเหลืองสุกงอม หรือลิ้นจี่จากแคว้นใต้..." ดวงตาเป็นประกายราวกับค้นพบศาสตร์ใหม่ของโลก แต่กลับทำเอาชายหนุ่มผมขาวเงินถึงกับลูบหน้าตัวเองขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดเรียบ ๆ ว่า "ขี้เหล้าจังนะ ตัวแค่นี้"


“อะไรเล่า! ข้าไม่ใช่ขี้เหล้า! ข้าแค่...ชอบทำเหล้าเองต่างหาก! ข้าชอบปลูกต้นไม้ที่กินได้ ชอบกินผลไม้หลายชนิด!” นางประกาศเสียงดังราวนักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่งพร้อมกับวักน้ำต้มข้าวขึ้นมาดูการขุ่นของน้ำราวกับกำลังจับเวลาให้วิญญาณสุราบรรจบกับปฐพี กลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวสาลีเริ่มลอยแตะจมูก มีกลิ่นนวล ๆ แฝงกลิ่นคล้ายถั่วปนข้าวโพดปิ้งจนหญิงสาวอดเงยหน้าดมไม่ได้


“.....อี๋..กลิ่นถั่ว..” ทำหน้าเหม็นแหวะนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เหมือนถั่วเหลืองแบบนั้น มันมีกลิ่นเฉพาะตัวหน่อย ๆ เพราะงั้นเลยจะยังพอโอเคได้อยู่ เธอจะพยายามไม่เฉียดไปใกล้ร้านทำเต้าหู้แน่ ๆ เมื่อข้าวเริ่มพองหลินหยาก็ค่อย ๆ เขี่ยไฟให้เบาอย่างตั้งใจ จ้องหม้อราวกับกำลังประเมินวิญญาณของมัน "พอเดือดแล้วเบาไฟใช่มะ เอาแบบตุ๋น ๆ เหมือนกำลังทำพะโล้กันเลยอ่ะสิ..ไม่สิ แค่ 1 ถึง 2 นาทีสินะ"


เมื่อข้าวสาลีในหม้อค่อย ๆ คลายความร้อนของไอร้อนที่ร้อนระอุแล้ว เปลวควันค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาแตะจมูกของเด็กสาว กลิ่นหอมของเมล็ดข้าวที่บานสะพรั่งเต็งเต็มเมล็ดราวดอกไม้แห่งฤดูร้อนหรือใบชาแห้งที่คลายตัวในจอกชาผสานกับควันไม้ถ่านที่อบอวลเต็มเตา หลินหยาหยิบทัพพีไม้ขึ้นมาตักข้าวช้อนแรกขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมโตเบิกนิด ๆ อย่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเมล็ดข้าวนั้นเต่งและแวววาวราวกับไข่มุกสีทองซีด ๆ มันดู...น่ากินกว่าที่คิดอีกนะเนี้ย


โหรว ซางเมิ่งเดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมกับชามไม้ใบหนึ่ง ยื่นมาตรงหน้าเธอ "อันนี้ของเจ้าล่ะ ลองชิมตอนที่อุ่น ๆ ร้อน ๆ จะดีที่สุดหอมแล้วก็นุ่มกว่าด้วย” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าแล้วรับชามมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะยกมือขึ้นพนมมือแทบจะไหว้กราบแนบพื้น “ข้าวเย็น! ได้กินสักกะที!!” ดูเหมือนว่าเธอจะหิวมาตั้งนานแล้วนะเนี้ย ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นขอบคุณอีกรอบแล้วโค้งให้จนเส้นผมของตนเองตกระคนแก้มสีระเรืองนั้นอย่างน้อย ๆ แต่ยังมีรอยเปื้อนจากถ่านอยู่เลยริมฝีปากคลี่ยิ้มสดใสอย่างหาได้ยาก "ขอบคุณมาก ๆ นะ เจ้าคะ ข้าจะลองชิมแน่นอน!" ดวงตาของเธอเปล่งประกายระยิบระยับจนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแจกข้าวให้ลูกกระต่ายในร่างคน


“ถ้าหลังจากนี้แม่นางมีอะไรสอบถามเกี่ยวกับการเดินทางก็ลองถามข้าดูนะ ข้าอยู่แถวนี้แหละ” ท่านชายคนนั้นเอ่ยขึ้นมาแต่ตอนนี้หลินหยาเหมือนจะฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เพราะหิวข้าวมากกว่า หลินหยาเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้นแต่ก็รีบพยักหน้าหงึก ๆ แทนการตอบรับ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไหวตามแรงลมยามค่ำที่เพิ่งย่างเข้าสู่ยามโหย่ว และการพบกันครั้งนี้ มันคือสิ่งที่จะส่งเธอให้ไปได้ไกลมากขึ้น


แต่เดี๋ยวนะ…


หลินหยารีบวางชามข้าวแล้ววิ่งไปหาอีกคนที่กำลังจะเดินออกแบบเท่ ๆ …เด็กสาวเด้งตัวลุกพรวดขึ้นเหมือนสปริงกระตุก ตะโกนลั่นกลางถนนจนแมวข้างทางสะดุ้งเผ่นหนี "เดี๋ยวก่อนคุณชาย! ไหนเงินข้าล่ะ!!" เสียงหวานกังวานขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทะลุทะลวงเข้าไปในจิตใจของชายหนุ่มที่คิดว่าจะเดินออกจากฉากไปอย่างเท่ ๆ จนต้องชะงักเท้าแล้วหันหลังกลับมาช้า ๆ


"...หืม?" เขาเลิกคิ้วพลางยิ้มอย่างเซ็ง ๆ แบบคนที่เพิ่งโดนเด็กสาวจับไต๋ไม่ให้ลืมจ่ายค่าจ้างแต่ความจริงเขาแค่แกล้งเล่นเฉย ๆ "ที่ตกลงกันไว้น่ะ! ว่าถ้าข้าฟังเจ้าพูดจะได้ตังค์!" หลินหยาเดินดุ่ม ๆ เข้ามาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจราวกับผู้ตรวจการของกรมการเงินกลางสวรรค์ มือกอดอก คิ้วขมวดอย่างมีศักดิ์ศรีของหญิงสาวผู้ทำงาน(?) แลกเงินด้วยหัวใจ


ซางเมิ่งถอนหายใจอย่างยาวเหยียดราวกับจะปล่อยลมวิญญาณออกไปทั้งตัว "เหนื่อยกับเด็กชอบเงินจริง ๆ ให้ตายเถอะ หิวเงินเวอร์..." แต่ก็ยังไม่ลืมคำพูดตัวเอง เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วควักของสารพัดจากกระเป๋าหนังข้างเอวออกมา พร้อมกับร่ายเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนพ่อค้าในตลาดเช้า


เสียง กริ๊งง ของเหรียญทองหนัก ๆ ดังขึ้นในมือหญิงสาวพร้อมกับเหรียญตำลึงทองถึงห้าเหรียญสวยงามวาววับเหมือนเพิ่งออกจากโรงหลอม และตามติดด้วยเสียงกระทบกันของเหรียญทองแดงอีกสองร้อยเหรียญ อีแปะร่วงใส่ฝ่ามือเธอจนเกือบล้น ไหนจะกระเป๋าขนาดกลางหนึ่งใบ..ห่ออาหารยังชีพ!! โอ้ววว สุดยอดเลยเว้ยย นี้มันลาภปากสุด ๆ หลินหยารีบคว้าของทุกอย่างมากอดแน่นเหมือนคนไทยเพิ่งชนะล็อตเตอรี่ถูกหวยรางวัลที่ 1 สัก 10 ใบ ไม่ใช่มิจจี้จริง ๆ ด้วย กรี๊ดดดด ดวงตากลมโตกระพริบวิบวับเหมือนมีประกายดาวห้าดวงเปล่งประกายออกจากม่านตา "โอ๊ยย! ขอบใจขนาดดดท่านชายย!" เธอพูดเสียงหวานลั่น แล้วโค้งให้เขาอย่างเว่อร์ ๆ จนเกือบหัวโขกพื้น


นี้สินะ ลาภลอย(?) …ใช่หรอวะ?



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


รางวัล: +50 พลังใจ , +5 ตำลึงทอง , +200 อีแปะ , +25 EXP

กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ , ห่ออาหารยังชีพ(50) 1 ห่อ (เก็บไว้เปิดใช้ยามฉุกเฉิน)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 25 EXP โพสต์ 2025-6-5 18:15
โพสต์ 130100 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2025-6-5 09:56
โพสต์ 130,100 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-5 09:56

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +5 เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Admin + 50 + 5 + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-7 21:35:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ เจ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเว่ย เวลา 17.00 - 20.00 น.


         ช่วงเวลาเย็นของยามเว่ยกลับมาอีกครั้งหนึ่งที่ฉางอัน เพลาพลบค่ำคลี่คลุกคลุมพื้นดินสีทองด้วยแสงอันอุ่นรินจากฟากฟ้าเหนือมหานครฉางอันอันงดงามและยิ่งใหญ่ เงายาวของเรือนนั้นเอายอดต้นหลิวลู่ลมไปตามเสาของลำไม้ไผ่ใกล้ ๆ ที่ประดับประดาไปด้วยรายล้อมจัตุรัสกลางเมืองอันยิ่งใหญ่กลางจัตุรัสในเมืองที่ทอดยาวกับแผ่นหินดินที่ปูด้วยหินงามขัดที่เริ่มเย็นเฉียบเพราะลมเย็นยามค่ำแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาของฤดูร้อนก็ตาม พื้นดินนั้นเริ่มคลายความร้อนทำให้เกิดความมีไอและกลิ่นกรุนไอดินขึ้นอบอวลงดงามในยามค่ำแห่งนี้

         หญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายจีนโบราณสีซีดเดินมาที่นี่ด้วยความเงียบสภาพของเธอเหมือนผ่านศึกของการแบก ยก ล้าง ซัก ปัด ขัด ถู มาเกินสิบศึกในหนึ่งวัน นางกำลังก้าวเดินเท้าของตนเองเข้ามาอีกครั้งในสถานที่แห่งนี้ ที่เธอเคยมาพบกับใครบางคน แน่นอน คนนั้นก็คือคนที่เธอเคยบอกว่าเขาคือ ภูต ไง แต่ความจริงเขาเป็นทูตซะงั้นน่ะ ..เธอเคยมาเสี่ยงดวงจากการเสี่ยงโชคและชีวิต (จากการที่ทำให้ข้าวสาลีที่หุงเป็นข้าวสวยไม่ไหม้) มันก็อร่อยดีนะตอนนั้นน่ะ โชคดีไม่ต้องทำเต้าหู้ ไม่งั้นเธอตายก่อนแน่ ๆ เธอมองรอบ ๆ ที่ไม่ต่างกับวันอื่น ยกเว้นตอนนี้เธอกำลังมองหาเขา..

         “..อืม…ท่านชายโหรว ซางเมิ่ง..อีตาคุณลุงผมขาวเงินอยู่ไหนวะเนี้ย” พึมพำ ๆ แล้วเหมือนจะบ่นมากกว่าเรียกหาด้วยความสุภาพชน เธอพูดออกมาเหมือนกับการอัญเชิญเทพแปลกประหลาดที่มีคนผมประหนึ่งหมึกดิบที่ใส่น้ำซุปหลาค้างคืนแล้วปล่อยให้ตกตะกอนแล้วใส่แป้งมันเพิ่มด้วยผงกริตเตอร์…งึมงำ ๆ ดวงตาของเด็กสาวขยับไปมามองหาปัดป้ายไปทั่วจัตุรัสแห่งนี้ หญิงสาวหมุนร่างของตนเองเป็นครึ่งวงกลมนิดหน่อยแล้วกรอกตามองไปเหมือนคนที่กำลังรอรถม้าโดยสารที่ไม่มีวันผ่านทางมา (หรือเปล่า)

         “ไอ้หัวขาวมันหายไปไหนวะเนี้ย…ไม่อยู่หรอ?” บ่นเบา ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะทำไมเขาถึงหายากในตอนที่เธอต้องการความช่วยเหลือวะเนี้ย มันเจือกมาตอนที่ไม่ต้องการ แต่ดันตอนต้องการก็เสือกไม่มาอีก…

         แต่แล้ว…

         “กรรรรร….” เสียงครางต่ำ ๆ ก็ดังข้าง ๆ หูของหลินหยาแบบไม่ทันตั้งตัว ขนลุกของเธอลุกชูชันขาแทบสั่นเมื่อได้ยินอะไรแบบนั้น ตัวแข็งทื่อเต็มไปด้วยความกลัว “แง๊วว” เธอสะดุ้งอย่างรวดเร็วพรวดจนถุงผ้าข้างกายเด้งขึ้นจากแรงกระชาก แล้วเธอก็หันหน้าขวับไปทางเสียงอย่างระแวงและกลัวสุดขีดสุดชีวิต..สิ่งที่ปรากฎอยู่ในกรอบสายตาของเธอคือ ไอ้โบ้หมาจร…กรี๊ดดดดดดดดดดด

         หมา!!
         หมา!!!
         
หมาจรรรร!!

         มันไม่ใช่หมาน้อยตัวกลบตาหวานขนฟูแสนน่ารักที่มองคนด้วยสายตาอันน่าเอ็นดู แต่มันคทอหมาตัวผอมเกร็ง ขนหย็อง ข้างปากมีเศษอะไรก็ไม่รู้เหมือนพึ่งขุดอะไรจากซอกน้ำเสียข้างทาง แน่ ๆ …น่ากลัวมาก ๆ สีตาของมันเข้มประหนึ่งดุจนักเลงยุคจากห้าร้อนกว่าปีที่แล้ว หางมันกระดอกช้า ๆ เป็นจังหวะอย่างคุกคาม พร้อมกับค่อย ๆ เดินย่างก้าวเข้ามา เข้ามาเรื่อย…ๆ

         หลินหยาหายใจไม่ทั่วท้องตัวแข็งทื่อ เหงื่อผุดตามใบหน้า ภายในหัวมีคำพึมพำมากมาย ‘ซวยแล้ว..นี่มันโคตรซวย นี่มันคือบทลงโทษจากการที่ข้าแอบมองชายหนุ่มหล่อตอนที่อยู่ศาลเจ้าของสัจจเทพอี้เหอหรอ และแล้วเธอก็ทำในสิ่งที่มนุษย์ทุกคนที่กลัวหมาจะทำได้ด้วยการ… วิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่แล้วปีนแม่งเลยยยยยย ปีนเร็วเป็นลิง ปีนเร็วแบบวอกกก เดอะแฟรชช ช

         ฮึบบบ

         เท้าของเธอที่สวมรองเท้าขนาดพอดีเท้ากระแทกกับโคนต้นไม้ฝั่งทิศเหนือของจัตุรัสแห่งนี้ ต้นนั้นน่าจะเป้นต้นสนเก่าแก่ประจำสถานที่แห่งนี้ละมั้ง? แม่งเอ้ย โคตรบ้า ทำไมต้องเจอเรื่องซวย ๆ แบบนี้ตลอดเลยนะ หลินหยากำลังเกาะลำต้นไต่ขึ้นไปอย่างตะกุกตะกัก เสื้อผ้ากระพือเพราะลมจากความสูงเรื่อย ๆ ก่อนที่จะก้มลงมองหมาตัวยักษ์เขื่องด้านล่างที่กำลังยืนใส่เห่าเงาของเธอที่อยู่ใต้แสงจันทร์ โคตรบ้า.. เธอยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองขณะที่ขาเกี่ยวไม้เอาไว้…ไม่เอา ไม่อยากได้ยิน เธอกลัวมันมาก ๆ

      “โฮ่ง โฮ่ง ๆ โฮ่งงงงงง” มันยังคงเห่าอยู่

         “ปล่อยฉันปายยย ไอ้หมาบ้าา ออกไปน่าาา แกไม่รู้หรอว่าฉันไม่ชอบหมา ฉันเกลียดแกไอ้หมาป่า” บ่นแบบนั้นออกไปแทบอยากจะร้องไห้สุดท้ายก็มองหมาด้านล่าง “แกไม่ฟังฉันใช่ไหม ไอ้หมาบ้าา นี่แนะๆ นี่แน่ะ!” แน่นอนว่าสิ่งที่เธอทำคือหยิบกระชากใบของต้นสดแล้วโยนใส่หมาแบบไม่มีพลังงานสักกะนิดหนึ่ง เธอหอบหายใจบนกิ่งไม้กอดลำต้นแน่นพลางบ่นในใจแบบโหดร้าย

         ไอ้ตาหัวเงินขาวก็ไม่มาสักกะที ให้ตายสิวะ วันนี้มันวันอะไรวะเนี้ย..เดี๋ยวเถอะน่า

         ราวสิบนาทีผ่านไปมันก็ยังคงอยู่ตรงนั้นแม้ว่าจะเห่าเป็นระยะ ๆ ก็ตามที ในขณะที่กิ่งของต้นไม้บนต้นสนขนาดใหญ่นั้นไหวไกวเบา ๆ ตามแรงของลมยามเย็น เงาเงียบงันของเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังเกาะกิ่งไม้แน่นไม่คลายตัวราวกับเป็นลูกนกตัวเล็ก ๆ ที่หนีภัยจากอสรพิษ เหงื่อผุดทั่วไรผม เส้นผมยุ่งเหยิงติดข้างแก้ม หัวเข่าถลอกนิดหน่อยตอนที่ปีนขึ้นมาตรงนี้ ข้างแก้มมีใบไม้แปะอยู่เหมือนแต่งงานแบบผิดยุคผิดวาระสุด ๆ

         แต่แล้ว…ท่ามกลางความเงียบ เสียงของฝีเท้าแผ่วเบาราวกับเงาของเมฆก็ปรากฎตัวจากอีกฝากหนึ่งของจัตุรัส เป็นร่างของชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีขาวเงินสะท้อนแสงจันทร์ที่กำลังขึ้น เขาปรากฎตัวขึ้นราวกับพระเอกละครหลวง ท่วงท่าราวกับวาดจากพู่กันจีนที่ออกมาจาภาพวาดไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด…เสื้อตัวยาวแบบนักเดินทางสีขาวยังคงเหมือนเดิมที่สวมใส่ เขายังอยู่ในชุดอย่างกับคุณชาย เส้นผมยาวตกลงมาจากไหล่ของเขาแล้วเหลือบตามอง เขาทอดหางตามองเด็กสาวที่อยู่บนต้นไม้ด้วยสายตาที่ขบขันแต่แฝงแววของความอ่อนโยนตามฉบับคนมองเด็กแล้วขำน่ะ..

         “แม่นาง…เจ้าทำอะไรอยู่บนนั้นน่ะ ดูจันทร์หรอ?” เขาเอ่ยถาม เสียงนั้นทำเอาหลินหยาแทบคลั่งกลิ่งตกลงกิ่งไม้ไม่ใช่เพราะความตกใจ แต่อยากเอาเท้ายันหน้าของไอ้หมอนั้นสักกะทีจะได้ไหมน่อ ตอนนี้เธอกำลังห้อยขาราวกับลูกลิงโดนดัดนิสัยกำลังมองอีกคนที่กำลังถามเธอแบบนั้นอยู่ เธอขยับหน้าลงแล้วตอบเสียงสูงปรี๊ด

         “ข้าหนีหมามา..!! มันไล่เห่าข้าอ่ะ! แง้…มันโผล่มาเฉย ๆ เลยอ่ะ ข้ากลัวหมาจร! กลัวมาก ๆ เลยด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกอีกคนแบบนั้น ดวงตาของเธอนั้นกลมโตที่ดูจะฉ่ำน้ำเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะว่าร้องไห้หรอกนะ แต่เธอห้ามมันไม่ได้นี้กว่า ส่วนชายหนุ่มก็เลิกคิ้วออกมานิดหน่อยเขาไม่ได้พูดอะไรแต่ย่อตัวลงแล้วหยิบก้อนกรวดหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนเบา ๆ ไปที่เจ้าหมาที่ตอนแรกก็เกือบจะขู่เขาเหมือนกันนะ

         “เฮ้..ไป๊ ชิว ๆ ไอ้เจ้าสี่ขา ไปเล่นที่ไกล ๆ หน่อย ตรงนี้มีคนกลัวเจ้า”

         เสียง เปาะ ดังเบา ๆ ขึ้นมา ก้อนกรวดกระแทกพื้นใกล้เจ้าหมาตัวนั้นมันหันมองชายหนุ่มหัวขาวเงินแล้วแสดงสีหน้าเหมือนจะขู่ แต่เมื่อเห็นดวงตาของเขาแล้วมันก็นิ่งเรียบแล้วพ่นลมหายใจก่อนที่จะเหมือนมันไม่ชอบกลิ่นไอของชายผมขาวนั้นเสียเลย มันสั่นก้นของสุนัขอย่างไร้ศักดิ์ศรีแล้วรีบพาตัวเองวิ่งหนีไปทางถนนด้านนอกอีกฝั่งแบบไม่หันกลับหลังมาเลยสักนิด ส่วนชายหนุ่มก็เงยหย้ามองเด็กสาวที่กำลังห้อยอยู่บนต้นไม้เรียบ ๆ

         “แม่นาง ลงมาได้แล้วล่ะ เจ้าหมาตัวนั้นมันไปแล้ว” เขาบอก

         “แน่นะ??...มันไม่มีทางมาแล้วใช่ไหม? ไม่มีเสียงเห่าแล้วนะ?!” เอ่ยถามต่อ

         “ไม่มี ยกเว้นข้าจะเห่าแล้วเจ้าเห่าตอบ” ชายหนุ่มตอบแบบขำ ๆ

         ส่วนหลินหยาเมื่อได้ยินแบบนั้นก็เบ้ปากแล้วมองหน้าอีกคนนิดหน่อย “ข้าจะกัดท่านจริง ๆ ด้วยถ้าท่านพูดแบบนี้อีกรอบหนึ่งต่อหน้าข้า” เธอขู่อีกคนอย่างเก้อ ๆ ก่อนที่จะเริ่มขยับตัวแล้วค่อย ๆ ไต่ลงมาจากต้นไม้ต้นสนใหญ่นั้นอย่างทุลักทุเลาหน่อย ๆ ชุดกระโปรงของเธอยุ่งเหยิงแล้วก็มีเส้นผมที่ควรจะเรียบร้อยตอนนี้ยุ่งเป็นรังนก ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของเธอเหมือนเบิกโพลงแบบคนที่กำลังไปผ่านสมรภูมิรบไม่มีผิดสักนิดเดียว

         พอถึงพื้นปุ๊บ เธอก็เดินไปทางชายหัวขาวเงินทันทีแบบไม่ต้องคิด หอบอยู่ข้าง ๆ เขานิดหน่อย “ขอบใจท่านมากนะเจ้าคะ ..เห่อ ข้ากลัวมาจริง ๆ นะ ขนมันหยาบ ตาก็น่ากลัว เขี้ยวก็ใหญ่ แหลมโคตร ๆ แล้วข้าก็กลัวเสียงหมาเห่าด้วย…ข้าก็เลย..เห่อ” เธอเล่าบอกเขาเหมือนกับเหนื่อยกับมันเสียเหลือเกินกับสิ่งที่เธอพึ่งพบตอนนี้เมื่อครู่นี้ และชายหนุ่มก็รู้แน่ว่าเธอน่าจะกลัวมันจริง..

         “ทำไมถึงกลัวถึงขนาดนั้นเล่าแม่นางน้อย” เอ่ยถามแบบนั้นเพราะอยากรู้ ปกติคนทั่วไปออกจะชอบสัตว์ อย่างสุนัขมันก็น่ารักเหมือนกันนะ

         “ข้ากลัวการเห่าของมันแล้วก็ฟันของมันน่ะ..ข้าเคยโดนสุนัขไม่มีเจ้าของไล่กัดเมื่อช่วงเด็ก ตอนนั้นข้ายังปีนต้นไม้ไม่เก่ง แล้วก็พอปีนแล้วก้มลงมามองเขี้ยวสุนัขที่มันพยายามจะปีนขึ้นมามันก็ติดตาข้าสุด ๆ เลยล่ะเจ้าค่ะ”

         “อา…ทำใจนะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกสภาพเด็กสาวไม่สู้ดีเลยจริง ๆ

         “ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้นะเจ้าคะ…ข้าเริ่มไว้ใจท่านละนะเนี้ยท่านลุง” หลินหยาเอ่ยขึ้นต่อแบบนั้นแล้วระบายยิ้มขำนิดหน่อย ตอนนี้กลายเป็นคำว่าท่านลุงซะแล้ว “หืม?..แม่นางข้าไม่ได้แก่เพียงนั้น..เอาเถอะ อย่างน้อยเจ้าก็ยังดีอยู่ที่ขอบคุณข้าแหละ รอบหน้าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็หัดลงจากต้นไม้เร็วขึ้นด้วยนะ ไม่ใช่ปีนมันเป็นกระรอกกระแตแล้วก็ลงเป็นหอยทากถึงเพียงนี้” ชายหนุ่มเอ่ยบอกแล้วขำในลำคอของตัวเองเหมือนคนเจออะไรดี ๆ

         “ท่าน…ข้าจะกัดหัวท่าน ถ้าท่านล้อข้าอีก” หลังจากพูดเสร็จก็หรี่ตาแล้วมองหน้าอีกคน ท่าทางแล้วจะสนิทกับเขาพอสมควรดีนะ วันนี้โชคดีที่หมาไม่กัด และที่โชคดีอีกคือมีคนบางคนกัดหมาให้นี้แหละ

         ฟิ้ว ว ว วววว

         ขณะสายลมยามเย็นเริ่มพัดเอื่อย ๆ พลิ้วลูบไล้ร่างของเด็กสาวผมยุ่งผู้หนึ่งจากการปีนต้นไม้ หลินหยาก็ขยับไปเดินพิงต้นไม้ใหญ่แล้วจ้องมองกระเป๋าผ้าใบเก่าของตัวเองที่ท่านพ่อให้มาแล้วบ่นกับตัวเองนิดหน่อยเหมือนแมวอ้อนเหงาไม่มีผิด “ท่านชาย ข้าอยากได้กระเป๋าใหม่อ่ะ..แบบจุของได้เยอะ ๆ ใส่ของแล้วไม่ปริอะไรงี้ มีช่องลับด้วยก็ดี” เอ่ยบอกแบบนั้น ส่วนคุณชายโหรว ซางเมิ่งก็เหลือบมอง เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเหล่านักเดินทางจะต้องเจออะไรแบบนี้สักกะที ท่ามกลางเงาของต้นไม้และแสงจากกองไฟที่โดนจุดท้องฟ้างามยามค่ำคืน เขาก้าวถอยออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกระเป๋าของตนเองออกมาเห็นกระเป๋าอย่างอื่นมาประมาณ..สี่ใบ? เมื่อเปิดเห็นก็เห็นแบบนั้นแหละ เหมือนจะดูธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเลยล่ะ มีตั้งสี่ใบนี้หน่า

         “จะเอาอันไหนล่ะ? มีหลายอันเลยนะ ข้ามีแบบใบเล็กสองใบ แล้วก็ใบกลางอีกหนึ่ง ใบใหญ่อีกหนึ่ง จะเอาแบบใหญ่อย่างเดียวก่อนไหมล่ะ เผื่อเงินไม่พอ” เขาเอ่ยบอกแล้วทำมือเหมือนกับชี้ไปทางอันใหญ่ ส่วนหลินหยาที่เห็นก็เลยลองถามราคาไว้ก่อนดีกว่า “แล้วมันราคาเท่าไรอ่ะท่านชาย” เอ่ยถามแบบนั้นแล้วเหมือนจะคำนวณเล็ก ๆ ในหัว

         “หืม?...อ้อ กระเป๋าขนาดเล็ก ราคา 8 ตำลึงทอง ข้ามี 2 ใบ ส่วนกระเป๋าขนาดกลางกับกระเป๋าขนาดใหญ่มีอย่างละ 1 ใบ ขนาดกลางนี้ 12 ตำลึงทอง ส่วนขนาดใหญ่นี้ 20 ตำลึงทอง” เขาอธิบายบอกราคาของมัน ส่วนหลินหยาก็เบ้ปากเพราะราคาแม่งขูดเลือดขูดเนื้อโคตร ๆ เลยนี้หว่า..จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ก่อนที่จะมองเงินของตัวเองนิดหน่อย เปิดกระเป๋าผ้าใบเล็กมาดูว่ามีตำลึงทองเท่าไร เพราะเธอได้มาก็ไม่เคยใช้เลยสักครั้งเดียว..ตอนนี้มีอยู่ 80 ตำลึงทองว่ะ เหมาหมดเลยดีไหมวะ เผื่อมีค่าบริการแพงงี้อีกล่ะ

         “อืม..แล้วราคารวมทั้งหมดกี่ตำลึงทองอ่ะท่าน” เอ่ยถามต่อ

         “รวมแล้วก็ 48 ตำลึงทอง จะเอาไหมล่ะ? มีเงินถึงหรอ?” ท่านชายหัวเงินขาวเอ่ยถามหลินหยาเพราะเอาความจริงก็ไม่รู้หรอกนะว่านางจะมีเงินไหม? แต่เหมือนเขาจะลืมอะไรบางอย่าง ติดอยู่ที่ปลายลิ้นแต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกไป พอหลินหยาได้ยินก็พยักหน้าเพราะว่าราคามันก็รับได้อยู่สำหรับกระเป๋าที่น่าจะใส่ของได้เยอะขึ้น

         “เอาแล้วกัน เอาทั้งหมดแล้วก็ทุกใบเลย” หลินหยาพูดด้วยน้ำเสียงสดใส เธอหยิบกระเป๋ามากอดไว้ราวกับมันเป็นกองข้าวสารในฤดูอดอยากหรือฤดูหนาวหรือว่าสมบัติสักอย่าง ดวงตาเป็นประกายวิบวับอย่างกับคนถูกหวยตำลึงทองสิบถุงได้ละมั้ง ส่วนท่านชายโหรว ซางเมิ่งก็กลั้นขำนิดหน่อยก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พบกันมากันเลยทีเดียว

         “ข้าว่าแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะพยายามกัดฟันซื้อมันทั้งหมดนั้นแหละ ของพวกนี้ข้ามีไว้ให้นักเดินทางเริ่มต้นใหม่ทั้งนั้นแหละ ข้ามีไว้ช่วยเหลือคนอื่น และแม่นางก็ดูเหมือนจะใช้ประโยชน์กับมันได้จริงจังมากกว่าข้าเสียอีกนะ” เขาพูดพลางส่งกระเป๋าให้ทางหลินหยา ส่วนเด็กสาวก็ยื่นตำลึงทองที่นับแล้วได้ 48 ตำลึงทองพอดีส่งให้กับเขา

        “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

         “แต่ความจริงมันมีของที่ดีกว่ากระเป๋าธรรมดาพวกนี้อีกนะแม่นาง” ท่านชายผมขาวเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วนิดหน่อยเพราะว่าเธอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาหมายถึงอะไร “มันคือแหวนดาราจรัสน่ะ มันเป็นแหวนวิเศษที่สามารถเก็บสิ่งของต่าง ๆ ได้ในมิติเก็บของภายในซึ่งจะขยายต่อไปเรื่อย ๆ ไร้ที่สิ้นสุด ของทุกชิ้นจะยังคงสภาพเดิมแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดแค่ไหน เก็บได้ทั้งของกิน หินตีบวก หรืออย่างอื่น อาวุธ เสื้อผ้า ได้หมด ยกเว้นอย่างเดียวคือสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่ใส่ไม่ได้”

       “มันแรร์ขนาดนั้นเลยหรอเนี้ย..น่ากลัวจริง ๆ แล้วมันใส่ศพได้ไหม?

         …….

         ท่านชายอึ้ง…พึ่งเจอคนถามเป็นครั้งแรกว่ามันใส่ศพได้ไหม ยัยเด็กนี้จะทำตัวเองเป็นฆาตกรเราะ

         “เอิ่ม..เจ้าถามเอาจริงจังหรือยังไง..ข้าไม่มีมันเหมือนกันข้าจะไปรู้ไหมล่ะ” หลังจากพูดก็แทบจะกุมขมับกับสิ่งที่เด็กสาวมาถาม “มันเป็นของแรร์หายากสุด ๆ ราคามันประเมินค่าแทบไม่ได้เลย ขยายช่องได้เรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด แถมยังไม่ต้องแบกของให้ลำบากด้วย เป็นเจ้าไม่ดีใจหรอที่ได้ของแบบนั้น ไม่ใช่มาถามหาว่าใส่ศพได้ไหม”

         “ก็ท่านบอกว่ามันใส่อาหารได้ อาหารมันก็ศพสัตว์นำไปปรุงรสไม่ใช่หรอ? มันก็ต้องใส่ศพได้สิ? ศพคนอ่ะ ถ้าข้าจะฆ่าใครสักคน มีแหวนนั้นก็เก็บมันไว้ภายในตลอดกาลแล้วก็ไม่ต้องเอาออกตลอดกาล คนนั้นก็จะหายไปตลอดกาลละ” หลินหยาบอกแบบนั้นแล้วกระพริบตาปริบ ๆ พูดเรื่องน่ากลัวออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นเดิมที่เหมือนกับว่าในหัวของเธอมีความคิดอะไนที่มันแปลกกว่าคนทั่วไปอีกเยอะมากสุด ๆ เลยล่ะนะ หน้าตาเธอมุ่ยเหมือนคนที่อยากรู้จริง ๆ นะเนี้ย แต่มันก็คงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

         ตอนที่โหรว ซางเมิ่ง ยังคงยืนอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ที่เป็นต้นสนแห่งนี้สายตาของเขาก็ก้มมองเด็กสาวทีทำหน้ามุ่ยอย่าางเห็นได้ชัดเหมือนกับเธออยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างที่ตนเองอยากจะได้แหละ ดวงหน้าของเธอเบ้ปากนิดหน่อยเหมือนกับจะบ่นต่อออกมาด้วยแหละ “งึม..ข้าเป็นแค่คนธรรมดา จะเอาไอ้ของแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ พิสูจน์ความจริงหรอ? พวกที่มีของแบบนี้ได้ก็โน่นเลย คนที่อยู่ในวังหรือไม่ก็ขุนนางใหญ่ ๆ ที่มีแผ่นป้ายทองคำใช้สำหรับพวกเชื้อกระวงศ์กันละมั้ง คนอย่างข้าหรอ ใครเขาจะมาขายแหวนให้กัน..ก็นะ ตอนนี้ยังใช้ชีวิตอยู่กับการใช้อีแปะซื้อของอยู่เลย” เธอแค่นเสียงออกมาเล็กน้อยแล้วถอนหายใจไปสักหนึ่งทีเหมือนกัน ยกมือขึ้นปัดเศษไม้ออกจากไหล่เสื้อตนเอง จากนั้นก็หาววอดนิดหน่อย ท่าทางเหนื่อยใจพอสมควรเหมือนกันนะ ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเหนื่อยแต่ยังมีประกายของความอารมณ์ดีซ่อนอยู่ภายในของมัน

         “แต่ก็ขอบคุณท่านนะที่มาเล้าให้ข้าฟัง ฟังแล้วก็เพลินดี เหมือนได้เปิดหนังสือนิยายสักกะเล่มมาอ่าน เห็นภาพเลยล่ะ ใส่แหวนแล้วก็คงจะสวยละมั้ง” เธอทำท่าทางประกอบยกขึ้นนิดหน่อยแล้วทำท่าขำ เจ้าหล่อนยักไหล่ใส่ท่านชายใกล้ตัวเองท่าทางบ๊องแบ๊วแบบที่ใส่เห็นก็คงไม่มีคนนึกสงสัยว่ายัยนี้มันคิดจะยัดศพลงในไอเทมตำนานแบบแหวนระดับชาติงี้ ส่วนโหรว ซ่างเหมิงก็หัวเราะจนไหล่กระตุกนิด ๆ ก่อนที่จะบอก

         “ของบางอย่างน่ะมันไม่ได้มีไว้เพื่อพวกในวังเสมอทั่วไปหรอกนะ เจ้าเองก็อาจมีโอกาสได้ใช้มันในวันหนึ่งเหมือนกันใครจะรู้ล่ะ คนที่เหมือนธรรมดาที่สุดนั้นแหละ มักจะได้ของที่ไม่ธรรมดาในเวล่ไม่คาดฝันหรือคาดคิด” ท่านชายเอ่ยบอกกับทางหลินหยา เธอทำหน้าเบ้ปากใส่เล็กน้อย

         “แหม่…พูดซะเหมือนข้าเป็นตัวเองในตำราพิชัยออกเดินทางของอภินิหารอะไรแบบนั้นแหละ ไม่เอาหรอก เรื่องของใต้หล้า ข้าไม่เกี่ยว และไม่อยากจะยุ่งด้วย” บอกไปแบบนั้นก่อนที่จะหันหลังไปแบบเรียบง่ายกะว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย จะไปหาที่พัก ศาลเจ้าเหมือนเดิมแน่เรา เมื่อไรจะมีเงินกับเขาวะเนี้ย “ช่างข้าเถอะ ข้าไปละ ตอนนี้ข้ายังมีอีแปะอยู่สักหน่อยกับอะไรที่ควรกิน ไปล่ะ ไม่รู้จะเจอกันอีกหรือเปล่า แต่ก็ขอบคุณนะที่ขายกระเป๋าให้ข้าในราคาขูดเลือดขูดเนื้อข้าสุด ๆ …” เอ่ยประชดหน่อยแหละแล้วกะว่าจะเดินทางออกไป

         ดวงตาของโหรว ซางเมิ่งที่เดิมทีกำลังทอดมองเงาหลังของเด็กสาวด้วยแววขบขำขันขึ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเหมือนจำได้แล้วว่าสิ่งที่กำลังติดอยู่ที่ปลายลิ้นในห้วงความคิดของตนเองคืออะไร ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นมาพลางเอามือลูบคางตนเองแล้วพูดขึ้นราวกับพูดกับสายลมรอบตัว “แม่นางสกุลหลานใช่ไหม? เจ้าเป็นลูกสาวเจ้าเมืองกว่างโจวหรือเปล่า? สกุลหลานน่ะ” เสียงนั้นแม่ว่าจะไม่ดัง แต่ก็พอที่จะให้เด็กสาวที่กำลังจะเดินลิ่ว ๆ ไปข้างหน้าได้ยิน เธอหันกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางตอบเสียงสูงด้วยความระแวดระวังเหมือนไม่ไว้ใจคนที่ถามอะไรแบบนั้นเลยสักนิดเดียว..

         “ใช่สิ..ทำไม..ท่านจะทำอะไรข้า จะมาทวงเงินค่าบริการหรือไง ข้าไม่มีเงินหรอกนะ คนที่มีเงินมันพ่อข้า ไม่ใช่ข้า วันนี้ข้าไปทำงานมาตั้งหลายร้าน ขนของจนหลังแทบหัก ล้างจานจนมือเปื้อยเหมือนกันนะ” เธอเอ่ยแล้วถอนหายใจแบบคนที่ทำงานหนัก แต่ท่านชายกลับกลั้นหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วก้าวขึ้นมาเท้ากระบี่ของตนเองแล้วกอดอกด้วยท่าทางอย่างคนไม่สือสาหาความกับเด็กสาวแม้แต่น้อยสักครั้ง

         “ไม่ได้จะทวงอะไรสักหน่อย ข้าไม่ใช่คนหน้าเลือดแบบที่เจ้าพูด แต่ข้าพึ่งนึกได้ว่าเมื่อช่วงสายมีคนจากทางใต้ส่งของมา ทิ้งท้ายชื่อผู้รับว่า หลานหลินหยา เป็นของจากเมืองกว่างโจวน่ะ” ท่านชายพูดแบบสบายอารมณ์นิดหน่อย ส่วนหลินหยาก็เลิกคิ้ว ตัวเธอแข็งนิดหน่อยแล้วเงยหน้าขึ้นเอียงคอแบบที่เธอชอบทำเวลาประหลาดใจ ขนตางอนสะบัดเหมือนกับพยานยามคิด ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อยเหมือนจะมีแววของความดีใจลึก ๆ

         “ท่านพ่อส่งของมาหรอเนี้ย..” เสียงของหญิงสาวเหมือนจะเงียบไปในประโยคหลังชั่วขณะหนึ่งแล้วพยักหน้าราวกับจะชั่งใจว่าควรขำหรือว่าควรกระโดดไปขโมยลูกท้อท่านปู่อีกสักรอบดี แต่นั้นแหละเธอหายใจยาวแล้วโบกมือให้ “ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปเอาเดี๋ยวนี้แหละ ไหน ๆ ท่านพ่อก็ส่งมาให้แล้ว หวังว่าจะไม่ใช่จดหมายเตือนประจำเดือนแหละ” หลังจากนั้นเธอก็หันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้กับอีกฝ่ายที่ละม้ายคล้ายขุนนางสายเก็บความลับที่ไหนก็ไม่รู้ ก่อนที่จะยกมือขึ้นแล้วโบกมือแบบส่ง ๆ

         “ข้าไปแล้วท่าน ไปล่ะ วันไหนได้แหวนวิเศษมาก็เอามาอวดได้นะ เพราะคนอย่างข้าน่าจะไม่มีปัญญาซื้อใช้มันหรอก ไว้ข้าจะลองฆ่าหมาแล้วเก็บใส่แหวน อยากทดลองเหมือนกัน” เอ่ยขึ้นแบบนั้นแล้วหมุนตัวออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว ผ้าคลุมสีจือโบกไหวไปตามแรงเหวี่ยงแล้วหลินหยาก็ก้าว ฉับ ๆ ออกจากตรงนี้ด้วยความเร็วราวกับมีไฟสุมอยู่ที่ฝ่าเท้าตัวเองแล้วเดินทางออกไปจากนั้น ท่ามกลางสายตาของคนที่รู้ว่านักเดินทางกำลังจะไปในเส้นทางของตัวเองขึ้นทุก ๆ ที






พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ซื้อ:
กระเป๋าขนาดเล็ก (ขยายช่อง 10 ช่อง) 8 ตำลึงทอง - โควต้าคนละ 2 ใบ
กระเป๋าขนาดกลาง (ขยายช่อง 36 ช่อง) 12 ตำลึงทอง - โควต้าคนละ 1 ใบ
กระเป๋าขนาดใหญ่ (ขยายช่อง 50 ช่อง) 20 ตำลึงทอง - โควต้าคนละ 1 ใบ
รวม 48 ตำลึงทอง


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-6-7 23:13
โพสต์ 53419 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-7 21:35
โพสต์ 53,419 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-7 21:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-9 00:58:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ เก้า เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น.


           แสงแดดอ่อนแรงแรกของวันทอดตัวอย่างอ้อยอิ่งเหนือเส้นขอบฟ้าในยามนี้ นครฉางอันที่แสนเงียบสงบเมื่อกลางคืนเริ่มตื่นและเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในจังหวะที่หนักแน่นแต่ไม่เร่งร้อนแต่อย่างใด ผู้คนเริ่มตื่นแล้วก็หลั่งไหลสู่ถนนสายหลัก ทั้งแม่ค้า ทั้งลูกจ้างที่เปิดหน้าร้าน หรือขุนนางหนุ่มที่อาจจะยืนนัวเยนียอยู่หน้าร้านเกี๊ยวหอมเจ้าประจำ ขณะที่แสงแดดนั้นเริ่มกระทบกับผิวน้ำในสระกลางจัตุรัส เสียงน้ำไหลออกมาคลอคลึงอย่างแผ่วเบาไปกลับกลิ่นหอมของซาลาเปาและขนมจีบทอดที่กำลังตั้งเรียงรายเตาไอน้ำร้อนฉ่ากลิ่นหอมยามเช้า

           และตรอกทางด้านทิศใต้ เสียงฝีเท้าดังขึ้นสะท้อนแผ่นหิน และร่างเงาเล็ก ๆ คนหนึ่งก็กระโดดพรวดออกมาอย่างมีชีวิตชีวาราวกับลูกพีชที่กระเด้งหลุดออกจากตะกร้า หลินหลา สาววัยสิบห้าที่กำลังหลุดออกจากสถานที่อโครจรที่หอว่านหงเหริน วิ่งออกมาพรวด ๆ แบบคนที่ไร้ทิศ มือข้างหนึ่งยังหิ้วถุงปลาหวานร้อน ๆ ที่ตั้งใจจะเก็บเป็นของกินอาหารยามเช้าระหว่างทางไปทำงานที่ร้านผ้าซือโฉวกลางฉางอัน

           วันนี้เธออยู่ในชุดเรียบร้อยเหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อวานนี้ แต่ผมฟูนิดหน่อยคล้ายกับคนรีบ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ แถมยังสวมผ้าคาดเอวสลับด้านอีกต่างหาก ใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบคนที่มีชีวิตชีวาเสียเกินเหตุ ตอนนี้เธอมีพลังงานเต็มเปี่ยมจากการได้นอนแล้วล่ะ และยังได้ข้าวมากินอีกต่างหาก ท่าทางเป็นสุขสุด ๆ  "จั๊ง~ จั๊ง~ จ๊าาาาาา~ ขนมปลาหวานเจ้าเอ๋ย~ เจ้าคือรางวัลชีวิตของข้า~" เธอร้องเพลงแปลก ๆ ที่แต่งเองขณะเดินไปขยับเหยียบฟุตบาทหินของจัตุรัสกลางเมือง

           แต่แล้ว…ทุกอย่างก็พังทลาย..

           เสียงครืนคราด ๆ ของบางสิ่งที่ลากผ่านพื้นพร้อทกับเสียงรองเบา ๆ ก็ดังขึ้น

           “แง่ ว วว ววววว” หลินหยาหันขวับไปเท่าที่ได้เห็นกับแมวสีขาวลายดำตัวกลมพุงย้อยในระดับที่น่าเป็นห่วง แล้วมองหน้าของเธอ หลินหยาแทบกรี๊ดเพราะเธอชอบแมวมาก ๆ เลยล่ะ ก่อนที่จะก้มลงแล้วเหมือนจะเล่นกับมัน “ไงเจ้าเหมี๋ยวว ว ว มาเล่นกับพี่สาวไหมเจ้าคะ?” นางเอ่ยยิ้มหวาน ก่อนที่จะยื่นมือนั่งยอง ๆ ลงหาเจ้าแมว มันควรจะเป็นอะไรที่ดีใช่ไหม? แบบเหมือนสโนว์ไวท์ที่เล่นกับสัตว์งี้ แต่ไม่..

           มันร้องอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเดินมาอ้อนให้ทาสตายใจก่อนที่ ควับ!! มันกำลัง..คาบ..ปลาหวานของเธอด้วยท่าทีหน้าด้านหน้าทนแบบ ไอ ด้อนนน แคร์!! มันหลอกตรู!! แถมยังวิ่งหนีไปแล้วด้วย มันคาบปลาแล้วก็วิ่งลากขึ้นหลังคาบ้านบ้าง ต้นไม้บ้างแล้วก็กระโดลงอีกฝั่งแบบมืออาชีพ ไอ้แมวตะกระ! แกทำอะไรกับปลาหวานของฉันนนน!!

        “เจ้าแมวขโมยยยยยยย” เสียงโวายวายของหลินหยาดังขึ้น เด็กสาววิ่งกรีดเสียงแล้วไล่ตามไปแบบไม่คิดชีวิต รองเท้าของเธอตีพื้นถี่ ๆ ดังลิ่น วิ่งผ่านร้านค้า วิ่งผ่านบนแต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ปลาหวานคืน เจ้าแมวบ้าา ม่ายยยยน่าาา ถ้าจับได้ ฉันจะจับแกฟัดพุงให้พอใจเลยยยย  "ขอโทษค่ะ! ข้าโดนแมวขโมย!" เอ่ยขอโทษคนอื่นตามนั้น วิ่งมาโค้งแล้ววิ่งต่อโดยที่แน่นอนว่าตอนนี้มันแย่มาก ๆ นั้นอาหารเช้าของเธอนะ! แมวตัวนั้นพุ่งกระโดดผ่านกลุ่มคนที่เหมือนกำลังตั้งอะไรกันอยู่พร้อมป้ายโฆษณา อะไรดียี่ก็ว่าดี อะไรงี้ แล้วมุดใต้โต๊ะของพวกเขาไปเรื่อย หลินหยาก็พุ่งตามไปเป็นเดอะแฟรช ช ช ฟิ๊ว ว ว

           จนในที่สุดแมวมันก็พุ่งไปที่ริมกลางจัตุรัส หลินหยาเร่งฝีเท้าสุดชีวิตของเธอ!! “อย่านะะะ นี้ตำรวจจจ จ  อย่าทำแบบนี้กับข้านะเจ้าขนปุย!! ปลาหวานนั้นของข้านะ!” เธอตะโกนไล่แมวแต่โชคชะตาของสาวน้อยผู้อ่อนแอและเพลียงพล่ำให้กับความนี่ารักของแมวก็เล่นตลกอีกรอบ พื้นชื้นจากละอองของน้ำค้างยามเช้า พื้นหินในจัตุรัสฉือจิ่งชานอาจดูสวยงามและสะอาดสะอ้านในยามเช้า แต่อย่าได้หลงเชื่อมันเด็ดขาด โดยเฉพาะถ้าเมื่อคืนมีน้ำค้างมาแผ่ว ๆ พอให้ทิ้งความลื่นบางเฉียบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทว่า หนาน หลินหยา หญิงสาวผู้อาภัพปลาหวาน และขาดโชคในระบบแรงเสียดทานของพื้นโลก กลับตัดสินใจวิ่งเต็มฝีเท้าในเขตนี้ราวกับถูกเทพล่าชะตากรรมสะกดให้วิ่งตามแมวราววิญญาณขอส่วนบุญ และมันก็ยังคงลื่น…ใช่..ลื่นและเธอก็…
           ลื่นนนนนน
           พรวดดดดดดดดดด


           "เหวอออออ!!!"
           
แอ๊ค!!!

           เท้าสไลด์หน้าพลาดจนเซถลาพุ่งตัวไปตามแรงเหวี่ยง ก้นจ้ำเบ้ากระแทกพื้นหินดังแอ๊ค!!! จนหน้าเธอเหยเกไปด้วยความเจ็บ..เจ็บแบบ พระเจ้า ตูดแทบหัก!! โอ้ยยยยย ก้นฉันนนไม่แตกไม่ตาย แต่ก้น..ก้นฉัน..ก้น..ก้นของหลินหยา กระแทกเข้ากับพื้นหินลานจัตุรัสอย่างแรงราวกับมีใครโยนผลแตงโมตกจากหอสูงกลางตลาด ใบหน้าหญิงสาวบิดเบี้ยว เส้นผมกระเซอะกระเซิง เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วค่อย ๆ อ้าปากช้า ๆ

           “โอ้ย…แม่เจ้า..ก้นข้า..ก้นข้าหักไหมเนี้ย” เสียงเธอรองแผ่วต่ำออกมาร่างยังขยับไปไหนไม่ได้เหงื่อผุดออกมาจากไรผมทั้งที่อากาศยังไม่ร้อนถึงขนาดนั้น เธอเหงยหน้าขึ้นมองหาเจ้าแมวแล้วหันไปเห็นแมวกำลังนั่งเลียปลาอยู่บนหลังคาเงียบ ๆ “อย่าให้ฉันเจอแกอีกนะ ไอ้แมวผี ฉันจะจับแกต้มกินกับอึ่งเสียนี้” พ่นคำบ่นอุบ เพราะตอนนี้แมวอ้วนมันได้ปลาหวานของเธอไปครอบครองเสียแล้ว…พร้อมกับก้นของหลินหยาที่เจ็บอยู่

           “โอ้ยยยยยย ก้นฉันนน...ไม่แตก...ไม่ตาย...แต่ก้นนน...ก้นนน…!!”

           หลินหยาเงยหน้าขึ้นเผชิญสายตาของบุรุษร่างสูงผู้หนึ่ง ใบหน้าคมเคร่งขรึมแบบที่เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่า…เขาไม่เคยหัวเราะมานานนับสิบปี ดวงตาคู่นั้นมองต่ำลงมาที่เธอ ไม่ใช่ด้วยความเวทนา…ไม่ใช่ด้วยความรำคาญ…แต่ด้วยความนิ่งสงบที่ราวกับเขาเคยเห็นโลกนี้แตกมาแล้วสี่รอบและไม่แปลกใจอีกต่อไป

           ชายปริศนาที่นางไม่เคยรู้จักชื่อ คนที่มีคิ้วเหมือนคมดาบมีด คนที่เธอชอบเรียกเขาใมนใจว่าหิมะในฤดูเหมันต์…และที่สำคัญเขาเห็นหมดแล้ว

           หลินหยาพยายามที่จะหันหน้าหนี..อายแบบอยากจะทรุดลงไปในพื้นดิน ดำดินหายไปเสียเดี๋ยวนี้ให้ได้..จะขยับก็ปวดก้นแบบไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี.. ขยับก็โอย ตรงนี้ก็โอย หน้าตาตอนนี้คงดูไม่ได้ ไม่สิ สภาพน่าจะดูไม่ได้มากกว่า..สำหรับชายหนุ่ม(?) เด็กสาวตรงหน้าเมื่อวานดูอมทุกข์ แต่วันนี้กลับพลังงานเหลือล้น จนชวนงงว่าปกตินางเป็นคนเช่นไรกันแน่ แต่ถามว่าสำหรับหลิวอัน เขาใส่ใจหรือไม่ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับสตรีที่อายุอานามน่าจะน้อยกว่าบุตรสาวของเขาเสียด้วยซ้ำ.. หลิวอัน มองแบบเหมือนคนพิจารณาแต่ดวงตาว่างเปล่าราวปลาตายซาก

          “...ขออภัยเจ้าค่ะ..ข้าไม่ควรโวยวาย” นางพูดเสียงแห้งเบา ๆ ขณะที่มือพยายามขยับตัวนิดหน่อย ก้นยังแนบพื้นแน่นเพราะไม่แน่ว่ามันจะไหวหรือเปล่า ชายหนุ่มผมยาวไม่พูดอะไร แต่แล้วก็เหมือนตัดสินใจด้วยความเวทนาเพราะมองเห็นบุตรสาวตัวเองผ่านนางอีกครั้งหนึ่ง เพราะบุตรสาวตนก็ชอบมีแผลกลัยจวนมาไม่เว้นวันเลยทีเดียว..

           มือข้างหนึ่งยื่นออกมาช้า ๆ ตรงหน้าของหลินหยา ไม่ใช่ในแบบของบุรุษที่ใจดีช่วยเหลือเด็กสาวที่กำลังตกระกำลำบาก แต่เป็นเหมือนของคนที่บอกว่า ลุกซะ จะได้ไม่ขายขี้หน้าไปมากกว่านี้ เสียอย่างงั้นแทน

           หลินหยาเหมือนจะอ้าปากค้าง แล้วเงยหน้า เธอกลืนน้ำลานแล้วขยับนิ้วเรียวงามแสนอ่อนนุ่มไปจับมือที่แข็งกระด่างเหมือนคนที่จับกระบี่และเล่นเกมการเมืองมาตลอดชีวิตแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ครั้งแรกที่มือทั้งสองแตะกันอย่างเป็นทางการ มือของหลินหยาอ่อนนุ่ม มีลักษณะด้านของนิ้วบางส่วนที่ดูอย่างไรก็คงผ่านการเขียนหรือคัดลายมือมามากจนมีตุ่มไตขึ้นแข็ง ๆ มือกระด่างแห้งไม่เหมือนสตรีรักสวยรักงามจากการที่นางคงจะทำงานหนักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มือของเขาอุ่นแต่ปลายนิ้วเย็นเฉียบดั่งเช่นนิสัย มั่นคง หนักแน่น และดึงโดยแทบไม่ต้องออกแรง ราวกับเธอเป็นเพียงปุยนุ่น..

           ทันทีที่หลินหยาลุกเธอแทบทรุดลงไปเพราะความร้าวของก้นที่กระแทกพื้น..เธอกัดฟันแล้วเหมือนจะทนได้อยู่นิดหน่อย..หลินหลาก้มลงหน้าเหมือนกับคนที่ทำผิดแล้วหดหู่อย่างไม่เต็มใจที่ให้อีกคนมาช่วย เสียงของเธอเบากว่าเดิม “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านชาย..” นางเอ่บอกเขาแบบนั้น

           อ๋องหลิวอันที่มองนางไร้อารมณ์ของความพิศวาสแม้แต่สักนิดก็ไม่มี เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเรียบเย็นเช่นเคย “เจ้าเสียงดัง” เขาทำเพียงแค่นั้นแล้วหันหลังกลับออกไปจากตรงนี้ หลินหยามองเขาเขานิดหน่อย มองหน้าหล่อที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาคิดเช่นไร หรือเขาเป็นใครก็ตาม เธอยังยืนนิ่งเพราะยังขยับไปไหนไม่ได้จากการปวดก้น บางครั้งเธออาจจะต้องไปให้ท่านหมอรักษาตอนที่ไปทำงานที่โรงหมอ…

           ปวดมาก…วันนี้คงทำงานลำบากแน่ ๆ ยืนก่อนแล้วกันแล้วค่อยไปทำงาน ฮ์ออ ปวด



@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

หลิวอันถามคุณว่าสนใจลองชิมเต้าหู้งาดำ สูตรใหม่ที่เขาเพิ่งคิดไหม  โพสต์ 2025-6-9 01:10
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-6-9 01:08
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-9 01:07
โพสต์ 23653 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-9 00:58
โพสต์ 23,653 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-9 00:58
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-9 01:51:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-9 02:14


วันที่ เก้า เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. (ลาภลอย)


          พื้นหินของจัตุรัสยังอุ่นอยู่บนพื้นแม้ว่าร่างของหลินหยาจะยืนมาได้แล้วทิ้งไว้เพียงรอยกระแทกในระดับที่สามารถเรียกวิญญาณออกจากก้นและออกจากร่างได้ชั่วคราว เธอกำลังยืนบ่นกับตัวเองกุมสะโพกข้างซ้ายพลางถอนหายใจเฮือก ๆ เพราะว่าตอนนี้ก็เสียสูญทางสรีระไปแล้วครึ่งหนึ่งจากร่างกายช่วงล่าง ไหนจะเสียสูญทางศักดิ์ศรีไปอีกแปดส่วนกับการที่จะต้องให้ชายหนุ่มไร้ชื่อที่นางไม่เคยถามว่าเขาเป็นใครและเขาก็ไม่ถามว่าเธอเป็นใครเหมือนกัน แต่ก่อนที่เธอจะได้เดินออกจากจัตุรัส เสียงฝีเท้าเงียบ ๆ ก็ดังเข้ามาใกล้ ๆ ของเธออีกครั้ง…เขากลับมาทำไมละเนี้ย

          เขา?....มาทำไม? กลับมาทำไมไม่อายบ้านนาแล้วนวลน้องงงง

          หลินหยาหนขวบไปมองชายสวมเสื้อสีดำผ้าเนื้อดีที่มีกลิ่นของความนิ่งที่ราวกับโลกไม่สามารถเร่งเวลาเขาได้ ชายหนุ่มมองทางเธอสายที่ไม่อาจอ่านได้อารมณ์ยากเย็นยิ่งนักเกินกว่าจะเอ่ย สายตานุ่มลึกมองต่ำมาทางมือของตนเองที่มีอะไรบางอย่่งอยู่ มันคือกล่องไม้ขนาดเล็กที่บรรจุบางอย่างอย่างเรียบร้อยหรูหรา..แพงแน่เลย?.. แต่ทำไมเธอรู้สึกเหมือนชะตาจะขาดอยู่มะรอมมะร่อยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน...

          “เจ้ายังดูเดินไม่ไหว อาหารเจ้าคงโดนแมวกินไปหมดแล้ว นี้เต้าหู้งาดำสูตรใหม่ สนใจลองไหม?” ประโยคของเขาไม่ใช่ประโยคอ่อนโยน แต่มันเรียบ เย็นและอาจเผลอคิดเกินไกลว่าห่วงใยลึก ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่หลินหยากลับกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะระบายยิ้มบาง ๆ

          “ท่านชาย ท่านเป็นคนทำเต้าหู้ขายเองหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม แหม่ตอนแรกก็นึกว่าคนใหญ่คนโตที่ไหน ที่แท้ก็พ่อค้าขายเต้าหู้นี้เองหรอ? หลิวอันไม่ได้ปฎิเสธ เขาทำเพียงพยักหน้านิด ๆ ช้า ๆ เหมือนจะจับนางเป็นหนูทดลองเมนูสูตรใหม่ของตนเอง

          “เต้าหู้ไม่ใช่ของยากนัก หากเจ้าเข้าใจวิธีที่จะจัดสมดุลของเมล็ดถั่วเหลือง งาและไฟ..” เขาเอ่ยบอก หลินหยาแทบจะขมวดคิ้ว..หมอนี้มันพูดมากกว่าเดิมอีกเว้ย..พอเป็นเรื่องเต้าหู้แล้วพูดเป็นต่อยหอยเลยนี้หว่า.. “โห..ท่านชาย ดูเป็นงานอดิเรกที่สุขุมจริงจังชะมัดเลยเจ้าค่ะ” นางพูดบอกแต่แล้วก็เสียงเบาแล้ว พลางยิ้มจางที่มุมปาก “แต่ข้าคงต้องขออภัยท่านเป็นพันครั้ง ข้าแพ้ถั่วเหลืองเจ้าค่ะ อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมของมัน ข้ากินไม่ได้จริง ๆ” นางบอกแบบนั้น แต่ไม่ได้บอกว่ากินเท่าไรถึงจะไม่เป็นอะไร เพราะเอาตรง ๆ กินแม้แต่นิดเดียวก็พร้อม Go To โรงหมอได้เลย พลางบอกแบบนั้น เอาตรง ๆ ไม่กล้าบอกว่าแพ้หนัก เพราะอีกคนเป็นถึงพ่อค้าเต้าหู้(แน่นอนว่าคิดเองเออเอง) เพราะงั้นเขาต้องชอบเค้าหู้มาก ๆ การบอกว่าเธอไม่ชอบมันหรือกินมันไม่ได้ก็เสียมารยาทพอแรงแล้ว อีกอย่างเขายังยื่นความดีมาให้อีก การปฎิเสธก็ลำบาก

          เขานิ่งไปชั่วครู่หนึ่งไม่แสดงสีหน้าเสียใจหรือกระทั่งผิดหวังแม้แต่น้อย ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วเอ่ยต่อ “มันทำจากเมล็ดงาดำชั้นดี กับถั่วเหลืองไม่ตัดแต่ง อาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้” เขาเอ่ยบอก แล้วหญิงสาวก็เหมือนหัวเราะนิดหน่อย คำว่าอาจจะนั้นฟังดูอันตรายกว่าข้าวบูดเสียอีก เพราะข้าวบูด หากมันอยู่ในถังโหลก็กลายเป็นเหล้าจากข้าวได้เหมือนกัน..แต่…ก็นะ..

          เธอขยับมือเอื้อมมาหยิบของจากล่องของเขาอย่างระมันระวัง มันหอมดีนะ? เธอไม่ได้กินมานานเท่าไรกันแล้วนะ “ครั้งสุดท้ายที่เคยกินถ่วเหลืองก็น่าจะสัก..สิบปีก่อนละมั้งเจ้าคะ” นางเอ่ยบอก เธอเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่รออยู่เงียบ ๆ ก็รู้สึกว่าถ้าไม่ชิมเลยก็คงไม่ดีนัก จึงขยับเปิดมันมา แล้วลองตักชิมเต้าหู้งาดำที่ตัดเป็นชิ้นเล็กจากใบไผ่ มันโดนรองไว้อย่างดีแสดงถึงความใส่ใจของคนทำที่เป็นขั้นสุด..เอาว่ะ สักหน่อยก็คงจะดี อย่างไรเสียเขาก็ทำมาจะได้ไม่เสียหาย ถ้ากินได้ก็ดีไป ถ้ากินไม่ได้ก็แค่โรงหมอแหละว่ะ หมอที่ฉางอันเก่งอยู่แล้ว ใช่ไหม สาธุ ขอให้พระแม่หนี่วาหรือสัจจเทพอี้เหอช่วยลูกด้วย ผลักอะไรมาก็ได้แต่ไม่ใช่ความตายก็พอ

          มันอุ่น กลิ่นหอมละมุน ละเอียดอ่อน คล้ายกลิ่นงาคั่วใหม่ผสมกลิ่นไม้บาง ๆ ลอยแตะจมูกชวนให้นึกถึงครัวเงียบ ๆ ในฤดูฝน และมือของใครบางคนที่คอยทำมันอย่างเงียบ ๆ คนเดียว รสชาติกลมกล่อมในตอนที่ลิ้นสัมผัส เนื้อเนียนนุ่มละลายในปากที่ปลายลิ้น ละลายลงสู้เส้นประสาทกระดูก …อืม…

          ไม่แย่…เอ่อว่ะ…ไม่แย่เลย..

          เธอเคี้ยวสองสามทีแล้วพูดขึ้น “อร่อยเจ้าค่ะ..ไม่แย่เลย…” กำลังจะคิดว่าอยากจะกินต่อ ปกติเต้าหู้จะเหม็นกลิ่นถั่วเหลืองแต่มันมีกลิ่นงาดำมากลบ เลยรู้สึกว่ามันดีกว่าปกติ แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็เหมือนกับจะเบิกโพลงนิดหน่อย มือแตะที่ลำคอ ลมหายใจเริ่มติดขัดน้อย ๆ …ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร เสียงในลำคอเป็นแบบเริ่มกึ่งสำลัก กึ่งพยายามกล่ำกลืน นางแพ้จริง แพ้หนักด้วย…หลิวอันไม่เคยเจอคนแพ้เต้าหู้มาก่อน นางน่าจะแพ้หนักจากที่ดู เพียงแต่นางไม่ได้บอกชายหนุ่ม อาจเพราะนางเกรงใจ เพราะเขาก็ช่วยนางมาหลายรอบและเขาเองก็บอกว่า อาจจะไม่แพ้ก็ได้ คงอยากให้ได้ลองของดีหรือของอร่อยนั้นแหละ ตามประสาคนชอบทำสูตรอะไรไปเรื่อย

          “เจ้า.....แพ้มากหรือ?”

          หลินหยาเหมือนจะหยักหน้า พยายามระบายยิ้ม “ข้า ข้าไม่เป็นอะไรท่าน” เอ่ยบอกแบบนั้นไป..แต่เธอเริ่มคัดจมูกแล้วหายใจลำบากขึ้นทึกที ๆ เสียแล้ว “...ใครบอกว่าอาจจะไม่เป็นอะไร คือเหตุผลที่ดีพอให้เสี่ยง” ชายหนุ่มบอกเช่นนั้น หลินหยาที่ยังปวดก้น เธอแทบหายเป็นปลิบทิ้ง..เพราะตอนนี้..เธออาจจะกำลังอยากจะล้มแล้วล่ะ




@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

ดูใน PM  โพสต์ 2025-6-9 02:30
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-9 02:30
โพสต์ 15473 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-9 01:51
โพสต์ 15,473 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-9 01:51
โพสต์ 15,473 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-9 01:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้