เจ้าของ: Admin

[ตลาดตะวันออก]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-4 20:10:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.30 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


โคมไฟแขวนบนไม้ไผ่ที่เรียงรายตลอดถนนสิบลี้ แสงสีส้มอบอุ่นสะท้อนผิวน้ำในอ่างใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ในมุมตลาดด้านหนึ่งซึ่งตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเสียงหัวเราะ เสียงขานอธิษฐาน และเปลวเทียนจากโคมกระดาษรูปดอกบัวที่กำลังลอยละล่องอยู่บนผิวน้ำ หลินหยาที่อารมณ์ดีจากการจับจ่ายเสร็จ เดินมากับหลิวอันจนถึงจุดที่ผู้คนกำลังลอยโคม เธอหยุดยืนตรงนั้นสีหน้าเป็นประกายเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนเด็กสาวที่เจอสิ่งแปลกใหม่


“โห...โคมลอยน้ำเจ้าค่ะท่าน..ดูสิ ๆ !” นางอุทานเบา ๆ ก่อนจะหันไปสบตาเขาแล้วคว้ามือข้างหนึ่งของชายหนุ่มทันทีโดยไม่รอให้เขาตอบ “ไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ! ข้าอยากเห็นใกล้ ๆ” ปลายนิ้วอุ่นของหญิงสาวที่สอดเข้ามาในฝ่ามือหนาเรียกให้หลิวอันชะงักนิดหน่อย เขาเงียบขรึมเฉกเช่นเคย แต่ก็ปล่อยให้เธอจูงไปโดยไม่เอ่ยทักหรือดึงกลับ


“ท่านหลิวอันเจ้าคะ...” หลินหยาพึมพำเบา ๆ ขณะยืนหน้าแผงเขียนคำอธิษฐาน ใกล้ริมรางน้ำ “เขียนด้วยกันนะเจ้าคะ ข้าจะเขียนให้หรงเล่อหนึ่งใบ แล้วเขียนให้ตัวเองด้วยหนึ่งใบ” เธอหันมาเอียงคอมองเขาด้วยสีหน้าอ้อน ๆ ดวงตากลมโตมีแววระยิบระยับเหมือนแมวที่เห็นปลาตากแดด “ทำด้วยกันเถอะนะเจ้าคะ ไม่งั้นข้าจะเขียนคนเดียว มันจะดูเหมือนข้าโหยหาคำขอมากเกินไป..เอาง่าย ๆ ข้าอายอ่ะท่านทำเป็นเพื่อนข้าหน่อยน่าา”


หลิวอันหรี่ตามองเธอเล็กน้อย ไม่ตอบทันที เสี้ยวหน้าของเขาภายใต้แสงเทียนนั้นนิ่งเสียจนคนไม่รู้จักคงคิดว่ากำลังไม่พอใจแต่แล้วเขากลับพูดเสียงเบาราวลมพัดกระซิบ “งั้นข้าจะเขียน...หนึ่งใบให้ตัวเอง...อีกหนึ่งใบให้เจ้า” ตอนที่หลินหยาได้ยินนางเบิกตากว้าง “หา? ท่านจะเขียนให้ข้าด้วยเรอะ!?”


“อืม...แต่จะไม่ให้เจ้าดู” เขาตอบเรียบ ๆ พลางรับแผ่นกระดาษบางจากแผงตรงหน้า มือหนาจับพู่กันอย่างมั่นคงแล้วเริ่มเขียนเงียบ ๆ ในนั้นมีเพียงเสียงกระซิบของสายลมกับกลิ่นหมึกจาง ๆ จากนั้นหลินหยานั่งยอง ๆ อยู่ข้างถังน้ำขนาดใหญ่ หน้าเปื้อนยิ้มบางอย่างมีความหมาย มือเล็กขยุ้มกระดาษคำอธิษฐานที่พึ่งเขียนเสร็จด้วยลายมือแสนจะบิดเบี้ยวอย่างน่าอนาถ ดวงตาเป็นประกายขณะมองมัน แต่หากคนอื่นได้เห็นคงคิดว่ากระดาษแผ่นนั้นผ่านอาการชักกระตุกมาก่อนหนึ่งรอบ


ใบแรกของหรงเล่อนางเขียนว่าขอให้หรงเล่อมีความสุข และใบที่สองเขียนให้ตัวเองก็เขียนว่าขอให้ทุกคนมีความสุข…เพราะหากทุกคนมีความสุขนางก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน เมื่อเขียนเสร็จ เธอก็เป่า ๆ ให้น้ำหมึกแห้งอย่างคนใจร้อน พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นอ๋องหลิวอันยังถือพู่กันนิ่ง ๆ สีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงโต๊ะใกล้ ๆ หลินหยาก็ลุกพรวดขึ้นแล้วเดินไปใกล้เขาอย่างไม่เกรงใจ "เขียนเสร็จหรือยังเจ้าคะ?" นางโน้มตัวดูเขาเขียนทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เชื้อเชิญอะไรเลย “ของข้าเสร็จแล้วนะเจ้าคะ ถึงแม้ลายมือจะเหมือนไก่เมายาบ้าแบบอ่านไม่ออกไปหน่อยก็เถอะ ฮี่ ๆ ๆ” ถ้อยคำของเธอฟังดูธรรมดา แต่เสียงที่พูดออกมานั้นกลับแฝงความจริงใจลึก ๆ ที่คนฟังสัมผัสได้


หลิวอันเหลือบมองแผ่นกระดาษแสนบิดเบี้ยวในมือของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไรเพราะเหมือนจะเขียนอะไรสุข ๆ ?...ความสุขหรือเปล่าอ่านไม่ค่อยออก..ลายมือนางแย่ถึงเพียงนี้เลยหรอเนี้ย? เขาเพียงเลิกคิ้วนิด ๆ เหมือนจะสงสัยว่านั่นเป็นภาษามนุษย์จริงหรือไม่ก่อนจะวางพู่กันลง "ข้าเสร็จแล้ว" เขากล่าวเรียบ ๆ


"งั้นไปลอยกันเถอะเจ้าค่ะ!" หลินหยาฉีกยิ้มสดใสแล้วคว้าข้อมือเขาดึงเบา ๆ อีกครั้ง แม้ไม่ได้ยินเสียงหัวใจใครเต้นแรง…แต่ยามที่แสงไฟจากโคมกระดาษสะท้อนในดวงตาทั้งสองคู่ที่ยืนเคียงกันริมน้ำ มันก็เหมือนมีเสียงกระซิบจากคำอธิษฐานของหญิงสาวคนหนึ่ง...ที่อยากให้ทุกคนมีความสุขรวมถึงคนข้าง ๆ นางด้วย



@Admin 

 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอ่อออ มันก็หวานอยู่คุณพี่ รอต่อค้าบบบ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19110 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม +5 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 20:10
โพสต์ 19,110 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 20:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 21:50:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.30 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


‘ขอให้เจ้าคนโง่ตรงหน้าข้า…ไม่เจ็บตัวจากขนมพวกนี้ก็พอ’


แม้จะไม่ได้เอ่ยอธิบายให้ใครฟัง แต่ในใจของเขากลับมั่นคงต่อสิ่งที่เขียนลงไปราวกับตรึงแน่นด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น ตัวอักษรบรรจง คม เรียบ และมั่นคงสมเป็นลายมือของผู้ที่ผ่านพ้นมรสุมมานับไม่ถ้วน หลิวอันเขียนเสร็จแล้วไม่กล่าวอันใด ไม่รอ ไม่แสดงแววตาอ่อนโยนใด ๆ ออกมา เขาเพียงแค่พับกระดาษอย่างบรรจง ม้วนเรียบแน่นราวกับจะสั่งเสียอะไรเงียบ ๆ กับชะตาเบื้องบน แล้วสอดเข้าไปในโคมสีงาช้างลายเมฆหมอกก่อนจุดปลายเทียนข้างในอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ปล่อยให้โคมลอยน้ำเคลื่อนไปตามกระแสเบา ๆ โดยไม่รอใครไม่แม้แต่ให้หลินหยาอ่านแต่อย่างใด..


"เอ๊ะ??" นางขยับมาเห็นพอดีแล้วรีบเดินมาหา "นี้ท่านลอยไปก่อนแล้วเหรอเจ้าคะ? ไม่บอกข้าเลยนะ..อดอ่านเลยว่าท่านอธิฐานสิ่งใดไว้"


หลิวอันไม่ตอบอะไร เขาเพียงเดินนำออกจากฝูงชนที่เริ่มแน่นขนัดมากขึ้นทุกที หลินหยาเลยต้องรีบวางของให้เรียบร้อยถึงจะไม่ทันเห็นข้อความของเขา แต่ก็รู้ดีจากท่าทีของอีกฝ่าย ว่าโคมนั้น...เขียนอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพื่อใครอื่นแน่นอน สองคนเดินเคียงกันกลับบ้านหลังเล็ก ใต้แสงโคมตะวันตกที่เริ่มริบหรี่ เสียงผู้คนหัวเราะแว่วเบื้องหลังอยู่ไกล ๆ หลินหยาและหลิวอันถือถุงของเต็มมือ เดินกระโดดเหยาะ ๆ ตามหลังชายหนุ่มผู้ไม่เคยเอ่ยคำหวานเลยสักคำ


"เมื่อครู่นี้ข้าเห็นนะว่าโคมท่านสีงาช้าง สวยดีนี่นา เขียนอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?" นางเอ่ยถามเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเขียนอะไรลงไปกันแน่เพราะนางอ่านไม่ทันเขาลอยโคมลงไปก่อนเสียอย่างงั้น


"เปล่า"


"ไม่จริงอ่ะ ข้าไม่เชื่อ!"


"งั้นเจ้าก็อย่าเชื่อ"


"เอ๊ะ..! ท่านนี้! ใจร้ายจังเลยนะท่านเนี้ย!" เสียงหญิงสาวหัวเราะอย่างงอน ๆ ดังลอยขึ้นในยามค่ำ ท่ามกลางลมอ่อนของต้นเดือนหกที่พัดผ่านกลิ่นหวานของขนมและกลิ่นจาง ๆ ของกระดาษไหมโคมลอยกลางน้ำ ใครเล่าจะรู้...ว่าในโคมหนึ่งซึ่งลอยหายไปแล้วนั้น ซ่อนคำขอเล็ก ๆ จากชายผู้ไม่เคยเอ่ยความห่วงใยออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอ่ออ หวานเลยคุณพี่

รางวัล: - 


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15569 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม +5 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 21:50
โพสต์ 15,569 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 21:50
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-6 20:41:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-6 20:42


วันที่ 06 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 18.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก


ปลายวันลมเย็นจากทิศตะวันออกพัดโชยผ่านถนนสิบลี้ทอแสงสีทองเรื่อ ๆ บนปลายชายเสื้อของผู้คนที่เดินสวนกันไปมา เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากแม่ค้าริมทาง เสียงเข็นรถเข็นไม้ที่เสียดสีกับพื้นหิน เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อยวิ่งไล่กันผ่านบันไดร้านซาลาเปา ทั้งหมดนั้นไหลรวมกันกลายเป็นฉางอันยามเย็นที่เต็มไปด้วยชีวิต ท่ามกลางความคึกคักนั้น...มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินเอื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมายจริงจัง หลินหยาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย สีอ่อนกลมกลืนกับแสงแดดเย็น ใบหน้าเธอดูไม่ได้เหนื่อยล้า แต่ก็ไม่สดใสนัก คิ้วเรียวงามขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังแบกเส้นด้ายพันกันยุ่งเหยิงเต็มหัว


“ท่านจางทัง...” เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง พลางยกมือขึ้นกอดอกหลวม ๆ ฝ่ามือกำปลายนิ้วเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว "หายไปแบบนั้น...จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ?..ท่านไปแค่ทำงานจริง ๆ ใช่ไหมเนี้ย?" ในหัวเธอยังวนเวียนกับภาพสุดท้ายที่ได้เห็นจางทัง “หรือว่าจางกงกง...” ความคิดพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกรอบ หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ ดวงตาไหววูบ เธอไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะไม่มีใครโดนเล่นงานเพราะเธออีก


แล้วภาพหนึ่งก็ลอยมาแทน...ภาพของท่านชายห่าวหมิงในวันนั้น หน้าตาเรียบเฉยในหน้ากากครึ่งหน้าแต่กลับมีรอยจาง ๆ ของบางสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ตรงคอเสื้อ…รอยจูบ..หลินหยากะพริบตาถี่ ๆ พลางหรี่ตาลง รู้สึกเหมือนรสขมบางอย่างไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เสียงฝีเท้าของเธอช้าลงไปเล็กน้อย ขณะคิดในใจอย่างอดไม่ได้ “อารมณ์ไหนก็ไม่รู้...ไม่ใช่ว่าหวงเขานะ แต่มันแบบ…” คำพูดนั้นแม้ไม่มีเสียง แต่ก็สื่อถึงความขุ่นเคืองในใจที่แม้เธอเองก็อธิบายไม่ได้นักว่ามาจากตรงไหนกันแน่


“แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปหาท่านอ๋องอีก…” หลินหยาพ่นลมหายใจยาว สะบัดหน้าเบา ๆ อย่างคนพยายามเคาะความเครียดออกจากกระโหลก แต่ในอกกลับเริ่มแน่นตึงมากขึ้นเรื่อย ๆ หน้าอกด้านซ้ายเริ่มร้อนวูบ ๆ กลางหน้าผากคล้ายจะตึงและขมับเต้นตุบ ๆ จังหวะลมหายใจผิดเพี้ยนไปโดยไม่รู้ตัวไม่ใช่เพราะอากาศ ไม่ใช่เพราะแสงแดด...พิษในกาย…มันเริ่มกำเริบอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เร็วกว่าที่ควรจะเป็น


“บ้าเอ๊ย...” หลินหยากระซิบ ริมฝีปากซีดเผือดไปเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ พาตัวเองไปหยุดพักที่ข้างร้านขนมแห่งหนึ่ง เธอทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เตี้ยที่ตั้งไว้ให้ลูกค้าแต่ตอนนี้ไม่มีใครใช้อยู่ เธอยกมือทาบอก สูดลมหายใจลึกอย่างฝืนฝืน “ใจเย็น ๆ...ไม่เป็นไรหรอก แค่พิษเล่นงานอีกแล้ว” เสียงตลาดตะวันออกยามยามโหย่วยังคงคึกคัก เสียงชั่งตวง เสียงผู้คนต่อรองซื้อขายของจากทุกแผงลอยดังปะปนกันไปเหมือนคลื่นที่ซัดกระหน่ำหูคนไม่หยุด แต่ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น กลับมีร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวช้ากว่าทุกคน


หลินหยาผลักตัวเองให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เตี้ยอย่างฝืน ๆ ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติได้เพียงครึ่งหนึ่ง เธอไม่อยากเป็นที่สนใจของใครในตลาด จึงพยายามเดินออกจากบริเวณนั้นอย่างเงียบ ๆ และรวดเร็วที่สุดแม้ปลายเท้าจะเริ่มไม่มีแรงก็ตาม “ไม่เป็นไร...ข้าแค่จะเดินช้า ๆ…อีกนิดเดียว...” เธอบอกตัวเอง ขณะฝ่าฝูงคนที่เริ่มหนาแน่นขึ้นทุกที แสงแดดจากขอบตึกสะท้อนเข้าตาเธอจ้าเกินไป ความร้อนผะผ่าวจากพื้นหินอาบแดดส่งย้อนเข้าร่างที่อ่อนแรง พิษในกายเธอเหมือนคลื่นใต้น้ำที่กำลังตีขึ้นรอบใหม่ โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า


จู่ ๆ ภาพตรงหน้าเธอก็สั่นเบลอ เสียงแม่ค้าข้างทางกลายเป็นเสียงห่างไกลที่ฟังไม่ออก ร่างของหลินหยาโอนเอน เธอเอื้อมมือคว้าหาอะไรบางอย่างเพื่อพยุงตัวแต่คว้าไม่ทัน ก่อนที่ร่างจะฟาดกับพื้น กลับมีเสียงสะดุ้งเบา ๆ ดังจากด้านข้าง พร้อมเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาคว้าตัวเธอไว้ทันควัน


“ระ...ระวัง!”


เสียงนั้นสั่นเครือ แต่จริงใจ แขนของชายหนุ่มโอบเอวเธอไว้แน่น พร้อมกับประคองร่างหล่อนให้นั่งพิงกับแผงขายอาหารแห้งด้านข้าง “ท่าน...ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” 


เสี่ยวจ้าวจื่อ..เด็กหนุ่มในชุดผ้าหยาบเรียบสีกลืนฝุ่นใบหน้าซีดเผือดนิด ๆ จากแรงตกใจ เขากำลังสะดุ้งตัวอยู่ข้างหลินหยาด้วยความลนลานสุดขีด ขณะมือข้างหนึ่งยังจับไหล่เธอไว้แน่นอย่างไม่ทันรู้ตัว มืออีกข้างพยายามเขยิบตะกร้าผักสดที่เขาหิ้วอยู่ให้พ้นจากเท้าเธอ หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาสั่นไหวเหมือนคนเพิ่งถูกดึงขึ้นจากน้ำ “ข้า...ไม่เป็นไร...” เสียงเธอเบาแต่ชัดเจน เธอพยายามจะดันตัวเองขึ้น แต่เสี่ยวจ้าวจื่อกลับรีบโบกมือปฏิเสธ “ม...ไม่ต้องรีบลุกนะขอรับ! นั่งพักก่อนเถอะ เดี๋ยว...เดี๋ยวข้าหาน้ำให้”


“ไม่เป็นไรจริง ๆ ข้าแค่...พักสักนิดก็พอ” หลินหยาพูดพลางเอามือแตะหน้าอก สูดหายใจลึกแล้วฝืนยิ้มบาง ๆ ให้เขาแม้ใบหน้าจะซีดจัดก็ตาม เสี่ยวจ้าวจื่อมองเธออย่างลังเลก่อนจะคุกเข่าลงข้าง ๆ แล้วเอ่ยเบา ๆ “คือ...ข้าน้อยชื่อเสี่ยวจ้าวจื่อเป็นคนโรงครัวหลวง...วันนี้ออกมาซื้อของพวกหัวไชเท้าแห้งกับแป้งและวัตถุดิบอื่น ๆ ...บังเอิญเจอแม่นางตรงนี้เข้า...ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านตกใจนะขอรับ!”


“ข้าไม่ได้ตกใจหรอกเจ้าค่ะ…” หลินหยากลั้นหัวเราะออกมานิดหนึ่ง “แค่ข้าหน้ามืดเอง...แต่เจ้าช่วยทันจังหวะเลยล่ะ...ท่านเสี่ยวจ้าวจื่อใช่ไหม? ข้า...ชื่อหลินหยา”


เขาตาเบิกเล็กน้อย “แม่นางหลิน...” น้ำเสียงเขาแฝงความประหลาดใจเล็กน้อยราวกับจะจำชื่อได้จากไหนสักแห่ง ทว่าไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ หลินหยาก็เอื้อมมือคว้าชายแขนเสื้อเขาเบา ๆ “ข้าขอนั่งอีกนิดเจ้าค่ะแล้วคงจะไม่เป็นไรจริง ๆ...ขอบใจท่านมากนะ ท่านช่วยข้าไว้แล้ว”


เสี่ยวจ้าวจื่อหน้าแดงเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะโดนขอบคุณอย่างง่ายดายจากการทำดีและความอ่อนโยนของเขา “ม...ไม่ต้องขอบคุณหรอกขอรับ ข้า...แค่ทำตามใจตัวเองนิดหน่อย…” เขาก้มหน้าแล้วเสมองไปทางตะกร้าผักของตัวเอง ทำตัวเก้ ๆ กัง ๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ลุกไปไหน ยังคงนั่งคุกเข่าข้างเธออยู่อย่างนั้น เงียบ ๆ ไม่พูดมาก ไม่รบกวน และไม่หนีเหมือนคนที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการแค่ใครสักคนอยู่ตรงนี้กับเธอในตอนที่โลกกำลังโคลงเคลง


เสี่ยวจ้าวจื่อยังคงนั่งคุกเข่าข้างร่างหลินหยาเงียบ ๆ มือข้างหนึ่งประคองตะกร้าของเขาไว้ ส่วนอีกข้างวางอยู่ห่าง ๆ ใกล้ต้นแขนของหญิงสาว ไม่กล้าแตะต้องซ้ำแม้แต่น้อย สีหน้าเขาดูลนลานน้อยลงแต่ยังคงระแวดระวังอย่างเห็นได้ชัดดวงตาซื่อ ๆ คู่หนึ่งสังเกตใบหน้าขาวจัดของหลินหยาเงียบ ๆ เหงื่อผุดตามไรผมบาง ๆ ของเธอ มุมปากซีดจนแทบไม่เหลือสีเลือด เธอดู...อ่อนแรงมากกว่าคนธรรมดาจะควรเป็นในอากาศเย็นสบายเช่นนี้เขามองเธอพลางกลืนน้ำลายเบา ๆ เสียงจอแจของตลาดรายล้อมรอบกายพวกเขา แต่ในหัวของเขากลับดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง…


“ชื่อของนาง...” เขาพึมพำในลำคอ “...เหมือนกับ…” เพียงแวบหนึ่ง ความทรงจำอันจางจืดก็ดันผุดขึ้นมา นางกำนัลปริศนาในคดีวังหลวงเมื่อเดือนก่อน คนที่เคยถูกพูดถึงเงียบ ๆ ในครัวหลวง ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักฐานปลอมในคดีของจงฉางชื่อ...คดีที่พัวพันถึงขันทีใหญ่ที่สุดในวังหลวง…จางกงกง แม้คนในครัวอย่างเขาจะไม่ได้รับรู้อะไรมากนัก แต่เพราะตอนนั้นมีคำสั่งปลดพนักงานระดับล่างในห้องเครื่องบางคนที่เกี่ยวข้องจึงมีเสียงซุบซิบเล็ดลอดมาถึงเขา เสี่ยวจ้าวจื่อกลืนน้ำลายอีกครั้ง แล้วเงยหน้ามองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเงียบ ๆ


นาง...จะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า?


คนที่มีชื่อเสียงลือกันแผ่วเบาอยู่ในวังว่าเป็นต้นเหตุทำให้นางกำนัลห้องเครื่องถูกปลดเป็นสามัญชนคนที่มีทั้งชื่อว่า ‘อันตราย’ และ ‘น่าสงสาร’ พอ ๆ กันแต่เมื่อมองอีกครั้ง คนตรงหน้ากลับดูไม่มีร่องรอยของอันตรายใด ๆ เลยมีเพียงดวงตาที่มักวูบไหวเหมือนมีความลับบางอย่างอยู่ในนั้น...และความเงียบสงบที่อ่อนแรงเสียจนดูเหมือนจะล้มลงได้ตลอดเวลา “แม่นางหลิน...” เสียงเขาเอ่ยเบา ๆ พลางกัดริมฝีปากลังเล “...ข้าเคย...ได้ยินชื่อท่านมาก่อน”


หลินหยาหรี่ตามองเขาช้า ๆ ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว แม้ใบหน้าจะยังซีดอยู่ก็ตาม นางเอียงคอน้อย ๆ แสร้งยิ้มนิด ๆ “หืม? ท่านได้ยินชื่อข้าจากไหนรึเจ้าคะ?”


เสี่ยวจ้าวจื่อสะดุ้ง “อะ...ไม่ ไม่ใช่ในทางเสียหายหรอกขอรับ! แค่...ข้าเคยได้ยินว่า มีนางกำนัลคนหนึ่งในวังหลวง เคยเกี่ยวข้องกับคดีใหญ่ แล้ว...แล้วโดนใส่ร้าย...หรืออะไรสักอย่าง…” เขาเบาเสียงลงทุกที แล้วหลบตาอย่างสุภาพ “ข้า...ไม่แน่ใจหรอกขอรับ…”


หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาเธอแปรเปลี่ยนช้า ๆ จากขี้เล่นกลายเป็นเงียบสงบ คำตอบนั้นอยู่ในรอยยิ้มบางที่เธอเผยออกมาโดยไม่ปฏิเสธ และไม่ยืนยัน "โลกในวัง...มันมีแต่คนจำชื่อได้จากเสียงลือเสียงเล่า...แต่คนที่จำได้จากน้ำเสียงจริง ๆ น่ะ...มีไม่กี่คนหรอก" เสี่ยวจ้าวจื่อไม่เข้าใจนัก แต่เขารู้ตัวว่าไม่ควรซักต่อ เขาก้มหน้ารับคำอย่างนอบน้อม แววตาฉายความเคารพโดยไม่รู้ว่าตนควรเรียกเธอว่าอะไรดี


และขณะที่หลินหยาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง เสี่ยวจ้าวจื่อก็เผลอก้าวเข้ามาช่วยประคองทันทีโดยไม่คิดเขาทำเพราะความห่วงใยไม่ใช่ความกลัว เมื่อแน่ใจว่าตัวเองยังยืนไหวหลินหยาจึงค่อย ๆ ปล่อยมือที่ประคองชายเสื้อของเสี่ยวจ้าวจื่อออกอย่างแผ่วเบา แล้วก้าวถอยห่างออกหนึ่งก้าว มองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ อย่างสงบนิ่ง ดวงตากลมหวานของเธอทอดมองชายหนุ่มตรงหน้า เด็กหนุ่มที่ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่พร้อมตะกร้าเต็มใบในมือ ใบหน้านั้นยังแดงเรื่อไม่หาย ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไร แต่ไม่ทันได้พูด หลินหยาเป็นฝ่ายยื่นของบางอย่างออกไปให้เสียก่อน ขนมกุ้ยฮวาห่อในกระดาษน้ำมันอย่างดี หอมกลิ่นเกสรแห้งจาง ๆ กับน้ำเต้าหู้หนึ่งไหขนาดพอเหมาะ ผูกเชือกปอไว้แน่นหนา เธอยื่นทั้งสองอย่างไปตรงหน้าเขา


เสี่ยวจ้าวจื่อกะพริบตาถี่อย่างตื่นตระหนก “อะ...อ๊ะ! มะ...ไม่ได้นะขอรับ ข้าไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้น”


“รับไปเถอะน่า” หลินหยากลั้นหัวเราะเอ่ยเบา ๆ “ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร แค่อยากให้...เพราะท่านน่ะดูผอมมากเลย” เธอหัวเราะเล็กน้อย แล้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เสียงเธออ่อนโยนเหมือนสายลมพัดผ่านแสงยามโพล้เพล้ “อย่าลืมกินข้าวกินปลาให้ดี ๆ บ้างล่ะถ้าท่านผอมลงกว่านี้ ข้าจะเข้าใจว่าท่านคือเงาไม้ไม่ใช่คนแล้วจริง ๆ” มือเรียวของเธอยัดไหน้ำเต้าหู้ใส่มือเขาอย่างเบามือ แล้วก้มศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนถอยหลังหนึ่งก้าว


เสี่ยวจ้าวจื่อยืนตะลึง ตะกร้าอยู่ในมือซ้าย ไหน้ำเต้าหู้ในมือขวา ขนมกุ้ยฮวาแนบอกจนแทบหล่นลงมา เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความประหม่าปนซาบซึ้ง จนดูเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “แม่นางหลิน...” แต่เธอไม่หันกลับมาแล้ว หญิงสาวเดินจากไปด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง แม้ปลายชายเสื้อจะยังสะบัดไหวตามแรงลมเย็นยามเย็น แต่แผ่นหลังนั้นดูมั่นคงขึ้นอย่างแปลกประหลาด เสี่ยวจ้าวจื่อยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น...ถือของทั้งหมดไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวหล่น แต่เพราะไม่อยากให้มันหายไป


บางที เขาไม่รู้ว่าหล่อนคือใครจริง ๆ ว่าใช่คนในข่าวลือหรือไม่

บางที เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครั้งหน้าจะมีโอกาสได้พบกันอีกไหม


แต่ในวันนี้นางคือคนที่ยื่นของให้เขาโดยไม่รังเกียจว่ามือเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหัวไชเท้าและฟืนเปียก คนแบบนี้น่ะหรือ? จะเป็นคนในข่าวลือของห้องครัวในตอนนั้น..




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

มอบ ขนมกุ้ยฮวา ขนมว่างเกรดม่วง ความสัมพันธ์ +15

มอบ น้ำเต้าหู้ ชาเกรดม่วง ความสัมพันธ์ +10

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5

ชงชา ความสัมพันธ์ +5

(โอนแล้วจ้าาา)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-7-6 20:59
โพสต์ 50935 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-6 20:41
โพสต์ 50,935 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-6 20:41
โพสต์ 50,935 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-6 20:41
โพสต์ 50,935 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-6 20:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-16 01:10:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 11 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามเหม่า (เวลา 05.00 - 07.00 น.)



ยามเหม่าแสงทองยังไม่ทันทาบท้องฟ้า ซูเหยาก็พลิกตัวลุกจากเตียงแต่เช้าตรู่ นางจัดการนวดแป้งอย่างคล่องแคล่ว จนได้เส้นบะหมี่ที่เหนียวนุ่มน่ารับประทาน พร้อมกับต้มน้ำชาชั้นดีกลิ่นหอมกรุ่น เพื่อเตรียมใส่บาตร ณ ตลาดตะวันออกอย่างเช่นที่ทำอยู่เป็นประจำ


ที่มุมประจำของตลาด ซูเหยายืนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งร่างสูงสง่าของท่านไต้ซือหนุ่ม ปรากฏกายขึ้น ท่านไต้ซือในจีวรสีหม่นก้าวเดินอย่างสงบและสำรวม ทว่าทุกย่างก้าวกลับเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา ซูเหยารีบรุดเข้าไปถวายบะหมี่และชาที่เตรียมมาอย่างประณีต ไต้ซือยื่นบาตรรับอาหารพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการตอบรับที่เรียบง่าย แต่กลับเติมเต็มจิตใจของซูเหยาให้เปี่ยมด้วยความสุข


จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่ศาลเจ้าร้างก็ผุดขึ้นมาในหัว ท่าทีที่แสนสุภาพของท่านไต้ซือวันนี้ ช่างต่างจากวันที่เทศนาปีศาจยิ่งนัก นางมิเคยเห็นด้านนั้นของท่านไต้ซือมาก่อนทำให้อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ไม่คิดว่าปากของท่านจะแซ่บเหมือนพริกทั้งสวนจนทำให้ปีศาจกระอักเลือดเช่นนั้น ท่านไต้ซือน่าจะพอสังเกตได้ถึงความนิ่งไปเล็กน้อยของซูเหยา จึงทักขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า…


“โยมซู มีสิ่งใดรบกวนใจอยู่หรือเปล่า? ดูเหมือนใจของโยมจะลอยไปไกล”


ซูเหยาสะดุ้งเล็กน้อย พลางก้มหน้าหลบสายตาที่เปี่ยมด้วยเมตตาคู่นั้น 


“เอ่อ...เปล่าเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือ” นางตอบตะกุกตะกัก “เพียงแต่...ข้าน้อยอดคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนไม่ได้เจ้าค่ะ”


ไต้ซือคลี่ยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย 


“เรื่องที่ศาลเจ้าร้างน่ะหรือ?” ท่านเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “บางครั้ง...ก็ต้องมีวิธีที่แตกต่างกันไปในการชี้แนะสัตว์โลกให้กลับสู่หนทางที่ถูกต้อง อาตมาหวังว่าโยมคงจะไม่ตกใจจนเกินไป”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นสบตาไต้ซือ นางเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของท่าน เป็นประกายที่ทั้งจริงจังและแฝงไว้ด้วยความขบขันเล็กน้อย นางพยักหน้าช้า ๆ 


“เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าท่านไต้ซือจะมีอีกด้านที่...ดุดันเช่นนั้น”


ไต้ซือหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นทำให้ซูเหยารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก 


“ชีวิตนี้มีหลายบทบาทให้เราได้เรียนรู้” ท่านกล่าวพลางเลื่อนสายตาไปยังกลุ่มเมฆที่ลอยเอื่อยบนฟ้า “บางครั้งการแสดงออกถึงความเด็ดขาดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อขับไล่สิ่งที่ไม่ดีและปกป้องผู้บริสุทธิ์ แต่แท้จริงแล้วใจของอาตมาก็ยังคงมุ่งมั่นในเมตตาธรรมเสมอมา”


“หมายความว่า...ท่านไต้ซือต้องแสดงบทบาทที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์หรือเจ้าคะ?” ซูเหยาเอ่ยถามด้วยความสนใจ


“ถูกต้องแล้วโยมซู” ท่านไต้ซือหันกลับมาสบตานางอีกครั้ง “เหมือนดั่งหยินหยาง ที่แม้จะแตกต่าง แต่ก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน ความอ่อนโยนและเข้มแข็ง ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีแห่งธรรม หากไม่มีความเข้มแข็งปกป้อง ความอ่อนโยนก็อาจถูกทำลายได้ง่ายดาย”


ไต้ซือยิ้มบางๆ แล้วกล่าวต่อ 


“ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีความสมดุล โยมเองก็เช่นกัน หากโยมหมั่นฝึกฝน จิตใจให้มั่นคงประดุจภูผา ไม่ว่าจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำหรือสายลมอ่อนโยนก็จะยังคงตั้งตระหง่านอยู่ได้”


ท่านไต้ซือเว้นจังหวะไปชั่วครู่ แล้วชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ริมทาง 


“ลองดูต้นไม้นั่นสิโยม มันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่ก็ยังคงหยั่งรากลึก แตกกิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาแก่มนุษย์และสัตว์ นั่นคือปัญญาแห่งการปรับตัวและความอดทน...ธรรมะไม่ได้อยู่แค่ในตำราหรือในวัดวาอารามเท่านั้นโยมซู” ท่านไต้ซือมองตรงมาที่ซูเหยา ดวงตาเปี่ยมด้วยความเมตตา “มันอยู่ในทุกย่างก้าวที่เราเดิน ทุกคำพูดที่เราเอ่ย และทุกความคิดที่เรามี การใช้ชีวิตด้วยสติคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง โยมเห็นไหมว่าเส้นบะหมี่ที่โยมทำออกมานั้น เหนียวนุ่มน่ารับประทานเพราะโยมใส่ใจในทุกขั้นตอน ความใส่ใจ นี่แหละคือธรรมะอย่างหนึ่ง”


ซูเหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ คำสอนของท่านไต้ซือเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ทำให้นางได้คิดตาม ไต้ซือเห็นดังนั้นจึงกล่าวเสริม 


“ไม่ว่าโยมจะทำสิ่งใด ขอให้ทำด้วยใจที่บริสุทธิ์และตั้งมั่น นั่นคือหนทางสู่ความสงบสุขที่แท้จริง”


ซูเหยาพนมมือขึ้นจรดหน้าผาก 


"ขอบคุณเจ้าค่ะท่านไต้ซือ ข้าน้อยจะน้อมรับคำสอนนี้ไปปฏิบัติ" 


นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจ ความสงสัยในใจคลี่คลายลง เหลือเพียงความเข้าใจอันลึกซึ้ง ไต้ซือพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินจากไปอย่างสงบและสำรวมเช่นเคย จีวรสีหม่นปลิวไหวไปตามสายลมยามเช้า ซูเหยามองตามร่างสูงสง่าของท่านไต้ซือจนลับสายตาแล้วจึงเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อไปทำอย่างอื่นต่อ



[NPC-21] มอบ บะหมี่ฉีซาน และ ชาหวงซานเหมาเฟิง ไต้ซือจื่อหลิง

+25 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดทอง + ชา/สุราเกรดทอง (+15)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 85 โพสต์ 2025-7-16 12:26
โพสต์ 15743 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-16 01:10
โพสต์ 15,743 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-16 01:10
โพสต์ 15,743 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-16 01:10
โพสต์ 15,743 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-16 01:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ 2025-7-17 21:46:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-17 21:52


วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก (พบ เสี่ยวจ้าวจื่อ)


เสียงจอแจของตลาดตะวันออกในยามโหย่วยังคงครึกครื้นด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เสียงแม่ค้าเร่ขาย ผสานกลิ่นของน้ำมันหอมโชยจากแผงอาหารทอด ขนมร้อน และซุปต้มเดือดกลมกล่อมทำให้บรรยากาศคล้ายอบอวลด้วยกลิ่นของชีวิต แม้จะเป็นยามเย็นที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแสดเจือทองแต่ตลาดกลับไม่ลดความคึกคักลงเลยแม้แต่น้อย


หลินหยาซึ่งสวมอาภรณ์เรียบง่ายเดินทอดน่องอย่างอารมณ์ดี วันนี้เธอกะจะหาของกินสักหน่อย เพราะอารมณ์เสียจากหัวหน้าขันทีบางคนที่แกล้งนางทั้งที่นางบอกว่าโกรธเขาแท้ ๆ ตอนนี้ในหัวมีแต่เมนูอาหารอาจเป็นหมั่นโถวไส้เห็ดหอมเจ้าดัง หรือเกี๊ยวหมูผัดซอสเต้าเจี้ยวเจ้าประจำ แต่แล้วในจังหวะที่สายตาของนางกวาดผ่านบรรดาผู้คน กลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตากำลังยืนก้มหน้าก้มตาคัดเลือกหัวผักกาดอยู่หน้าร้านผักสดเล็ก ๆ คนผู้นั้นรูปร่างผอมบาง ผิวซีดขาวแบบคนอยู่ในร่มเงามานาน ใส่เสื้อผ้าหม่นซีดแบบคนรับใช้วังหลวง แต่สิ่งที่สะดุดใจคือ...ใบหน้าและท่วงท่าที่หลินหยาจำได้ดีใช่แล้ว เด็กหนุ่มผู้เคยช่วยประคองนางตอนพิษกำเริบกลางตลาดตะวันออก


“ท่านเสี่ยวจ้าวจื่อใช่ไหมนะ?” เสียงของหลินหยาเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพแฝงรอยยิ้มหวาน นางเดินเข้าหาเขาช้า ๆ ด้วยท่าทางเป็นมิตรก่อนที่จะก้มทักทายและคำนับอีกคน “ท่านชายเจ้าคะ ท่านจำข้าได้หรือไม่? ข้าหลินหยาเจ้าค่ะ...สตรีที่ท่านเคยช่วยในวันนั้นวันที่ข้าป่วยกลางตลาด”


เสี่ยวจ้าวจื่อที่กำลังตั้งอกตั้งใจตรวจดูหัวผักกาดถึงกับสะดุ้งสุดตัวนิ้วเรียวที่กำลังจับรากผักชะงักไป ก่อนจะหันขวับมาอย่างตกใจเล็กน้อยดวงตาของเขาดูกลัว ๆ เหมือนเด็กรับใช้ที่ทำอะไรผิดแล้วถูกขันทีชั้นผู้ใหญ่จับได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าสะอาดของหญิงสาวผู้กล่าวทักใบหน้าเล็กของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความงุนงงแล้วค่อยคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างประหม่า


“ขะ…ข้า…จ..จำได้ขอรับ” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยหลบสายตานางพูดเสียงเบาแบบคนไม่ถนัดคุยกับสตรีที่งดงามและแต่งกายดีเช่นหลินหยา “วันนั้น…แม่นาง…เกือบหมดสติไป ท่าทางจะเจ็บป่วย ข้าแค่…แค่ช่วยไว้เล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” เขาว่าพลางเงอะงะเก็บหัวผักกาดลงในตะกร้าหวายด้วยมือสั่น ๆ สายตาเลิ่กลั่กอย่างไม่กล้าสบตานางตรง ๆ ราวกับการพูดกับนางต่อหน้านั้นยากเย็นกว่าฝึกหั่นหอมแดงให้เท่ากันในมื้อลับใต้แสงตะเกียงเสียอีก


“แม่นางยัง…สบายดีหรือไม่ขอรับ?” เสียงของเขาเบาเหมือนกลัวนางจะโกรธทั้งที่ในใจเขาอบอุ่นอยู่เงียบ ๆ อย่างแปลกประหลาดที่นางกลับจำเขาได้


หลินหยาระบายยิ้มหวาน “ข้าสบายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกดีมากที่ตอนนั้นท่านช่วยเหลือข้าไว้นะเจ้าคะ” เสี่ยวจ้าวจื่อชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำหวานนวลของหลินหยารอยยิ้มของนางอ่อนโยนราวกับแสงแดดยามเช้าที่สาดผ่านม่านบาง เขาเงยหน้าขึ้นเพียงนิด แก้มซีดขาวพลันระเรื่อขึ้นด้วยสีชมพูเรื่อจาง ๆ ริมฝีปากเม้มแน่นคล้ายไม่รู้จะตอบเช่นไรดี


“ข้า…ขอบคุณขอรับแม่นาง…” เขาพูดเสียงแผ่วเบาหัวคิ้วกระตุกนิดหนึ่งอย่างไม่แน่ใจในตัวเอง “…แต่ข้า…ข้าเป็นแค่ขันทีฝ่ายแรงงานในโรงครัวหลวงเท่านั้นเอง ดูแลแค่พวกไม้ฟืน ยกหม้อใบใหญ่ ๆ ต้มน้ำเตรียมกองเสบียงตามบัญชา…เป็นขันทีตัวเล็ก ๆ อย่างข้า ไม่ควรได้รับคำชมเช่นนี้หรอกขอรับ” เขาก้มหน้าลงอีกครั้งเสียงพูดของเขาเหมือนเสียงขนนกตกลงบนผืนน้ำแผ่วจนแทบจะกลืนหายไปในความวุ่นวายของตลาด แต่หลินหยากลับตั้งใจฟังจนจับความหมายทุกถ้อยคำได้ชัดเจน นางยิ้มให้เขาอีกครั้งคราวนี้ยิ้มอย่างอบอุ่นมั่นคงกว่าครั้งก่อนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความจริงใจจนจ้าวจื่อถึงกับนิ่งงัน


“แต่ท่านก็คือคนที่ยื่นมือช่วยข้าในตอนที่คนอื่นเดินผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่ใส่ใจเลยนะเจ้าคะ” ดวงตาของหลินหยาทอประกายจริงจังในแววตา “ข้าเคยพบขันทีและนางกำนัลในวังไม่น้อย พวกเขาบางคนไม่เคยเหลียวแลคนล้มลงข้างทางด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทุกคนจะมีคุณธรรมและความเมตตาพอจะหยุดเดินเพื่อประคองหญิงสาวแปลกหน้าให้พ้นจากความทุกข์ได้เช่นท่านหรอก อย่าถ่อมตัวไปเลยท่านเสี่ยวจ้าวจื่อ…ท่านทำสิ่งที่ข้าจดจำได้ถึงวันนี้ ข้าย่อมขอบคุณท่านจากใจจริงเจ้าค่ะ”


น้ำเสียงนางอ่อนโยนเกินกว่าจะปล่อยผ่านรอยยิ้มหวานนั้นราวกับช่อดอกเหมยแรกบานกลางหิมะ เสี่ยวจ้าวจื่อแทบยกมือไม่ถูกดวงตาเบิกกว้างนิด ๆ อย่างตกใจ แล้วรีบก้มหน้างุดพร้อมพูดเสียงสั่น ๆ “ขะ…ข้าก็แค่…เห็นว่าท่านดูอ่อนแอ…แล้วท่านก็อยู่ตรงหน้า…เลยแค่ช่วย…” เขาว่าพลางก้มต่ำเสียจนหน้าจะจุ่มตะกร้าผัก “ท่านไม่ต้อง…ไม่ต้องชมข้าขนาดนั้นก็ได้ขอรับ…” ท่าทางนั้นทั้งน่าเอ็นดูทั้งน่าสงสารในคราวเดียวกัน เด็กหนุ่มที่ไม่ชินกับคำชมไม่ชินกับการถูกมองเป็นผู้มีคุณค่า แม้กระทั่งกับความดีเล็ก ๆ ที่เขาทำด้วยสัญชาตญาณอ่อนโยนของตนก็ยังไม่กล้ายอมรับว่าตน ‘มีค่า’ พอจะได้รับมัน


หลินหยามองเขานิ่ง ๆ พลางระบายยิ้มออกมาอีกครั้งแต่คราวนี้นางไม่พูดอะไรเพิ่ม นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแสดงออกให้รู้ว่า…คำขอบคุณของนางไม่ได้กล่าวออกมาเพียงเพื่อชดใช้ แต่เพราะนาง ‘รู้สึก’ จริง ๆ ว่าผู้ชายตัวเล็กคนนี้…ควรได้รับมัน ก่อนที่หลินหยาจะนึกออกว่ารอบก่อนนนางให้น้ำเต้าหู้กับขนมกุ้ยฮวาให้อีกคนไปนี้? “ท่านชายเช่นนั้นแล้วน้ำเต้าหู้กับขนมกุ้ยฮวาที่ข้าให้ท่านไป ท่านกินมันหรือยังเจ้าคะ? อร่อยหรือไม่?”


เสี่ยวจ้าวจื่อที่ยังคงยืนก้มหน้าอยู่นั้นเมื่อได้ยินคำถามถึงน้ำเต้าหู้กับขนมกุ้ยฮวา ใบหน้าซีดขาวก็ค่อย ๆ ยกขึ้นช้า ๆ ดวงตาโตใสซื่อสบกับหลินหยาราวกับไม่คิดว่านางจะจดจำเรื่องนั้นได้ น้ำเสียงของเขาเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ออกมาจากหัวใจจริงแท้ ไม่มีการเสแสร้งหรือถ้อยคำสวยหรูปั้นแต่งแม้แต่น้อย “ขะ…ข้ากินแล้วขอรับ” เขาพยักหน้าเบา ๆ อย่างเขินอายมือบางรีบกุมตะกร้าของสดแน่นขึ้นเล็กน้อยราวกับต้องหาที่พิงจิตใจ “น้ำเต้าหู้…มันหอมมาก…หวานนิด ๆ แต่ไม่เลี่ยนเลย ข้าชอบมากเลยขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบาราบเรียบแต่ซื่อตรงไม่มีจริตแสร้งใด ๆ แล้วเมื่อพูดถึงขนมกุ้ยฮวา เสี่ยวจ้าวจื่อเผลอยิ้มจาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวก่อนที่เสียงเขาจะอ่อนลงอีกอย่างระลึกถึงบางอย่าง


“ส่วนขนมนั้น…หอมกลิ่นกุ้ยฮวาเลยขอรับ…เนื้อขนมนุ่มละลายในปากมัน…เหมือนกลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงแบบที่ข้าไม่เคยได้ออกไปเจอ” เขาชะงักเล็กน้อยแล้วรีบก้มหน้าต่ำลงอีกครั้งพลางพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “ข้าก็เลย…เก็บไว้แค่สองชิ้นสุดท้ายนั้น…ยังไม่กล้ากิน…อยากเก็บไว้ดมกลิ่นดูบ้างน่ะขอรับ มันหอมจนข้า…ข้าไม่อยากให้มันหมดเร็ว…” คำสารภาพนั้นแสนซื่อจนหลินหยาระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าของเขาแดงเรื่อไปถึงใบหูเหมือนกับว่าแค่พูดเรื่องนี้ออกมาก็รู้สึกอายจะตายอยู่แล้ว เขาพูดเสร็จพลันรีบเสหน้าไปทางตะกร้าในมือตนราวกับจะมุดหนี


“แต่มันอร่อยจริง ๆ นะขอรับ…ข้าชอบมาก…”


ประโยคนั้นเบาราวกับลมหายใจ แต่ความจริงใจแน่นทึบจนน้ำหนักถ้อยคำลอยขึ้นกลางอากาศ หลินหยาเองก็สัมผัสได้…แม้จะพูดไม่มาก แม้จะอ้อมค้อมตะกุกตะกักแต่ไม่มีคำไหนของเขาที่พูดเพื่อเอาใจ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความหลอกลวงในแววตาทุกถ้อยคำ…ล้วนมาจากใจเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยได้รับอะไรอร่อย ๆ แบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต เสี่ยวจ้าวจื่อ...ยังคงไม่รู้ว่าแม้เขาจะเป็นขันทีตัวเล็ก แต่ทุกคำพูดจากใจจริงของเขากลับยิ่งใหญ่กว่าหลายผู้หลายคนที่พูดจาได้สละสลวยเป็นพันเป็นหมื่น


“เช่นนั้นก็แค่เก็บไว้นะเจ้าคะ เพราะจากวันที่พบกันนี้ก็นานแล้ว หากท่านจะกินข้าเกรงว่าท่านจะปวดท้องเอาได้ ยกเว้นท่านเก็บไว้โดยที่ไม่ทำให้มันเน่าเสียไปเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นก็ทานได้เจ้าค่ะ” ก่อนที่หลินหยาจะระบายยิ้มหวานให้กับท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูซื่อจนน่าเอ็นดู แต่นางก็เอ่ยเตือนเรื่องการทานอาหารให้หมดด้วยเช่นกันเพราะความสดใหม่จะคงรสชาติของอาหารไว้


เสี่ยวจ้าวจื่อเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมโตของเขากระพริบไหวในแววสับสนและตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินหลินหยากล่าวเตือนเกี่ยวกับขนมที่เขาเฝ้าเก็บไว้ด้วยความหวงแหน ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างรู้สึกผิด แล้วก็ก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบเบา ๆ “ขอรับ…ข้าจะ…จะกินให้หมดภายในวันนี้ขอรับ…” เสียงของเขาฟังดูละล่ำละลักแต่ก็มีความตั้งใจอ่อนโยนอยู่ในนั้นเต็มเปี่ยม


แต่หลินหยากลับยิ้มกว้างราวกับแม่หนูจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังเห็นลูกแมวตัวน้อยทำอะไรน่าเอ็นดู นางเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเจ็ดสมบัติหยิบไหน้ำเต้าหู้ออกมา แล้วถือมันไว้อย่างระมัดระวัง ราวกับว่าน้ำในนั้นเป็นน้ำทิพย์แห่งสรวงสวรรค์ที่มีค่าเสียยิ่งกว่าทองคำก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ให้เวลาเขาได้ตั้งตัวนางยื่นไหนั้นให้เด็กหนุ่มตรงหน้า มือขาวเรียวแน่นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ที่อันเล่อจ้วนนั่นน่ะ ชอบโม้เสียยิ่งกว่าลมหนาวในคืนเหมันต์ บอกว่าสูตรน้ำเต้าหู้นี้เขาคิดเองและมันอร่อยและเอาเข้าจริงท่าทางจากที่ท่านพูดมันคงจะอร่อยจริง ๆ ล่ะนะเจ้าคะ”


เสี่ยวจ้าวจื่อยกมือขึ้นอย่างรีบร้อนเหมือนจะปฏิเสธอย่างเต็มประดา มือบางสั่นเล็กน้อยแต่ยังคงยกขึ้นค้างอย่างไม่แน่ใจ สีหน้าของเขาประหลาดใจจนออกนอกหน้า “ขะ…ข้า...ไม่กล้ารับขอรับ ของดีเช่นนี้...”


หลินหยาแค่นหัวเราะในลำคอพลางก้าวเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น นางกระซิบบอกดวงตากลมโตมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความจริงใจเจือกลิ่นแสนซน “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเจ้าคะ อย่าปฎิเสธเลย ข้าน่ะเป็นโรคแพ้ถั่วเหลือง...ขั้นรุนแรง หากกินไปมันจะกลายเป็นอาวุธพิษย้อนกลับมาทำร้ายตัวข้าเอง” เสียงนางยังคงอ่อนโยนแต่หนักแน่นในความตั้งใจดี “หากมันจะเสียเปล่าเพราะข้า...ก็น่าเสียดายมากใช่ไหมล่ะเจ้าคะ ท่านเองก็ไม่อยากให้ของอร่อยต้องเสียไปใช่ไหม?”


คำพูดนั้นทำเอาเสี่ยวจ้าวจื่อชะงักนิ่งเหมือนถูกตีตรงใจเขากะพริบตาถี่ ๆ ใบหน้าแดงเรื่อราวกับกาน้ำบนเตาร้อน ๆ มือที่เคยยกขึ้นปฏิเสธค่อย ๆ เอื้อมออกมารับไหน้ำเต้าหู้จากมือของหลินหยาเบา ๆ ระมัดระวังราวกับถือขนนกในฤดูฝน “ขอรับ…ข้า...จะดูแลมันให้ดีขอรับ…” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พลางถอนมือกลับช้า ๆ ดวงตาคู่งามพราวระยับเจืออารมณ์ขันอย่างเป็นกันเอง เสี่ยวจ้าวจื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นยังมีร่องรอยของความประหม่าอยู่เต็มเปี่ยม มือเล็กบีบปากไหเบา ๆ ราวกับไม่กล้าถือมันด้วยแรงมากเกินไป แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมา หลินหยากลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนคล้ายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดเบา ๆ ไปทั่วตลาด


“อย่าดูแลให้ดีเลยเจ้าค่ะ…” นางพูดพลางเอนหน้าขึ้นเล็กน้อยให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กหนุ่ม “…ช่วยดื่มกินให้อร่อยแทนข้าได้ไหมเจ้าคะ?” ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้มีเพียงคำขอร้องธรรมดา หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่คนจริงใจมีให้กัน เสียงหวานของหลินหยาแม้จะเบาแต่กลับมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าตนเอง ‘มีค่า’ อย่างน่าประหลาด 


ริมฝีปากนุ่มขยับยิ้มเล็กน้อยน่ามองจนดูเหมือนกลีบบัวแรกแย้มนางยกมือขึ้นทัดเส้นผมที่ปลิวลงมากระทบแก้มก่อนจะกล่าวต่อ “เพราะข้าน่ะ…กินถั่วเหลืองไม่ได้เลยจริง ๆ แค่กลิ่นก็ยังรู้สึกมึน ๆ แล้วท่านคิดดูสิ หากข้ากินมันนะคงมีใครสักคนต้องได้เห็นแม่สาวซนแบบข้านอนตัวพองชักเป็นปลาโดนเชือดอยู่กลางถนนตลาดตะวันออกแน่ ๆ” ว่าพลางหลินหยาก็หัวเราะเบา ๆ ขำขันกับตัวเองในมุกนั้น ก่อนจะเหลือบตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอนนิด ๆ เจือแววขี้เล่นและความจริงใจ


เสี่ยวจ้าวจื่อที่ตอนแรกยังมีสีหน้าประหม่า ตอนนี้ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดเหมือนโดนลมร้อนเป่าใส่ทั้งสองแก้ม เขานิ่งไปครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าควรตอบกลับแบบไหนใบหน้าซื่อตรงนั้นดูเหมือนลูกแมวขี้กลัวที่เพิ่งรู้ว่ามีคนตั้งชื่อให้ตนเป็นทางการแต่แล้วเขาก็ค้อมหัวลงเล็กน้อย รับไหน้ำเต้าหู้ไว้แน่นขึ้น คล้ายรับน้ำหนักของบางสิ่งที่มากกว่าแค่ภาชนะธรรมดา


“…ขะ…ข้าจะดื่มให้หมดในวันนี้…จะไม่ให้เสียเปล่าแน่นอนขอรับ…” เขากล่าวเสียงเบาแต่แน่วแน่ น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย แต่มีความอบอุ่นลึก ๆ


หลินหยายิ้มหวานกว่าเดิมนางกอดอกเอียงหน้ามองอีกฝ่ายเล็กน้อย “ดีมากเจ้าค่ะ ถ้าท่านไม่กินให้หมดภายในวันนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าหลอกข้า แล้ววันหลังข้าจะเรียกคืนด้วยการให้ท่านไปหาขนมมาเส้นไหว้ข้าแทนสัก 10 ชนิดแทนเลยนะ” นางแกล้งทำเสียงจริงจังแต่แววตาเต็มไปด้วยความขี้เล่นอย่างไม่ปิดบัง สร้างบรรยากาศให้อบอวลไปด้วยความอบอุ่นไร้พิษภัย เสี่ยวจ้าวจื่อเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่เหมือนพายุอ่อนโยนพัดผ่านความซบเซาในชีวิตประจำวันแล้วพยักหน้ารับเบา ๆ อย่างไร้ข้อโต้แย้ง


เสี่ยวจ้าวจื่อก้มศีรษะลงเล็กน้อย มือยังคงกอดไหเต้าหู้เอาไว้แน่น ดวงตากลมใสนั้นเงยขึ้นมองหญิงสาวผู้เปล่งประกายดั่งแสงแดดยามต้นฤดูร้อน รอยยิ้มบนใบหน้าซื่อตรงของเขาแฝงความอ่อนโยนและแววเสียดายจาง ๆ หลินหยายืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มละไม ดวงตาคู่นั้นเปล่งความอบอุ่นราวกับเข้าใจดีว่าการอยู่ใกล้เขานานไปกว่านี้คงจะทำให้เขาลำบากใจจึงเลือกจะไม่รั้งเรานาน "เช่นนั้นข้าจะไม่กวนแล้วเจ้าค่ะ ท่านทำงานของท่านต่อเถิดเจ้าค่ะ" น้ำเสียงอ่อนหวานเจือเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่คล้ายกับเสียงลมปัดปลายหูขณะที่หลินหยาก้าวถอยออกไปช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยตามด้วยถ้อยคำจริงใจ


"หวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะเจ้าคะ…ท่านเสี่ยวจ้าวจื่อ" มือขาวนวลเรียวงามยกขึ้นโบกช้า ๆ ปลายนิ้วเรียวสะบัดเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อนทว่ากลับทิ้งความรู้สึกอุ่นซ่านไว้ในอกของชายหนุ่มตรงหน้าเสมือนภาพในฝัน


เสี่ยวจ้าวจื่อยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองร่างของหลินหยาในชุดผ้าบางพริ้วไหวเคลื่อนไปท่ามกลางแสงสีทองของยามโหย่วที่เริ่มคลี่คลุมทั่วตลาดตะวันออก กลิ่นเต้าหู้หอมลอยตามสายลมพัดเบา ๆ เขาเม้มริมฝีปากแน่นเล็กน้อย พยักหน้าช้า ๆ ทั้งที่อีกฝ่ายเดินลับหายไปแล้วราวกับต้องการให้สัญญานั้นคงอยู่ในใจตนเอง


“ขอรับ…ขอให้เราได้พบกันอีกครั้งจริง ๆ…” ถ้อยคำนี้หลินหยาไม่ได้ยินแต่ถูกเก็บไว้ลึกในหัวใจของเด็กหนุ่มแห่งโรงครัวหลวงที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเสียงจอแจของตลาด




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คุณพี่อย่าไปหึงน้องเขานะไอ้หัวหน้าขันทีตรงนั้นอ่ะ เขาช่วยชีวิตฉันไว้นะเว้ย


เผาค่าคุณธรรม

เชิดชูยกย่อง [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ ใช้ค่าคุณธรรม 1000 หน่วย

จำนวนค่าคุณธรรมที่ใช้: 1000

(ทุก ๆ 1000 ค่าคุณธรรม = 25 ความโปรดปรานต่อ NPC คนนั้น)


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

เผาค่าคุณธรรมในการยอย่อง NPC ความโปรดปราน +25 แต้ม

มอบ น้ำเต้าหู้ ชาเกรดม่วง ความสัมพันธ์ +15

ชงชา ความสัมพันธ์ +5


แสดงความคิดเห็น

เสี่ยวจ้าวจื่อหัวใจครบสองดวงแล้ว  โพสต์ 2025-7-18 01:37
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ เพิ่มขึ้น 110 โพสต์ 2025-7-18 01:36
คุณได้รับ --1000 คุณธรรม โพสต์ 2025-7-18 01:36
โพสต์ 59,464 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-7-17 21:46
โพสต์ 59,464 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-17 21:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-19 15:57:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 17 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก (พบ เสี่ยวจ้าวจื่อ)


ตลาดตะวันออกในยามโหย่วยามเย็น เริ่มคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ต่างเร่งฝีเท้าเพื่อจับจ่ายก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า เสียงเจรจาซื้อขายจากร้านรวงที่ตั้งเรียงรายสลับกับกลิ่นหอมของอาหารที่กำลังย่างไฟดังแว่วมาตามสายลม แสงตะวันที่ร่วงลงแตะปลายเส้นขอบฟ้าทาบเงาสะท้อนบนแผงผลไม้จนผลท้อสีชมพูอมทองดูสุกสว่างน่าลิ้มลองยิ่งกว่าเคย หลินหยาก้าวเดินมาอย่างไร้จุดหมายในคราแรก ตั้งใจเพียงจะหาอะไรกินตามประสาคนว่างงานถูกห้ามใช้งานหนักจากแผลที่ต้นแขน แต่เพราะความหิวและความขี้เลือกเธอจึงหยุดอยู่หน้าร้านผลไม้เจ้าประจำ สายตาคมหวานกวาดมองผลท้อที่จัดเรียงไว้อย่างงดงาม นางยิ้มน้อย ๆ แล้วคว้าผลที่ดูสดที่สุดขึ้นมาเชยชมกลิ่น กลิ่นหอมหวานปนเปรี้ยวกระตุกความอยากในลำคอ


“ผลไม้ฉ่ำน้ำแบบนี้นี่แหละ…ที่ชีวิตควรคู่จะได้ลิ้ม” นางบ่นพึมพำกับตนเอง แล้วกำลังจะหันไปหาคุณลุงเจ้าของร้าน ก็พลันรู้สึกได้ถึงเงาร่างใครบางคนข้างกาย


“…อ้าว?”


เสียงของหลินหยาดังขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อนางหันไปทางซ้าย พบกับเด็กหนุ่มร่างเล็กในชุดสีหม่นที่ดูไม่ต่างจากชาววังธรรมดา ทว่าผมเผ้าสะอาดเรียบร้อยใบหน้าอ่อนวัยที่เปื้อนเหงื่อเล็กน้อยบ่งบอกว่าเพิ่งเสร็จจากงานหนัก “ท่านเสี่ยวจ้าวจื่อ?”


เจ้าตัวที่กำลังเลือกผลท้ออยู่ถึงกับสะดุ้งอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินเสียงนั้น เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมเล็กแสดงความตกใจวูบหนึ่งก่อนรีบประสานมือคำนับอย่างสุภาพ “แฮ่ะ…แม่นางหลิน ขะ…ขอรับ มิ…มิทราบว่า…ท่านมาเดินที่นี่เช่นกันหรือขอรับ…”


“ใช่สิ ข้าก็เป็นคนนะเจ้าคะ อยู่ฉางอันนะไม่ใช่นกในกรงทองที่จะอยู่แต่ในวัง” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นผลท้อที่ถืออยู่ให้เขา “ท่านเลือกอันนี้หรือยังล่ะ?” เสี่ยวจ้าวจื่อรีบส่ายหน้าแล้วทำท่าจะปฏิเสธ “มะ…ไม่ขอรับ ข้าแค่…ข้าเพียงแค่…เดินผ่านมาเห็นผลไม้ดูดีเลยคิดว่าจะซื้อกลับไปให้ผู้เฒ่าที่ครัววัง…แต่ว่า…” เขาลังเลก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนกลัวถูกดุ


หลินหยาหยุดฟังอย่างสงบ ก่อนจะเอียงหน้า ยิ้มหวานแล้วกล่าวเสียงแผ่ว “ผลท้อมันไม่กัดท่านหรอกนะ…ท่านไม่ต้องกลัวมันนักก็ได้เจ้าค่ะ” คำแซวเบา ๆ ทำเอาเสี่ยวจ้าวจื่อหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เขาพยายามฝืนยิ้มอย่างเก้อเขิน “มะ…ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่ไม่อยากเสียเงินเปล่า หากเลือกผลที่เน่าข้างในก็…”


“เฮ้อ…ท่านนี้นะคนอะไรจริงจังแม้แต่กับผลไม้” หลินหยาหัวเราะเสียงใส แล้วหยิบถุงผ้าของตนออกมา ใส่ผลท้อสามสี่ลูกลงไปพลางกล่าว “งั้นผลนี้…ข้าเลี้ยงเองเจ้าค่ะ ซื้อให้เจ้ากิน เจ้าอย่าปฏิเสธเชียวนะ เพราะข้าเองก็กินหมดไม่ไหวอยู่แล้ว”


“มะ…ไม่ต้องก็ได้ขอรับ…แม่นางหลิน…”


“ท่านก็พูดแบบนี้ทุกที แต่สุดท้ายก็ยอมรับอยู่ดีนี้เจ้าคะ” หลินหยาว่าพลางขยิบตา ก่อนจะยื่นถุงผลไม้ให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่รับคำปฏิเสธ ใบหน้าที่ร่าเริงของนางฉายความอ่อนโยนประหลาดบางอย่างราวกับฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านใจหนุ่มน้อย เสี่ยวจ้าวจื่อก้มหน้าลงพลางรับถุงไว้ด้วยสองมือแน่นหนา “…ขะ…ขอบคุณมากนะขอรับ ข้าจะ…ข้าจะจำบุญคุณนี้ไว้อย่างไม่ลืมเลยขอรับ…”


หลินหยาเบ้ปากน้อย ๆ ล้อเล่นอีกคนเสียเลย “โอ้โห…พูดเหมือนข้าจะตายวันตายพรุ่งเลยล่ะ เสี่ยวจ้าวจื่อ…” ทั้งสองหัวเราะเบา ๆ เคียงกันท่ามกลางเสียงผู้คนที่เริ่มเบาบางลงในยามเย็น แสงตะวันที่เอียงเฉียงทอดเงาทั้งคู่ลงบนพื้นหินของตลาด เงาที่ดูเหมือนจะไม่ต่างจากผู้คนทั่วไป ทว่า…บางครั้ง คนธรรมดาที่สุด กลับเป็นผู้ที่มีบางสิ่งพิเศษที่สุดเก็บงำอยู่ในเงามืดของความเงียบงัน หลินหยายังคงเลือกผลท้อในมืออีกลูกอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะเหลือบมองเสี่ยวจ้าวจื่อที่ดูเหมือนจะยังเกร็ง ๆ กับการอยู่ข้างนางในตลาด แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกคิ้วแซวเข้าให้ตามประสาคนช่างพูดติดขี้เล่น


“ว่าแต่…ผู้เฒ่าที่ท่านบอกว่าจะเอาผลไม้ไปให้น่ะ เป็นขันทีหรอเจ้าคะ?” คำถามดูธรรมดา แต่คนที่โดนถามสะดุ้งเฮือกเล็กน้อยมือที่กำลังจะหยิบผลไม้อยู่ถึงกับค้างไปกลางอากาศ หลินหยาหรี่ตาแล้วเอียงศีรษะอย่างคนจับอารมณ์เก่ง “อื้อ...คงไม่ใช่ ‘จงฉางชื่อ’ หรอกนะ?” พอนางพูดจบ ก็มองหน้าเขาด้วยแววตากรุ้มกริ่มแบบไม่จริงจังนักแต่แฝงอะไรไว้ข้างใน ทว่ากลับพูดต่ออย่างหน้าตาย “ถ้าใช่จริง ข้าก็คงต้องรีบถอนลมหายใจเลยละเจ้าค่ะ…รู้จักนะ เจ้าหัวหน้าขันทีนั่นน่ะ น่ากลัวจะตาย…”


เสี่ยวจ้าวจื่อทำตาโตขึ้นมาทันที สีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แม้เจ้าตัวจะพยายามไม่พูดอะไร ทว่าเงียบผิดปกติ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ขะ…ขอรับ ข้าน้อยมิกล้าเอ่ยถึงท่านจางกงกงในทาง…ในทาง…”


“ในทางที่ไม่ดีน่ะหรอ?” หลินหยาเสริมเสียงใสก่อนจะกลอกตาและถอนหายใจเฮือกยาวอย่างล้อเลียน “โอ้ย ใครเขาจะเอาเรื่องกันล่ะเจ้าคะ…เอาเถอะ ข้าก็แค่สงสัยเฉย ๆ” นางหัวเราะนิดหนึ่ง ก่อนจะหยิบผลท้ออีกลูกใส่ถุงตัวเองมืออีกข้างลูบแขนข้างที่ยังเจ็บเบา ๆ “ถึงจะไม่ใช่กำนัลแล้ว แต่เชื่อไหมเจ้าคะ…ข้าก็ยังเจอเขาอยู่เรื่อยนั้นแหละนะ” น้ำเสียงของหลินหยาเปลี่ยนเป็นเรียบลงนิดหนึ่งขณะนางมองผลไม้ในมือแม้ไม่พูดต่อแต่ในหัวของหลินหยากลับเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจบอกใครได้


...ถึงจะไม่ใช่กำนัลแล้วก็เถอะ…ยามก่อนนั่น อีตาหัวหน้าขันทีนั่นยังกล้ามาขอให้ข้าจุมพิตมันอีกแน่ะ! ไม่อายฟ้าดินเลยจริง ๆ…เป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า…ข้านี่แหละที่อายแทบตาย…


ดวงตาของหลินหยาเหลือบต่ำลงนิดหนึ่ง ขณะหางตาแลไปทางเสี่ยวจ้าวจื่อที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออย่างเงียบ ๆ เสี่ยวจ้าวจื่อรู้ดีว่าแม้เพียงชื่อของจงฉางชื่อจะถูกพูดออกมา หากเป็นในวังหลวงจริง ๆ แม้เพียงลมหายใจก็ยังต้องกลั่นกรองก่อนจะเปล่งเสียง ทว่าสตรีตรงหน้าเขากลับกล้าหัวเราะเอ่ยถึงได้หน้าตาเฉย แม้จะอยู่ในตลาดแต่ก็ราวกับไม่มีเกรงกลัวผู้ใด…หรือบางที...นางอาจเป็นอะไรที่ลึกลับยิ่งกว่าที่เขาคิด


“ขะ...ข้าน้อยจะจำไว้ขอรับ…ว่าท่านไม่ใช่กำนัลอีกแล้ว…”


“อื้อ ดีมาก ท่านเป็นเด็กดี” หลินหยาหัวเราะอีกครั้งแล้วแตะไหล่เขาเบา ๆ อย่างล้อเล่น “อย่าทำหน้ากลัวขนาดนั้นเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่ผีในครัววังนะท่านเสี่ยวจ้าวจื่อ” เด็กหนุ่มที่มักจะเก็บตัวเงียบได้แต่หลบสายตานางเล็กน้อยหูแดงแจ๋อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะยกถุงผลไม้ในมือขึ้นเบา ๆ เป็นเชิงขอบคุณแล้วเดินเคียงกันอย่างเงียบ ๆ …และแม้จะเงียบ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับอุ่นขึ้นแปลกประหลาด ราวกับฤดูใบไม้ผลิแอบซุกอยู่ในกลิ่นท้อที่อบอวลระหว่างพวกเขาทั้งสองคน


แต่ทว่า…เสี่ยวจ้าวจื่อที่กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางถึงกับชะงักฝีเท้าไปทันที เมื่อเสียงใสร่าเริงของสตรีข้างกายดังขึ้นด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วทำให้หัวใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องสั่นไหวไม่ใช่น้อย


"มาเถอะ วันนี้ข้าว่าง" หลินหยายักไหล่ยิ้มระเรื่อ ดวงตาเรียวยามหรี่ลงนั้นซ่อนความขี้เล่นไว้เต็มเปี่ยมขณะพูดต่ออย่างไม่รีรอ "เห็นถุงท่านหนักตั้งหลายใบเดี๋ยวข้าเดินเป็นเพื่อนเองเจ้าค่ะ แล้วก็ช่วยดูของด้วย"


“เอ๊ะ….มะ...ไม่เป็นไรขอรับ!” เสี่ยวจ้าวจื่อตกใจเผลอพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าขาวจัดขึ้นสีเรื่อเล็กน้อยขณะโบกมือปฏิเสธไปมาลำคอขยับเล็กน้อยอย่างไม่รู้จะหันไปทางไหนดีดีระหว่างหน้าหลินหยาหรือกองขิงสดตรงหน้า "ไม่ต้องเกรงใจสิ หรือคิดว่าข้าจะขัดขว้างหรอ?" หลินหยาว่าอย่างไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ มือหนึ่งหยิบผลท้อขึ้นมาโยกไปมาเล่น อีกมือหนึ่งเอื้อมไปแตะชายเสื้อของอีกคนดึงเบา ๆ “อีกอย่าง ข้ารู้ว่าท่านมาทำไม…ก็ออกมาซื้อวัตถุดิบตามคำสั่งใช่ไหมล่ะเหมือนทุกวันอ่ะที่ท่านเคยบอกข้า?" เธอกระตุกยิ้มอย่างรู้งานเหมือนคนที่อ่านแผนคนตรงหน้าได้ตั้งแต่ก่อนเขาจะเริ่มวางแผนเสียอีก


เสี่ยวจ้าวจื่ออ้ำอึ้ง ก่อนจะค้อมหัวลงอย่างยอมจำนนต่อพลังอ่อนโยนเจือความดื้อรั้นในตัวหญิงสาวตรงหน้า "...ขะ…ขอรับ ข้าน้อย…ต้องซื้อผักกับเครื่องปรุงอีกนิดหน่อย แล้วก็ขิงกับกระเทียมจำนวนมากด้วยขอรับ เพราะว่า...เพราะว่าพ่อครัวหลวงเขาต้องการทำอาหารให้คนสำคัญ...”


"หืม? งั้นยิ่งต้องให้ข้าอยู่ช่วยเลยสิเจ้าคะ!" หลินหยาหัวเราะแผ่ว เบียดไหล่เขาเล็กน้อยอย่างไม่ถือสาอะไรกับท่าทางเกร็ง ๆ ของอีกฝ่ายพลางพูดลอย ๆ “หากจะทำเมนูให้คนสำคัญก็คงจะเครื่องเยอะจะตาย ไหนจะรากเก๋ากี้ ใบตงฮวา ไหนจะซุปกระดูกอีก นี่ท่านต้องซื้อแค่ไหนเนี่ยเจ้าคะ?”


“อะ…อืม ข้าน้อย…จดไว้แล้วขอรับ…” เขาว่าพลางยื่นกระดาษที่จดรายการให้เธอดูอย่างเก้อ ๆ กลัวว่าจะถูกว่าหรือโดนถามจนตอบไม่ถูก หลินหยามองดูลายมือแบบคนที่ไม่ได้เรียนเขียนเต็มรูปแบบนักแล้วหลุดหัวเราะ “ลายมือข้าแย่กว่าท่านอีกแฮะ” เสี่ยวจ้าวจื่อหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าแทบมุดพื้น "เอาน่า ลายมือข้าโคตรห่วยแตกเจ้าค่ะบอกเลย" หลินหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมองหน้าเขาแล้วเอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ "ถึงจะอยู่ในวัง แต่ก็ใช่ว่าต้องอยู่คนเดียวเสมอไปนะ…วันนี้ก็มีข้าอยู่ทั้งคน ยังมีเวลาว่างอีกตั้งเยอะอยากเดินกี่ร้านก็เดินเถอะข้าจะช่วยท่านหิ้วเอง"


เธอว่าแล้วก็ก้าวนำไปทางร้านถัดไปโดยไม่รอคำตอบ เสี่ยวจ้าวจื่อที่ยังคงไม่เชื่อว่าสาวงามผู้นี้จะมาเดินตลาดกับคนอย่างเขาจริง ๆ ได้แต่ยกถุงผลไม้ในมือแน่นขึ้นนิด ก่อนจะรีบจ้ำตามเธอไปเงียบ ๆ อย่างคนที่หัวใจเต้นแรงทั้งกลัว…ทั้งไม่กล้าเชื่อ…และทั้งดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวราวกับได้สหายร่วมเดินทางคนใหม่



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาปลดหัวใจขันทีอีกสักคนพร้อมนินทาขันทีอีกคนหนึ่งด้วย

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 40566 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-19 15:57
โพสต์ 40,566 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-19 15:57
โพสต์ 40,566 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-19 15:57
โพสต์ 40,566 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-19 15:57
โพสต์ 40,566 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-19 15:57
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 14:31:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 18 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก (พบ เสี่ยวจ้าวจื่อ)


เสียงผู้คนจอแจของตลาดตะวันออกในยามโหย่วดังก้องลั่น ถนนสิบลี้ในช่วงยามเลิกงานนั้นเต็มไปด้วยชาวบ้านที่พากันออกมาจับจ่ายซื้อหาของกินของใช้ กลิ่นหอมของเนื้อย่างซีอิ๊ว โจ๊กหมูร้อน ๆ และขนมแป้งทอดน้ำผึ้งลอยตลบอบอวลเคล้ากลิ่นธูปจากศาลเจ้าริมตลาดให้บรรยากาศของถนนยามเย็นดูอบอุ่นและคึกคัก หลินหยาที่เพิ่งรีบเร่งกลับเข้าฉางอันหลังจากพบจางกงกงใบหน้าดูสดใสขึ้นบ้าง แต่ดวงตายังมีร่องรอยของความคิดหนักปะปนมาเล็กน้อยนั่นไม่อาจรอดพ้นสายตาของเพื่อนสนิทอย่างหรงเล่อไปได้


"เจ้าดูแปลก ๆ ไปนะวันนี้..." หรงเล่อที่มาในชุดเรียบง่ายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ยังคงไว้ซึ่งอากัปกิริยาเรียบร้อยเหมือนคุณหนูบ่นพึมพลางเดินเคียงไหล่กับหลินหยา ดวงหน้าคมน่ารักของนางขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนพยายามจับผิด


"แปลกอะไรเล่า!" หลินหยารีบตอบแทบจะทันที เสียงสูงขึ้นเล็กน้อยราวกับคนกำลังปกปิดอะไร "ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อย เดินมาจากนอกเมืองน่ะ อากาศร้อนใช่ไหมล่ะ ฮ้า… เดี๋ยวข้าพาไปกินบัวลอยงาดำร้านนั้นดีกว่า! เจ้าชอบไม่ใช่เหรอ!" ไม่รอให้อีกฝ่ายสงสัยต่อ หลินหยาก็รีบคว้าข้อมือหรงเล่อแล้วลากให้เดินแทรกฝูงชนเข้าไปยังซุ้มร้านขนมชื่อดังประจำตลาดตะวันออกที่พ่อค้ากำลังยิ้มแย้มตักบัวลอยลงถ้วยร้อน ๆ


หรงเล่อกระพริบตาปริบ ๆ แต่ก็ไม่ได้ขืนแรง กลับปล่อยให้เพื่อนสาวจูงไปแต่โดยดี ก่อนจะหันมายิ้มน้อย ๆ ขำเบา ๆ พลางพูดเสียงเรียบแต่นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ว่า "หลินหยา…ข้ารู้ว่าเจ้าซ่อนอะไรบางอย่าง...แต่ไม่เป็นไรหรอก หากเจ้าจะเล่าเมื่อไรก็เล่า ข้าไม่เซ้าซี้หรอกนะ" หลินหยาหลุบตาหลบคำหรงเล่อ "ไม่มีอะไรจริง ๆ นี่นา..." ก่อนจะสบตาหรงเล่อแล้วยิ้มแห้ง ๆ แล้วหัวเราะกลบเกลื่อนเร็ว ๆ อย่างกับคนที่เพิ่งวิ่งหนีตีนหมาแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แต่แล้วเสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างร้าน “แม่นางหลินหยา?” หลินหยาเงยหน้าขึ้น อ้าว เสี่ยวจ้าวจื่อ? วันนี้ดูแปลกตานิดหน่อย เพราะข้าง ๆ เขามีเด็กหญิงตัวเล็กผมเปียยาวเดินจูงมืออยู่ด้วย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจนหรงเล่อถึงกับร้องเบา ๆ “ว้าย น่ารักจัง! ใครกันหรือเจ้าหนูน้อยนี้?” เสี่ยวจ้าวจื่อหน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะก้มหน้าแล้วตอบอ้อมแอ้ม "นางชื่อหลานขอรับ...เอ๊ย ไม่ใช่ขอรับ! นางชื่อเสี่ยวหลาน...เป็นหลานของคนครัวที่โรงครัวหลวง เขาฝากข้ามาดูแลนางวันนี้เพราะติดงานด่วน ข้าเลยพามาซื้อของด้วยขอรับ"


“อืม~ ท่านดูพี่ชายที่ดีเลยล่ะ” หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ หยอก แล้วก้มลงหยิบขนมงามาให้เสี่ยวหลาน เสียงคุยกันเบา ๆ ดังเคล้ากับกลิ่นบัวลอยหวานหอม เสียงโต้ตอบของทั้งสี่คนผสมกับเสียงวุ่นวายของตลาดตะวันออกได้อย่างลงตัว ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามโหย่วที่กำลังอ่อนแสงลงทุกขณะ ราวกับโลกนี้ยังมีมุมอบอุ่นที่ไม่ต้องพูดถึงอดีตหรืออนาคต…แค่ปัจจุบันก็เพียงพอแล้ว


หลินหยายิ้มพลางเหลือบตามองทั้งสองคนที่ยืนเงียบไม่กล้าทักกัน เสี่ยวจ้าวจื่อก้มหน้าตามนิสัย ขณะที่หรงเล่อแม้จะเคยพูดมาก แต่คราวนี้กลับทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ คล้ายไม่รู้จะทักอย่างไรดี หลินหยาเลยตัดสินใจแทรกกลางก่อนที่บรรยากาศจะกลายเป็นเสียงจั๊กจั่นในทุ่งร้าง "อะแฮ่ม! ขอแนะนำให้รู้จักกันหน่อยแล้วกันนะ!" เธอกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส "ท่านคนนี้ชื่อเสี่ยวจ้าวจื่อ เป็นสหายใหม่ของข้า เขานิสัยดีมากนะ สุภาพ อ่อนโยน และนอบน้อมมากเลยล่ะ แถมยังทำอาหารเก่งสุด ๆ อีกต่างหาก" ได้ยินคำชม เสี่ยวจ้าวจื่อถึงกับหน้าแดงจนเหมือนโดนลมร้อนพัดเข้าเต็มแรง เขารีบก้มศีรษะ "ข…ขอรับ ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ"


หลินหยาเหล่ขำก่อนจะหันไปด้านหรงเล่อแล้วพูดต่อ "ส่วนท่านนี้ หรงเล่อ นางเป็นเพื่อนสนิทข้าเอง ข้ารู้จักนางตั้งแต่ยังไม่ทันมีฟันแทบจะครบปาก(?) นางเป็นคนใจดี อ่อนหวาน…แค่ซุ่มซ่ามนิดหน่อยเท่านั้นแหละแต่สนุกมากเลยเวลาอยู่กับนาง" หรงเล่อเบิกตากว้าง "เจ้า! พูดเหมือนข้าเป็นคนเอ๋อ!" เธอประท้วงเบา ๆ แต่ก็หัวเราะไปด้วย "ข้าไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้นเสียหน่อย อย่างน้อย…ข้าก็ยังไม่เคยสะดุดบันไดวังต่อหน้าฮ่องเต้สักทีโอ๊ย!" หยุดกลางประโยคเมื่อรู้ว่าหลุดปากพูดอะไรออกไป


หลินหยาหันควับ ดวงตากรุ้มกริ่มราวกับคนจับได้ "หืม? ว่าไงนะเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับฮ่องเต้นะ? หรือว่าเจ้าเคย…"


"ไม่มี ๆๆ!" หรงเล่อรีบโบกมือหน้าซีดแล้วแดงในเวลาเดียวกัน "ข้าแค่เปรียบเปรย ๆ เท่านั้นแหละ!" เสี่ยวจ้าวจื่อมองทั้งสองคนสลับกัน สีหน้าดูไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ยิ้มบาง ๆ แล้วพูดอย่างนอบน้อม "พวกท่านดูสนิทกันมากเลยนะขอรับ เหมือนพี่สาวน้องสาวที่แท้จริงเลย"


"แน่นอนสิ ข้าก็แทบจะนับว่านางเป็นพี่สาวได้แล้วนะ!" หลินหยาพูดพลางโยกตัวเบา ๆ มาทางหรงเล่อก่อนจะกระซิบ "แม้ว่าจะไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ แต่ก็เป็นคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุดในฉางอันล่ะ" หรงเล่อทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนได้ยิน "พูดแบบนี้ ข้าก็เขินนะหลินหยา…อย่าทำให้น้ำตาข้าจะไหลต่อหน้าคนแปลกหน้าได้ไหม" หลินหยาหัวเราะอย่างสดใสขณะที่เสี่ยวหลานที่ยืนข้างเสี่ยวจ้าวจื่ออยู่ก็ดึงชายเสื้อพี่ชายเบา ๆ กระซิบถามเสียงแผ่วว่า "ท่านพี่…พวกพี่สาวเขาเป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือเจ้าคะ?" เสี่ยวจ้าวจื่อยิ้มเขินพลางตอบน้องเบา ๆ “ไม่ใช่ทุกคนหรอก…แต่ข้าคิดว่าพวกนางสองคนนี้น่าจะพิเศษกว่าคนอื่น”


ท่ามกลางเสียงหัวเราะพูดคุย เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ของนักดนตรีเร่จากหัวมุมถนนก็ดังขึ้น สร้างบรรยากาศเย็นย่ำที่แสนอบอุ่นในถนนสิบลี้ ใต้แสงอาทิตย์อัสดงที่เริ่มเจือด้วยส้มอ่อน ๆ ทุกชีวิตในตลาดตะวันออกยังดำเนินไปไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับโชคชะตาของผู้คนที่เริ่มถักทอเส้นด้ายบาง ๆ เข้าหากันอย่างเงียบงัน…ไม่มีใครรู้ว่าจะนำพาไปสู่สิ่งใดแต่หลินหยากลับยิ้ม พราะอย่างน้อย ตอนนี้หัวใจของเธอกำลังอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


"อะฮ่า! ไหน ๆ ก็เจอกันแล้วจะให้ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ก็คงไม่ใช่ข้าแล้วล่ะ!" เสียงใสร่าเริงดังขึ้นพลางที่เจ้าตัวเดินอ้อมไปยังร้านขายผลไม้ข้างทางกวักมือเรียกเด็กน้อยเสี่ยวหลานให้มาหา มือข้างหนึ่งของนางถือถุงน้ำชาอุ่น ๆ สำหรับตัวเอง อีกข้างกลับหอบไหน้ำเต้าหู้มาแบบไม่เกรงใจใคร บรรจงหยิบน้ำเต้าหู้ส่งให้เสี่ยวจ้าวจื่อแก้วไห เสี่ยวหลานอีกไหวหนึ่ง แล้วก็หันไปส่งอีกไหให้หรงเล่อที่เริ่มทำหน้าคุ้น ๆ เหมือนโดนป้อนแบบนี้มาหลายรอบ "นี้ ๆ เอาไป! น้ำเต้าหู้จากร้านอันเล่อจ้วน เจ้าชอบไม่ใช่เหรอ?" หลินหยายิ้มแฉ่งแล้วยัดเยียดให้คนละไหแบบไม่รับคำปฏิเสธใด ๆ ทั้งสิ้น “ถือว่าเป็นพิธีกรรมก่อนแยกย้าย เป็นเหมือน…งานเลี้ยงน้ำเต้าหู้! ข้าเรียกอย่างนี้แหละ!” แน่นอนว่าพึ่งตั้งชื่อเมื่อกี้


เสี่ยวจ้าวจื่อมองน้ำเต้าหู้ในมืออย่างซาบซึ้ง "ข…ขอบคุณมากขอรับ" เขากล่าวเสียงเบาแต่แววตาดูตื้นตัน ส่วนเสี่ยวหลานรับแก้วด้วยตาเป็นประกาย “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่สาวคนสวย!” พอรับแล้วก็ดูดอึกอย่างไร้ลังเลจนได้หนวดน้ำเต้าหู้ติดริมฝีปากขาว ๆ มาอย่างน่าเอ็นดู ส่วนหรงเล่อนั้น "เจ้ารู้ไหมว่าในหนึ่งเดือนข้าโดนน้ำเต้าหู้ร้านท่านพ่อข้าป้อนเข้าปากไปเยอะขนาดไหน?" นางถามด้วยสีหน้าปลง ๆ ขณะรับไหมา “ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะกลายเป็นเต้าหู้ไปทั้งตัวแล้วนะหลินหยา…”


"หง่าววว~ งั้นเจ้าก็เป็น ‘จวินจู่หู้’ ไปแล้วกัน ฮ่า ๆ ๆ ๆ" หลินหยาแซวพร้อมเสียงหัวเราะลั่นจนหรงเล่อหันมาทำตาเขียว "จวินจู่หู้บ้านเจ้าเถอะ!"


“ก็เจ้าเป็นจวินจู่จริง ๆ ไม่ใช่เหรอเล่า?” หลินหยาแกล้งพูดเสียงเบาจนหรงเล่อสะดุ้งเฮือก รีบยกไหน้ำเต้าหู้ขึ้นปิดปาก "ชู่วววววววววว อย่าพูดตรงนี้!"


"ล้อเล่นน่าาา~" หลินหยาหัวเราะกรุ้มกริ่มมือถือน้ำชาอย่างผู้ชนะ แม้จะแยกย้ายในอีกไม่ช้าแต่บรรยากาศยามโพล้เพล้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทั้งสามยืนล้อมกันราวกับวงสนทนาลับ ๆ แบ่งปันเสียงหัวเราะและรสชาติอุ่นละมุนของน้ำเต้าหู้ ที่แม้จะไม่ใช่เหล้าดองเก่าชั้นดีแต่กลับแฝงกลิ่นไอของมิตรภาพไว้แน่นเหนียว เสี่ยวจ้าวจื่อเองก็ดูผ่อนคลายกว่าทุกที หรงเล่อแม้จะบ่นก็ยิ้มออก ส่วนหลินหยา…ก็ยังเป็นหลินหยาร่าเริงอารมณ์ดี และไม่เคยปล่อยให้บรรยากาศเหงาอยู่ได้นาน "ส่วนข้าดื่มน้ำชาแล้วกัน" นางพูดสบาย ๆ พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนจะกระซิบเบา ๆ "เพราะกินถั่วเหลืองแล้วจะตายเอาน่ะสิ"


"หา?!" หรงเล่อเกือบสำลัก ส่วนเสี่ยวจ้าวจื่อเบิกตากว้างสุดแรงเกิดเพราะนางกลับพูดเรื่องนี้ออกมาหน้าตาเฉยอีกแล้ว!  "อื้อ ข้าพูดจริงนะ" หลินหยายิ้ม ยักคิ้ว “นี่แหละพลังของการกินน้ำเต้าหู้ที่ต้องใช้ชีวิตแลก~” นางหัวเราะคิก แล้วก็ยกมือปัดก่อนที่จะทำการแยกย้ายกันทั้งสี่คน และในแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ทอทอดผ่านซุ้มร้านค้า ทั้งสามคนยืนแยกกันด้วยรอยยิ้ม การกินน้ำเต้าหู้ในวันธรรมดา ๆ ที่ใครเลยจะลืม ขณะที่เสียงฝีเท้าของเสี่ยวจ้าวจื่อและเสี่ยวหลานค่อย ๆ จางหายไปในฝูงชนของตลาดตะวันออก หลินหยาก็หันมายิ้มให้หรงเล่อที่เดินเคียงข้าง มือหนึ่งไหวไปมาอย่างไร้แก่นสาร อีกมือยังถือลูกท้อลูกโตที่เพิ่งซื้อมาอย่างอารมณ์ดี 


ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าดูอยากรู้อะไรบางอย่างนะหรงเล่อ…” หรงเล่อเบ้ปากอย่างไม่เก็บอาการ “แน่นอนสิ เขาน่ะใครกัน? หน้าตาออกจะใสซื่อ…ดูเป็นมิตรจนข้ารู้สึกว่าผิดที่ผิดทางไปหน่อยน่ะ” หลินหยาหัวเราะพรืดทันที “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นสิ เขาช่วยข้าไว้นะตอนข้าจะเป็นลมที่ตลาดนี่แหละ ข้ายังจำได้เลยว่ากำลังจะหน้ามืดอยู่แล้วแท้ ๆ ก็บังเอิญเจอเขาพอดี…นึกว่าจะเป็นใคร ที่ไหนได้ก็หนุ่มหน้าเด็กนี่แหละท่านเสี่ยวจ้าวจื่อน่ะ”


หรงเล่อเลิกคิ้วขึ้น “เจอที่นี่? แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”


“ก็เจอกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ น่ะสิ ข้าคิดว่าเขาคงมาซื้อวัตถุดิบให้โรงครัวหลวงทุกวันมั้ง…” หลินหยายักไหล่ ทอดสายตามองร้านขายขนมต้มข้างทางด้วยสายตาเรื่อยเปื่อย “ดูเหมือนเขาจะทำงานเป็นขันทีฝ่ายแรงงานน่ะ คงรับผิดชอบเรื่องฟืน ไม้ งานหนัก ๆ ในโรงครัวอะไรทำนองนั้น”


“ขันที?” หรงเล่อหยุดเดินเล็กน้อย “แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเขา?”


“รู้แล้วล่ะ” หลินหยาเอ่ยตัดบรรยากาศทันทีน้ำเสียงยังคงรื่นเริงแต่แฝงอะไรบางอย่างที่เหมือนรู้ดี “แต่เขาไม่ได้เหมือนขันทีที่เจ้าเคยเห็นหรอกไม่พูดมาก ไม่ยโส ไม่ทะเยอทะยาน ดูเรียบง่ายและอ่อนโยน…ตรงกันข้ามกับบางคนในวังที่ข้ารู้จักอย่างสิ้นเชิง” พอหรงเล่อได้ยินนางก็พยักหน้าแล้ว “อืม…” ครางเบา ๆ ดวงตาหวานแฝงแววคิดลึกเหมือนคิดอยู่ หลินหยาหยุดหน้าร้านขนมขณะหรงเล่อเลือกขนมไปพลาง หลินหยาก็ยื่นมือคว้าขนมมาหนึ่งห่อ ยื่นให้สหายคนงามของนาง “เอ้านี่ ให้คนซุ่มซ่ามอย่างเจ้ากิน จะได้เลิกพูดมากสักพัก ฮะ ๆ ๆ”

“อ่ะลืม ๆ เจ้าไม่ซุ่มซ่ามหรอก ข้าเชื่อ…” หลินหยายิ้มมุมปากดวงตาวิบวับขำขันไปจนสุดสายตาไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าประชดอ่ะ บรรยากาศยามเย็นของตลาดตะวันออกเริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง แต่สำหรับหลินหยาและหรงเล่อ มันเป็นช่วงเวลาที่เบาสบาย เหมือนสายลมเย็นในยามเย็นที่พัดพาเรื่องราวมากมายให้ล่องลอยผ่านใจ…ก่อนจะละลายหายไปกับเสียงหัวเราะของเพื่อนสองคนในค่ำวันที่แสนธรรมดา


“จะว่าไปหลินหยา เจ้าได้ไปรับไร่ชาที่ข้าประมูลให้หรือยัง? ข้าอุสส่าประมูลให้ถ้าเจ้าไม่รับข้างอนจริง ๆ นะ” หลินหยาเบะปากใส่คำถามนั้นอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดราวกับจะปลดปล่อยทุกความเซ็งที่ค้างคาไว้ในอกให้โล่งออกมา “ยังเลย…ยังไม่ได้รับอะไรสักอย่าง ข้ายังไม่รู้เลยว่าต้องไปกรมโยธาหรือกรมคลังก่อนกันแน่ พอไปถึงทีไรก็ป้ายติดว่า ‘ปิดทำการชั่วคราว’ บ้างล่ะ ‘อยู่ระหว่างซ่อมปรับปรุง’ บ้างล่ะ บางทีก็เงียบจนเหมือนตึกเปล่า ๆ ไม่มีคนอยู่เลย เจ้าคิดดูสิ…จะให้นั่งเฝ้าประตูทั้งวันหรือไงกันเฮอะ…” หรงเล่อฟังแล้วอดหัวเราะพรืดไม่ได้ มือเรียวของนางยังหยิบขนมจากแผงขายร้อน ๆ มาเคี้ยวตุ้ยอย่างอารมณ์ดี “น่าสงสารจริง ๆ เลยเสี่ยวหยา เจ้าโดนสาปหรือเปล่าเนี่ย ไปทีไรก็ปิดทุกที ฮ่า ๆ ๆ”


หลินหยากลอกตาใส่ “ข้าก็ว่าอยู่เหมือนกันนะ นี่ถ้าไม่ติดว่าไร่ชานั่นข้าต้องเป็นเจ้าของ ข้าคงคิดว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจนฟ้าสั่งห้ามไปเหยียบแถวนั้นแน่ ๆ!” หรงเล่อหัวเราะคิกคัก ดวงตาเป็นประกายระยับเมื่อมองสบเพื่อนสาว “อดทนอีกนิดเถอะ เดี๋ยวพอกรมทั้งสองเปิด เจ้าก็จะได้เป็นเจ้าของไร่ชาเต็มตัวแล้ว…ข้าประมูลมาให้ด้วยเงินเจ้าเชียวนะ ถ้าไม่ได้ไร่นี่ข้าจะเสียหน้าเอา แถมยังแอบท่านพ่อหลิวอันไปต่อรองลับกับคนก่อนหน้าด้วย” หลินหยาทำหน้าสะลึมสะลือ “อย่าพูดถึงชื่อเขาอีกเลย เหมือนข้ายังมีภาพหลอนตอนข้าโดนเข้าดุในร้านเขาอยู่เลย…อื้อหือ รู้สึกผิดชอบชั่วดีระส่ำระสายแบบแปลก ๆ ยังไงไม่รู้สิ”


“งั้นกินน้ำเต้าหู้ข้าให้หมดจะได้เคลียร์กรรม!” หรงเล่อยกถ้วยตัวเองมายื่นให้หลินหยาอย่างแกล้ง ๆ “หรือเจ้าจะให้ข้าทำบุญปล่อยปลาแทน?” หลินหยาหัวเราะร่า ยกน้ำชาของตนขึ้นชนกับถ้วยน้ำเต้าหู้ของหรงเล่ออย่างขำ ๆ “ปล่อยปลาก็อย่าปล่อยข้าเลยนะ ข้าอยากมีบ้านมีไร่ไม่ได้อยากกลับไปว่ายน้ำเล่นในแม่น้ำแห่งจิตวิญญาณระหว่างสองภพ! บอกให้ไปกินถั่วเหลืองอยู่นั้นแหละเจ้านี้” ทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างรู้ใจ ขณะเดินต่อไปในตลาดที่มีทั้งแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ส่องผ่านผ้าแพรสีสด ดอกไม้ เครื่องหอม และเสียงเรียกขายของที่ดังอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่กลับทำให้บรรยากาศของช่วงเย็นในฉางอันวันนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นของมิตรภาพที่อบอุ่น…และเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ที่อาจกลบเสียงเหนื่อยล้าไปได้แม้เพียงครู่เดียว


แต่แล้วหลินหยากลับพบว่าหรงเล่อเหมือนจะตัวแข็งนิ่งอึ้งไป…?? หืม? หลินหยากำลังจะอ้าปากถามว่าหรงเล่อเป็นอะไร นางกำลังยื่นมือไปแตะต้นแขนเพื่อนสาว แต่ยังไม่ทันเอ่ยคำ มือของหรงเล่อก็คว้าเธอเข้าไปหลบหลังเสาไม้ทาสีแดงข้างแผงขายขนมอบหอมฉุย กลิ่นน้ำตาลไหม้ลอยคลุ้งในอากาศแต่กลับไม่อาจกลบความประหลาดใจในดวงตาหญิงสาวได้เลยสักนิด “เฮ้ย…จู่ ๆ จะลากข้าหลบทำไมล่ะหรงเล่อ!?” หลินหยากระซิบอย่างงุนงงขณะยืนเบียดแผงผลไม้แห้งจนจมูกแทบชนผลไม้สีเหลืองผลหวานที่น่าอร่อย แต่หรงเล่อกลับชะโงกหน้าไปอีกด้านนิดหนึ่งก่อนจะรีบหดกลับมาพร้อมใบหน้าแดงเรื่อ ดูก็รู้ว่าไม่ได้เพราะความร้อนของยามโหย่วแน่นอน “เขา…เขามาแล้วน่ะ…”


“ใคร?” หลินหยาย่นคิ้วพลางโผล่หน้าออกไปครึ่งจมูกและนั่นเองที่เธอได้เห็นเขา…ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมขนสีขาวคาดทอง เดินผ่านท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ขับเรือนผิวซีดใสให้เรืองรองราวเทพบุตรในหิมะดำ ผมยาวดำน้ำเงินล้อมกรอบใบหน้าคมหวานแปลกตา ดอกลิลลี่สีขาวปักอยู่ข้างขมับขับกับเลนส์แว่นทองข้างเดียวที่สวมอย่างไม่ใส่ใจโลก “เขาคือ ‘เว่ยเจีย มู่หง’ บุรุษหนุ่มผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘ซื่อยู่สื่อ’ แห่งสำนักงานราชวินิจฉัย ผู้ถืออำนาจพิเศษในการตีความกฎหมาย กำหนดบทลงโทษ และเจรจาไต่สวนแม้กระทั่งคดีของเชื้อพระวงศ์ระดับสูงน่ะ” หรงเล่ออธิบายแล้วบอกกับหลินหยาส่วนคนฟังก็เบิกตาเล็กน้อยก่อนหันมาหาหรงเล่อ “เจ้ารู้จักเขาเหรอ?”


หรงเล่อที่หน้าแดงจนถึงหูพยักหน้าอย่างแผ่วเบา “ก็…คนที่ข้าไปซื้อไร่ชามานั่นแหละ…เขาเป็นเจ้าของที่แล้วมาก่อนเพราะเป็นคนประมูลได้คนสุดท้าย” หลินหยาเลิกคิ้วสูงตอนที่ได้ยิน “แล้วเจ้าลากข้าหลบทำไมล่ะ? หรือว่า…อย่าบอกนะว่าเจ้า…” หรงเล่อยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของหลินหยาอย่างร้อนรน “เบา ๆ สิ!”


“อ้าวววววว~” หลินหยาทอดเสียงยาวอย่างคนที่เริ่มจะรู้ทันแล้ ดวงตาเป็นประกายทันที “เจ้าชอบเขาเหรอเนี่ย!?”


“บ้า! ข้าเปล่า!” หรงเล่อรีบบอกพลางกอดอกหน้าแดงแจ๋ “ก็แค่…ข้าซื้อต่อไร่ชาประมูลมาในราคาสูงกว่าราคาตลาดหลายส่วน เขาก็จ้องข้าแบบแปลก ๆ เหมือนจะวิเคราะห์ข้าจนทะลุปรุโปร่งแน่ะ!”


“อ้ออออ…ไม่ใช่กลัวถูกฟ้องเพราะโกหกไม่เก่งตอนเจรจาเหรอ ฮึ ๆ”


“หยาหยา!” หรงเล่อเอ็ดเบา ๆ หน้าขึ้นสีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก แต่ทว่าเสียงของหลินหยาก็หยุดลงในทันทีเมื่อชายหนุ่มเจ้าของชื่อเว่ยเจีย มู่หงหันสายตามองมาทางที่ทั้งสองหลบอยู่…ชั่วขณะหนึ่งนั้น ดวงตาเรียวใต้กรอบเลนส์ทองสว่างวาบคล้ายจับจ้องทุกอย่างผ่านม่านหมอก เงาสะท้อนของเขาในดวงตาหลินหยาเหมือนกำลังจับใจความจากจิตสำนึกของนางอย่างแผ่วเบาและเจาะจง หลินหยาเย็นวาบตรงแผ่นหลัง นางรีบหลบตาและยกมือแตะหัวใจตัวเองเบา ๆ “เขานี่มัน...แค่สายตาก็ไม่ธรรมดาเลยนะ” หรงเล่อเงียบ…นางไม่พูดอะไรเลย แต่หน้าก็ยังแดงไม่เลิก


เว่ยเจีย มู่หง เดินจากไปอย่างสง่างาม…หากทว่ากลิ่นไอเย็นเยียบและความนิ่งสงบแฝงรังสีอันยากจะหยั่งรู้ยังคงลอยคลุ้งทิ้งไว้ในอากาศราวกับดอกลิลลี่กลางหิมะที่ไม่มีวันหลุดร่วง และหลินหยาที่หันมามองเพื่อนตัวเองก็พูดว่า… “หรงเล่อ เจ้าชอบผู้ชายแบบนี้เหรอ…?” ทันทีที่ถามหรงเล่อเงียบแต่หูแดงยันปลายผมแล้วจ้าตอนนี้ หรงเล่อที่ยืนหน้าแดงตลอดเวลาจนดูเหมือนจะระเบิดออกมาเป็นพวงองุ่นสุกคาตลาดอยู่แล้ว หันขวับมาแทบจะทันทีเมื่อหลินหยาเบิกตาโตแล้วเอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้างของนางแน่นปานจะสั่นไห้ให้สารภาพบาป “เจ้าชอบใช่ไหมล่ะ…! เจ้า…ชอบเขาแน่ ๆ ใช่ม้ายยย~” เสียงยืดยาวอย่างประหลาดใจอย่างแรงแฝงน้ำเสียงปั่นประสาทนั้นทำเอาหรงเล่อเบิกตาอย่างตระหนกปนเขิน อ้าปากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไงให้ไม่ดูโป๊ะแตก


หลินหยายิ่งเห็นสีหน้าแบบนั้นก็ยิ่งหัวเราะชอบใจ นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นกอดอก อีกข้างชี้จิ้มปลายจมูกเพื่อนสาว “หรงเล่อ! ข้าไม่เคยเห็นเจ้าทำหน้าแบบนี้มาก่อนเลยนะ เห็นแต่ตอนแอบจิกข้าตอนข้าแกล้งคนอื่น ไหงตอนเจอหนุ่มหล่อใส่แว่นหน้าหวานหล่อราวเทพบุตรถึงได้ลนเป็นไก่ตื่นแบบนี้ ฮะฮะฮะฮ่า~!”


“หยาหยาาา!” หรงเล่อกระซิบเสียงดุแต่หน้ากลับแดงหนักกว่าเดิม “เบา ๆ สิ คนเขาจะได้ยินหมด!” แต่หลินหยากลับยิ่งแกล้งนางเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์แล้วบอก “งั้นเจ้าพูดมาซะดี ๆ ว่าชอบ! พูดมาเลย จะได้บอกเถ้าแก่หน้าเลือดอย่างพ่อเจ้าให้เตรียมงานแต่ง!”


“หยาหยาาาา!” หรงเล่อแทบจะกระโดดใส่เพื่อปิดปากเพื่อนตัวเองในกลางตลาด นางทั้งขำทั้งเขินทั้งกลัวคนจะได้ยินจริง ๆ แถมยังกลัวไอ้เจ้าคนที่ถูกพูดถึงจะยังอยู่แถวนั้นอีก หลินหยาหัวเราะอย่างสะใจสุด ๆ ก่อนจะแกล้งทำหน้าจริงจัง จับไหล่เพื่อนเบา ๆ แล้วพูดว่า “แต่พูดจริงนะถ้าเจ้าชอบเขา ข้าจะสนับสนุนสุดใจเลยให้หอบของขวัญไปให้เองเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าอกหักเมื่อไหร่…เจ้ามีไหล่ข้าซบนะจ๊ะเพื่อนรัก…” หล่อนว่าแล้วก็ยื่นไหล่ให้หรงเล่อซบอย่างจริงจังพร้อมกับทำหน้ากรุ้มกริ่ม


หรงเล่อผลักไหล่หล่อนออกเบา ๆ “บ้าสิ! ข้าไม่ซบหรอก!” แล้วหมุนตัวเดินหนีแต่เสียงหัวเราะคิกคักของหล่อนก็ไล่ตามมาอย่างไม่มีวี่แววจะหยุด หลินหยาก็ยังคงเดินตามพลางฮัมเพลงอย่างคนอารมณ์ดีราวกับได้ล้วงความลับยิ่งใหญ่ของวังหลังมาเรียบร้อยแล้ว…เพียงแต่ความลับครั้งนี้คือหัวใจเพื่อนสาวคนสำคัญของนางที่กำลังเต้นแรงเพราะผู้ชายแว่นหน้าหวานผู้หนึ่งซื่อยู่สื่อผู้เด็ดขาดแห่งตระกูลเว่ยเจีย



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

มอบ น้ำเต้าหู้ ชาเกรดม่วง ความสัมพันธ์ +15

ชงชา ความสัมพันธ์ +5

—--

พบกับ [NPC ตัวประกอบ เว่ยเจีย มู่หง]

พบและพูดคุยกับ [NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ]

มอบ ขนมไหมฟ้า ขนมว่างเกรดทอง ให้ [NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ]

มอบ น้ำเต้าหู้(ชงชา) น้ำชาเกรดม่วง ให้ [NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ]

(เพิ่มเปอร์เซ็นต์ให้ผมเยอะ ๆ หน่อยสิ นี้รวมทั้งหมด +30 ค่าความสัมพันธ์เลยน๊าา)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ เพิ่มขึ้น 75 โพสต์ 2025-7-20 15:08
โพสต์ 79826 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 14:31
โพสต์ 79,826 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 14:31
โพสต์ 79,826 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 14:31
โพสต์ 79,826 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 14:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-21 18:23:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 18.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก (พบ เสี่ยวจ้าวจื่อ)


แดดยามโหย่วยามสายลมแผ่วพัดคลออบอวลไปทั่วถนนสิบลี้แห่งตลาดตะวันออก กลิ่นของผักสด เหล้าหอมและเนื้อย่างอบอวลเคล้ากับเสียงตะโกนเรียกลูกค้าอย่างคึกคักดั่งเคย แต่ในมุมหนึ่งของถนนนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งเดินฝ่าฝูงชนมาด้วยท่าทางระวังตัวยิ่งกว่าครั้งใด นางสวมเสื้อแขนยาวบางเบาทับเสื้อในอีกชั้น แม้จะเป็นฤดูร้อนก็ยังคงหาผ้าคลุมมาคลี่ปิดต้นคอไว้หลวม ๆ บางครั้งยังจงใจยกตะกร้าขึ้นสูงระดับไหล่เพื่ออำพรางคอด้านข้างที่มีรอยแดงฝังลึกจนนางแทบอยากขุดหลุมฝังตัวเอง


“บัดซบจริง ๆ...” หลินหยาพึมพำกับตนเองด้วยเสียงแผ่วต่ำ เมื่อแสงแดดสะท้อนรอยแดงนั้นออกมาวูบหนึ่งบนผิวเผือดของเธอแม้จะพยายามหลบเงาแล้วก็ตาม “คอข้าไม่ใช่แผ่นศิลานะเจ้าบ้าสวมหน้ากาก...จะกัดอะไรก็ให้มันรู้จักยั้งมือบ้าง!” นางเบ้ปากพร้อมถอนหายใจหงุดหงิดก่อนจะก้มหน้าเดินเร็วขึ้น เลือกเลี้ยวหลบซอกแผงลอยที่มีผ้าแขวนยาว และหยุดอยู่หน้าร้านผักสดร้านเดิม เจ้าของร้านกำลังพูดคุยเสียงดังกับลูกค้ารายอื่นไม่ทันสังเกตนางนัก


แต่ทว่า…


“แม่นาง...” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง หลินหยาเกือบสะดุ้งถอยหลังเผลอจับคอเสื้อแน่นด้วยความระแวง ก่อนจะหันไปแล้วพบใบหน้าคุ้นเคยของเด็กหนุ่มผิวสะอาดตา ใส่เสื้อผ้าธรรมดาแบบขันทีผู้น้อยแต่เรียบร้อยข้างตัวหิ้วถุงผ้าใบหนึ่ง เสี่ยวจ้าวจื่อนั้นเอง


“อ้าว..ท่านเสี่ยวจ้าวจื่อ...มาทำอะไรที่นี่หรือ? อ้อซื้ออาหารและวัตถุดิบเหมือนเดิมใช่ไหม?” เสียงหลินหยาพยายามปรับให้ราบเรียบแต่อายเล็กน้อยกับความลนลานของตนเมื่อครู่ “ข้ามาซื้อพริกหอมกับรากบัวกลับไปให้คนครัวในห้องครัวหลวงขอรับ” เขาตอบพลางยิ้มอ่อนโยนตามปกติ ก่อนจะชะงักสายตาไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นผ้าคลุมคอของหลินหยาดูไม่เหมาะกับฤดูนัก สายตานั้นไม่ได้ล่วงเกิน แต่มันทำให้หลินหยาร้อนวูบวาบจนต้องเบือนหน้าไปอีกทาง “ข้าแค่...เป็นหวัดนิดหน่อยน่ะ ก็เลยกันลมนิดเดียว ไม่อยากให้คออักเสบ”


“อืม...เช่นนั้นหรือขอรับ” เขายิ้มให้ ไม่ซักไซ้มากความ “ดูแม่นางยังมีสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย...หากไม่ว่าอะไร ข้าช่วยถือของก็ได้นะ”


“ข้า...ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า” หลินหยาบ่นแกมหัวเราะเบา ๆ แต่ก็ยื่นถุงอาหารที่ดูเหมือนกับว่าจะหนักกว่าถุงอื่นส่งไปให้เขาอย่างหมดท่า “ถ้าท่านจะช่วยละก็...ถือแค่ถุงนี้พอ เดี๋ยวหลังข้าจะเอียง” เสี่ยวจ้าวจื่อรับถุงมาอย่างนุ่มนวลพร้อมพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ ว่าแต่แม่นางจะกลับจวนเล็กหรือ? ข้าพอจะว่างเดินไปส่งได้นะขอรับ”


หลินหยาชะงักเล็กน้อย มองรอบกายอย่างลน ๆ ว่ามีใครเห็นไหม ก่อนจะกระแอมแล้วตอบ “ก็ได้...แต่เดินห่างกันหน่อยล่ะ เดี๋ยวจะมีใครคิดว่าท่านคือ…”


“คะ…คนรักแม่นางหรือขอรับ?” เขาพูดแทรกด้วยน้ำเสียงใสซื่อแต่ก็เหมือนจะเก่อเขินนิดหน่อย


“ปะ เปล่า! ข้าหมายถึง...เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิด…เอาเถอะ…ท่านเป็นขันทีคงไม่เป็นอะไร…ไม่สิ…เป็นนี้หว่า” หลินหยาแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตาย เอาตรง ๆ เธอก็ค่อนข้างเครียดเหมือนกัน สำหรับหลินหยาแล้วจางกงกงก็เหมือนกับหมาหวงก้างที่ใครจะมายุ่งกับเธอก็ดูจะโดนหางเลขไปเสียหมด แต่อย่างน้อยเสี่ยวจ้าวจื่อเป็นคนของครัวหลวง ถึงจะเป็นขันทีก็เถอะ  เสี่ยวจ้าวจื่อหลุดหัวเราะเสียงเบา นุ่มนวลและอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ตกกระทบผิวน้ำในบ่ายวันนั้น "ขอรับ เช่นนั้นข้าจะเดินข้างหลัง...ห่างสามก้าวพอดี"


และระหว่างทั้งสองคนเดินลัดเลาะออกจากตลาดตะวันออกนั้น รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ แม้ไม่เอ่ยคำใด...กลับเต็มไปด้วยความหมายที่มากพอจะบรรเทาร้อนในหัวใจที่ซุกซ่อนใต้ผ้าคลุมนั้นได้บ้าง แม้เพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม แดดช่วงท้ายยามโหย่วยังคงอ่อนแสงและเปล่งประกายไล้ผ่านหลังคาเรือนและยอดต้นไม้ริมทาง ระหว่างทางจากตลาดถึงบ้านหลังเล็กของคุณชายอันเล่อนั้นทั้งสองคนเดินเคียงกันไปด้วยจังหวะที่ไม่เร่งรีบ สลับเสียงฝีเท้ากับเสียงลมหายใจเบา ๆ


หลินหยาที่แม้ดูเงียบลงจากอาการกระวนกระวายใจเมื่อตอนอยู่ในตลาด แต่กลับดูผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ ระหว่างที่ฟังเสียงของเสี่ยวจ้าวจื่อเอ่ยเรื่องการตุ๋นซุปให้หอมกลมกล่อมแบบที่ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงมากมายหรือเทคนิคการผัดให้ผักเขียวสดโดยใช้ไฟแรงช่วงต้นแล้วลดทันที นางก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขาเป็นระยะ "ท่านรู้เรื่องอาหารเยอะจังเลยนะ..." หลินหยาเอ่ยขึ้นเบา ๆ ขณะยกมือทัดปอยผมที่ปรกใบหน้าดวงตาทอแสงประหลาดแบบที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัว


“เล็กน้อยขอรับอาจารย์ที่สอนวิชาข้าเพียงเล็กน้อยท่านเคยบอกว่า...แม้แต่น้ำซุปก็เหมือนการฝึกใจขอรับ หากใจว้าวุ่นเกินไปน้ำจะขุ่นก่อนเดือด” เขาตอบด้วยรอยยิ้มบางแต่แน่วแน่ “อาหารที่ดีจึงควรมาจากจิตใจที่สงบก่อนจะลงมือทำ...แม่นางลองดูนะขอรับ”


หลินหยาพยักหน้าช้า ๆ ปลายปากแอบระบายยิ้ม “ข้าก็มีเมนูในใจนะเช่นข้าวหน้าปลาเค็ม...เผื่อวันใดอยากประชดใครขึ้นมา”


“แม่นางประชดใครบ่อยหรือขอรับ?” เขาเอียงคอถามอย่างจริงจัง ใบหน้าซื่อตรงจนหลินหยาอดกลั้นหัวเราะไว้แทบไม่ได้


“นิดหน่อยน่ะ ข้ามีคนที่อยากเอาน้ำซุปเย็น ๆ ราดหน้าเขาอยู่พอสมควรเหมือนกันถ้าไม่นับคนอื่นที่เอาน้ำร้อนราดแหละนะ” นางหัวเราะในลำคอเบา ๆ และนั่นคือช่วงเวลาที่แสนสั้นแต่กลับเต็มไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำได้ ในที่สุด เมื่อเดินถึงหน้าประตูบ้านหลังเล็กใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เสียงนกร้องเบา ๆ ข้างเรือนขับกล่อมความเงียบให้ไม่ว่างเปล่าจนเกินไป หลินหยาหยุดก้าวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มจาง ๆ ให้เขา


“ถึงแล้วล่ะ ขอบคุณนะที่เดินมาส่ง”


เสี่ยวจ้าวจื่อยื่นถุงคืนให้อย่างนุ่มนวลพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย “หากพรุ่งนี้แม่นางจะไปตลาดอีก ข้าก็...คงอยู่แถว ๆ นั้นเช่นกันขอรับ” เขาเอ่ยบอกหลินหยาเช่นนั้นเพราะตนเองก็มาที่นั้นทุกวัน “หึ อย่ามาแกล้งบังเอิญเจอกันนะ” หลินหยาขยิบตาข้างหนึ่งท่าทางน่าหมั่นไส้จนเขาต้องหลุดยิ้ม “เช่นนั้น...แม่นางพักผ่อนให้เพียงพอ ข้าจะกลับแล้วขอรับ” ยังไม่ลืมทิ้งความใจดีที่หลินหยาบอกว่าป่วย แม้มันจะเป็นเรื่องโกหกก็ตามที


“อืม เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ เจอกันรอบหน้านะเสี่ยวจ้าวจื่อ” นางโบกมือเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าประตูไปในที่สุด 


เมื่อประตูบานไม้ปิดลงเสียงฝีเท้าของเสี่ยวจ้าวจื่อจึงค่อย ๆ หายไปจากลานหน้าบ้าน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของฟางแห้งแดดบ่ายและความอุ่นบาง ๆ ที่ยังไม่จางจากฝ่ามือของหญิงสาวที่ถือถุงอาหารเมื่อครู่นั้นบางสิ่งที่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่กลับอิ่มเอมอย่างประหลาดในอก มันคงเป็นมิตรภาพอีกครั้งที่หลินหยาเป็นคนสร้างขึ้น



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออออออมาหาความไม่วุ่นวายใจ


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point




แสดงความคิดเห็น

+2 Point แล้ว และชำระล้าง EXP ของคุณ  โพสต์ 2025-7-21 20:33
โพสต์ 33288 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-21 18:23
โพสต์ 33,288 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-21 18:23
โพสต์ 33,288 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-21 18:23
โพสต์ 33,288 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-21 18:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ตลาดตะวันออก (พบ เสี่ยวจ้าวจื่อ)


เมื่อแสงแดดคล้อยต่ำลงลูบไล้ปลายหลังคาเรือนอย่างอ้อยอิ่ง ถนนสิบลี้ก็คลาคล่ำด้วยผู้คนที่เริ่มทยอยออกมาจับจ่ายหลังแสงแดดร้อนแรงของกลางวันลาลับ เสียงพ่อค้าแม่ค้าเริ่มโหวกเหวกคึกคัก กลิ่นอาหารทอดในน้ำมันเก่า ๆ ปะปนกับกลิ่นหอมหวานของซาลาเปาไส้งาทอดร้อน ๆ โชยแตะจมูกพลางปลุกความหิวของผู้สัญจรให้กระเพื่อมไหว หญิงสาวผู้สวมชุดสาวใช้เรียบง่ายเดินเบียดไหล่ผู้คนผ่านฝูงชนไปเงียบ ๆ ใบหน้าแดงก่ำของเธอไม่ใช่เพราะอากาศฤดูร้อน แต่เป็นเพราะอีกสิ่งหนึ่งที่ยังตราตรึงในหัวใจ และ...ในผิวเนื้อ


“บ้าบอที่สุด...”


เธอกัดฟันแน่น พึมพำอย่างขัดเคืองตัวเอง ดวงตาคู่งามหรี่ลงราวกับพยายามไล่ภาพความทรงจำอันร้อนฉ่าที่พาดผ่านมาในหัว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ภาพสายตา เสียงหายใจ และริมฝีปากของบุรุษผู้นั้นก็ยังไม่ยอมจางไปจากสมอง


“จางกงกง...ท่านมันบ้าที่สุดเลย” มือเรียวกำชายแขนเสื้อแน่นอย่างหงุดหงิดในขณะที่ฝีเท้าก็ยังคงก้าวเรื่อยตรงไปยังตลาดตะวันออก ที่นั่นในมุมหนึ่งของแผงร้านขายผักสดที่ปูเสื่อไม้ไผ่รองผักกาดเขียวอ่อนจนเขียวสะดุดตา มีร่างเล็ก ๆ คุ้นเคยกำลังก้มหน้าก้มตาจัดเรียงหัวผักอยู่ในกระบุงข้างคนขาย แม้จะไม่ได้แต่งเครื่องแบบข้าราชการ แต่ท่าทางขยันขันแข็ง อ่อนน้อมถ่อมตน และใบหน้านิ่ง ๆ อย่างเด็กชายที่ไม่กล้าสบตาใครก็ทำให้เธอจำได้ในทันที


"เสี่ยวจ้าวจื่อ?"


เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อถูกเรียกออกมาจากฝูงชน เขาหันขวับทันที มือรีบหยุดการขยับทันใด ใบหน้าเรียวเล็กสะอาดสะอ้านที่เริ่มมีเหงื่อเกาะขึ้นบาง ๆ ปรากฏความตกใจผสมกับดีใจอยู่ในแววตา “แม่นางหลินหยา...เอ่อ...ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ...?” เสียงของเขาเบาและนอบน้อม ยังคงแฝงความประหม่าตามนิสัยเดิมที่เธอจำได้ดี เด็กคนนี้ไม่เปลี่ยนเลย


“ข้าแค่ผ่านมาแถวนี้น่ะเจ้าค่ะ...” หลินหยาตอบขณะเดินเข้าไปใกล้ ดวงตายังแดง ๆ อยู่จากความอับอายโกรธเขินเมื่อครู่ และยังพยายามเก็บสีหน้าที่พาให้ใจวูบวาบเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อตอนบ่าย “เจ้านี่นะ ออกมานอกวังได้แล้วเหรอ?”


เสี่ยวจ้าวจื่อยิ้มเก้อ ๆ ขณะก้มหัวรับ “ขอรับ...วันนี้ขออนุญาตออกมาเอาวัตถุดิบที่ร้านเจ้าประจำให้โรงครัวหลวงน่ะขอรับ ข้าน้อยเลยถือโอกาสช่วยขนผักให้ก่อนจะกลับ...”


“อืม...เจ้านี่ใจดีเกินไปแล้ว” เธอกล่าวพลางก้มมองตะกร้าใส่ผักที่เรียงอยู่ หัวไชเท้า ผักบุ้ง น้ำเต้าสด ล้วนสะอาดหมดจดจนดูแปลกตาสำหรับผักตลาดทั่วไป


เสี่ยวจ้าวจื่อเงียบไปสักพัก ก่อนจะถามขึ้นเบา ๆ เพราะเห็นใบหน้าของหลินหยา “แม่นาง...ข้า...เอ่อ ข้ารู้วิธีทำซุปกระดูกใส...หากว่างข้าจะทำให้ท่านกินดีหรือไม่?” หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย “หือ? เดี๋ยวนี้กล้าพูดเสนอออกมาด้วยตัวเองแล้วรึ?” แก้มของเสี่ยวจ้าวจื่อขึ้นสีแดงจาง ๆ ขณะยิ้มเขิน ๆ เงยหน้าอย่างกล้าหาญนิดหน่อยแต่ก็ยังหลุบตาอยู่ดี


“...ก็เพราะอยากให้แม่นางหายเหนื่อยจากเรื่องที่ดูเหมือน...ไม่ค่อยดีนักในวันนี้น่ะขอรับ” เสี่ยวจ้าวจื่อที่เพิ่งกล้าพูดออกไปว่าตนอยากให้หลินหยาหายเหนื่อยจากเรื่องที่ดูไม่ค่อยดีนักในวันนี้ ก็กำลังยิ้มเขิน ๆ อย่างภูมิใจเล็กน้อยที่กล้ากล่าวถ้อยคำนั้นออกมาได้เต็มประโยคเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ทันใดนั้นเอง… "อะ…อ๊ะ...!" เขาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของหลินหยาเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ทันที


ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างริมฝีปากเผยอราวกับตกใจสุดขีด ใบหน้าขาวจัดเริ่มแดงจัดขึ้นทีละน้อย ไล่จากพวงแก้มทั้งสองข้างจนลามไปถึงใบหู ราวกับเลือดทั้งหมดในร่างพุ่งขึ้นมาที่ศีรษะเพียงจุดเดียว มือข้างหนึ่งของนางรีบยกขึ้นปิดปากตนเองอย่างตื่นตระหนก ดวงตากะพริบถี่ ๆ เหมือนคนพยายามลบความคิดบางอย่างทิ้งไปให้เร็วที่สุด "บะ...บะ...บ้าบอที่สุด!" นางพึมพำเบา ๆ ติด ๆ ขัด ๆ กับตนเองก่อนจะหลุบตาลงต่ำ ท่าทางเหมือนคนกำลังระเบิดจากแรงเขินและความคิดอัปมงคลที่ปะทุขึ้นมาไม่หยุด


"อึก...ออกไปจากหัวข้าเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เสียง ไอ้ริมฝีปากนั่น...ไอ้คนบ้ากาม ไอ้จางกงกงบ้านั่น!!" หลินหยายกมือขึ้นปัดอากาศแรง ๆ เหมือนกำลังไล่หมอกพิษหรือฝูงยุงที่ลอยวนอยู่รอบหัวตัวเองอย่างเสียสติ สายตาวูบไหวไปมา ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะสั่นนิด ๆ เพราะพยายามไม่ให้แสดงอาการชัดเจนเกินไป


เสี่ยวจ้าวจื่อที่มองเห็นอาการทั้งหมดนั้น ใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปเช่นกัน—แต่เป็นสีหน้าของคนที่เริ่มตื่นตกใจสุดขีด "มะ...แม่นางหลินหยา...!? ท่าน...ท่านไม่สบายหรือเปล่าขอรับ!?" เขารีบวางตะกร้าผักแล้วควักผ้าเช็ดหน้าผืนบางจากแขนเสื้อออกมายื่นให้ทันที แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยจนสั่นงันงกมือที่ยื่นให้ก็สั่นเล็กน้อยเพราะกลัวว่าทำอะไรผิดโดยไม่รู้ตัว "ท่าน...ท่านดูหน้าแดงจัดมากเลยนะขอรับ!? เอ่อ...อย่าบอกนะว่า...เป็นไข้แดด!? หรือว่า...เป็นลมแดด!? หรือ...หรือ...โดนพิษเร่าร้อนของ...พริกฮวาเจียวจากร้านข้างทาง!?"

 

“ไม่ใช่!!!” หลินหยาร้องสวนเสียงสูงพลางแย่งผ้าเช็ดหน้าเขามาเช็ดหน้าตนเองแบบมั่ว ๆ ก่อนจะยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นแล้วกรีดร้องในใจรอบที่ห้าสิบเจ็ดภายในวันเดียว เสี่ยวจ้าวจื่อยิ่งลนลานใหญ่ ตาทำท่าจะปิดลงอยู่แล้วเพราะเขินตาม เขาก้มหัวคำนับเร็ว ๆ หลายที “ขะ...ข้าน้อยขออภัยขอรับ! ข้าน้อยคงพูดอะไรผิดอีกแล้วแน่ ๆ! ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านโกรธหรือ...หรือ...หน้าแดงนะขอรับ!”


หลินหยาหันขวับไปมองเขาทันทีด้วยสายตาเหมือนคนที่โดนแทงใจดำสุดแรง "ขะ...ข้าเปล่าหน้าแดงเพราะเจ้านะ!!"


"ข้าน้อยไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะขอรับ!" เสี่ยวจ้าวจื่อรีบโบกมือพรืบ ๆ หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศไปเรียบร้อย "ข้าน้อยแค่...แค่ห่วง!" ทั้งสองยืนประจันหน้ากันในท่ามกลางตลาดตะวันออกที่ผู้คนเริ่มมองมาด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสาวใช้หน้าสวยกับเด็กชายผู้น่ารักตรงหัวมุมถนน ท้ายที่สุด เสี่ยวจ้าวจื่อก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ พลางพูดเสียงอ้อมแอ้ม


“ข้าว่า…ข้าต้องไปซื้อผักต่อแล้วล่ะขอรับ…แม่นางหลินหยารีบไปพักก่อนที่จะเป็นลมเถอะขอรับ!” พูดจบก็วิ่งหนีหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทิ้งหลินหยาไว้กับความเดือดดาลในหัวใจและหัวที่ยังมีภาพลามกนั่นวนซ้ำไปมาอยู่ไม่หยุด…




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: วุ่นวายกว่าเดิมอีกรอบนี้


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 31095 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 31,095 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 31,095 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 31,095 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 19 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามเหม่า (เวลา 05.00 - 07.00 น.)



เช้าตรู่ ณ เมืองฉางอัน แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สาดส่องต้องหลังคาอาคารโรงหมอเจิ้งเทียน ขับไล่ความมืดมิดของราตรีกาลให้จางหายไป ซูเหยาในชุดเรียบง่ายสะอาดตา ก้าวออกมาจากโรงหมอเจิ้งเทียน สูดอากาศยามเช้าที่บริสุทธิ์เต็มปอด เสียงจอแจของผู้คนที่เริ่มออกค้าขายและจับจ่ายใช้สอยดังแว่วมาเป็นระยะ นางไม่รอช้า มุ่งหน้าไปยังตลาดตะวันออก ระหว่างทางชาวบ้านที่ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมหุงหาอาหาร และผู้คนที่กำลังเดินทางไปตลาด ต่างทักทายซูเหยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและให้ความเคารพในฐานะหมอ นางโค้งกลับพร้อมเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน


ตลาดตะวันออกในยามเช้าคึกคักไปด้วยผู้คน ซูเหยาเดินเลือกซื้อวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน สายตากวาดมองหาสมุนไพรสดและเครื่องเทศที่จำเป็นสำหรับปรุงยาและเตรียมอาหารในโรงหมอ มือเรียวเลือกหยิบขิงแก่ เห็ดหลินจือสด และพุทราจีนแห้งใส่ตะกร้า


ระหว่างทางที่เดินผ่านแผงขายผัก นางได้ยินเสียงแม่ค้าเจ้าของแผงบ่นเบา ๆ 


"โอ๊ย... ปวดเอวเหลือเกิน สงสัยเมื่อคืนนอนผิดท่า"


ซูเหยาหยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย ยิ้มให้แม่ค้าอย่างเป็นมิตร 


"อาการปวดเอวเกิดได้หลายสาเหตุเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะการยืนนาน หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม ท่านลอง ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นบ่อย ๆ ดูนะเจ้าคะ จะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น และลองดื่มน้ำขิงต้มอุ่น ๆ เป็นประจำ ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดีเจ้าค่ะ"


"ขอบคุณท่านหมอหญิงมากเจ้าค่ะ ข้าจะลองทำตามที่ท่านว่าดู" แม่ค้ายิ้มกว้าง


ซูเหยาเดินต่อมายังแผงขายปลา แม่ค้าอีกรายบ่นขึ้นมาว่า 


"ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ข้ารู้สึกไม่สบายตัวเลย ไอแห้ง ๆ มาหลายวันแล้ว"


"อาการไอแห้ง ๆ มักเกิดจากความร้อนภายในร่างกาย หรือปอดแห้งเจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบพร้อมรอยยิ้ม “ท่านป้าควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและของทอด ดื่มน้ำอุ่นให้มาก ๆ และลอง จิบน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น หรือ อมมะขามป้อมดูนะเจ้าคะ จะช่วยให้ชุ่มคอและลดอาการไอได้ดีเจ้าค่ะ"


“ขอบคุณท่านหมอหญิงมากเจ้าค่ะ”


จากนั้นไม่นานไต้ซือจื่อหลิงในชุดจีวรสีเทา ก็เดินถือบาตรผ่านมายังตลาดตะวันออกอย่างเช่นทุกวัน เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของท่านดังก้าวเข้ามาใกล้ ซูเหยาซึ่งกำลังเลือกซื้อผักอยู่พอดี เมื่อเห็นไต้ซือจื่อหลิงก็รีบวางตะกร้าลง และจัดเตรียมไก่ขอทานและชาเบญจมาศที่ตั้งใจจะใส่บาตรให้ท่าน


"นมัสการเจ้าค่ะไต้ซือ" ซูเหยาเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ด้วยความเคารพ


ไต้ซือจื่อหลิงพยักหน้ารับเล็กน้อย ดวงตาเปี่ยมด้วยความเมตตาจ้องมองมาที่ซูเหยา 


"อรุณสวัสดิ์โยมซู วันนี้ดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษนะ"


"เจ้าค่ะ วันนี้อากาศยามเช้าดีนัก ผู้คนก็คึกคัก ทำให้ข้าน้อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากเลยเจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบพร้อมรอยยิ้ม "ไต้ซือเหน็ดเหนื่อยกับการบิณฑบาตทุกวันหรือไม่เจ้าคะ?"


"การเดินทางคือการฝึกฝน สังขารย่อมต้องรับรู้ถึงความเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา แต่ใจที่สงบย่อมช่วยบรรเทาได้" ไต้ซือจื่อหลิงกล่าวพลางส่งรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน 


ซูเหยาค่อย ๆ บรรจงนำอาหารใส่ลงไปในบาตรให้ท่าน จากนั้นก็หยิบชาเบญจมาศที่เตรียมไว้ใส่ตามลงไป 


"ข้าน้อยได้เตรียมชาเบญจมาศไว้ให้ไต้ซือเจ้าค่ะ สรรพคุณของชาเบญจมาศคือช่วยบำรุงสายตา ทำให้จิตใจสงบ และช่วยขับพิษร้อนในร่างกาย เผื่อไว้ดื่มบำรุงธาตุในกายจะได้มีแรงออกบิณฑบาตทุกวันเจ้าค่ะ"


ไต้ซือจื่อหลิงยิ้มรับ 


"ขอให้บุญกุศลนี้จงส่งผลให้โยมมีแต่ความสุข ความเจริญ และมีปัญญาเฉลียวฉลาดในการรักษาผู้คนต่อไป"


"สาธุเจ้าค่ะไต้ซือ" ซูเหยายกมือไหว้อีกครั้ง


"ช่วงนี้โยมเห็นชาวบ้านในเมืองเป็นอย่างไรบ้างโยมซู?" ไต้ซือจื่อหลิงถามด้วยน้ำเสียงเมตตา


"ก็มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปเจ้าค่ะไต้ซือ" ซูเหยาตอบพลางยิ้ม "ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบได้บ่อยตามฤดูกาล อย่างอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้บางคนเป็นหวัด ไอ หรือปวดเมื่อยตามตัวเจ้าค่ะ"


"อาตมาก็เห็นเช่นนั้น" ไต้ซือพยักหน้าเห็นด้วย "ระหว่างทางบิณฑบาต อาตมาได้ยินชาวบ้านบ่นเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นบ้าง สินค้าบางอย่างก็หายากขึ้น ทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อปากท้อง"


"จริงเจ้าค่ะไต้ซือ" ซูเหยาเสริม "ที่โรงหมอเจิ้งเทียนเองก็มีผู้ป่วยบางรายที่มาด้วยอาการอ่อนเพลียจากการทำงานหนัก หรือความเครียดจากการแบกรับภาระครอบครัว ข้าน้อยก็ได้แต่ให้คำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพกายและใจควบคู่กันไปเจ้าค่ะ"


"นั่นสินะ" ไต้ซือจื่อหลิงถอนหายใจแผ่วเบา "ชีวิตของชาวบ้านนั้นไม่ง่ายเลย การรักษากายก็สำคัญ แต่การรักษาใจให้เข้มแข็งยิ่งสำคัญกว่า อาตมาหวังว่าโยมจะช่วยเป็นที่พึ่งทั้งกายและใจให้แก่พวกเขาได้"


ซูเหยารับคำด้วยสีหน้าตั้งใจ 


"ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ โรงหมอเจิ้งเทียนยินดีต้อนรับผู้คนทุกชนชั้น ทุกข์กายหรือทุกข์ใจก็พร้อมให้ความช่วยเหลือเจ้าค่ะ"


ไต้ซือจื่อหลิงยิ้มอย่างเมตตาอีกครั้ง ก่อนจะยกบาตรขึ้นและก้าวเดินต่อไปอย่างสงบ ซูเหยายืนมองตามหลังท่านจนลับสายตา หัวใจของนางเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


นางกลับมาสนใจการเลือกซื้อผักและสมุนไพรอีกครั้ง สายตากวาดมองเห็นผักกาดขาวสดกรอบ กะหล่ำปลีเนื้อแน่น และถั่วฝักยาวสีเขียวอ่อน ดูน่ารับประทานยิ่งนัก ขณะที่กำลังเลือกผักอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังพูดคุยกับแม่ค้าแผงข้างๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง


"ท่านแม่ข้าเวียนหัวเหลือเกิน เมื่อคืนก็หลับไม่สนิท ปวดหัวตุบ ๆ มาทั้งคืนเลย"


ซูเหยาหันไปมอง เห็นเด็กหนุ่มใบหน้าซีดเซียว ดวงตาโรยรา แม่ค้าผู้เป็นมารดาก็กำลังใช้มือลูบหัวลูกชายด้วยความเป็นห่วง


"อากาศช่วงนี้มันร้อนอบอ้าวเหลือเกิน ลูกคงจะเพลียแดดน่ะ" แม่ค้าพูดพร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางซูเหยา


ซูเหยายิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน 


"อาการเวียนศีรษะ ปวดหัว และนอนไม่หลับนั้น อาจเกิดจากความร้อนสะสมในร่างกายเจ้าค่ะ" นางกล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ "ท่านน้าลองให้ลูกชายดื่มน้ำเก๊กฮวยเย็น ๆ หรือน้ำใบบัวบกก็จะช่วยดับร้อนได้ดีเจ้าค่ะ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกไปกลางแดดจัด ๆ นะเจ้าคะ"


เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างซึม ๆ ซูเหยาหยิบขิงสดที่ซื้อมาแล้วออกมาจากตะกร้า


"นี่ขิงแก่เจ้าค่ะ" ซูเหยาบอกกับแม่ค้า "ลองเอาไปต้มกับน้ำตาลกรวดให้ลูกชายดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอนดูนะเจ้าคะ จะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น คลายความเมื่อยล้า และช่วยให้หลับสบายขึ้นด้วยเจ้าค่ะ"


แม่ค้าและเด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความซาบซึ้งใจ 


"ขอบคุณท่านหมอหญิงมากเจ้าค่ะ ขอบคุณจริง ๆ"


ซูเหยาโค้งรับเล็กน้อยก่อนจะเดินเลือกซื้อของต่อ วันนี้นางได้ทั้งวัตถุดิบคุณภาพดีและยังได้แบ่งปันความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับผู้คนในตลาดอีกด้วย เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงจอแจของตลาดตะวันออกในยามเช้า ยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก แต่ในความคึกคักนั้น กลับแฝงไปด้วยเรื่องราวของผู้คน ความห่วงใย และน้ำใจที่ซูเหยาได้มอบให้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหมอหญิงแห่งเมืองฉางอัน และเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจของนางให้เปี่ยมสุขยิ่งขึ้น


เมื่อได้ของครบถ้วนแล้ว ซูเหยาก็หิ้วตะกร้าที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่กลับโรงหมอเจิ้งเทียนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมใจ แสงแดดยามเช้าสาดส่องแรงขึ้นเล็กน้อย ส่องประกายกระทบใบหน้าของนางดูสดใสราวกับดอกเหมยแรกแย้ม



ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10



[NPC-21] มอบ ไก่ขอทาน และ ชาเบญจมาศ ให้ ไต้ซือจื่อหลิง

+25 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดทอง + ชาหรือสุราก็ได้ (+5)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

ไต้ซือหัวใจตันสี่ดวงแล้ว  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 45 โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 24892 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 24,892 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 24,892 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้