เจ้าของ: Watcher

[ตลาดตะวันออก]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-9-4 07:43:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย XueXi เมื่อ 2025-9-4 07:46

วันที่ 04 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11


เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังลอดมาตามระเบียงไม้แคบ ๆ ของหอว่านหงเหริน ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่ส่องลอดหน้าต่างกระดาษบาง เสวี่ยซีก้าวช้า ๆ ออกจากห้องรับแขก ร่างกายยังอ่อนแรงจากคืนก่อน ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากไร้สีเลือด ทว่าหัวใจกลับเจ็บร้าวมากกว่าความเหนื่อยล้าใด ๆ

ทันทีที่เขาปรากฏตัว กลุ่มนายโลมและนางโลมซึ่งกำลังแต่งหน้าทาปากอยู่ตรงโถงกลางก็หันมาพร้อมสายตาเหยียดหยาม

“อ้าว คุณชายหน้าใหม่ผู้เป็นที่โปรดปรานของเถ้าแก่เสียจริง” หญิงสาวผู้หนึ่งหัวเราะพลางปัดพัดด้ามงามในมือ “แม้เมื่อคืนเสียงร้องเจ้าจะดังลั่นไปทั้งหอ แต่วันนี้ยังกล้าหน้าใส่มาเดินอยู่ได้”

อีกคนหนึ่งนายโลมร่างโปร่ง สวมชุดผ้าไหมสีเขียวเข้มก้าวเข้ามาใกล้ ยกนิ้วแตะคางเสวี่ยซีพลางเอียงหน้า “หน้าตาเจ้าช่างสะอาดเกินไป เหมือนลูกนกที่เพิ่งหลงทางมา ไม่สมกับที่อยู่ในหอว่านหงเหรินแม้แต่น้อย”

เสียงหัวเราะตามมาเป็นระลอก คล้ายฝูงอีกาที่โอบล้อมเหยื่ออ่อนแอ เสวี่ยซีหลบสายตา ก้มหน้าเงียบ ๆ ไม่โต้ตอบ มือบางกำชายเสื้อแน่นจนสั่น

หญิงอีกคนยกถุงผ้าใบหนึ่งโยนมาชนอกเสวี่ยซี

ตุบ!

“ออกไปซื้อของมาให้ข้าเครื่องหอมกลิ่นจันทน์และผงแป้งขาว ส่วนเจ้าเสี่ยวหง” นางหันไปเรียกอีกคน “เจ้าก็สั่งให้เขาไปซื้อสุราดอกท้อเสีย”

นายโลมชุดเขียวหัวเราะเสริม “ข้าอยากได้ผลท้อแห้งจากร้านตรงหัวมุมตลาด เจ้าก็ซื้อมาให้ด้วยล่ะ อย่าได้ลืม!”

ถุงผ้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อแต่ละคนยัดเหรียญเงินและคำสั่งซื้อต่าง ๆ ลงไป ราวกับตั้งใจถ่วงให้เขาเดินไม่ไหว

“ถ้าซื้อผิดมาข้าจะฟ้องเถ้าแก่ ว่าเจ้าแอบเก็บเงินไว้เอง” เสียงนางโลมคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างเจตนาแกล้ง

เสวี่ยซีกัดริมฝีปาก ยกถุงผ้าขึ้นแนบอกโดยไม่อาจปฏิเสธ เขารู้ดีว่าแม้แต่สิทธิ์เล็กน้อยที่สุดก็ไม่เหลืออีกแล้ว หากขัดคำสั่ง ก็จะถูกลงโทษร้ายแรงยิ่งกว่าการเยาะเย้ยถากถาง


เสวี่ยซีออกจากหอในยามสาย ดวงตาสีอำพันทอดต่ำ ร่างสูงโปร่งในชุดผ้าเนื้อหยาบที่หอให้สวมใส่ชุดสีหม่นปราศจากลวดลายใด ๆ ตัดกับผิวขาวซีดจนดูเหมือนคนเคราะห์ร้ายผู้หนึ่ง

เมื่อมาถึงตลาดฉางอัน ภาพตรงหน้าช่างพลุกพล่านราวคลื่นทะเล ผู้คนเบียดเสียดทั้งพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้าน เสียงตะโกนขายของดังระงม

“ผ้าแพรลายดอกสดใหม่จากซูโจว!”
“ผลไม้สด ๆ วันนี้ราคาถูกนัก!”
“หมี่ร้อน ๆ เพิ่งลวกเสร็จ รสชาติหอมหวน!”

กลิ่นอาหารคละคลุ้ง ทั้งหอมเครื่องเทศและคาวปลา ผสมเสียงตีเหล็กจากร้านช่างตีดาบ เสียงเด็กวิ่งเล่น และเสียงขลุ่ยจากนักแสดงข้างทาง ทุกสิ่งปนเปจนวุ่นวาย

เสวี่ยซีโอบถุงผ้าแนบอก เดินอย่างระวังเขาหยุดหน้าร้านเครื่องหอม ซื้อกำยานจันทน์ตามที่ถูกสั่ง เมื่อเจ้าของร้านยื่นถุงเล็ก ๆ ให้เสวี่ยซีก็รีบรับพลางก้มศีรษะ “ขอบคุณขอรับ” น้ำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

จากนั้นเขามุ่งไปยังร้านขายผลไม้หยุดซื้อผลท้อแห้ง เจ้าของร้านหญิงชรากวาดตามองเขาอย่างสงสัย ราวกับแปลกใจว่าหนุ่มรูปงามเช่นนี้ไยมาเดินตลาดคนเดียวในสภาพหม่นหมองเช่นนี้ แต่เสวี่ยซีเพียงยื่นเหรียญเงียบ ๆ แล้วรีบก้มหน้าเดินจากไป

เหงื่อผุดเต็มขมับแม้อากาศไม่ร้อนนัก แต่แรงกดดันจากสายตาผู้คนรอบข้างทำให้เขาหายใจติดขัด ราวกับตนเป็นตัวประหลาดที่ไม่ควรอยู่ตรงนี้


เมื่อเสวี่ยซีเดินเลี้ยวไปตามตรอกหนึ่งเพื่อหาทางกลับหอ กลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนโผล่มาดักหน้า พวกมันแต่งกายสกปรก ตาแดงก่ำกลิ่นสุราตลบ หนึ่งในนั้นหัวเราะเสียงห้าว “โอ้โห มาคนเดียวเสียด้วย”

เสวี่ยซีถอยหลังทันที มือกอดถุงผ้าแนบอกแน่น

“รีบเอามาให้ข้าดี ๆ เสีย ของที่เจ้าแบกอยู่นั่น ข้าจะเอาไปเลี้ยงพรรคพวก” ชายร่างใหญ่เอื้อมมือหมายคว้าถุง

“ไม่...ไม่ได้ นี่ไม่ใช่ของข้า ข้าแค่—”

ไม่ทันจบคำหมัดหนักก็ต่อยเข้าที่ท้อง เสวี่ยซีทรุดลงกับพื้น หายใจติดขัดถุงผ้าหล่นไปข้างเท้าพวกอันธพาลแย่งไปอย่างง่ายดาย

“หึ เจ้าหนุ่มตาดี รูปร่างก็ดี...แต่เสียดาย มันไม่ใช่ที่สำหรับเจ้า” ชายอีกคนหัวเราะพลางถ่มน้ำลายใส่พื้นใกล้หน้าเสวี่ยซี

คนรอบข้างในตลาดเพียงเหลือบตามองแล้วเดินหนี ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับอันธพาลพวกนี้

เสวี่ยซีกัดฟันลุกขึ้น แม้ร่างกายสั่นสะท้านก็ยังพยายามจะตามไปคว้าถุงคืนมา “ขอร้อง...นั่นไม่ใช่ของข้า หากข้าไม่เอากลับไป ข้าจะถูกลงโทษ...”

แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือเสียงหัวเราะเย้ยหยันกับการผลักจนร่างเขาล้มลงอีกครั้ง ฝุ่นตลบขึ้นเปื้อนชุดหม่นที่สวมอยู่ ดวงตาสีอำพันที่เคยสุกใสเต็มไปด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง

พวกอันธพาลเดินจากไปพร้อมของที่ปล้น เสียงหัวเราะยังดังสะท้อนในตรอก เสวี่ยซีนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหิน กัดริมฝีปากจนเลือดซึม

รอบกายคือเสียงตลาดที่ยังคงครึกครื้นไม่หยุดราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น โลกทั้งใบดูเหมือนจะเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของเขา

ดวงตาสีอำพันที่ชื้นน้ำตาเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม เสียงในใจเอ่ยเบา ๆ
“ท่านแม่...ข้าควรทำเช่นไรจึงจะไม่ถูกกลืนหายไปในโลกเช่นนี้…”

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 32910 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-9-4 07:43
โพสต์ 32,910 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-9-4 07:43
โพสต์ 32,910 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กู่เจิง  โพสต์ 2025-9-4 07:43
โพสต์ 32,910 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-4 07:43
โพสต์ 32,910 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-4 07:43
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

1

กระทู้

20

ตอบกลับ

1008

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
870
ตำลึงทอง
54
ตำลึงเงิน
359
เหรียญอู่จู
9580
STR
0+5
INT
0+0
LUK
0+0
POW
0+5
CHA
0+0
VIT
0+2
คุณธรรม
123
ความชั่ว
0
ความโหด
113
โพสต์ 2025-9-4 17:10:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน ปาเยว่ (กันยายน) สารทฤดู รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ตลาดตะวันออก ฝั่งตะวันออก ถนนสิบลี้ ฉางอัน


แสงอาทิตย์ยามเฉินสาดลอดยอดหลังคาไม้ไผ่ ตลาดตะวันออกบนถนนสิบลี้พลันคึกคักด้วยเสียงพ่อค้าแม่ค้าขายของ คนสัญจรไปมาขวักไขว่ กลิ่นหอมของเกี๊ยวทอดและบะหมี่ร้อน ๆ ลอยคลุ้งเคล้ากับเสียงตะโกนเร่ของพ่อค้า องค์ชายหลิว เค่อซิน ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่เดินตุ้ยนุ้ยออกมาจากตรอกเล็ก ๆ กับพี่เลี้ยงซึ่งทำหน้าที่แม่นม ดวงตากลมใสจ้องไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น “โธ่เอ๊ย! เด็กอย่างข้าจะใส่หมวกปิดหน้าทำไมกันเล่า มันเกะกะจะตายไป!” เขาบ่นเสียงดังจนพี่เลี้ยงต้องรีบเอานิ้วจุ๊ปากเตือน “ท่านชายน้อย โปรดระวังวาจาเจ้าค่ะ จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าท่านคือใคร”


เค่อซินยู่ปากนิดหน่อยก่อนจะยักไหล่หัวเราะเองเหมือนไม่ทุกข์ร้อน พอเดินไปถึงใจกลางตลาด เขาก็สะดุดตาเข้ากับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ใบหน้าเรียบขรึมแต่แฝงความลึกลับ เสื้อคลุมเรียบง่ายสีเทาหม่นแต่กลับมีอำนาจบางอย่างแผ่วซ่านรอบกาย


ชายผู้นั้นคือ โหรว ซางเมิ่ง ทูตผู้ดูแลนักเดินทางใหม่ ดวงตาคมกริบทอดมองผู้คนรอบข้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มแต่ชัดถ้อยต่อกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่ล้อมอยู่ “ฟังให้ดี ชื่อรอง ใช้เรียกกันในแวดวงกว้างเพื่อความสนิทสนม ชื่อทางการ ใช้ในงานพิธีและเอกสารราชการ ส่วนชื่อทางการที่ตามด้วย ‘เอ๋อร์’ มักใช้เรียกผู้ที่อายุน้อยกว่าหรือเป็นที่รักใคร่เอ็นดู… และเมื่อพบเจอครั้งแรก อย่าเรียกชื่ออีกฝ่ายตรง ๆ ให้เรียก ‘คุณชาย’ หรือ ‘แม่นาง’ ตามด้วยแซ่จึงจะสมควร”


พี่เลี้ยงแม่นมของเค่อซินรีบจับแขนเขาแน่น “ท่านชายน้อย อย่ามัวสนใจเลยเจ้าค่ะ พวกนี้เป็นเรื่องของคนนอกอย่าไปยุ่งเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรนกลัวจะเกิดเรื่อง แต่เค่อซินกลับแหงนหน้าขึ้น หัวเราะคิกตามสไตล์เด็กเจ้าสำราญ “เดี๋ยวก่อนสิ ข้าขอฟังก่อนได้ไหม? เขาน่าสนใจออกนี่นา” ดวงตากลมวาวประกายอยากรู้อยากเห็น ชัดเจนว่าไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ แต่เป็นความกระหายอยากรู้เรื่องโลกภายนอกที่เขาเพิ่งมีโอกาสสัมผัส เสียงเด็กน้อยนั้นแม้จะกวนแต่กลับมีเสน่ห์จนโหรว ซางเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองตรง ราวกับเห็นประกายที่ไม่เหมือนเด็กทั่วไปในร่างน้อย ๆ ตรงหน้า…


องค์ชายเค่อซินที่ซ่อนใบหน้าใต้หมวกไม้ไผ่เอียงคอน้อย ๆ ก่อนจะระบายยิ้มตาหยีออกมาอย่างน่าทะเล้น แต่ก็มิได้ไร้มารยาท เขาก้มคำนับต่อหน้าชายแปลกหน้าด้วยท่าทีสุภาพอย่างที่เด็กในวังถูกสอนมา “ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ ท่านชาย” เสียงเล็กเอ่ยใส ๆ แต่เต็มไปด้วยความเป็นกันเอง


โหรว ซางเมิ่งยกคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่คาดคิดว่าหนูน้อยตรงหน้าจะพูดจาได้ทั้งสุภาพและคล่องแคล่วเกินวัย เขาหัวเราะบางเบา “ใคร่รู้ดีเช่นนี้ก็ดี…เจ้าพึ่งเป็นเด็กตัวน้อยแต่สนใจสิ่งรอบตัว สนใจเรียนรู้อะไรเพิ่มอีกไหมล่ะ? วันนี้ข้าจะสอนเจ้าหุงข้าวแล้วก็จะให้ข้าวสาลีเอาไปฝึกทำข้าวสวย” สิ้นคำพูด เขาก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งของแผงที่ตั้งเตาถ่านเล็ก ๆ ไว้พร้อมอุปกรณ์ง่าย ๆ


“หา?!!” เสียงพี่เลี้ยงแม่นมแทบจะกรี๊ดลั่นตลาด นางรีบวิ่งเข้ามาดึงแขนองค์ชายออกทันที “ท่านชายน้อย! สิ่งนี้ไม่สมควรเจ้าค่ะ! พระองค์มิใช่เด็กชาวบ้านธรรมดาจะมาทำสิ่งเช่นนี้ได้!” แต่เค่อซินกลับไม่ขัดขืน เพียงหันดวงตากลมโตไปมองตรง ๆ อย่างเรียบเฉย แล้วพูดด้วยเสียงเบาแต่แฝงแรงกดดัน “ถ้าเจ้ายังโวยวายอีก ข้าจะไม่ทนนะ” น้ำเสียงนั้นแม้จะออกจากปากเด็กน้อย แต่แววตาและท่าทีทำให้พี่เลี้ยงต้องชะงักไปทันที ความรู้สึกเสมือนกำลังถูกจับขึงกลางสายลมหนาวจนร่างสั่น นางกัดริมฝีปาก พนมมือแล้วก้มศีรษะยอมจำนนในที่สุด “หม่อมฉัน…เอ่ยข้า…จะไม่ขัดเจ้าค่ะ”


องค์ชายหัวเราะคิกเบา ๆ ก่อนหันกลับไปยังซางเมิ่ง “งั้นก็เริ่มเลยเถอะ ข้าอยากลองดูเหมือนกันว่าข้าวสาลีธรรมดา ๆ มันจะกลายเป็นข้าวสวยในชามได้อย่างไร” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น… แววตาซุกซนของเขายังคงฉายประกายเจ้าสำราญเช่นเดิม


ตลาดตะวันออกในยามเช้านั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอาหารและเสียงเร่ขายของ แต่ตรงมุมหนึ่งกลับมีภาพแปลกตาเด็กชายผู้มีแก้มยุ้ย มือเล็ก ๆ กำทัพถ่าน ก่อไฟด้วยความตั้งใจสุด ๆ ข้างกายมีโหรวซางเมิ่งยืนกอดอกสอนอย่างใจเย็น “ใส่น้ำให้พอดี…อย่าให้มากหรือน้อยเกินไป” เสียงทุ้มชัดบอกพลางยื่นมือมาช่วยจัดหม้อดิน “รอจนไอน้ำระเหยขึ้นมา แล้วค่อยลดไฟลง ข้าวถึงจะนุ่ม” องค์ชายพยักหน้าหงึก ๆ ดวงตากลมโตเปล่งประกายจริงจังผิดกับท่าทีเจ้าสำราญเมื่อครู่ มือป้อมปาดเหงื่อเล็กน้อยขณะจ้องเปลวไฟ “อืม! ข้าเข้าใจแล้ว แบบนี้เองสินะที่เรียกว่าหุงข้าว!”


คนในตลาดพากันมองด้วยความฉงน บางคนถึงกับซุบซิบด้วยความงงงวยแต่เด็กน้อยก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ สนุกสนานกับบทเรียนที่ได้มา


เมื่อเสร็จสิ้น ซางเมิ่งหยิบกระเป๋าผ้าใบหนึ่งออกมา ยื่นให้พร้อมห่ออาหารเล็ก ๆ “นี่ สำหรับเจ้าที่ตั้งใจฟังข้าอย่างดีหากมีเรื่องใดก็มาหาข้าได้เสมอ” เค่อซินรับไว้ทันที ตาเป็นประกาย แต่ชายตรงหน้ากลับยิ้มมุมปาก “ข้าขายกระเป๋าด้วยนะ จะให้ราคาพิเศษเลยมีกระเป๋าขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ เจ้าสนใจหรือไม่?”


องค์ชายเอนคอเล็กน้อยหรี่ตาจับผิด “ราคาพิเศษงั้นรึ? ว่ามาเถอะ ข้าฟังอยู่”


ซางเมิ่งยกนิ้วขึ้นนับ “ใบเล็ก 8 ตำลึงทอง มี 2 ใบ ใบกลาง 12 ตำลึงทอง มี 1 ใบ และใบใหญ่ราคา 20 ตำลึงทอง มี 1 ใบเช่นกัน” เค่อซินทำตาโต แก้มยุ้ยพองนิด ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ท่านจะขายให้เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างข้าเนี่ยนะ? ช่างเป็นพ่อค้าที่แน่วแน่จริง ๆ… แต่ข้าชอบ”


พี่เลี้ยงแม่นมที่ยืนอยู่ด้านหลังแทบจะเป็นลม นางยกมือกุมอกด้วยความเครียด องค์ชายเพคะ…เราจะไปต่อราคากับพ่อค้าริมทางไม่ได้เด็ดขาด! แต่สายตาที่เด็กน้อยหันมามองสั้น ๆ ทำให้นางกลืนคำต่อว่าเข้าไปอีกครั้ง “ก็ได้ งั้นข้าจะเลือกสักหน่อย” เค่อซินยกยิ้มเจ้าเล่ห์ใต้หมวกไม้ไผ่ “แต่ต้องเล่าให้ฟังก่อนนะว่าทำไมมันถึงแพงแบบนี้อย่าคิดว่าข้าจะจ่ายถ้าไม่รู้ว่ามันคุ้ม” คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ จากซางเมิ่ง ดวงตาคมปรายมองอย่างสนใจ…เด็กน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ


โหรว ซางเมิ่งหัวเราะหึ ๆ พลางกอดอกมองเด็กน้อยตรงหน้า “งั้นท่านชายน้อยรู้จักแหวนดาราจรัสไหมเล่า? ของวิเศษที่เก็บของเข้าไปในมิติแยก ไม่ต้องพกพาของติดตัวเป็นพะรุงพะรัง กระเป๋าก็เช่นกันสำคัญยิ่งกับผู้เดินทาง เจ้าลองคิดสิหากจะเดินทางไปไม่มีกระเป๋าจะไปแบบตัวเปล่า ๆ ปลี้ ๆ หรือ?”


องค์ชายเค่อซินพยักหน้าหงึก ๆ แก้มยุ้ยขยับตามท่าทางอย่างเข้าใจ ก่อนยกคางขึ้นเล็กน้อยอย่างเอาเรื่อง “ฟังดูสมเหตุสมผล…แต่ว่าข้าขอจ่ายเป็นตำลึงเงินได้หรือไม่? ท่านก็รู้ คนทั่วไปแทบจะหาตำลึงทองไม่ได้ด้วยซ้ำ การเรียกร้องแต่ทองเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับการรีดไถหรอกจริงไหม?”


พี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับกุมขมับ ตายแล้ว…กล้าเถียงพ่อค้าแบบนี้อีก แต่เค่อซินกลับหันตากลม ๆ จ้องจนเธอต้องยอมเงียบไม่กล้าเอ่ยห้าม


โหรว ซางเมิ่งหัวเราะเสียงต่ำ “หึ ๆ ปากเก่งนัก เจ้านี่กล้าดีนัก เด็กที่ไหนใช้คำว่ารีดไถกับข้าได้…งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเงินเป็นเช่นไร?” องค์ชายยักไหล่ยิ้มบางใต้เงาหมวกไม้ไผ่ ริมฝีปากเล็กเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล “ง่ายจะตาย 400 เหรียญอู่จู เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน และ 10 ตำลึงเงิน เท่ากับ 1 ตำลึงทอง ข้าว่าแม้แต่เด็กที่ตลาดก็รู้เรื่องนี้” เขาหัวเราะคิก ดวงตากลมเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ “เพราะงั้นถ้าท่านอยากขายให้ข้าอย่าลืมว่าข้าเองก็นับเงินเป็นเหมือนกันนะ” ชาวตลาดที่ยืนฟังอยู่ใกล้ ๆ บางคนพึมพำว่าหนูน้อยปากกล้าเหลือเกิน ส่วนโหรว ซางเมิ่งเองกลับมิได้โกรธ กลับยกยิ้มสนุกสนานแทนเพราะในแววตาของเด็กน้อยคนนี้มีประกายที่ไม่ต่างจากนักเดินทางผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย


โหรว ซางเมิ่งกอดอกยกคิ้วสูงพลางถามด้วยน้ำเสียงกึ่งหยั่งเชิง “เช่นนั้นท่านชายน้อยบอกข้ามาสิ…เจ้าต้องจ่ายข้าเท่าไร?” ใต้เงาหมวกไม้ไผ่ดวงตากลมโตขององค์ชายเค่อซินเปล่งประกายวาววับ ริมฝีปากเล็กยกยิ้มซุกซน เขาเอ่ยเสียงใส ๆ แต่มั่นใจเต็มเปี่ยม


“กระเป๋าใบเล็กสองใบ ข้าต้องจ่าย 16 ตำลึงทอง หรือก็คือ 160 ตำลึงเงิน ใบกลาง 12 ตำลึงทอง ก็คือ 120 ตำลึงเงิน ส่วนใบใหญ่ 20 ตำลึงทอง เท่ากับ 200 ตำลึงเงิน รวมทั้งหมดก็ 480 ตำลึงเงินใช่หรือไม่?” เสียงใสที่พรั่งพรูออกมานั้นชัดถ้อยชัดคำจนคนในตลาดเงียบไปพักหนึ่ง หลายคนถึงกับหันมามอง นี่มันเด็กอะไรกัน นับเงินคล่องยิ่งกว่าพ่อค้าเสียอีก…


โหรว ซางเมิ่งชะงักไปชั่วครู่ก่อนหัวเราะดังหึ ๆ “เจ้าหนูนี่ปากกล้าไม่พอ ยังนับเงินเก่งกว่าผู้ใหญ่ครึ่งค่อนตลาด…เจ้าคือใครกันแน่?” องค์ชายยักไหล่เล็กน้อยไม่ได้ตอบ พลางตบถุงเงินที่ห้อยข้างเอวเบา ๆ ดึงนับจำนวนเงินให้เขา “ข้าเป็นแค่เด็กที่ชอบเรียนรู้ ไม่ได้จะต่อกรกับท่านหรอก เพียงแต่จะไม่ยอมให้ใครหลอกต้มข้าได้ง่าย ๆ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏชัดบนใบหน้า แม่นมที่ยืนอยู่ด้านหลังแทบจะขาอ่อน ต้องใช้พัดค้ำยันตัวเองไว้ องค์ชายเพคะ…พระองค์กำลังต่อรองราคากับทูตผู้นี้จริง ๆ หรือเพคะ…


โหรว ซางเมิ่งหัวเราะเบา ๆ พลางเก็บถุงตำลึงเงินที่เด็กน้อยยื่นมาไว้ในอกเสื้อ จากนั้นก็ยื่นกระเป๋าที่เพิ่งพูดถึงให้ครบถ้วนตรงหน้าท่านชายน้อย “เห็นแค่ความฉลาดของเจ้าก็เพียงพอแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรให้ยืดยาวไปกว่านี้ ถือว่าซื้อขายกันเรียบร้อย” องค์ชายเค่อซินแก้มยุ้ยยกยิ้ม ดวงตากลมเปล่งประกายอย่างเจ้าเล่ห์แต่ยังคงไร้เดียงสาตามวัย เขายื่นมือเล็กไปรับกระเป๋ามาแนบอก “ท่านชมเกินไปแล้ว ข้าต่างหากที่ได้ท่านทูตนักเดินทางชี้แนะถือเป็นวาสนาของเด็กน้อยผู้นี้จริง ๆ” สิ้นคำ เขาก็ก้มศีรษะคำนับอย่างสุภาพ


ซางเมิ่งยิ้มบาง ดวงตาคมจับจ้องเด็กตรงหน้าอย่างพินิจ ราวกับจะบันทึกภาพนี้ไว้ในความทรงจำวันหนึ่งเขาคงได้เห็นหนูน้อยผู้นี้เติบใหญ่จนโลกสั่นสะเทือนก็เป็นได้


องค์ชายเค่อซินพลางสะพายกระเป๋าใหม่ หันไปยิ้มกวน ๆ ใส่พี่เลี้ยงที่ยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลัง “เห็นไหมเล่า ข้าไม่ได้เสียเปรียบเลยสักนิด” พี่เลี้ยงแม่นมทำได้เพียงถอนหายใจยาว มือหนึ่งกุมอก อีกมือโบกพัดปิดหน้า พระองค์นี่…ปากกล้าเกินเด็กไปแล้วจริง ๆ


รางวัล: +50 พลังใจ , +5 ตำลึงทอง , +200 อีแปะ , +25 EXP

กระเป๋าขนาดกลาง 1 ใบ , ห่ออาหารยังชีพ(50) 1 ห่อ (เก็บไว้เปิดใช้ยามฉุกเฉิน)


อื่น ๆ: ซื้อ 

กระเป๋าขนาดเล็ก (ขยายช่อง 10 ช่อง) 8 ตำลึงทอง 2 ใบ

กระเป๋าขนาดกลาง (ขยายช่อง 36 ช่อง) 12 ตำลึงทอง 1 ใบ

กระเป๋าขนาดใหญ่ (ขยายช่อง 50 ช่อง) 20 ตำลึงทอง 1 ใบ

ราคารวม 48 ตำลึงทอง หรีือ 480 ตำลึงเงิน (จ่ายเป็นเงินตำลึงเงิน) 

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 25 EXP โพสต์ 2025-9-4 21:36
โพสต์ 47442 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-4 17:10
โพสต์ 47,442 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม +2 ความชั่ว +8 ความโหด จาก กระบี่  โพสต์ 2025-9-4 17:10
โพสต์ 47,442 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ  โพสต์ 2025-9-4 17:10
โพสต์ 47,442 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้ใช้กระบี่  โพสต์ 2025-9-4 17:10

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +5 เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50 + 5 + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
กระบี่คู่สลักจันทรา
ผู้ใช้กระบี่
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1
โพสต์ 2025-9-4 23:06:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 04 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
╰┈➤ พบเจอเหวินซวี

เสียงหัวเราะต่ำของอันธพาลที่กำลังเดินลับตรอกยังไม่ทันจาง เงาร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากมุมเงามืดของกำแพงไม้เก่า ฝีเท้าเขาหนักแน่น ทว่าแฝงแววเยือกเย็น ร่างสูงสวมชุดผ้าฝ้ายสีเข้มท่วงท่าสงบแต่น่าเกรงขาม ดวงตาดำลึกจับจ้องกลุ่มชายฉกรรจ์ราวกับสัตว์นักล่า

“ของที่ไม่ได้เป็นของเจ้า คิดจะเอาไปก็ง่ายเกินไปหน่อยกระมัง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบเย็น แต่กลับทำให้เหล่าอันธพาลชะงักเท้า

ชายร่างใหญ่หันมามองพลางแค่นเสียง “แกเป็นใคร มายุ่งเรื่องของพวกข้าทำไม”

เพียงพริบตาหลัวเซินก็ขยับเข้าไปอย่างเงียบเชียบ มือใหญ่คว้าข้อมือของมันบิดอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกดังกร๊อบ ชายคนนั้นร้องลั่นล้มคุกเข่าลงทันที ถุงผ้าที่ปล้นไปหลุดตกลงพื้น

“อึกกกกกกก อ๊ากกกก!” เสียงร้องเจ็บปวดสะท้อนก้องในตรอก

สายตาของหลัวเซินไม่แสดงความเมตตาแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบเย็นชาราวคมดาบ เขาก้าวไปหยิบถุงผ้าขึ้นมา ก่อนใช้เท้าเหยียบอกอีกคนกดให้นอนแนบพื้นเหมือนแมลงที่ถูกขยี้

“เจ้า…” อันธพาลอีกคนชักมีดออกมา แต่ก่อนที่มันจะทันพุ่งเข้าหา ร่างสูงก็เบี่ยงตัวแล้วซัดหมัดหนักใส่ใบหน้า จนเสียงดังตุ้บ ร่างนั้นปลิวกระแทกผนังกำแพง เลือดกบปากสลบลงในทันที

เหลือเพียงสองคนที่ยังยืนอยู่ ใบหน้าซีดเผือด หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว มองบุรุษแปลกหน้าผู้นี้เหมือนเห็นอสูร “ข…ขอโทษ! เราไม่รู้ว่าเป็นของท่าน เราจะไปเดี๋ยวนี้!”

หลัวเซินปรายตามองเพียงแวบเดียว ราวกับมองสุนัขขี้เรื้อน ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ไปให้พ้น ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

พวกมันรีบลากสหายที่บาดเจ็บหนีออกไป เหลือเพียงความเงียบและเสียงหอบหายใจของเสวี่ยซีซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น หอบหายใจด้วยความเจ็บปวดและหวาดหวั่น น้ำตาคลอจนดวงตาสีอำพันพร่ามัว

ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าใกล้ ยื่นมือใหญ่เข้ามาตรงหน้า “ลุกขึ้นเสีย ถ้าเจ้าไม่อยากถูกเหยียบซ้ำ”

เสวี่ยซีชะงักมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนยื่นมือสั่น ๆ ไปวางไว้ในฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่าย ความอบอุ่นและแรงจับมั่นคงตัดกับความสิ้นหวังในใจเขาอย่างสิ้นเชิง

หลัวเซินประคองให้เขาลุกขึ้น ก่อนส่งถุงผ้าที่เก็บกลับมาให้อย่างง่ายดาย “ของของเจ้า ข้าเพียงแค่ไม่ชอบเห็นขยะอย่างพวกนั้นได้ในสิ่งที่ไม่คู่ควร”

เสวี่ยซีรับถุงมาด้วยมือสั่น เสียงแผ่วเบา “ท่าน…ท่านผู้มีพระคุณ ท่านชื่ออะไรข้าอยากรู้ชื่อของท่าน?”

บุรุษร่างสูงยิ้มบาง มุมปากโค้งขึ้นแต่ไม่อ่อนโยน หากเต็มไปด้วยความลึกลับและเย้ยหยัน เขาตอบเสียงทุ้มต่ำ “ข้าชื่อ…หลัวเซิน”

แสงแดดยามสายยังส่องลอดลงมาตามหลังคาตลาดฉางอัน เสียงของผู้คนไม่เคยหยุด แต่สำหรับเสวี่ยซีแล้ว ทุกสิ่งรอบกายกลับพร่ามัวราวกับหมอก เขายืนกอดถุงผ้าแนบอก มือสั่นสะท้าน ร่างกายบอบบางที่เพิ่งถูกชกต่อยยังคงสั่นไหวเหมือนกิ่งไม้ไร้เรี่ยวแรง

เขาเงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบุรุษนาม “หลัวเซิน” ผู้เพิ่งปราบอันธพาลเหล่านั้นลงด้วยการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้ง ดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายมืดลึกล้ำเหมือนรัตติกาล ไม่อาจมองทะลุได้ เสวี่ยซีรู้สึกเหมือนถูกกลืนเข้าไปในความว่างเปล่าอันเย็นชา แต่ในเวลาเดียวกันก็กลับรู้สึกปลอดภัย

หัวใจที่เจ็บร้าวของชายหนุ่มสั่นสะท้าน นั่นเป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนยื่นมือมาปกป้องเขาจากการถูกทำร้ายโดยไม่เรียกร้องสิ่งใด
“ขะ…ขอบคุณท่าน” เสียงเสวี่ยซีสั่นเครือ แผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน ริมฝีปากบางไร้สีเลือดเอ่ยออกมาราวกับกลัวว่าหากพูดดังไป ความอบอุ่นชั่วขณะนี้จะหายวับไปกับสายลม

หลัวเซินปรายตาลงมามอง รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเยาะเย้ยหรือเมตตา “ขอบคุณหรือ …ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าเพราะใจดี เพียงแต่ไม่ชอบเห็นสัตว์สกปรกอย่างพวกนั้นได้ของที่ไม่คู่ควรเท่านั้น”

ถ้อยคำเย็นชากรีดแทงหัวใจ แต่เสวี่ยซีกลับไม่ได้ถอยหนี เขายังคงกอดถุงผ้าแน่นแล้วก้มหน้า “ถึงอย่างไร…สำหรับข้า ท่านก็ยังเป็นผู้ช่วยชีวิต” น้ำเสียงสั่นพร่า ดวงตาสีอำพันคลอไปด้วยน้ำตา

สายตานั้นทำให้หลัวเซินหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับเพลิดเพลินกับความใสซื่อไร้เดียงสา “น่าสนใจนัก” เขาก้าวเข้ามาใกล้ จนเงาของร่างสูงบดบังแสงแดดจากด้านหลัง เสวี่ยซีต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตา และในแววตานั้นสะท้อนเพียงความอ่อนแอที่รอให้ใครสักคนมาปกป้อง

“เจ้ารู้หรือไม่ ความจริงแล้วโลกใบนี้โหดร้ายกว่าที่เจ้าเคยคิดมากนัก ทุกคนต่างก็พร้อมกัดกินกัน เจ้าอ่อนแอเกินไป…วันหนึ่งเจ้าจะถูกฉีกกระชากจนไม่เหลือซาก” หลัวเซินเอ่ยช้า ๆ

เสวี่ยซีเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นแรงความเจ็บปวดจากคำพูดนั้นไม่ต่างจากมีดที่กรีดลึก แต่ในความโหดร้ายกลับแฝงด้วยความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธ เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา เขาก็ถูกกัดกินจากคนรอบข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ข้า” ร่างบอบบางเอ่ยเสียงสั่น “ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร ข้าเพียงอยากมีคนที่ยื่นมือมา—”

“ให้เจ้าพึ่งพิง?” หลัวเซินแทรกขึ้นทันควัน รอยยิ้มมุมปากขยายกว้างขึ้น “หากเจ้าต้องการ ข้าก็อาจเป็นคน ๆ นั้นได้”

ค่อย ๆ เงยหน้ามองด้วยแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความหวังเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมี เสวี่ยซีรู้สึกใจเต้นแรงความหวาดกลัวปะปนกับความอบอุ่นแปลก ๆ ราวกับได้พบใครสักคนที่สามารถปกป้องเขา แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเชื่อใจได้หรือไม่

แม้พึ่งรู้จักกันแต่เสวี่ยซีก็เริ่มรู้สึกว่าชายร่างสูงตรงหน้าคือบางสิ่งที่เขาไม่อาจละสายตาได้ และอาจจะเป็นทั้งความหวังและอันตรายที่กำลังเข้าใกล้

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 30316 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-9-4 23:06
โพสต์ 30,316 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +6 ความชั่ว +15 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-9-4 23:06
โพสต์ 30,316 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2025-9-4 23:06
โพสต์ 30,316 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-9-4 23:06
โพสต์ 30,316 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กู่เจิง  โพสต์ 2025-9-4 23:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
โพสต์ 2025-9-11 09:40:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 10 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น.

กลางย่านตลาดตะวันออกของฉางอัน เสียงผู้คนเจรจาซื้อขายดังระงมไม่ขาดสาย กลิ่นหอมของขนมหวานและเครื่องเทศลอยอบอวลในอากาศผสมกับควันธูปจากศาลเจ้าใกล้เคียง แสงแดดยามสายทอผ่านระแนงไม้และป้ายผ้าสีสันสดใสที่พลิ้วไหวตามแรงลม ดูเหมือนเมืองหลวงแห่งนี้จะเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความคึกคักที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

ท่ามกลางความพลุกพล่านนั้น ชายหนุ่มร่างบอบบางในชุดผ้าแพรสีน้ำเงินหม่น ก้าวเท้าอย่างระมัดระวังไปตามแผงขายหนังสือเก่า ‘เสวี่ยซี’ วัยยี่สิบห้าปี ผู้มีนัยน์ตาสีอำพันอันหม่นเศร้า กำลังพลิกตำราอักษรพื้นฐานที่เถียนเฟิงเคยให้ไว้ในมือ นิ้วเรียวยาวของเขาแตะลูบตัวอักษรด้วยความตั้งใจ หากแต่ใจลอยอยู่กับบทสนทนาเมื่อวันก่อนกับบุรุษผู้สูงศักดิ์คนนั้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความพยายามและความหวังอันแสนเปราะบางที่จะเรียนรู้ เพื่ออาจหลีกหนีโชคชะตาอันโหดร้ายของตน

ขณะก้าวออกจากร้าน เสียงหัวเราะครึกโครมจากโรงเตี๊ยมข้างทางดึงดูดความสนใจ กลุ่มชายร่างใหญ่ ท่าทางกร่างกร้าว กำลังนั่งวงสุราอยู่ที่หน้าต่างเปิดกว้างของโรงเตี๊ยม พวกเขาพูดคุยเสียงดังจนผู้คนที่เดินผ่านยังต้องเหลียวมอง เสวี่ยซีไม่คิดจะสนใจนัก จนกระทั่งหูของเขาได้ยินบางสิ่งที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น

“ได้ยินหรือยัง งานใหญ่ของหอว่านหงเหรินกำลังจะมาถึง พวกเขาจะจัดงานประมูลพิเศษเชียวนะ! บรรดาบุปผางามกับบุรุษสวรรค์ถูกคัดมาอย่างดี คราวนี้บอกเลย คนมีเงินทั้งเมืองต้องแห่กันไป!”

ชายอีกคนหัวเราะพลางฟาดถ้วยสุราลงบนโต๊ะเสียงดัง

“ใช่ ๆ! ได้ข่าวว่าคนดังที่ถูกคัดเข้าร่วมครั้งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘เสวี่ยซี’ ไงล่ะ! ฮ่า ๆ ๆ… ชายหนุ่มรูปงามแห่งหอนั้น ตัวเป็น ๆ จะถูกนำขึ้นเวทีให้เหล่าขุนนางประมูล!”

เสียงหัวเราะสะท้อนก้องออกมาสู่ถนนราวกับหอกแหลมคมที่ปักลงตรงกลางหัวใจของเสวี่ยซี เขาเผลอกำขอบผ้าแพรที่คลุมบ่าแน่น ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาสีอำพันพลันพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างพยายามกลั้นสะอื้น ความอับอายและความเจ็บปวดตีตื้นขึ้นมาจุกในอก

“เสวี่ยซี… บุรุษสวรรค์แห่งหอว่านหงเหริน” คำนี้ตอกย้ำอยู่ในหู เขารู้ดีว่าตนคือหนึ่งในเครื่องมือหากินของเถ้าแก่หลิวไค่ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกนำไปขายทอดตลาดประหนึ่งสิ่งของไร้ค่า เพียงแค่ภาพในหัวก็ทำให้เขาอยากหายลับไปจากโลกนี้เสียเดี๋ยวนั้น

เขาหันหลังรีบก้าวหนีจากโรงเตี๊ยม ร่างผอมบอบบางสั่นไหวไปตามแรงก้าวขา เรียวขายาวที่ขาวสะอาดราวหยกแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะพยุงกายให้มั่นคง ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมา ไม่มีใครสังเกตว่าชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังต่อสู้กับความสิ้นหวังที่กำลังบีบคั้นจากทุกทิศทาง

เสวี่ยซีหยุดยืนหลบอยู่มุมหนึ่งของซอยแคบ มือสั่นเทากุมอก หัวใจเต้นระส่ำราวกับจะหลุดออกมา ภาพอดีตถาโถมเข้ามา

คำหวานที่หลี่หยางเคยพร่ำบอก คำสัญญาที่เคยให้ไว้ ยามที่จับมือกันเดินตามทุ่งหญ้าในวัยหนุ่ม ดวงตาที่มองเขาราวกับมีเพียงเขาอยู่ในโลก… ทั้งหมดนั้นกลายเป็นคำลวงที่นำเขามาสู่จุดตกต่ำที่สุดในชีวิต

บัดนี้เขาไม่เพียงแต่เป็นนายโลมที่ถูกย่ำยี แต่กำลังจะถูกนำขึ้นเวทีประมูลเพื่อความสนุกของผู้อื่น ความศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่น้อยนิดกำลังจะถูกกระชากไปต่อหน้าสายตาของผู้คนทั้งเมือง

“ข้า… ทำไมต้องเป็นข้าด้วย…” เสียงพึมพำสั่นเครือหลุดจากริมฝีปาก เขาหลับตา น้ำตาไหลรินอาบแก้มขาวซีด ก่อนจะสูดหายใจลึกเพื่อกดกลืนความเจ็บปวดลงไป แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน

เมื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาสีอำพันที่ครั้งหนึ่งเคยทอประกายสดใส บัดนี้เหลือเพียงเงาแห่งความเศร้าสร้อยและเหนื่อยล้า เสวี่ยซีเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้ออย่างลวก ๆ พยายามจัดท่าทางให้สงบเรียบร้อย แม้หัวใจจะป่นปี้ แต่เขายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

เขาก้าวเดินช้า ๆ กลับไปยังเส้นทางเดิม ราวกับคนที่หลงทางอยู่ในทะเลหมอกหนาทึบ ไม่รู้เลยว่าข้างหน้าเป็นหนทางแห่งความรอด หรือเพียงขุมนรกที่รอจะกลืนกิน

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35864 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-11 09:40
โพสต์ 35,864 ไบต์และได้รับ +8 EXP +9 ความชั่ว +9 ความโหด จาก ตำราอักษรภาพพื้นฐาน  โพสต์ 2025-9-11 09:40
โพสต์ 35,864 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-11 09:40
โพสต์ 35,864 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2025-9-11 09:40
โพสต์ 35,864 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ช่อเมล็ดข้าวมงคล  โพสต์ 2025-9-11 09:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
145
ความชั่ว
697
ความโหด
1566
โพสต์ 2025-9-14 16:51:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTiandao เมื่อ 2025-9-14 16:55

วันที่ 14 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เวลา 15.00-16.00

แสงแดดบ่ายคล้อยทอประกายสีทองอ่อน ละมุนลงบนหลังคาไม้กระดานและซุ้มผ้าใบหลากสีของตลาดตะวันออก ณ เมืองฉางอาน ศูนย์กลางความเจริญและการค้าของราชวงศ์ฮั่น


เสียงจ้อกแจ้กของผู้คนค่อย ๆ ลดน้อยลงจากความคึกคักของยามสายและเที่ยง ท้องฟ้ากลายเป็นม่านฟ้าสีครามจาง ๆ เมื่อแดดเริ่มเอียงคล้อย ทว่าความวุ่นวายและกลิ่นหอมของเครื่องเทศ ผ้าไหม และเครื่องปั้นดินเผายังคงอบอวลทั่วทุกมุมตลาด


ชายแก่หัวล้านคนหนึ่งในชุดเก่าขาด สีเสื้อผ้าซีดจางเหมือนถูกแดดและฝนกัดกร่อนมานานหลายปี เขาเดินเท้าเปล่าขึ้นบนลังไม้เก่าที่ตั้งอยู่ริมทางเดินคึกคัก ผู้คนหลายคนหลบสายตาเขา หลีกทาง แต่ก็มีบางคนชะโงกดูอย่างสงสัย


นี่คือ จี เทียนเต้า ผู้ชายผอมแห้ง ไร้เกราะใด ๆ ปกป้องตัวเอง นอกจากบทกวีที่เปรียบเสมือนดาบคมของเขา เขายกมือขึ้น ดวงตาคู่เก่ามีแววประกายมั่นคง แต่อ่อนล้าจากชีวิตที่ล่มสลายมากกว่าครึ่งศตวรรษ


เสียงแหบพร่าของเขากล่าวออกมา “โลกนี้ไม่มีใครเหนือข้า เพราะข้าต่ำจนไม่มีใครจะเหยียบถึง


ผู้คนในตลาดหยุดชะงัก หลายคนจ้องมองด้วยความสงสัย บางคนหัวเราะเยาะ เยาะเย้ยในใจว่าชายแก่คนนี้บ้าแล้วหรือ แล้วจู่ ๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่หนึ่งในบรรดาพ่อค้าและนักเลง ยืนหันหลังให้ซุ้มร้านค้า ด้วยความไม่พอใจ เขาก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว และชกเข้าที่แก้มชายแก่จนร่างกระแทกพื้นไม้ดังโครม


เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก ชายแก่คนนั้นนั่งนิ่ง ท่ามกลางความเจ็บปวด ทั้งกายและใจ เสียงวุ่นวายของตลาดกลับกลายเป็นเพียงแผ่วเบา แสงแดดบ่ายคล้อยสาดส่องราวกับปลอบโยนลงบนร่างของเขา


ในขณะนั้น เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเดินผ่านมองเห็นเหตุการณ์ ด้วยความสงสาร เขาเดินเข้าไปเก็บเศษผ้ากระดาษที่เปื้อนเลือดจากพื้นขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ เสียงเล็ก ๆ ของเขาดังขึ้น


ลุง ข้าชอบบทกวีนี้นะ เหมือนลุงตะโกนจากก้นบ่อ ให้คนข้างบนได้ยิน”


ชายแก่เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วยื่นมือสั่น ๆ ให้เด็กชายด้วยหมั่นโถวชิ้นเก่าที่แข็งกรังแล้ว

“เอาไป ข้าให้เจ้า”


เด็กชายส่ายหน้า “ลุงต้องกินนะ ข้ากินแล้ว”


ในแสงสุดท้ายของวัน แสงสีทองอ่อนของดวงอาทิตย์สาดทาบบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเลือดของชายแก่ เงาของเด็กชายทอดยาวพาดผ่านร่างบางของเขา เหมือนจะบังแดดให้แก่ชายแก่ผู้ถูกทอดทิ้ง


แม้โลกจะไม่เหลียวแล แม้บทกวีจะปลิวไปตามลม และเลือดจะตกเปื้อนดิน แต่ในบ่ายคล้อยของตลาดตะวันออก ชายแก่ได้ พูด แล้ว และมี คนฟัง แม้เพียงคนเดียว แสงอาทิตย์สีทองนั้น คือสัญญาณเล็ก ๆ ที่ยังคงทำให้เขารู้ว่า เสียงของเขายังไม่เงียบสิ้น





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7619 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-9-14 16:51
โพสต์ 7,619 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-14 16:51
โพสต์ 7,619 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-14 16:51
โพสต์ 7,619 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-14 16:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-9-14 20:53:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 13 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น.
╰┈➤ พบเจอเถียนเฟิง

เมืองฉางอัน ถนนกว้างใหญ่ที่ทอดไปยังตลาดตะวันออกคลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าดังระงมตั้งแต่ต้นตรอกจนสุดสาย บ้างขายผ้าแพรพรรณ บ้างขายผลไม้แปลกหูแปลกตา กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วและขนมถั่วบดคลุ้งไปทั่ว ละลายรวมกับกลิ่นสมุนไพรและชาดอกไม้นับร้อยชนิด กลายเป็นบรรยากาศชวนให้ผู้มาเยือนหลงใหล

ภายในความพลุกพล่านนั้น ร่างสูงสง่างามของเถียนเฟิงปรากฏขึ้น เขาสวมชุดผ้าป่านสีน้ำตาลเข้มที่ตั้งใจเลือกเพื่อกลมกลืนกับผู้คนทั่วไป แต่ไม่ว่าจะแต่งกายเรียบง่ายเพียงใด ความสง่างามและราศีของต้าซือคงผู้เป็นขุนนางใหญ่ก็ยากจะปิดบัง ดวงตาคมกริบเปล่งประกายใต้หมวกผ้าที่สวมบังเงาหน้า และข้างกายเขาคือชายหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์ดั่งบุปผางามที่ถูกกล่าวขวัญไปทั่วทั้งหอว่านหงเหริน

เสวี่ยซีในวันนี้แต่งกายเรียบง่ายเช่นกัน เสื้อคลุมผ้าฝ้ายบางสีขาวสะอาด รัดเอวด้วยสายคาดสีน้ำเงินเข้ม ผมยาวสีดำขลับถูกรวบขึ้นง่าย ๆ ปล่อยปอยผมบางส่วนลงมาปรกแก้มขาวซีดที่ตัดกับนัยน์ตาสีอำพันอันอ่อนโยน แต่กลับสะท้อนแววเศร้าในส่วนลึกของดวงใจ ผิวพรรณเนียนละเอียดจนยามต้องแสงแดดอ่อนเหมือนจะเปล่งประกาย เสี้ยวหน้าบอบบางเกินกว่าจะกลมกลืนกับความพลุกพล่านรอบกาย

เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้าสู่ตลาดตะวันออก สายตาของผู้คนก็เริ่มเบนมามอง บ้างแอบชำเลือง บ้างถึงกับหยุดยืนพินิจพิจารณา เสียงซุบซิบดังระงมขึ้นไม่ไกล

“นั่นใช่หรือไม่ ชายหนุ่มจากหอว่านหงเหรินที่ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงลิบเมื่อคราวก่อน?”

“ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าเขามีชื่อว่า ‘เสวี่ยซี’ ถูกปิดประมูลถึงพันห้าร้อยตำลึงทองเชียว!”

“โถ่ รูปงามถึงเพียงนี้ จะว่าเป็นบุปผาในโลกก็ไม่ผิด เห็นทีขุนนางผู้นั้นจะหวงแหนนัก”

เสียงซุบซิบเหล่านั้นราวกับหนามคมทิ่มแทงเข้าสู่หัวใจ เสวี่ยซีเม้มริมฝีปากแน่น พยายามก้มหน้าลงเพื่อหลีกเลี่ยงสายตานับร้อยที่จ้องมองมา หัวใจเขาเต้นระส่ำ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นจนเย็นเฉียบ ความทรงจำในหอว่านหงเหริน วันที่ถูกบังคับให้ขึ้นเวทีต่อหน้าผู้คนและถูกซื้อขายประหนึ่งของในตลาด ย้อนกลับเข้ามาอย่างโหดร้าย

เถียนเฟิงเหลือบมองใบหน้าซีดเผือดของเสวี่ยซี แววตาคมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขารู้ดีว่าการพามายังสถานที่แห่งนี้คือความตั้งใจจะให้เสวี่ยซีได้สัมผัสรสชาติชีวิตธรรมดา แต่กลับกลายเป็นการผลักชายหนุ่มเข้าสู่ความอึดอัดและบาดแผลในใจอีกครั้ง

“ซีซี” เถียนเฟิงเอ่ยเสียงแผ่ว ขยับกายเข้ามาบังสายตาผู้คนให้มากที่สุด แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ความโดดเด่นของคนทั้งคู่ก็ยิ่งดึงดูดสายตามากขึ้นไปอีก

เสวี่ยซีส่ายหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงสั่นพร่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร ท่านต้าซือคง เพียงแค่ข้าไม่เคยชินกับสายตาพวกเขา ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงซุบซิบ มันเหมือนข้ากลับไปอยู่ในหอว่านหงเหรินอีกครั้งเป็นแค่ของที่ถูกซื้อไป”

ถ้อยคำตรงไปตรงมานั้นแทงใจเถียนเฟิง เขากำมือแน่นพยายามสะกดความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในอก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนักแน่น “ข้าไม่ได้ซื้อมเจ้าเพื่อครอบครอง แต่เพื่อปกป้องเจ้า อย่าได้ดูถูกตัวเองเช่นนั้นอีก”

เสวี่ยซีช้อนตาขึ้นสบ ดวงตาสีอำพันสั่นระริกด้วยน้ำใสคลอเบ้า “แต่ผู้คนภายนอก…พวกเขาไม่มีวันเข้าใจ ข้าไม่อยากให้ท่านต้าซือคงถูกเย้ยหยันเพราะตัวข้า”

ความเงียบครอบคลุมระหว่างทั้งคู่ เถียนเฟิงมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจัง เขาเห็นทั้งความเปราะบางและความเข้มแข็งที่ปะปนกันอยู่ในดวงตาสีอำพันคู่นั้น ในที่สุดเสวี่ยซีก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้า พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“หากท่านยังอยากพาข้าเดินชมตลาดจริง ๆ ข้าอาจสวมหน้ากากผ้าปิดไว้ก็ได้ หรือไม่ก็เดินห่างกันเล็กน้อย ให้ผู้คนไม่สังเกตว่าเรามาด้วยกัน”

คำพูดนั้นทำให้เถียนเฟิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดยิ้มบาง ๆ แฝงความเจ็บปวด “เจ้าคิดจะปิดบังความงดงามของตนเองเพียงเพราะหวาดกลัวคำพูดผู้อื่นงั้นหรือ แต่หากมันทำให้เจ้าสบายใจ ข้าก็จะยอม”

เสวี่ยซีสั่นศีรษะเบา ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่แน่วแน่ “ไม่ใช่เพราะข้าหวาดกลัว แต่เพราะข้าไม่อยากให้ท่านลำบาก ข้าไม่อยากเป็นเพียงเงาที่ถ่วงท่านไว้ หากข้าสามารถทำให้ทุกสิ่งง่ายขึ้นสักนิด ข้าก็ยินดี”

เถียนเฟิงทอดถอนใจ สายตาเปี่ยมด้วยความอาทร เขายกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำขลับของเสวี่ยซีอย่างแผ่วเบา “เจ้าช่างดื้อดึงเหลือเกินแต่ก็เพราะความดื้อดึงนี้เอง ที่ทำให้ข้าไม่อาจปล่อยเจ้าไป”

เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นใกล้ร้านขนมทำให้บรรยากาศคลายลงเล็กน้อย เสวี่ยซีมองภาพนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน พลันหัวใจสงบลงบ้าง เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบหน้ากากผ้าขาวจากร้านขายเครื่องประดับใกล้ ๆ มาสวมไว้ปิดครึ่งใบหน้า แล้วเอ่ยกับเถียนเฟิงด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เช่นนี้ก็คงพอข้าอยากลองเดินดูของจริง ๆ แล้ว”

เถียนเฟิงมองภาพนั้นแล้วหัวใจอ่อนยวบ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ความงดงามถูกบดบัง แต่เขาก็ไม่อาจขัดความตั้งใจของเสวี่ยซีได้ เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มอบอุ่น “เช่นนั้น…เราจะไปด้วยกัน ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใด ข้าก็จะปกป้องเจ้าเสมอ”



เสียงเรียกขายและกลิ่นควันจากเตาถ่านผสมกลิ่นเครื่องเทศยังคงกรุ่นกรายในตรอกตลาดตะวันออก ทว่าใจของเสวี่ยซีกลับพร้อมร้อยเต็มด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาเดินเคียงข้างเถียนเฟิงท่ามกลางสายตาคราวนี้ไม่ใช่การหลบซ่อนอีกต่อไป แต่เป็นการก้าวออกไปพร้อมกันอย่างมีสถานะและศักดิ์ศรีของตนเอง

“ข้าไม่อยากปิดหน้ากากอีกต่อไป” เสวี่ยซีพูดขึ้นขณะที่ทั้งคู่ยืนหยุดที่หน้าร้านผ้าแพร ชายหนุ่มเอื้อมมือดึงผ้าหน้ากากผ้าสีขาวนั้นลงช้า ๆ ดวงตาสีอำพันสะท้อนแดดและความมุ่งมั่น “ข้าจะเชิดหน้า เผชิญสายตาพวกเขาเอง ท่านอย่าได้ห้าม”

ความเงียบฉับพลันคลี่ขึ้นรอบสองคน ความอึกทึกของตลาดเหมือนชะงักลงชั่วคราว ผู้คนหันมามองคล้ายเพิ่งเห็นฉากหนึ่งในละครเวที ชายหนุ่มที่เคยถูกประมูล เป็นนายโลม ผู้ที่ถูกลดทอนเป็นเพียงสินค้า กลับกล้าหาญพอจะยืนตรงในที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้เขาขยะแขยงจนตัวสั่น

เถียนเฟิงมองเสวี่ยซีพินิจ เขาเห็นทุกความตั้งใจในแววตานั้น รู้ถึงแผลที่ยังคงสด จนบางครั้งคำพูดแทบไม่อาจบรรยายความหนักหน่วงในใจได้ แต่สำหรับคนที่มีอำนาจและยืนมาโดยตลอด มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำได้และจะทำอย่างแน่วแน่ให้การยืนยันต่อหน้าผู้คน

“ถ้าเจ้าอยากเชิดหน้า ก็เชิดเถิด” เขาพูดเสียงหนักแน่น พลางก้าวยืนอยู่ถัดจากเสวี่ยซีให้ใกล้ขึ้น เสื้อน้ำตาลเรียบของเขาไม่อาจปกปิดความสง่างามได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือท่าที ท่าทีที่ประกาศต่อสาธารณะว่า เสวี่ยซีไม่ใช่คนไร้ค่า และคนเคียงข้างเขาก็ไม่ใช่คนด้อยค่า

คนในตลาดกระซิบกระซาบกันต่อ คราวนี้เสียงซุบซิบที่แผ่วลงกลับแปรเปลี่ยนเป็นความใคร่รู้ผสมความเคลือบแคลง หลายสายตาค้นหาเบื้องหลังของชายทั้งสอง บ้างชี้ไปที่เครื่องหมายที่ประดับอยู่บนคอเสื้อของเถียนเฟิง บ้างพยักหน้ากันเบา ๆ ยิ่งเห็นว่าผู้ที่ยืนเคียงข้างเสวี่ยซีนั้นมีท่าทีสง่างาม มีลูกน้องเรียงรายเบื้องหลัง ยิ่งทำให้เรื่องเล่าต่าง ๆ เกิดขึ้นในหัวคนดู

“พวกเจ้าที่นี่” เถียนเฟิงยกมือขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในตรอกหันมามอง เขาไม่ยกเสียงเงียบ แต่ก็ไม่ต่ำจนคนไม่ได้ยิน “ผู้ใดว่าเจ้าเป็นเพียงของ หากเจ้าหาเหตุผลมาระบุ ข้าขอถามกลับว่า เจ้าเห็นคนที่พวกเจ้ายกย่องด้วยตาแบบใด”

คำถามนั้นเรียบแต่หนักแน่น ราวกับคมดาบที่ตัดเข้าไปในความเห็นคิดเดิม ๆ ของคนฟัง คนที่เพิ่งแอบซุบซิบกันเมื่อครู่หยุดชะงัก บ้างอึกอัก บ้างมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะตอบว่ายังไง ความเงียบชั่วขณะนั้นเปลี่ยนบรรยากาศในตรอกจากความซุบซิบกลายเป็นความตระหนักว่าเรื่องราวไม่อาจยังอยู่ในอดีตเพียงลำพัง

เสวี่ยซีได้ยินคำพูดนั้น เขารู้สึกเหมือนมีลมหายใจใหม่พัดผ่านอก รอยยิ้มบาง ๆ ทว่าจริงใจแผ่ขึ้นบนใบหน้า “ข้าขอเพียงได้เดินดูตลาดอย่างปกติบ้างเท่านั้น ท่านต้าซือคง หากข้าได้รับคำว่าเพียง ‘ของ’ อีกครั้ง ข้าก็พร้อมจะจากไป” น้ำเสียงของเขาแผ่ว แต่มีความแน่วแน่อยู่ในนั้น

เถียนเฟิงเห็นดังนั้น เขาไม่เพียงยืนเงียบอีกต่อไป เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว ยกระดับน้ำเสียงให้ดังไปยังทุกหูในตลาด “หากพวกเจ้าคิดจะวัดคุณค่าใครด้วยผลประโยชน์ เจ้าจงจำไว้ว่าค่าแท้จริงมิใช่สิ่งซื้อขายที่ชั่งด้วยเงิน หากเจ้ายังแยกแยะไม่ได้ว่า ‘คน’ กับ ‘วัตถุ’ ต่างกันอย่างไร ก็สมควรถูกสั่งสอนด้วยการแลกเปลี่ยนความคิด และหากจำเป็นด้วยการลงมือ”

คำพูดของเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำประจบ แต่มันเต็มไปด้วยอิทธิพล ผู้คนหยุดพูดคุย หลายคนทรุดตัวหัวคำนับ  ไม่ใช่เพราะกลัวเท่านั้น หากแต่ด้วยการยอมรับในสถานะที่เถียนเฟิงสำแดงออกมา การปรากฏตัวของเขาเปรียบเสมือนเสาหลักที่ค้ำจุนความเชื่อมั่นของเสวี่ยซีไว้

ชายชราคนหนึ่งในมุมถนนผงกศีรษะอย่างเคารพ “ท่านต้าซือคง ผู้ใดจะกล้าตัดสิน ‘คุณค่า’ ของคนด้วยการประมูลเล่า ท่านกล่าวถูกแล้ว” เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่มีน้ำหนักพอให้คนแถวนั้นรับรู้

เสวี่ยซีมองเถียนเฟิง หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบหลุดจากทรวง เชื่อมต่อกันด้วยสายตาที่ไม่มีคำพูดใดเทียบ เทียนเฟิงไม่คำนึงว่าการประกาศแบบนั้นอาจทำให้บางคนไม่พอใจ หรือว่าเขาจะต้องถูกขัดความสงบจากเจ้านายคนอื่น

ในชั่วขณะนั้นสิ่งเดียวที่สำคัญคือการยืนยันว่า เสวี่ยซีมีคุณค่า มีหน้าตา และมีสิทธิจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนได้โดยไม่ถูกลดทอน

จากนั้นเถียนเฟิงก้าวไปยังร้านเครื่องหอมหนึ่งในตลาด เขายื่นหยกเงินก้อนหนักให้กับแม่ค้าผมขาวที่นั่งอยู่ หน้าแม่ค้าสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเถียนเฟิงกล่าวว่า “ข้าขอซื้อเครื่องหอมที่ดีที่สุดของร้านนี้ และจะให้คนนำไปฝากไว้ในหอว่านหงเหรินสำหรับผู้ใดที่คิดว่า ‘ของสวยงาม’ ควรถูกเก็บไว้เพียงในตู้ จงเรียนรู้ว่าความงดงามบางสิ่งควรได้เผยแพร่ออกมาให้คนทั้งเมืองได้ชื่นชม”

คำพูดนั้นดูเหมือนจะมีน้ำหนักของการใช้จ่ายเงิน แต่เบื้องหลังคือสัญลักษณ์ไม่ใช่การซื้อเพื่อแสดงอำนาจ แต่เป็นการใช้เงินตราเป็นเครื่องมือในการประกาศต่อสาธารณะว่า เสวี่ยซีได้รับการปกป้องและได้รับเกียรติที่ควรได้รับ

แม่ค้าหญิงยกยิ้มคล้อยตาม รับตำลึงทอง พลางก้มหัว “ขอบพระคุณที่อุดหนุนท่านต้าซือคง” เธอหยิบกลิ่นหอมที่บรรจงปรุงด้วยดอกไม้และยาจีนโบราณ ส่งให้แก่เถียนเฟิง มือของเขารับมาแล้วหันไปมอบให้เสวี่ยซีตรง ๆ

เสวี่ยซีรับกลิ่นหอมในมือ แล้วค่อย ๆ ยิ้ม รอยยิ้มนั้นละเอียดอ่อนแต่จริงใจ เขารู้สึกได้ว่าไม่ใช่เพียงแค่รสชาติของดินและดอกไม้ แต่เป็นรสชาติของการยอมรับที่ลึกซึ้งมากกว่าเงินทอง

“ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องซ่อนความงามของตนเองไว้แล้ว” เถียนเฟิงกล่าว เสียงเขาอ่อนลงแต่น้ำหนักของคำพูดนั้นหนักแน่นพอทำให้เสวี่ยซีกลั้นหายใจ “หากใครจ้องมอง เจ้าแค่ตอบกลับด้วยความสง่างามของตัวเอง และหากจำเป็น ข้าจะยืนตรงนั้นคอยรับมือกับใครที่คิดร้าย”

การกล่าวประโยคนั้นไม่เพียงให้คำสัญญา แต่ยังเป็นการประกาศต่อหน้าพ่อค้าแม่ค้าว่า ผู้ที่เคยนับว่า “ของ” ได้เปลี่ยนสถานะมีคนยินดีปกป้อง และมีคนยอมจ่ายด้วยใจที่ปรารถนาดีไม่ใช่เพียงเสน่หา

เสวี่ยซีสบตาเถียนเฟิง น้ำตาเล็ก ๆ เอ่ออีกครั้งไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เป็นความอิ่มเอมที่คล้ายความอบอุ่นสดใหม่ที่ไม่เคยได้รับ

จากนั้นทั้งสองเดินต่อไปตามตรอก เสวี่ยซีเริ่มค่อย ๆ ผ่อนคลาย เขาเอื้อมมือจับโอบผ้าไหมบางชิ้นดูกับใจตื่นเต้น เด็ก ๆ วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มเล็ก ๆ หนึ่งยกมือทักทายด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของเด็กนั้นตรงไปตรงมา ไม่มีมุมมองใดที่เย็นชาหรือตัดสิน โลกของเด็ก ๆ ไม่รู้จักคำว่าประมูลหรือตำหนิ พวกเขาหาได้เพียงความอยากรู้อยากเห็นบริสุทธิ์

เขาลิ้มชิมขนมถั่วบดที่แม่ค้าสวมผ้าคาดหัวให้ชิม แล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เป็นครั้งแรกในนานนัก เสียงหัวเราะนั้นดังกว่าเสียงซุบซิบที่ยังคงแผ่ว ๆ อยู่เบื้องหลัง และเถียนเฟิงก็ยืนมองด้วยเสน่ห์ที่เย็นแต่ใจอบอุ่น

แน่นอนว่ายังมีคนที่มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร มีคนที่กระซิบบ่นถึงราคาที่เถียนเฟิงจ่ายเมื่อครู่ แต่ปฏิกิริยานั้นค่อย ๆ จางหายไป เมื่อผู้คนเริ่มเห็นภาพของสองคนยืนด้วยกันไม่หวั่นไหว บ้างเริ่มสนใจของที่ขาย บ้างกลับมองด้วยความเคารพเช่นเดียวกับผู้เฝ้าดูศิลปะที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ระหว่างเดินผ่านร้านขายพู่กันและกระดาษอักษร เสวี่ยซีชี้ไปที่ม้วนกระดาษหนึ่งที่มีอักษรโบราณคัดอย่างงดงาม เขาเอ่ยว่าอยากเรียนคัดลายมือแบบนี้บ้าง เถียนเฟิงยิ้มและพยักหน้า เขาพาเสวี่ยซีหยุดที่ร้านเล็ก ๆ สั่งให้ช่างพาเขาไปนั่งตรงม้านั่งหน้าแผงแล้วสั่งให้นายช่างช่วยจับปากกาให้

ผู้คนที่เห็นภาพนี้อาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเสวี่ยซีมันช่างมีความหมายยิ่ง.ชายผู้เคยถูกสั่งให้นั่งเป็นวัตถุเพื่อเบิกบานใจคนอื่น กลับได้สัมผัสความรู้ที่ไม่ใช่เพื่อ ‘ขาย’ แต่เพื่อ ‘เติบโต’ เพื่ออิสระที่แท้จริง

ระหว่างบทสนทนาเล็ก ๆ เถียนเฟิงเอื้อนถามบ้างถึงความชอบเกี่ยวกับอาหาร ขนม และสินค้า เสวี่ยซีตอบอย่างอาย ๆ แต่ทุกคำที่ออกจากปากเขาเต็มไปด้วยความจริงใจและความกระตือรือร้น ในหลายครั้งที่เขาพูด เถียนเฟิงจะค่อย ๆ เพิ่มท่าทีอธิบายอย่างใจเย็น ทำให้คนรอบข้างเห็นภาพว่าทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์แบบคนในครอบครัว ไม่ใช่การซื้อขาย

เวลาล่วงเลยไปจนเย็นคล้อย แสงอาทิตย์เริ่มเย็นลง ตลาดเริ่มคึกคักมากขึ้น เสวี่ยซีได้ลองสวมผ้าแพรบาง ๆ ที่แม่ค้าอารมณ์ดีคนหนึ่งแนะนำ เขาเดินไปยังหน้ากระจกเล็ก ๆ ที่วางไว้หน้าร้าน พลางปรับชายผ้า เส้นผมที่เคยดูเป็นภาระตอนนี้กลับกลายเป็นมงกุฎเล็ก ๆ ของความงาม เสียงหัวใจที่เต้นมากเกินไปในเช้านี้เริ่มนิ่งลง และเขาเริ่มเข้าใจว่า ความงดงามของตนเองไม่ใช่คำพิพากษา หากเป็นสิ่งที่สามารถนำมาเป็นความภาคภูมิใจได้

เสวี่ยซีและเถียนเฟิงหยุดที่ร้านขายดอกไม้ เด็กขายดอกไม้ตัวน้อยยื่นใส่พวงดอกไม้จิ๋วให้ เสวี่ยซีรับแล้วส่งให้เถียนเฟิงด้วยความละมุน เถียนเฟิงรับดอกไม้ไว้ พลางส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นให้กลับรอยยิ้มที่บอกว่าเขายอมอ่อนลงเพื่อคนตรงหน้า

ในวันนั้นเสวี่ยซีได้สัมผัสกับตลาดตะวันออกอย่างเต็มเต็ม เขาเดิน ดู ชิม พูดคุย ให้รอยยิ้มเล็ก ๆ กับเด็ก ๆ และแม้จะยังต้องเผชิญกับสายตาและเสียงกระซิบเป็นระยะ แต่คราวนี้เขามีเถียนเฟิงยืนเป็นกำแพง เป็นผู้ปัดเป่า และเป็นผู้ประกาศต่อสาธารณะว่าเขาไม่ต่ำต้อย ในความผิดหวังนั้นกลับเกิดความกล้าหาญขึ้นทีละน้อย

เสวี่ยซีเงยหน้ามองท้องฟ้าขณะพระอาทิตย์กำลังลับขอบเมฆ “วันนี้ข้ารู้สึกว่าได้หายใจจริง ๆ เป็นครั้งแรก” เขาพูดเสียงแผ่ว และขอบตาแววขึ้นอีกครั้งด้วยความอ่อนโยน

เถียนเฟิงมองหน้าเขาอย่างพินิจ จากแววตาคนผู้นี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความแน่วแน่ “ข้าอยากเห็นเจ้ายิ้มแบบนี้อีก” เขาตอบ “ไม่ใช่เพราะใครชม แต่เพราะเจ้ารู้ค่าของตัวเอง”

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 42269 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-14 20:53
โพสต์ 42,269 ไบต์และได้รับ +6 EXP +6 คุณธรรม +6 ความโหด จาก พู่หยกสลักลายมังกร  โพสต์ 2025-9-14 20:53
โพสต์ 42,269 ไบต์และได้รับ +8 EXP +9 ความชั่ว +9 ความโหด จาก ตำราอักษรภาพพื้นฐาน  โพสต์ 2025-9-14 20:53
โพสต์ 42,269 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-14 20:53
โพสต์ 42,269 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2025-9-14 20:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
145
ความชั่ว
697
ความโหด
1566
โพสต์ 2025-9-17 21:46:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTiandao เมื่อ 2025-9-17 21:51

วันที่ 17 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เวลา 12.00-13.00

กลางแดดอ่อนยามสาย ตลาดตะวันออกในนครฉางอานคึกคักดั่งเกลียวคลื่น เสียงกลองหนังเรียกความสนใจผู้คนจากทั่วสารทิศ เสียงพ่อค้าร้องเรียกสินค้า เครื่องเทศจากเปอร์เซีย กระดิ่งทองคำจากยูนนาน ปะปนกับกลิ่นกล้วยเชื่อม ทอดมัน และน้ำชาเข้มข้นที่ต้มอยู่ริมทาง


ที่มุมหนึ่งใกล้ประตูตลาด มีเงาชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น หลังพิงล้อเกวียนผุพัง เครารุงรังแตะปลายอก ผ้าคลุมไหล่ขาดเป็นริ้ว หน้าเงยขึ้นบ้าง ก้มลงบ้าง ขณะมือซ้ายคีบพู่กันแห้ง ๆ กำลังตวัดเส้นหมึกบางลงบนกระดาษห่อขนมเก่า ๆ เบื้องหน้าเขามีแผ่นไม้เก่าติดตัวหนังสือด้วยถ่านสีจางว่า ขายตำราวรยุทธ์ วิชาแท้ดั้งเดิม เขียนด้วยสองมือคนไม่เคยจับดาบ หนึ่ง ตำลึง ตำรา หนึ่ง ชาติจอมยุทธ์ ไม่พอใจไม่รับคืน เพราะไม่มีบ้านให้คืน


ผู้คนเดินผ่านไปมา ไม่มีใครสนใจ มีเพียงเด็ก ๆ บางคนแอบหัวเราะ หรือโยนเหรียญสนิม ๆ มาใส่ถ้วยหน้าเขา แต่ชายแก่ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง เขาเฝ้ารอใครบางคน บางคนที่ไม่ใช่พ่อค้าหรือโจรกระจอก  บางคนที่มี แววตา แบบที่เขาเคยมีก่อนโลกจะเหยียบย่ำมันจมดิน แล้ว นางก็เดินผ่านมา


เด็กหญิงน้อยในชุดผ้าฝ้ายบางสีเทาอ่อน ผูกเปียสองข้าง ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางปิดไว้ครึ่งล่าง แต่ดวงตากลมโตนั้น สีน้ำตาลอ่อนล้ำ เหลือบสวาดแผ่ว ใสกระจ่างราวหยาดน้ำค้างบนกลีบบุปผาในรุ่งอรุณ


จี เทียนเต้าเงยหน้าขึ้นทันที ราวถูกสายฟ้าฟาดกลางดวงจิต นัยน์ตาของเขาสั่นไหว ปากขยับคำที่ไร้เสียงออกมา


“เจ้าหนู” แต่นางไม่หยุดเดิน เหมือนโลกไม่เคยได้ยินเสียงของชายชรา เขาจึงตะโกนขึ้น ลั่นตลาด “หนูหนู หยุดก่อน สนใจ วิชากายาทรราช ไหม กระบวนท่าที่ทำให้ข้าเอาชนะยอดฝีมือสิบคนด้วยตะเกียบเพียงคู่เดียว”


นางหยุดกึก หันกลับมามองอย่างแปลกใจ สายตาระคนขำกับระแวดระวัง

“จริงหรือ”


จี เทียนเต้าลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วผิดวัย แผ่นหลังที่โค้งงอพลันตรงขึ้นชั่วขณะ เขาคาบพู่กันไว้ในปาก พลิกแผ่นกระดาษแห้งกรังขึ้นให้ดู


ดูนี่ วิชากระบี่สะบั้นดารา ข้าเขียนเองกับมือ ไม่มีในหอคัมภีร์ กระบวนท่าที่ใช้ ท่วงท่าเหนือจินตนาการ เป็นอาวุธ ฟันไปที่ไม่มีใครคิดจะฟัน ข้าเคยใช้ตัดขาแม่ทัพใหญ่กลางสนามรบมาแล้ว ตอนนั้นอายุเจ็ดขวบพอดี”

เด็กหญิงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่แล้วก็หยุดตัวเองทันที นัยน์ตานั้นไม่อาจปิดซ่อนความอยากรู้อยากเห็น

“ท่านเขียนเองทั้งหมดหรือ”

“แน่นอน ใต้ฟ้านี้ ใครเล่าจะเก่งกาจได้เท่าข้า”


นางค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ เขา มือเล็ก ๆ เอื้อมหยิบกระดาษหนึ่งแผ่น เขาไม่ห้าม ไม่เร่งรัด เพียงมองด้วยแววตาอ่อนโยน บางอย่างในสายลมนั้น เงียบงันขึ้นเล็กน้อย ตลาดวุ่นวายเหมือนเดิม แต่ ณ มุมเล็ก ๆ นี้ เด็กหญิงองค์หญิงผู้ปลอมตัวเป็นสามัญ กับชายแก่ผู้บ้าคลั่งในความฝัน กำลังแบ่งปันช่วงเวลาอันแปลกประหลาดร่วมกัน


“ข้าเขียนตำราไว้ 108 วิชา แต่มีเพียงหนึ่งเดียว ที่ข้าไม่กล้าใช้จริง เจ้ารู้ไหม เพราะเหตุใด” นางส่ายหน้า เขายิ้ม ก่อนกระซิบคำตอบ “เพราะมันคือ วิชาที่ใช้ปกป้อง มิใช่ทำลาย และข้า ไม่เคยมีใครให้ปกป้องเลยแม้แต่คนเดียว”


หลิว หรูเยี่ยนนิ่งไป แววตาที่เคยสดใสกลายเป็นลึกซึ้งราวมีบางสิ่งไหววูบในใจ
จี เทียนเต้ายกมือขึ้นอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วกร้านลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเบามือ เสียงของเขาเบาจนเกือบกลืนไปกับเสียงลม

“เจ้า คือใครกันแน่ เด็กน้อย” เขาไม่ถามต่อ ไม่รั้งไว้ เพียงยิ้มให้ แล้วโบกมือลาช้า ๆ



“ถ้าเจ้าได้เป็นจอมยุทธ์ในภายภาคหน้า อย่าลืมข้า แต่ถ้าไม่ได้เป็นล่ะก็ ยิ่งอย่าลืมข้ายิ่งกว่า”


นางลุกขึ้นยืน  ชายชรารีบหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากกองตำราที่เก็บไว้ในผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ มันเป็นแผ่นบาง ๆ กระดาษสีน้ำตาลเข้ม ที่ถูกพับอย่างประณีต


“นี่ ” เขาเรียกเธอไว้ “ตำราวิชาพิเศษนี้ ข้าไม่ได้ขาย ข้ามอบให้เจ้าแทน”
หลิว หรูเยี่ยนหยุดชะงัก จี เทียนเต้าค่อย ๆ คลี่กระดาษออก เผยให้เห็นภาพวาดลายเส้นอักษรโบราณ และภาพท่าทางดาบที่วาดด้วยใจ

“นี่คือ ตำราวิชากระบี่สะบั้นดารา รุ่นต้นฉบับ ที่ข้าตั้งใจเขียนไว้เพื่อคนที่รู้จักคุณค่าของมันจริง ๆ” ชายชราพูดเสียงแผ่ว ราวกับกล่าวคำอำลา
“เก็บไว้ ฝึกฝนมันด้วยหัวใจ อย่าให้ใครทำลายมัน หรือหัวใจของเจ้าล่ะ”

หลิว หรูเยี่ยนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม สายลมพัดผ่านตลาดตะวันออก ส่งกลิ่นเครื่องเทศและผ้าไหมเข้ามาอีกครั้ง สองเงาร่างแตกต่างกันในความสูงและวัย ยืนอยู่ตรงนั้นชั่วครู่หนึ่งก่อนแยกย้าย


จี เทียนเต้ากลับมานั่ง จ้องมองแผ่นกระดาษในมือ ตรงมุมมีรอยนิ้วมือเปื้อนแป้งขนมจาง ๆ เขาพึมพำเสียงแผ่วราวตำนานที่ไม่มีใครจำ
“ตำราหนึ่งตำลึง เจ้าอาจเป็นเพียงคนเดียวที่อ่านมันเข้าใจจริง ๆ”
_____________________________________________________________________
[ NPC - 16] หลิว หรูเยี่ยน
โรลเพลบ์พูดคุยด้วยประจำวัน : ได้รับความสัมพันธ์ +5







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-9-18 15:35
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-9-18 15:35
โพสต์ 14353 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-17 21:46
โพสต์ 14,353 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-17 21:46
โพสต์ 14,353 ไบต์และได้รับ +2 EXP +4 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-17 21:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1

1

กระทู้

91

ตอบกลับ

1161

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
888
ตำลึงทอง
39
ตำลึงเงิน
114
เหรียญอู่จู
9349
STR
0+6
INT
0+1
LUK
0+5
POW
0+0
CHA
20+5
VIT
5+7
คุณธรรม
145
ความชั่ว
697
ความโหด
1566
โพสต์ 2025-9-19 13:05:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย JiTiandao เมื่อ 2025-9-19 13:10

วันที่ 19 เดือน 8 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เวลา 14.30-16.00

ณ ตลาดตะวันออกในเมืองฉางอัน กลิ่นเครื่องเทศและผ้าไหมหอมกรุ่นปะปนกับเสียงเจื้อยแจ้วของพ่อค้าแม่ค้า ผู้คนเดินกันขวักไขว่ให้บรรยากาศคึกคัก

จี เทียนเต้า ชายแก่หัวล้าน รูปร่างผอมแห้ง แต่ดวงตาแฝงความเฉียบคม เดินฝ่าผู้คนมาอย่างมั่นใจ ถึงแม้เสื้อผ้าจะขาดโทรม แต่ท่าทางกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจประหลาด เขามุ่งตรงไปยังมุมหนึ่งของตลาด ที่ชายหนุ่มแต่งตัวเรียบร้อยกำลังเปิดแผงทำนายดวงชะตาอยู่ ชายหนุ่มนั้นคือ ตงฟาง ซั่ว อุปราชเจ้าปัญญาผู้เป็นที่เคารพของผู้คนในราชสำนักฮั่น จี เทียนเต้าไม่รอช้า เขาตั้งแผงดูดวงเล็กๆ ข้างแผงของตงฟางซั่ว จากนั้นก็เริ่มตะโกนเรียกลูกค้าด้วยน้ำเสียงดังและมั่นใจ


“มาฟังคำทำนายจาก จี เทียนเต้า ผู้รู้ลึกถึงใจมนุษย์ ใครอยากรู้เรื่องดีเรื่องร้าย อย่าหลงเชื่อแต่คำหวานของใคร มาหาข้าเถิด”

ตงฟางซั่วยิ้มอย่างใจเย็น ก่อนตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวล

“คำทำนายที่แท้จริง คือแสงสว่างนำทางในความมืด จงฟังด้วยใจเปิดกว้าง แล้วทุกอย่างจะคลี่คลาย”

เสียงพูดคุยเริ่มสงบลง ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงโวยวายดังมาจากฝั่งตรงข้ามของตลาด

“ของปลอม ของปลอม มีคนขายผ้าไหมปลอมในตลาด”


ผู้คนเริ่มหันไปมอง พ่อค้าคนหนึ่งถูกกล่าวหาด้วยความโกรธและเสียงสูงพ่อค้าคนนั้นปฏิเสธเสียงสั่น


“ผ้าไหมของข้าคือของแท้ อย่าเพิ่งตัดสินใจโดยไม่ฟังข้า”


ฝูงชนเริ่มรวมตัวกัน บรรยากาศเริ่มตึงเครียดและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย


จีเทียนเต้าเห็นโอกาส รีบตะโกนอย่างมั่นใจ “หยุดก่อน ใครอยากรู้ความจริง มาฟังคำทำนายจากข้า ข้าอ่านใจคนได้แม่นยำกว่าที่ใครคิดแน่นอน”

ตงฟางซั่วมองจี เทียนเต้าอย่างนิ่งสงบ และพูดอย่างใจเย็น “อย่าปล่อยให้ความโกลาหลบดบังความจริง จงใช้เหตุผลและความสงบเพื่อค้นหาความยุติธรรม”

ผู้คนในตลาดเริ่มนิ่งฟัง การแข่งขันระหว่างชายสองคนผู้นี้จึงเริ่มต้นขึ้น ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความหวาดระแวง

จี เทียนเต้า ยืนตรงกลางตลาด ดวงตาแหลมคมเปล่งประกายความมั่นใจ เขาชูกำปั้นขึ้นเหนือหัว ตะโกนเสียงดังเพื่อดึงความสนใจ


“เจ้าทั้งหลาย หากต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับผ้าไหมปลอมนี้ จงฟังคำจากข้า ข้าอ่านใจคนได้ แม้แต่คนที่ซ่อนความลับลึกที่สุด ข้าจะบอกเจ้าได้ว่าใครพูดจริง ใครโกหก”


ผู้คนหันมาสนใจ จี เทียนเต้า พลางขานรับด้วยเสียงเบาๆ
ในขณะเดียวกัน ตงฟางซั่ว ยังคงนั่งสงบอยู่ที่แผงของตน มือถือพัดเล็กสีคราม เขาเงยหน้าขึ้น มองฝูงชนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสุขุม

“ทุกคนในที่นี้ ขอให้ใจเย็น จงฟังเหตุผล ความวุ่นวายจะไม่ช่วยให้ความจริงปรากฏ” ตงฟางซั่วกล่าวเสียงนุ่ม “ข้าจะใช้ศาสตร์แห่งดวงดาวและอักษรโบราณทำนายเพื่อหาความจริงในเรื่องนี้”

ชายหนุ่มเดินไปยังจุดเกิดเหตุ ชี้ไปที่ผ้าไหมที่ถูกกล่าวหา และเริ่มวิเคราะห์อย่างละเอียด ชี้ให้เห็นร่องรอยการปลอมแปลงที่อาจไม่ชัดเจนสำหรับตาเปล่า

จี เทียนเต้าไม่ยอมแพ้ เขาก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสผ้าไหมนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปพูดกับผู้คนอย่างมั่นใจ

“ข้ารู้แล้ว ผ้าไหมนี้แม้จะดูดี แต่สัมผัสด้วยมือของข้า บ่งบอกว่าเป็นของเก่าและผ่านการซ่อมแซม แสดงว่ามีเจตนาโกงแน่นอน ใครกันที่พยายามใช้ของปลอมมาหลอกพวกเจ้า” ฝูงชนเริ่มซุบซิบ ตรงกลางตลาดความตึงเครียดเริ่มคลี่คลายลง แต่ยังไม่มีใครกล้าตัดสินใจ


ตงฟางซั่วจึงก้าวเข้ามาอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่สงบ “ความจริงต้องไม่เพียงแค่จับต้อง แต่ต้องพิสูจน์ด้วยความยุติธรรมและเหตุผล หากเราลงโทษคนผิดโดยไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ ตลาดนี้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่ความไว้ใจ”

จี เทียนเต้าและตงฟางซั่วจ้องตากันเหมือนกำลังรอคำตอบจากฝูงชน


“เจ้าคิดว่าใครกันแน่จะช่วยทำให้ตลาดนี้สงบและยุติธรรมได้” จี เทียนเต้าถามเสียงท้าทาย

ผู้คนเริ่มแบ่งฝักฝ่าย บางส่วนเชื่อในคำทำนายและการอ่านใจของจี เทียนเต้า ขณะที่บางส่วนเชื่อในความรู้และสติปัญญาของตงฟางซั่ว ในที่สุด ความวุ่นวายก็กลายเป็นเวทีแข่งขันของสองชายผู้นี้ เพื่อพิสูจน์ว่าใครจะเป็นผู้ไขความจริงและนำความสงบสุขกลับคืนสู่ตลาดตะวันออกแห่งนี้





เสียงซุบซิบในตลาดเริ่มแผ่วลงเมื่อทั้ง จี เทียนเต้า และ ตงฟางซั่ว ต่างเปิดฉากการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ท่ามกลางสายตาของชาวตลาดที่จับจ้อง
จี เทียนเต้าใช้มือหยาบกร้านหยิบผ้าไหมขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวด้วยเสียงลั่น

“เจ้าดูนี่ แม้ผ้าจะดูงดงาม แต่กลิ่นนี้มันคือกลิ่นของผ้าที่ถูกล้างซ้ำและเคลือบสารเคมีเพื่อกลบกลิ่นของผ้าเก่า พวกเจ้าทุกคนถูกหลอกโดยคนที่คิดเพียงแต่จะหาเงินโดยไม่สนใจเกียรติยศ”

ฝูงชนเริ่มกระซิบกันแรงขึ้น จี เทียนเต้ายังไม่หยุดพูด เขาหันไปพูดกับพ่อค้าที่ถูกกล่าวหา


“เจ้าพยายามขายของปลอมให้ชาวตลาดใช่หรือไม่ บอกความจริงซะ หากเจ้าสำนึกผิด ข้าจะช่วยเจรจาให้เจ้าไม่ถูกลงโทษหนักเกินไป”

ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น ตงฟางซั่วเดินเข้ามาอย่างสง่างาม มือถือสมุดจดเล่มเล็ก เปิดออก เขาชี้ไปที่สัญลักษณ์และตัวอักษรที่เขียนไว้

“ข้าศึกษารายงานและตรวจสอบมาตรฐานของผ้าไหมในตลาดนี้ พบว่าชิ้นนี้ไม่มีสัญลักษณ์รับรองจากราชสำนัก และตามหลักโบราณที่ใช้พิสูจน์สินค้าแท้ ผ้าไหมต้องผ่านการประทับตราด้วยหมึกพิเศษซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถตรวจสอบด้วยน้ำหมึกดำ”


เขาค่อย ๆ หยิบหมึกดำออกมา ทาบลงบนผ้าไหมที่ถูกกล่าวหา ทันใดนั้นก็ปรากฏตราเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้าไหม


“นี่คือเครื่องหมายรับรองของราชสำนัก” ตงฟางซั่วกล่าวอย่างมั่นใจ “ดังนั้นผ้าชิ้นนี้เป็นของแท้ เจ้าไม่ได้โกงใคร แต่กำลังถูกกลั่นแกล้ง”


ผู้คนในตลาดต่างอ้าปากค้าง เห็นชัดเจนว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด จี เทียนเต้า ที่กำลังจะยิ้มเยาะ กลับชะงักไปชั่วขณะ เขามองตงฟางซั่วอย่างยอมรับในความเฉียบแหลม แต่ทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนก้องดังขึ้นจากมุมตลาด


“ปล่อยข้า ข้าไม่ได้ทำ เจ้าพวกนั้นต่างหากที่ปลอมผ้า”


เสียงดังกล่าวมาจากหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนปริ่มน้ำตา เธอถือหลักฐานเป็นแผ่นผ้าชิ้นเล็ก ๆ ที่มีรอยเขียนด้วยหมึกพิเศษเหมือนกัน

“ข้าเก็บได้จากคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามขายผ้าปลอมให้ข้ามา”

ทั้งตลาดเงียบกริบ จี เทียนเต้าและตงฟางซั่วมองหลักฐานในมือหญิงสาว จากนั้นหันไปมองกลุ่มพ่อค้าที่ยืนล้อมรอบกันอย่างหวาดกลัว


ตงฟางซั่วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ความจริงอยู่ที่หลักฐาน ไม่ใช่คำพูดใดคำพูดหนึ่ง”

จี เทียนเต้า ก้าวเดินด้วยฝีเท้าเรียบเฉย แต่มั่นคง มือหยาบกร้านยื่นออกไปรับแผ่นผ้าที่ตงฟางซั่วส่งมาให้ พลางยิ้มอย่างลึกซึ้งราวกับเก็บงำความลับของชีวิตไว้ในใจ


“เจ้าดูเหมือนคนเก่งเรื่องการอ่านใจ ข้าก็มีปัญญาที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “โลกนี้ไม่ได้วัดด้วยความเก่งกาจอย่างเดียว แต่ต้องใช้หัวใจและไหวพริบในเวลาเดียวกัน ข้าจะใช้ทั้งสองอย่างนี้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า”


ตงฟางซั่วยิ้มบาง ๆ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ “ข้าชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า เทียนเต้า แต่ในโลกที่ซับซ้อนเช่นนี้ ความสงบสุขจะเกิดขึ้นได้ด้วยการร่วมมือ ไม่ใช่แค่การแข่งกันเพียงฝ่ายเดียว” เสียงของเขาแฝงด้วยความหนักแน่นและเมตตา พ่อค้าและผู้คนในตลาดเริ่มรู้สึกถึงความหวัง

นที่สุด ทั้งสองชายก็หันหน้ามาเจรจากันด้วยความเคารพและเปิดใจ ต่างผสานความคิดแก้ไขข้อขัดแย้งและคลี่คลายความไม่พอใจของผู้คนตลาดตะวันออกค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ ความเชื่อมั่นในความยุติธรรมและความจริงเริ่มส่องแสงขึ้นอีกครั้งในใจของทุกคน

ผู้คนปรบมืออย่างยินดี ทั้งสองชายต่างสบตากันอย่างรู้ใจ ราวกับเป็นเพื่อนร่วมทางผู้ผ่านบททดสอบแห่งชีวิต และพร้อมจะเดินไปด้วยกันในเส้นทางแห่งความจริงและความยุติธรรม

หลังจากที่ตลาดตะวันออกกลับคืนสู่ความสงบและความยุติธรรมได้ถูกฟื้นคืนมา จี เทียนเต้าและตงฟางซั่วแลกเปลี่ยนรอยยิ้มและคำพูดแสดงความเคารพต่อกัน ท่ามกลางเสียงปรบมือและสายตาอันชื่นชมของผู้คน

แต่เพียงไม่นาน จี เทียนเต้าก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีสดใสและน้ำเสียงโม้โอ้อวดตามสไตล์ของตนเอง เขาเดินไปตั้งแผงขอทานและดูดวงเล็กๆ ใกล้แผงทำนายของตงฟางซั่ว


“ทำนายด้วยจี เทียนเต้าเอง คนที่จะโชคดีในวันนี้ มีงานเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ข้าเชื่อว่าถ้าท่านมาหาข้าดูดวง ท่านจะพบกับโชคชะตาที่ดีกว่าที่เคย” เขาประกาศเสียงดัง เรียกความสนใจจากผู้คนในตลาด


ตงฟางซั่วยืนยิ้มมุมปากมองดูชายแก่หัวล้านผู้นี้ที่ยังคงไม่ยอมลดละ “เจ้าช่างเป็นนักสู้จริง ๆ เทียนเต้า” เขาพูดอย่างใจดี “แต่ความจริงใจและความรู้ คือสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าจริงใจติดตามเรา ไม่ใช่คำโม้เพียงอย่างเดียว”

จี เทียนเต้าหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะพูดกลับอย่างมีชีวิตชีวา


“ข้าอาจโม้เก่ง แต่ข้าก็รู้จักคนเหมือนกันนะ เจ้าอยู่ที่นี่ ช่วยคนด้วยปัญญา ข้าก็อยู่ที่นี่ ช่วยคนด้วยปาก! อย่างน้อย ข้าก็ทำให้ตลาดนี้มีสีสันมากขึ้นบ้างไม่ใช่หรือ”

ผู้คนในตลาดหัวเราะและสนุกสนานกับการแลกเปลี่ยนของทั้งสองชาย เสียงพูดคุยและการทำนายดวงชะตาเติมเต็มบรรยากาศให้คึกคักยิ่งกว่าเดิม แม้จะเป็นคู่แข่งกัน แต่ความเคารพในกันและกันยังคงอยู่ จี เทียนเต้าเดินหน้าต่อไปในแบบของเขา โดยไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือใครทั้งนั้น และตลาดตะวันออกในวันนั้น ก็ยังคงเป็นเวทีของชีวิตและความหวัง ที่ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า

______________________________________________________________________________________________________________

[NPC -  07] ตงฟาง ซั่ว

โรลเพลย์พูดคุยด้วยประจำวัน : ได้รับความสัมพันธ์ +5





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-9-19 13:25
โพสต์ 28473 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-9-19 13:05
โพสต์ 28,473 ไบต์และได้รับ +3 EXP +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก เอ้อหู  โพสต์ 2025-9-19 13:05
โพสต์ 28,473 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-9-19 13:05
โพสต์ 28,473 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-9-19 13:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่คู่สลักจันทรา
เกราะทองแดง
เครื่องรางไหมถักแห่งมิตรภาพ
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ
พู่กันคัดอักษร
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-9-22 20:44:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 22 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซวี เวลา 19.30 - 20.00 น.
╰┈➤ พบเจอหลิวอัน

ช่วงเย็นของเมืองฉางอัน แสงตะวันอัสดงทาบทอเรื่อย ๆ ไปทั่วเส้นฟ้าด้านตะวันตก สายลมอุ่นอ่อนพัดผ่านตรอกซอกซอยในย่านตลาดตะวันออก กลิ่นหอมของอาหารหลากชนิดปะปนกันจนอบอวลไปทั้งถนน ทั้งกลิ่นหมูย่างรมควัน เนื้อแกะเสียบไม้ปรุงเครื่องเทศ กลิ่นหอมหวานของเกาลัดคั่ว และกลิ่นชาอบแห้งที่เพิ่งยกออกจากเตา ทุกสิ่งทุกอย่างสร้างบรรยากาศคึกคัก เสียงเจรจาซื้อขายดังระงมไม่ขาดสาย

เสวี่ยซีก้าวเดินช้า ๆ ผ่านกลุ่มผู้คน ท่วงท่าของเขายังคงละมุนละไม ใบหน้างดงามอ่อนหวานดั่งหยาดหิมะละลาย ดวงตาสีอำพันทอแสงสะท้อนตะเกียงที่เพิ่งถูกจุดขึ้นทีละดวงยามเย็น ทุกก้าวเดินของเขานุ่มนวล แต่ผู้ใดมองใกล้ก็จะเห็นว่าท่าทางยังแฝงความระมัดระวังเล็กน้อย กะเผลกเพียงบางเบา จนคนที่ไม่ทันสังเกตก็มักไม่รู้

ในมือถือถุงเล็กบรรจุขนมบัวหิมะกับขวดสุราเบญจมาศกลิ่นหอมหวาน

“ป่านนี้ท่านเถียนเฟิงกลับจวนหรือยังนะ” พึมพำคนเดียวแผ่วเบา นึกถึงใบหน้าของต้าซือคงผู้นั้น และรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

เสียงเจรจาจากพ่อค้าแม่ค้าแว่วผ่านหู ทว่าดวงตาของเสวี่ยซีกลับหยุดลงตรงร่างสูงสง่าผู้หนึ่งที่กำลังเดินสวนมาจากอีกฟากถนน ชายผู้นั้นไม่ได้มีการแต่งกายหรูหรา มีเพียงชุดธรรมดาที่พ่อค้าช่างฝีมือมักใส่ แต่ท่วงท่าตรงไปตรงมา ใบหน้าคมคายเรียบนิ่ง และแววตาที่อ่านยากกลับทำให้ผู้คนโดยรอบเว้นระยะโดยไม่รู้ตัว

“ท่านเสวียนเต๋อ” เสียงใสเอื้อนเอ่ยอย่างไม่ทันคิด

เสวียนเต๋อที่กำลังก้าวผ่านร้านขายผักสดหันสายตามาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบทอดมองชายหนุ่มตรงหน้า แต่ไม่ได้แสดงความประหลาดใจ เพียงพยักหน้าสั้น ๆ

“?”

เสียงของเขายังคงทุ้มต่ำและเรียบง่าย ไม่ต่างจากเมื่อวานที่ร้านเต้าหู้ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่ได้แสดงความยินดีเกินความจำเป็น เป็นเพียงการเอ่ยชื่อบุคคลที่พบเท่านั้น

เสวี่ยซีคลี่ยิ้มละมุน ดวงตาอำพันสุกใสสะท้อนประกายตะเกียงรอบ ๆ “ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันที่นี่ขอรับ ข้าเพิ่งผ่านมาเดินซื้อของ... ตลาดยามเย็นช่างคึกคักเสียจริง”

เสวียนเต๋อขยับศีรษะเล็กน้อย คล้ายรับฟังแต่ไม่แสดงความคิดเห็นต่อ เขายืนกอดอกหลวม ๆ แววตาคมทอดมองผู้คนที่เดินสวนไปมา

เสวี่ยซีที่คุ้นชินกับความเงียบขรึมของเขาอยู่บ้างแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกระดาก กลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านมาที่ตลาดเพราะธุระการค้า หรือว่ามาซื้อของใช้ส่วนตัว”

“เดินเล่นน่ะ” เสวียนเต๋อตอบเพียงสั้น ๆ สายตายังคงเรียบนิ่ง

เสวี่ยซีหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า “อ๋อ จะว่าไปรสชาติน้ำเต้าหู้ของท่าน ข้าดื่มแล้วช่างละมุนจริง ๆ” น้ำเสียงเขาแฝงด้วยความจริงใจและชื่นชม ไม่ใช่ถ้อยคำโอ้อวดเกินจริง

เสวียนเต๋อเหลือบตามองเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงปล่อยให้ความเงียบโรยตัวครู่หนึ่ง

บรรยากาศระหว่างทั้งสองคล้ายหยุดนิ่งท่ามกลางความจอแจของตลาด เหมือนโลกภายนอกเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก แต่รอบตัวกลับมีเพียงสายตาที่ประสานกันอย่างเงียบงัน

เสวี่ยซีรู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงหลุบตาลง มือเรียวขยับยกถุงเล็กในมือขึ้น แล้วเอ่ยเบา ๆ

“อันนี้... เป็นขนมบัวหิมะ พร้อมทั้งสุราเบญจมาศ ข้าคิดว่าท่านอาจจะชอบ เลยอยากมอบให้ท่านขอรับ”

ถ้อยคำซื่อตรงไม่มีการปรุงแต่ง เสวียนเต๋อหันสายตาลงมองถุงที่ยื่นมา แววตายังคงเรียบสงบ ไม่มีร่องรอยประหลาดใจ เขารับของไปด้วยท่าทีปกติ ใช้เพียงมือเดียวรับห่อขนมกับขวดสุรามาเก็บไว้

“อืม” เขาตอบรับสั้น ๆ เสียงทุ้มดังขึ้นเพียงเท่านั้น

เสวี่ยซีหน้าแดงขึ้นน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว ถึงอีกฝ่ายจะพูดเพียงคำเดียว แต่สำหรับเขาแล้วกลับรับรู้ได้ถึงการยอมรับ จึงรีบก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนเวลาท่านอีก”

เขายกถุงของตนเองขึ้นแนบอก ก้าวถอยหลังเล็กน้อยด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนจะหมุนตัวเดินหายไปในกลุ่มผู้คน เส้นผมดำเงาสะท้อนประกายตะเกียงยามเย็น ร่างบอบบางค่อย ๆ ลับหายไปในความคึกคักของตลาด

เสวียนเต๋อยืนอยู่ที่เดิม ถือถุงเล็กในมือ ดวงตาคมเงยขึ้นมองเส้นทางที่อีกฝ่ายจากไป แม้สีหน้าจะยังคงเรียบนิ่งไม่เผยอารมณ์

รอบด้านยังคงเต็มไปด้วยเสียงตะโกนขายของและกลิ่นหอมจากอาหาร ทว่าชายในชุดธรรมดาผู้นี้กลับยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะก้าวเดินต่อไปตามธุระของตน



✎ +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
✎ โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

✎ +20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง (ขนมบัวหิมะ)
✎ +15 ความสัมพันธ์ สุราเบญจมาศ
✎ อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 75 โพสต์ 2025-9-23 21:43
โพสต์ 15092 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-22 20:44
โพสต์ 15,092 ไบต์และได้รับ +2 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2025-9-22 20:44
โพสต์ 15,092 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม จาก ยาหยกบูรพา  โพสต์ 2025-9-22 20:44
โพสต์ 15,092 ไบต์และได้รับ +6 EXP +6 คุณธรรม +6 ความโหด จาก พู่หยกสลักลายมังกร  โพสต์ 2025-9-22 20:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

5

กระทู้

68

ตอบกลับ

3304

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2886
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
632
เหรียญอู่จู
11537
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+0
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-9-23 23:31:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
การประมูลคืนแรก และซื้อกระเป๋า

แสงอาทิตย์ยามสายสาดส่งผ่านบานหน้าต่าง หมิงชุนสุ่ยที่หายป่วยแล้วจะเหลือก็เพียงร่องรอยปะปรายตามร่างกายและอาการเคล็ดขัดบริเวณสะโพกเท่านั้น ชายหนุ่มรับเอาผ้าชุบน้ำจากเจียวจ้านมาเช็ดหน้าและร่างกายก่อนจะหยิบเอาชุดของตนมาสวม

วันนี้เป็นหยุดวันสุดท้ายที่ได้รับจากเถ้าแก่ เขาจึงตั้งใจที่จะชวนเจียวจ้านออกไปเดินซื้อของใช้ที่ตลาดแถวถนนสิบลี้ด้วยกันเนื่องจากของใช้ส่วนตัวที่พกมานั้นใกล้หมดแล้วนั่นเอง

“ไปกันเถอะเดี๋ยวแดดจะแรงกว่านี้”

“ขอรับคุณชาย”

ขณะหมิงชุนสุ่ยกำลังจะเดินออกจากหอไป กลับถูกคนงานของหอเรียกเอาไว้เสียก่อน ทั้งสองเป็นอันต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองหน้ากันเพียงครู่

“มีอันใดหรือ”

“เจียวสุ่ยเถ้าแก่เรียกพบเจ้า ตอนนี้น่าจะรออยู่ที่ห้องทำงานชั้นบนเจ้ารีบไปพบเถ้าแก่เถอะ

หมิงชุนสุ่ยชะงักพลางกะพริบตาอย่างขัดใจ “มาเรียกอันใดตอนนี้นะ มารความสุขจริงๆ” เขาพึมพำคล้ายบ่นก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจากทางออกจากหอเป็นเดินขึ้นบันไดขึ้นไปยังห้องทำงาน ของเถ้าแก่หลิวไค่แทน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เถ้าแก่ข้าเจียวสุ่ยขอรับ”

“เข้ามา”

สิ้นเสียงอนุญาตหมิงชุนสุ่ยก็เปิดประตูเดินเข้ายังด้านในของห้องทำงานด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความสงสัยปนไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ และพบว่าผู้ที่เรียกตนมาพบนั้นกำลังนั่งเขียนรายงานบางอย่างอยู่ด้วยท่านที่ขะมักขะเม้น

“เจียวสุ่ย เจ้าเพิ่งหายป่วยก็จะออกไปเดินเหินข้างนอกเสียแล้ว ร่างกายคนหนุ่มนี่ดีจริงๆ นะ หึหึหึเห็นแข็งแรงขึ้น ข้าก็เบาใจ” เถ้าแก่เงยหน้าจากงานขึ้นกล่าวพลางยิ้มบาง

หมิงชุนสุ่ยยกพัดปิดริมฝีปาก “ขอบคุณเถ้าแก่ที่เป็นห่วง ว่าแต่ท่านเรียกข้ามาพบคงไม่ได้แค่จะถามถึงแค่อาการป่วยหรอกใช่ไหมขอรับ”

เสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้น “เจ้าเฉลี่ยวฉลาด ใช่ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะอีกสองวันทางหอจะจัดการประมูลคืนแรกของเจ้า ข้าอยากให้เจ้าจัดเตรียมตัวให้พร้อม”

“สองวันข้างหน้า ท่านคิดว่าไอ้รอยบนตัวข้ามันจะหายทันหรือ อย่างน้อยก็อีกเป็นสัปดาห์ ท่านอยากถูกแขกครหาหรือ แค่ที่ท่านให้ข้าไปบริการไอ้คุณชายโอวหยางอะไรนั่นก็ไม่ต่างจากย้อมแมวขายแล้วนะ ระวังเถอะจะถูกแขกร้องเรียนเอาว่าหลอกลวง” หมิงชุนสุ่ยเลิกคิ้ว หางตาโค้งขึ้นยิ่งกว่าปกติ แววตาฉายประกายสงสัยไม่น้อย

เถ้าแก่พยักหน้า “ก็จริงดังเจ้าว่าแต่เจ้าคือดวงดาวที่ผู้คนรอคอย เจียวสุ่ย มีแขกไม่น้อยเรียกร้อกให้ข้าจัดประมูลคืนแรกของเจ้าแล้วเจ้าคิดว่าเถ้าแก่แบบข้าจะไม่ลำบากใจหรือ แต่ข้ารู้ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องหายทันเป็นแน่ เพราะงั้นรบรักษาตัวให้ดี”

หมิงชุนสุ่ยหัวเราะเบา ๆ พัดในมือสะบัดแรงๆราวระบายอารมณ “ช่างเถิด ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าผู้ใดจะกล้าประมูลข้าไป” เสียงทุ้มหวานปนดื้อรั้น “แล้วถ้าเขารู้ว่าข้าเป็นของมีตำหนิ ข้าก็อยากรู้ว่าแขกผู้นั้นจะมาด่าท่านอย่างไร”

หมิงชุนสุ่ยหันหลังเดินออกจากห้องทำงานของหลิวไค่ไปก่อนจะพบว่าเจียวจ้านยืนรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองนายบ่าวจะเดินออกจากหอว่านหงเหรินมุ่งสู่ตลาดฝั่งตะวันออกของถนนสิบลี้ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ผู้คนขวักไขว่ด้วยเสียงเจรจา คละเคล้ากลิ่นอาหารหอมฉุยจากร้านแผงเล็กสองข้างทาง

หมิงชุนสุ่ยยกพัดขึ้นสะบัดเบา ๆ คล้ายจะไล่ไอแดดที่เกาะแก้มแดงระเรื่อและความหงุดหงิดในใจ ใบหน้าหล่อเหลางดงามยังคงดึงดูดสายตาผู้คนได้อยู่เสมอ นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่แฝงไปด้วยแววตาซุกซนและเอาแต่ใจ เส้นผมสีดำขลับราวปีกกาถูกรวบไว้เพียงครึ่งศรีษะ และผู้ด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้มเข้ากับชุดที่สวมใส่ อีกครึ่งก็ปล่อยให้ยาวสยายปิดบังร่องรอยบนลำคอของตน เดินเคียงคู่มากับคนติดตามคนสนิทอย่างเจียวจ้านที่ใบหน้าของเจ้าตัวก็หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นนาย ต่างก็ตรงที่ใบหน้านั่นดูสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่มากกว่า

“เจียวจ้าน เจ้าคิดว่าใบนี้งามกว่าหรือไม่?” หมิงชุนสุ่ยถามขึ้นเอียงคอเล็กน้อย ถือถุงผ้าสำหรับใส่เงินปักลายเมฆคู่ฟ้า ขณะที่อีกมือเป็นลายวิหคสีแดง ซึ่งเป็นสินค้าที่ร้านค้าที่ตั้งแผงขายอยู่ที่มุมหนึ่งของตลาด

เจียวจ้านในชุดยาวสีเข้มเพียงยกคิ้ว “หากคุณชายพอใจ ใบใดก็ย่อมงามทั้งนั้นขอรับ”

“ฮึ ข้ารู้ว่าเจ้าพูดเอาใจข้า แต่ก็จริงดั่งเจ้าว่า” หมิงชุนสุ่ยหัวเราะน้อย ๆ แล้วหันกลับมามองถุงผ้าทั้งสองในมือ “ข้าจะเอาทั้งสองใบ เผื่อวันใดเบื่อสีฟ้าจะได้เปลี่ยนเป็นแดง”

เจียวจ้านเพียงส่ายศีรษะอย่างยอมแพ้ มือกุมสัมภาระทั้งหมดไว้แต่โดยดี ความสุขุมของเขายิ่งขับให้ความเอาแต่ใจของหมิงชุนสุ่ยโดดเด่นออกมา

หลังจากจ่ายเงินค่าถุงผ้าทั้งสองใบเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองเดินเที่ยวไปตามถนนแวะซื้อของกินบ้างของใช้บ้างจนตะวันเคลื่อนคล้อยจึงพากันเดินกลับหอว่านหงเหริน อาคารใหญ่สูงตระหง่านประดับโคมแดงอร่ามริมระเบียงบรรยากาศแม้จะไม่คึกคักเท่ายามราตรีก็ตาม






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14409 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-9-23 23:31
โพสต์ 14,409 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ผีผา  โพสต์ 2025-9-23 23:31
โพสต์ 14,409 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-9-23 23:31
โพสต์ 14,409 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-9-23 23:31
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้