เจ้าของ: Admin

[ตลาดตะวันออก]

[คัดลอกลิงก์]

1

กระทู้

21

ตอบกลับ

357

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
171
ตำลึงทอง
100
ตำลึงเงิน
100
เหรียญอู่จู
10880
STR
3+2
INT
6+0
LUK
5+2
POW
5+0
CHA
0+5
VIT
2+2
คุณธรรม
103
ความชั่ว
0
ความโหด
73
โพสต์ 2025-6-26 23:15:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ประวัติตัวละคร

ตลาดตะวันออก


เส้นทางกลับตำหนักที่ควรใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม กลับยืดยาวจนเว่ยชิงแทบนึกว่าตนพาองค์หญิงเสด็จอ้อมแคว้น

กระหม่อมเห็นว่าควรรีบเสด็จกลับก่อนฟ้ามืดพ่ะย่ะค่ะ ” เว่ยชิง กล่างกับองค์หญิงที่ตอนนี้พยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด

นางทำท่าทางว่านอนสอนง่าย หรูเหมยพยักหน้าช้า ๆ เหมือนจะเข้าใจ แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย “ ข้าหิว

น้ำเสียงนั้นทำให้ดูว่าน่าสงสารเสียเหลือเกิน

" งันกระหม่อมเกรงว่า พระองค์ต้องรีบกลับแล้ว " แม่ทัพกล่าว

นางพยักหน้าอีกครั้งอย่างสงบเสงี่ยม ริมฝีปากเม้มสนิทไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่ดวงตากลมใสกลับจ้องร้านเกี๊ยวข้างทางไม่วางตา " แต่ข้าจะแวะตรงนั้นก่อนได้หรือไม่ "

เว่ยชิงจำใจจะต้องพยักหน้ารับ แม้แววตาจะฉายแววกังวลแต่ก็มิอาจขัดคำขอขององค์หญิงได้ เขาเดินนำเข้าไปยังแผงค้าไม้เก่าอย่างเงียบขรึม

นางก็นั่งลงเรียบร้อย และหันไปมองเว่ยชิง

ท่านจะรับด้วยหรือไม่ ” เสียงนั้นเบาเสียจนแทบกลืนหายไปกับเสียงผู้คนโดยรอบ

เว่ยชิงส่ายศีรษะเล็กน้อย “ ไม่....

หรูเหมยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม ไม่แม้เเต่จะรอให้เขาพูดให้จบด้วยซ้ำไป นาง ยกมือ 2 นิ้ว แบบว่ารับ 2 โดยไม่ฟังแม่ทัพแต่อย่างใด แค่ถามเป็นพิธีเฉยๆ เท่านั้น

เมื่ออาหารถูกยกมาวางที่โต๊ะ นางก็ถามอีกฝ่ายเมื่อเห็นเขานิ่งไป “ เกี๊ยวร้อนเช่นนี้ หากปล่อยไว้นานเกินไป รสชาติก็จะเปลี่ยน ท่านเองก็...ควรทานเสียหน่อย

ท้ายที่สุด เว่ยชิงก็นั่งลงตรงข้าม นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเกี๊ยวขึ้นลิ้มรสหนึ่งคำเพื่อให้องค์หญิงพึงใจ ตอนนี้เหมือนเขาจะต้องมาเลี้ยงเด็กเสียแล้ว

ในตอนนี้ท่าทางเรียบร้อยสมกับเป็นองค์หญิงในร่างชายตัวน้อย ก่อนหน้านี้หายไป เว้นเสียแต่นางเคี้ยวหนุบหนับอย่างเอร็ดอร่อยจากการลิ้มลอง

เว่ยชิงจึงได้แต่นั่งรออยู่ด้านข้าง เฝ้าดูองค์หญิงน้อยทานเกี๊ยวจนหมดชาม

เมื่อทานเสร็จ หรูเหมยจึงยืนขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็ชะงักไปทันที ร่างน้อยเซเล็กน้อยแล้วยกมือแตะขาอย่างรีบร้อน

อึ้ก... ” เสียงหลุดลอดจากริมฝีปากบาง ดวงหน้าน้อยบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด “ ข้า...ข้าเดินไม่ออก

ดวงตากลมโตคลอด้วยน้ำตา เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังขึ้นในลำคอ นางกัดริมฝีปากแน่นแล้วนั่งลงบนขอบทาง รั้งชายเสื้อข้างหนึ่งของเขาเข้ามาไว้ ในกำมือน้อยๆของตนเท่านั้น

เว่ยชิงขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ทรุดเข่าลงข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง “ อะ ... องค์หญิงเป็นสิ่งใด

ข้า...เจ็บ เจ็บมาก  ” น้ำเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางเม้มปากแน่นพยายามไม่ร้องเสียงดัง แต่หยดน้ำใสก็ไหลลงอาบแก้ม นางชี้ไปที่ข้อเท้าของตน มือกำชายเสื้อขาให้กระชับขึ้นอีก

ส่วนทางเว่ยชิงเพ่งมองขาขององค์หญิงน้อย พลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

องค์หญิงโปรดอดทนสักครู่พ่ะย่ะค่ะ ” เขากล่าวเบา ๆ

ก่อนที่อีกฝ่ายจะช้อนตัวนางขึ้นอย่างระมัดระวัง แม้จะกล่าวว่าจะไม่อุ้ม แต่ในยามที่เด็กน้อยเจ็บปวดน้ำตาคลอ เว่ยชิงก็ย่อมไม่อาจเพิกเฉย เขาอุ้มร่างเล็กไปยังศาลาไม้ข้างทางอย่างนุ่มนวล แล้วค่อย ๆ วางนางลงบนม้านั่ง

เขาทรุดกายลงเบื้องหน้าช้า ๆ มือหนาค่อย ๆ จับข้อเท้าเล็กนั้นอย่างระวัง แล้วเริ่มนวดเบา ๆ บริเวณที่เป็นตะคริว

เพียงพักสักครู่ ก็จะดีขึ้นแล้ว ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลกว่าทุกครา แม้สีหน้ายังคงนิ่งขรึม ทว่าน้ำเสียงกลับเปี่ยมด้วยความห่วงใย

เว่ยชิงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาเปล่งแสงเย็นเล็กน้อย ก่อนค้อมศีรษะน้อย ๆ เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน อาการปวดก็ดูจะบรรเทาลงเล็กน้อย หรูเหมยขยับกายเบา ๆ เพื่อทดสอบการเคลื่อนไหว ใบหน้าน้อยยังเจือความระแวดระวังอยู่เล็กน้อย

เว่ยชิงสังเกตเห็นจึงโน้มกายเข้ามาอีกครั้ง มือหนาค่อย ๆ ประคองข้อศอกนางเบา ๆ

เมื่อเห็นว่านางสามารถทรงตัวได้แล้ว เขาจึงปล่อยมือออกช้าๆ ทอดสายตามองการเคลื่อนไหวขององค์หญิงน้อยอย่างระมัดระวัง

เส้นทางกลับดูเหมือนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แม้ดวงอาทิตย์จะคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ นางก็ยังคงเดินอย่างเนิบช้าในทุกย่างก้าวราวกับพยายามยืดเวลาของวันอิสระออกไปให้มากที่สุด

ข้า...ไม่อยากกลับเลย ” เสียงเล็กแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากนางราวกระซิบกับลม

เว่ยชิงหันไปมองเพียงเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ก้าวเดินช้าลงให้เข้ากับฝีเท้าขององค์หญิงตัวน้อยเท่านั้น

หรูเหมยลากฝีเท้าไปอย่างเชื่องช้า สีหน้าฉายแววไม่พอใจปนเสียดายบางเบา ดวงตากลมใสมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มอ่อน 

เว่ยชิงเหลือบมองร่างเล็กข้างกาย พลางกล่าวเสียงนุ่มนวล “ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม พระองค์จะมีโอกาสออกมาได้เอง แต่เวลานี้ ขอจงตั้งใจศึกษาก่อนเถิด

" เห้อออ ท่านไม่มีทางเข้าใจหรอก " นางหันไปตอบกลับ ท่าทางของนางนั้นดูไม่สดใสเหมือนก่อนหน้านี้เลย

หน้าประตูวังหลวง

เมื่อทั้งคู่เดินกลับมา ถึงหน้าประตูวังหลวง ร่างเล็กหยุดชะงักทันที หรูเหมยยืนนิ่งเกร็ง ใบหน้าน้อยซีดเผือด ดวงตากลมโตสั่นไหวเล็กน้อยอย่างไม่อาจปิดบัง

เว่ยชิงหันกลับมามอง เห็นนางยังไม่ยอมก้าวขา เขาจึงเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “องค์หญิง…”

ข้า...ไม่อยากเข้าไปในกรงทองนั้น ” เสียงนั้นแผ่วเบาอย่างน่าสงสาร “ หากจางกงกงรู้ว่าข้าแอบออกมา หละก็..... ” เสียงถอนหายใจเบาๆ ของนางทำให้อีกฝ่ายหันมามอง

เว่ยชิงนิ่งไปครู่หนึ่ง เอาผ้าคลุมหน้าของนางภายใต้ชุดของบุรุษนั้นไป



เพิ่มเติม
เทพธิดาดอกท้อ - ระงับโทสะ : ยากจะทำให้ผู้คนโกรธ ด้วยความน่ารักสดใสจะทำให้ผู้คนที่กำลังโกรธค่อย ๆ เย็นลง

[NPC-10] เว่ย ชิง - โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หลิวหรูเหมย

หลิวหรูเหมย

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-10] เว่ย ชิง เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-6-27 00:24
โพสต์ 20224 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-6-26 23:15
โพสต์ 20,224 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-6-26 23:15
โพสต์ 20,224 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-6-26 23:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พัดคุณชาย
กู่เจิง
หมวกไผ่ผ้าคลุม
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x20
x1
x10
โพสต์ 2025-6-28 03:29:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 27 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ ( 10.00 น.)



กลิ่นหอมของกำยานจากร้านริมทางลอยแตะปลายจมูกยามสายลมอ่อนพัดผ่าน เงาไม้โอนเอนคล้ายกวักมือเชื้อเชิญผู้มาเยือนให้ก้าวลึกเข้าไปอีก ซูเหยากระชับย่ามที่สะพายไว้แนบลำตัว ดวงตาของนางกวาดมองรอบกายด้วยแววตาฉายความพิศวง ‘ตลาดตะวันออกของฉางอัน’ ชื่อเสียงเลื่องลือของมันหาได้เกินจริงไม่ ผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งชาวบ้าน พ่อค้า นักเดินทาง และแม้แต่แม่ค้าต่างเมือง ต่างขวักไขว่ไปมาดั่งธารน้ำเชี่ยว 


“ที่นี่ผู้คนมากมายกว่าหมู่บ้านที่ข้าเคยอยู่เสียอีก” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบา ๆ ขณะหยุดยืนอยู่ข้างรถเข็นขายเกาลัดที่อบจนเปลือกแตกหอมฟุ้ง


กลิ่นเกาลัดอบยังอบอวลในอากาศ ขณะที่ซูเหยาเบนสายตาไปยังร้านรวงที่เรียงรายอยู่ไม่สิ้นสุด เสียงเหรียญเงินกระทบกันในถุงผ้า เสียงเชื้อเชิญของพ่อค้าแม่ขาย และเสียงกลองจากกลุ่มนักแสดงริมทาง ล้วนผสานกันเป็นความคึกคักที่ยากจะละสายตา นางมัวแต่ก้มมองถุงเงินในมือว่าควรซื้ออะไรหรือไม่ จึงไม่ทันระวังย่างก้าวของตนเอง


ปึก!


บ่าเล็ก ๆ ของนางกระแทกเข้ากับไหล่ของชายคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ทำให้ย่ามของนางไถลลงต่ำเล็กน้อย สมุนไพรแห้งบางส่วนร่วงออกมาเป็นเศษ


“ขะ…ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ามิทันระวัง” ซูเหยาก้มศีรษะรีบกล่าวขอโทษ สีหน้าเจื่อนลงเพราะรู้ตัวว่าเผลอเร่งฝีเท้าโดยไม่มองทาง


แต่แทนที่ชายคนนั้นจะโกรธ เขากลับหัวเราะเบา ๆ พลางก้มลงช่วยเก็บสมุนไพรให้ 


“ข้ามิเป็นอะไร แม่นางมิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ตนเพิ่งชน สีหน้าของนางปรับเป็นสุภาพในทันที เขาเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมอาภรณ์สีขาวประณีต ชายผู้นั้นช้อนตามองนางพลางเอ่ยอย่างเป็นมิตร


“ดูท่าทางแม่นางคงจะเพิ่งมาถึงที่นี่? ใบหน้าเช่นนี้ ข้าคงจำได้หากเคยพบมาก่อน”


หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ มือยังกระชับห่อสมุนไพรที่เพิ่งได้คืนมา


“ข้ามาจากเฉิงตูเจ้าค่ะ เพิ่งเดินทางมาถึง และ…นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตลาดตะวันออกด้วยตาของตนเองด้วย เลยตื่นเต้นไปหน่อยเจ้าค่ะ”


ชายคนนั้นยิ้มน้อย ๆ อย่างเข้าใจ


“อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็คงจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ข้าชื่อโหรวซางเมิ่ง เป็นทูตที่ดูแลผู้เดินทางใหม่ หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้ายินดีที่จะให้คำแนะนำเล็ก ๆ น้อยแก่แม่นางจะได้ปรับตัวกับที่นี่ได้เร็วขึ้น”


ซูเหยาชะงักเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับช้า ๆ ดวงตาสะท้อนความรู้สึกประหลาดใจปนระแวดระวัง แต่ด้วยบุคลิกของเขาที่ดูอ่อนโยนและซื่อตรง นางก็เลยเลือกที่จะเชื่อใจดู


“ขอบคุณในความกรุณาเจ้าค่ะ คุณชายโหรว ข้ามีนามว่าซูเหยาเจ้าค่ะ”


โหรวซางเมิ่งรับฟังการแนะนำตัวของหญิงสาวตรงหน้าอย่างใจเย็น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสุภาพ เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบาง


“นามของแม่นางไพเราะยิ่ง…ซูเหยา” เขาทวนเบา ๆ ตามมารยาท แต่กลับชะงักเล็กน้อย พลางหลุบตาลงชั่วครู่ก่อนเงยขึ้นเอ่ยเสียงนุ่ม


“จะว่าไป…แม่นางคงยังไม่คุ้นกับธรรมเนียมการเรียกขานในฉางอันกระมัง?”


ซูเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ 


“เจ้าค่ะ…ข้าเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าใช้อย่างไร หากท่านจะกรุณาแนะนำจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”


โหรวซางเมิ่งยิ้มพลางผายมือเชื้อเชิญให้เดินเคียงกันไปต่อ พลางเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สุภาพไม่ต่างจากบุคลิกของเขา


“ในฉางอันและในหมู่ผู้คนที่ยึดถือธรรมเนียม การเรียกชื่อใครสักคนตรง ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกพบถือว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่”


เขาเหลือบตามองหญิงสาวข้างกายก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“โดยทั่วไปหากพบกันครั้งแรก ให้เรียกว่า ‘แม่นาง’ หรือ ‘คุณชาย’ ตามด้วยแซ่ เช่น ‘แม่นางซู’ หรือ ‘คุณชายโหรว’ อย่างที่แม่นางเรียกข้าเมื่อครู่ถูกต้องดีแล้ว”


ซูเหยาพยักหน้าตั้งใจรับฟัง นางก้าวเดินช้าลงเพื่อเก็บรายละเอียดทุกถ้อยคำ


“แล้ว…ชื่ออื่น ๆ ล่ะเจ้าคะ เช่นชื่อรอง หรือชื่อทางการ?” นางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้


“อืม…” โหรวซางเมิ่งยิ้มบาง สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย


“ชื่อรอง ใช้ในหมู่แวดวงสังคมกว้างขวาง ส่วนชื่อทางการจะถูกใช้ในงานพิธีการต่าง ๆ และเอกสาร บันทึกต่าง ๆ”


ซูเหยาก้มศีรษะเล็กน้อยแทนคำว่า 'เข้าใจ'


“หากจะเรียกชื่อทางการของผู้ที่อายุน้อยกว่า หรือรู้สึกเอ็นดูนิยมเรียกด้วยการเติมคำว่า ‘เอ๋อร์’ ต่อท้าย เช่น…เหยาเอ๋อร์’ ใช้ได้เฉพาะเมื่อสนิทสนมพอควร”


ซูเหยาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าอีกครั้ง


“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าจะระมัดระวังในการเรียกขาน”


หลังบทสนทนาเรื่องธรรมเนียมจบลง โหรวซางเมิ่งผายมือเชิญให้นางเดินตามเขาจนมาถึงแผงแห่งหนึ่ง ที่มีกลิ่นควันอ่อน ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศไม่ต่างจากกลิ่นในครัวเรือนยามย่ำรุ่ง


“แม่นางซู หากข้าไม่รบกวนจนเกินไป ข้าอยากให้เจ้าลองทำสิ่งหนึ่งให้ข้าดู”


หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มอย่างมีมารยาท 


“เจ้าค่ะ หากเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าก็ยินดี”


เขาหยิบถุงผ้าขึ้นแล้วล้วงเอาข้าวสาลีสีทองเมล็ดเต็มขึ้นมา


“ข้าอยากให้แม่นางลองหุงข้าวให้ข้าดูสักครั้ง ข้าว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ข้าอุ่นใจได้ว่าแม่นางจะพอเอาตัวรอดในเมืองใหญ่แห่งนี้ได้ไม่ยาก” เขากล่าวอย่างสุภาพ แต่ในน้ำเสียงมีความจริงจังแฝงอยู่ไม่น้อย


ซูเหยาเบิกตากว้างน้อย ๆ ก่อนคลี่ยิ้มบาง 


“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ ข้าจะถือว่าเป็นบททดสอบของคุณชายก็แล้วกัน”


นางรับข้าวสาลีมาในมืออย่างนุ่มนวล ดวงตาก้มมองเมล็ดข้าวอย่างเคยชินราวกับได้สัมผัสสิ่งนี้มาแต่เยาว์วัย


นางก้มตัวช้า ๆ ล้างข้าวด้วยน้ำสะอาดจากไห หมั่นถูอย่างเบามือเพื่อขจัดเศษฝุ่น เมื่อเสร็จจึงบรรจุใส่หม้อ เติมน้ำในปริมาณพอดี แล้วนำขึ้นตั้งบนเตาถ่าน ขณะรอนางก็ใช้เศษไม้ปรับระดับเปลวไฟให้สม่ำเสมอ และใช้ฝ่ามือโบกไฟเบา ๆ ให้ถ่านแดงกำลังดี กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวเริ่มโชยขึ้นมาจากปากหม้อ


โหรวซางเมิ่งยืนมองอยู่เงียบ ๆ รอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นเมื่อเห็นความคล่องแคล่วของนาง


“แม่นางดูจะคุ้นเคยกับการหุงข้าวไม่น้อยเลย” เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่นางกำลังเปิดฝาหม้อเช็กระดับน้ำอย่างระมัดระวัง


ซูเหยาหันมาสบตาเขาใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อน 


“ข้าเติบโตมาในครอบครัวของหมอชาวบ้านเจ้าค่ะ การเข้าครัวเป็นเรื่องที่ต้องทำทุกวัน ท่านตาของข้าเคยสอนว่า คนที่รักษาผู้อื่นได้ ต้องรู้จักดูแลตนเองก่อน”


นางปิดฝาหม้อ ปล่อยให้ไอร้อนทำหน้าที่สุดท้าย ข้าวที่ถูกหุงเริ่มส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไม่นานหม้อข้าวก็ถูกยกออกจากเตา ซูเหยาใช้ผ้าหนา ๆ ห่อมือแล้วยกหม้ออย่างทะนุถนอม ก่อนจะเปิดฝาให้ชายหนุ่มดู เมล็ดข้าวนุ่มสุกพอดี เรียงตัวสวยและส่งกลิ่นหอมละมุนชัดเจน


โหรวซางเมิ่งพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นข้าวในหม้อสุกนุ่มอย่างเหมาะเจาะ กลิ่นหอมละมุนลอยอบอวล ดวงตาของเขาเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างชื่นชม แต่แล้วสายตากลับเหลือบไปเห็นย่ามใบเก่าซึ่งแม้นางจะสะพายไว้อย่างแนบเนียน แต่ด้วยเนื้อผ้าที่สีซีดจางและรอยขาดที่ริมตะเข็บ มันไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้ช่างสังเกตเช่นเขาไปได้


“แม่นางซู” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสุภาพ “ย่ามของเจ้าดูจะผ่านศึกมามากอยู่ไม่น้อย…ที่แผงของข้าพอมีถุงใส่สัมภาระอยู่บ้าง หากแม่นางมิรังเกียจ ให้ข้าพาไปเลือกเถิด ของดีราคาไม่แพงนัก”


ซูเหยามองย่ามของตนแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างเขินอาย ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ปฏิเสธ 


“เจ้าค่ะ หากไม่เป็นการรบกวนท่าน ข้าก็อยากได้ย่ามที่แข็งแรงกว่านี้อยู่เหมือนกัน”


โหรวซางเมิ่งจึงพานางไปเลือกดูที่แผง บนแผงนั้นมีกระเป๋าหลากขนาดแขวนเรียงอย่างมีระเบียบ ทั้งทำจากผ้าไหม ผ้าหยาบทอลาย หรือหนังฟอกที่เย็บประณีต


ซูเหยามองไล่ไปทีละใบ ในที่สุดนางก็เลือกกระเป๋าขนาดเล็ก 2 ใบ ใบหนึ่งสำหรับเก็บสมุนไพร อีกใบสำหรับเก็บเหรียญและเข็มด้ายเล็กน้อย กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบไว้สะพายติดตัว และกระเป๋าขนาดใหญ่ 1 ใบเผื่อเก็บของใช้ที่ต้องพกพาเวลาเดินทางไกล


“กระเป๋าพวกนี้เป็นฝีมือช่างในเมืองหลวงทั้งนั้น ข้าดีใจที่แม่นางพอใจ” ชายหนุ่มกล่าวพลางยื่นห่อผ้าหุ้มกระเป๋าให้เรียบร้อย


หลังชำระเงินเสร็จเรียบร้อย ซูเหยาจึงเอ่ยขึ้นขณะจัดของใส่กระเป๋าใหม่


“ว่าแต่…ในฉางอันนี้ มีโรงหมอบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”


คำถามนั้นทำให้ดวงตาของโหรวซางเมิ่งทอแววแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ


“มีอยู่แห่งหนึ่ง เป็นโรงหมอที่ได้รับการรับรองจากจวนเจ้าเมือง ชื่อว่าโรงหมอเจิ้งเทียน” เขาเอ่ยช้า ๆ “แม้จะเรียกเป็นโรงหมอ แต่ก็คล้ายกับสำนักแพทย์ย่อม ๆ เลยทีเดียว”


ซูเหยานิ่งฟัง ดวงตาฉายแววสนใจขึ้นทันที ก่อนที่นางจะยกมือประสานคำนับให้ชายตรงหน้า


“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะคุณชายโหรว ท่านช่วยเหลือข้าไม่น้อย ข้าเกรงว่าจะรบกวนเวลาของท่านไปมากแล้ว”


โหรวซางเมิ่งเพียงหัวเราะเบา ๆ พลางยกมือโบกน้อย ๆ 


“มิใช่เรื่องรบกวนอะไร ข้าเพียงทำหน้าที่ของผู้ต้อนรับนักเดินทางใหม่เท่านั้น หากแม่นางต้องการความช่วยเหลือใดเพิ่มเติมมาหาข้าได้เสมอ”


ซูเหยาพยักหน้าอีกครั้งด้วยรอยยิ้มจริงใจ


“ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ ขอให้ท่านมีวันที่ดี”


กล่าวจบนางก็แยกจากคุณชายโหรว หอบกระเป๋าใบใหม่ติดตัวพร้อมกับห่อสมุนไพรที่บัดนี้ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยในกระเป๋าเล็กของนาง เดินตรงไปยังทิศที่โหรวซางเมิ่งแนะนำไว้ ซึ่งมีปลายทางเป็นโรงหมอเจิ้งเทียน



รางวัล: +50 พลังใจ , +5 ตำลึงทอง , +200 อีแปะ , +25 EXP

กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ , ห่ออาหารยังชีพ(50) 1 ห่อ



ซื้อกระเป๋า

กระเป๋าขนาดเล็ก 8 ตำลึงทอง - 2 ใบ

กระเป๋าขนาดกลาง 12 ตำลึงทอง - 1 ใบ

กระเป๋าขนาดใหญ่ 20 ตำลึงทอง - 1 ใบ


รวมเป็น 48 ตำลึงทอง


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 25 EXP โพสต์ 2025-6-28 12:43
โพสต์ 30499 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-28 03:29
โพสต์ 30,499 ไบต์และได้รับ +5 EXP +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-6-28 03:29

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +5 เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Admin + 50 + 5 + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ 2025-6-28 17:51:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 28 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า ( 06.00 น.)



รุ่งอรุณเบื้องหลังแนวหลังคาโค้งของเมืองฉางอันเริ่มเผยตัวอย่างเชื่องช้า แสงแดดสีทองอ่อน ๆ ลอดผ่านซี่ไม้หน้าต่างเข้ามาแตะผืนฟูกเก่าที่ปูอยู่กับพื้น ส่งกลิ่นอายอบอุ่นของวันใหม่ให้แผ่ซ่านทั่วห้อง ซูเหยาลืมตาขึ้นในยามที่ฟ้ายังเรื่อเทา ร่างเล็กขยับอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่รบกวนผู้ใด นางลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วใช้ผ้าขาวสะอาดชุบน้ำจากตุ่มใกล้หน้าต่าง ลูบหน้าผากเบา ๆ ให้ความง่วงหลุดลอยไป


ห้องนี้เป็นเพียงห้องว่างปลายเรือนที่หมอเจิ้งจัดไว้ให้เมื่อคืน มันไม่หรูหรา ไม่มีเครื่องเรือนสักชิ้น นอกจากฟูกบาง หีบไม้ และตะเกียงน้ำมันเก่า แต่สำหรับซูเหยาแค่นี้ก็มากพอแล้ว 


เมื่อเสร็จธุระส่วนตัว นางก็เปิดประตูห้องเบา ๆ ลมเช้าเย็นสบายพัดกลิ่นสมุนไพรแห้งที่ลอยอยู่ทั่วลานเข้ามาปะทะจมูก กลิ่นของตั่งกุย ขิงแห้ง และฝูหลิงยังอ้อยอิ่งอยู่ไม่จางหาย


ซูเหยาคลี่ตะแกรงไม้ที่วางซ้อนอยู่ริมกำแพงออก แล้วหยิบสมุนไพรหลากชนิดที่เก็บไว้จากเมื่อวานมาเรียงเรียบร้อย นางพลิกด้านรากไม้ ใบแห้ง และเปลือกที่ยังชื้นเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว เพื่อให้สัมผัสแสงแดดแรกอย่างทั่วถึง


จากนั้นนางหยิบผ้าฝ้ายขาวสะอาดออกมาเช็ดโต๊ะไม้ที่ใช้ตำยา เช็ดผนัง พื้น และชั้นไม้ทีละชั้นอย่างไม่รีบร้อน ไม่ละเลยแม้ซอกมุมเล็ก ๆ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของนางบนพื้นหินกลมกลืนกับเสียงลมที่พัดผ่านพุ่มไผ่หน้าประตูเรือน


เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างสะอาดพอจะรับวันใหม่ นางจึงเดินไปยังครัวเล็กข้างโรงหมอ น้ำสะอาดถูกต้มจนเดือดแล้วค่อย ๆ เทรินลงในกาที่ใส่ใบชาไป๋หาวอิ๋นเจินอย่างประณีต กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยอบอวลทั่วห้อง ซูเหยานำชาที่ชงใส่กระบอกไม้ไผ่ แล้วจัดซิ่งเหรินโต้ฟูลงในภาชนะแล้วห่อด้วยผ้า ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นเครื่องใส่บาตรในเช้านี้ ตามการปฏิบัติที่นางยึดถือแม้จะมิใช่ที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาโดยตรง


แม้นางจะเติบโตมากับลัทธิเต๋า และยึดหลักธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง แต่การทำบุญทำทานก็เป็นสิ่งที่นางรักและศรัทธาไม่ต่างกัน น้ำใจไม่จำเป็นต้องมีขื่อศาสนาใดมาครอบกรอบไว้ สำหรับซูเหยาแล้วความเมตตาย่อมข้ามพรมแดนศรัทธาได้เสมอ


แสงแดดเริ่มจับยอดหลังคาเรือนเมื่อตะกร้าของนางพร้อมทุกสิ่ง นางคลุมไหล่ด้วยผ้าพันเนื้อบางสีหม่น แล้วเดินออกจากโรงหมออย่างเงียบงัน


เสียงก้าวเท้าอย่างเร่งร้อนสลับกับเสียงล้อเกวียนบดบนพื้นหินโบราณเริ่มดังขึ้นเมื่อซูเหยาเดินเข้าสู่ย่านตลาดตะวันออกของเมืองฉางอัน แสงแดดสีทองอ่อนคลี่คลุมหลังคาแผงค้าที่ยังชื้นด้วยหมอกเช้า พ่อค้าแม่ขายต่างขยับตัวจัดของบนแผง เตาอบไอน้ำจากหมั่นโถวเพิ่งตั้งไฟ กลิ่นเต้าหู้ทอดและเครื่องเทศหอมกรุ่นคลุกเคล้าอยู่ในอากาศ


ตลาดในยามเหม่าเริ่มคึกคัก ผู้คนมากหน้าหลายตาสวมชุดผ้าหยาบบางตัดเย็บง่าย ๆ เดินกันขวักไขว่ บ้างหอบหิ้วผักสดจากชนบท บ้างแบกเข่งขนมแป้งไปส่งร้านน้ำชา เสียงเจรจาซื้อขาย และเสียงหัวเราะแว่วมาจากมุมแผงขนมแป้งทอด สรรพเสียงแห่งชีวิตปลุกฉางอันให้ตื่นเต็มตา


ซูเหยาเดินอย่างระมัดระวังในชุดผ้าฝ้ายธรรมดา สีตะกร้าที่ถือดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจ นางเดินเลียบแผงผักและขนมจนมาหยุดหน้าแผงถั่วของชายชรารูปร่างท้วมผู้หนึ่ง


“ท่านลุงเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงนุ่มพลางโค้งให้เล็กน้อย “ข้าขอรบกวนถามว่า ถ้าจะทำบุญใส่บาตรตอนเช้า พอจะมีที่ไหนบ้างหรือเจ้าคะ”


ชายชราเงยหน้าขึ้นจากการคัดถั่วด้วยทัพพีไม้ เขาเหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างใจดี


“ถ้าจะใส่บาตรล่ะก็…ไปที่มุมต้นสนใกล้กำแพงตะวันออกนั่นเถิดแม่นาง” เขาชี้ไปทางซอยเล็กริมตลาด “หลวงจีนพเนจรนามว่าไต้ซือจื่อหลิงมักจะผ่านมาเดินบิณฑบาตอยู่ประจำน่ะ เจ้าโชคดีนะ วันนี้ก็เห็นเขาเดินเข้าเมืองแต่เช้าเลย”


ซูเหยายิ้มขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วรีบเร่งเท้าไปตามทางที่ชี้ บรรยากาศในซอยนั้นเงียบลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหลัก ริมกำแพงเก่าที่มีเถาวัลย์เกาะเป็นหย่อม ๆ มีต้นสนสูงใหญ่ตั้งต้นเงียบสงบ กิ่งยาวทอดเงาทาบผนัง


ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็แว่วมา ตามด้วยเงาร่างหนึ่งที่เคลื่อนใกล้ขึ้นจากอีกฟากถนน หลวงจีนร่างสูงในจีวรเก่าสีเทาอ่อนปรากฏตัวท่ามกลางแดดเช้า ผ้าคลุมมีรอยปะซ่อมหลายแห่ง บาตรเล็ก ๆ สะพายอยู่ข้างตัว แววตาของเขานิ่งสงบ เปี่ยมเมตตา สงบเย็นราวสายน้ำ


ซูเหยาโน้มกายเล็กน้อยเมื่อเขาเดินมาใกล้ นางยื่นตะกร้าเบา ๆ พร้อมห่ออาหารและกระบอกชาที่เตรียมมา ก่อนกล่าวเสียงแผ่วสุภาพ


“นิมนต์เจ้าค่ะ”


ไต้ซือจื่อหลิงหยุดเท้าลงเบื้องหน้านาง สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย คล้ายกระแสสายน้ำที่ไม่หวั่นไหวต่อคลื่นลม เขาโน้มกายเล็กน้อยยื่นบาตรรับของจากซูเหยาด้วยความสำรวม ก่อนกล่าวเสียงแผ่วเบาแต่นุ่มลึก


“愿施者福慧增长,身心安乐。ขอให้ผู้ให้ จงเพิ่มพูนด้วยบุญและปัญญา กายใจเป็นสุข"


ซูเหยายกมือประนมหยัดกายขึ้น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยยามแสงแดดตกต้องใบหน้า แล้วเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา


“ท่านไต้ซือ...ข้าใคร่รู้ หากมิได้นับถือพุทธศาสนาโดยตรง การใส่บาตรเช่นนี้ถือเป็นสิ่งล่วงเกินหรือไม่เจ้าคะ?”


“ธรรมะนั้นไม่ใช่กฎตายตัวของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หากแต่เป็นความจริงแท้ที่อยู่ในใจมนุษย์”


เสียงของเขาราบเรียบ


“หากมือที่หยิบยื่นอาหารออกมาเปี่ยมด้วยเมตตา นั่นก็เป็นพุทธแล้ว หากดวงจิตของเจ้าไม่แบ่งแยกผู้รับเป็นชนชั้น นั่นก็เป็นเต๋าเช่นกัน”


ซูเหยาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาของนางสะท้อนแสงแดดยามเช้าและเงาของต้นสนใหญ่ที่ทอดขนานกำแพง


“ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”


ไต้ซือจื่อหลิงเพียงพยักหน้าน้อย ๆ ไม่มีถ้อยคำเกินจำเป็น สีหน้าเรียบสงบไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย


“ผู้ใดทำด้วยใจอ่อนโยน...ย่อมส่งเสียงแห่งธรรมลงสู่แผ่นดิน การให้มิขึ้นอยู่กับนามแห่งศาสนา หากเกิดจากใจบริสุทธิ์ย่อมเป็นบุญ บุญไม่ใช่สิ่งที่ต้องขออนุญาตจากฟ้าหรือรอคำอนุมัติจากใคร เพียงตั้งใจให้ด้วยความเมตตาก็เพียงพอแล้ว”


เขาเว้นคำ ปล่อยให้สายลมยามเช้าไหลผ่านเงาสนเงียบงัน สะท้อนความเรียบง่ายของถ้อยคำที่ไม่ต้องการคำอธิบายมาก


ซูเหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายบางอย่างคล้ายเข้าใจถึงสิ่งที่ตนไม่อาจอธิบายเป็นถ้อยคำ นางโน้มกายลงอีกครั้งอย่างเคารพ


“ขอบพระคุณไต้ซืออีกครั้งที่เมตตาชี้แนะเจ้าค่ะ”


ไต้ซือจื่อหลิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินจากไปตามทางสายเก่าอย่างเงียบงัน จีวรของเขาไหวตามลมเบา ๆ ในขณะเดียวกันก็เผยร่องรอยปะซ่อมตามตะเข็บผ้าให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในแสงแดด


ซูเหยาเฝ้ามองแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา แววตานางอ่อนลง ดวงใจคล้ายถูกปลอบประโลมโดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำใด เมื่อสายตาเลื่อนไปยังรอยเย็บปะบนจีวรเก่า นางพลันคิดขึ้นในใจ


‘ผืนผ้านั้นเก่าเปื่อยมากแล้ว หากข้ามีเวลาว่าง จะหาไหมดี ๆ มาตัดเย็บถวายให้ใหม่สักผืนก็คงดี’


ความคิดนั้นเพียงลอยผ่านเบา ๆ นางมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา มีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนนางจะหันหลังกลับสู่ความวุ่นวายของตลาดยามเช้าอีกครา


[NPC-21] มอบ ซิ่งเหรินโต้ฟู และ ชาขาวเข็มเงิน ให้ ไต้ซือจื่อหลิง
+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-28 18:19
โพสต์ 21951 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-28 17:51
โพสต์ 21,951 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-6-28 17:51
โพสต์ 21,951 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-6-28 17:51
โพสต์ 21,951 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-6-28 17:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ 2025-6-30 02:24:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-6-30 02:26

วันที่ 29 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า (เวลา 05.00 - 07.00 น.)




ยามเหม่าฟ้ายังคลุมด้วยม่านสีครามเข้มแห่งราตรี แสงจันทร์เจือจางราวจะหลบลี้ให้แก่รุ่งอรุณที่กำลังใกล้เข้ามา ทว่าในโรงหมอเจิ้งเทียน แสงตะเกียงน้ำมันได้ถูกจุดขึ้นแล้ว เงาร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งขยับเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน


ซูเหยาหมอหญิงฝึกงานประจำโรงหมอเจิ้งเทียน ลืมตาขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยเสียงไก่ขันหรือแสงอาทิตย์ปลุก นางเคยชินกับตารางชีวิตที่เปี่ยมด้วยระเบียบมาช้านาน มือเรียวลูบคลำหมอนใยฝ้ายเบา ๆ ก่อนลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบา ราวเกรงว่าความสงบในยามเช้าจะถูกกระเทือน


นางจุดน้ำร้อนใส่กาน้ำชาใบเล็ก เพียงเพื่ออุ่นกายและใจระหว่างจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ในโรงหมอ ไอน้ำจากชาหลงจิ่งลอยกรุ่น ช่วยปลุกกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ชวนให้นึกถึงเชิงเขาและสายลม หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจากตุ่มดินเผาแล้ว ซูเหยาก็สวมเสื้อคลุมสีเขียวหยกแบบเรียบง่าย รัดผมขึ้นด้วยปิ่นไม้ หยิบผ้าเช็ดมือที่ผ่านการซักจนเนื้อนุ่มติดมือออกมา แล้วเริ่มต้นวันด้วยการทำความสะอาดโต๊ะยา เช็ดเข็มฝังเข็มทีละเล่มด้วยความใส่ใจ และตรวจดูตลับสมุนไพรที่เรียงรายตามตู้ไม้เก่าอย่างไม่ยอมละเลยแม้แต่ตลับเดียว


เมื่อท้องฟ้าเริ่มแง้มสีเทาเงิน ซูเหยาก็นำสมุนไพรที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกไปตากบนกระด้งไม้ไผ่ ใบหลู่กั่ง เหง้าฉือฝู และดอกสือฮวา กระจายกลิ่นหอมเบา ๆ ปะปนไปกับหมอกบางของยามเช้าเหนือกำแพงเมืองฉางอัน


จากนั้นนางจึงหันไปเตรียมอาหารใส่บาตร นางทำขนมไหมฟ้าอย่างประณีต วางเรียงลงในกล่องไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่บุด้วยผ้าขาว และรินชาหลงจิ่งใส่กระบอกไม้ไผ่สำหรับถวาย เมื่อจัดแจงทุกสิ่งในโรงหมอเจิ้งเทียนเสร็จเรียบร้อย ซูเหยาจึงออกจากเรือนรักษาพร้อมตะกร้าสานใบเล็กในมือ มุ่งหน้าสู่ตลาดตะวันออกเพื่อไปใส่บาตรและเดินดูของเล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อจะซื้อกลับไป แสงแดดยามเช้าทอผ่านหมอกจาง ๆ สีเงินที่ยังไม่จางหาย บรรยากาศยามเช้าของฉางอันคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ ตามเสียงขานเรียกลูกค้าของเหล่าพ่อค้าแม่ขาย


เสียงโม่หินบดถั่ว เสียงตีมีดจากร้านช่าง และกลิ่นขนมอบไอน้ำจากร้านเก่าแก่ริมทาง ล้วนทำให้บรรยากาศของตลาดเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ซูเหยาเดินผ่านร้านข้าว ร้านชา จนถึงแผงขายผ้านางเลือกดูหยิบจับเนื้อผ้าอยู่เงียบ ๆ แต่หูกลับแอบได้ยินบทสนทนาบางอย่าง


“นี่ ๆ มีใครได้ยินไหม?” แม่ค้าผลไม้กระซิบกับเพื่อนบ้าน “หวยหนานหวางน่ะ ยอมรับโทษแทนสาวชาวบ้านผู้หนึ่งด้วยแหละ!”


“หรือจะมีข่าวดี?” หญิงวัยกลางคนที่กำลังจัดผลท้อพึมพำ “พระชายาหวยหนานหวางคนใหม่งั้นรึ?”


“ไม่จริงน่า...” อีกคนว่า “หวยหนานหวางผู้เป็นม่ายมานานหลายปีเชียวนะ”


“ใช่แล้วข้าเองก็ได้ยินมา เขาเพิ่งอาสารับโทษโบยแทนสาวชาวบ้านที่มีคดีทำร้ายขุนนางด้วย หรือว่า...ข่าวลือจะเป็นจริง?”


“ข่าวลือไหน?”


“ก็ที่ว่าเขาแอบปลูกบ้านเล็กเลี้ยงอีหนูไง พวกเจ้าลืมเรื่องนั้นไปแล้วหรือ?”


ซูเหยายืนฟังโดยไม่ตั้งใจ นางไม่ได้ตั้งใจจะเสพข่าวลือ แต่ชื่อของ ‘หวยหนานหวาง’ ที่ถูกเอ่ยถึงซ้ำ ๆ ทำให้นางใจเต้นช้าไปหนึ่งจังหวะ...ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งลอยเข้ามาในความคิด หญิงสาวร่างบาง ผู้มีรอยแผลสดทั่วแผ่นหลัง ถูกหามมาโดยทหารจากกรมราชทัณฑ์เมื่อวาน


...หรือว่าจะเป็นคนเดียวกัน?


หากหญิงสาวคนนั้นคือคนที่ถูกหวยหนานหวางยอมรับโทษแทนจริง… เหตุใดหวางผู้สูงศักดิ์จึงยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อนางกันนะ?


ซูเหยาจับผ้าอยู่สักพัก ก่อนวางมันกลับลงบนกองผ้าอย่างเบามือ เนื้อผ้าหยาบเกินไป นางคิดในใจว่าสำหรับการเย็บจีวรผ้าแบบนี้คงใส่ไม่สบายนักและคงไม่ทนเท่าไหร่ นางถอนหายใจเบา ๆ พลางหันหลังเดินจากร้านผ้า เปลี่ยนเส้นทางกลับไปยังจุดเดิมที่ไต้ซือมักจะเดินผ่านมารับบิณฑบาตยามเช้า


ไม่เกินครู่ ร่างของไต้ซือรูปเดิมก็ปรากฏให้เห็น จีวรซีดเก่าห่มทบกันอย่างเรียบร้อย บาตรใบกลมถูกอุ้มไว้ในมือ ใบหน้าของไต้ซือยังคงเงียบสงบนิ่งเช่นเคย


“นิมนต์เจ้าค่ะ” ซูเหยาเอ่ยเบา ๆ พลางยื่นขนมไหมฟ้าและกระบอกไม้ไผ่ใส่ชาหลงจิ่งถวายลงในบาตรด้วยความเคารพ


ไต้ซือรับของจากมือซูเหยาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเช่นเคย ดวงตาลึกที่ดูเหมือนจะมองทะลุทุกความคิดในใจคน มองสบมายังนางครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ


“ชายังหอมดีอยู่เช่นเคย แต่น่าเสียดาย...”


ซูเหยาเลิกคิ้วอย่างสงสัย 


“น่าเสียดายอันใดหรือเจ้าคะ?”


“กลิ่นหอมของชามิอาจกลบกลิ่น ‘ฟุ้งซ่าน’ ที่แผ่ออกมาจากจิตโยมได้หรอก”


ซูเหยาชะงัก 


“ข้า...ข้าน้อมรับคำเตือนเจ้าค่ะ”


“มิใช่คำเตือน เป็นความจริง” ไต้ซือยิ้มบาง ๆ ก่อนทอดสายตามองลึกเข้าไปในดวงตานาง “โยมเดินมาถวายของเช้า ๆ แต่ใจกลับลอยไปอยู่ที่ข่าวลือปลายตลาดแล้วมิใช่หรือ?”


ซูเหยารู้สึกราวโดนตบด้วยใบชาแห้ง


“ฟังข่าวลือเหมือนดื่มน้ำจากโอ่งที่มิรู้ที่มา ดูใสสะอาด แต่หากดื่มโดยไม่ตรอง ก็อาจกลืนพิษโดยไม่รู้ตัว”


“ข้าเพียงสงสัยเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเบา


“สงสัยมิใช่เรื่องผิด แต่ปล่อยให้ ‘ความอยากรู้’ ชักจูงใจจนละเลย ‘สิ่งที่ควรรู้จริง’ นั่นสิ...น่าห่วง”


ซูเหยาก้มศีรษะรับคำกล่าวของไต้ซือ แต่ขณะมือยังพนมอยู่ตรงอก ดวงตากลับเหลือบขึ้นมองชายหนุ่มผู้สงบนิ่งตรงหน้าอย่างแฝงแววฉงน เมื่อวานท่านยังเอ่ยอย่างอ่อนโยนปานสายลม...วันนี้เหตุใดกลับกลายเป็นพายุเสียได้เล่า? หรือว่าชาขาวเข็มเงินที่ชงถวายเมื่อวานนี้แรงไปหน่อย?


“ขอบคุณสำหรับคำสอนเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามไม่ให้จิตฟุ้งซ่านอีก” ซูเหยาเอ่ยอย่างสุภาพ แต่เสียงคล้ายกลืนอะไรไม่ลงอยู่ในลำคอ


ไต้ซือมองนางนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ


“พยายาม...ก็ดี แต่อย่าลืมว่า ‘ใจ’ คนเรานั้นเหมือนลิง คิดจะห้ามไม่ให้ปีนต้นไม้ ก็ต้องไม่ปล่อยให้มันเห็นป่ากล้วยตั้งแต่แรก”


“ข้าขอกราบขอบคุณสำหรับธรรมเทศนาเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือเมตตายิ่งนัก”


“ธรรมะไม่ได้มีไว้ให้เมตตา มีไว้ให้ตื่น” ไต้ซือกล่าว “จงอย่าให้จิตตนถูกลากไปตามถ้อยคำของผู้อื่น แล้วลืมฟังเสียงของตนเอง”


ซูเหยาค่อย ๆ ก้มศีรษะรับฟังคำเตือนนั้นอย่างจริงจัง


“เจริญพร!”


ไต้ซือสะบัดจีวรเบา ๆ ก่อนหันหลังเดินจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้ซูเหยายืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอ่อนยามเช้าไตร่ตรองใคร่ครวญคำสอนของเขาเงียบ ๆ คนเดียว



[NPC-21] มอบ ขนมไหมฟ้า และ ชาหลงจิ่ง ให้ ไต้ซือจื่อหลิง

+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

ฟังข่าวลือหวยหนานหวาง +15 EXP


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-6-30 20:01
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 75 โพสต์ 2025-6-30 19:59
โพสต์ 20857 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-30 02:24
โพสต์ 20,857 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-6-30 02:24
โพสต์ 20,857 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-6-30 02:24
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ 2025-7-1 15:56:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 01 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.00 - 20.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก (เดินตลาดกับหรงเล่อ พบ หลิว อัน)


ยามซวีคล้อยฟ้า เมฆเบาบางลอยละลิ่วท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน ท้องฟ้าคลี่เฉดเป็นสีครามอมม่วงอ่อน ลมเย็นของต้นฤดูร้อนพัดเอื่อยพาให้ใบไผ่ริมถนนสั่นไหวเบา ๆ ถนนสิบลี้ซึ่งเคยคลาคล่ำบัดนี้เงียบลงบ้างแล้ว มีเพียงเสียงเท้าเดินของผู้คนที่กำลังทยอยกลับบ้าน กับกลิ่นขนมที่โชยมาจากร้านขนมใกล้หัวถนน หลินหยาผู้พึ่งกลับมาจากการเดินเล่นนอกเมืองเดินทอดน่องช้า ๆ ตามถนนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย สองแก้มแตะด้วยสีชมพูอ่อนจากไอลมเย็น เส้นผมที่ยาวระต้นคอพลิ้วไปตามแรงลม


แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นหัวมุมถนนเสียงหวานใสที่เจ้าตัวคุ้นนักก็ดังขึ้น “หลินหย๊าาาา กลับมาแล้วหรอออ” เจ้าของเสียงคือหรงเล่อ สตรีน้อยผู้มีดวงตากลมโตและรอยยิ้มที่ทำให้คนทั้งตลาดรู้สึกเหมือนตะวันยามเช้า วันนี้นางสวมชุดผ้าลินินสีอ่อน ผูกปอยผมไว้ด้วยริบบิ้นขลิบทอง และกำลังถือถุงขนมกับผลไม้อยู่ในมือ ใบหน้าน้อย ๆ แหงนขึ้นมองอีกคนอย่างยินดี


"เจ้ากลับจากนอกเมืองหรือ? ข้าเองก็กำลังจะกลับที่พักที่บ้านเล็กเหมือนกัน แต่ว่า..." หรงเล่อชะเง้อไปทางตลาดตะวันออกที่เริ่มวายแล้ว แล้วเลื่อนสายตามาสบหลินหยาก่อนเอียงคอยิ้ม "ตลาดฝั่งนี้เริ่มวายแล้วล่ะ เจ้าไปกับข้าไหมล่ะ? ตลาดตะวันออกคนน้อยแล้ว ของกินเยอะด้วย เดินเล่นได้แบบไม่ต้องเบียดเลยนะ!" หลินหยามองอีกฝ่ายที่พูดจ้อย ๆ พลางกะพริบตาปริบ ก่อนคลี่ยิ้มอย่างอ่อนใจแต่ก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู "งั้นข้าก็ปฏิเสธไม่ได้สินะ ไปก็ไป เจ้าเล่นเป็นคนจูงให้ข้ากลายเป็นคนเที่ยวตลาดเก่งได้ขนาดนี้..."


“แหม่..ก็มีเจ้าไปด้วยนี่หน่า..ข้าก็เลยสนุก” หรงเล่อยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบเดินนำแล้วหันกลับมาคว้ามืออีกฝ่ายไปโดยไม่รอฟังต่อ "เร็วสิหลินหยา! ร้านขนมหวานฝั่งตะวันตกเขาทอดแป้งใส่ถั่วแดงแบบสด ๆ ด้วยนะ ข้าอยากให้เจ้าลองชิม!" มือของหรงเล่อใหญ่กว่ามันอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด หลินหยาปล่อยให้เธอจูงมือเหมือนคนหลงทางที่ยินดีให้คนที่รู้จักเมืองนี้ดีที่สุดนำทาง สีหน้านางเต็มไปด้วยความสงบและแววตาที่เปล่งประกายมากกว่าตอนอยู่คนเดียว


ตลาดตะวันออกเริ่มสว่างขึ้นด้วยแสงไฟจากโคมร้านค้า ผู้คนเดินไปมาอย่างสบายไม่เบียดเสียดเหมือนยามเช้า เสียงหัวเราะของสองสาวที่เดินเคียงกันแทรกอยู่ในหมู่เสียงแม่ค้า เสียงขลุ่ยของนักดนตรีริมทาง และกลิ่นหอมของขนมที่ลอยมาตามลมอ่อน เสียงผู้คนในตลาดตะวันตกค่อย ๆ กลมกลืนเป็นเสียงพื้นหลังของค่ำคืนอันอบอุ่น ลมยามค่ำพัดเอื่อยนำกลิ่นของขนมแป้งทอดถั่วแดงและเกาลัดคั่วโชยมาแตะปลายจมูก หลินหยากับหรงเล่อเดินเคียงกันผ่านร้านรวงเล็ก ๆ ที่เรียงรายด้วยแสงโคมขาวนวล บางร้านห้อยพวงดอกไม้อย่างบรรจง บ้างประดับพู่ไหมสีสดจนดูราวกับภาพวาดที่มีชีวิต


หรงเล่อเลือกดูพัดผ้าแพรลายกวางล่องลอยอย่างสนใจ มือเรียวหยิบมันขึ้นมาหมุนดูเบา ๆ สีหน้ากึ่งสนุกกึ่งจริงจัง ท่ามกลางเสียงชวนเชิญจากแม่ค้า ข้าง ๆ นางคือหลินหยาที่อายุอ่อนกว่าหรงเล่ออยู่สองปีแต่กลับดูนิ่งขรึมในท่วงท่าราวกับผู้ปกครองที่ติดตามน้องสาวมาด้วยมากกว่าการเดินเล่น


และในจังหวะหนึ่งสายตาของทั้งสองก็หยุดนิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งตรงแผงพัดเดียวกันแต่ไม่ได้อยู่ติดกันขนาดนั้น เขาเป็นบุรุษในชุดตัวยาวสีเขียวอมเทาสะอาดสะอ้าน ท่วงท่าการยืนของเขานั้น...เป็นทางการจนน่าหยิก มือข้างหนึ่งถือพัดงาช้างสลักลายคลื่นที่กำลังสะบัดเบา ๆ อย่างสงบ อีกข้างประคองกล่องไม้แกะสลักที่วางพัดอีกห้าชิ้นเรียงอย่างบรรจงตามเฉดสี หน้าตาเขาดูละมุน นิ่ง เรียบ และมีประกายเฉียบแหลมในดวงตาคู่นั้นจนแม้แต่แม่ค้าข้าง ๆ ก็อดจะขยับตัวให้ระวังไม่กล้าขัดจังหวะเวลาเขาลองพัดใหม่ไม่ได้


“ท่าทางเขาจะชอบพัดมากเลยนะเจ้าคะ...” หลินหยาหรี่ตาลงพูดเบา ๆ ขยับกระซิบข้างหรงเล่อที่ยืนลูบลายด้ามพัดอยู่เหมือนกัน


หรงเล่อทำตาโตเล็กน้อย ก้มลงกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเกินเหตุ "นั่น...หรง ป๋อเหวิน หรือชื่อรองว่าจางหมิ่น...ฝูจี๋ลิ่งแห่งสำนักเครื่องราชฯ ฝีมือสายบุ๋นระดับเกจเขียวเต็มหลอดเลยล่ะนะ ข้าเคยเจอตอนทำงานอะไรสักอย่างนี้แหละ"


หลินหยาเลิกคิ้วพรวดทันที “หืม? ขนาดนั้นเลยเหรอ?” 


หลังจากนั้นหรงเล่อก็บรรยายหรือเรียกว่าเผากันข้าง ๆ ต่อ “เขาเป็นคนละเอียดสุด ๆ น่ะ งานทุกชิ้นต้องเรียบร้อยเป๊ะเหมือนเส้นด้ายที่ปักตามลายพิมพ์ ถ้าใครพลาดแม้แต่นิด เขาไล่ให้ไปทำใหม่หมดเลย…” หรงเล่อว่า ก่อนจะอมยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายหมุนพัดในมือลองพิจารณาทิศทางลมอย่างจดจ่อ “…แต่ถ้าเรื่องต่อสู้น่ะ...บอกเลยว่า โดนแมวเตะก็ตกเก้าอี้ได้แล้วรายนั้นอ่ะ” หลังจากนั้นทั้งสองก็ดูพัดกันต่อไปอีกครั้งเพราะว่ายังไงก็แค่เล่ากันให้ฟังแหละ 


พัดหลายอันห้อยเรียงบนราวอย่างบรรจง บ้างปักลายหงส์ บ้างวาดภาพบุปผา บางอันมีกระดิ่งห้อยไว้ที่ปลายด้ามพร้อมสายไหมลวดลายงามละเมียด และมีหนึ่งอันที่สะดุดตานางพัดลายดอกบ๊วยสีแดงสดตัดกับพื้นผ้าแพรขาว ด้ามยาวลงรักสลักเงางาม มีพู่ไหมสีเงินห้อยอยู่ด้านปลาย..สวยจังเลยแฮะ..หลินหยาเอื้อมมือออกไปพร้อมรอยยิ้มตื่นเต้น…พอ ๆ กับที่อีกฝ่ามือหนึ่งปรากฏขึ้นจากข้างตัวของนางปลายนิ้วทั้งสองสัมผัสกันเบา ๆ ตรงสายพู่เดียวกันราวกับฉากในบทละครเรื่องหนึ่ง


"อ๊ะ!" หลินหยาอุทานเบา ๆ พร้อมสะดุ้งเล็กน้อย รีบชักมือกลับอย่างตกใจ หน้าแดงวาบ


"อะ…ขออภัยขอรับ!" ชายหนุ่มเจ้าของฝ่ามืออีกข้างรีบก้มศีรษะอย่างสุภาพ เสียงของเขานุ่มลึกแต่แฝงความตกใจเหมือนกัน ใบหน้าเรียบสงบของเขาเผยรอยเขินเล็กน้อย จางหมิ่นฃ ฝูจี๋ลิ่งผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเรียบร้อยถึงกับเบิกตาแล้วหลุบลงอย่างระมัดระวังราวกับกลัวจะล่วงเกิน


"เอ่อ…ท่านก่อนเลยเจ้าค่ะ! ข้าแค่…เอ่อ เห็นว่าสายพัดสวยดี ข้าไม่รู้ว่ามีคนจะหยิบแล้ว…" หลินหยาพูดรัวเร็วอย่างคนแก้เขิน “มิเป็นไรเลยขอรับ…” จางหมิ่นรีบยิ้มบาง ยื่นมือไปหยิบพัดให้ให้นางแทนที่ตัวเองจะรับไป “…ถ้าแม่นางชอบ ลองดูก่อนได้ขอรับ ข้าคงมีพัดมากพอแล้ว…”


หรงเล่อที่ยืนอยู่ด้านหลังกลั้นหัวเราะเต็มที่ ท่าทางเหมือนจะยืนพิงแผงขนมแต่จริง ๆ คือยืนมองฉากโก๊ะ ๆ ตรงหน้าแบบอยากให้เป็นละครเรือนจีนเรื่องใหม่ “โอย…เพื่อนข้า แค่จะซื้อพัดนี่เหมือนฉากเปิดตัวนางเอกเลยนะเจ้า!” หลินหยาหันไปค้อนหรงเล่อเบา ๆ หน้าร้อนผ่าว พึมพำในคอ “บ้า…ข้าแค่จับพัด ไม่ได้กำลังหาคู่นะ…”


จางหมิ่นเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มสุภาพ ก้มศีรษะอีกครั้ง “ข้า…จางหมิ่นขอรับ ดำรงตำแหน่งฝูจี๋ลิ่งเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสองคือ…”


“ข้าชื่อหลินหยาเจ้าค่ะ…ไม่ใช่ใครใหญ่โตอะไร ข้าแค่มาเดินเล่นกับเพื่อนสนิทเจ้าค่ะ” หลินหยาพูดพลางสะบัดมือไปทางหรงเล่อ หรงเล่อพูดแทนทันทีแล้วพยักหน้าให้ชายหนุ่ม “ข้าชื่อหรงเล่อ ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านฝูจี๋ลิ่งเจ้าค่ะ”


“เช่นกันขอรับ” จางหมิ่นยังคงถือพัดอยู่ในมือ “หากแม่นางต้องใจในพัดนี้ ข้าอยากมอบให้เป็นของขวัญขอรับ…ถือว่าแทนคำขอโทษที่ล่วงเกิน”


“อะ อะไรนะ!? ไม่ต้องเลยเจ้าค่ะ! ข้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ท่านไม่ผิดด้วยซ้ำ! แค่จับพัดเองนะ! ข้า…ข้าจ่ายเองได้เจ้าค่ะ!” หลินหยาแทบจะกระโดดโต้แย้ง มือยกขึ้นปัด ๆ อย่างลนลาน ส่วนจางหมิ่นที่ได้ยินก็ยกพัดแนบอก ก้มศีรษะอีกครั้งอย่างอ่อนน้อม “…เช่นนั้น ข้าขอติดหนี้ไมตรีไว้ละกัน วันใดหากมีโอกาสจะขอชดใช้ทบต้นทบดอก”


แต่ก่อนที่จะเป็นฉากที่ดูโรแมนติก..เสียงฝีเท้าแน่นหนักดังสม่ำเสมอในบรรยากาศพลบค่ำของตลาดตะวันตกที่กำลังจะวาย พ่อค้าแม่ค้าเริ่มเก็บร้าน กลิ่นหอมของเกี๊ยวทอดและน้ำซุปปลาหวานละมุนลอยฟุ้งในอากาศคล้ายจะประโลมใจ…แต่ไม่ใช่สำหรับหลินหยาที่เพิ่งได้ยินเสียงก้าวเดินคุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลัง


พอหลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นแหละเถ้าแก่หลิวอัน..ไม่สิอ๋องหลิวอันในคราบชุดสามัญชนเรียบง่ายสีเข้มเดินตรงเข้ามา ใบหน้าของเขาเยือกเย็นอย่างเคย แต่ไม่ถึงกับบึ้งตึง…เป็นความสงบเสมือนอสูรที่กำลังสังเกตโลกจากเงาร่มไม้ หลิวอันหยุดยืนตรงข้ามทั้งสามคน เขาเหลือบตามองจางหมิ่นก่อน กวาดสายตาขึ้นลงอย่างเงียบงัน ราวกับอ่านสำนึกถึงกระดูกเจ้าหนุ่มขี้อายที่ถือพัดแนบอกแน่นอย่างระแวดระวัง ดวงตาคมเข้มของหลิวอันนิ่งจ้องอยู่เพียงครู่ แต่ทำเอาจางหมิ่นเหมือนจะยืนตัวตรงขึ้นโดยอัตโนมัติ เหงื่อผุดซึมเหนือไรผมตรงขมับ


"ขออภัยที่ขัดจังหวะ" หลิวอันเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงเรียบแต่มีแววสั่งการแฝงอยู่ในทุกคำ หันไปมองลูกสาว "หรงเล่อ.."


"ท่านพ่อ..." หรงเล่อรีบยิ้มแหย ๆ เอ่ยเบา ๆ พลางถอยหลังหนึ่งก้าว พยายามดึงหลินหยากลับมาอยู่ข้างตัว “เย็นมากแล้ว” หลิวอันพูดพลางเลื่อนสายตาจากบุตรสาวไปยังหญิงสาวข้าง ๆ “พวกเจ้าเดินเล่นกันเสร็จหรือยัง” หลินหยาฝืนยิ้มให้ทันที ก้มศีรษะน้อย ๆ อย่างคนมีมารยาทแม้จะเหงื่อตกนิด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจับได้ยังไงชอบกล “เจ้าค่ะ กำลังจะกลับแล้วพอดีเจ้าค่ะ ข้า...เอ่อ พอดีเดินเจอท่านชายที่หน้าร้านพัดพอดีเจ้าค่ะ เลย...ทักทายกัน”


จางหมิ่นรีบก้มศีรษะอีกครั้ง เสียงนุ่มและสั่นเล็กน้อย “ขออภัยหากข้า...รบกวนเวลาหวยหนานหวางขอรับ” จางหมิ่นฉลาดพอที่จะรู้ว่าคนตรงหน้านี้คือใครโดยที่ไม่ต้องพูด


“เจ้ามิได้รบกวน” หลิวอันกล่าว ไม่ใช่ในน้ำเสียงปลอบโยน แต่เป็นถ้อยคำที่เด็ดขาดเกินไปกว่าความสุภาพพื้นฐาน “แค่ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดฝูจี๋ลิ่งถึงมาเดินเล่นในตลาดตะวันออกซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ทำงานของเจ้ามากนัก ทั้งที่ตอนนี้ควรเป็นเวลาจัดระเบียบรายงานเครื่องราชย์ในช่วงต้นเดือนแล้วกระมัง?”


จางหมิ่นชะงัก…ทันทีที่รู้ว่าถูกจับพิรุธได้แทบจะหมดเปลือก แถมยังโดนจี้ตำแหน่งตรงกลางใจ “ข้า…ข้าเพียงแวะมาเดินผ่อนคลายก่อนกลับจวนขอรับ พอดีวันนี้...มีการอนุญาตให้กลับเร็วขอรับ” 


"อย่างนั้นหรือ" หลิวอันรับคำสั้น ๆ ไม่แสดงความเห็น แต่แววตาคมกริบก็สะท้อนแสงโคมไฟจนดูเหมือนจะเจาะทะลุหลังพัดในมือชายหนุ่ม หรงเล่อหันมาซบไหล่หลินหยา พึมพำเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงประชดนิด ๆ "นี่แหละพ่อข้า…เขาไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ยืนเฉย ๆ ก็เหมือนจะฆ่าคนตายได้แล้ว" หลินหยาพยักหน้าเงียบ ๆ ปลายนิ้วจิกชายเสื้อแน่น มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนพยายามกลั้นหัวเราะกลบความเกร็ง "...ข้าเห็นด้วยทุกประการเลยอ่ะ"


"หากไม่มีสิ่งใด ข้าจะพาบุตรสาวและสหายของนางกลับ" หลิวอันเอ่ยอีกครั้งก่อนจะหันหลังให้ แล้วเดินออกนำโดยไม่หันมามองอีกเลย หลินหยาและหรงเล่อรีบโค้งให้จางหมิ่นแล้วรีบตามหลังหลิวอันไป เหลือเพียงฝูจี๋ลิ่งผู้อาภัพพัดยืนถือของอยู่ท่ามกลางสายลมยามค่ำ พึมพำเบา ๆ “หืม...กลิ่นเต้าหู้นั่นลอยมาถึงนี่เลยรึ” ก่อนจะยิ้มแหย หันไปทางร้านขนมแล้วเดินหนีจากแรงกดดันแบบบุรุษผู้รอดตายจากสนามรบโดยไม่โดนแตะเลยสักนิ้ว



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ

พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หรง ป๋อเหวิน

(เพิ่มเรทติ้งให้ด้วยนะจ๊ะอย่าลืม)


แสดงความคิดเห็น

(หลิวอันหัวใจสิบดวงแล้วสามารถยื่นขอเควสยืนยันว่าหัวใจสิบดวงได้ ตอนนี้หัวใจแค่ 9.9999 ดวง (แต่ไม่ใช่ปลดแถวสองคนละเควส)  โพสต์ 2025-7-1 20:57
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-7-1 20:56
โพสต์ 50757 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 15:56
โพสต์ 50,757 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-1 15:56
โพสต์ 50,757 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-1 15:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-1 16:24:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-7-1 16:48

วันที่ 30 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า (เวลา 05.00 - 07.00 น.)



ซูเหยาในชุดสีอ่อนบริสุทธิ์ก้าวออกมาจากโรงหมอเจิ้งเทียนด้วยท่วงท่าอันสง่างาม ตะกร้าสานในมือนางบรรจุภัตตาหารสำหรับใส่บาตรที่จัดเตรียมไว้อย่างประณีต นางมุ่งตรงไปยังตลาดตะวันออกที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าพ่อค้าแม่ขาย นางหาได้ใส่ใจกับความวุ่นวายรอบกายไม่ มุ่งตรงไปยังจุดประจำที่นางมักจะยืนรอไต้ซือเดินบิณฑบาตผ่าน


มิทันไรร่างสูงสง่าในจีวรสีหม่นก็ปรากฏขึ้น ไต้ซือก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกริบแต่แฝงแววแห่งเมตตาเหลือบมองมา ซูเหยารีบประนมมือขึ้นอย่างนอบน้อม พลางเอ่ยนิมนต์ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน 


“นมัสการท่านไต้ซือเจ้าค่ะ” นางบรรจงถวายอาหารในตะกร้าด้วยใจอันเปี่ยมล้นด้วยศรัทธา (ทั้งที่ตัวเองเป็นเต๋า…)


ไต้ซือยื่นบาตรรับอาหารจากซูเหยา พลางชายตามองเครื่องแต่งกายของนางเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงความขบขัน 


“โยมสีกา มายืนรออาตมาแต่เช้าตรู่เชียว ช่วงนี้ดูท่าคงจะสะสมบุญจนล้นปรี่แล้วกระมัง หรือว่าชีวิตนี้มีเรื่องทุกข์ใจจนต้องมาพึ่งใบบุญพระเสียแล้ว” ท่านหัวเราะหึๆ ในลำคอ “คนเรานี่ก็แปลกนัก ยามสุขก็ลืมวัด ยามทุกข์ก็วิ่งเข้าหาพระ เหมือนกับต้นไม้แห้งที่เพิ่งจะนึกอยากได้น้ำนั่นแหละ”


ซูเหยาค้อมศีรษะลงเล็กน้อย นางไม่แปลกใจกับวาจาตรงไปตรงมาของไต้ซือ 


“ไม่ถึงขนาดนั้นเจ้าค่ะท่านไต้ซือ เพียงแต่ข้าเห็นว่าการทำบุญเป็นสิ่งดีงาม จึงตั้งใจมาถวายภัตตาหารแด่ท่านเป็นประจำ”


“ดีงามน่ะดีงามอยู่หรอก” ไต้ซือถอนหายใจ “แต่จิตใจที่ปรารถนาความดีงามนั้นมันบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า หรือแค่ทำเพราะกลัวบาปกลัวกรรม ทำตามอย่างคนอื่น หรือหวังผลตอบแทนทางโลกกันแน่” ท่านมองซูเหยาด้วยสายตาหยั่งรู้ “บุญที่แท้จริงน่ะ มันไม่ได้อยู่ที่ของที่ใส่บาตรหรอกนะโยม แต่อยู่ที่ใจที่บริสุทธิ์ต่างหาก”


ซูเหยารู้สึกราวกับถูกมองทะลุปรุโปร่ง นางเงยหน้าขึ้นมองไต้ซือ


“ท่านไต้ซือกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนักเจ้าค่ะ บางคราข้าเองก็ยังสับสนในหนทางที่เลือกเดินเหมือนกันเจ้าค่ะ”


“สับสนน่ะดีแล้วโยม” ไต้ซือพยักหน้า “ดีกว่าหลงทางไปไกลจนกู่ไม่กลับ คนที่ไม่รู้จักสงสัยในสิ่งที่ทำน่ะ อันตรายยิ่งกว่าคนตาบอดเสียอีก เพราะไม่เห็นทางผิดก็ไม่คิดจะแก้ไข” ท่านยิ้มเล็กน้อย “แต่ความสับสนนั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะหยุดนิ่งนะโยม มันคือโอกาสที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อะไรคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และทำเพื่ออะไร”


ไต้ซือก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย 


“โยมสีกาดูเป็นคนละเอียดอ่อนนัก คงจะคิดมากเป็นเรื่องปกติกระมัง ระวังนะโยมคิดมากไปก็ไม่ดี มันจะทำให้ใจเป็นทุกข์เปล่า ๆ โลกนี้มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใจเราสร้างภาพขึ้นมาหรอก” ท่านหยุดเดินแล้วหันกลับมามองซูเหยาอีกครั้ง “ความสับสนในใจโยมน่ะ เปรียบได้กับน้ำที่ขุ่นมัว ยิ่งคนกวนมากเท่าไรก็ยิ่งมองไม่เห็นก้นบ่อ โยมก็เหมือนกันยิ่งคิดมากเรื่องที่ไม่จำเป็น ใจก็ยิ่งขุ่นมัวจนมองไม่เห็นทางสว่าง”


ซูเหยาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ 


“ข้าจะพยายามสำรวจจิตใจตัวเองให้มากขึ้นเจ้าค่ะ”


“ดีแล้ว” ไต้ซือกล่าว “แต่การสำรวจจิตใจก็ใช่ว่าจะทำเพียงลำพังได้นะโยม บางครั้งก็ต้องอาศัยกระจกสะท้อนจากผู้อื่นบ้าง ยิ่งคนในโลกนี้มีมากมาย โยมย่อมได้พบเจอกับผู้คนหลากหลาย ยิ่งเห็นมากก็ยิ่งรู้มาก ยิ่งฟังมากก็ยิ่งเข้าใจมาก” ท่านชี้ไปยังผู้คนที่เดินขวักไขว่ในตลาด “ดูนั่นสิโยม แต่ละคนก็แบกความทุกข์ความสุขมาไม่เท่ากัน บางคนก็ยิ้มแย้มทั้งที่ใจเศร้า บางคนก็ทำหน้าบึ้งทั้งที่สุขสบายดี”


ไต้ซือถอนหายใจยาว “นี่แหละคือสัจธรรมของชีวิต ทุกอย่างล้วนมีสองด้านเสมอ เหมือนกับแสงและเงา ความมืดและสว่าง หากโยมหมั่นสังเกตและเรียนรู้ โยมก็จะเห็นความจริงในสิ่งเหล่านั้น” ท่านมองตรงมายังซูเหยาอีกครั้ง “โยมมีใจเปี่ยมเมตตา มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ในการช่วยชีวิตผู้อื่น แต่ก็อย่าลืมว่าชีวิตของโยมเองก็มีค่าไม่แพ้กัน การที่โยมนอนไม่หลับเพราะความคิดกังวลต่างๆ นานานั้น มันก็บั่นทอนกำลังกายกำลังใจของโยมไปเรื่อย ๆ”


“การเป็นหมอน่ะ ไม่ใช่แค่รักษาโรคทางกายนะโยม แต่ต้องเข้าใจจิตใจของคนไข้ด้วย เพราะหลายโรคก็เกิดจากใจที่ป่วยไข้ก่อน” ไต้ซือเอ่ยเสียงจริงจังขึ้น “ถ้าโยมเองยังดูแลใจตัวเองไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปดูแลใจผู้อื่นเล่า” ท่านยิ้มเล็กน้อย “ชีวิตโยมมันไม่ได้ผูกติดอยู่กับความกลัวตายหรอกนะ แต่มันผูกติดอยู่กับความเมตตาที่โยมมีต่อผู้อื่นต่างหาก”


“เดี๋ยวนะเจ้าคะ…ท่านไต้ซือรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าข้าเป็นหมอ?” ซูเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ สายตาจับจ้องไปที่ไต้ซืออย่างไม่วางตา นางไม่ได้บอกอาชีพของตนให้ท่านทราบเลยแม้แต่น้อย


ไต้ซือแย้มยิ้มบางเบา ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยราวกับพิจารณาสิ่งลึกล้ำ “ฮึ่ม... โยมสีกาช่างคิดมากเสียจริงหนอ” ท่านว่าพลางกวาดสายตามองไปรอบกายซูเหยาอย่างละเมียดละไม โดยมิได้ล่วงเกินกายสตรี “อาตมามิได้มีตาทิพย์อะไรหรอกโยม”


ท่านผายมือไปยังทิศทางที่ซูเหยาเดินมา 


“โยมออกมาจากทิศทางของโรงหมอเจิ้งเทียนมิใช่หรือ และกลิ่นสมุนไพรที่ฟุ้งกระจายอ่อน ๆ รอบตัวโยมนั้น มันหอมซับซ้อนยิ่งนัก ไม่ใช่กลิ่นยาต้มทั่วไปที่ชาวบ้านใช้รักษาอาการเจ็บป่วย” ไต้ซือมองตะกร้าในมือของซูเหยาซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า “ยิ่งไปกว่านั้น...ปลายนิ้วของโยมมีร่องรอยของการสัมผัสพืชพรรณแห้ง ๆ ติดอยู่จาง ๆ คล้ายคนที่คลุกคลีกับสมุนไพรมานานปี”


“และที่สำคัญที่สุดนะโยมสีกา” ไต้ซือหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “แววตาของโยมนั้นเต็มไปด้วยความ เมตตา ความ ห่วงใย และความ ครุ่นคิด ถึงสรรพชีวิต เหมือนกับผู้ที่แบกรับความเจ็บป่วยของผู้อื่นไว้บนบ่าทุกวัน” ท่านถอนหายใจเบา ๆ “อีกทั้งร่องรอยความอ่อนล้าภายใต้ดวงตาของโยม ก็บ่งบอกว่าโยมอดหลับอดนอนมาหลายครานัก”


“หมั่นดูแลสุขภาพตนเองบ้างนะโยม” ไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใยอย่างแท้จริง “เป็นหมอที่เก่งกาจถึงขั้นนี้ หากเจ็บป่วยเสียเองแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปรักษาผู้อื่นเล่า” ท่านยิ้มเล็กน้อย “ชีวิตโยมมันไม่ได้ผูกติดอยู่กับความกลัวตายหรอกนะ แต่มันผูกติดอยู่กับความเมตตาที่โยมมีต่อผู้อื่นต่างหาก จงใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่ามัวแต่จมอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นประโยชน์นัก”


ตะ…ไต้ซือหรือโคนันคะ?...


"ขะ...ขอบพระคุณท่านไต้ซือเจ้าค่ะ..."


ไต้ซือพยักหน้าเป็นเชิงให้พรอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างสงบโดยไม่หันกลับมามองซูเหยาอีกเลย ทิ้งให้นางยืนนิ่งอยู่กลางตลาดที่ยังคงคึกคัก แต่นางกลับรู้สึกราวกับได้พบหนทางอันกระจ่างแจ้งขึ้นในจิตใจ (อีกแล้ว) 




[NPC-21] มอบ ไก่ขอทาน และ ชาขาวเข็มเงิน ให้ ไต้ซือจื่อหลิง

+25 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดทอง + ชา/สุราเกรดทอง (+15)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

ไต้ซือหัวใจถึงลิมิต 2 ดวงแล้ว  โพสต์ 2025-7-1 16:37
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-7-1 16:37
โพสต์ 21653 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 16:24
โพสต์ 21,653 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-1 16:24
โพสต์ 21,653 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-1 16:24
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ 2025-7-2 19:04:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-2 21:26


วันที่ 02 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 18.00 - 19.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


แสงสุดท้ายของยามโหย่วเจือสีทองแดงทาบทับท้องฟ้าเหนือฉางอัน ถนนสิบลี้ยามนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงเจรจาซื้อขายและกลิ่นหอมของเกี๊ยวทอดปนกับใบชาป่า เด็กเล็กวิ่งเล่นไล่จับกันในตรอกแคบระหว่างร้านขนมและร้านผ้า ในขณะที่เหล่าผู้เฒ่านั่งล้อมวงเล่นหมากล้อมหรือขว้างหินเสี่ยงทายโชค หลินหยาก้าวเดินอย่างเนิบนิ่ง ใบหน้าหวานเปล่งรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตากลมโตทอดมองร้านรวงรอบด้านอย่างไร้จุดหมาย


"ท่านชายเว่ยจ้งชิง...ท่านหายไปไหนกันนะเจ้าคะ?" เสียงในหัวนางพร่ำเพรียกเบา ๆ พลางเงยหน้ามองฟ้า ไม่ใช่ว่านางกำลังหาตัวเขาในท้องฟ้าแต่อย่างใด เพียงแต่อยากรู้ว่าชายใจดีผู้เคยยื่นดนตรีให้ยามตกระกำลำบากในคุก บัดนี้หายไปทางใด… "เฮ้อ..." หลินหยาพ่นลมหายใจเอื่อยอย่างเกียจคร้าน ขณะหมุนตัวหลบแม่ค้าที่ยกเข่งผลไม้ผ่านมาด้วยความเร่งรีบ นางเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาสะท้อนความคิดถึงคล้ายคนรอจดหมายที่ไม่มีวันมาถึง


ทว่าไม่ทันได้ซึมอยู่ในอารมณ์นั้นนาน เสียงของผ้าไหมเสียดสีกับพื้นหินก็ดังแผ่วเบาอยู่ใกล้ ๆ และแล้วดวงตาหวานก็เบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งในชุดสีอ่อนเรียบหรู มือข้างหนึ่งถือพัดกางอยู่เพียงครึ่ง ดวงหน้าเรียบสงบ ดวงตาเรียวเฉียงมองรอบด้านราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างหรืออาจไม่ได้หาอะไรเลย แค่เดินเพลินตามประสาคนสายบุ๋นที่คิดมากในใจจนลืมว่ากำลังก้าวเท้า


เธอระบายยิ้มก่อนที่จะก้มลดตัวก้มคำนับอีกคนตามมารยาท “ข้าน้อยขอคาววะ ท่านชายจางหมิ่งเจ้าค่ะ”


ชายหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่ามีคนทัก พลางรีบหุบพัดแล้วโบกเบา ๆ อย่างสุภาพ “อ๊ะ แม่นางหนานไม่สิ แม่นางหลิน ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เห็นข้าเสียอีก ข้า...แค่มาเดินเล่นเท่านั้น มิได้มีธุระสำคัญอันใด” เขาพูดแบบที่เหมือนจะลนลานเล็กน้อย ซึ่งหลินหยาก็..เอ่อ..ยังไม่ได้ถาม จะตอบทำไมละเนี้ย..


“ข้าเองก็แค่ออกมาเดินเล่นเช่นกันเจ้าค่ะ” หลินหยาเอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมระบายยิ้มหวาน ใบหน้าอ่อนเยาว์เจือแววขี้เล่นคล้ายจะหยอกล้อ “มิใช่เพราะตั้งใจจะมาพบใคร”


ชายหนุ่มยิ้มเก้อ ๆ แล้วมองพัดในมือตนก่อนจะหันกลับมาสบตานาง “เมื่อวานแม่นางเกือบคว้าพัดเล่มเดียวกับข้าในตลาดนี่ ข้ายังไม่ลืมเลยนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แววตาคล้ายยังเก็บความละอายอยู่ในที เพราะจำได้ดีว่าตอนนั้นมือของทั้งสองแตะกันเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายสะดุ้งหลบเสียก่อน


“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ ข้าออกจะมือไวไปหน่อยเจ้าค่ะ” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มอ่อนโยนในแบบที่ชวนให้คิดว่านางมักมีอารมณ์ดีได้แม้ในวันที่ฟ้าเทา


จางหมิ่นฝูจี๋ลิ่งเก็บพัดเข้าชายแขนเสื้อเรียบร้อยแล้วเอ่ยถามอย่างสุภาพ “วันนี้...แม่นางหรงเล่อไม่ได้ออกมาด้วยหรือ?” คำถามนั้นดูเหมือนจะเอ่ยอย่างเคยชิน คล้ายคนที่รู้จักมิตรสหายของนางอยู่บ้าง แววตาของเขานุ่มนวลแต่ไม่ล้ำเส้นเพราะคิดกับอีกฝ่ายเพียงคนรู้จักที่พึ่งเคยพบเท่านั้น ส่วนหลินหยาเมื่อได้ยินอีกคนถามถึงธิดาหวยหนานอ๋องเลยบอก “หรงเล่อไม่ได้มาเจ้าค่ะ นางน่าจะอยู่ที่จวน ข้ายังไม่ได้กลับเลยออกมาเดินเล่นคนเดียวเจ้าค่ะ”


“อย่างนั้นหรือ...” เขาพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าดูไม่ขัดข้อง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยชวนใด ๆ เพิ่มเติม เพราะตามนิสัยเขาเป็นคนสุภาพเกินกว่าจะยื่นหน้าหาใครก่อนหากอีกฝ่ายไม่เปิดทาง หลินหยามองชายหนุ่มตรงหน้า พลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างคนเพิ่งนึกอะไรได้ แล้วจู่ ๆ ก็ก้มตัวเปิดห่อผ้าสีอ่อนที่เธอพกไว้แนบเอว มือขาวเรียวยื่นหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ผูกด้วยเชือกเส้นบางหอมกลิ่นใบไผ่ออกมา กล่องนั้นประณีตจนดูออกว่าเป็นของขวัญมิใช่ขนมข้างทาง กลิ่นไหมฟ้าหวานเจือเปลือกส้มจีนลอยออกมาอ่อน ๆ ราวกับแสงจันทร์คลี่ตัวออกจากหมู่เมฆ พลางยื่นกล่องนั้นไปตรงหน้าเขา “รับไปเถอะเจ้าค่ะ ขนมไหมฟ้า ข้าทำเองไม่ได้ดีเลิศอะไรนักหรอก แต่พอกินแล้วน่าจะหายขมคอได้บ้าง”


จางหมิ่นรับของอย่างงุนงง ดวงตากะพริบเบา ๆ ขณะมองกล่องขนม “อ่า...ข้า ขอบใจเจ้ามากแม่นางหลิน แต่เหตุใด...” หลินหยาตอนที่ได้ยินก็ระบายยิ้ม เขาคงสงสัยว่าให้ทำไม “เผื่อท่านเสียขวัญจากเมื่อวานไงเจ้าคะ..เอาน่าเอาไปเถอะ ข้าทำให้หรงเล่อด้วย จะเหลือบ้างก็เรื่องปกติแหละท่านขชาย” หลินหยาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหัวเราะนิดหน่อย 


บุรุษตรงหน้าดูลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเก้อ ๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบท้ายทอยตนเองเบา ๆ “ข้าก็ว่า...เมื่อวานท่านอ๋องมองข้าเหมือนจะยื่นหมายหัวให้ทั้ง ๆ ที่ข้าแค่ยืนดูพัด...ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วล่ะ..คงเป็นห่วงแม่นางและบุตรสาวมากเลยทีเดียว” 


“ก็ขี้เป็นห่วงตามประสาคนมีอายุแหละเจ้าค่ะ บุตรสาวอย่างหรงเล่อก็อายุเข้าวัยออกเรือนแล้ว ไม่รู้จะได้โดนตกแต่งกับใครเหมือนกัน นางดูเหมือนอยากแต่งกับขนมหวานมากกว่าด้วย..งั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ แล้วพบกันเจ้าค่ะ” หลินหยาส่ายหัวก่อนที่จะลุกขึ้นจากบริเวณตรงนั้นท่าทางของนางดูอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย แม้ว่าวันนี้จะไม่พบท่านชายเว่ยจ้งชิงก็ตามที



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หรง ป๋อเหวิน

มอบ ขนมไหมฟ้า ขนมเกรดทอง ให้  NPC ตัวประกอบ หรง ป๋อเหวิน

(ส่งแล้วจ้า)

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-7-2 21:57
โพสต์ 24929 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-2 19:04
โพสต์ 24,929 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-2 19:04
โพสต์ 24,929 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-2 19:04
โพสต์ 24,929 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-2 19:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 16:59:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.30 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


ถนนสิบลี้ทางเข้าตลาดตะวันออกแสงตะวันสุดท้ายคล้อยลับไปแล้วเหลือเพียงแสงโคมระย้าริมทางที่เริ่มสว่างไสว ไล่ไล้กลิ่นหอมจากแผงอาหารยามค่ำกับเสียงผู้คนพลุกพล่านพอประมาณ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะโผล่มาในชุดผ้าฝ้ายเนื้อดีสีสว่าง ดวงตาวับวาวเหมือนเคย รอยยิ้มของนางสดใสจนน่าหมั่นไส้นิด ๆ สำหรับใครบางคนที่ยืนรออยู่ริมโคมกระดาษหน้าทางเข้า "ท่านหลิวอัน! รอนานไหมเจ้าคะข้ามาแล้วนะ!" นางโบกมือเบา ๆ พลางก้าวฉับ ๆ เข้ามาหาท่าทางอารมณ์ดีเสียจนดูคล้ายคนเพิ่งถูกขอแต่งงานมาเสียอีก "เมื่อครู่ข้าแวะไปเดินเล่นนอกเมืองมานิดหน่อยน่ะเจ้าค่ะดอกไม้เพียบเลยสวยมากด้วย!"


หลิวอันผู้ที่ยืนประสานมือไพล่หลังอยู่ใต้โคมไฟ ส่งเสียงในลำคอเบา ๆ แทนคำทักทาย ใบหน้ายังเย็นขรึมเช่นเคย แต่อะไรบางอย่างในดวงตากลับอ่อนลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ “เจ้าเดินออกนอกเมืองมาอีกแล้วหรือ?..คราวก่อนก็ฝนตกจนเกือบไข้ยังจะมีหน้ามาบอกว่าสวยอีก?” เขาเอ่ยเรียบ ๆ แต่ก็ยอมก้าวเคียงข้างอย่างไม่ปฏิเสธ


หลินหยาหัวเราะคิกก่อนจะยกมือขึ้นชี้ปลายนิ้วเรียวไล่ขึ้นทีละอย่างอย่างกระตือรือร้น "โหยท่าน..ก็พูดไปแค่ไอปะล่ะ ไม่ได้ไข้สักหน่อย เอาล่ะ ๆ เรามาเข้าเรื่องของเรากันเถอะเจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะทำขนม! ต้องซื้อของเยอะเลยนะเจ้าค่ะเพราะข้าจะทำขนมเซาปิ่ง ขนมบัวหิมะ ขนมไหมฟ้า ขนมกุ้ยฮวา ขนมหลี่โต้วเกา ขนมคอเป็ด...แล้วก็ขนมไร้กังวล!" เสียงหญิงสาวไล่ชื่อขนมรัวเหมือนกำลังอ่านตำราสงคราม ดวงตาเปล่งประกายระยิบราวกับมีดาวกระพริบอยู่ข้างใน


หลิวอันชะงักฝีเท้ามือที่เคยประสานอยู่ด้านหลังก็เลื่อนขึ้นเสยผมช้า ๆ อย่างคนเริ่มรู้สึกถึงภัยเงียบ "...เจ้าว่าจะทำขนมทั้งหมดนี้ภายในกี่วันกันแน่?" น้ำเสียงเขานิ่งเฉย แต่สายตากลับหรี่ลงคล้ายกำลังประเมินว่าสิ่งที่เขาถืออยู่ตอนนี้คือรายการของซื้อหรือปริมาณกระสุนปืนใหญ่ที่ต้องตุนในช่วงเวลาสงคราม


หลินหยายิ้มหวานฉ่ำตอนได้ยิน "เอ๋? ก็แค่ไม่กี่วันเองเจ้าค่ะ ขนมไม่ใช่เรื่องยากนี่นา ข้าจะทำให้หรงเล่อทุกวัน! นางอยากกินขนมเป็นเข่งใหญ่ ๆ ข้าก็ต้องทำสิ"


"แล้วเจ้าจะให้ข้าช่วยถือของพวกนั้น?" หลิวอันถามอีกครั้ง สีหน้าเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อเป็นเพื่อนเดินตลาดหรือเป็นวัวเทียมเกวียน "แน่นอนอยู่แล้วสิเจ้าคะ!" หลินหยาตอบทันควันแล้วหัวเราะคิกพลางโอบแขนเขาเบา ๆ ดึงให้เดินต่อ "ท่านเป็นพ่อของหรงเล่อที่ข้าจะทำขนมให้ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันสิหรือท่านจะยอมให้ลูกสาวตัวเองอดของหวานล่ะ?"


หลิวอันถอนหายใจเงียบ ๆ พลางหันหน้าไปอีกทางปิดบังรอยยิ้มจาง ๆ ที่ลอบผุดขึ้นมุมปาก "หากหรงเล่อนางกลิ้งไม่ได้ก็ถือว่าเจ้าทำพลาดแล้วล่ะ" เขาพึมพำเสียงเรียบแล้วเดินเคียงข้างหลินหยาต่อไปท่ามกลางเสียงผู้คนในตลาดที่ค่อย ๆ คึกคักขึ้นเรื่อย ๆ ถนนสิบลี้ยามค่ำคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ท่ามกลางเสียงพ่อค้าแม่ค้าเรียกลูกค้ากระชับ ฉับไว หลินหยาก็เดินอย่างอารมณ์ดีเหมือนคนที่กำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้


"ท่านหลิวอัน! งานี้ดีไหม ดูมันสิ…หอม..สีขาวนวลเชียว!" เสียงนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น พร้อมกับชี้ไปยังกองเมล็ดงาขาวบนแผงก่อนจะตวัดสายตามาหาแผงมันเทศอีกฝั่ง "อื้ม...มันเทศ! เอาสีม่วงสีแดงด้วยนะดูน่าจะหวานดี" ว่าแล้วก็หยิบมันเทศลูกใหญ่ใส่ตะกร้าราวกับเป็นผลทับทิมราคาเบี้ย…คิดว่ามันเท่าไรกัน “นมวัว นมแพะ เอาทั้งคู่เลยดีไหม?” หลินหยาเริ่มหันซ้ายขวา สับสนกับตัวเองเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เหมาทั้งสองแบบ พลางยื่นถุงให้หลิวอันที่...ตอนนี้มีมือเต็มไปหมดแล้ว


ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์เรียบง่าย พาดผ้าคลุมไหล่เนื้อหนาไว้ด้านหลัง ตอนนี้ยืนอยู่อย่างสงบ...หากไม่นับว่ามีถุงใส่ถั่ว งา แป้ง น้ำตาล มัดเกาลัด และดอกกุ้ยฮวาห้อยพะรุงพะรังเต็มสองแขน เขาไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่หลินหยาหยิบของชิ้นที่เจ็ด นอกจากถอนหายใจเบา ๆ กับพึมพำในลำคอคล้ายเสียงคนปลงชีวิต “ข้าว่าข้าเป็นอ๋อง…”


“หืมมม? อะไรนะเจ้าคะท่าน?..ท่านพูดอะไรหรือเปล่า?” หลินหยาเหลียวหลังมามองยิ้ม ๆ มือยังถือเผือกอยู่สามหัว


“เปล่า...แค่รู้สึกว่าข้าอาจเกิดมาเพื่อเป็นหิ้งวางวัตถุดิบของแม่ค้าเท่านั้น” พอได้ยินคนข้างตัวพูดแบบนั้นก็หัวเราะร่าหลินหยาหัวเราะคิกทันที “ท่านนี่ตลกจัง! ข้าสิที่ควรเหนื่อยเพราะต้องคิดเมนูและเดินวน แต่ท่านโชคดีแล้วที่ได้เป็นลูกมือแม่ครัวฝีมือขั้นเทพเช่นข้า…ถึงจะทำเป็นได้ไม่กี่อย่างก็เถอะ”


“เทพอารมณ์ไหน...เทพลมพัดหอบของเข้าตัวข้ากระมัง” หลิวอันเอ่ยแบบเหนื่อยใจ รู้สึกเหมือนนางทำให้เขาพูดเยอะมากกว่าทุกวันทุกครั้งที่พบหน้ากัน เธอไม่ตอบ เอาแต่มองถุงของเต็มมือเขาแล้วยิ้มกว้างราวกับโลกนี้ไม่มีคำว่า มากไป แล้วตะโกนสั่งเพิ่มจากแผงหน้าว่า “เอาถั่วอีกห้าชนิด รวมถึงไป๋กั่วด้วยนะเจ้าคะ!”


หลิวอันยืนนิ่งเหลือบตามองถุงทั้งสองแขนแล้วพึมพำออกมาช้า ๆ ไม่แน่ใจว่าพูดกับใครส่วนหลินหยาน่ะหรอนางหัวเราะจนตัวงอพลางขยับมือไปลูบแขนเขาเบา ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อดทนหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ท่านกำลังได้บุญกุศล…จะได้กินขนมแบบเต็มเข่งก่อนใครด้วยนะเจ้าคะ”


เขาเหลือบมองคนพูดอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “…ข้าไม่ได้อยากกลิ้งเหมือนลูกสาวตัวเองนะ” แต่ดูเหมือนจะสายไปแล้วพูดไม่ทันคนที่ชอบร่าเริงเกินเหตุเพราะหญิงสาวก็กำลังวิ่งไปซื้อผลไม้สดแผงถัดไปอย่างรื่นเริง ปล่อยให้เขายืนอยู่ท่ามกลางความพะรุงพะรังที่เป็นปริศนาอันหอมหวานของชีวิต



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เราจะปลด 99.99% ดวง มาเลยอีเว้นท์หัวใจ 10 ดวง เพ่พร้อมแล้ว!

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 27314 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 16:59
โพสต์ 27,314 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 16:59
โพสต์ 27,314 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 16:59
โพสต์ 27,314 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 16:59
โพสต์ 27,314 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 16:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 20:10:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.30 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


โคมไฟแขวนบนไม้ไผ่ที่เรียงรายตลอดถนนสิบลี้ แสงสีส้มอบอุ่นสะท้อนผิวน้ำในอ่างใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ในมุมตลาดด้านหนึ่งซึ่งตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเสียงหัวเราะ เสียงขานอธิษฐาน และเปลวเทียนจากโคมกระดาษรูปดอกบัวที่กำลังลอยละล่องอยู่บนผิวน้ำ หลินหยาที่อารมณ์ดีจากการจับจ่ายเสร็จ เดินมากับหลิวอันจนถึงจุดที่ผู้คนกำลังลอยโคม เธอหยุดยืนตรงนั้นสีหน้าเป็นประกายเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนเด็กสาวที่เจอสิ่งแปลกใหม่


“โห...โคมลอยน้ำเจ้าค่ะท่าน..ดูสิ ๆ !” นางอุทานเบา ๆ ก่อนจะหันไปสบตาเขาแล้วคว้ามือข้างหนึ่งของชายหนุ่มทันทีโดยไม่รอให้เขาตอบ “ไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ! ข้าอยากเห็นใกล้ ๆ” ปลายนิ้วอุ่นของหญิงสาวที่สอดเข้ามาในฝ่ามือหนาเรียกให้หลิวอันชะงักนิดหน่อย เขาเงียบขรึมเฉกเช่นเคย แต่ก็ปล่อยให้เธอจูงไปโดยไม่เอ่ยทักหรือดึงกลับ


“ท่านหลิวอันเจ้าคะ...” หลินหยาพึมพำเบา ๆ ขณะยืนหน้าแผงเขียนคำอธิษฐาน ใกล้ริมรางน้ำ “เขียนด้วยกันนะเจ้าคะ ข้าจะเขียนให้หรงเล่อหนึ่งใบ แล้วเขียนให้ตัวเองด้วยหนึ่งใบ” เธอหันมาเอียงคอมองเขาด้วยสีหน้าอ้อน ๆ ดวงตากลมโตมีแววระยิบระยับเหมือนแมวที่เห็นปลาตากแดด “ทำด้วยกันเถอะนะเจ้าคะ ไม่งั้นข้าจะเขียนคนเดียว มันจะดูเหมือนข้าโหยหาคำขอมากเกินไป..เอาง่าย ๆ ข้าอายอ่ะท่านทำเป็นเพื่อนข้าหน่อยน่าา”


หลิวอันหรี่ตามองเธอเล็กน้อย ไม่ตอบทันที เสี้ยวหน้าของเขาภายใต้แสงเทียนนั้นนิ่งเสียจนคนไม่รู้จักคงคิดว่ากำลังไม่พอใจแต่แล้วเขากลับพูดเสียงเบาราวลมพัดกระซิบ “งั้นข้าจะเขียน...หนึ่งใบให้ตัวเอง...อีกหนึ่งใบให้เจ้า” ตอนที่หลินหยาได้ยินนางเบิกตากว้าง “หา? ท่านจะเขียนให้ข้าด้วยเรอะ!?”


“อืม...แต่จะไม่ให้เจ้าดู” เขาตอบเรียบ ๆ พลางรับแผ่นกระดาษบางจากแผงตรงหน้า มือหนาจับพู่กันอย่างมั่นคงแล้วเริ่มเขียนเงียบ ๆ ในนั้นมีเพียงเสียงกระซิบของสายลมกับกลิ่นหมึกจาง ๆ จากนั้นหลินหยานั่งยอง ๆ อยู่ข้างถังน้ำขนาดใหญ่ หน้าเปื้อนยิ้มบางอย่างมีความหมาย มือเล็กขยุ้มกระดาษคำอธิษฐานที่พึ่งเขียนเสร็จด้วยลายมือแสนจะบิดเบี้ยวอย่างน่าอนาถ ดวงตาเป็นประกายขณะมองมัน แต่หากคนอื่นได้เห็นคงคิดว่ากระดาษแผ่นนั้นผ่านอาการชักกระตุกมาก่อนหนึ่งรอบ


ใบแรกของหรงเล่อนางเขียนว่าขอให้หรงเล่อมีความสุข และใบที่สองเขียนให้ตัวเองก็เขียนว่าขอให้ทุกคนมีความสุข…เพราะหากทุกคนมีความสุขนางก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน เมื่อเขียนเสร็จ เธอก็เป่า ๆ ให้น้ำหมึกแห้งอย่างคนใจร้อน พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นอ๋องหลิวอันยังถือพู่กันนิ่ง ๆ สีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงโต๊ะใกล้ ๆ หลินหยาก็ลุกพรวดขึ้นแล้วเดินไปใกล้เขาอย่างไม่เกรงใจ "เขียนเสร็จหรือยังเจ้าคะ?" นางโน้มตัวดูเขาเขียนทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เชื้อเชิญอะไรเลย “ของข้าเสร็จแล้วนะเจ้าคะ ถึงแม้ลายมือจะเหมือนไก่เมายาบ้าแบบอ่านไม่ออกไปหน่อยก็เถอะ ฮี่ ๆ ๆ” ถ้อยคำของเธอฟังดูธรรมดา แต่เสียงที่พูดออกมานั้นกลับแฝงความจริงใจลึก ๆ ที่คนฟังสัมผัสได้


หลิวอันเหลือบมองแผ่นกระดาษแสนบิดเบี้ยวในมือของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไรเพราะเหมือนจะเขียนอะไรสุข ๆ ?...ความสุขหรือเปล่าอ่านไม่ค่อยออก..ลายมือนางแย่ถึงเพียงนี้เลยหรอเนี้ย? เขาเพียงเลิกคิ้วนิด ๆ เหมือนจะสงสัยว่านั่นเป็นภาษามนุษย์จริงหรือไม่ก่อนจะวางพู่กันลง "ข้าเสร็จแล้ว" เขากล่าวเรียบ ๆ


"งั้นไปลอยกันเถอะเจ้าค่ะ!" หลินหยาฉีกยิ้มสดใสแล้วคว้าข้อมือเขาดึงเบา ๆ อีกครั้ง แม้ไม่ได้ยินเสียงหัวใจใครเต้นแรง…แต่ยามที่แสงไฟจากโคมกระดาษสะท้อนในดวงตาทั้งสองคู่ที่ยืนเคียงกันริมน้ำ มันก็เหมือนมีเสียงกระซิบจากคำอธิษฐานของหญิงสาวคนหนึ่ง...ที่อยากให้ทุกคนมีความสุขรวมถึงคนข้าง ๆ นางด้วย



@Admin 

 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอ่อออ มันก็หวานอยู่คุณพี่ รอต่อค้าบบบ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19110 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม +5 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 20:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 21:50:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.30 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


‘ขอให้เจ้าคนโง่ตรงหน้าข้า…ไม่เจ็บตัวจากขนมพวกนี้ก็พอ’


แม้จะไม่ได้เอ่ยอธิบายให้ใครฟัง แต่ในใจของเขากลับมั่นคงต่อสิ่งที่เขียนลงไปราวกับตรึงแน่นด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น ตัวอักษรบรรจง คม เรียบ และมั่นคงสมเป็นลายมือของผู้ที่ผ่านพ้นมรสุมมานับไม่ถ้วน หลิวอันเขียนเสร็จแล้วไม่กล่าวอันใด ไม่รอ ไม่แสดงแววตาอ่อนโยนใด ๆ ออกมา เขาเพียงแค่พับกระดาษอย่างบรรจง ม้วนเรียบแน่นราวกับจะสั่งเสียอะไรเงียบ ๆ กับชะตาเบื้องบน แล้วสอดเข้าไปในโคมสีงาช้างลายเมฆหมอกก่อนจุดปลายเทียนข้างในอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ปล่อยให้โคมลอยน้ำเคลื่อนไปตามกระแสเบา ๆ โดยไม่รอใครไม่แม้แต่ให้หลินหยาอ่านแต่อย่างใด..


"เอ๊ะ??" นางขยับมาเห็นพอดีแล้วรีบเดินมาหา "นี้ท่านลอยไปก่อนแล้วเหรอเจ้าคะ? ไม่บอกข้าเลยนะ..อดอ่านเลยว่าท่านอธิฐานสิ่งใดไว้"


หลิวอันไม่ตอบอะไร เขาเพียงเดินนำออกจากฝูงชนที่เริ่มแน่นขนัดมากขึ้นทุกที หลินหยาเลยต้องรีบวางของให้เรียบร้อยถึงจะไม่ทันเห็นข้อความของเขา แต่ก็รู้ดีจากท่าทีของอีกฝ่าย ว่าโคมนั้น...เขียนอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพื่อใครอื่นแน่นอน สองคนเดินเคียงกันกลับบ้านหลังเล็ก ใต้แสงโคมตะวันตกที่เริ่มริบหรี่ เสียงผู้คนหัวเราะแว่วเบื้องหลังอยู่ไกล ๆ หลินหยาและหลิวอันถือถุงของเต็มมือ เดินกระโดดเหยาะ ๆ ตามหลังชายหนุ่มผู้ไม่เคยเอ่ยคำหวานเลยสักคำ


"เมื่อครู่นี้ข้าเห็นนะว่าโคมท่านสีงาช้าง สวยดีนี่นา เขียนอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?" นางเอ่ยถามเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเขียนอะไรลงไปกันแน่เพราะนางอ่านไม่ทันเขาลอยโคมลงไปก่อนเสียอย่างงั้น


"เปล่า"


"ไม่จริงอ่ะ ข้าไม่เชื่อ!"


"งั้นเจ้าก็อย่าเชื่อ"


"เอ๊ะ..! ท่านนี้! ใจร้ายจังเลยนะท่านเนี้ย!" เสียงหญิงสาวหัวเราะอย่างงอน ๆ ดังลอยขึ้นในยามค่ำ ท่ามกลางลมอ่อนของต้นเดือนหกที่พัดผ่านกลิ่นหวานของขนมและกลิ่นจาง ๆ ของกระดาษไหมโคมลอยกลางน้ำ ใครเล่าจะรู้...ว่าในโคมหนึ่งซึ่งลอยหายไปแล้วนั้น ซ่อนคำขอเล็ก ๆ จากชายผู้ไม่เคยเอ่ยความห่วงใยออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอ่ออ หวานเลยคุณพี่

รางวัล: - 


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15569 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม +5 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 21:50
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้