22 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามไห่ < 21.00 น. - 23.00 น. >
@LinYa
แผ่นอกน้อย ๆ ขยับขึ้นลงช้า ๆ ในตอนแรก ราวลมหายใจของผู้ใกล้จะหลับใหล ทว่าไม่นานนัก ความสงบในร่างกายก็กลับแปรเปลี่ยนราวคลื่นใต้หุบธารที่กำลังประทุ เส้นโลหิตพลันพลุ่งพล่านคล้ายมีเปลวไฟแผ่ซ่านอยู่ในอก ลามไปตามเส้นชีพจรจนถึงปลายนิ้วมือปลายเท้า
องค์ชายน้อยกระพริบพระเนตรช้า ๆ ความร้อนแผ่วบางคล้ายไอแดดยามฤดูร้อนบนพื้นหินก่อ เริ่มก่อตัวเป็นแรงเคลื่อนไหวลึกลับจากภายใน อุณหภูมิในพระวรกายคล้ายเพิ่มขึ้นโดยไม่ปรานี ไหลเวียนในเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของตนชัดเจน
ขนพระเนตรยาวกระพือวูบ ดวงเนตรสั่นระริก ไม่ใช่ด้วยความหวาดหวั่น แต่เพราะความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างไหลวนเข้ามาไม่หยุดยั้ง
อากาศรอบกายหาได้เปลี่ยนไป ทว่าเนื้อในกลับร้อนราวก่อไฟใต้กระทะทอง
พระหัตถ์เล็กยกขึ้นแตะพระปรางเบา ๆ รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนัง
ป…เป็นอะไรไปกันแน่
น้ำทิพย์ที่เมื่อครู่ยังชวนให้เคลิบเคลิ้มในรสและกลิ่น บัดนี้กลับเหมือนตัวยาเล่นกล
เด็กชายหายพระทัยแรงครั้งหนึ่ง… จากนั้นอีกครั้ง… แต่ลมหายใจกลับยิ่งหน่วงหนัก เหงื่อผุดขึ้นเหนือไรผมแนบหน้าผาก
สายพระเนตรตวัดผ่านม่านผ้าโปร่ง… แล้วไหลวกไปยังร่างสูงที่ยังคงยืนประจำอยู่ไม่ไกล ใต้แสงตะเกียงสลัวเงาร่างนั้นนิ่งสงบ ไม่ไหวติง ไม่เอ่ยคำใด มีเพียงรอยยิ้มบางที่ระบายอยู่ตรงมุมปากราวกำลังชื่นชมภาพวาดงามเฉียบ
เด็กชายเม้มพระโอษฐ์แน่น เสียงที่ตั้งพระทัยจะเอื้อนออกกลับถูกแรงร้อนข้างในต้านทานไว้แทบทั้งหมด ทรงอยากเอ่ยถาม ทรงอยากให้ใครสักคนไขความอึดอัดคล้ายถูกกลืนด้วยไฟเช่นนี้ให้กระจ่าง ทว่าเสียงกลับตีขึ้นไปติดอยู่ตรงลำคอ พอจะเรียก ก็กลับเป็นเพียงเสียงอ้อแอ้ที่ไม่มีผู้ใดยิน
พระเนตรพราวราวจะคลอด้วยไอร้อน ร่างเล็กเอนพระวรกายพิงเบาะพลางหอบหายใจสั้น ๆ อย่างไม่อาจหักห้าม บางสิ่งบางอย่างในกายคล้ายหลุดจากกรอบระเบียบและควบคุมตนเองไม่ได้
ไยถึงเป็นเช่นนี้… หรือว่า…
ไม่ทันสิ้นพระดำริ เสียงฝีเท้าก็เคลื่อนเข้ามาในตำหนักโดยไม่ต้องรอรับสั่ง นางกำนัลผู้รับใช้ใกล้ชิดปรากฏกายเบื้องหน้าต่างพร้อมเสื้ออาภรณ์ผืนใหม่ในมือ ไม่มีคำถาม ไม่มีเสียงทัก คล้ายรับคำสั่งมาก่อนหน้าแล้วทุกสิ่ง
องค์ชายน้อยกัดริมพระโอษฐ์เบา ๆ ขณะพระวรกายถูกประคองเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ความเย็นจากผ้าไหมพาดผ่านผิวก็คล้ายช่วยลดทอนความร้อนที่สุมอยู่ในร่างไปได้บ้าง แต่ก็มิได้หยุดยั้งความรู้สึกแปลกปลอมที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในอก
กลิ่นหอมของยาสมุนไพรยังอ้อยอิ่งอยู่ในโพรงจมูก องค์ชายขยับพระหัตถ์เพื่อหยัดพระวรกาย แต่เพียงครึ่งทาง แรงในกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนแรงชั่วขณะ ทรงรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะหลอมละลาย กลายเป็นน้ำที่ไหลซึมลงสู่ตั่งไม้
พระขนตากระพืออีกครั้งก่อนที่พระเนตรจะตวัดมองไปทางประตู
...จู่ ๆ ก็รับรู้ถึงแรงยกแผ่วเบาที่รองรับพระวรกาย พระอังสาถูกพาดทับอย่างมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว สัมผัสนั้นราวสายลมกลางฤดูร้อนที่เข้ามาแผ่วเบาแต่แนบแน่น
แม้สายพระเนตรจะพร่าเบลอไปด้วยไอร้อน แต่อุ่นสัมผัสนั้นกลับแน่นอนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ
เด็กชายเม้มพระโอษฐ์ พลางเอียงพระเศียรซบลงโดยไร้ถ้อยคำ ความหนักแน่นของอ้อมแขนที่อุ้มพระวรกายมิได้ให้ความรู้สึกของการแบกหาม หากแต่ประหนึ่งอุ้มของล้ำค่าที่ไม่อาจหล่นแม้เพียงปลายเส้นผม
สายลมภายนอกตำหนักพัดผ่านผ้าม่าน บดบังพระพักตร์ของเด็กน้อยไว้ครู่หนึ่ง เมื่อม่านผ้าถูกยกขึ้นอีกครั้ง ร่างขององค์ชายก็มิได้อยู่ในตำหนักตงเฉินนั้นอีกแล้ว…
@LinYa
คืนฤดูร้อนแผ่ไออุ่นอยู่บนพื้นหินของนครหลวง แต่ในห้วงยามไห่ที่ลมเปลี่ยนทิศและเงาจันทร์ลอยสูงจนแทบแตะขื่อพระตำหนักนั้น องค์ชายน้อยแห่งวังหลวงกลับรู้สึกราวพระวรกายจะแตกสลายจากความร้อนที่มิอาจอธิบาย
สัมผัสจากท่อนแขนของผู้แบกประคองนั้นมั่นคงและเยือกเย็นจนเกือบจะหลงคิดว่าเป็นภาพฝัน ท่ามกลางความพร่าเลือนของดวงเนตร ทุกอย่างรอบตัวคล้ายจะละลาย ไอร้อนในกายยังคงกรุ่นพล่านแม้ยามที่สายลมกลางคืนปะทะพระพักตร์
เสียงอึกทึกเบื้องไกลขับเคลื่อนเข้าสู่พระกรรณทีละน้อย
กลิ่นกำยานบางชนิดแทรกซึมมาในอากาศ กลิ่นที่ไม่ใช่ของวังหลวง ไม่ใช่เครื่องหอมจากตำหนักนางกำนัล แต่กลับแฝงด้วยความหวานฉุน กลิ่นที่อุ่นจนแทบจะเร้าให้ใจเต้นแปลกประหลาด
องค์ชายน้อยเริ่มรู้ตัว… ว่าถูกพาออกจากเขตพระราชฐานเสียแล้ว
เสียงหัวเราะของบุรุษ เสียงเพลงกล่อมอารมณ์ และกลิ่นของน้ำอบที่ต่างจากที่คุ้นเคยกำลังหลอมรวมอยู่ในบรรยากาศ เด็กน้อยขมวดพระขนงเพียงเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดพระเนตรฝืนลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อจับทิศทาง ทว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงม่านผ้าบางที่โอบล้อมด้านข้าง ราวกำลังซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของเงาในคืนมืด
เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้พาเดินเริ่มช้าลง เด็กชายก็พลันได้ยินเสียงบานประตูไม้เปิดออกเบา ๆ
กลิ่นอาหารชั้นดีจาง ๆ ลอยมาแตะปลายพระนาสิก พร้อมกับกลิ่นเหงื่อและผ้าฝ้ายสะอาดบริสุทธิ์ ความคุ้นเคยแบบแปลกใหม่พุ่งวาบเข้ามาในหัวใจ เขาไม่เคยรู้จักกลิ่นนี้มาก่อน แต่มันกลับไม่ทำให้ระคายเคือง ตรงกันข้าม… กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในผ้าห่มผืนเก่าแก่ที่คนเฒ่าเคยใช้ซุกยามเหมันต์ฤดู
พระวรกายไหววูบเล็กน้อยเมื่อผู้แบกหยุดก้าว และในชั่วเสี้ยวนาทีนั้น พระเนตรเล็ก ๆ ก็พลันได้เห็นภาพเบื้องหน้า
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าฝ้ายบางกำลังเดินออกจากประตูไม้สีชาดของสถานที่ที่ไม่คุ้นตา แสงคบเพลิงยามดึกสะท้อนร่างนางให้ขยับไหวคล้ายเงาของจันทร์กระเพื่อมในน้ำ นางมีสีหน้าล้าเล็กน้อย ท่วงท่าไม่ใช่ของอิสตรีชั้นสูง ทว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนที่ใช้แรงกายมาแล้วทั้งวัน
กลิ่นเหงื่อจาง ๆ คลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารที่ติดตรงขอบแขนเสื้อ รอยเปื้อนบาง ๆ ที่มุมผ้าบ่าทำให้เขาแน่ใจว่านางมิใช่นางโลม แต่เป็นคนงานครัว หรือพวกเสิร์ฟอาหารในหอรื่นรมย์แห่งนี้
ดวงเนตรที่เคลือบไอร้อนขององค์ชายจับอยู่ที่ร่างนางครู่หนึ่ง ก่อนที่พระหัตถ์จะเผลอขยับเกร็งขึ้นเล็กน้อยในอ้อมแขนของผู้พาเดิน
…กลิ่นนี้เอง
กลิ่นที่ติดอยู่ตรงขอบเสื้อของหญิงนางนั้น… คล้ายกับกลิ่นที่ติดอยู่ที่ถ้วยยาน้ำทิพย์เมื่อต้นคืน… มิใช่กลิ่นยาจีน แต่เป็น… กลิ่นของสตรีผู้นี้
องค์ชายน้อยแม้อยู่ในสภาพที่พร่าเลือนไปครึ่งหนึ่งด้วยฤทธิ์ยา แต่ความรู้สึกอยากรู้ อยากเข้าใจ และความใคร่รู้ในจิตใจก็พลุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ พระเนตรยังคงมองตามร่างของหญิงสาวที่เดินบิดไหล่คลายความเมื่อยโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องอย่างเงียบงัน
ในหัวพลันมีคำถามแล่นวาบขึ้นมาอีกครั้ง นางใช่หรือไม่… ผู้ที่ทำยาตุ๋นถ้วยนั้น
ถ้าใช่จริง… แปลว่าเขากำลังอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่… และกำลังจะได้พบคนที่ไม่ควรได้พบ
ร่างน้อย ๆ ขยับเบา ๆ ในอ้อมแขนของผู้แบก ราวกับต้องการยกพระวรกายขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ได้มองหญิงผู้นั้นอีกสักครา แต่มิอาจฝืนแรงภายในได้มากไปกว่านั้น
พระเนตรพร่ามัวขององค์ชายยังไม่ละไปจากเงาร่างของหญิงในผ้าฝ้าย
แม้ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ในพระทัยกลับพล่านไปด้วยถ้อยความหลากหลาย
ถ้านางเป็นคนทำ… ข้าจะต้องคุยกับนางให้ได้ ข้าจะถามให้ได้ว่าใส่อะไรลงไปในยานั้น… และแล้วม่านผ้าก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง… และร่างขององค์ชายน้อยก็พลันหายลับไปในเงาของคบเพลิงที่ยังคุกรุ่นไม่สิ้นราตรี
@LinYa
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของผู้ที่แบกพระวรกายของเด็กน้อยไว้หยุดลงใต้เงาของเสาไม้ต้นหนึ่งริมระเบียงหอว่านหงเหริน แสงจากโคมไฟหินหยกสีแดงอมทองที่แขวนเรียงรายอยู่ตามทางเดินสะท้อนแสงอ่อนนวลลงบนพระพักตร์ขาวนวลขององค์ชาย ร่างที่อบอุ่นร้อนรุ่มเมื่อครู่ บัดนี้แม้ยังมีไอร้อนล้อมกายอยู่ แต่ก็เริ่มมีสติกลับมาเล็กน้อยเมื่อถูกพัดโบกด้วยลมเย็นจากภายนอกหอ
ดวงเนตรเรียวยาวของเด็กชายที่แม้ยังพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา กลับจับภาพร่างของใครคนหนึ่งไว้ในห้วงสายตา หญิงสาวร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายบาง สวมเสื้อสีอ่อน รอยเปื้อนจางจากซุปหอมบนแขนเสื้อยังไม่ทันจางจึงส่งกลิ่นชวนให้คุ้นเคย
ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะเอื้อนพระวาจาออกไป เสียงของผู้แบกกายก็เอ่ยขึ้นชัดถ้อยชัดคำ
“องค์ชาย… กระหม่อมขอตัวลาเพียงครู่”
พระขนงขององค์ชายเลิกขึ้นแผ่ว ๆ
“…หา จะทิ้งข้าไว้ที่นี่..”
เสียงของเด็กน้อยเปล่งออกมาเบากว่าที่ตั้งพระทัย เพราะไอร้อนในกายยังทำให้พระสุรเสียงสั่นเครือเหมือนกระดิ่งทองในสายลม ชั่วขณะหนึ่ง องค์ชายน้อยทรงคิดว่าจางกงกงเพียงจะปล่อยเขาไว้เพื่อซ่อนตัวจากใคร ทว่าประโยคต่อมากลับตอกย้ำบางสิ่งที่ยิ่งแปลกกว่าเดิม
“กระหม่อมอยากให้พระองค์… ลองสนทนากับสตรีผู้นั้นดู”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนถึงกับขืนตัวขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรเบิกกว้าง แล้วก็เลื่อนมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล… คนผู้นั้น?
หญิงนางนั้น?
หญิงสาวตัวเล็ก ผิวผ่องนวล ท่าทางคล้ายแมวขี้ตกใจที่แอบเข้าไปในห้องขุนนาง นางดูเหนื่อยอ่อน แต่มีประกายสดใสในแววตา ดวงหน้าคล้ายตุ๊กตาเคลือบเงา ยิ่งเมื่อยามแสงไฟสะท้อนจากเสาไม้ กลับยิ่งเหมือนภาพฝันในม่านหิมะ
พระวรกายขององค์ชายเกร็งเล็กน้อย มือเล็ก ๆ กำแน่นแนบตัก
“ทำไมข้าต้องยุ่งกับนาง?” เด็กชายเอ่ยเสียงเบา สีพระพักตร์ที่เคยเฉยเมยฉายแววระคนทั้งประหลาดใจ ขัดใจ และ… ประหม่าเล็กน้อยอย่างยากจะปฏิเสธ
พระเนตรละจากหญิงสาวตรงหน้า แล้วเหลือบไปมองใบหน้าด้านข้างของจางกงกง
ไม่มีคำตอบ
จางกงกงไม่อธิบาย
ไม่ยิ้ม ไม่ขยับ ไม่สนว่าเด็กน้อยจะคิดอย่างไร เพียงคลี่มุมปากออกเล็กน้อยก่อนปล่อยพระวรกายเด็กชายลงอย่างระวัง
“ยามนี้… สมควรแล้วที่ควรให้คนรุ่นเยาว์สนทนากันบ้าง”
นั่นคือคำสุดท้ายของเขาก่อนจะหมุนกายเดินจากไป เงาของร่างสูงผอมสลายหายไปในม่านเงาเหมือนลมค่ำคืนที่พัดเฉียดใบหน้าแล้วไม่ย้อนกลับ
เด็กน้อยยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยา ไม่ใช่เพราะล้า แต่เพราะสตรีตรงหน้าไม่ควรอยู่ในบทใดในชีวิตของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้… นางอยู่ตรงหน้าแล้ว
แม้จางกงกงจะไม่บอกเหตุผล
แต่บางที... เขาก็อาจต้องถามหาคำตอบจากนางเอง
องค์ชายน้อยสูดลมหายใจเบา ๆ ยกพระหัตถ์ลูบชายอาภรณ์ให้เรียบร้อย ยืดพระวรกายขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเหลือบเนตรไปทางหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ราวกับไม่แน่ใจว่าจะเดินต่อ หรือถอยกลับดี
“……ท่านคือผู้ใดหรือ”
เสียงเบานัก… คล้ายจะถามกับลมยามราตรี
แต่ก็ส่งไปถึงหญิงตรงหน้าได้พอดิบพอดี
@LinYa
คำพูดของหญิงสาวในผ้าฝ้ายแผ่วเบาแต่อบอวลไปด้วยมารยาท และไร้เดียงสาเสียจนองค์ชายน้อยเผลอชะงักไปชั่วอึดใจ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้านางนั้นใสเสียจนแทบจะสะท้อนแสงจันทร์ได้
เขาเคยเห็นใบหน้าของผู้คนมาแล้วมากมาย ทั้งขันทีที่แสร้งแสดงความจงรักภักดี ทั้งขุนนางที่ปั้นหน้าอ่อนน้อม ทั้งนางกำนัลที่ข่มความเหนื่อยล้าไว้ใต้รอยยิ้มเยือกเย็น แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า… คือความไม่รู้ซึ่งสิ่งใดเลยจริง ๆ
นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
นางอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พาเขามาคือใคร
และนาง… อาจจะยังไม่รู้แม้กระทั่งว่านางได้มอบสิ่งใดให้ใคร
พระเนตรที่ยังคงหลงเหลือไอร้อนปรือ ๆ จากฤทธิ์ยา จับจ้องไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของนางตรงหน้า สตรีตัวบางผู้ซื่อบริสุทธิ์ในแบบที่น่าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
เขากลืนน้ำลายลงช้า ๆ พลางเบือนพระพักตร์เล็กน้อยอย่างคนที่กำลังกลืนอะไรบางอย่างไม่ลง แล้วเม้มพระโอษฐ์ไว้ครู่หนึ่ง แล้วความเข้าใจบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจราวประกายเพลิงที่ถูกจุดให้ชัดขึ้นด้วยน้ำมัน
...อ้อ
จางกงกงไม่ได้ต้องการให้นางสอนเขาทำอาหาร ไม่ใช่เพื่อชมฝีมือในครัว ไม่ใช่เพราะยาตุ๋นนั่นอร่อยเสียจนเขาต้องรู้จักคนทำ
ไม่เลย
หากแต่เป็น…การดูว่าเขาจะ ‘ทำอย่างไร’ เมื่อต้องอยู่ต่อหน้านางผู้นี้
องค์ชายน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ดึงพระสติกลับคืนอย่างแนบเนียนที่สุดพระเนตรที่มองนางครั้งนี้… เปลี่ยนไป
“ท่านชื่อหลินหยาใช่หรือไม่?” พระสุรเสียงของเขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ทรงตัดท่าทีงุนงงที่ก่อนหน้าออกจากพระอิริยาบถราวพลิกฝ่ามือ
“ข้าขอถามเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้น”
เด็กชายผายพระกรเล็กน้อย พระอังสาเหยียดตรงราวไม่ยินดียินร้าย แต่ท่าทางนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันบางอย่างที่แม้เขายังเล็กวัย ทว่ากลับมิอาจมองว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มทั่วไปได้อีกต่อไป
พระเนตรของเขาไม่ไหวระริกเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับแน่วนิ่งและตรงไปตรงมาราวจะเจาะทะลุใจ
“สิ่งที่ท่านมอบให้ชายที่พาข้ามาเมื่อครู่…”
ปลายนิ้วเล็กแตะลงที่พระอุระเบา ๆ แผ่วเหมือนจะกลบเกลื่อนความร้อนที่ยังคงหมุนวนในอก
“มันคือสิ่งใดกันแน่?”
องค์ชายจ้องตานาง รอคอยคำตอบโดยมิเอ่ยแม้ครึ่งคำต่ออีกแล้ว ทรงมั่นใจว่านางไม่รู้ว่าได้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง… และนั่นแหละคือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ด้วยตนเอง
@LinYa
ลมราตรีพัดแผ่วพาเอากลิ่นกำยานจากหอว่านหงเหรินแทรกเข้ามาในโพรงจมูก ไออุ่นจากพื้นหินยามกลางวันยังไม่ทันจางหายดี บัดนี้กลับประดังเข้าประสานกับไอร้อนภายในกายของเด็กน้อยผู้นั่งนิ่งอยู่ใต้เสาระเบียง ร่างกายของเขายังอุ่นจัดอยู่ภายใน แม้ข้างนอกจะมีลมเย็นก็ตามที
ดวงเนตรสีดำสนิททอดมองสตรีตรงหน้า นางพูดออกมาอย่างใสซื่อ พระกรรณได้ยินชัดถ้อย น้ำเสียงนั้น… มิใช่หลอกลวง มิใช่เล่ห์เหลี่ยม หากแต่เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างไร้ชั้นเชิง จนบางทีอาจซื่อจนดูน่าเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ
แต่คำตอบนั้น... ไม่ได้คลายข้อสงสัยของเขาเลยแม้แต่น้อย
“น้ำทิพย์… กวางตุ๋น… ยาจีน?”
เด็กน้อยทวนคำในใจอย่างช้า ๆ ขณะขมวดพระขนงแน่นขึ้นเพียงน้อย ราวกับกำลังพยายามปลดปมด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
เสียงหอบแผ่ว ๆ ยังคงหลุดจากริมพระโอษฐ์ ร่างเล็กยังมีอาการวูบวาบประหนึ่งมีไฟวิ่งแล่นอยู่ใต้ผิวหนังตั้งแต่ฝ่าพระบาทไล่ขึ้นไปถึงท้ายทอย ทรงรู้สึกเหมือนเส้นโลหิตเต้นระรัว พลังในร่างประหลาดราวไม่ใช่ของตนเอง
องค์ชายน้อยยังไม่เข้าใจว่า "ตุ๋นยา" คือสิ่งใด รู้เพียงแค่ว่ามันร้อนเกินควร และทำให้ตนแทบควบคุมพระสติไม่ได้
“เหตุใด… ถึงเป็นเช่นนี้…”
เด็กชายมิได้เปล่งเสียงนั้นออกมา หากแต่ประโยคนั้นผุดขึ้นในพระทัยดังตีกลอง ตลอดพระชนม์ชีพที่ผ่านมา แม้จะยังสั้นนัก ทว่าก็ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้พระวรกายตอบสนองได้รุนแรงเพียงนี้ ร้อนรุ่มแปลกประหลาด อึดอัดคล้ายจะหลอมละลาย ทว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด…
พระหัตถ์เล็กยกขึ้นแตะเบา ๆ ที่พระอุระ จุดที่ชีพจรเต้นแรงจนแทบสะเทือนกับกระดูกซี่โครง ก่อนที่ดวงเนตรจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด
จางกงกง… เหตุใดเขาต้องพาตนมาที่นี่
เหตุใดเขาต้องพูดให้อยู่กับนางผู้นี้
และเหตุใดจึงถึงไม่อธิบายสรรพคุณยานั้นให้ชัด
พระเนตรเลื่อนลอบมองหอว่านหงเหรินอีกครั้ง ลมหอมที่พัดออกจากภายในยังคงแตะต้องปลายพระผมกลิ่นละมุนหวานฉุนปนอยู่กับเสียงพิณและเสียงหัวเราะของอิสตรีที่ลอดออกมาจากม่าน
หอรื่นรมย์แห่งนี้… คือที่ที่ชายหนุ่มมากมายแสวงหาความสุขหลังราตรี
กลิ่นในอากาศ เสียงในหู สภาพร่างกายของเขา…
เด็กชายเริ่มปะติดปะต่อได้เพียงเลา ๆ แม้ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้ง แต่ก็จับได้ว่า… ยานี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยแน่แท้
“หรือว่า…”
พระโอษฐ์เม้มแน่นอย่างควบคุมอารมณ์บางอย่าง
นี่คือกับดัก หรือคือบททดสอบจากจางกงกง? หรือเพียงแค่เรื่องบังเอิญที่สตรีผู้นี้มอบสิ่งอันตรายแก่ตนโดยไม่รู้เลยว่าทำสิ่งใดลงไป
เด็กชายปรายพระเนตรกลับไปยังหลินหยาอีกครั้ง ร่างนางยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่รู้เลยว่าคำพูดของนางได้จุดไฟใดไว้ในอกขององค์ชาย
“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านใส่อะไรลงไปบ้าง…” เสียงนั้นเบานัก แผ่วประหนึ่งสายลมพัดบนบึงในราตรี
“แต่สิ่งนั้น… ทำให้ข้าร้อน… ไม่หยุดเลย”
พระเนตรของเด็กน้อยมองตรงไป คล้ายไม่กล้ากล่าวสิ่งใดที่ไม่แน่ชัด เพราะทรงรู้ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด การกล่าวหาผู้อื่นโดยไร้หลักฐาน ย่อมไม่เป็นเรื่องงดงามสำหรับผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
@LinYa
คำพูดของหลินหยาดังแผ่วเบาอยู่ท่ามกลางความเงียบของยามดึก แต่กลับกระแทกเข้าสู่ห้วงพระหฤทัยขององค์ชายอย่างแม่นยำ
เด็กชายเบิกพระเนตรเล็กน้อย สองหูได้ยินครบถ้วนทุกพยางค์ แม้นางจะพูดอย่างสุภาพและระมัดระวัง น้ำเสียงคล้ายจะปรานีปนลำบากใจอยู่ในที แต่เนื้อหากลับกระจ่างยิ่งกว่าการบรรยายตำราแพทย์ในตำหนักในเสียอีก
“…กระตุ้นกำลังวังชาของบุรุษเพศ…”
พระขนงเล็ก ๆ ขมวดเข้าหากันทันใด หากมิใช่เพราะยังรู้จักควบคุมพระวาจาแล้วไซร้ คำอุทานยาวเหยียดน่าจะหลุดออกมาจากปากของเด็กน้อยแล้วเป็นแน่ ทว่าสิ่งที่หลุดออกมาแทนกลับเป็นเสียงถอนพระทัยแผ่ว ๆ อย่างอ่อนระอา
“เฮ้ออ…”
ทรงก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย ทรงไม่รู้ว่าควรโกรธ ควรขำ หรือควรหนีหายไปใต้พื้นดินดีเสียด้วยซ้ำ พระอุระยังคงอุ่นร้อนลุกลามเร้าอยู่เหมือนคลื่นใต้น้ำที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง บัดนี้แม้แต่เส้นผมก็เหมือนจะมีไออุ่นแทรกอยู่ข้างใน
ดรุณน้อยเหลือบเนตรไปมองเงามืดด้านข้างอีกครั้ง เงียบ ไม่มีวี่แววของจางกงกง ไม่มีแม้แต่ปลายชายอาภรณ์สีม่วงจาง ๆ ที่มักจะสะบัดล้อเล่นกับลม
“เขาแกล้งข้าชัด ๆ…”
คำพูดนั้นแม้จะไม่ได้หลุดออกมาเป็นเสียง แต่ภายในใจของเด็กชายแทบจะพ่นควันออกมาได้ ยิ่งคิดถึงสีหน้าเรียบนิ่งที่มีรอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับอยู่นั้นแล้ว เขายิ่งอยากยื่นพระหัตถ์ไปเขย่าคอเสื้อคนผู้นั้นเสียจริง
พระโอษฐ์เล็กเม้มแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดพระลมหายใจเข้าเต็มพระอุระอีกรอบ
ฤทธิ์ยานั่น…ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
กระตุ้นกำลังวังชาอย่างนั้นหรือ ทำไมต้องกระตุ้นกันตั้งแต่เด็กด้วย? หรือว่าจางกงกงเห็นว่าตนเป็นบุรุษคนเดียวในตำหนักจึงคิดอยากให้เริ่มหัดเรื่อง ‘พรรค์นั้น’ ตั้งแต่ยังไม่ทันหมดน้ำนม
เด็กน้อยกัดฟันกรอดในใจแต่ก็ยังวางพระองค์อย่างสุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ สายพระเนตรเลื่อนไปยังสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง
นางยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีราวกับกำลังหาวิธี ‘ดับไฟ’ บางอย่างให้เขา
องค์ชายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดก็ทรงเอื้อนสุรเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจน
“ท่าน…” พระสุรเสียงนั้นไม่แข็งกร้าวนัก กลับคล้ายผู้ที่กำลังข่มความประหม่าไว้เต็มที่ “มีหนทางใด… ที่จะบรรเทาหรือแก้ไขอาการนี้ โดยไม่ต้อง… เข้าไปในหอนั้น บ้างหรือไม่?”
คำว่า หอนั้น ถูกเน้นเบา ๆ พลางพระเนตรปรายไปทางหอว่านหงเหรินอย่างระวัง คล้ายเพียงแค่พูดถึงก็รู้สึกว่าตนจะถูกดูดกลืนหายไปกับม่านกำยานและเสียงพิณ
“…ข้าไม่อยากเข้าไปในนั้น” เด็กน้อยเสริมเบา ๆ พลางเหลือบพระเนตรไปทางนางอย่างระคนทั้งวิงวอนและดื้อเงียบ “ข้าเพียง อยากหาย… เฉย ๆ”
เสียงนั้นไม่ต่างจากลูกแมวเปียกฝนที่ยังพยายามวางท่าเป็นราชสีห์ องค์ชายยังคงรักษาเส้นสง่างามของตนไว้ไม่ให้พร่าเลือน ทว่าไอแดงจาง ๆ บนพระพักตร์และเสียงแหบเครือแฝงอยู่ในคำพูดก็บอกชัดว่า พระองค์มิได้สงบเท่าที่อยากให้เป็น
แม้จะเป็นราตรีอันแสนหนาว… แต่ไฟที่ลุกวาบอยู่ในร่างนี้ กลับมิอาจดับได้เพียงแค่ยืนนิ่งเท่านั้น
ดวงเนตรที่มองหลินหยาตรง ๆ จึงเปล่งแสงอ้อนวอนบางอย่างซ่อนอยู่ในก้นบึ้ง ไม่ใช่จากฐานันดร หากแต่เป็นเพียง “เด็กชาย” ผู้หนึ่ง… ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างเงียบงัน
@LinYa
ลมกลางฤดูร้อนแม้จะแผ่วเบา ทว่าก็มิอาจดับไอร้อนภายในอกขององค์ชายน้อยลงได้เลยแม้แต่น้อย ขณะทรงยืนนิ่งฟังคำแนะนำอันยืดยาวของหญิงสาวตรงหน้า น้ำเสียงของนางมิได้มีสิ่งใดผิด หากแต่แฝงไปด้วยความรู้จากตำราและกลิ่นไอของความใสซื่อปนความห่วงใยที่ไม่อาจซ่อนเร้น
แตงโม… ถั่วเขียว… เปลือกส้มแห้ง…
เด็กชายเคยอ่านตำรารักษาโรคมาก่อนในตำหนักไท่โฮ่วอยู่บ้าง เรื่องธาตุร้อน ธาตุเย็น หรือการใช้เก๊กฮวยช่วยถ่ายพิษน่ะหรือ… แม้ไม่เคยลองเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยิน ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะได้ฟังเช่นนี้จากปากของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตัวเล็ก ๆ ที่ดูไม่มีอะไรเหมือนนางแพทย์เลยสักนิด
นางพูดจาราวอาจารย์ย่อส่วน แต่กลับไม่ขยับเข้าหาแม้สักก้าวเดียว คงเพราะกลัว หรืออย่างน้อยก็ระแวงอยู่ในที นั่นยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม
หรูเสวียนก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย มองที่ปลายพระบาท ยืนเงียบอย่างประเมินทางเลือก ในขณะที่พระอุระยังคงพลุ่งพล่านเหมือนมีเปลวไฟซุกซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง ราวต้องคำสาปที่ยังหาวิธีถอดถอนมิได้
ในค่ำคืนที่นครฉางอันกำลังจะเข้าสู่นิทรา ร้านรวงที่อาจมีของเช่นนั้นคงหายากนัก ทว่า… ดีกว่ายืนอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้ฤทธิ์ยาเล่นงานไปมากกว่านี้
พระหัตถ์เล็ก ๆ ล้วงเข้าไปยังถุงเงินที่ผูกแน่นไว้กับสายรัดภายในอาภรณ์ เย็บไว้แนบพระองค์เพื่อมิให้หลุดหายในยามวิ่งเล่นหรือกระโดดโลดเต้นแบบที่เคยทำ ทรงหยิบเหรียญทองออกมาห้าเหรียญ ลำแสงจากโคมไฟกระทบผิวโลหะสะท้อนวาววับแต่ไม่ฉูดฉาด ดวงเนตรคมขององค์ชายน้อยหรี่ลงเพียงน้อยขณะทอดพระเนตรไปยังเด็กสาวตรงหน้าอีกครา
แม้แสงสลัวจะพร่าเลือน แต่ใบหน้าของหลินหยาก็ยังดูอ่อนโยนแบบไม่จงใจ มีบางอย่างในท่าทีของนาง… ที่ไม่ใช่นางโลม ไม่ใช่นางรำ ไม่ใช่แม่ค้าขายของ แต่ก็ไม่ใช่หญิงผู้สูงศักดิ์ นางเป็นเพียง “ใครบางคน” ที่บังเอิญช่วยเขาไว้ในยามค่ำคืนเช่นนี้
“ข้ามีนามว่า เสวียนอิ๋ง” เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่สุภาพนัก “ขออภัยที่แนะนำตัวช้า… คุณหนู”
คำว่า ‘คุณหนู’ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ ไม่ใช่ประชดประชัน พระวรกายยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็ทรงยืดพระองค์ให้ตรงที่สุด
จากนั้นเด็กชายก็ยื่นเหรียญตำลึงทองห้าเหรียญไปเบื้องหน้า “เพื่อขอบคุณที่ท่านช่วยชี้แนะ ข้าขอมอบเหรียญเล็ก ๆ นี้ไว้ตอบแทนน้ำใจ แม้มิได้มากนัก แต่หวังว่าท่านจะไม่ถือสา…”
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงตอนเอื้อนคำสุดท้าย คล้ายกลัวว่านางจะไม่รับ กลัวว่านางจะรู้สึกว่าเป็นการซื้อไมตรี ทว่าความจริงแล้วมันมาจากในทรวงที่รู้สึกผิดมากกว่า… รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้ผู้อื่น
องค์ชายยืนเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรดำสนิทยังคงปรืออยู่ด้วยฤทธิ์ยาแต่ชัดเจนในน้ำเสียง
“คุณหนู… พอทราบหรือไม่ว่ายามไห่นี้ ยังมีร้านรวงใดเปิดอยู่บ้าง?”
หยุดหายใจเพียงครู่ เด็กชายก็กล่าวต่ออย่างมุ่งมั่น
“ข้าจะลองไปดู หากยังมีที่ไหนเปิด… บางที ข้าคงได้ดับไฟในอกตนเองเสียที”
คำว่า ไฟในอก มิใช่เพียงความร้อนทางกาย แต่รวมถึงความขุ่นเคืองและมึนงงทั้งหมดที่มัดพันหัวใจของเขาไว้ตลอดคืน
@LinYa
ดรุณน้อยยืนนิ่งอยู่กลางแสงโคมที่ทอดตัวเลือนลางบนพื้นหิน เงาร่างเล็กทอดยาวเหมือนจะกลืนเข้ากับเงาเสาไม้ในค่ำคืนอันเงียบงัน
เมื่อหลินหยาเอ่ยปฏิเสธการหยิบยื่นตำลึงทองอย่างหนักแน่น ดวงเนตรดำขลับขององค์ชายก็เบิกเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะลดลงเป็นรอยคลี่แผ่วของแววตา
เขาเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักพระเศียรน้อย ๆ อย่างยอมรับ สีพระพักตร์สงบแม้ในอกยังมีกลิ่นอายของไอร้อนรบกวนอยู่ทุกอณู
แม้ในใจจะยังมิคลายร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยา แต่ประโยคเรียบง่ายของนางกลับช่วยก่อความสงบบางเบาในอก ความรู้สึกผิดของนางมิได้ระบายด้วยคำขออภัยอันฟุ่มเฟือย แต่ปรากฏอยู่ในทุกการตัดสินใจ และนั่นคือสิ่งที่องค์ชายมองออก
หญิงนางนี้... ใช่จะไม่เห็นแก่เงิน แต่กลับมีขอบเขตของตนชัดเจน มีเส้นแบ่งระหว่างความพอใจ กับศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมปล่อยให้ใครหยิบยื่นอย่างสุก ๆ ดิบ ๆ นางดูเหมือนไม่รู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับใคร แต่กลับยืนหยัดอยู่บนความเชื่อของตนเองโดยไม่หวั่นไหว
เด็กชายเก็บเหรียญทองกลับใส่ถุงอย่างเงียบเชียบ สัมผัสของโลหะเย็นแนบกับปลายนิ้วนั้น ช่างตัดกับไอร้อนภายในกายจนองค์ชายรู้สึกคล้ายกำลังแบ่งโลกออกเป็นสองขั้ว
ครั้นได้ฟังคำแนะนำเรื่องการเข้าใช้ห้องครัวของหอว่านหงเหริน เสวียนอิ๋งน้อยพลันชะงัก
“แอบเข้าไป…”
ภาพที่หญิงสาวเอ่ยถึง การทนกลิ่นหอมฉุนจากราคะ เสียงกระซิบ เสียงหัวเราะ เสียงเสียดแทรกจากม่านและหมอนเบาะที่ล้อมรอบสถานที่นั้นชัดเจนราวปรากฏอยู่ภายในใจ
เมื่อได้ฟังข้อเสนอเรื่องการใช้ครัวในหอว่านหงเหริน ดรุณน้อยนิ่งไปทันที แค่เพียงคำว่า ‘กลิ่นลุ่มราคะ’ และ ‘เสียงครวญคราง’ ก็ทำให้พระพักตร์ขาวนวลขึ้นสีเรื่อแดงแจ่มจนแทบจะระเบิดได้
กลิ่นอายของโลกีย์ เสียงหัวเราะลับหลังม่าน เสียงพิณแผ่วที่แฝงความวาบหวาม ใต้เงาแสงไฟที่สั่นระริกเหมือนเปลวเทียนใกล้ดับ
ในยามที่กายยังอ่อนแรง และจิตใจยังพร่าไหวเพราะฤทธิ์ยา การเข้าไปในสถานที่เช่นนั้น… เปรียบดังเหยียบขอบเหว หากสติเพลี่ยงพล้ำเพียงน้อย ก็อาจกลิ้งตกลงไปโดยไม่รู้ตัว
แม้นางตรงหน้าเขาจะไม่มีเจตนาอันใด แต่ผู้ที่ อยู่ในเงา นั้นเล่า? จางกงกงอาจยังเฝ้ามองอยู่ที่ใดสักแห่งก็เป็นได้ หากเขาก้าวตามเข้าไป สายตาคู่นั้นอาจตัดสินอะไรออกไปตามที่เขาไม่ตั้งใจ
เขาจะไม่ยอมให้ จางกงกง ได้หัวเราะขบขันอยู่เงียบ ๆ อย่างคนรู้ทันแน่นอน หรูเสวียนรู้ดี… ว่าถ้าก้าวข้ามธรณีประตูหอนั้นไป คงได้ยินเสียงของจางกงกงหัวเราะอยู่ในใจ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ตาม
องค์ชายจึงถอนพระทัยเบา ๆ และเงยพระพักตร์ขึ้นอีกครั้ง พระสุรเสียงนุ่มนวลเอื้อนเอ่ยโดยไม่เหลือร่องรอยของความลนลาน
เมื่อคิดได้แน่วแน่แล้ว เด็กชายจึงยืดพระวรกายขึ้นอย่างมั่นคงขึ้นกว่าเดิม ทรงบังคับเสียงให้นิ่งที่สุดแม้พระวรกายยังคงร้อนระอุอยู่ภายใน
องค์ชายเม้มพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทอดพระเนตรต่ำลงในอึดใจ
เงาโคมไหววูบ สะท้อนสีแดงอ่อนลงบนพื้นหิน พระวรกายเล็ก ๆ ขยับอีกครั้งก่อนจะกล่าวเบา ๆ แต่ชัดถ้อย
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี และคำแนะนำทั้งปวง คุณหนูหลินหยา”
ดวงพระเนตรยกขึ้นสบตานางอีกครั้ง
“ยามนี้ข้าไม่สะดวกพอจะเดินเข้าสู่หอเช่นนั้นได้ ด้วยเหตุหลายประการ… และข้าคิดว่า การนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ รอฤทธิ์ยาคลายลงไปเอง อาจปลอดภัยกว่าการอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของม่านโลกีย์”
พระสุรเสียงนั้นแม้นุ่มนวล หากแต่แน่วแน่ประหนึ่งขีดหมึกลงบนกระดาษหยก
เมื่อเอ่ยจบ องค์ชายน้อยก็ก้มศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงเคารพอย่างที่ควรทำกับผู้มีบุญคุณ
“ข้าคงต้องขอตัวแล้ว อย่ากังวล ข้าไม่หลงทางดอก… ฉางอันในยามวิกาล ข้าเคยเดินลัดเลาะจนรู้ทางมากพอ”
พระเนตรคลี่ยิ้มบางเฉียบแต่แนบสนิท รอยยิ้มที่มิได้สร้างขึ้นเพื่อประดับใบหน้า หากแต่เป็นรอยยิ้มของความจริงใจอันน้อยนิดในค่ำคืนหนึ่งของชีวิต
“แม้ชื่อของข้าจะไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำนัก แต่ความช่วยเหลือในคืนนี้… ข้าจะมิอาจลืมเลือน”
“หากวันหน้ามีโอกาส… ข้าจะตอบแทนน้ำใจในยามที่เหมาะสมกว่านี้”
เด็กชายหมุนพระวรกายกลับ ชายอาภรณ์ไล้เบาไปตามลมราตรีที่พัดต้องชายผ้า ละอองหอมจากหอว่านหงเหรินยังไหลวนอยู่รอบร่างเขา แต่อีกไม่นานก็จะจางหาย
ร่างเล็กของเขาค่อย ๆ ละไปจากเสาหินที่ยืนพิง ราวสายลมที่เฉียดผ่านค่ำคืน เหลือเพียงกลิ่นเย็นที่หลงค้างไว้เบื้องหลัง
@LinYa
เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของยามวิกาล คล้ายขนนกขาวที่ปลิวหล่นลงบนผิวน้ำ องค์ชายน้อยที่เพิ่งหมุนพระวรกายเดินออกไปยังไม่ทันพ้นเสาไม้ต้นที่สอง ก็ต้องชะงักฝีพระบาท เสียงนั้น… เสียงของนาง
ดวงพระเนตรหันกลับอย่างช้า ๆ ท่ามกลางแสงโคมอ่อนในคืนเดือนมืด ร่างของหญิงสาวผู้นั้นก้าวมาหาเขาด้วยท่าทีมิได้รีบร้อน แต่มั่นคง
ในมือเล็กของนางถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมผูกเชือกเรียบง่ายเอาไว้ เมื่อใกล้พอเหมาะ เด็กสาวก็ยื่นของสิ่งนั้นมาตรงหน้าของเขา
กล่องไม้กลิ่นหอมอ่อน ๆ แตะจมูกขององค์ชายเพียงแผ่วบาง แต่กลับชวนให้รู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด
องค์ชายรับกล่องไม้นั้นมาช้า ๆ นิ้วพระหัตถ์สัมผัสขอบไม้ที่ขัดเรียบ ไม่มีเศษฝุ่น ไม่มีความชื้น บ่งบอกว่าผู้ให้เก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ดีเพียงใด
ในกล่องบรรจุขนมไหมฟ้า ถั่วหลากชนิดบดหยาบห่ออยู่ภายในรังไหมแป้งสีงาช้างที่ดึงเป็นเส้นบางละเอียดราวฝนสาย เส้นไหมนั้นบางเสียจนเกือบละลายไปกับลมหายใจของยามค่ำ หอมอ่อนราวกลิ่นน้ำผึ้งโบราณที่แอบงอกเงยขึ้นจากซอกไม้ไผ่
เขาจ้องกล่องขนมนั้นในมืออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะยกพระเนตรขึ้นพอดีกับจังหวะที่หลินหยาโน้มศีรษะให้เบา ๆ แล้วหมุนตัวกลับไปทางหอว่านหงเหรินอีกครั้ง
นางเดินไปช้า ๆ แต่มั่นคง ราวกับไม่ว่าจะเดินไปไกลเพียงใด สุดปลายทางของนางก็ยังคงเป็นประตูไม้ชาดนั้นเสมอ
องค์ชายยืนมองแผ่นหลังของนางอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เงาแสงไฟจากโคมระย้าตามทางทอดทาบร่างของนางจนดูเหมือนภาพวาดที่จางหายไปกลางลมหายใจ
เด็กน้อยยกกล่องไม้ขึ้นเล็กน้อย ทอดพระเนตรกล่องนั้นราวสิ่งของมีค่ายิ่งนัก พระโอษฐ์โค้งขึ้นเพียงแผ่ว คล้ายดอกเหมยผลิบานแทรกหิมะครั้งแรกในปี
ขนมที่ใครบางคนตั้งใจเก็บรักษาไว้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร… เขาย่อมไม่มีวันปัดทิ้ง
"ขอบคุณ"
คำคำนั้นไม่ได้เอื้อนเป็นเสียง หากแต่ออกมาผ่านดวงเนตร และรอยยิ้มเล็กน้อยตรงมุมพระโอษฐ์
จากนั้นองค์ชายก็หันหลังกลับไปทางที่ตนเคยมา ฝีพระบาทเบาลงกว่าเมื่อครู่ น้ำหนักของไอร้อนในกายดูจะเบาบางลงจากเมื่อยามแรก
แม้จะเป็นเพียงขนมชิ้นเล็กเพียงหยิบมือ แต่ความอบอุ่นในหัวใจกลับมากพอจะหล่อเลี้ยงให้เดินต่อได้อีกหลายลี้
ราตรีในฉางอันยังคงยาวไกล ทว่า...แสงไฟจากไมตรีอันเรียบง่ายนั้น คงจะส่องนำทางเขาไปได้อีกพักใหญ่