เจ้าของ: Admin

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-21 23:53:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-22 00:30


วันที่ ยี่สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไฮ่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ไปทำงานหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


           ค่ำคืนนี้ในฟ้าของฉางอันก็มืดลงเหมือนเช่นเคย แผ่นดินภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้นั้นย่อมไม่เคยหลับใหล ถึงแม้ชั้นฟ้าจะแผ่ม่านรัตติกาลลงมาปกคลุมทั่วทั้งนครฉางอันแห่งนี้ หอว่านหงเหรินก็ยังคงสว่างไสวไปด้วยเสียงและแสงตะเกียงน้ำมันอบกลิ่นหอมรำไป เสียงหัวเราะเบาบางกับเสียงเครื่องดนตรีนั้นลอยประสานกันมาแต่ไกล ราวกับมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ได้อิงแอบอยู่กับความทุกข์ร้อนของใครทั้งนั้น

           ประตูถูกรูดเปิดออกช้า ๆ ในยามค่ำ ยามไห่เข้าใกล้จวนเปลี่ยนเวนแต่ผู้คนที่นี่กลับเพิ่งเริ่มทำมาหากิน หลินหยานั้นก้าวเข้ามาช้า ๆ ท่ามกลางแสงไฟสีส้มที่ไหววูบวาบจากโคมผ้าไหมที่ห้อยเรียงรายตรงประตูทางเข้ามาช้า ๆ ร่างโปร่งบางของหญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายเรียบสะอาดไร้กลิ่นน้ำหอมของหอโคมเขียวหรือสีฉูดฉาดแบบพวกนางโลมชั้นสูง แต่ก็โดดเด่นขึ้นมาจากความนิ่งเงียบของท่าที นางมัดผมขึ้นแบบเรียบง่าย คาดผ้ากันเปื้อนแบบสาวใช้ หอบหิ้่วตะกร้าใบนั้นที่มีของสำหรับสาวใช้

           หลินหยากล่าวคำทักทายเบา ๆ กับผู้ดูแล เขาไม่ถามอะไรยางมากนักเหมือนเริ่มจะชินกับใบหน้าของนางแล้ว เธอเดินไปยังห้องด้านในเธอเสิร์ฟอาหารอยู่ตามเคย ไม่ได้คิดเลยว่าวันนี้อาจจะวุ่นวายมากกว่าที่คิด มือบางของหลินหยานั้นเสิร์ฟอาหารไปเรื่อย ๆ หญิงสาวอีกคนที่เดินผ่านพร้อมพัดในมือและกลิ่นน้ำหอมแรง ๆ แบบที่แขกพิเศษชอบ และนางก็พึมพำลอย ๆ ว่า..

           “คืนนี้มีแขกขาประจำชั้นสองมาด้วยล่ะ ห้องที่สามน่ะ ฮ่ะ ๆ”

           หลินหยานั้นไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา นางแค่ก้มหน้ารับรู้ ยืนนิ่งทำงานของตัวเองไป แต่เธอเหมือนกำลังวัดใจตนเองว่าการเสิร์ฟน้ำชา่กับเสิร์ฟชะตากรรมให้ผู้ควบคุมเกมที่อาจจะมองเห็นนางในมุมมีดที่ไหนสักหน่อย..

           ห้องพัิเศษบนชั้นสองห้องที่สามของหอว่านหงเหริญนั้นเงียบสงบผิดปกติ แม้เสียงดีดและเสียงเป่าของดนตรีจะลอยแผ่วมาไม่ขาดสาย บานฉากไม้ลายมังกรถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง แสงตะเกียงน้ำมันอบกลิ่นกำยานนั้นหอมอ่อน ๆ คล้ายไหลเื่อยไปทั่วห้อง เงามืดบางส่วนทอดทับกับร่างบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งบนโต๊ะไม้สักต่ำแบลบเรียบง่าย แต่ยังคงเต็มไปด้วยบารมีที่ไม่ต้องการตกแต่งเพิ่มเติม..

           เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำสนิทไม่มีลวดลายใดให้จับจ้องนอกจากความเรียบสง่าที่แทบไม่ต้องใช้คำบรรยาย เส้นผมถูกรวบขึ้นเรียบร้อยอย่างพิถีพิถัน เครื่องประดับศีรษะทำจากไม้หอมแกะสลักดุจตราแห่งอำนาจที่บ่งบอกสถานะ แม้เขาจะปลอมตัวไม่ใช่ในชุดขุนนางเต็มยศดังวันประชุมราชสำนัก แต่ทุกลมหายใจของเขายังแผ่รัศมีของผู้ควบคุมกระดาน

           เถียนเฟิงกำลังนั่งพิงเบา ๆ กับเบาะหมอนกำมะหนี่ ท่ามกลางโต๊ะอาหารบางส่วนที่พึ่งถูกจัะดเรื่องใหม่ และเมื่อเสียงประตูเลื่อนเปิดเบา ๆ หลินหยาก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางอันปกติ แผ่นหลังตรงตามธรรมเนียมของสาวใช้ สายตาก็ไม่ได้หลบหลีบแต่ก็ไม่หาญตรงนัก ธอวางถาดอาหารลงอย่างเงียบ ๆ จัดวางชามน้ำแกง ดอกเก๊กฮวยตุ๋นไก่กับผลเก๋ากี้ให้เรียบร้อย ก่อนจะกล่าวคำทักทายเสียงนุ่มแบบที่เธอถนัด

           “ใต้เท้า คืนนี้อากาศเย็น โปรดอย่าลืมจิบซุปร้อนนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของเธอเบาเรียบง่ายแล้วส่งรอยยิ้มจาง ๆ ให้กับเขาเหมือนเคย เป็นรอยยิ้มที่ไม่เสแสร้ง แต่ก็ไม่อ่อนแรงแบบผู้ร้องขชอความเมตตา เป็นแบบเธอ นั้นคือหลินหยา คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเมื่อคืน คนที่เดินจากไปหลังจากพูดคำที่ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าเขามาก่อน

           เถียนเฟิงนั้นทำเพียงปรายตามองเล็กน้อย ก่อนที่จะขยับนิ้วเรียวยาวแตะริมขอบจอกสุรา ไม่ได้พูดอะไรในทันที แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ปฎิเสธสิ่งที่เธอเอามาให้ เขายกจอกจิบขชึ้นเบา ๆ แล้ววางลงอย่างไร้เสียง ก่อนที่จะทอดตามองนางโดยไม่หลบและไม่เร่งเร้าเหมือนเคย “แม่นางหลินหยา..เจ้าดูไม่เปลี่ยนไปเลยแม้เพียงเล็กน้อย ตั้งแต่ท่าที หรือแม้แต่รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้นั้น” เขาเอ่ยในที่สุด เสียงต่ำของเขาไม่เข้มเกิดไปแต่กลับหนักแน่นแล้วกระแทกบางอย่างให้หลินหยาชะงัดในใจ..

           คำพูดที่เหมือนดูถูกแต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนไม่รู้ว่าคนผู้แฝงไว้ด้วยโทษหรืออภัย เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะเอนหลังพิงเบา ๆ

           "ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มาที่นี่อีก แต่เจ้าก็มา...มาด้วยตัวเอง มิใช่เพราะใครสั่ง ไม่ใช่เพื่อทองห้าตำลึง ไม่ใช่เพื่อข้า ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย...หรือเจ้ามาเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้...แม้ในที่แห่งนี้?" ปลายนิ้วเรียวยกสุราขึ้นอีกครั้ง ครานี้เขาหันไปรินเพิ่มลงในจอกตรงหน้าหลินหยาที่เธอยังไม่ได้แตะ มือของเถียนเฟิงเคลื่อนไหวช้าแต่มั่นคง ไม่มีวี่แววของความโกรธเคืองหรือเย็นชาแบบที่นางเคยหวั่นใจ มีเพียงสายตานิ่งขรึมที่คล้ายจะอ่านเธอออกอยู่แล้วแต่ยังเลือกจะเงียบไม่เอ่ยอะไร

           “เจ้าจะไม่เป็นหมากของข้า งั้นก็จงอยู่ในกระดานนี้แบบไม่มีสีของใครเสียเถอะ”

           หลินหยานั้นขมวดคิ้ว นางมองอีกฝ่ายแบบแปลก ๆ นิดหน่อยแล้วหัวเราะเล็ก ๆ แบบงง ๆ ตามฉบับคนที่ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ “ท่านนี้ชอบคิดว่าทุกสิ่งเป็นหมากจริง ๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านคิดเช่นนั้น แต่ท่านอย่ามาอารมณ์เสียเพราะไม่เป็นไปตามแผนของตนเองสิเจ้าคะ” นางเอ่ยบอกกับเขา เพราะวันนี้โดนคนอารมณ์เสียใส่เยอะจังเลย ก่อนที่จะกระพริบตาแล้วมองอีกฝ่ายเล็ก ๆ …

“หรือท่านอยากให้ข้าเล่นดนตรีปลอบใจให้ท่านหรือเจ้าคะ? เอาไหมเจ้าคะ?”

           คำพูดของหลินหยาทำให้เถียนเฟิงชะงักไปชั่วขณะ เหมือนมีใครใช้พัดไม้ไผ่ตีเบา ๆ ลงกลางคิ้ว ขณะที่เขายังหมุนจอกในมืออยู่ กลับกลายเป็นว่าจังหวะนั้นหยุดลง มือเรียวยาววางจอกลงอย่างเงียบงัน ราวกับไม่ต้องการให้สุราทำหน้าที่กล่อมใจอีกต่อไป สายตาคมนิ่งของเขาเหลือบมองนางตรง ๆ ดวงตาที่ไม่เคยหลบผู้ใดในใต้หล้า เรียบนิ่ง เย็นชา…แต่ในแววลึกกลับมีอะไรบางอย่างคล้ายจะละลายลงอย่างเชื่องช้า ราวกับน้ำแข็งบางที่แตกร้าวเพราะเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ถูกบังคับไว้ไม่ให้ออกมาดังเกินควร

           “แม่นางนี้..ข้าชักสงสัยเสียแล้ว ว่าในหัวเจ้าคิดอะไรอยู่ทั้งวันกันแน่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขาขยับตัวเล็ก ๆ ร่างสูงที่นั่งอย่างสุขุมเงียบขรึมบนเบาะดูคล้ายจะเอนหลังผ่อนคลายกวย่าเดิมนิดหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธคำของนาง นัยน์ตาที่มองนั้นคลายกับจะยอมรับด้วยซ้ำไป “เจ้าคงคิดว่าข้าคิดมากไปเองใช่ไหรือไม่?..แต่เจ้ารู้ไหมว่าโลกนี้ คนที่รอดคือคนที่มองเห็นก่อนว่าใครกำลังจะเดินเข้ามาเป็นหมาก หรือวางเราไว้เป็นหนึ่บงในหมากของพวกเขา” เถียนเฟิงเอ่ยแล้วสายตายังคงอยู่ที่หลินหยา นี้เป็นคัร้งแรกที่เวลาอยู่หอว่านหงเหรินแล้วหลินหยาพูดเยอะขนาดนี้..อาจเพราะนางกับเขาเริ่มรู้จักกันมากแล้ว

          “ข้าไม่โกรธหรอก หากสิ่งที่เจ้าทำมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าคาดไว้ แค่ข้าแค่ไม่ชินกับคนที่ปฎิเสธข้าตรง ๆ แบบหน้าตาซื่อใดบริสุทธิ์แล้วเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารให้ข้าพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับเริ่มเข้าใจเสียเองว่าทำไมเขาถึงไม่ควรวางหมากตัวนี้ไว้ตั้งแต่แรก “เจ้าจะเล่นดนตรีปลอบข้างั้นหรือ? เจ้าจะไม่หวาดกลัวหรือ? หากเสียงเพลงของเข้าทำให้ข้าคิดอะไรเกินกว่านั่งฟังเฉย ๆ ขึ้นมา” แม้คำพูดหยอกเย้าแต่สายตาของเขาไม่ได้เจ้าชู้หรือส่อเล่ห์เพทุบาย แต่กลับนิ่งเสียมากกว่า

           “แต่หากเจ้าจะเล่นจริง ข้าจะฟัง” เขาวางพัดไว้ข้างกาย พยักหน้าช้า ๆ อย่างให้เกียรติ “เล่นให้ข้าฟังเถอะ...เสี่ยวหนาน หรือเจ้าอยากให้ข้าเรียกชื่อจริงเจ้าดี?” แววตาเขาเรียบเฉียบอีกครั้งแต่ไม่ได้มีแรงกดดันเช่นคราวก่อน ราวกับตั้งใจจะฟังเธอ ไม่ใช่จับผิดเธออีก

           หลินหยานั้นเลิกคิ้วมองอีกคน สำหรับเธอแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินเลยขชองคำว่าหมากเบี้ยตัวหนึ่งหรอก เพราะในสายตาเธอ ใต้เท้าเถียนเฟิงคงไม่ได้มองเธอในเชิงเสน่ห์หาแต่อย่างใด แต่มองคนเหมือนกับจะใช้งานเสียมากกว่าเท่านั้นเอง แล้วหลินหยาก็หัวเราะเล็ก ๆ ออกมาเมื่อเขาบอกว่าจะเรียกชื่อจริงของนาง.. “ข้าไม่ใช่เสี่ยวหนานตุ๊กตาชักใยของท่านอีกแล้วนะเจ้าคะ…ข้าคือหลินหยา แต่ข้าไม่โกรธท่านหรอก..” หลินหยาเอ่ยขึ้นแล้วระบายยิ้ม เหมือนกับจะคิดอะไรเล็กน้อยนิดหน่อยแต่แล้วความคิดนั้นก็พลันมลายหายไปสิ้นนัก

           เถียนเฟิงชะงักเล็กน้อย ราวกับถูกสะกิดกลางใจโดยไม่ทันตั้งตัวจากถ้อยคำเรียบง่ายของหญิงสาวตรงหน้า เสียงหัวเราะของนางไม่เหมือนการเย้ยหยัน หากแต่เปี่ยมด้วยเสรีภาพบางอย่างที่เขาเคยคิดว่าไม่มีอยู่ในโลกใบนี้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยน...นางบอกว่าไม่ใช่เสี่ยวหนานตุ๊กตาชักใยของเขาอีกแล้ว แต่นางก็คือ หลินหยา

          “ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าเป็นตุ๊กตาชักใยเสียหน่อย” เสียงเขาแผ่วลงต่ำ ขณะที่มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยราวกับยอมรับคำของนาง “แต่ข้าเองก็คงชินไปแล้ว...กับการที่ทุกคนยอมให้ชักโดยไม่ต้องออกแรงดึง” เขาหยุดแล้วหันมามองเธอแบบตรง ๆ ดวงตาของเถียนเฟิงในยามนี้ไม่ได้เฉียบคมหรือเย็นชาเหมือนเคย หากแต่มีร่องรอยของความรู้สึกบางอย่างใต้หน้ากากแห่งความเฉยเมยมานาน

           “แล้วท่านจะให้ข้าเล่นอะไรล่ะ? ข้าเล่นได้หลายอย่างนะเจ้าคะ” หลินหยาเอ่ยถามเรื่องชนิดของเครื่องดนตรีว่าเขาอยากให้เธอเล่นอะไร จะได้รู้รสนิยมของเขาด้วย..พลางชายตามองเขาเล็ก ๆ พลางเลิกคิ้วนิดหน่อยเป็นเชิงรอว่าอีกฝ่ายจะให้เธอเล่นอะไรดี?

          “ไม่เอาเสียงขลุ่น มันบางเกินไป..ราวกับจะพัดหายไปกับลม ข้าไม่ชอบกู่ฉินมันนิ่งเกินไป เหมือนบทกวีที่ไม่จบ..เอ้อหูก็ไม่เลว คล้ายเสียงคนบ่นเศร้าโศกในคืนฝนตก แต่ถ้าจะให้ข้าเลือก..จริง ๆ ข้าอยากได้ยินเสียงของ ผีผา จากเจ้า” เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นยังคงลึกซึ้งเสียจนไม่แน่ใจว่าเขาพูดถึงเสียงเครื่องดนตรี หรือพูดถึงนางกันแน่

          “เสียงผีผาของเจ้าคงไม่เหมือนใครแน่ ๆ เจ้าจะเล่นให้ข้า...หรือต้องให้ข้าอ้อนวอน?” รอยยิ้มบางแล่นผ่านดวงหน้าเยือกเย็นประหนึ่งหยอกเย้า แต่ดวงตากลับซื่อตรงนัก ราวกับในยามนี้เขาไม่ใช่ใต้เท้าผู้ล้ำลึกของราชสำนัก ไม่ใช่เงาในเงาของฮ่องเต้ หากเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง

           เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังลอดริมฝีปากนาง ริมฝีปากนั้นที่ไม่เคยรู้จักคำว่ายอมจำนนให้อะไรทั้งสิ้น "ไม่ต้องเจ้าค่ะ หากท่านอ้อนวอน เถ้าแก่ไล่ข้าออกแน่" หลินหยาเอ่ยออกมาพลางกลั้นหัวเราะไว้ในลำคอ นางเดินไปยังมุมห้องที่วางผีผาไม้เก่าขึ้นเงางามของหอว่านหงเหรินอยู่ในซอกหลืบที่ไม่มีใครสนใจ แต่มือนางหยิบมันขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วเหมือนคุ้นเคยกับมันมานาน

           เถียนเฟิงเอนกายพิงเบาะเล็กน้อย ดวงตานิ่งขรึมทอดตามเงาของนางทุกฝีก้าว มิใช่ด้วยความเสน่หา...แต่เพราะนางกำลังจะทำบางสิ่งที่เขา คาดไม่ถึงอีกครั้ง เสียงเพลงนั้นไม่บอกเรื่องรัก ไม่กระซิบความฝัน แต่มันกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาร้ายกาจบางอย่างที่ทำให้บุรุษผู้หนึ่งตรงหน้าเลิกคิ้ว มันไม่ได้เริ่มจากความเรียบเนิบช้าอย่างที่เคยได้ยิน หากแต่ลื่นไหลลื่นออกมาราวกับลมพายุในทุ่งหญ้าแห้ง พุ่งทะยานขึค้นสูง แล้วแหวกลงสนู่ความเงียบ ก่อนพุ่งขึ้นด้วยทำนองที่เร็ว รัว และก้าวร้าวอย่างมีจังหวะ เถียนเฟิงเงยหน้าขึ้นพลางเลิกคิ้วอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะประหลาดใจที่นางกล้าเล่นเช่นนั้นต่อหน้าเขา แต่เพราะนางกล้าสบตาเขาขณะที่เล่นด้วยท่าที..บัดซบชะมัด..ช่างสดใสราวกับไม่เคยมีเรื่องใดเป็นปัญหาสำหรับนาง..

           เธอยิ้มมุมปากขณะเล่น สายตาก็จ้องไปยังใต้เท้าเถียนเฟิงตรง ๆ นางไม่กลัว ไม่หวั่น ไม่หลบ นางไม่ได้ใช้เสียงเพลงจีบ ไม่ได้ออดอ้อนด้วยนิ้วมือ แต่นางกำลังใช้เสียงของมันบอก 'ดูสิท่าน ข้ายังอยู่ที่นี่ แม้ไม่ได้เงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่ข้าสบายใจกว่าตอนอยู่ในกระดานของท่านเสียอีก'

           เสียงผีผาเหมือนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะของนาง ทั้งเสียดสี ทั้งเล่นสนุก ทั้งตั้งใจปลุกเร้าให้อารมณ์ของคนฟังพลุ่งพล่านขึ้นมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประหนึ่งจะบอกว่า 'ท่านจะทำไมล่ะ?' ชายผู้เคยนั่งอยู่เหนือขุนนางหมื่นหมื่นกลับต้องนั่งฟังเสียงเย้ยหยันน่ารักนี้อย่างเงียบงัน รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว

           และเมื่อจังหวะเพลงนั้นเปลี่ยนเป็นจังหวะที่นางทำเหมือนจงใจให้เหมือนเสียงถุงเงินจำนวน 50 เหรียญตำลึงกลิ้งไปมาในถุงผ้า..มันทำให้เถียนเฟิงนั้นยกสุราขึ้นจิบเล็กน้อย ทอดสายตามองนางที่จงในจะส่งจำนวนนั้นให้เขาผ่านเสียงของดนตรี เสียงผีผารวดเร็วแทบจะเรียกได้ว่าเป็นดนตรีต่อสู้ ไม่ใช่การปลอบ เย้า แต่มันเหมือนการท้าทายตนเองอย่างเปิดเผย เสียงสุดท้ายจบลง หลินหยาก็เงยหน้ามองอีกฝ่าย ชายตรงหน้าไม่ปรบมือ ไม่ขมวดคิ้ว หากแต่เอียงศีรษะน้อย ๆ พลางวางจอกเหล้าไว้เบื้องหน้า “เจ้านี้มันดื้อรั้นเสียจนข้าเริ่มสงสัยว่าใครเป็นคนล่อลวงใครกันแน่”

          “ข้าชอบเพลงเร็วเจ้าค่ะ” นางพูดเรียบ ๆ ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อย “มันเหมาะกับตอนที่ข้าไม่มีเวลาเสียดายอะไร”



@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -

รางวัล: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-6-22 12:04
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2025-6-22 12:04
โพสต์ 35516 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-21 23:53
โพสต์ 35,516 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-21 23:53
โพสต์ 35,516 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-21 23:53

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-22 12:29:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ ยี่สิบเอ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไฮ่ เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป ณ หอว่านหงเหริน
การพบกันที่ไม่คาดฝันและความคิดอันซับซ้อนของเด็กชาย


          ช่วงเวลาห้าทุ่มของกลางฤดูร้อนที่แสนหนาวเย็น ของหอว่านหงเหรินยังคงคุกกรุ่นไปด้วยไอร้อนที่คลุมอยู่บาง ๆ จากแสงแดดยามกลางวัน แต่ความจริงแล้วมันเป็นความร้อนรุ่มจากบางอย่างที่อยู่ภายในหอนางโลมแห่งนี้ที่เปิดเป็นหอนางรำช่วงเวลาค่ำคืน มันร้อนเร้า ร้อนรุ่มทุก ๆ คืน อย่างไม่มีวันลดละ

          ประตูด้านนั้นนั้นยังตั้งตระหง่านอย่างไม่รู้เวลา สีชาดของไม้ใหญ่สะท้อนประกายจากคบเพลิงฟินที่ส่องแสงสว่างนิ่งงัน ควันธูปหอมและกำยาน เสียงของอิสตรีและชายหนุ่มดังขึ้นไม่มีรู้จบราวกับมันจะยังคงอยู่จวบจนเวลาเช้าของอีกวันไม่มีผิดเพี้ยนไปจากที่เคยได้ยิน สถานที่อันเคยโดนรื่นรมย์ไม่รู้จบของหลายคนที่ใฝ่ฝั่นกับทั้งชายหญิงนายโลมนางโลมที่พร้อมบริการทุกท่าน..มันช่างเป็นคืนที่รื่นรมย์เสียเหลือเกิน…

          @LiuRuxuan

          ร่างเล็ก ๆ ของสตรีคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากสถานที่นั้นในความเงียบ นางนั้นบิดตัวซ้ายทีขวาทีพร้อมกับท่าทางของความเหนื่อยอ่อนแบบคนที่ทำงานหนักมาตลอดไม่มีผิด อาการของนางนั้นอ่อนล้าเล็กน้อยจากการทำงานหนักตลอดทั้งวัน งานประจำค่ำคืนที่แสนไม่ค่อยว่างทำให้เธอนั้นแทบอยากจะกรี๊ดออกมาเพราะว่าวันนี้เจอแต่เรื่องวุ่นวายไม่มีผิด

          ร่างของหลินหยาในชุดผ้าฝ้ายบางสีอ่อนนั้นขยับไปตามลมเย็นของช่วงกลางคืนในเมืองฉางอันแห่งนี้ กลิ่นเหงื่อของเธอพร้อมกับกลิ่นน้ำอบของพวกนางโลมยังคงชะโลมกลิ่นของเธอ แต่โชคดีที่หลินหยานั้นทำให้ตัวเองไปทำงานกับพวกงานเสิร์ฟ ทำให้เธอไม่มีกลิ่นอะไรติดไปมากกว่าอาหารชั้นเลิศที่ติดตรงขอบเสื้อหรือขอบแขนเสื้อตัวเองเท่านั้น..

          @LiuRuxuan

          สตรีตัวบางร่างน้อยนั้นเหลือบมองเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา นั้นคือคุณชายจากห้องพักพิเศษทางทิศตะวันตกเมื่อตอนเย็นไม่ใช่หรือนั้น? ตอนแรกหลินหยาไม่คิดทัก เพราะเอาความจริงเธอกลัวเขาพอสมควรเพราะเขาดูโหดแปลก ๆ นางทำเพียงแค่จะขยับตัวถอยหลังให้ เพราะเขาพาตัวเองมาพร้อมกับหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่น่าจะเพิ่งเติบโตหน้าตามีเสน่ห์แบบงง ๆ ในสายตาของหนาน หลินหยา อายุน่าจะน้อยกว่าเธอเพียง 1 หรือ 2 ปีเท่านั้น ไม่เกินนี้แน่ ๆ

          หลินหยานั้นเธอเป็นสตรีวัยประมาณ 14 - 15 ปีไม่เกินนี้ ใบหน้านวลผ่อง ท่าทางใสซื่อเหมือนเด็ก ดวงตาใสสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อน ใบหน้าเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ไม่ได้ถึงขั้นส่วน แต่ไม่ได้หน้าตาแย่สักนิดเดียว ริมฝีปากของนางนั้นขยับเข้าหากันแบบคนที่เหมือนคิดอะไรตลอดเวลาแต่ไม่อาจพูดออกมาได้เลยสักนิด ท่าทางเหมือนคนเหนื่อยล้าจากการทำงานแต่ยังคงร่าเริงสดใสและไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครทั้งนั้น

          @LiuRuxuan

          หลินหยานั้นเอียงคอเล็กน้อยเพราะอยู่ ๆ ก็โดนทัก เธอขมวดคิ้วเพราะอะไรน่ะหรอ? เพราะว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มที่เธอเคยบริการเสิร์ฟอาหารให้เขากลับมาพร้อมกับชายหนุ่มที่น่าจะพึ่งแตกเนื้อหนุ่มเมื่อหมาด ๆ ด้วยซ้ำไป แล้วตอนนี้เขากลับสูดลมหายใจแล้วเอ่ยถามนางว่านางคือใครกันหรอ?..หือ? งง?..หลินหยาเอียงคอมองอีกคนดวงตาใสของนางนั้นเหมือนคนสงสัยที่ซื่อบริสุทธิ์เสียจนเหมือนคนน่าโง่ไร้การศึกษา

          “เอ่อ..สวัสดีเจ้าค่ะท่านชาย ข้ามีนามว่าหลินหยา ไม่ทราบว่าหากท่านชายต้องการใช้บริการหอว่านหงเหรินแล้วเชิญเข้าไปด้านในได้เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้นบอกกับอีกคนเช่นนั้นเพราะคิดว่าเขาคงเป็นเด็กชายบ้านรวยเพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่ชิ้นเดียวดูมีราคามากเลยนะเนี้ย…อืม..น่าจะเป็นคุณชายมาเที่ยวเล่นครั้งแรก “หากท่านชายต้องการสิ่งใด เหล่านางโลมและนางรำภายในมีให้ท่านเลือกสรรทั้งชายหญิงตามแต่ท่านชายพึงประสงค์เจ้าค่ะ” เอ่อแนะนำแบบที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้านั้นกำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่


          @LiuRuxuan

          แม่นางน้อยหลินหยานั้นเหมือนจะหายใจผิดจังหวะตอนที่เสียงของเขานั้นเอ่ยถามเธอขึ้นมาในเรื่องชื่อตอนแรก เขาเหมือนกับพลิกตัวจากเด็กชายกลายเป็นชายหนุ่มในชั่วพริบตา ดวงตานั้นมีประกายกร้าวบางอย่างที่นางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกกลัวขึ้นมา เหมือนคนมีอำนาจของตนเองล้นฟ้าแต่กลับอันตราย..ความกดดันนั้นทำให้หลินหยาขยับคิ้วเรียวเข้าหากันเพียงเล็กน้อย..

          “เอ่อ…ท่านชายเมื่อครู่หรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยทวนคำถามของเขาเล็กน้อย พลางเหมือนกับยกมือเกาหัวเหมือนไม่รู้ว่าตนเองได้ทำอะไรผิดหรือไม่อย่างไร เพราะเธอนั้นทำไปด้วยความหวังดีและความเคารพล้วน ๆ ไม่มีอะไรผสมในนั้นเลยสักนิดเดียว “ข้าให้น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนไปเมื่อเย็นเจ้าค่ะ ท่านชายมีอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” นางเอ่ยถามแบบไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายถามจริง ๆ พลางทำท่าคิดเพราะนางก็คิดว่ามันอร่อยดี และท่านชายทั่วไปก็มักจะชอบไม่ใช่หรือ? ..หลินหยาไม่ได้อธิบายอย่างอื่นให้ฟังอีก แต่สำหรับคนที่ชอบอาหารเลิศรสจะรู้ดีว่าเมนู น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนนั้นมีสรรพคุณที่รุนแรงซ่อนอยู่สำหรับท่านชาย..มันคือการทำให้ร่างกายร้อนรุ่มกระตุ้นพลังวังชาของเหล่าชายหนุ่มวัยกลัดมันทั้งหลายได้ลิ้มรสชาติเพื่อเพิ่มความหรรษาให้กับบางค่ำคืนของตนเอง

          @LiuRuxuan

          หญิงสาวนั้นเหมือนกับมีความไม่เข้าใจซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอแต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวกับจับจ้องคนตรงหน้าเพียงชั่วครู่แล้วปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างในหัวราวกับแกทเชื่อมโยงกันและกันสุดท้ายสิ่งที่นางทำคือดวงตาที่เปิดกว้างเพราะนางรู้ทุกอย่วงแล้ว อย่างไรนางก็ไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะต้องทำให้ตัวเองเป็นทองไม่รู้ร้อน และไม่ใช่สตรีที่พุ่งตัวเข้าไปหาคนที่กำลังมีอาการเช่นนั้นอยู่

          “...ท่านชาย..ข้า..ข้ารู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นแบบเดานะ” เธอเอ่ยแล้วเหมือนตั้งสติเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านชายอย่างสูง ข้ารู้แล้วว่าท่านร้อนเพราะสิ่งใด เอ่อ ข้าจะอธิบายให้ฟัง เพราะจากอายุท่านอาจจะยังเดียงสาอยู่พอควร อาหารของท่านเป็นเพราะฤทธิ์ของอาหาร มันทำให้ร่างกายของท่านร้อนรุ่มเพราะมันไปกระตุ้นกำลังวังชาของบุรุษเพศ..แถมมัน..ยังให้ผลดีสุด ๆ เลยด้วยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางแทบถอนหายใจ ในหัวกำลังคิดว่าวิธีช่วยบุรุษน้อยที่น่าจะพึ่งแตกเนื้อหนุ่มนี้ให้ยังไงดีกันนะ

          “ข้าขอเดานะ ท่านชายที่อืม?..พาท่านมาน่าจะเอาหารที่ข้าให้เขาไปให้ท่านหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ เพราะอาการเขาตอนนี้มันก็เริ่มชัดพอสมควร

          หลินหยานั้นเหมือนกำลังคิดว่าควรทำเช่นไรดีตอนนี้ “ตอนนี้ท่านหวังสิ่งใด? อยากหาทางแก้ หรือท่านอยากระบายอารมณ์เจ้าคะ?” นางถามขึ้นมา ความใสซื่อของหลินหยานั้นมี แต่นางไม่ได้โง่กับการที่ตัวเองทำงานที่หอว่านหงเหริน หากท่านชายตรงหน้าอยากเปิดประสบการณ์เช่นผู้ใหญ่นางก็จะผ่ายมือไปทางหอว่านหงเหริน หากแต่ถ้าเขาอยากแก้นางก็ไม่ได้คิดว่ามันยากเกินไป

          @LiuRuxuan

          หลินหยานั้นมองคนที่อยู่ ๆ จากที่ขึงขังมาก็กลายเป็นเด็กชายที่เหมือนจะไม่รู้ประสาที่กำลังขอความช่วยเหลือ ความรู้สึกผิดเข้ามาที่ดวงจิตของหลินหยาอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตาของนางกลับไม่อาจอ่านออกได้ เพราะหากจะอ่านมันเหมือนมีตัวอักษรมากมายอยู่ภายในนั้นจนแม้กระทั่งเจ้าตัวที่เป็นเจ้าของห้วงความคิดก็ไม่อาจตีความออกมาได้ เพราะความซับซ้อนของความคิดและนางคงไม่มีทางคิดจะอธิบายออกมาได้

          “ปกติแล้วข้าไม่แน่ใจ แต่คนที่หอว่านหงเหรินหากต้องการก็คือรำสุรากับสตรีเพื่อคลายความเหงา แต่สำหรับท่านก็ควรหาอะไรกินนะเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะยืนเหมือนคิดอะไรอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนกล่าวสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นสาวใสซื่อบริสุทธิ์ออกมาจากปากบ่งบอกว่านางคงอ่านหนังสือหรือศึกษาตำรามามากเกินควรทีเดียว..ก็แน่สิ คิดว่าการที่ต้องนั่งฝึกหัดคัดลายมือจากตำราหลายร้อยเล่มหลายร้อยรอบมันทำให้หลินหยาไม่มีความรู้หรือ? เช่นนั้นก็โง่เกินควรแล้วล่ะ

          “ท่านควรไปหาแตงโมทานนะ เป็นธาตุเย็น ดับร้อนภายในหวานชุ่มคอ หรือแบบถั่วเขียวใช้สำหรับขับพิษดับร้อนในหัวใจและตับ อีกอย่างก็มีพวกแตงกวาหรือดอกเก๊กฮวย ดอกเก็กฮวยข้าว่าน่าอร่อยมากกว่า เขาบอกว่าช่วยดับร้อนที่ต้นทางของความกำหนัดแล้วก็มีเรื่องสูตรรวมการถอนพิษราคะก็มี เขาเรียกว่าน้ำซุปดับไฟ เอาน้ำต้มถั่วเขียวใส่ดอกเก๊กฮวยเพิ่มเปลือกส้มแห้ง ใส่แตงโมเย็นอะไรประมาณนั้นน่ะ แต่ข้าไม่เคยกินนะ เคยแค่อ่านมา” นางเอ่ยขึ้นบอกเขาแบบชัดเจนเหมือนออกมาจากตำราที่พึ่งอ่านมาเมื่อวาน แต่เธอไม่ขยับเข้าใกล้เขาแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวของนางจ้องมองเขานิดหน่อยด้วยความรู้สึกผิดที่ยังประดังอยู่..

          บัดซบจริง ๆ เธอทำให้ชายที่ตัวเองไม่รู้จักกระทั่งชื่อต้องทรมารถึงเพียงนี้เลยหรือเนี้ย?

          “ท่านคิดว่าจะหาทานได้ไหม หากท่านต้องการหา ข้าพาไปหาได้เจ้าค่ะ..ไม่แน่ใจว่าท่านชายมีเงินมาด้วยไหม ข้าออกให้ได้นะ” นางเอ่ยบอกอีก ประโยคนี้เป็นการบอกว่าสิ่งที่อยู่ในตัวเธอคือความรู้สึกผิด แต่เธอก็ยังไม่กล้าขยับเข้าหาเขาหรือพุ่งเข้าไปอยู่ดี หลินหยาไม่เคยให้ใครแตะตัวนางเลยสักนิด ต่อให้สนิทกันเพียงใด น้อยครั้งมากที่จะผิวสัมผัสกายแม้แต่ปลายเล็บ กระทั่งชายที่หายไปเมื่อครู่ที่นางก็ไม่รู้จักชื่อ นางยังไม่เคยแตะตัวเขาแม้แต่ปลายเส้นผม..

          @LiuRuxuan

          “ข้าไม่รับหรอกท่านชาย…ท่านชื่อเสวียนอิ๋งสินะ ท่านเป็นคนที่สองตั้งแต่ที่ข้ามาฉางอันที่แนะนำตัวกับข้าเลย” เธอบอกเขาแบบนั้นเพราะเอาตรง ๆ …การแนะนำตัวเป็นสิ่งที่หลินหยาทำเสมอ แต่ใครหลายคนกลับไม่คิดจะทำกับเธอเลยเพราะเห็นว่าเธอเป็นเพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อยคนหนึ่งเพราะนางไม่เปิดว่าตัวเองเป็นใคร

          เสียงของหลินหยาเอ่ยขึ้นปฎิเสธความยื่นไมตรีมิตรของเขาออกไปอย่างชัดเจน ไม่ใช่ว่าเธอจะเห็นแก่เงินถึงเพียงนั้น “ข้าชอบเงินนะ ข้าเห็นแก่เงินด้วย แต่หากจะให้ข้ารับเงินจากคนที่ข้าทำผิดกับเขานักคิดว่าไม่ควร” หลินหยาเอ่ยขึ้นก่อนที่นางจะลอบถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นเหมือนบอกกับเขาว่าเก็บไปเถิด นางไม่รับหรอก

          “ร้านค้าปิดหมดแล้วแต่มีสถานที่หนึ่งยังไม่ปิด..แต่ข้าคิดว่ามันไกลไปคือโรงหมอ และท่านหมออาจจะนอนพักอยู่ ท่านสะดวกเข้าครัวของหอว่านหงเหรินหรือไม่? มันเปิดตลอดคืน แอบทำหน่อยก็ดี หรือท่านจะจ่ายเงินสักเล็กน้อยให้ได้พื้นที่สวนตัวในห้องครัวของที่หอก็เอาแต่ที่ท่านสะดวก” นางเอ่ยบอกขึ้นมาก่อนที่จะหันไปทางด้านในหอว่านหงเหรินอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าของเธอหลุบลงเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายคงจะไม่เห็นว่าตอนนี้เธอทำสีหน้าเช่นไรอยู่เหมือนกัน

          “แค่ท่านอาจจะต้องทนกลิ่นของลุ่มราคะ เสียงครวนคราญที่อาจทำให้จิตใจท่านกระเจิงไปสักเสียหน่อย ทำได้ไหม?” นางเอ่ยถามขึ้นมา โดยที่ไม่รู้อยู่เลยว่าการพาอีกฝ่ายเข้าไปจะทำให้คนที่แอบมองอยู่คิดไกลเกินเลยหรือไม่ แต่ไม่รู้หรอกว่าสถานะของเขาเป็นเช่นไร เพราะตนเองก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจในสถานะของใครเลยทั้งสิ้น

          @LiuRuxuan

          สตรีวัยแรกรุ่นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะถอนหายใจเหมือนกับว่าเธอนั้นก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ช่วยอะไรคนตรงหน้าได้มากนัก ก่อนที่เสียงด้านหลังของเขาที่กำลังหันจากไปจะดังขึ้นแบบง่าย ๆ “ท่านชายเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” เสียงของเธอเอ่ยเรียกเขาก่อนที่ตัวเองจะเหมือนหยิบของอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าด้านข้างกายของตนเอง กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์ที่นางพกไว้ หญิงสาวหยิบของบางอย่างออกมาแล้วเดินตรงไปหาอีกคน

          ยื่นกล่องบางอย่างให้เขาแบบเรียบร้อย “เอาไว้กินดับกระหายสักหน่อยแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าคาดว่าท่านชายควรได้ทานอะไรสักหน่อย เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ มันแค่ขนมเท่านั้น” เธอเอ่ยขึ้นบอก มันเป็นกล่องไม้ที่ภายในบรรจุขนมไหมฟ้า หรือขนมหนวดมังกรหลงซูถังอยู่ภายในนั้น หรือก็คือขนมเส้นไหมที่ทำจากน้ำผึ้งหวานล้ำกวนกับแป้งหลายชนิดแล้วขึงเป็นเส้นม้วนใส่กับถั่วหลากชนิดเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ หอมหวานล้ำลึก และอาจจะคลายความร้อนได้บ้างละมั้ง? นางไม่รู้เหมือนกัน

          “หากไม่ต้องการท่านปัดมันทิ้งได้ตลอดนะ” เอ่ยบอกแค่นั้นก่อนที่จะก้มหัวลงแล้วหันหลังกลับมุ่งหน้าตรงกลับไปยังภายในหอว่านหงเหรินอีกครั้งราวกับว่าไม่ว่านางจะออกห่างจากมันเพียงใดนางก็จะกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นตลอด ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะจากเงินตรา หรือเพราะอะไรที่ไม่อาจทราบได้เหมือนกัน



@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: มอบ ขนมไหมฟ้า จำนวน 1 ชิ้น ให้ LiuRuxuan (ส่งให้แล้ว)
รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 33585 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-22 12:29
โพสต์ 33,585 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-22 12:29
โพสต์ 33,585 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-22 12:29
โพสต์ 33,585 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-22 12:29
โพสต์ 33,585 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-22 12:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1

6

กระทู้

44

ตอบกลับ

3321

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2510
ตำลึงทอง
124
ตำลึงเงิน
321
เหรียญอู่จู
14713
STR
5+1
INT
15+0
LUK
5+7
POW
5+0
CHA
0+0
VIT
0+10
คุณธรรม
377
ความชั่ว
11
ความโหด
217
โพสต์ 2025-6-22 13:20:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด







 แผนการอันล้มเหลวของหัวหน้าขันที (?)


22 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามไห่ < 21.00  น. - 23.00 น. >



@LinYa



แผ่นอกน้อย ๆ ขยับขึ้นลงช้า ๆ ในตอนแรก ราวลมหายใจของผู้ใกล้จะหลับใหล ทว่าไม่นานนัก ความสงบในร่างกายก็กลับแปรเปลี่ยนราวคลื่นใต้หุบธารที่กำลังประทุ เส้นโลหิตพลันพลุ่งพล่านคล้ายมีเปลวไฟแผ่ซ่านอยู่ในอก ลามไปตามเส้นชีพจรจนถึงปลายนิ้วมือปลายเท้า



องค์ชายน้อยกระพริบพระเนตรช้า ๆ ความร้อนแผ่วบางคล้ายไอแดดยามฤดูร้อนบนพื้นหินก่อ เริ่มก่อตัวเป็นแรงเคลื่อนไหวลึกลับจากภายใน อุณหภูมิในพระวรกายคล้ายเพิ่มขึ้นโดยไม่ปรานี ไหลเวียนในเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ จนได้ยินเสียงหัวใจของตนชัดเจน



ขนพระเนตรยาวกระพือวูบ ดวงเนตรสั่นระริก ไม่ใช่ด้วยความหวาดหวั่น แต่เพราะความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างไหลวนเข้ามาไม่หยุดยั้ง



อากาศรอบกายหาได้เปลี่ยนไป ทว่าเนื้อในกลับร้อนราวก่อไฟใต้กระทะทอง



พระหัตถ์เล็กยกขึ้นแตะพระปรางเบา ๆ รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนัง



ป…เป็นอะไรไปกันแน่



น้ำทิพย์ที่เมื่อครู่ยังชวนให้เคลิบเคลิ้มในรสและกลิ่น บัดนี้กลับเหมือนตัวยาเล่นกล



เด็กชายหายพระทัยแรงครั้งหนึ่ง… จากนั้นอีกครั้ง… แต่ลมหายใจกลับยิ่งหน่วงหนัก เหงื่อผุดขึ้นเหนือไรผมแนบหน้าผาก



สายพระเนตรตวัดผ่านม่านผ้าโปร่ง… แล้วไหลวกไปยังร่างสูงที่ยังคงยืนประจำอยู่ไม่ไกล ใต้แสงตะเกียงสลัวเงาร่างนั้นนิ่งสงบ ไม่ไหวติง ไม่เอ่ยคำใด มีเพียงรอยยิ้มบางที่ระบายอยู่ตรงมุมปากราวกำลังชื่นชมภาพวาดงามเฉียบ



เด็กชายเม้มพระโอษฐ์แน่น เสียงที่ตั้งพระทัยจะเอื้อนออกกลับถูกแรงร้อนข้างในต้านทานไว้แทบทั้งหมด ทรงอยากเอ่ยถาม ทรงอยากให้ใครสักคนไขความอึดอัดคล้ายถูกกลืนด้วยไฟเช่นนี้ให้กระจ่าง ทว่าเสียงกลับตีขึ้นไปติดอยู่ตรงลำคอ พอจะเรียก ก็กลับเป็นเพียงเสียงอ้อแอ้ที่ไม่มีผู้ใดยิน



พระเนตรพราวราวจะคลอด้วยไอร้อน ร่างเล็กเอนพระวรกายพิงเบาะพลางหอบหายใจสั้น ๆ อย่างไม่อาจหักห้าม บางสิ่งบางอย่างในกายคล้ายหลุดจากกรอบระเบียบและควบคุมตนเองไม่ได้



ไยถึงเป็นเช่นนี้… หรือว่า…



ไม่ทันสิ้นพระดำริ เสียงฝีเท้าก็เคลื่อนเข้ามาในตำหนักโดยไม่ต้องรอรับสั่ง นางกำนัลผู้รับใช้ใกล้ชิดปรากฏกายเบื้องหน้าต่างพร้อมเสื้ออาภรณ์ผืนใหม่ในมือ ไม่มีคำถาม ไม่มีเสียงทัก คล้ายรับคำสั่งมาก่อนหน้าแล้วทุกสิ่ง



องค์ชายน้อยกัดริมพระโอษฐ์เบา ๆ ขณะพระวรกายถูกประคองเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ความเย็นจากผ้าไหมพาดผ่านผิวก็คล้ายช่วยลดทอนความร้อนที่สุมอยู่ในร่างไปได้บ้าง แต่ก็มิได้หยุดยั้งความรู้สึกแปลกปลอมที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในอก



กลิ่นหอมของยาสมุนไพรยังอ้อยอิ่งอยู่ในโพรงจมูก องค์ชายขยับพระหัตถ์เพื่อหยัดพระวรกาย แต่เพียงครึ่งทาง แรงในกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนแรงชั่วขณะ ทรงรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะหลอมละลาย กลายเป็นน้ำที่ไหลซึมลงสู่ตั่งไม้



พระขนตากระพืออีกครั้งก่อนที่พระเนตรจะตวัดมองไปทางประตู



...จู่ ๆ ก็รับรู้ถึงแรงยกแผ่วเบาที่รองรับพระวรกาย พระอังสาถูกพาดทับอย่างมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว สัมผัสนั้นราวสายลมกลางฤดูร้อนที่เข้ามาแผ่วเบาแต่แนบแน่น



แม้สายพระเนตรจะพร่าเบลอไปด้วยไอร้อน แต่อุ่นสัมผัสนั้นกลับแน่นอนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ



เด็กชายเม้มพระโอษฐ์ พลางเอียงพระเศียรซบลงโดยไร้ถ้อยคำ ความหนักแน่นของอ้อมแขนที่อุ้มพระวรกายมิได้ให้ความรู้สึกของการแบกหาม หากแต่ประหนึ่งอุ้มของล้ำค่าที่ไม่อาจหล่นแม้เพียงปลายเส้นผม



สายลมภายนอกตำหนักพัดผ่านผ้าม่าน บดบังพระพักตร์ของเด็กน้อยไว้ครู่หนึ่ง เมื่อม่านผ้าถูกยกขึ้นอีกครั้ง ร่างขององค์ชายก็มิได้อยู่ในตำหนักตงเฉินนั้นอีกแล้ว…



@LinYa



คืนฤดูร้อนแผ่ไออุ่นอยู่บนพื้นหินของนครหลวง แต่ในห้วงยามไห่ที่ลมเปลี่ยนทิศและเงาจันทร์ลอยสูงจนแทบแตะขื่อพระตำหนักนั้น องค์ชายน้อยแห่งวังหลวงกลับรู้สึกราวพระวรกายจะแตกสลายจากความร้อนที่มิอาจอธิบาย


สัมผัสจากท่อนแขนของผู้แบกประคองนั้นมั่นคงและเยือกเย็นจนเกือบจะหลงคิดว่าเป็นภาพฝัน ท่ามกลางความพร่าเลือนของดวงเนตร ทุกอย่างรอบตัวคล้ายจะละลาย ไอร้อนในกายยังคงกรุ่นพล่านแม้ยามที่สายลมกลางคืนปะทะพระพักตร์


เสียงอึกทึกเบื้องไกลขับเคลื่อนเข้าสู่พระกรรณทีละน้อย


กลิ่นกำยานบางชนิดแทรกซึมมาในอากาศ กลิ่นที่ไม่ใช่ของวังหลวง ไม่ใช่เครื่องหอมจากตำหนักนางกำนัล แต่กลับแฝงด้วยความหวานฉุน กลิ่นที่อุ่นจนแทบจะเร้าให้ใจเต้นแปลกประหลาด


องค์ชายน้อยเริ่มรู้ตัว… ว่าถูกพาออกจากเขตพระราชฐานเสียแล้ว


เสียงหัวเราะของบุรุษ เสียงเพลงกล่อมอารมณ์ และกลิ่นของน้ำอบที่ต่างจากที่คุ้นเคยกำลังหลอมรวมอยู่ในบรรยากาศ เด็กน้อยขมวดพระขนงเพียงเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดพระเนตรฝืนลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อจับทิศทาง ทว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงม่านผ้าบางที่โอบล้อมด้านข้าง ราวกำลังซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของเงาในคืนมืด


เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้พาเดินเริ่มช้าลง เด็กชายก็พลันได้ยินเสียงบานประตูไม้เปิดออกเบา ๆ


กลิ่นอาหารชั้นดีจาง ๆ ลอยมาแตะปลายพระนาสิก พร้อมกับกลิ่นเหงื่อและผ้าฝ้ายสะอาดบริสุทธิ์ ความคุ้นเคยแบบแปลกใหม่พุ่งวาบเข้ามาในหัวใจ เขาไม่เคยรู้จักกลิ่นนี้มาก่อน แต่มันกลับไม่ทำให้ระคายเคือง ตรงกันข้าม… กลับรู้สึกเหมือนอยู่ในผ้าห่มผืนเก่าแก่ที่คนเฒ่าเคยใช้ซุกยามเหมันต์ฤดู


พระวรกายไหววูบเล็กน้อยเมื่อผู้แบกหยุดก้าว และในชั่วเสี้ยวนาทีนั้น พระเนตรเล็ก ๆ ก็พลันได้เห็นภาพเบื้องหน้า


หญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าฝ้ายบางกำลังเดินออกจากประตูไม้สีชาดของสถานที่ที่ไม่คุ้นตา แสงคบเพลิงยามดึกสะท้อนร่างนางให้ขยับไหวคล้ายเงาของจันทร์กระเพื่อมในน้ำ นางมีสีหน้าล้าเล็กน้อย ท่วงท่าไม่ใช่ของอิสตรีชั้นสูง ทว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนที่ใช้แรงกายมาแล้วทั้งวัน


กลิ่นเหงื่อจาง ๆ คลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารที่ติดตรงขอบแขนเสื้อ รอยเปื้อนบาง ๆ ที่มุมผ้าบ่าทำให้เขาแน่ใจว่านางมิใช่นางโลม แต่เป็นคนงานครัว หรือพวกเสิร์ฟอาหารในหอรื่นรมย์แห่งนี้


ดวงเนตรที่เคลือบไอร้อนขององค์ชายจับอยู่ที่ร่างนางครู่หนึ่ง ก่อนที่พระหัตถ์จะเผลอขยับเกร็งขึ้นเล็กน้อยในอ้อมแขนของผู้พาเดิน


…กลิ่นนี้เอง


กลิ่นที่ติดอยู่ตรงขอบเสื้อของหญิงนางนั้น… คล้ายกับกลิ่นที่ติดอยู่ที่ถ้วยยาน้ำทิพย์เมื่อต้นคืน… มิใช่กลิ่นยาจีน แต่เป็น… กลิ่นของสตรีผู้นี้


องค์ชายน้อยแม้อยู่ในสภาพที่พร่าเลือนไปครึ่งหนึ่งด้วยฤทธิ์ยา แต่ความรู้สึกอยากรู้ อยากเข้าใจ และความใคร่รู้ในจิตใจก็พลุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ พระเนตรยังคงมองตามร่างของหญิงสาวที่เดินบิดไหล่คลายความเมื่อยโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องอย่างเงียบงัน


ในหัวพลันมีคำถามแล่นวาบขึ้นมาอีกครั้ง นางใช่หรือไม่… ผู้ที่ทำยาตุ๋นถ้วยนั้น


ถ้าใช่จริง… แปลว่าเขากำลังอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่… และกำลังจะได้พบคนที่ไม่ควรได้พบ


ร่างน้อย ๆ ขยับเบา ๆ ในอ้อมแขนของผู้แบก ราวกับต้องการยกพระวรกายขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ได้มองหญิงผู้นั้นอีกสักครา แต่มิอาจฝืนแรงภายในได้มากไปกว่านั้น


พระเนตรพร่ามัวขององค์ชายยังไม่ละไปจากเงาร่างของหญิงในผ้าฝ้าย


แม้ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ในพระทัยกลับพล่านไปด้วยถ้อยความหลากหลาย


ถ้านางเป็นคนทำ… ข้าจะต้องคุยกับนางให้ได้ ข้าจะถามให้ได้ว่าใส่อะไรลงไปในยานั้น…  และแล้วม่านผ้าก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง… และร่างขององค์ชายน้อยก็พลันหายลับไปในเงาของคบเพลิงที่ยังคุกรุ่นไม่สิ้นราตรี



@LinYa



เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของผู้ที่แบกพระวรกายของเด็กน้อยไว้หยุดลงใต้เงาของเสาไม้ต้นหนึ่งริมระเบียงหอว่านหงเหริน แสงจากโคมไฟหินหยกสีแดงอมทองที่แขวนเรียงรายอยู่ตามทางเดินสะท้อนแสงอ่อนนวลลงบนพระพักตร์ขาวนวลขององค์ชาย ร่างที่อบอุ่นร้อนรุ่มเมื่อครู่ บัดนี้แม้ยังมีไอร้อนล้อมกายอยู่ แต่ก็เริ่มมีสติกลับมาเล็กน้อยเมื่อถูกพัดโบกด้วยลมเย็นจากภายนอกหอ


ดวงเนตรเรียวยาวของเด็กชายที่แม้ยังพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยา กลับจับภาพร่างของใครคนหนึ่งไว้ในห้วงสายตา  หญิงสาวร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายบาง สวมเสื้อสีอ่อน รอยเปื้อนจางจากซุปหอมบนแขนเสื้อยังไม่ทันจางจึงส่งกลิ่นชวนให้คุ้นเคย


ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะเอื้อนพระวาจาออกไป เสียงของผู้แบกกายก็เอ่ยขึ้นชัดถ้อยชัดคำ


“องค์ชาย… กระหม่อมขอตัวลาเพียงครู่”


พระขนงขององค์ชายเลิกขึ้นแผ่ว ๆ


“…หา จะทิ้งข้าไว้ที่นี่..”


เสียงของเด็กน้อยเปล่งออกมาเบากว่าที่ตั้งพระทัย เพราะไอร้อนในกายยังทำให้พระสุรเสียงสั่นเครือเหมือนกระดิ่งทองในสายลม ชั่วขณะหนึ่ง องค์ชายน้อยทรงคิดว่าจางกงกงเพียงจะปล่อยเขาไว้เพื่อซ่อนตัวจากใคร ทว่าประโยคต่อมากลับตอกย้ำบางสิ่งที่ยิ่งแปลกกว่าเดิม


“กระหม่อมอยากให้พระองค์… ลองสนทนากับสตรีผู้นั้นดู”


ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนถึงกับขืนตัวขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรเบิกกว้าง แล้วก็เลื่อนมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล… คนผู้นั้น?


หญิงนางนั้น?


หญิงสาวตัวเล็ก ผิวผ่องนวล ท่าทางคล้ายแมวขี้ตกใจที่แอบเข้าไปในห้องขุนนาง นางดูเหนื่อยอ่อน แต่มีประกายสดใสในแววตา ดวงหน้าคล้ายตุ๊กตาเคลือบเงา ยิ่งเมื่อยามแสงไฟสะท้อนจากเสาไม้ กลับยิ่งเหมือนภาพฝันในม่านหิมะ


พระวรกายขององค์ชายเกร็งเล็กน้อย มือเล็ก ๆ กำแน่นแนบตัก


“ทำไมข้าต้องยุ่งกับนาง?” เด็กชายเอ่ยเสียงเบา สีพระพักตร์ที่เคยเฉยเมยฉายแววระคนทั้งประหลาดใจ ขัดใจ และ… ประหม่าเล็กน้อยอย่างยากจะปฏิเสธ


พระเนตรละจากหญิงสาวตรงหน้า แล้วเหลือบไปมองใบหน้าด้านข้างของจางกงกง


ไม่มีคำตอบ


จางกงกงไม่อธิบาย


ไม่ยิ้ม ไม่ขยับ ไม่สนว่าเด็กน้อยจะคิดอย่างไร เพียงคลี่มุมปากออกเล็กน้อยก่อนปล่อยพระวรกายเด็กชายลงอย่างระวัง


“ยามนี้… สมควรแล้วที่ควรให้คนรุ่นเยาว์สนทนากันบ้าง”


นั่นคือคำสุดท้ายของเขาก่อนจะหมุนกายเดินจากไป เงาของร่างสูงผอมสลายหายไปในม่านเงาเหมือนลมค่ำคืนที่พัดเฉียดใบหน้าแล้วไม่ย้อนกลับ


เด็กน้อยยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยา ไม่ใช่เพราะล้า แต่เพราะสตรีตรงหน้าไม่ควรอยู่ในบทใดในชีวิตของเขาเลยแม้แต่น้อย


แต่ตอนนี้… นางอยู่ตรงหน้าแล้ว


แม้จางกงกงจะไม่บอกเหตุผล


แต่บางที... เขาก็อาจต้องถามหาคำตอบจากนางเอง


องค์ชายน้อยสูดลมหายใจเบา ๆ ยกพระหัตถ์ลูบชายอาภรณ์ให้เรียบร้อย ยืดพระวรกายขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเหลือบเนตรไปทางหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ราวกับไม่แน่ใจว่าจะเดินต่อ หรือถอยกลับดี


“……ท่านคือผู้ใดหรือ”


เสียงเบานัก… คล้ายจะถามกับลมยามราตรี


แต่ก็ส่งไปถึงหญิงตรงหน้าได้พอดิบพอดี



@LinYa



คำพูดของหญิงสาวในผ้าฝ้ายแผ่วเบาแต่อบอวลไปด้วยมารยาท และไร้เดียงสาเสียจนองค์ชายน้อยเผลอชะงักไปชั่วอึดใจ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้านางนั้นใสเสียจนแทบจะสะท้อนแสงจันทร์ได้


เขาเคยเห็นใบหน้าของผู้คนมาแล้วมากมาย ทั้งขันทีที่แสร้งแสดงความจงรักภักดี ทั้งขุนนางที่ปั้นหน้าอ่อนน้อม ทั้งนางกำนัลที่ข่มความเหนื่อยล้าไว้ใต้รอยยิ้มเยือกเย็น แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า… คือความไม่รู้ซึ่งสิ่งใดเลยจริง ๆ


นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร


นางอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่พาเขามาคือใคร


และนาง… อาจจะยังไม่รู้แม้กระทั่งว่านางได้มอบสิ่งใดให้ใคร


พระเนตรที่ยังคงหลงเหลือไอร้อนปรือ ๆ จากฤทธิ์ยา จับจ้องไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของนางตรงหน้า สตรีตัวบางผู้ซื่อบริสุทธิ์ในแบบที่น่าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก


เขากลืนน้ำลายลงช้า ๆ พลางเบือนพระพักตร์เล็กน้อยอย่างคนที่กำลังกลืนอะไรบางอย่างไม่ลง แล้วเม้มพระโอษฐ์ไว้ครู่หนึ่ง แล้วความเข้าใจบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจราวประกายเพลิงที่ถูกจุดให้ชัดขึ้นด้วยน้ำมัน


...อ้อ


จางกงกงไม่ได้ต้องการให้นางสอนเขาทำอาหาร  ไม่ใช่เพื่อชมฝีมือในครัว  ไม่ใช่เพราะยาตุ๋นนั่นอร่อยเสียจนเขาต้องรู้จักคนทำ


ไม่เลย


หากแต่เป็น…การดูว่าเขาจะ ‘ทำอย่างไร’ เมื่อต้องอยู่ต่อหน้านางผู้นี้


องค์ชายน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ดึงพระสติกลับคืนอย่างแนบเนียนที่สุดพระเนตรที่มองนางครั้งนี้… เปลี่ยนไป


“ท่านชื่อหลินหยาใช่หรือไม่?” พระสุรเสียงของเขาเอ่ยขึ้นในที่สุด ทรงตัดท่าทีงุนงงที่ก่อนหน้าออกจากพระอิริยาบถราวพลิกฝ่ามือ 


“ข้าขอถามเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้น”


เด็กชายผายพระกรเล็กน้อย พระอังสาเหยียดตรงราวไม่ยินดียินร้าย แต่ท่าทางนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันบางอย่างที่แม้เขายังเล็กวัย ทว่ากลับมิอาจมองว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มทั่วไปได้อีกต่อไป


พระเนตรของเขาไม่ไหวระริกเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับแน่วนิ่งและตรงไปตรงมาราวจะเจาะทะลุใจ


“สิ่งที่ท่านมอบให้ชายที่พาข้ามาเมื่อครู่…”


ปลายนิ้วเล็กแตะลงที่พระอุระเบา ๆ แผ่วเหมือนจะกลบเกลื่อนความร้อนที่ยังคงหมุนวนในอก


“มันคือสิ่งใดกันแน่?”


องค์ชายจ้องตานาง รอคอยคำตอบโดยมิเอ่ยแม้ครึ่งคำต่ออีกแล้ว ทรงมั่นใจว่านางไม่รู้ว่าได้ทำสิ่งใดลงไปบ้าง… และนั่นแหละคือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้ให้ได้ด้วยตนเอง




@LinYa



ลมราตรีพัดแผ่วพาเอากลิ่นกำยานจากหอว่านหงเหรินแทรกเข้ามาในโพรงจมูก ไออุ่นจากพื้นหินยามกลางวันยังไม่ทันจางหายดี บัดนี้กลับประดังเข้าประสานกับไอร้อนภายในกายของเด็กน้อยผู้นั่งนิ่งอยู่ใต้เสาระเบียง ร่างกายของเขายังอุ่นจัดอยู่ภายใน แม้ข้างนอกจะมีลมเย็นก็ตามที



ดวงเนตรสีดำสนิททอดมองสตรีตรงหน้า นางพูดออกมาอย่างใสซื่อ พระกรรณได้ยินชัดถ้อย น้ำเสียงนั้น… มิใช่หลอกลวง มิใช่เล่ห์เหลี่ยม หากแต่เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างไร้ชั้นเชิง จนบางทีอาจซื่อจนดูน่าเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ



แต่คำตอบนั้น... ไม่ได้คลายข้อสงสัยของเขาเลยแม้แต่น้อย



“น้ำทิพย์… กวางตุ๋น… ยาจีน?”



เด็กน้อยทวนคำในใจอย่างช้า ๆ ขณะขมวดพระขนงแน่นขึ้นเพียงน้อย ราวกับกำลังพยายามปลดปมด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง



เสียงหอบแผ่ว ๆ ยังคงหลุดจากริมพระโอษฐ์ ร่างเล็กยังมีอาการวูบวาบประหนึ่งมีไฟวิ่งแล่นอยู่ใต้ผิวหนังตั้งแต่ฝ่าพระบาทไล่ขึ้นไปถึงท้ายทอย ทรงรู้สึกเหมือนเส้นโลหิตเต้นระรัว พลังในร่างประหลาดราวไม่ใช่ของตนเอง



องค์ชายน้อยยังไม่เข้าใจว่า "ตุ๋นยา" คือสิ่งใด รู้เพียงแค่ว่ามันร้อนเกินควร และทำให้ตนแทบควบคุมพระสติไม่ได้



“เหตุใด… ถึงเป็นเช่นนี้…”



เด็กชายมิได้เปล่งเสียงนั้นออกมา หากแต่ประโยคนั้นผุดขึ้นในพระทัยดังตีกลอง ตลอดพระชนม์ชีพที่ผ่านมา แม้จะยังสั้นนัก ทว่าก็ไม่เคยมีสิ่งใดทำให้พระวรกายตอบสนองได้รุนแรงเพียงนี้ ร้อนรุ่มแปลกประหลาด อึดอัดคล้ายจะหลอมละลาย ทว่าไม่เจ็บ ไม่ปวด…



พระหัตถ์เล็กยกขึ้นแตะเบา ๆ ที่พระอุระ จุดที่ชีพจรเต้นแรงจนแทบสะเทือนกับกระดูกซี่โครง ก่อนที่ดวงเนตรจะหรี่ลงอย่างใช้ความคิด



จางกงกง… เหตุใดเขาต้องพาตนมาที่นี่


เหตุใดเขาต้องพูดให้อยู่กับนางผู้นี้


และเหตุใดจึงถึงไม่อธิบายสรรพคุณยานั้นให้ชัด



พระเนตรเลื่อนลอบมองหอว่านหงเหรินอีกครั้ง ลมหอมที่พัดออกจากภายในยังคงแตะต้องปลายพระผมกลิ่นละมุนหวานฉุนปนอยู่กับเสียงพิณและเสียงหัวเราะของอิสตรีที่ลอดออกมาจากม่าน



หอรื่นรมย์แห่งนี้… คือที่ที่ชายหนุ่มมากมายแสวงหาความสุขหลังราตรี 



กลิ่นในอากาศ เสียงในหู สภาพร่างกายของเขา…



เด็กชายเริ่มปะติดปะต่อได้เพียงเลา ๆ แม้ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้ง แต่ก็จับได้ว่า… ยานี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยแน่แท้



“หรือว่า…”



พระโอษฐ์เม้มแน่นอย่างควบคุมอารมณ์บางอย่าง



นี่คือกับดัก หรือคือบททดสอบจากจางกงกง? หรือเพียงแค่เรื่องบังเอิญที่สตรีผู้นี้มอบสิ่งอันตรายแก่ตนโดยไม่รู้เลยว่าทำสิ่งใดลงไป



เด็กชายปรายพระเนตรกลับไปยังหลินหยาอีกครั้ง ร่างนางยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่รู้เลยว่าคำพูดของนางได้จุดไฟใดไว้ในอกขององค์ชาย



“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านใส่อะไรลงไปบ้าง…” เสียงนั้นเบานัก แผ่วประหนึ่งสายลมพัดบนบึงในราตรี



“แต่สิ่งนั้น… ทำให้ข้าร้อน… ไม่หยุดเลย”



พระเนตรของเด็กน้อยมองตรงไป คล้ายไม่กล้ากล่าวสิ่งใดที่ไม่แน่ชัด เพราะทรงรู้ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด การกล่าวหาผู้อื่นโดยไร้หลักฐาน ย่อมไม่เป็นเรื่องงดงามสำหรับผู้เป็นเชื้อพระวงศ์



@LinYa




คำพูดของหลินหยาดังแผ่วเบาอยู่ท่ามกลางความเงียบของยามดึก แต่กลับกระแทกเข้าสู่ห้วงพระหฤทัยขององค์ชายอย่างแม่นยำ



เด็กชายเบิกพระเนตรเล็กน้อย สองหูได้ยินครบถ้วนทุกพยางค์ แม้นางจะพูดอย่างสุภาพและระมัดระวัง น้ำเสียงคล้ายจะปรานีปนลำบากใจอยู่ในที แต่เนื้อหากลับกระจ่างยิ่งกว่าการบรรยายตำราแพทย์ในตำหนักในเสียอีก



“…กระตุ้นกำลังวังชาของบุรุษเพศ…”



พระขนงเล็ก ๆ ขมวดเข้าหากันทันใด หากมิใช่เพราะยังรู้จักควบคุมพระวาจาแล้วไซร้ คำอุทานยาวเหยียดน่าจะหลุดออกมาจากปากของเด็กน้อยแล้วเป็นแน่ ทว่าสิ่งที่หลุดออกมาแทนกลับเป็นเสียงถอนพระทัยแผ่ว ๆ อย่างอ่อนระอา



“เฮ้ออ…”



ทรงก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย ทรงไม่รู้ว่าควรโกรธ ควรขำ หรือควรหนีหายไปใต้พื้นดินดีเสียด้วยซ้ำ พระอุระยังคงอุ่นร้อนลุกลามเร้าอยู่เหมือนคลื่นใต้น้ำที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง บัดนี้แม้แต่เส้นผมก็เหมือนจะมีไออุ่นแทรกอยู่ข้างใน



ดรุณน้อยเหลือบเนตรไปมองเงามืดด้านข้างอีกครั้ง เงียบ ไม่มีวี่แววของจางกงกง ไม่มีแม้แต่ปลายชายอาภรณ์สีม่วงจาง ๆ ที่มักจะสะบัดล้อเล่นกับลม



“เขาแกล้งข้าชัด ๆ…”



คำพูดนั้นแม้จะไม่ได้หลุดออกมาเป็นเสียง แต่ภายในใจของเด็กชายแทบจะพ่นควันออกมาได้ ยิ่งคิดถึงสีหน้าเรียบนิ่งที่มีรอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับอยู่นั้นแล้ว เขายิ่งอยากยื่นพระหัตถ์ไปเขย่าคอเสื้อคนผู้นั้นเสียจริง



พระโอษฐ์เล็กเม้มแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดพระลมหายใจเข้าเต็มพระอุระอีกรอบ



ฤทธิ์ยานั่น…ช่างร้ายกาจเหลือเกิน



กระตุ้นกำลังวังชาอย่างนั้นหรือ ทำไมต้องกระตุ้นกันตั้งแต่เด็กด้วย? หรือว่าจางกงกงเห็นว่าตนเป็นบุรุษคนเดียวในตำหนักจึงคิดอยากให้เริ่มหัดเรื่อง ‘พรรค์นั้น’ ตั้งแต่ยังไม่ทันหมดน้ำนม



เด็กน้อยกัดฟันกรอดในใจแต่ก็ยังวางพระองค์อย่างสุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ สายพระเนตรเลื่อนไปยังสาวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง



นางยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทีราวกับกำลังหาวิธี ‘ดับไฟ’ บางอย่างให้เขา



องค์ชายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดก็ทรงเอื้อนสุรเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจน



“ท่าน…” พระสุรเสียงนั้นไม่แข็งกร้าวนัก กลับคล้ายผู้ที่กำลังข่มความประหม่าไว้เต็มที่ “มีหนทางใด… ที่จะบรรเทาหรือแก้ไขอาการนี้ โดยไม่ต้อง… เข้าไปในหอนั้น บ้างหรือไม่?”



คำว่า หอนั้น ถูกเน้นเบา ๆ พลางพระเนตรปรายไปทางหอว่านหงเหรินอย่างระวัง คล้ายเพียงแค่พูดถึงก็รู้สึกว่าตนจะถูกดูดกลืนหายไปกับม่านกำยานและเสียงพิณ



“…ข้าไม่อยากเข้าไปในนั้น” เด็กน้อยเสริมเบา ๆ พลางเหลือบพระเนตรไปทางนางอย่างระคนทั้งวิงวอนและดื้อเงียบ “ข้าเพียง อยากหาย… เฉย ๆ”



เสียงนั้นไม่ต่างจากลูกแมวเปียกฝนที่ยังพยายามวางท่าเป็นราชสีห์ องค์ชายยังคงรักษาเส้นสง่างามของตนไว้ไม่ให้พร่าเลือน ทว่าไอแดงจาง ๆ บนพระพักตร์และเสียงแหบเครือแฝงอยู่ในคำพูดก็บอกชัดว่า พระองค์มิได้สงบเท่าที่อยากให้เป็น



แม้จะเป็นราตรีอันแสนหนาว… แต่ไฟที่ลุกวาบอยู่ในร่างนี้ กลับมิอาจดับได้เพียงแค่ยืนนิ่งเท่านั้น



ดวงเนตรที่มองหลินหยาตรง ๆ จึงเปล่งแสงอ้อนวอนบางอย่างซ่อนอยู่ในก้นบึ้ง ไม่ใช่จากฐานันดร หากแต่เป็นเพียง “เด็กชาย” ผู้หนึ่ง… ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างเงียบงัน



@LinYa




ลมกลางฤดูร้อนแม้จะแผ่วเบา ทว่าก็มิอาจดับไอร้อนภายในอกขององค์ชายน้อยลงได้เลยแม้แต่น้อย ขณะทรงยืนนิ่งฟังคำแนะนำอันยืดยาวของหญิงสาวตรงหน้า น้ำเสียงของนางมิได้มีสิ่งใดผิด หากแต่แฝงไปด้วยความรู้จากตำราและกลิ่นไอของความใสซื่อปนความห่วงใยที่ไม่อาจซ่อนเร้น



แตงโม… ถั่วเขียว… เปลือกส้มแห้ง…



เด็กชายเคยอ่านตำรารักษาโรคมาก่อนในตำหนักไท่โฮ่วอยู่บ้าง เรื่องธาตุร้อน ธาตุเย็น หรือการใช้เก๊กฮวยช่วยถ่ายพิษน่ะหรือ… แม้ไม่เคยลองเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยิน ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะได้ฟังเช่นนี้จากปากของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตัวเล็ก ๆ ที่ดูไม่มีอะไรเหมือนนางแพทย์เลยสักนิด



นางพูดจาราวอาจารย์ย่อส่วน แต่กลับไม่ขยับเข้าหาแม้สักก้าวเดียว คงเพราะกลัว หรืออย่างน้อยก็ระแวงอยู่ในที นั่นยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม



หรูเสวียนก้มพระพักตร์ลงเล็กน้อย มองที่ปลายพระบาท ยืนเงียบอย่างประเมินทางเลือก ในขณะที่พระอุระยังคงพลุ่งพล่านเหมือนมีเปลวไฟซุกซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง ราวต้องคำสาปที่ยังหาวิธีถอดถอนมิได้



ในค่ำคืนที่นครฉางอันกำลังจะเข้าสู่นิทรา ร้านรวงที่อาจมีของเช่นนั้นคงหายากนัก ทว่า… ดีกว่ายืนอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้ฤทธิ์ยาเล่นงานไปมากกว่านี้



พระหัตถ์เล็ก ๆ ล้วงเข้าไปยังถุงเงินที่ผูกแน่นไว้กับสายรัดภายในอาภรณ์ เย็บไว้แนบพระองค์เพื่อมิให้หลุดหายในยามวิ่งเล่นหรือกระโดดโลดเต้นแบบที่เคยทำ ทรงหยิบเหรียญทองออกมาห้าเหรียญ ลำแสงจากโคมไฟกระทบผิวโลหะสะท้อนวาววับแต่ไม่ฉูดฉาด ดวงเนตรคมขององค์ชายน้อยหรี่ลงเพียงน้อยขณะทอดพระเนตรไปยังเด็กสาวตรงหน้าอีกครา



แม้แสงสลัวจะพร่าเลือน แต่ใบหน้าของหลินหยาก็ยังดูอ่อนโยนแบบไม่จงใจ มีบางอย่างในท่าทีของนาง… ที่ไม่ใช่นางโลม ไม่ใช่นางรำ ไม่ใช่แม่ค้าขายของ แต่ก็ไม่ใช่หญิงผู้สูงศักดิ์ นางเป็นเพียง “ใครบางคน” ที่บังเอิญช่วยเขาไว้ในยามค่ำคืนเช่นนี้



“ข้ามีนามว่า เสวียนอิ๋ง” เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่สุภาพนัก “ขออภัยที่แนะนำตัวช้า… คุณหนู”



คำว่า ‘คุณหนู’ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ ไม่ใช่ประชดประชัน พระวรกายยังไม่มั่นคงนัก แต่ก็ทรงยืดพระองค์ให้ตรงที่สุด



จากนั้นเด็กชายก็ยื่นเหรียญตำลึงทองห้าเหรียญไปเบื้องหน้า “เพื่อขอบคุณที่ท่านช่วยชี้แนะ ข้าขอมอบเหรียญเล็ก ๆ นี้ไว้ตอบแทนน้ำใจ แม้มิได้มากนัก แต่หวังว่าท่านจะไม่ถือสา…”



น้ำเสียงของเขาอ่อนลงตอนเอื้อนคำสุดท้าย คล้ายกลัวว่านางจะไม่รับ กลัวว่านางจะรู้สึกว่าเป็นการซื้อไมตรี ทว่าความจริงแล้วมันมาจากในทรวงที่รู้สึกผิดมากกว่า… รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้ผู้อื่น



องค์ชายยืนเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย ดวงเนตรดำสนิทยังคงปรืออยู่ด้วยฤทธิ์ยาแต่ชัดเจนในน้ำเสียง



“คุณหนู… พอทราบหรือไม่ว่ายามไห่นี้ ยังมีร้านรวงใดเปิดอยู่บ้าง?”



หยุดหายใจเพียงครู่ เด็กชายก็กล่าวต่ออย่างมุ่งมั่น



“ข้าจะลองไปดู หากยังมีที่ไหนเปิด… บางที ข้าคงได้ดับไฟในอกตนเองเสียที”



คำว่า ไฟในอก มิใช่เพียงความร้อนทางกาย แต่รวมถึงความขุ่นเคืองและมึนงงทั้งหมดที่มัดพันหัวใจของเขาไว้ตลอดคืน



@LinYa




ดรุณน้อยยืนนิ่งอยู่กลางแสงโคมที่ทอดตัวเลือนลางบนพื้นหิน เงาร่างเล็กทอดยาวเหมือนจะกลืนเข้ากับเงาเสาไม้ในค่ำคืนอันเงียบงัน



เมื่อหลินหยาเอ่ยปฏิเสธการหยิบยื่นตำลึงทองอย่างหนักแน่น ดวงเนตรดำขลับขององค์ชายก็เบิกเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะลดลงเป็นรอยคลี่แผ่วของแววตา



เขาเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักพระเศียรน้อย ๆ อย่างยอมรับ สีพระพักตร์สงบแม้ในอกยังมีกลิ่นอายของไอร้อนรบกวนอยู่ทุกอณู



แม้ในใจจะยังมิคลายร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยา แต่ประโยคเรียบง่ายของนางกลับช่วยก่อความสงบบางเบาในอก ความรู้สึกผิดของนางมิได้ระบายด้วยคำขออภัยอันฟุ่มเฟือย แต่ปรากฏอยู่ในทุกการตัดสินใจ และนั่นคือสิ่งที่องค์ชายมองออก



หญิงนางนี้... ใช่จะไม่เห็นแก่เงิน แต่กลับมีขอบเขตของตนชัดเจน มีเส้นแบ่งระหว่างความพอใจ กับศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมปล่อยให้ใครหยิบยื่นอย่างสุก ๆ ดิบ ๆ นางดูเหมือนไม่รู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับใคร แต่กลับยืนหยัดอยู่บนความเชื่อของตนเองโดยไม่หวั่นไหว



เด็กชายเก็บเหรียญทองกลับใส่ถุงอย่างเงียบเชียบ สัมผัสของโลหะเย็นแนบกับปลายนิ้วนั้น ช่างตัดกับไอร้อนภายในกายจนองค์ชายรู้สึกคล้ายกำลังแบ่งโลกออกเป็นสองขั้ว



ครั้นได้ฟังคำแนะนำเรื่องการเข้าใช้ห้องครัวของหอว่านหงเหริน เสวียนอิ๋งน้อยพลันชะงัก



“แอบเข้าไป…”



ภาพที่หญิงสาวเอ่ยถึง การทนกลิ่นหอมฉุนจากราคะ เสียงกระซิบ เสียงหัวเราะ เสียงเสียดแทรกจากม่านและหมอนเบาะที่ล้อมรอบสถานที่นั้นชัดเจนราวปรากฏอยู่ภายในใจ



เมื่อได้ฟังข้อเสนอเรื่องการใช้ครัวในหอว่านหงเหริน ดรุณน้อยนิ่งไปทันที แค่เพียงคำว่า ‘กลิ่นลุ่มราคะ’ และ ‘เสียงครวญคราง’ ก็ทำให้พระพักตร์ขาวนวลขึ้นสีเรื่อแดงแจ่มจนแทบจะระเบิดได้



กลิ่นอายของโลกีย์ เสียงหัวเราะลับหลังม่าน เสียงพิณแผ่วที่แฝงความวาบหวาม ใต้เงาแสงไฟที่สั่นระริกเหมือนเปลวเทียนใกล้ดับ



ในยามที่กายยังอ่อนแรง และจิตใจยังพร่าไหวเพราะฤทธิ์ยา การเข้าไปในสถานที่เช่นนั้น… เปรียบดังเหยียบขอบเหว หากสติเพลี่ยงพล้ำเพียงน้อย ก็อาจกลิ้งตกลงไปโดยไม่รู้ตัว



แม้นางตรงหน้าเขาจะไม่มีเจตนาอันใด แต่ผู้ที่ อยู่ในเงา นั้นเล่า? จางกงกงอาจยังเฝ้ามองอยู่ที่ใดสักแห่งก็เป็นได้ หากเขาก้าวตามเข้าไป สายตาคู่นั้นอาจตัดสินอะไรออกไปตามที่เขาไม่ตั้งใจ



เขาจะไม่ยอมให้ จางกงกง ได้หัวเราะขบขันอยู่เงียบ ๆ อย่างคนรู้ทันแน่นอน หรูเสวียนรู้ดี… ว่าถ้าก้าวข้ามธรณีประตูหอนั้นไป คงได้ยินเสียงของจางกงกงหัวเราะอยู่ในใจ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ตาม



องค์ชายจึงถอนพระทัยเบา ๆ และเงยพระพักตร์ขึ้นอีกครั้ง พระสุรเสียงนุ่มนวลเอื้อนเอ่ยโดยไม่เหลือร่องรอยของความลนลาน



เมื่อคิดได้แน่วแน่แล้ว เด็กชายจึงยืดพระวรกายขึ้นอย่างมั่นคงขึ้นกว่าเดิม ทรงบังคับเสียงให้นิ่งที่สุดแม้พระวรกายยังคงร้อนระอุอยู่ภายใน




องค์ชายเม้มพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทอดพระเนตรต่ำลงในอึดใจ



เงาโคมไหววูบ สะท้อนสีแดงอ่อนลงบนพื้นหิน พระวรกายเล็ก ๆ ขยับอีกครั้งก่อนจะกล่าวเบา ๆ แต่ชัดถ้อย



“ขอบคุณสำหรับความหวังดี และคำแนะนำทั้งปวง คุณหนูหลินหยา”



ดวงพระเนตรยกขึ้นสบตานางอีกครั้ง



“ยามนี้ข้าไม่สะดวกพอจะเดินเข้าสู่หอเช่นนั้นได้ ด้วยเหตุหลายประการ… และข้าคิดว่า การนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ รอฤทธิ์ยาคลายลงไปเอง อาจปลอดภัยกว่าการอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของม่านโลกีย์”



พระสุรเสียงนั้นแม้นุ่มนวล หากแต่แน่วแน่ประหนึ่งขีดหมึกลงบนกระดาษหยก



เมื่อเอ่ยจบ องค์ชายน้อยก็ก้มศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงเคารพอย่างที่ควรทำกับผู้มีบุญคุณ



“ข้าคงต้องขอตัวแล้ว อย่ากังวล ข้าไม่หลงทางดอก… ฉางอันในยามวิกาล ข้าเคยเดินลัดเลาะจนรู้ทางมากพอ”



พระเนตรคลี่ยิ้มบางเฉียบแต่แนบสนิท รอยยิ้มที่มิได้สร้างขึ้นเพื่อประดับใบหน้า หากแต่เป็นรอยยิ้มของความจริงใจอันน้อยนิดในค่ำคืนหนึ่งของชีวิต



“แม้ชื่อของข้าจะไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำนัก แต่ความช่วยเหลือในคืนนี้… ข้าจะมิอาจลืมเลือน”



“หากวันหน้ามีโอกาส… ข้าจะตอบแทนน้ำใจในยามที่เหมาะสมกว่านี้”



เด็กชายหมุนพระวรกายกลับ ชายอาภรณ์ไล้เบาไปตามลมราตรีที่พัดต้องชายผ้า ละอองหอมจากหอว่านหงเหรินยังไหลวนอยู่รอบร่างเขา แต่อีกไม่นานก็จะจางหาย



ร่างเล็กของเขาค่อย ๆ ละไปจากเสาหินที่ยืนพิง ราวสายลมที่เฉียดผ่านค่ำคืน เหลือเพียงกลิ่นเย็นที่หลงค้างไว้เบื้องหลัง




@LinYa



เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของยามวิกาล คล้ายขนนกขาวที่ปลิวหล่นลงบนผิวน้ำ องค์ชายน้อยที่เพิ่งหมุนพระวรกายเดินออกไปยังไม่ทันพ้นเสาไม้ต้นที่สอง ก็ต้องชะงักฝีพระบาท เสียงนั้น… เสียงของนาง


ดวงพระเนตรหันกลับอย่างช้า ๆ ท่ามกลางแสงโคมอ่อนในคืนเดือนมืด ร่างของหญิงสาวผู้นั้นก้าวมาหาเขาด้วยท่าทีมิได้รีบร้อน แต่มั่นคง


ในมือเล็กของนางถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมผูกเชือกเรียบง่ายเอาไว้ เมื่อใกล้พอเหมาะ เด็กสาวก็ยื่นของสิ่งนั้นมาตรงหน้าของเขา


กล่องไม้กลิ่นหอมอ่อน ๆ แตะจมูกขององค์ชายเพียงแผ่วบาง แต่กลับชวนให้รู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด



องค์ชายรับกล่องไม้นั้นมาช้า ๆ นิ้วพระหัตถ์สัมผัสขอบไม้ที่ขัดเรียบ ไม่มีเศษฝุ่น ไม่มีความชื้น บ่งบอกว่าผู้ให้เก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ดีเพียงใด


ในกล่องบรรจุขนมไหมฟ้า ถั่วหลากชนิดบดหยาบห่ออยู่ภายในรังไหมแป้งสีงาช้างที่ดึงเป็นเส้นบางละเอียดราวฝนสาย เส้นไหมนั้นบางเสียจนเกือบละลายไปกับลมหายใจของยามค่ำ หอมอ่อนราวกลิ่นน้ำผึ้งโบราณที่แอบงอกเงยขึ้นจากซอกไม้ไผ่



เขาจ้องกล่องขนมนั้นในมืออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะยกพระเนตรขึ้นพอดีกับจังหวะที่หลินหยาโน้มศีรษะให้เบา ๆ แล้วหมุนตัวกลับไปทางหอว่านหงเหรินอีกครั้ง


นางเดินไปช้า ๆ แต่มั่นคง ราวกับไม่ว่าจะเดินไปไกลเพียงใด สุดปลายทางของนางก็ยังคงเป็นประตูไม้ชาดนั้นเสมอ


องค์ชายยืนมองแผ่นหลังของนางอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง เงาแสงไฟจากโคมระย้าตามทางทอดทาบร่างของนางจนดูเหมือนภาพวาดที่จางหายไปกลางลมหายใจ


เด็กน้อยยกกล่องไม้ขึ้นเล็กน้อย ทอดพระเนตรกล่องนั้นราวสิ่งของมีค่ายิ่งนัก พระโอษฐ์โค้งขึ้นเพียงแผ่ว คล้ายดอกเหมยผลิบานแทรกหิมะครั้งแรกในปี


ขนมที่ใครบางคนตั้งใจเก็บรักษาไว้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร… เขาย่อมไม่มีวันปัดทิ้ง


"ขอบคุณ"


คำคำนั้นไม่ได้เอื้อนเป็นเสียง หากแต่ออกมาผ่านดวงเนตร และรอยยิ้มเล็กน้อยตรงมุมพระโอษฐ์


จากนั้นองค์ชายก็หันหลังกลับไปทางที่ตนเคยมา ฝีพระบาทเบาลงกว่าเมื่อครู่ น้ำหนักของไอร้อนในกายดูจะเบาบางลงจากเมื่อยามแรก


แม้จะเป็นเพียงขนมชิ้นเล็กเพียงหยิบมือ แต่ความอบอุ่นในหัวใจกลับมากพอจะหล่อเลี้ยงให้เดินต่อได้อีกหลายลี้


ราตรีในฉางอันยังคงยาวไกล ทว่า...แสงไฟจากไมตรีอันเรียบง่ายนั้น คงจะส่องนำทางเขาไปได้อีกพักใหญ่




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ +30 คุณธรรม โพสต์ 2025-6-22 14:29
((ปลดความทรงจำ สมัยเที่ยวผับและกินยาปลุกอารมณ์ในผับ 1 เหตุการณ์))  โพสต์ 2025-6-22 14:29
โพสต์ 105236 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-22 13:20
โพสต์ 105,236 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-6-22 13:20
โพสต์ 105,236 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-22 13:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x38
x35
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10
โพสต์ 2025-6-22 19:21:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ฝึกดนตรี ณ หอว่านหงเหริน (ปลดหัวใจ จางกงกง)


         ยามเซินแสงแดดบ่ายคล้อยลอดผ่านช่องไม้หน้าต่างของหอว่านหงเหรินที่กรอบประตูเริ่มส่องเงายาวลงบนพื้น เสียงขลุ่ยของหลินหยากำลังเป่าซ้อมอยู่ในห้องเล็กเบื้องหลังห้องแสดง ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่วงทำยองนั้นไม่หวานนัก หากแต่พริ้วราวกับม่านผ้าบางต้องลม บ่งบอกว่าถึงจังหวะฝึกที่ยังคงมีชีวิตชีวาแม้จะเป็นบทที่ซ้อมมาเป็นร้อยรอยแล้วก็ตาม หลินหยานั้นนั่งตรงหลังตรงดิ่ง ใบหน้าฉ่ำเหงื่อเล็กน้อยเพราะห้องอับ เธอกำลังทบทวนลมเป่าที่ต้องควบคุมให้สม่ำเสมอ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเร่งเร้าก็ดังขึ้นจากหน้าห้อง

         “หลินหยา!! หยุดก่อน” เสียงของพี่สาวฝึกหัดอีกคนดังขึ้นขัดกับเสียงขลุ่ยของเธอ เสี้ยววินาทีต่อมาก็บานประตูเปิดเข้ามาโดยไม่รอฟังคำตอบ “เถ้าแก่ให้เจ้าไปเสิร์ฟแขกพิเศษอีกแล้ว! ห้องเดิม...ฝั่งตะวันตก" นางเอ่ยเสียงรวบรัด ส่งสายตาให้รู้ว่า ปฏิเสธไม่ได้

         หลินหยานั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น เธอหลุบตามองขลุ่นในมือตัวเองก่อนที่จะเก็บมันเข้าซองผ้าทันทีที่รู้หน้าที่ ใจหนึ่งก็อยากถอนหายใจในใจ อีกใจก็สงสัยว่าทำไมคนผู้นั้นถึงได้กลับมาอีก ราวกับจำเวลานี้ได้แม่นทุกครั้งของวัน เขาไม่มีงานหรอ?.. “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” เธอรับคำเสียงเรียบ ไม่โต้แย้ง

         มือเรียวของเธอนั้นหยบิบผ้ามาซับเหงื่อแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสาวใช้ ใส่แถบคาดตรงแขนให้เห็นวง่าเป็นนักดนตรีฝึกหัดไม่ใช่นางโลม เธอเดินลงไปยังห้องครัวเล็ก แล้วยื่นมือรับถาดอาหารให้เรียบร้อยแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังห้องปลายทาง เธอเดินมาถึงห้องด้านในสุดของฝั่งตะวันตก ผ้าม่านโปร่งสีเงินจางพลิ้วไหวตามลมจากช่องระบายอากาศ กลิ่นกฤษณาที่จุดไว้อย่างเบาบางพัดผ่านกลิ่นสมุนไพรจากซุปในถาด คลอเคลียในอากาศจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือกลิ่นหอมจากคน หรือจากเครื่องปรุง

         หลินหยาคุกเข่าเบื้องหน้าประตู “ข้าน้อยหลินหยาเจ้าค่ะ” เอ่ยแล้วขยับมือเปิดประตูแบบไร้เสียง เธอก้มหน้าเข้ามาเงียบ ๆ วางถาดลงบนโต๊ะเตี้ยใกล้พืนผ้าราคาแพง พอเหลือบมองเขาก็ยังคงเหมือนเดิม

         จางกงกง นั่งอยู่ในมุมแสงอ่อน ตาเรียวคมใต้คิ้วคมเข้มเหมือนภาพวาดด้วยหมึกจาง เขาสวมชุดคลุมผ้าแพรสีเข้มทับด้วยเสื้อคลุมด้านนอก ปลายนิ้วเรียวยังคงพือพัดในมือ แต่นิ่งสงบราวกับไม้แระดับที่มีชีวิต เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวขณะที่นางจัดโต๊ะให้ ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง จนกระทั่งเธอวางถ้วยซุปสุดท้ายแล้วถอยกายไปยังตำแหน่งเฝ้าเงียบ ๆ ข้างประตู เสียงของเขาก็เอ่ยช้า ๆ คล้ายสายลมปลายบ่ายพัดผ่านใบไม้

         "ข้าไม่ได้ขออาหารวันนี้...แล้วเจ้ามาทำไม?" คำถามฟังเหมือนจะสุภาพ แต่แฝงน้ำเสียงเฉียบเย็น นัยน์ตาดำเข้มของเขาไม่เปลี่ยน ยังนิ่งมองนางเหมือนผู้ใหญ่จ้องดูเด็กเล่นละคร หลินหยาเหมือนจะพยายามเก็บสีหน้ามั่งคงแล้วตอบกลับตามมารยาม "เถ้าแก่สั่งให้ข้ามาเจ้าค่ะ แขกคนสำคัญเช่นท่าน...มิอาจปล่อยให้ขาดการต้อนรับ"

         ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง “เช่นนั้นวันนี้เถ้าแก่ส่ง เจ้า มาอีกครั้งเหตุใดจึงไม่เปลี่ยนคนกันล่ะ” เขาเอ่ยถาม หลินหยาที่ได้ยินเธอก็อยากรู้เหมือนกันนั้นแหละว่าทำไม

         “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” เธอตอบอีกคนเสียงแบบสงสัยด้วย

         “หรือเพราะข้าขอไว้?”

         เมื่อได้ยินหลินหยาก็สะดุดนิดหน่อย เหลือบหันมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบอะไร ส่วนจางกงกงก็ทำเพียงหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องหวาดกลัวอะไร หากข้าประสงค์สิ่งใด เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ขัดอยู่แล้วมิใช่หรือไง?”

         หลินหยาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องนิดหน่อยแต่ยังวางท่าทีสงบ สายตาเธอหวาดมองอาหารที่เพิ่งเสิร์ฟที่จางกงกงกำลังขยับนิ้วเปิดถ้วยซุปตรงหน้ามาแล้วเปิดฝา กลิ่นหอมหวานละมุนลอยตัดผ่านกลิ่นกฤษณา เสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาของจางกงกงดูจะหยีลงนิดหนึ่ง “ข้าจำกลิ่นนี้ได้” เขาพูดช้า ๆ “กลิ่นแบบนี้ ตอนที่คุณชายบอกกับข้า ว่าให้หาผู้ปรุง ข้าเคยคิดอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าจะบอกว่าเป็นเจ้าดีไหม”

         หลินหยานั้นขมวดคิ้ว..เรื่องเมื่อคืนงั้นหรอ์ พลางเงยหน้าขึ้นมามองอีกคน “ท่านหมายถึง??” เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องเมื่อวานมันเป็นแผนหรือความตั้งใจของใครบางคน จางกงกงยกถ้วยขึ้นจิบโดยไม่ตอบในทันที แล้ววางลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพูดช้า ๆ “แต่ข้าไม่ได้บอกใคร เพราะข้าอยากรู้ว่าหากปล่อยให้เจ้าอยู่แบบนี้ต่อไป เจ้าจะไปได้ไกลแค่ไหนในหอแห่งนี้..หรืออาจจะ..ไปได้ไกลกว่าหอแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาแฝงบางสิ่งที่หลินหยาไม่อาจตีความออกเลย แต่รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าไม่ได้พูดเรื่องอาหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

         จางกงกงนั้นมองนางแล้ววางถ้วยซุปลง แล้วเอนตัวพิงหมอนอย่างผ่อนคลาย “เล่นขลุ่ยให้ฟังหน่อยสิ” แล้วเขาก็หลับตา ไม่บอกเหตุผล ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่เงียบงันและฟังเท่านั้น จางกงกงยังคงหลับตา เอนกายพิงหมอนอิงด้วยท่าทีราวคนที่กำลังลิ้มรสไม่ใช่เพียงรสอาหารในปาก หากแต่รสของสถานการณ์ที่ถูกจัดวางไว้อย่างแยบยล

         หญิงสาวลุกขึ้นจากตำแหน่งข้างประตูอย่างสงบ ก่อนจะเดินไปหยิบขลุ่ยไม้ไผ่จากซองผ้าข้างถุงย่ามของตน ใบหน้างามหวานไร้เครื่องแต่งแต้มเงยขึ้นเพียงครู่เมื่อเธอกวาดตามองบรรยากาศในห้องอีกครั้ง ทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงเสียงลมที่ลอดช่องหน้าต่างเบา ๆ และกลิ่นหอมอ่อนของสมุนไพรจากซุปที่ยังอุ่นไออยู่ในชามบนโต๊ะ หลินหยานั้นนั่งลงตรงเสี่อข้างฉากผ้าบาง ไม่ตรงกับเขาแต่ก็ห่างพอให้ได้ยินเสียงขลุ่นเดินทางไปถึง และนิ้วเรียวของหลินหยาก็เริ่มไล่ตามช่องลมของขลุ่ย

         เธอเริ่มบรรเลงเพลงเดียวกับเมื่อวาน ท่วงทำนองอันละมุนละไมที่ไม่ได้หวานรัญจวนใจถึงขั้นยั่วเย้า หากแต่นุ่มนวลและปราณีต อบอุ่นราวน้ำซุปที่ค่อย ๆ ละลายกลางอก เสียงพริ้วแผ่ว ไม่เร่งเร้า ฟังแล้วเหมือนเธอไม่ได้บรรเลงดนตรีเพื่อเขา หากแต่เพื่อคลายใจตนเอง ท่วงทำนองนั้น…ฟังดูเรียบง่ายอย่างไร้เจตนาอวดอ้าง แต่หากใครได้ฟังก็จะรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองด้วยแววตาใสซื่อจากหญิงสาวคนหนึ่ง

         ริมฝีปากของจางกงกงคลี่ยิ้มบางขึ้นนิด ดวงตาของเขายังหลับอยู่ แต่จังหวะปลายนิ้วที่เคาะเข่าข้างหนึ่งกลับปรับตามท่วงโทนเสียงโดยอัตโนมัติ เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่คนที่เคยสังหารบิดาตนเองอย่างเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเขา กลับรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง "เจ้ารู้หรือไม่..." เสียงของเขาดังขึ้นเบา ๆ ขณะขลุ่ยยังไม่จบ “ที่ของข้า มีเสียงขลุ่ยหลายร้อยเลา แต่ไม่มีเสียงใดที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้อยากฟังอยู่”

         หลินหยาไม่ชะงัก เธอบรรเลงต่อ ราวกับทำเป็นไม่ได้ยินหรือแค่กลัวว่าหากตอบอะไรไปคนตรงหน้าจะลากเธอเข้าไปที่ไหนก็ไม่รู้ จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วเอ่ยต่อเสียงเรียบ “แม่นางหลินหยา..หากเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่..” เขาเอ่ยชื่อจริงของเธอในที่สุด ดวงตาเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วมองตรงไปที่เธอไม่หลบสายตา “เจ้าจะอยู่ที่ไหน?” คำถามนั้นไม่ได้เร่งเร้า ไม่มีแรงบีบคั้น แต่กลับเหมือน..อะไรก็ไม่รู้ กับดักหรอ

         เสียงขลุ่ยที่ปล่อยลมหายใจสุดท้ายจางลงอย่างพอเหมาะ ก่อนหลินหยาจะค่อย ๆ ลดขลุ่ยลงจากริมฝีปาก สีหน้าของนางสงบ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์ที่แฝงความฝันเล็ก ๆ เอาไว้ นางปรายตามองชายผู้เงียบฟังอยู่ผู้หนึ่ง ก่อนที่จะจอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่เต็มไปด้วยแววตาของความซื่อใส และบ่งบอกถึงความชอบ.. “ที่ที่ได้เงินดี ๆ และไม่ขัข้าเจ้าค่ะ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็คงเป็นที่ที่มีไหหมักเหล้ากับผลไม้ที่กินเล่นได้ตลอดปี” หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากนุ่มคลี่ยิ้มบางเฉียบราวกับไม่ได้พูดอะไรจริงจังนัก

         จางกงกงนั้นนิ่งไปเลย..เขาจ้องมองนางด้วยแววตาที่เยือกเย็นไม่มีความเคารพเหมือนเวลาอยู่ท่ามกลางเชื้อพระวงค์ แต่ในแววตานั้นกลับปรากฎเงาบาง ๆ ที่อ่านยากกว่าเดิม

         “เจ้าพูดเหมือนตนไม่มีค่าอะไรนัก…คำตอบของเจ้าเหมือนพวกขอทานที่วันวันคิดแต่เรื่องดื่มกิน”





@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: เอาไว้ปลดหัวใจจจจจจ
รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22065 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-22 19:21
โพสต์ 22,065 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-22 19:21
โพสต์ 22,065 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-22 19:21
โพสต์ 22,065 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-22 19:21
โพสต์ 22,065 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-22 19:21
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-22 23:11:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ทำงาน ณ หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


            ภายในหอว่านหงเหรินยามไห่ตอนนี้ค่ำคืนที่ลมอุ่นแผ่วเบาพัดผ่านม่านผ้าไหมบางเบาตามทางเดินสีแดงเข้มเสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคลียเป็นระรอกพร้อมกลิ่นไม่หอมลอยอ่อน ๆ ปะปนกับกลิ่นสุราพิเศษที่หอแห่งนี้มักรินให้เฉพาะแขกชั้นสูงเท่านั้น หลินหยาเดินตัวปลิวลงมาตามทางเดินอย่างสบายใจจนชายกระโปรงปลิวราวกับกลีบดอกไม้ นางถือถาดอาหารเล็ก ๆ ประคองด้วยสองมือมั่นคง ในจานมีไก่ตุ๋นโสมน้ำซุปร้อนจัด หอมกลมกล่อม เสิร์ฟคู่เต้าหู้ย่างราดซอสเห็ดหอมเคี่ยว แน่นอนว่าหลินหยาไม่แตะแม้ปลายเล็ก และยังมีเหล้าสีอำพันน้อย ๆ บนจอกสีงาม

            หญิงสาวผิวผ่องวันนี้เหมือนจงใจไม่แต่งหน้ามากใด ๆ ริมฝีปากสีระเรื่องงามเหมือนผลท้อแก่น้อย ๆ ตามธรรมชาติ ดวงตาใสสดซื่อเหมือนกำลังจะฮัมเพลงออกมาทุกเมื่อ นางผลักประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษที่ซึ่งไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครอยู่ข้างใน

            “สวัสดีเจ้าค่ะใต้เท้า วันนี้มีของโปรดของท่านด้วยนะ” หลินหยาร้องเสียงใสอย่างคนอารมณ์ดี นางเอียงคอมองชายหนุ่มในชุดเข้มงาดที่นั่งรออยู่ด้วยใบหน้าเยือกเย็นเช่นเคย ไม่รู้หรอกว่าเขาอารมณ์ยังไง แต่วันนี้ หลินหยาอารมณ์ดีมาก เธอย่อตัวลงวางถาดตรงหน้าของเขากด้วยความนุ่มนวล จัดทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้มบางเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้น

            “คืนนี้พระจันทร์สวยดีนะเจ้าคะ แต่ก็ยังไม่เท่าคืนเมื่อวานท่านว่าไหม?” เสียงของเธอเต็มไปด้วยเล่ห์นิด ๆ ประชดบ้าง ๆ แต่ก็หวานล้ำเหมือนน้ำเหล้าข้าวหมัก

            เถียนเฟิงเหลือบมองนาง ดวงตาของเขายังคงนิ่งเรียบ ดำลึกเหมือนบ่อไร้ก้น แต่ใครที่มองออก จะเหมือนเห็นประกายวูบหนึ่งขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนเขาจะรู้ว่าวันนี้หลินหยา ไม่ปกติ แต่กลับไม่เอ่ยใด ๆ ออกมา เขาเพียงรับจอกเหล้ามาแล้วจิบเล็กน้อย

            “แม่นางวันนี้..ดูเหมือนมีเคราะห์ดีบ้างอย่างมากระทบหรืออย่างไร? หรือเพียงแค่เห็นข้าก็อารมณ์ดีขึ้นแล้ว?” น้ำเสียงนั้นเย้ยหยันนิด ๆ เหมือนแกล้งแต่ไม่ใช่ ส่วนหลินหยาก็หัวเราะทันทีแบบไม่อ้อมค้อม นางช้อนตามองเขาแล้วเอ่ยเสียงใส

            “ก็เมื่อเช้านี้ข้าได้รับจดหมายเจ้าค่ะ จากบุรุษผู้หนึ่ง ข้ารู้จักกับเขามาสักพักละ เขาน่ารักมากเลยล่ะ หล่อเท่ ท่าทางอบอุ่น เป็นนักรบ สุภาพจนข้าอย่างอึ้ง เขาส่งแตงโมแช่น้ำแข็งที่หั่นเป็นชิ้นงาม แล้วก็ไร้เมล็ดเพราะโดนแคะออกหมดมาให้ข้าด้วย มันทั้งหวาน ทั้งฉ่ำจนข้าอยากเก็บไว้กินชั่วชีวิตเลยเจ้าค่ะ”

            บรรยากาศในห้องพักพิเศษที่แม้แสงจะนวลและกลิ่นกำยานจะลอยหอมรื่นแต่กลับมีบางสิ่งบางอย่างตึงเครียดอยู่ลึก ๆ ราวกับสายลมยามไห่ที่พัดอย่างอ่อนโยนแต่ก็มีไอหนาวแผ่ซ่านอย่างคาดไม่ถึง เถียนเฟิงนั่งฟังหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถ้อยคำราวกับกลอนรักอันสดใส เดิมทีใบหน้าของเขานิ่งเรียบ ดวงตานั้นเฉียบคมสงบเสมือนคนที่มองโลกด้วยความเย็นชานั้นไม่ได้เปลี่ยนมากนักจนกระทั่งนางพูดถึง จดหมาย..

            คำพูดนั้นตกลงอลางอากาศดั่งหินหนักที่ปล่อยในสระน้ำ เถียนเฟิงขยับเล็กน้อย เสียจนคนธรรมดาไม่อาจมองเห็น นิ้วเรียวยาวที่เคยยกจอกขึ้นหยุดกลางอากาศ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์แต่มุมตาขฃ้างหนึ่งกระตุกเบา ๆ ราวกับมันรับข้าวสารเร็วกว่าหัวใจ เขาเงียบไปนานพอสมควรจนแม้แต่เสียงดนตรีด้านนอกยังฟังเหมือนช้าลงกว่าปกติ ชายหนุ่มเหลือบมองหลินหยาที่ดูจะมีความสุขเหลือเกินกับการเล่าถึงชายลึกลับคนนั้น ใบหน้าของเขายังคงเรียบ แต่จอกสุรากลับถูกวางลงอย่างช้า ๆ

            “แตงโม?” เขาเอ่ยสั่น ๆ เสียงทุ้มต่ำเย็นตามปกติ “ข้าคิดว่าแม่นางจะมีรสนิยมชอบรสเผ็ดซ่านชาลิ้นมากกว่าของเย็นที่ไร้รส” น้ำเสียงของเขาดูไม่ต่างกับการคุยธุรกิจในท้องพระโรงอย่างไรอย่างงั้น “แต่ก็น่าแปลกใจ ที่ใครบางคนสามารถตัดเมล็ดแตงโมให้เจ้าได้ละเอียดถึงเพียงนั้นราวกับมีเวลาทั้งชีวิต” เขาหันกลับมามอง ดวงตานั้นไม่แสดงความอิจฉา ไม่ประชด แต่ก็ไม่ได้ยินยินดีเลยแม้แต่น้อยนิด

            หลินหยาที่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีราวกับไม่ได้รู้ว่าแรงกระเพื่อมบางอย่างจะเกิดขึ้นจากคำพูดของเขา เธอโน้มตัวลงเล็กน้อยวางข้อศอกเท้าบนโต๊ะอย่างคนไม่ยี่หระอะไร แล้วเอียงหน้าเหมือนจะกระซิบบอกอะไรเขา “ข้าว่าท่านไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ เขาก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง แต่ก็..ไม่ได้ซับซ้อนเท่าท่าน ท่านน่ะ..ลึกลับเสียจนบางครั้งข้าก็สงสัยว่าใต้หน้ากากยิ้มของท่าน กำลังคิดเรื่องฆ่าคนอยู่หรือเปล่า”

            เถียนเฟิงกลืนน้ำลายเล็ก ๆ ไม่ได้ตกใจหรืออายแต่เพราะเขารู้สึกว่าหลินหยาสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้แบบหน้าตายอย่างใสซื่อเกินไป “ไม่..” เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้าเพียงคิดว่า แตงโมสักลูก จะไม่มีวันหวานเท่าเวลาที่เจ้าหัวเราะโดยไม่ต้องเสแสร้ง แม้ข้าจะไม่ได้แคะเมล็ดมันให้เจ้าด้วยมือ แต่หากเจ้าชอบมันจริง ๆ ข้าจะส่งแตงโมมาให้ จากทุ่งที่ดีที่สุดของต้าฮั่น”

            หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนจะขำเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตอบเธอแบบนั้น “ท่านนี้ก็แปลก ข้าน่ะ ไม่ได้ชอบแค่แตงโมหรอกนะ ข้าชอบกลิ่นและไม้ของกฤษณา ชอบแมว ชอบอาหารอร่อย ชอบดอกไม้ทุกชนิด ชอบผลไม้ที่รสเปรี้ยวหวานฉ่ำน้ำเป็นพิเศษ ชอบข้าวที่มีรสชาติ ชอบเครื่องประดับ ชอบเหล้า ชอบการปลูกพืชกินได้ทุกชนิด ชอบการเสี่ยงทาย ชอบกลิ่นหอมชอบเล่นดนตรีเร็ว ๆ..แล้วก็ที่ท่านรู้ ข้าน่ะ ชอบเงินหอม ๆ” พูดพลางทำหน้าเหมือนคนฟินแล้วยกนิ้วเหมือนกับทำท่าทางแบบว่า มันนี่ ๆ ชอบเงิน ๆ



            เถียนเฟิงเอนกายเล็กน้อยบนเบาะอิงหรู ท่าทางยังดูสงบเหมือนเคย แต่ในดวงตานั้นกลับมีบางอย่างเหมือนริ้วคลื่นที่แตะต้องผิวน้ำเรียบ…ไม่บ่อยนักที่เขาจะถูกสตรีคนใดพรั่งพรูคำพูดเช่นนี้ใส่หน้า และยิ่งไม่ใช่กับน้ำเสียงรื่นเริงเจื้อยแจ้วราวกับแม่ค้าผลไม้หน้าวัดที่กำลังโฆษณาอย่างตื่นเต้นต่อหน้าคนแปลกหน้า ทว่า..นางกลับทำให้มันฟังแบบน่าเอ็นดูได้อย่างประหลาด เพราะนางไม่คิดมากหรือเปล่า?..ไม่แน่ใจ ก่อนที่เขาตะกระพริบตาเล็กน้อย ริมฝีปากเรียบเฉย แต่หัวคิ้วเลิกขึ้นบางเฉียบ

            “แม่นาง..เจ้าเพิ่งกล่าวว่าเจ้าชอบของครึ่งสิ่งที่มีอยู่บนโลกแล้วกระมัง” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยช้า ๆ อย่างสุภาพอย่างกับกำลังชี้จุดบกพร่องบนแผนการรบของขุนนางเก่าแก่คร่ำครึ ส่วนหลินหยานั้นยักคิ้วทั้งสองขึ้นสองครั้งเหมือนประมาณว่า แล้วไงใครแคร์

            “ก็จริงนี่เจ้าคะ ข้าชอบหลายอย่าง แต่ก็มีที่ไม่ชอบนะ ข้าไม่ชอบอาหารขม ๆ ไม่ชอบกลิ่นเหม็นฉุน ไม่ชอบสุนัขที่เห่าเสียงดัง ไม่ชอบกาอากศหนาว ไม่ชอบคนเย็นชา..” พอมาถึงประโยคนี้หลินหยากลับกระตุกปากเบา ๆ แล้วเหลือบมองตาอีกคน “หรือบางทีอาจจะชิบ แต่ข้าจะไม่มีทางบอกเขาหรอก”

            เถียนเฟิงหลุบตาลงชั่วครู่ สาบานได้ว่าตอนนี้หัวเขากำลังจัดหมวดหมู่สิ่งที่แม่นางตรงหน้าพูดพรั่งพรูออกมาราวกับบัญชีรายการสินค้ารประจำหอ “เงินหอม ๆ งั้นหรอ..น่าเสียดายที่เจ้าพลาดไป 50 ตำลึงทองเลยนะ แม่นางหลินหยา” ดวงตาของเขาพลันมองเธออย่างตรงไปตรงมา เสียงของเขาไม่ใช่การเยอะเย้ย หากแต่คล้ายตั้งใจจะ หยอกเย้า ด้วยท่าทีเรียบขรึม น่าเจ็บใจเสียยิ่งกว่าเยอะกันตรง ๆ แต่ถามว่าจะทำอะไรหลินหยาได้ไหม…หึ..

           ไม่…

            หลินหยาหัวเราะเสียงใด ดวงตาระยับเหมือนท้องฟ้าเหนือฉางอันยามไร้เมฆบดบัง “ข้าบอกแล้วไงเจ้าคะ..ข้าไม่ได้อยากได้ทุกสิ่งในโลก ข้าแค่เลือกได้ว่าจะหยิบอะไรใส่มือข้างหนึ่ง..หรือปล่อยอีกสิ่งในมืออีกข้างตกลงไป..ท่านเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?” นางเอ่ยขึ้นแล้วโน้มตัวเข้าหาอีกคนเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เธอจะเข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้..ราวกับจะฝากคำกระซิบในเงาค่ำคืน

            “ต่อให้ท่านนั่งในตำแหน่งสูงเพียงใด สูงแค่ไหน แต่ในหมวกทุกตาของท่าน..ข้ารู้ว่าท่านเองก็ต้องเสียบางตัวไปเช่นกัน”

            คำพูดนั้นราวกับคมมีดบางเฉียบตัดผ่านไอน้ำชาทว่าแววตาของหญิงสาวนั้นกลับไร้พิษสง มีเพียงรอยยิ้มดื้อรั้นปนซื่อ และแรงแกล้งหยอกล้อที่ทำให้คำพูดนั้นเหมือนหมัดที่ฟาดอย่างแม่นยำแต่ไม่เจ็บปวดนัก





@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ:

รางวัล: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-6-22 23:21
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-22 23:21
โพสต์ 22768 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-22 23:11
โพสต์ 22,768 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-22 23:11
โพสต์ 22,768 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-22 23:11

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-23 21:04:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน


          หลังจากที่หลินหยานั้นเดินทางจากไป ภายในห้องพักทิศตะวันตกก็ยังคงมีคนเดิมอยู่ ห้องแห่งนี้หากไม่ใช่ผู้ได้รับอนุญาติให้ผ่านม่านเข้ามาก็ไม่มีทางเข้ามาได้ เพราะมันคือห้องส่วนด้านในราวกับห้องปิดผนึก เสียงเงียบสนิท มีเพียงกลิ่นเทียนจันทร์ลอยประดังประดา และความเย็นจากพื้นเปลือยที่แผ่ซึมขึ้นมาตามปลายเท้าหากไม่สวมอะไร..

          จางกงกงยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมของเขาบนเบาะหนังเสือดำงามราคาแพง ดวงตาเรียบเฉยจับจ้องลงบนกระดาษรายชื่อที่วางอยู่เบื้องหน้า รายชื่อนั้นเป็นลายมือของเขาเอง ถูกเขียนด้วยหมึกดำลงบนกระดาษสาเนื้อหนาชั้นดีอย่างตั้งใจ รายชื่อหญิงสาวนักดนตรีฝึกหักสอบกว่าคน หากแต่เขาวงไว้เพียงสี่ชื่อเท่านั้น..และตอนนี้กลับมีใครบางคนเข้ามา..

          เสียงฝีเท้าของ ซิวอิ๋น เบาบางแต่หนักแน่นขณะก้าวเข้ามาในห้องแห่งนี้ เขาแต่งกายเรียบง่ายในชุดคลุมสีดำไร้ลวดลาย ผ้าคาดเอวแน่นหนา มือเบื้อนรอยกระบี่จาง ๆ ตามนิสัยของคนที่มักจะมีดาบซ่อนไว้ภายใต้แขนเสื้อแต่ไม่มีใครรู้ ซิวอิ๋นเป็นองครักษ์ลับของฝ่ายใน ไม่ปรากฎตัวในวังอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับคนที่รู้ เขาเป็น เงา ของจางกงกงโดยที่แทบไม่ต้องเอ่ยปากสิ่งใด ก่อนหน้านี้จางกงกงได้ให้ ซิวอิ๋น เรียกหญิงสาวในรายชื่อทั้งสี่ที่เขาวงไว้มาแยกซักถามลับแล้วให้จากไป..แน่นอนว่ารวมถึงหลินหยาด้วย

          ทั้งสี่คนไม่มีใครรู้ว่าถูกเรียกมาเพื่อสิ่งใด แต่มันคือการคัดเลือกเบื้องต้น ให้เป็น..หญิงข้างกายขององค์ชายรัชทายาทองค์หนึ่งในสายตาของจางกงกง ที่ถูกวางตัวอย่างลับ ๆ ว่าเขาควรจะเป็นผู้สือบทอดราชบัลลังค์ทองพระองค์ต่อไป

          “แม่นางผู้นี้ แม้จะเป็นบุตรีของเจ้าเมืองฝูหนานทางใต้ แต่มิได้เผยชื่อจริงในหอ มีเหตุผลสิ่งใดให้ท่านสนใจนักขอรับ” เสียงทุ้มต่ำของซิวอิ๋นเอ่ยถามพลางปรายตามองรายชื่อ หนาน หลินหยา ที่ถูกวงไว้ด้วยหมึกที่ไม่เหมือนใคร..หมึกสีแดง ไม่ใช่หมึกสีดำเหมือนรายชื่ออื่น

          จางกงกงไม่ตอบในทันที เขาเพียงยกพัดเหล็กประจำตัวขึ้กางออกช้า ๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเสียจนไม่ต้องลงโทษใครก็ตามก็สามารถหยุดลมหายใจคนทั้งห้องได้แล้ว “นางเป็นบุตรีในขอบเขตที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่” เขายกสายตาขึ้นมองสายลมที่ผ่านช่องอากาศอันเล็กนั้น “พ่อของนางไม่กล้าแสดงตนในเมืองหลวงมานานนัก และแม้แต่ชื่อตระกูลก็แทบไม่มีใครเอ่ยในราชสำนัก” เมื่อเขาพูดเช่นนี้กลับเคาะพัดเบา ๆ ลงกับฝ่ามือ

          “และหากเขาไม่ยอม ข้าก็สามารถทำให้ตระกูลหายไปจากแดนใต้อย่างไร้ร่องรอย..เขาหรือนางไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง” จางกงกงเลื่อนสายตากลับสู่รายชื่ออีกครั้ง จ้องไปยังตัวอักษรที่เขียนในชื่อของหลินหยาที่โดนวงสีแดงเอาไว้ เสียงของเขายังคงรายเรียบ ไม่เย็นชาหรืออาฆาต แต่กลับชัดเจนว่าสิ่งนี้คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครกล้าขัดแม้แต่น้อย

          ซิวอิ๋นยังคงยืนนิ่ง สายตาของเขาคมจัดมองรายชื่อเงียบ ๆ ก่อนที่จะเอ่ยต่ออย่างรอบคอบตามฉบับของคนที่เป็นสายลับอันมีดวงตากว้างไกล “เช่นนั้น..แต่นางดูไม่เหมือนคนที่ควรอยู่ใต้มือใคร นางพูดตอบได้ทุกครั้ง แม้จะนอบน้อมมากก็ตาม”

          จางกงกงเมื่อได้ยินจึงยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่เหมือนน้ำแข็งที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จากก้อนที่นิ่งสนิท พร้อมทิ่มแทงผู้อื่นเสมอ ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความเมตตา แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่ค้นพบว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งท้าทายอันน่าพอใจยิ่งนัก “ก็ยิ่งดีสิ..ข้าต้องการคนที่ฉลาดพอจะรับรู้ แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง” เขาวางพัดลงข้างตัก เอนกายไปด้างหลังช้า ๆ เหมือนพญางูขาวที่ยืดตัวรอบซากกระดูกที่เขากัดกิน

          “ข้าจึงให้โอกาศนาง ว่าจะเลือกเป็นเบื้อที่อยู่บนกระดาน หรือจะเดินตามรอยหมากที่ข้าวางไว้ให้” น้ำเสียงราบเฉย ในแววตาของเขาไม่มีความสงสารต่อเด็กสาวตัวเล็กผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีแม้แต่ความคาดหวัง หากแต่มีแววของนักวางแผนที่เริ่มสนุก เมื่อหมากชิ้นหนึ่งเริ่มมีชีวิต เพราะเขาขีดเส้นไว้ จางกงกงมองไปที่เทียนข้างกาย ซึ่งวูบไหวสะท้อนนัยน์ตาของเขาอยู่เวลานี้

          “หากนางเลือกได้ดี ข้าจะพานางออกจากหอว่านหงเหรินด้วยมือตัวเอง..” เขาเอ่ยช้า ๆ “หากแต่เลือกผิด..นางก็จะ…..” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่รอยยิ้มเหยียดเย็นเหมือนเช่นว่าหมากตัวนี้จะเป็นไปดั่งคำและการชักใยของเขาเสมอ ซิวอิ๋นพยักหน้าช้า ๆ แล้วก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนถอยออกจากห้องเงียบ ๆ เพื่อไปจัดการตามคำสั่งต่อไป เหลือเพียงจางกงกงที่นั่งนิ่งท่ามกลางแสงเทียนราง ๆ แม้ในใจจะคิดฝัน แต่บางทีเขาเองก็อยากรู้…อยากรู้เหมือนกัน

          ว่าเสียงดนตรีนั้น จะยอมเดินตามทางที่เขาขีดไว้ หรือจะเป่าทำลองใหม่ที่ไม่มีใครเขียนมาก่อน
          ……
         
………….

          หลินหยาไม่มีทางรู้เลยจริง ๆ ว่าหลังจากนี้ เสียงขลุ่ยและเสียงดนตรีของนางในวันนั้น ไม่ได้เป็นเพียงเสียงที่กล่อมบุรุษผู้หนึ่งให้หลับตาฟัง หากแต่มันได้สั่นสะเทือนโซ่ตรวนของโชคชะตาเบื้องบนอย่างเงียบงัน ขณะที่นางยังเดินลัดเลาะไปตามห้องโถงหอ ซักผ้า พับผ้า ฝึกดนตรี เสิร์ฟอาหารให้แขก หรือวางถาดอาหารให้พวกผู้มีอันจะกินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกลบความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่หนึ่งก็เฝ้าจับจ้องนางจากเบื้องบน โดยที่นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าเส้นทางของนาง..ได้ถูกเขียนใหม่ไปทีละบรรทัดเสียแล้ว

          รายชื่อของหลินหยา ถูกถอนถอดออกจากบัญชีสาวใช้ดนตรีฝึกหัดของหอว่านหงเหรินอย่างเงียบเชียบ ไม่มีลายเซ็น ไม่มีผู้มาลากนางไปที่ใด ไม่มีแม้กระทั่งคำถาม แต่ในทางกลับกัน ชื่อของนางกลับถูกจดลงบัญชีลับอีกฉบับหนึ่ง ที่ไม่เคยมีใครในหอได้เห็น บัญชีลับที่ถูกเรียบเรียงโดยคนหนึ่ง ของสำนักราชเลขานุการ ชื่อของนาง ปรากฎเคียงรายชื่อผู้โดนวางตัวให้เป็นองค์รัชทายาทคนต่อไป..นางที่ได้รับสถานะลับว่าเป็น ผู้ควรจับตามอง ในฐานะ บุคคลที่อยู่ในความสนใจของราชเลขานุการ..

          ไม่มีใครมาแจ้งนาง ไม่มีตราประทับใดที่แนบติดใบคำสั่ง ไม่มีประกาศเสียงดังในลานฝึกของหอ ไม่มีผู้นำผ้าคลุมทองหรือเหรียญตราใดมาให้นางแม้สักน้อย แต่นับจากค่ำคืนนั้น..

          ทุกอย่าง ทุกย่างก้าวของหลินหยา ทุกคำพูดในมุมห้องครัว ทุกสายตาที่เธอมองออกนอกหน้าต่างอย่างคนที่ไม่คิดอะไร กลับไม่ใช่แค่เถ้าแก่ หรือพี่สาวในหอที่ได้ยิน หากแต่มีสายลับไร้ตัวตนจากเบื้องบนที่เริ่มแทรกซึมเข้ามา บางครั้งอาจมาในคราบของหญิงแม่ครัวเงียบ ๆ ที่เก็บเศษผักตรงมุมเตา หรือบางคราวก็อาจเป็นแขกใหม่ที่พูดจาอ่อนโยนเกินจริง หรือบ่าวตัวน้อยที่ขยันเดินผ่านห้องฝึกดนตรีของนางในยามวิกาล

          และหลินหยา ก็ยังคงเดินยิ้มหวานในความไม่รู้ ด้วยสายตาที่ยังมีประกายเล็ก ๆ ว่าสักวันหนึ่งเธออาจจะมีสวนผลไม้ของตนเอง มีไหเหล้ากลิ่นดี ๆ ที่ไม่ต้องไปแอบท่านพ่อหรือท่านแม่ทำ และที่ที่ไม่มีใครบังคับให้เธอทำสิ่งใด แต่นางไม่รู้เลยว่าเสียงดนตรีในวันนั้น …

          นางก็แทบไม่มีสิทธิ์เลือกอีกต่อไป


วันที่ ยี่สิบสาม เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน


          ยามเย็นล่วงเข้ามาอย่างเงียบงัน แสงอาทิตย์โรยตัวตามแนวหลังคาโค้งของหอว่านหงเหรินในบรรยากาศที่เริ่มอบอวลไปด้วยกลิ่นของกำยาน สุราหวาน เสียงดนตรีที่ดังเบา ๆ อยู่ไกลลิบ หลินหยาที่เพิ่งกลับจากการซ้อมดนตรีหลายชนิดยังไม่ทันได้ดื่มน้ำสักอึกเลย ก็ถูกเรียกตัวโดยพี่สาวในหอเสียแล้วว่าให้ไปพบกับ เถ้าแก่หลิวไค่ ซึ่งปกติแล้วแทบไม่เหลียวตามองพวกนักดนตรีฝึกหัดเลยแม้แต่สักนิดเดียว

          “เจ้าไปพบข้า ข้างบนเดี๋ยวนี้ เถ้าแก่ใหญ่จะพบเจ้า” เถ้าแก่หนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยดวงหน้าเรียบ ส่วนหลินหยาที่ได้ยินก็นิ่งไปในชั่วขณะหนึ่ง เธอกำลังเช็ดเหงื่อบนต้นคอตัวเองที่ซึมเล็กจากการซ่อมดนตรี เธอกระพริบตาช้า ๆ รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที?.. เถ้าแก่?...ใหญ่??..หรอ?

          “อย่าช้า” หลิวไค่พูดพลางเหลอืบตาขึ้นมองเหมือนจะห้ามถามต่อ

          หลินหยาพยักหน้า เธอลุกขึ้นอย่างงุนงง หัวใจเต้นแปลบวูบจากความไม่เข้าใจ เถ้าแก่ใหญ่คือใครกันแน่? ตั้งแต่เข้าหอมา เธอก็เห็นมีแต่เถ้าแก่หลิวไค่กับพวกผู้ดูแลที่เป็นคนดูแลเรื่องการฝึกหัดและการบริหาร งานเล็กงานน้อยก็โยนให้พวกพี่สาวประจำหอหรือผู้ดูแล แล้วจู่ ๆ วันนี้จะให้พบกับเถ้าแก่ใหญ่ที่ไม่เคยปรากฎตัวสักครั้งเลยเช่นนั้นหรือ? แปลกดีนะ

          บานประตุไม้ด้านในสุดของเรือนฝั่งตะวันตกถูกเปิดออกอีกครั้ง กลิ่นไม้กฤษณาอบอุ่นยังลอยอ้อมอิ่งไม่จาง ร่มผ้าฝ้ายที่กางอยู่ใกล้กับประตูยังคงเดิม แต่บรรยากาศภายในกลับเงียบและหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมราวกับอากาศรอบห้องลึกลงหนึ่งชั้นไม่มีผิดเพี้ยน หลินหยาก้าวเข้ามาด้วยกิริยานอบน้อม ก้มตัวลงคำนับตามธรรมเนียมของหอทันที

          “ข้าน้อย หลินหยา เข้าพบเถ้าแก่ใหญ่เจ้าค่ะ”

          เมื่อเธอเงินหน้าขึ้นมา สายตาก็สบเข้ากับร่างสูงเพียวของบุรุษในชุดคลุมยาวสีเทาเงินอ่อนที่กำลังเอยบนหมอนอิง และเป็นเวลาเดียวกันที่ทุกอย่างในหัวของเธอเหมือนชะงักไปชั่ววินาที..เป็นเขานั้นเอง..คือเขา.. ชายหนุ่มในห้องพักตะวันตก ผู้เงียบขรึม เจ้าสำราญแบบแปลก ๆ ผู้ถือพัดระหว่างจิบซุปกวาง นั่งนิ่งฟังเสียงจลุ่ยของเธอเมื่อในยามเซินของหลายวันที่ผ่านมา เขา..

          เขา..คือเถ้าแก่ใหญ่..

          หลินหยาเบิกตากว้างเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะรีบก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง ไม่ให้ความสับสนที่สะท้อนแรงจากการได้รับรู้ความจริง(?) นั้นเผยออกมาแต่อย่างใด ด้านข้างนั้นเถ้าแก่หลิวไค่ที่ยืนเงียบอยู่ก่อนแล้วรีบประสานมือคำนับให้จางกงกงอย่างนอบน้อมสุดตัว “หากไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม ข้าขอตัวก่อนขอรับท่าน” จางกงกงนั้นไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ เสียงจากริมฝีปากเขาเอ่ยออกมาอย่างเรียบเย็น ไม่ดังแต่เฉียบจนสั่งให้ร่างเถ้าแก่หลิวไค่เย็นวาบ

          “ออกไป” คำเดียว ไม่มีคำว่าขอบใจ ไม่มีมารยาทจอมปลอมออกมาตอนนี้

          หลิวไค่ค้อมตัวต่ำสุดอีกครั้ง ก่อนที่จะถอยหลังออกจากห้องไปเงียบ ๆ ประตูปิดลงเบา ๆ ตามหลังอย่างสมบูรณ์ ขณะนี้ในห้องจึงเหลือเพียง เถ้าแก่ใหญ่ ผู้สงบนิ่ง และ หลินหยา เด็กสาวนักดนตรีฝึกหัดผู้ที่ไม่รู้เลยว่ายามนี้ตนเองถูกลบชื่อออกจากบัญชีของหอไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

          จางกงกงทองเธอผ่านใบพัดในมืออย่างเฉยชา แววตาอ่านยากอย่างเคย แต่คราวนี้เมื่อไร้ผู้คน เขากล่าวเพียงเบา ๆ “เจ้ารู้แล้วหรือยัง..ว่าข้าไม่ใช่แค่แขกที่มายามตามเซินของทุกวัน?” ปลายพัดเคลื่อนไหวช้า ๆ ราวกับกำลังชี้ไปยังหมากตัวหนึ่งบนกระดานมังกรที่ไม่มีใครรู้เลยว่ายังเล่นอยู่

          หลินหยานั้นเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนรีบหลุบตากลับลงอีกครั้งเมื่อสบตากับดวงตาคู่นั้นที่แม้ไม่แสดงความโกรธขึงขัง แต่กลับเย็นเยือกเกินกว่าผู้ใดในหอจะกล้าจ้องตริง ๆ นางสูดลมหายใจเบา ๆ แล้วคำนับอีกครั้งหนึ่ง เสียงเอ่ยตอบแม้อ่อนหวานแต่หนักแน่น ไม่อ้อมแอ้มแต่อย่างใด “ขออภัยท่านชาย ที่ข้าน้อยมิรู้มาก่อนว่าท่านคือผู้ใด” เสียงของหลินหยาไม่สั่น แต่ก็ไม่แข็งกร้าวแบบคนที่รู้แล้วจะโกรธ เธอรู้จักการวางตัวเมื่อตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงปลายเข็มที่เสียบด้ายเส้นบาง แต่ก็ยังเลือกที่จะพูดออกมาตรง ๆ อย่างไม่มีอะไรปิดบังความจริงแต่อย่างใด

          จางกงกงมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพับพัดในมืออย่างเชื่องช้า แล้ววางลงข้างหมอนอิง บรรยากาศในตอนนี้ของห้องพลันแน่นตึงไปหมดโดยไม่มีใครเอ่ยวาจาที่ต้องข่มขู่ใครทั้งนั้น “ข้าคือจาง..ใต้เท้าจางแห่งราชสำนัก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่เร่งหรือช้าไป แต่ทุกถ้อยคำนั้นเหมือนตราประทับที่ประทบลงบนสมองส่วนในของคนฟัง “ข้าเป็นขุนนางที่ได้รับการเมตตาโดยตรงจากองค์ฮ่องเต้” เขาพูดต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าไม่ได้มาที่นี่วันนี้เพียงเพื่อฟังเสียงดนตรีของเข้า”

“แต่เพราะเจ้ามีบางอย่าง ที่อาจจะมีประโยชน์ต่อราชสำนัก”

          หลินหยาที่ยังคงก้มตัวนิ่ง เธอไม่เอ่ยวาจาโต้ตอบแต่อย่างใด เธอรู้ดีว่าหากชายตรงหน้าต้องการสิ่งใด ไม่ว่าใครก็ยากจะขัดได้ และเมื่อกล่าวถึงราชสำนักหลินหยาก็ขมวดคิ้วเรียวของตนเองเล็กน้อย เธอเหมือนรู้จุดหมายปลายทางนี้โดยไม่ต้องสืบสิ่งใดอีกเลยว่าคำตอบของเธอจะเป็นเช่นไร

          “ข้ามีข้อเสนอ หากเจ้ายินดีที่จะไปเป็นนางกำนัลข้างกาย..ขององค์ชายรัชทายาท ข้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้หมด เจ้าจะได้รับเบี้ยหวัดถึง 5 ตำลึงทองต่อเดือน..มากกว่าที่นางกำนัลคนใดในวังจะได้รับ” เขาหยุดพูดพลางทอดสายตามองเธออีกครู่หนึ่ง ราวกับต้องการวัดใจของหลินหยาว่าจะสั่นไหวหรือไม่กับคำต่อไป ก่อนที่เขาจะหยิบบางอย่างออกจากห่อแพรข้างตัว เสียงช่างคุ้นเคย..

          เหรียญทองเปล่งประกายแสงเทียน ยิ่งขับให้บรรยากาศในห้องนี้ร้อนขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องจุดเพลิง “และหากเจ้าทำให้องค์ชายหลงรักเจ้าได้..ข้าจะให้รางวัลเจ้าเป็นการส่วนตัว 100 ตำลึงทองคงจะดี” มือเรียวของเขาขยับเล่นเหรียญนั้น จางกงกงโน้มตัวลงมาด้านหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มที่น่าฟังแต่สำหรับหลินหยาเธอกลับรู้สึกเย็นสันหลังยะเยือกจนถึงขั้วกระดูกดำของตนเอง

          เป็นโอกาสที่หญิงธรรมดาจากหอว่านหงเหริน..ไม่มีวันจะได้พบ”

          จางกงกงกล่าวจบอย่างมั่นคง ภายในห้องเงียบงันมีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ของหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังนิ่งไป เงียบกว่าที่จางกงกงคาดเอาไว้เสียอีก เขาคิด..แน่นอน หลินหยาอาจกำลังสั่นกลัว อาจจะกำลังร้อนรนกับข้อเสนอที่มากเกินจะต้านทานทั้งการปฎิเสธที่ไม่อาจมี เกียรติของสตรีทั่วแดนที่จะได้เคียงคู่กับองค์ชายรัชทายาท หอมหวานยิ่งกว่าสิ่งใด สตรีที่มีเกียรติเท่านั้นยำจะได้บารมีขึ้นครอง

          แต่…ใบหน้าของหลินหยาที่เงยขึ้นช้า ๆ พร้อมกับสายตาอันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม? “หืม??” ริมฝีปากของนางนั้นขยับขึ้นอย่างสับสน “เอ่อ..ข้า?...ขออภัยนะเจ้าคะใต้เท้า ข้าฟังไม่ผิดใช่หรือไม่เจ้าคะ? องค์ชายรัชทายาทหรอ?”  เสียงของเธอหลุดออกมาช้า ๆ ตามความงุนงงในใจ นัยน์ตากลมโตนั้นกระพริบปริบ ๆ อย่างมึนงง หน้าตายแทบจะตลกในสายตาคนทั่วไป แต่จังหวะัที่นางยกมือเรียวงามนั้นแตะข้างขมับเหมือนจะพยายามฟื้นความจำที่ไม่ผิดเพี้ยน กลับเผยท่าทีที่ให้เห็นว่าเบื้องหลังความซื่อใสสะอาด สมองของนางกำลังหมุนเร็วไม่แพ้เครื่องจักรกลใด ๆ เลยแม้แต้น้อย

          “องค์ชายที่ประสูติจากพระสนมลู่ องค์นั้นหรือเจ้าคะ??” คำถามของหลินหยานั้นหลุดรอดริมฝีปากเบา ๆ ราวกับรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะรอคำตอบ ในห้วงวินาทีนั้น ทั้งหมดในหัวหลินหยากลับไม่ใช่เรื่องเงินทอง หรือฐานะใหม่ที่สั่นคลอนความเป็นจริง แต่เป็นภาพของความทรงจำที่เด่นชัดจากคำล่ำลืออันหนาหู

          “ข้าได้ข่าวมาเรื่องประสูติในคือนอัศจรรย์..ราวดวงกาวทุกดวงปรากฎเหนือศีรษะพระมารดาพระองค์ และในครรภ์ของพระสนมลู่ ราวกับมีเพลิงสวรรค์ไหลระริกในยามจันทราแรม หลังจากประสูติได้ไม่ถึงฤดูเต็ม พระองค์ก็เติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัย 12 ในพริบตา..พวกนางในหลายคนบอกว่า ปีศาจ ส่วนนักพรตกล่าวว่าคือโอรสแห่งสวรรค์โดยแท้..”

          หลินหยาเอ่ยเรื่องข่าวลือที่แสนจะน่ากลัวนั้นออกมาแต่สำหรับหลินหยานั้น..เธอมองเขาเป็นบุญยารมีอันอัศจรรย์มากกว่า..ใจหนึ่งของเธอก็หวั่นไหว ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น ใจหนึ่งก็งงงวย..แต่ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้หลินหยาแสดงออกมาหน้าเดียว..




          เอ๋อแดก…

          จางกงกงที่ยังคงนิ่งงัน เฝ้าดูปฎิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าเหมือนนักปราชณ์นั่งดูหมากรุก ขมวดคิ้วนิดหน่อยจากท่าทีที่ผิดไปจากที่คาดไว้ลิบลับเกินจะเอ่ย เขาเอียงหน้าช้า ๆ กล่าวเสียงเรียบถาม “ใช่ เจ้าฟังไม่ผิด องค์ชายองค์นั้น หรือในสายตาของเจ้า พระองค์เป็นปีศาจหรือไร?”

          หลินหยาที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วมองทันที แล้วเอียงคอทำตาใส “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าคิดว่า พระองค์คงมิใช่ปีศาจ แต่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินต่างหาก บุญบารมีเช่นรนั้น อาจเป็นสิ่งวิเศษที่ไม่มีใครเข้าใจเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยบอกมองหน้าเขาตรง ๆ สีหน้าไม่ได้เยาะหยัน ไม่สับสนแต่แฝงไปด้วยความเชื่อที่เปล่งประกายออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ เหมือนหากเป็นข่าวลือเสียหายเท่าใด หลินหยาก็พร้อมแปลงให้มันเป็นเรื่องดีได้ด้วยตัวเอง

          เงียบ..

          แม้แต่จางกงกงก็ยังหยุดมือ เขาเพียงจ้องมองหญิงสาวที่จู่ ๆ ก็ไม่กลัว ไม่ขลาดเขลาไม่ตื่นเต้น.. เขาหลุบตามองเธออยู่นาน ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจนัก” เขากล่าวเรียบ ๆ ราวกับยังไม่ตัดสินใจ แต่ท่าทีของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย

          หลินหยาเหมือนกับคิดอะไรได้ เธอเงนหน้าถามอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “คือ ใต้เท้าเจ้าคะ ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?” น้ำเสียงของนางไม่ได้ดึงดันและไม่ลังเลเกินงาม เป็นความสงสัยที่ซื่อตรงใบบริสุทธิ์ที่ไม่คิดเก็บงำสิ่งใดให้รกหัวใจหรือหัวสมองตนเอง จางกงกงเหลือบหน้ามองนางเล็กน้อย ไม่เต็มตัวนัก แต่สายตาของเขาคมและแน่วแน่

          “เช่นไร?”

          หญิงสาวเลิกคิ้วน้อย ๆ แล้วเหมือนกัเอ่ยแบบไม่มั่นใจเท่าไรแต่ก็เอ่ยออกมาอยู่ดี “ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นข้าด้วยเจ้าคะ? ข้าไม่เคยพบองค์ชายเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเป็นอย่างไร ชอบคนเช่นไร หรือไม่ชอบอะไร ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระองค์จะทรงชอบข้าหรือมีจิตปฏิพัทธ์ต่อข้าหรือไม่ด้วยซ้ำ แล้วอยู่ ๆ ใต้เท้ามาถามเช่นนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เธอเงยหน้ามองเขาแบบไม่หลด แต่ถามว่ากลัวที่จะถูกต่อว่าไหมก็กลัวอยู่

          “อีกอย่างข้าไม่คิดว่าตัวเองเหมาะสมนักด้วยเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวน้อย ข้ากระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกระโหลกอยู่บ่อย ๆ ฉลาดก็ไม่ฉลาด ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย บางทีก็งง คิดมากหรือใครเดาข้าก็ไม่ค่อยได้ ข้าคิดว่าบางทีใต้เท้าอาจควรพิจารณาใหม่อีกครั้งก็ได้นะเจ้าคะ”

          จางกงกงมองเธออย่างงั้นราวกับเวลาหยุดนิ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะจะแผ่วเบาจากริมฝีปาก ไม่ใช่เย้ยหยั่นหรือเหยียดความคิด แต่เป็นการหัวเราะที่เหมือนกับกำลังมองเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่รู้ว่ากำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งของอะไร เขามองนางแล้วพัดในมือก็กระทบกับปลายนิ้วแผ่วเบา

          “เจ้าคิดว่าองค์ชายต้องการหญิงที่รู้ว่าพระองค์ชอบอะไรหรือ?..หรือเจ้าคิดว่าบุรุษผู้หนึ่ง เมื่อพบหญิงที่เล่นดนตรีได้อย่างลึกซึ้ง และตอบคำถามอย่างไร้พิษภัยไม่ควรค่าแก่การประทับใจ..??”

          “พระองค์ไม่ต้องการหญิงที่คิดว่าตนเหมาะสม พระองค์ต้องการหญิงที่ไม่คิดว่าตนคู่ควร เพราะนางจะไม่เปลี่ยนพระองค์ให้เป็นสิ่งที่ตนต้องการ..และเจ้าคือคนแรกที่มององค์ชายด้วยแววตาที่ไม่เปื้อนคำสอน ข่าวลือ หรือความกลัว” ทุกคำของจางกงกงนั้นเหมือนกับคนที่คิดถึงแต่องค์ชายและนายเหนือหัว แต่สำหรับใจจริงนั้นไม่อาจมีใครล้วงลึกถึงสิ่งที่อยู่ด้านในได้เลยสักคน..

          “เจ้าคือความใส แต่ไม่ว่างเปล่า..”

          “จดจำไว้ แม่นางน้อย พระองค์ไม่ต้องการสตรีที่พร้อมจะอยู่ในวัง แต่ต้องการผู้หญิงที่กล้าจะอยู่กับพระองค์”

          หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นเธอเบิกตากว้าง แต่นางกลับจ้องดวงตานั้นด้วยนัยต์ตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของตนเองอย่างไม่หลบเลี่ยงต่อให้โดนกล่อมเพียงใดก็ตาม “ข้าขออภัยเจ้าค่ะ” หลินหยากล่าวพร้อมกับตัวตรง ดวงตากลมจ้องมองดวงหน้าของบุรุณอย่างไม่หลบเลี่ยง

          “ข้าไม่อาจรับข้าเสนอของท่านได้ ไม่ว่าจะให้ข้าเคียงกับองค์ชายในฐานะใด..ข้าก็ยังไม่คิดจะเลือกอะไรในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ” นางกล่าวเรียบง่าย แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น ชนิดที่แม้ว่าจะพูดอย่างนุ่มและสุภาพกลับสะดุดใจคนฟังอย่างจัง “ข้ารู้ว่าเงินที่ท่านยื่นมา มันยากมาก มากกว่าที่ใครเคยเสนอให้ข้าทั้งชีวิตด้วยซ้ำ” นางเว้นจังหวะพลางทำนิ้วเล็ก ๆ .. “แต่ความจริงข้าน่ะ..มีมากกว่านั้นเจ้าค่ะ” นางจ้องหน้าของเขาระบายยิ้มนิด ๆ เหมือนกำลังแหย่ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะข่มใคร แต่ก็ไม่ยอมตกเป็นเบี้นของใครง่าย ๆ เช่นเดียวกัน ทำหน้าเอ๋อใส่ด้วยประมาณว่า ข้าเก็บเงินเก่งนะเจ้าคะ อิอิ

          “ข้าทำงานเลือดตาแทบกระเด็นในทุกวันทั่วฉางอัน ข้าชอบมันนะเจ้าคะ” หลินหยาก้มคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบนอ้ม แต่จางกงกงที่มองอยู่ในเงามีดกลับไม่หลุดรอยยิ้มเช่นเดิม สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ความโกรธแม้แต่น้อย แต่ทว่าดวงตานั้น เปล่งประกายราวกับเสือที่เห็นเหยื่อขู่ฟ่อใส่..ไม่ใช่เพราะความกลัว เหตุใดกัน นางจึงดื้อดึงได้ถึงเพียงนี้..

          “เช่นนั้นหรือ?..” เสียงของเขานิ่ง แต่เย็นกว่าก่อนหน้านี้อย่างน่าประหลาดใจ “เจ้านี้มัน..แมวป่าที่มัดเท่าไร ก็ยังจะกระชากโซ่ออก? เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าคือสิ่งนั้นหรือไง” เขามองนางเต็มตา เป็นครั้งแรกที่หลินหยาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเงียบงัน เหมือนถูกกลืนเข้าไปในสายตาของอสรพิษที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะกลืนนางลงไปทั่งตัว หรือปล่อยให้นางมีชีวิตรอด

          “เด็กน้อย..เจ้าคงยังไม่เข้าใจ บางทีสิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นทางเลือก อาจไม่เคยมีอยู่ตรงเลยก็ได้ ข้ามิใช่คนที่ยื่นข้อเสนอ ข้าเป็นคนจัดกระดาน และเจ้าก็อยู่บนกระดานนี้นานแล้วแต่พึ่งรู้ตัว”



@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ:

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-6-23 21:16
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-23 21:16
โพสต์ 57194 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-23 21:04
โพสต์ 57,194 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-23 21:04
โพสต์ 57,194 ไบต์และได้รับ +8 EXP +35 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-23 21:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-23 22:33:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-24 03:04



วันที่ ยี่สิบสาม เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน


            หลังจากนั้น..มันควรจะจบลงซึ่งทุกอย่าง มันควรจะเป็นเธอที่รอดได้อีกครั้ง มันควรจะเป็นชายตรงหน้าจากไปด้วยความผิดหวัง แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือเสียงกระแอมไอเบา ๆ จากจางกงกงแล้วเขากลับหันมา ขยับตัวเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ เขายกพัดสีดำในมือขึ้นกระแทกกับฝ่ามือของตนเองเบา ๆ ราวกับคิดไว้แล้วว่าจะต้องพบกับสิ่งนี้..แล้วจึงทำบางอย่างด้วยการวางหนังสือสองฉบับลงตรงหน้าโต๊ะอย่างเงียบงัน เสียงกระดาษแห้งดังเบา ๆ แต่ทว่า ทุกตัวอักษณที่อยู่ในนั้น..

            กลับหนักอึ้ง..ยิ่งกว่าหินพันชั่ง..

            “แม่นางน้อยหลินหยา” เสียงของจางกงกงเอ่ยขึ้นช้า ๆ มองอีกฝ่ายผ่านชายพัดที่ยกขึ้นยังฟางไว้คล้ายกำลังอมยิ้ม แต่นัยต์ตาเขากลับเรียบสนิทราวกับกระจกดำที่ไม่สะท้อนเงาใคร “ข้าเป็นคนตรง ๆ ไม่ถนัดอ้อนวอนหรือต่อปากต่อคำหรือต่อรองเช่นพวกพ่อค้า ข้าทำหน้าที่ของข้าเพียงเพื่อรักษาสมดุลของแผ่นดิน และหนังสือทั้งสองเล่มนี้..ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูสักหน่อย” เขาผ่ายมือเล็กน้อยให้หลินหยาเห็นเอกสารทั้งสองฉบับบนโต๊ะ

            ฉบับแรก กระดาษหยาบเรียบหมึกหนา บ่งบอกถึงการศึกษาลายมือชาวบ้านแบบตัวชัดเจน รายละเอียดแน่นหนา ขึ้นหัวเรื่องว่า ‘คำร้องเรียนเจ้าเมืองผานอวี้’ เนื้อความโหดร้ายยิ่งกว่าหอกแทงข้างอก ขูดรีดภาษีชาวบ้าน เสวยสุขบนทุกข์ของราษฎร แถมพาเมียหลวงเมียน้อยลูกหลานอดอยากเพราะเจ้าตัวเอาเงินไปลงหอโคมเขียว จนต้องส่งบุตรสาวไปทำงานมากมายในเมืองหลวงจนไม่ได้พักผ่อน..

            อีกฉบับ.. กระดาษหอมลายพิมพ์อย่างดี ลงตราประทับของพ่อค้ากลุ่มหนึ่งจากผานอวี้ ยกย่องคุณงามความดีของเจ้าเมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใจความแทบจะร้องขอให้แต่งตั้งเป็นขุนนางหลัก

            “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้..ว่าเรื่องใดเรื่องจริงหรือเรื่องใดเรื่องเท็จ” จางกงกงเอ่ยเบา ๆ สลับตบพัดลงบนเอกสารฉบับแรกเบา ๆ .. “ข้าแค่รู้ว่า หากหนังสือร้องเรียนแผ่นนี้หลุดไปถึงหูประชาชน ข่าวจะลุกลามไวกว่าพายุไฟในตลาดตะวันออก แล้วชื่อเสียงของตระกูลเก่าก็จะเละ..ไปในคราวเดียว ดับดิ้น ไร้ทาง” พัดเคลื่อนไปอีกเล็กน้อย แล้วสะบัดนิ้วสั่น เสียงกระดาษนั้นพัดก้องในหูของหลินหยา..

            “ฝ่าบาท ทรงไม่โปรดนัก..กับเรื่องเสี่ยมเสียที่เกิดจากเจ้าเมืองชายแดน..ที่เป็นคนของประชาชน เจ้าเมืองผานอวี้..ก็เช่นกัน” เขาเน้นเสียงลง “หากคำร้องแพร่กระจาย ฝ่าบาทจะมิทรงพิโรธหรือ?” เขากล่าวพลางเอียงหน้ามองหลินหยา รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฎผ่านชายพัด “และ..ในยามที่พระองค์ทรงกริ้ว เช่นนั้น ฮองเต้จะโปรดการสืบสวนนักหรือ?..หรือจะสั่งประหารก่อน ค่อยหาความจริงทีหลังดีล่ะ?”

            “ถึงตอนนั้น ข้าเกรงว่าแม้เจ้าจะวิงวอนร้องไห้แทบตายน้ำตาไหลเป็นสายเลือด ก็ไร้ความหมายแล้ว..พยานตายหมด แล้วจะหาความจริงจากที่ใดเล่า?” เขาวางพัดลงอย่างช้า ๆ แล้วหย่อนกายพิงพนัก เก็บสายตาทั้งหมดไว้ในเงามืดรอบตัว

            หลินหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางมองกระดาษตรงหน้าแล้วเงยขึ้นขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนที่เคยสดใสกลับสั่นระริกเล็กน้อย สองมือข้างกายกำแน่น จางกงกงที่เห็นเช่นนั้น เขายิ้ม..ยิ้มอย่างพึงพอใจในความเงียมของนาง ไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่แววตาคู่นั้นบอกได้ชัดว่าเขาพอใจยิ่งนัก

            เงียบ…

            เงียบงัน..

            เงียบเสียจนได้ยินเสียงปลายเล็บงามของหลินหยาที่ขุดเบา ๆ บนพื้นไม้ขณะก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเขาชายตรงหน้าโดยไม่เอื้่อนเอ่ยแม้แต่คำเดียว นางไม่พูดอะไรอีก ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา หากแต่ปล่อยให้ร่างของตนเองร่วงลงเงียบ ๆ เช่นนั้น ราวกับดอกไม้ใบหนึ่งที่โดนย้ำแล้วยังพยายามที่จะบานให้ดูเหมือนไม่เป็นอะไร..

            เสียงพัดที่เคยเคาะบนโต๊ะอย่างหยอกล้อเมื่อครู่เงียบลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ..นอกจากแววตานิ่งเรียบของจางกงกง และหัวใจของเด็กสาวที่เริ่มร้าวจนเสียงร้าวนั้นดังขึ้นในหูของตัวนางเองโดยไม่ปิดบัง หลินหยาค่อย ๆ เหลือบสายตาขึ้น แววตานั้นไม่ใช่แววตาของชายที่นางเคยจ้องมองมาก่อน มันไม่ใช่แววตาของชายลึกลับผู้มีรอยยิ้มข้างพัด ไม่ใช่ผู้ที่ฟังเสียงขลุ่ยของนางด้วยท่าทีสงบนิ่ง หากแต่…เป็นแววตาของใครบางคน ที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของคนคนหนึ่ง..ได้ด้วยการกระพริบตา

            แววตาของคนที่สามารถ..ฆ่าทั้งตระกูลของเธอได้..เพียงเพราะ..ไม่พอใจ

            เธอมองเขา..มองอย่างคนที่ไม่เข้าใจ มองอย่างคนที่กำลังถามกับตนเองว่าทำไมถึงมาได้ไกลขนาดนี้ ทำไมแค่เป่าขลุ่นหนึ่งเพลง มันถึงกลายเป็นชีวิตทั้งชีวิตที่กำลังโดนจับวางบนตาชั่งของผู้ชายคนหนึ่ง หลินหยาไม่รู้ว่าดวงตาของตนเองเศร้าหรือไม่..เศร้าหรือเปล่า

            นางแค่รู้สึก..รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างในของนาง เหมือนหยดหมึกที่เผลอหกลงกลางแผ่นกระดาษสีขาวสะอาด แพร่ซึมช้า ๆ ไปทุกทิศทางจนไม่มีส่วนใดเหลือ..ไม่มีส่วนใดที่ไม่แปดเปื้อน..

            เจ็บไหม..??

            เจ็บสิ..แต่ไม่มีที่ไหนให้พูด เจ็บจนเงียบไปทั้งอก เหลือแค่ลมหายใจเบา ๆ ที่ตนยังฝืนพ่นออกมาเพื่อจะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น เพราะในเมื่อ แม้แต้ความกลัว นางยังไม่คิดจะยื่นให้เขา ไม่มีคำไหนออกจากปากของเธอ แต่เธอก็ยังคงเงยหน้าขึ้นอยู่ จ้องมองชายตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ดวงตาที่เคยสดใส เปล่งประกายในคืนเป่าขลุ่ย ในคืนทำงาน ในทุกคืนที่ผ่านมา วันนั้น..กลับไร้แววเหมือนแม่น้ำที่แห้งเหือด แววตานั้นไม่ได้กล่าวโทษ..

            ไม่ได้ด่าทอ…มันแค่ถามเงียบ ๆ ..ว่า…เหตุใด?...

            เหตุใดจึงต้องทำให้ความบริสุทธิ์ใจเพียงเล็กน้อยนั้นกลายเป็นโซ่ตรวน
            เหตุใดจึงต้องนำความหวังในใจของใครบางคนไปแลกกับชื่อเสียงชีวิตของตระกูล
            
เหตุใด..จึงต้องฆ่าความรู้สึกที่สวยงามนั้นด้วยมือของคนที่ท่านเคยฟังเสียงขลุ่ยงามตรงหน้าข้า..

            เธอไม่รู้ว่าจางกงกงมองเห็นอะไรในแววตานั้นหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ในเสี้ยววินาทีนั้น หลินหยารู้แล้วว่าคนตรงหน้าเธอ ไม่ใช่แขกประจำหอว่านหงเหริน อีกต่อไป..เขาคือปีศาจในคราบของรอยยิ้ม คือหมากขาวที่เดินด้วยมือของใครบางคนที่สูงเกินกว่าท้องฟ้า..

            คือมนุษย์..ที่ไม่มีหัวใจให้กับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ อย่างเธอเลยแม้แต่นิดเดียว..

            แล้วหลินหยาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง หัวใจแน่นดื้อ ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แต่น้ำเสียงในหัวกลับเงียบเกินกว่าที่จะมีอะไรตอบเธอได้อีกต่อไปอีกแล้ว

            มือบางที่เคยไล้เล่นดนตรีตามปลายนิ้วด้วยความอ่อนโยน บัดนี้กลับกำแน่นจนเล็บจิกทะลุผ้ารองเข่า เสียงที่ไม่มีใครได้ยินคือเสียงเนื้อบอบบางที่แตกระแหงใต้แรงอารมณ์ของนาง มือคู่นั้นสั่นเบา ไม่ใช่เพราะสิ่งใด มันอาจจะเป็นเพราะความกลัว? ความรู้สึกที่ด้านชา..และความรู้สึกที่พรากจากทุกอย่างไป..จากทุกอย่างที่เคยมีอยู่

            นางไม่ร้องไห้..เพราะแม้น้ำตาจะไหล มันก็มิอาจล้างความหม่นมือที่ก่อตัวอยู่ในทรวงอกของนางได้เลยอีกแล้ว..แม้สักนิดก็ไม่ ดวงตาที่เคยเปล่งประกายเหมือนสาวน้อยผู้อยากพบโลกกว้าง ค่อย ๆ มืดหม่นลงราวกับมีม่านหมดปิดตา ภาพเบื้องหน้าเลือนรางเหมือนอยู่ไกลแสนไกล แต่เงาร่างของเขา ของชายที่นั่งอยู่เหนือโต๊ะนั้น ยังชัดเจนยิ่งกว่าภาพใด

            เขานั่งอยู่ในเงา เหมือนดั่งความจริงที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน..

            หัวใจดวงน้อยของหลินหยาแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ แต่สิ่งที่หล่นลงไปนั้นอาจไม่กลับคืนมาได้อีก ไม่ใช่เพราะมันแหลกละเอียด แต่เพราะไม่มีที่ใดให้วางหัวใจที่แตกสลายนั้นลงได้เลยสักนิด ไม่มีที่ไหน..ปลอดภัยอีกต่อไป เสียงของนางเบากว่าลมหายใจ หากแต่แทรกผ่านม่านความเงียบขึ้นมาดั่งสายลมราตรีที่กระซิบจากหุบเขาอันห่างไกล

            “ขอเวลา..ให้ข้าสักหน่อย…ได้หรือไม่เจ้าคะ”..

            เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหญิงสาวที่ต่อรอง หรืออ้อนวอน เพื่อรอดพ้น ไม่ใช่เสียงของผู้คิดสู้หรือแสร้งโง่เขลา หากแต่มันคือเสียงของผู้หญิงที่รู้ตัวดีว่า ตนกำลังถูกพันธนาการโดยบางสิ่งที่ไม่อาจหักหาญได้ ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่ตัวอักษรบนกระดาษ แต่คือ สายตาและความตั้งใจของผู้มีอำนาจเหนือชีวิต..ชีวิตของนาง..ไม่รู้ว่าจะได้นานเพียงใด..

            หลินหยารู้ดี รู้ดีว่านี้ไม่ใช่การต่อรอง แต่มันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของอิสรภาพในใจ ที่ยื่นออกไปต่อหน้าบุรุษผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร

            จางกงกงเงียบ…

            ชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่ได้ขยับแม้แต้ปลายนิ้ว เขาเพียงนั่งนิ่ง ๆ พลิกพัดไม้ในมือเล่นอย่างเชื่องช้า ไม่ได้เอ่ยคำใดในทันที และสายตาคู่นั้นก็ละจากเอกสารบนโต๊ะ มองมายังหลินหยา มองนาน นานเสียจนคนที่จ้องกลับเริ่มไม่แน่ใจ ว่าเขาจะโอบเธอขึ้นมาหรือเหยียบซ้ำในจมลงดินใต้พื้นเท้าของเขาเอง พัดสีดำนั้นเลื่อนไปแตะริมฝีปากของเขาอีกครั้งก่อนที่เสียงหนึ่งจะเปล่งออกมาเบา ๆ

            “เช่นนั้นหรือ..”

            ภายในห้องพักทางทิศตะวันตกยังคงเงียบงัน ไม่มีแม้เสียงของนาฬิกาน้ำ ไม่มีลมหายใจของข้ารับใช้ ไม่มีแม้เสียงก้าวเท้าของใครอื่น นอกจากเสียงพัดไม้กระทบปลายนิ้วอย่างเชื่องช้าและสงบนิ่งเกินจริง หลินหยายังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้น ดวงตายังพร่าเลือน น้ำเสียงเมื่อครู่ที่ขอเวลาให้นางหน่อย..ได้หล่นหายไปกับสายลม และความเงียบระหว่างนางกับเขา ก่อตัวขึ้นเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามรั้งจิตใจไม่ต่างจากห่วงเหล็กเย็นเยียบ แต่แล้ว..

            เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้..หนึ่งก้าว..และอีกหนึ่งก้าว

            จวบจนเงาของจางกงกงทอดทับบนไหล่ของเด็กสาวตรงหน้าเขาโน้มตัวลงช้า ๆ ราวกับไม่ต้องเร่งเร้าใด ๆ เพราะรู้ดีว่าหญิงเบื้องหน้ากำลังอยู่ในสภาพที่เขาจะทำอะไรก็ได้ แม้จะไม่แตะต้องเลยก็ตาม ฝ่ามือขาวซีดนั้นยื่นมาแตะเบา ๆ ที่คางของนาง เชยคางงามนั้นขึ้น แล้วขยับนิ้วเรียวเย็นเยือก ไปที่แก้มของหลินหยา เย็น..ดุจหยดน้ำค้างบนเหล็กกล้าท่ามกลางยามเหมันต์..

            “งามนัก..” เขาเอ่ยช้า ๆ คล้ายกระซิบ

            “ในยามที่เจ้าไร้หนทาง..หน้าตาเจ้าเช่นนี้..ช่างงามนัก” นิ้วเรียวยาวขยับเบา ๆ ลูบผ่านข้างแก้มของนางด้วยสัมผัสเบาที่เหมือนกำลังชมดอกไม้ในสวน ไม่ใช่การล่วงเกิน ไม่ใช่การบีบบังคับ หางแต่นั้นคือวิธีที่ชายผู้เชี่ยวชาญการควบคุม ใช้กับดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉาโดยไม่รู้ตัว

            “ดวงตาคู่นี้..” เขากระซิบพลางขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของนาง

            “หากมีหยดน้ำตาไหลออกมาสักหยด ข้าคิดว่ามันคงจะงดงามเสียยิ่งกว่าผีเสื้อที่ตายในฤดูใบไม้ร่วงเสียอีก” มือของเขายังไม่ละออกไป ยังคงลูบไล้แก้มนางราวกับกำลังจดจำสัมผัสนั้นไว้ทุกระลอก กลิ่นจากผิวของหลินหยาที่อบอวลด้วยกลิ่นพีชอ่อนจางจางหอว่านหงเหริน ผสานกับความสั่นเทาใต้ผิวของหญิงสาว กลับทำให้ชายคนนี้ยิ้มบางออกมา

            ไม่ใช่รอยยิ้มของชายผู้ตกหลุมรัก..แต่เป็นรอยยิ้ม ของคนที่รู้ตัวว่าเขาสามารถทำลายเธอได้ทุกเมื่อ และเลือกที่จะยังไม่ทำในตอนนี้

            “เจ้าช่างเหมือนดอกไม้ที่ร่วงลงจากชะง่อนผา แต่กลับยังหอมยิ่งขึ้นในยามร่วงหล่น”




@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

จางกงกง ให้เวลา 3 วัน ((ภายในวันที่ 25 เดือน 5 มาแจ้งเถ้าแก่หอที่นี่))  โพสต์ 2025-6-23 22:54
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-23 22:54
โพสต์ 30772 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-23 22:33
โพสต์ 30,772 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-23 22:33
โพสต์ 30,772 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-23 22:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-24 20:36:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ ยี่สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


           หลินหยานั้นกลับมาที่หอว่านหงเหรินอีกครั้งเหมือนเคย เอาความจริงเธอไม่ต้องทำงานเลยก็ได้เพราะชายคนนั้นเอง..อีกไม่กี่ชั่วโมงอิสระที่เธอมีก็อาจจะยังมีแต่โดนจำกัดแต่ไม่เป็นอะไรหรอก ยังเหลือเวลาอีกหน่อย หลินหยาเดินไปขอกับเถ้าแก่หลิวไค่..เธอขอไปเสิร์ฟอาหารให้แขกสักนิดได้หรือไม่..ห้องเดิม เวลาเดิม..ยามไห่ของทุกวัน..ห้องของเขา ใต้เท้าเถียนเฟิง..

           ใต้เท้าเถียนเฟิงนั่งอยู่ในห้องพิเศษเหมือนเช่นเคย ห้องที่กลายเป็นเสมียนกระดานหมากลับหัวซ้อนอยู่ใต้ผ้าม่านไม้ไผ่และกลิ่นอวลจางของกำยานกฤษณา ร่างสูงในชุดเสื้ออาภรย์สีเรียบขลิบแพรดำเอนกายเล็กน้อยอย่างไม่ใช่บุรุษที่ว่างงาน เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องพักผ่อนเสียบ้าง.. ตอนนี้เขาเป็นผู้ที่ต้องสังเกตโลกนี้ในทุกยามกระทั่งขณะพัก ริมขอบถ้วยชาชื้น น้ำชายังอุ่น กลิ่นหอมตลบอบอวลสะท้อนความตั้งใจของเจ้าของห้องว่าไม่ได้มาเพียงชั่วครู่ หากแต่รอ..และเขาก็ไม่เคยต้องรอนาน..

           เสียงประตูไม้ถูกเลื่อนเปิดด้วยฝ่ามือเล็กบาง เงาร่างหนึ่งปรากฎผ่านแสงโคมพราวก่อนที่นางจะค่อย ๆ เข้ามาในห้อง เสียงฝีเท้าเบา ๆ แต่แน่วแน่นั้น เขาจะได้ดี แม้หลับตาก็ยังรู้ว่านางเป็นใคร..แม่นางน้อยคนนั้น..

           เสี่ยวหนานตัวน้อย..และตอนนี้นางไม่ได้ชื่อนั้นอีกต่อไป..

           หลินหยาค้อมศีรษะให้กับเขาเล็กน้อย ดวงตาที่เคยสดใสราวลำธารหน้าร้อนบัดนี้หม่นแสงลงคล้ายเมฆครึ้มบังดวงจันทร์สว่าง ทว่าในเงาเมฆนั้น ก็ยังมีประกายบางอย่างอย่างน่าหลงเหลืออยู่ ความดื้อรั้น ความไม่ยอมแพ้ ความเป็นหลินหยา ที่เขาเฝ้าดูมาตลอดหลายวันที่รู้จักกัน..

           เถียนเฟิงขยับดวงตาเล็กน้อย ยามหญิงสาวก้มลงรินน้ำชา วางถาดกับข้าวพลางเบื่องหน้าไปทางอื่นเล็กน้อยราวกับไม่อยากให้ใครเห็นรอยอันเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางในตอนนี้ ใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบงามนั้น นางหลุบตาแล้วไม่ได้สบตาของเถียนเฟิงในคราแรก และเขาก็ไม่ได้กล่าวคำใดในทันทีเหมือนกัน

           ใต้เท้าเถียนเฟิงเพียงพินิจพิจารณามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน ประหนึ่งนักปราชญ์ที่พิจารณาอักขระแปลกปลอมในตำราที่แม้จะพลิกอ่านหลายรอบก็ยังอ่านไม่ออก จนในที่สุด เขาก็วางพัดที่ถือในมือเบา ๆ ข้างกายก่อนจะเอ่ยเสียงราบนิ่ง แต่กลับกระแทกเข้าสู่จิตใจดั่งหยดหมึกบนกระดาษบาง

           “หากวันนี้เจ้าเลือกที่จะไม่มา..ข้าก็จะไม่ส่งคนไปตาม..”

           ดวงตาของเขายังคงมองนางโดยไม่หลบเลี่ยง ไม่มีการไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีคำว่าเหตุใดเจ้าเหนื่อยล้า ไม่มีแม้แต่คำว่าเจ้าสบายดีหรือไม่ แต่ในแววตาที่เรียบนิ่งเยี่ยงกระจกน้ำนั้น กลับสะท้่อนร่องรอยของใครบางคนที่เฝ้ามองพฤติกรรมากกว่าคำพูดเสมอ “แต่เจ้าก็มา..” เขาเอ่ยต่อ พลางเลื่อนถ้วยชาของตนเองหานางเหมือนเชื้อเชิญโดยไม่เปิดเผย “เจ้าก็ยัง..มาที่นี่เอง”

           หลินหยาเงยหน้าสบตาขึ้นกับของเพียงชั่วครู่ ดวงตาคู่งามนั้นแม้คล้ายจะแตกสลายเป็นผุยผง หากแต่ยังฝืนรวมเศษเสี้ยวทั้งหมดกลับเข้าไว้ด้วยกันอย่างแน่วแน่ เธอมองถ้วยนั้น แล้วเหมือนอยากจะเอื้อมไปจับมัน แต่มือของนางสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับไร้การควบคุม.. “ข้าเพียงอยากทำสิ่งที่ข้ายังทำได้อยู่..ก่อนที่ข้าจะไม่มีวันได้ทำมันอีก” เสียงของนางเอ่ยออกมาเบาราวกับสายลมเล็มยอดหญ้า แต่อันแน่นด้วยแรงกล้าภายในของหญิงสาวที่ได้ฝืนยืดหยัดด้วยเท้าเปล่ากลางเสี้ยนหนามไม้เถากุหลาบและหอกคร่านับไม่ถ้วน..

           เถียนเฟิงไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงยื่นมือออกไปเลื่อนขนมจากจานด้านหน้าไปให้นางเงียบ ๆ เป็นการกระทำที่ไม่สมฐานะใต้เท้าผู้มากอำนาจของต้าซือคง แต่กลับดูธรรมดาเกินไปจนน่ากลัว.. “เจ้ายังมีชีวิตอยู่…” เขาพูดขึ้นช้า ๆ แล้วเว่นจังหวะเพียงชั่วหายใจนั้น ก่อนพูดต่ออย่างราบเรียบ “จงอย่าทำเหมือนเจ้าหมดสิทธิ์เลือกแล้วสิ” น้ำเสียงนั้นมิได้อ่อนโยน หากแต่แน่นิ่งเยี่ยงหินผา ไม่ใช่เพื่อปลอบโยนนาง แต่เพื่อทิ่มแทงให้คนตรงหน้าตื่นจากความท้อแท้ที่กัดกินในหัวใจของนาง

           และนั้นคือสิ่งที่เถียนเฟิงเป็น ไม่อ่อนโยน ไม่ประคอง หากแต่จับผู้คนไว้ด้วยมือเปล่าจากใต้หลืบหยาง หวังให้พวกเขายังอยู่บนกระดาน แม้จะไม่ใช่หมากที่เขาควบคุมก็ตาม..

           เงียบ..มันเงียบอีกครั้ง..

           เงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก..มีเพียงเสียงกำยานและลมหายใจอ่อน ๆ ของคนสองคนที่นั่งตรงกันข้ามกัน ราวกับสงครามกลางใจนั้นเพิ่งเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

           “ข้าหมดสิทธิ์เลือกแล้วเจ้าค่ะ..แต่ข้าไม่หมดสิทธิ์ที่จะดิ้นรนหรือคาดหวัง” หลินหยาเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตานั้นแม้จะหลุบต่ำอยู่ ทว่าคำพูดกลับมีน้ำหนักยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก มือบางวางอยู่เหนือถาดไม้เบื้องหน้าอย่างสงบ แม้ภายในอกจะคล้ายถูกฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากความคาดหวังที่ยิ่งหวังยิ่งเจ็บ เธอเอ่ยพลางมองเขาด้วยดวงตาที่ผ่านความเหนื่อยล้าและบีบคั้นมานับไม่ถ้วน มันราบเรียบ แต่กลับราวสายลมในช่วงค่ำคืนที่พัดผ่าน ทำให้โลกนี้เหมือนนิ่งเงียบกลับมีแรงสั่นสะเทือนบาง ๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ใต้รอยยิ้มและความกล้าหาญที่วาดบนใบหน้าของหญิงสาวนั้น..

           ซ่อนความตื่นตระหนก ความปวดร้าวและโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น..แต่มันรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เธอเงียบไปเพียงอึดใจ ก่อนที่จะกล่าวต่อในเสียงที่เบาลงกว่างเดิม ราวกับยอมแพ้แต่ก็ยังไม่ล้มลงจนสุด

           “ใต้เท้า..ข้าจะมาทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย..ข้ามาบอกท่านไว้..”

           คำพูดนั้นเปล่งออกมาอย่างง่ายดาย ทว่าแรงกระแทกกลับหนักหน่วง เธอไม่อธิบายอะไรต่อ ไม่พูดเหตุผล ไม่ขอความเข้าใจเพียงยืนยันความจริงจากปากของนาง ด้วยท่าทีท่าทางที่ปิดบังทุกบาดแผลไว้ภายใต้เสื้อผ้าสีเรียบ

           เถียนเฟิงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาคู่นั้นค่อย ๆ เหลือบมองเด็กสาวอย่างช้า ๆ ไม่มีคำพูดหรือการขยับ ไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียบหรือเคืองขุ่นแม้แต่น้อย นิ่งเสียจนน่ากลัว ราวกับบุรุษที่มีแต่จิตใจเยือกเย็นดั่งเงาน้ำใต้เงาจันทร์ แต่หากใครมองลึกลงไป จะพบประกายบางอย่างที่คล้ายกับมีรอยร้าวเล็ฏ ๆ ที่กระทบกับพื้นผิวน้ำนิ่งนั้นให้เกิดวง.. “หืม?..” เสียงนั้นเอ่ยเบาเพียงพอให้ได้ยินชัดเจน แต่มิใช่คำถาม หากแต่คือเสียงที่หมายจะให้หลินหยารู้ว่าเขายังนั่งอยู่และฟังมัน

           เขาหยิบพัดขึ้นมาหมุนปลายนิ้วเล็กน้อย ก่อนวางลงดังเดิมแล้วเหลือบตามองเธออย่างไม่เร่งเร้าหรือคำพูดทัดทานหรือขอให้นางหยุดความคิดนั้นแต่อย่างใด มีเพียงเสียงแผ่นราวกับลมใต้ประตูที่เขาเปรยออกมาในที่สุด

           “เจ้าจะไป..ไม่ใช่เพราะข้าใช่หรือไม่?” ประโยคนั้นเรียบเสียจนดูเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ หากแต่ถามเพียงเพื่อให้เสียงของตนแทรงผ่านช่องว่างของความเงียบงันนั้นเพื่อให้หลินหยารู้ว่าเขาไม่ได้เมินเฉยต่อสิ่งที่นางพูด แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะอ้อนวอน ฉุดรั้ง..ไม่เคย..ไม่เคยเลยสักครา..

           เขาเพียงวางมือไว้ตรงกลางระหว่างเธอกับเขา ห่างจากนางพอสมควรมิใช่ยื่นมือมาให้นางจับ แต่ยื่นวางไว้เฉย ๆ คล้ายร่องรอยสุดท้ายของบุรุษผู้ที่ไม่เอ่ยว่าห่วงแต่แสดงออกด้วยการเฝ้ารอคำตอบในความเงียบงันนั้น “เจ้ามาบอก นั้นหมายความว่าเจ้ายังให้โอกาสข้าได้ล่วงรู้ใช่ไหม?” แล้วเขาก็เงียบต่อ ปล่อยให้เสียงห้วงคืนระหว่างทั้งสองเป็นคนบอกความรู้สึก

           นั้นแหละเขา..คือเถียนเฟิง ไม่พูดคำว่าอยู่ต่อเถิด หรือคำว่าข้าห้ามเจ้า..หรือคำว่าอย่าจากไป

           “ไม่ใช่เพราะท่านเจ้าค่ะ..” หลินหยาบอกเขานางระบายยิ้มนิด ๆ แม้จะข่มขื่นอยู่มากก็ตาม..แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย เถียนเฟิงยังคงเงียบ มือของเขายังคงวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าอย่างเดิม ไม่ได้ขยับ ไม่ได้ดึงกลับไป ไม่ได้แม้แต่เปลี่ยนท่าทาง แต่นัยน์ตาที่ทอดมองหลินหยานั้น...ชัดเจน เขากำลังจดจำทุกถ้อยคำของนาง ทุกอากัปกิริยานั้นอย่างเงียบงัน

           เมื่อได้คำตอบจากปากนางที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง กลับทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงช้า ๆ ประหนึ่งชายที่พยายามอ่านระลอกคลื่นใต้เงาน้ำ แต่ไม่อาจเข้าถึงความลึกที่แท้จริง “ดีแล้ว..” เขาเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดนั้นไม่ได้มีความโล่งใจ แต่ไม่เย็นชา กลับกัน..มันคือความโล่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกที่แข็งกร้าวมาตลอด

           ท่านอยากฟังข้าเล่นดนตรีไหมเจ้าคะ?..” หลินหยาเอ่ยถามต่ออีก

           เถียนเฟิงจ้องตานางอยู่ชั่วครู่ ไม่มีคำสั่งหรือปฎิเสธ เขาไม่ได้คาดหวังเหมือนคนที่กำลังวางหมากขนาดนั้น แต่เสียงของเขาที่ตอบกลับนั้นปฝงไปด้วยสิ่งหนึ่ง ความอ่อนโยนที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นโดยไม่แสร้งทำภายใต้หน้ากากนั้น

          “เจ้าจะเล่นให้ข้าฟัง..ในคืนสุดท้ายที่เจ้าอยู่ที่นี่หรือ?” น้ำเสียงนั้นไม่ได้แสร้งประชด แต่กลับถามอย่างตรงไปตรงมาในแบบของเขา คนที่พูดหว่านลอมคนเก่งนัก หรือบางครั้งก็พูดแทงใจคนแบบไม่ตั้งใจเสียจนมันบาดหนัก นิ้วเรียวของเขาขยับเล็กน้อยเป็นเชิงเชื้ือเชิญ ไม่ใช่คำขอหรือคำสั่ง

           “ถ้าเช่นนั้น ข้าฟังอยู่”

           เถียนเฟิงเอนตัวพิงเบาะเบา ๆ เหลือบสายตาไปยังเครื่องดนตรีที่วางพิงฝา ไม่ต้องสั่งหรือระบุชื่อเพลง ไม่ต้องบอกว่าเร็วหรือช้า แต่หากนางน้อยผู้นี้อยากเล่น เขาก็จะฟังเป็นคนสุดท้ายของหอนางตอนนี้ด้วยตัวเอง

           หลินหยาที่เห็นดังนั้นเธอสูดลมหายใจเล็กน้อยอย่างเงียบงัน เธอมองชายตรงหน้า ผู้ที่ไม่พูดคำว่าอยู่ต่อ แต่ก็ทำให้การอยู่ของเธอสำคัญเหมือนกัน เธอขยับเท้าเบา ๆ ไปยังมุมห้อง ก่อนจะหยิบ กู่เจิง ขึ้นมาแทนที่จะเป็นผีผา หรือขลุ่ยอย่างเคย คราวนี้เธอเล่นไม่ประชด ไม่ดื้อ ไม่เร็ว แต่เป็นเสียงลำนำสายเดียวที่ปล่อยช้า ๆ คล้ายกระซิบ นิ้วเรียวของหญิงสาวแตะไล่สายทีละเส้น ปล่อยทำนองที่ไม่มีชื่อ ไม่มีต้นฉบับ ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนเพราะนี้ไม่ใช่เพลง..

           แววตาของหลินหยาไม่มีน้ำตา แต่ก็ไม่ยิ้ม ไม่หวาน แต่ก็ไม่เชื้อเชิญ มีเพียงความสงบที่เธอไม่อาจมี..หากต้องเดินทางเข้าไปในวังหลวง มีเพียงเสียงเธอในค่ำคืนสุดท้ายและเงาของผู้ชายที่่คิดว่าเธอเป็นหมากแต่กลับปล่อยไปง่ายดาย และไม่เคยแตะต้องเธอด้วยแรงแห่งความปรารถนา หากเขาจะเกลียดเธอในสักวันหนึ่ง นั้นคงเพราะ..เธอเลือกเส้นทางที่ไม่อาจมีใครหวนกลับมาพบกันอีก




@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ปลดดดดหัววใจจจจจจ คุณพรี๊ก่อนเข้าวังงงงไปต่อยหน้าจางกงกง

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5
(เต็มแล้วใส่ทำไมนั้นสิ งงช่างมัน)



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28602 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-24 20:36
โพสต์ 28,602 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-24 20:36
โพสต์ 28,602 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-24 20:36
โพสต์ 28,602 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-24 20:36
โพสต์ 28,602 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-24 20:36
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-24 22:30:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-24 23:20



วันที่ ยี่สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามจื่อ เวลา 23.00 - 01.00 น. ณ หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


           บทบรรเพลงเพลงจากสายกู่เจิงนั้นจากปลายนิ้วเรียวงามดั่งหยกขาวของนาง หลินหยายังคงบรรเลงเล่นมันอย่างก้องกังวาลในห้องที่เงียบสงัดในราตรีที่เลยเวลาของใต้เท้าตรงหน้าแต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเอนกายพิงเบาะฟังนางเงียบ ๆ คล้ายจับแต่ละตัวโน๊ตที่แฝงความรู้สึกและถ้อยคำหนักลิ้นที่นางไม่เอ่ยออกมาแม้แต้น้อย เงาสะท้อนของแสงตะเกียงแกว่งไกวเบา ๆ บนผิวกู่เจิงที่ยังอุ่นของรอยสัมผัสนาง ปลายนิ้วเรียวบางของหลินหยาเล่นค้างอยู่บนสายนั้นราวกับไม่อาจตัดใจปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนเสียงดนตรีที่นางบรรเลง.. เสียงสายดนตรีราวกับตวัดบาดแผลในใจเธอให้เปิดออก และในขณะเดียวกัน...ก็เยียวยาหัวใจอีกดวงหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

           ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของเธอทอดมองเครื่องดนตรีอย่างสงบ หากแต่มองลึกลงไปก็จะเห็นว่าแววตานั้นไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น มันคือดวงตาของคนที่ตั้งใจบอกลาโดยไม่พูดคำว่าลาแต่อย่างใด ของคนที่ตั้งใจจำจังหวะสุดท้ายในห้องนี้โดยไม่อ้อนวอนหรือขอให้ใครรั้งไว้..หลินหยาไม่ได้หันขึ้นไปมองเขาในทันที เธอลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล

           ชุดของนางขยับตามแรงลมภายในห้อง เส้นผมบางส่วนแนบแก้มด้วยเหงื่อบางจางจากความประหม่าแต่ไม่อาจกลบความสง่างามในยามนี้ของนางได้เลย หัวใจของเธอยังคงเต้น แต่เป็นการเต้นอย่างหนักแน่นราวกับจะจดจำให้แม่นว่าครั้งหนึ่ง เธอเคยมีผู้ที่ฟังเธออีกครั้งอย่างแท้จริง..

           ขณะเดียวกัน เถียนเฟิงยังคงเอนกายพิงพนักเบาะ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มผู้ซึ่งพูดเหมือนกระบี่คมกริบในฝักที่รอวันชักออกมาเชือดเฉือนคน เขาเพียงแต่ฟังและเงียบ..กับจริงจัง ในความเงียบนั้น ความคิดของเขาไม่อาจเงียบสงบได้เลย เขาจำทุกตัวโน๊ต ไม่ใช่เพราะมันจับใจ แต่เพราะแต่ละเสียงมันเหมือนกรีดมาลงที่กลางอกของเขาอย่างแผ่วเบาในแบบที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน

           หลินหยาไม่ได้กลายเป็นแค่สาวใช้ตัวปลอมของเขา ไม่ได้เป็นแค่เบื้อในกระดานของเขา เธอกลายเป็นความคาดไม่ถึง ที่กลับทำให้เขารู้สึก..รู้สึกถึงสิ่งที่เขาเคยหันหลังตัวเองเพื่อไม่รู้สึก เถียนเฟิงไม่เคยคิดว่าการฟังเพลงของใครสักคน จะทำให้เขารู้สึกเหมือน..กำลังถูกทิ้งได้ขนาดนี้

           และเมื่อหลินหยาลุกขึ้นยืน เงาของนางทอดผ่านปลายสายตาของเขา เถียนเฟิงมองเพียงแค่นั้น ไม่มีคำเอ่ย ไม่ยื่นมือรั้งไว้หรือถ้อยคำใดที่ออกมาทำลายความเงียบที่งดงามของค่ำคืนนี้ แต่ในใจนี้ เขารู้ตัวดีว่าเงาของนางได้ประทบลงไปในแผนที่ของเขาเรียบร้อยแล้ว

           แต่แล้ว…

           เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ก็ดังห้องห้องโถงไม้ของโซนแขกพิเศษ มันกลืนหายไปกับเสียงลมหวิวที่ลอดผ่านชายผ้าม่านไผ่งาม โคมไฟสลัวกระพริบแผ่วคล้ายกับจะดับไหวกับแรงกดดันที่ล่องลอยในอากาศ ณ เวลานี้ เงาร่างของบุรุษสำนักพิธีการในชุดคลุมสะบัดเบาเมื่อหยุดยืนกลางห้อง ป้ายประจำสำนักวังหลวงสะท้อนแสงสีเหลืองนวลตรงชายเสื้อ เสียงของเขาชัดเจน ไม่ดังแต่ซัดพอที่จะทำให้ความเงียบนั้นขาดสะบั้นลง

          “ข้ามารับตัว แม่นางหลินหยา”

           ข้างกายของเขามีขันทีผู้หนึ่งที่หน้าอ่อนแต่แววตาระวังไว มือประคองห่อผ้าบางอย่างที่น่าจะเป็นชุดเปลี่ยนหรืออุปกรณ์อะไรบางอย่างตามระเบียบวังใน ด้านหลังยังมีชายฉกรรจ์อีกสองคนที่ไม่รู้ว่าเป็นทหารหรือผู้คุ้มกันส่วนตัว ยืนรออยู่ไม่ไกลจากนอกประตู ขณะนั้น หลินหยากำลังโค้งคำนับเพื่อที่จะจากลา เสียงฝีเท้าแรกของผู้มาใหม่ทำให้แผ่นหลังของเธอตึงแน่นด้วยสัญชาตญาณ เธอยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง มือข้างว่างแตะชายกระโปรงไว้ ก่อนที่จะค่อย ๆ ผายมือก้มลงอีกครั้งตามมารยาท

           นางสูดลมหายใจแผ่วเบาอย่างสงบ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองใต้เท้าเถียนเฟิงที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่นิ่งเสียจนน่าใจหาย หลินหยาก้มตัวลงอย่างนุ่มนวล คำนับเขาอีกครั้งด้วยมารยาทอันงดงาม ไม่กล่าวคำอำลา ไม่ถามหรือแม้แต่จะหาข้อแก้ตัวใด ๆ เธอรู้ว่าถ้อยคำในตอนนี้ไร้ความหมาย เพราะเพียงเสียงเดียว คำสั่งเดียวก็สามารถเปลี่ยนปลายทางชีวิตทั้งหมดของเธอ

           เธอไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำเช่นไร ไม่รู้หรอกว่าเขาแค่ไม่พูดหรือพูดไม่ได้ หรืออาจจะเพียงไม่คิดพูดเลยก็ได้ แต่อย่างน้อยเมื่อสบตา เธออยากให้รู้ในวินาทีนั้น..เธออยากให้เขารู้ว่าเธอจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ หลินหยาเงยหน้ามองเขา ดวงตาของเธอแม้จะยังมีประกายแต่ก็อ่อนแรง ดวงหน้าไม่แสดงความกลัว แต่มีเพียงความหนักแน่นที่เปล่งออกมาจากหญิงสาวผู้กำลังถูกนำตัวออกไปจากค่ำคืนที่ไร้ดาวเช่นนี้

           จากนั้นเธอจึงหมุนกายกลับไปทางบุรุษจากสำนักพิธีการแล้วก้มศีรษะลงอีกครั้ง “ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ไม่มีเสียงร้องไห้หรือน้ำตา มีแต่เสียงหัวใจของนางที่ยังคงเดินไปข้างหน้าในความมืด


           แต่แล้วกลับมีสิ่งหนึ่งที่ดังชะงักนักเมื่ออยู่ ๆ ใต้เท้าเถียนเฟิงกลับเลือกที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา “คนที่อยู่ในกรง อาจไม่ใช่คนที่ถูกขัง...แต่อาจเป็นคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองบินได้” เขาเอ่ยเช่นนั้นราวกับพูดผ่านกับสายลม หากแต่สำหรับหลินหยา คำนั้นสั่นสะเทือนถึงกลางอก นางไม่ได้หันกลับไปมองเขา แต่นางรู้ว่าเขาคงคิดอะไรบางอย่าง..นางไม่ได้เอ่ยขอบคุณ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้ จะพบเจอกันเหตุการณ์อะไรหรือไม่

           เงาของหลินหยาทอดยาวขนานไปกับพื้นไม้เคลือบเงายาวต้นงามเพมื่อเธอก้าวเดินออกจากห้องรับรองพิเศษอย่างสงบ นางขยับตัวไปตามจังหวะการเดินที่เชื่องช้าแต่ไม่ลังเล ราวกับหญิงสาวในค่ำคืนนี้ได้ละทิ้งการต่อต้านทุกสิ่งเอาไว้เบื้องหลัง ตั้งแต่ก้าวแรกที่นางยอมรับสิ่งนี้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบราวกับคืนเดือนดับ แสงเทียนโคมด้านนอกยังค้างวาบวับอยู่เหมือนสายตาของใครบางคน

           ชายในชุดสำนักพิธีการที่ยืนรอเบื้องหน้าไม่มีท่าทีเร่งรัด เขาทำเพียงยืนนิ่ง สีหน้าว่างเปล่าราวกับหน้ากากที่ไร้อารมณ์และความรู้สึก ส่วนขันทีนั้นที่อยู่ข้างกายเขากลับมองหลินหยาขึ้นลงเล็กน้อยราวประเมินและเป็นแววตาที่..ประเมิน..และ เหมือนเคยพบนางมาก่อน แต่ไม่..หลินหยาจำไม่ได้

           เธอจำคนผู้นี้ไม่ได้เลย นั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่นนัก เพราะเธอจดจำทุกใบหน้าได้เสมอ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหากแต่ถ้าเคยเฉียดผ่านช่วงเวลาของนางย่อมทิ้งร่อยรอยไว้บ้าง แต่ชายผ้นี้ไม่มีเลยสักนิด นั้นทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้ ถูกส่งมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง..ใต้เท้าจาง..ท่านคิดอะไรอยู่..รับสาวใช้ต่ำต้อยเพียงคนเดียว ต้องส่งทั้งขันที คนคุมและขุนนางผู้มีตราสำนักพิธีการมาด้วยเชียวหรือ?...

           ความรู้สึกแปลกเย็นแล่นขึ้นบนสันหลัง แต่นางแค่กระตุกยิ้มมุมปากตนเองเล็กน้อย..นี่หรือสิ่งที่รอนางอยู่..

           “ท่านมาตรงเวลาเกินไปเสียหน่อยละมั้งเจ้าคะ..ใต้เท้าจางไม่เคยให้ข้าสายเลยแม้แต่วินาทีเดียวหรืออย่างไร” เธอพูดกับลมหายใจเหมือนกับไม่มีใครได้ยิน..

           ขณะนั้นเบื้องหลังของเธอ ชายผู้นั้นที่ไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เถียนเฟิงยังคงนั่งพิงพนักเบาะ ริมฝีปากนั้นว่างเปล่า ดวงตาของเงาเงียบงัน เหมือนกำลังจดจ่อกับสิ่งที่เขาไม่คิดฝันมาก่อน เขาพูดออกไปแล้ว..ทว่าในมุมที่หลินหยามองไม่เห็น แววตาของเขาขณะทอดมองแผ่นหลังของนางกลับเคลื่อนไหวช้า ๆ ดั่งระลอกคลื่นน้ำในถ้วยชาอุ่น ยามมีหยดหยาดจากฟากฟ้าหยดลงมา..เขาขยับมือแล้วสัมผัสทับถ้วยชาที่นางเคยริน..ราวกับจะทาบลายนิ้วมือที่ไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสกัน..

           ใช่..เขาคิดทันทีตั้งแต่เห็นตราสำนักนั้น เขาคิดทันทีทีตั้งแต่เห็นเวลาที่พวกนั้นมา เขารู้และเขาก็เอ่ยเพียงเท่านั้น ให้นางได้รับรู้ไว้..ว่าเขาเอง ก็ไม่คิดจะนิ่งเฉยเหมือนกัน





@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: เอ่อออทางเลือกที่สอง เพราะสุ่มได้สุด ๆ เถียนเฟิงงง ฉันจะหาทางมากวนตีนเธอนะ

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5
ปิดตำนานรับจ้างรายวัน
(ถ้าออกมาได้กะทำต่ออิอิ)




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2025-6-24 22:58
โพสต์ 20535 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-24 22:30
โพสต์ 20,535 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-24 22:30
โพสต์ 20,535 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-24 22:30
โพสต์ 20,535 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-24 22:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-29 15:32:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-6-29 15:42

วันที่ 28 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไฮ่ (เวลา 21.00 - 23.00 น.)



ลมยามราตรีพัดเอื่อยเฉื่อย กลิ่นกำยานเจือดอกเหมยโชยอวลออกจากหอว่านหงเหริน ผสมเสียงพิณแผ่วเบาจากด้านใน ร่างระหงของ ซูเหยา ในชุดผ้าฝ้ายเรียบสีอ่อนคลุมทับด้วยเสื้อคลุมบาง เดินเรียบเรื่อยขึ้นบันไดไม้ บ่าแบกถุงผ้าหนาใบหนึ่งซึ่งบรรจุอุปกรณ์ฝังเข็มและตำรับยาที่คัดมาจากหอบันทึกส่วนตัวของนางเอง


แม้นางจะเคยเดินทางไปรักษาผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ผู้ป่วยเป็นสตรีคณิกาในหอเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นครั้งแรกของนางเช่นกัน…


“อาเหยา...” เสียงของหมอเจิ้งเมื่อช่วงเย็นยังแว่วในใจ “ขอรบกวนหน่อยเถิด ข้าเองเป็นบุรุษเกรงว่าจะไม่เหมาะ เจ้าจงไปดูอาการทนข้าที”


นางมิได้ปฏิเสธ หนึ่งชีวิตแม้จะอยู่ในห้องหอหรือใต้ถุนเรือนก็ยังมีคุณค่าเทียบเท่ากัน เมื่อก้าวเข้าหอว่านหงเหริน จึงรู้สึกราวกับเหยียบย่างเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง


ด้านในสว่างด้วยแสงโคมกระดาษสีแดงพริ้มพราย เสียงขลุ่ยบรรเลงแผ่ว เหล่าบุรุษนั่งเรียงรายตามโต๊ะไม้ทรงต่ำ ร่ำสุรากับคณิกายิ้มหวานในชุดไหมระยับ บางคนกอดคอสตรีแนบแน่นพลางหัวเราะร่วน บ้างก็ค่อย ๆ ประคองกันขึ้นชั้นบนอย่างไม่ปิดบัง


ซูเหยาเดินเรียบเรื่อยตามพื้นไม้ขัดมัน เสียงรองเท้าฟางของนางแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน ทว่าในใจกลับร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


“สถานที่เยี่ยงนี้...ข้ายังมิชินเลยจริง ๆ”


นางก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้านิ่งสงบ แต่ใบหูข้างหนึ่งกลับขึ้นสีชมพูอ่อนจากความกระดากอาย จนกระทั่งมีหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งนุ่งชุดบางเจือผ้าคลุมโปร่งบาง เดินเข้ามาหานางพร้อมรอยยิ้มสุภาพ


“แม่นาง...มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ? ท่านเป็นลูกค้าหรือ?”


ซูเหยารีบโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างสุภาพและชัดเจน


“ข้าเป็นคนของท่านหมอเจิ้งเซียวเฉินมาตรวจรักษาคนไข้เจ้าค่ะ ตามที่ทางหอได้ส่งคนไปแจ้ง เข้าใจว่าเป็นสตรี มีอาการเจ็บเรื้อรัง”


หญิงสาวคณิกานั้นพยักหน้า ดวงตากลมโตกวาดมองหญิงตรงหน้าอย่างประเมินเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบา ๆ


“อ้อ...ใช่เจ้าค่ะ ท่านหมอหญิงมาได้ถูกเวลาแล้ว นังเซี่ยวยวี่...อาการไม่ดีนักหลายวันแล้ว เป็นโรคที่ชายดูไม่ได้จริง ๆ ขอบพระคุณที่แม่นางกรุณามาด้วยตนเอง”


นางผายมือเชื้อเชิญให้ซูเหยาเดินตามไปยังบันไดด้านข้างที่ไม่พลุกพล่านนัก ทั้งคู่เดินขึ้นไปยังชั้นบนของหอ ท่ามกลางเสียงพิณเบาราวหมอกบาง


ห้องพักของเซี่ยวยวี่อยู่ในสุดของระเบียงทางทิศตะวันตก ผ้าม่านสีชมพูอ่อนพริ้วไหวจากลมเย็น โคมไฟน้ำมันสว่างสลัว กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยอยู่ทั่วห้อง


เซี่ยวยวี่สตรีวัยไม่เกินยี่สิบปี ร่างบอบบางนอนซบหมอนด้วยสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเคยเปล่งประกายยวนยั่ว บัดนี้กลับอ่อนล้าราวบุปผาเฉาลงในกระถาง เมื่อซูเหยาเข้าไปใกล้ นางย่อตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อย ๆ วางถุงผ้าลงก่อนเอ่ยด้วยเสียงเบานุ่ม


“ข้าชื่อซูเหยา มาจากโรงหมอเจิ้งเทียนเจ้าค่ะ ขอข้าดูอาการท่านได้หรือไม่?”


เซี่ยวยวี่พยักหน้าเบา ๆ แววตาแฝงทั้งความระแวงและความหวัง


เมื่อซูเหยอเริ่มจับชีพจร ลูบตรวจหน้าท้อง และซักถามอาการอย่างละเอียด ก็พบว่า...นางเป็นโรคโลหิตอั้นหลังคลอดประจำเดือนผิดปกติ อาการปวดท้องรุนแรง บางครามีไข้ต่ำ พื้นฐานร่างกายอ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่อาจให้หมอชายตรวจดูได้ ด้วยตำแหน่งอาการอยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยง


ซูเหยาจดบันทึกอย่างเงียบ ๆ แล้วจึงหยิบม้วนเข็มออกจากห่อผ้า เริ่มอุ่นเข็มและเตรียมฝังเข็มอย่างใจเย็น พร้อมสั่งน้ำอุ่นเพื่อชงยาตำรับพิเศษที่คิดขึ้นเอง ก่อนเริ่มฝังเข็ม นางยิ้มบาง ๆ ให้คนไข้ผู้ยังคงหลบสายตาอย่างเขินอาย


“ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้เจ็บ และข้าจะไม่ยอมให้อาการนี้ทรมานท่านอีก”


เข็มเงินถูกปักอย่างแผ่วเบา ลงบนจุดที่แม่นยำตามตำราฝังเข็ม เส้นโลหิตที่อุดตันค่อย ๆ คลายตัวด้วยการกระตุ้นที่ประณีต ไม่ช้าใบหน้าซีดเซียวของเซี่ยวยวี่ก็เริ่มมีเลือดฝาดกลับคืน ดวงตาที่เคยหม่นเศร้าเผยแววโล่งใจ


ซูเหยาเปลี่ยนเข็มเป็นลำดับ มือละเมียดทุกจุดราวกับจิตรกรบรรจงแต่งแต้มปลายพู่กัน เมื่อตรวจสอบชีพจรอีกครั้งจึงจดบันทึกลงม้วนไม้ไผ่ที่นำติดตัวมา ก่อนเอื้อมหยิบพู่กันเขียนใบสั่งยา


“ตำรับยานี้ใช้ต้มดื่มก่อนนอน จะช่วยบำรุงโลหิต คลายอาการปวด และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้น ข้าจะฝากให้คนของที่นี่จัดการ ท่านดูแลตัวเองให้ดี หลีกของเย็น ของเผ็ด ของทอดสักพักหนึ่ง หากมีไข้ขึ้นอีกให้รีบแจ้งทันที”


นางส่งใบสั่งยาให้หญิงสาวคณิกาที่นั่งรออยู่หน้าห้อง พร้อมบอกชื่อสมุนไพรและปริมาณอย่างชัดถ้อยชัดคำ


“ท่านไปบอกพ่อครัวที่หอให้ช่วยต้มยาตามตำรับนี้ที ขอใช้น้ำสะอาดหนึ่งกาน้ำ และต้มนานราวหนึ่งเค่อ”


หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนรีบเดินออกไปจัดแจงตามคำสั่ง


เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น ซูเหยาเก็บเข็มและเครื่องมืออย่างเงียบงัน พับผ้ารองแล้ววางลงในถุงผ้าดิบ ดวงตาเรียบนิ่งทอดมองคนไข้ซึ่งขณะนี้หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ใบหน้ากลับผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด


นางลุกขึ้น เดินเลียบระเบียงไม้ของชั้นบนที่ทอดตัวไปยังฝั่งตะวันตกของอาคาร ลมค่ำยามฤดูร้อนพัดโชยผ่านม่านบางเบา พลิ้วไหวราวกลีบบุปผา ระหว่างเดินผ่านทางแคบที่คั่นห้องพัก นางสวนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบของหอว่านหงเหริน ซึ่งกำลังถือถาดไม้ที่มีชามอาหารร้อน ๆ และสุราวางอยู่เต็มมือ หญิงสาวผู้นั้นรีบเอ่ยขึ้นทันที เมื่อเห็นซูเหยาแต่งกายเรียบง่าย หน้าตาไม่คุ้นตา


“เฮ้อ ดีล่ะ เจ้านี่เอง รีบเอาอาหารไปส่งที่ห้องพิเศษด้านหน้าให้ข้าหน่อย ข้าต้องไปช่วยคุณหนูอิงเซียนจัดเครื่องหอมด่วน!”


“ขะ…ข้ามิใช่…”


ซูเหยายังไม่ทันได้อธิบาย หญิงคนนั้นก็วางถาดลงในอ้อมแขนของนางอย่างเร็วพลางผละตัวไปอีกทาง ทิ้งให้นางยืนงงอยู่กับถาดอาหารในมือ


“แค่เอาอาหารไปวางแล้วกลับออกมา ก็คงไม่เสียเวลามากกระมัง”


นางพึมพำกับตนเองเบา ๆ แล้วจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปยังห้องที่หญิงสาวผู้นั้นชี้ไว้ก่อนหายตัวไป ห้องพิเศษที่ว่า อยู่สุดระเบียงอีกด้านหนึ่ง ประตูไม้สลักลวดลายดอกเหมยปิดสนิทแต่ไม่ได้ล็อก เสียงพิณแผ่วดังลอดออกมาเช่นเคย แต่บรรยากาศภายในเงียบกว่าห้องอื่น


ซูเหยาถือถาดด้วยสองมือ ก่อนยื่นมือข้างหนึ่งไปเคาะประตูเบา ๆ


“ข้ามาส่งอาหารเจ้าค่ะ”


เสียงจากด้านในดังขึ้นอย่างเรียบนิ่งแต่ชัดเจน


“เข้ามาได้”


ซูเหยาเลื่อนประตูเบา ๆ พลางหลุบตาต่ำ เดินเข้าไปอย่างสำรวม ภายในห้องนั้นกว้างขวางนัก แสงจากโคมกระดาษสีอำพันส่องผ่านม่านไหมโปร่งบาง โอบไล้บรรยากาศให้ดูสงบนุ่มนวลราวอยู่ในฝัน ร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะทรงต่ำ ใต้เงาโคมที่ทำให้มองใบหน้าได้ไม่ชัดนัก แต่ซูเหยาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง นางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะด้วยท่วงท่าเงียบงัน


“เรียบร้อยเจ้าค่ะ…ขออภัยที่เข้ามารบกวน ข้าจะขอตัว—”


แต่ยังไม่ทันได้หันหลังดี เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นอีกครั้งจากชายที่นั่งอยู่


“ช้าก่อน…เจ้าไม่รินสุราให้แขกหรือ?”


ซูเหยาชะงักเท้า ใจเต้นวูบด้วยความอึดอัด กลืนน้ำลายเบา ๆ อย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร รู้เพียงว่าไม่มีทางปฏิเสธได้โดยไม่เสียมารยาท แม้จะไม่ใช่หน้าที่ก็ตาม


นางค่อย ๆ หันกลับ ดวงหน้าสงบแต่ในใจปั่นป่วนยิ่ง ยามที่สายตาสบเข้ากับบุรุษตรงหน้าซึ่งบัดนี้เอนตัวเล็กน้อยใต้แสงโคม...ก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามนัก ดวงตาคมกริบจ้องมองมาอย่างพินิจ ลำคอสูงสง่าคล้ายหยก ท่าทางผ่อนคลายแต่เต็มไปด้วยอำนาจแฝงเร้น เสื้อคลุมยาวปักลายเมฆทะยานด้วยด้ายทองไหมเงิน แค่เนื้อผ้าก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากโรงทอชั้นสูง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุรุษผู้นี้มิใช่คนธรรมดา


ซูเหยาเม้มริมฝีปากแน่นเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะอย่างไม่เต็มใจนัก มือเรียวหยิบขวดสุราแล้วเทรินลงในจอกเคลือบหยกเงางาม กลิ่นสุราระเหยลอยขึ้นแตะปลายจมูก


บุรุษรูปงามนั้นเอียงศีรษะน้อย ๆ ดวงตาคมปรายมองนางเหมือนจะหาความหมายลึกซึ้งจากทุกอิริยาบถ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด เจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่หรือ?”


ซูเหยารีบโค้งตัวเล็กน้อย พยายามจะอธิบายว่า...


“ข้ามิใช่—”


แต่ไม่ทันจบคำ เสียงของเขาก็แทรกขึ้นทันทีโดยไม่ให้โอกาสนางปฏิเสธ


“เจ้าชื่ออะไร?”


ซูเหยาชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนถูกดักทางอย่างจงใจ หากตอบชื่อไป...ก็เหมือนยอมรับสถานะผิด ๆ หากไม่ตอบ...ก็ยิ่งมีพิรุธ นางจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“ข้าชื่อซูเหยาเจ้าค่ะ...หาใช่—”


“ซูเหยา?”


เขาทวนชื่ออย่างช้า ๆ ราวกับลิ้มรสน้ำเสียงของชื่อนั้น แล้วจ้องนางนิ่งไปครู่หนึ่ง


“เป็นชื่อที่เรียบง่าย แต่ไม่เลว...ข้าไม่ชอบชื่อที่ประดิษฐ์เกินไปนัก”


ชายผู้นั้นยกจอกสุราขึ้นเพียงครึ่ง ทว่ากลับมิได้ดื่มในทันที ดวงตาคมกริบจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างนิ่งเงียบ ราวกับกำลังใคร่ครวญความจริงบางประการที่คนพูดเองอาจยังไม่ทันรู้ตัว


“เจ้าดูไม่เหมือนคนของหอนี้ ทั้งท่าทาง สีหน้า...แม้แต่ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย” เขาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ คล้ายกับเป็นการพูดคนเดียวมากกว่าตั้งคำถาม


ซูเหยาก้มหน้านิ่ง สองมือกุมกันแน่นอยู่หน้าตัก พลันคิดว่าถ้าตอบเสียเดี๋ยวนี้ เขาคงจะปล่อยให้ตนได้ขอตัวกลับ นางสูดหายใจเตรียมจะอธิบาย ทว่า...


“ท่าทีของเจ้า...ดูสุภาพมีระเบียบกว่าคณิกาทั่วไปมากนัก”


ซูเหยาพยายามจะเอ่ย แต่เขาก็ยังพูดต่อโดยไม่เหลียวมองความลังเลของนางแม้แต่น้อย


“เจ้าถนัดเขียนอักษรใช่หรือไม่? ปลายนิ้วของเจ้ามีรอยคราบหมึกจางจาง...แม้จะล้างออกไปเกือบหมดแล้วก็ตาม”


นางเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนกำลังถูกวิเคราะห์ ทีละชิ้น ทีละส่วน อย่างสงบ...แต่ล้ำลึก


ในที่สุดซูเหยาก็กลั้นไม่ไหว เตรียมจะเอ่ยชี้แจงให้ชัดเจนเสียที ทว่า...


“ท่านหมอหญิง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก ฝีเท้าเร่งร้อนจวนเจียนกลายเป็นวิ่ง หญิงสาวคณิกาที่ซูเหยาวานให้นำใบสั่งยาไปต้ม รีบยื่นหน้าเข้ามาในห้องทันที สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า


“ท่านหมอหญิง...ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ?!”


ซูเหยาโล่งใจทันที ทันใดนั้นเองหญิงสาวผู้นั้นก็รีบหันไปยังบุรุษที่นั่งอยู่ แล้วโค้งกายลึก สีหน้าซีดเล็กน้อย


“ขออภัยใต้เท้าเถียน! เป็นความผิดของทางหอเอง หญิงผู้นี้หาได้เป็นคนของหอไม่เจ้าค่ะ แต่เป็นหมอหญิงจากโรงหมอเจิ้งเทียนที่พวกเราวานให้มารักษานังเซี่ยวยวี่เจ้าค่ะ!”


บรรยากาศเงียบลงฉับพลัน


ซูเหยารู้สึกถึงสายตานิ่งสงบคู่นั้นที่กำลังมองตรงมาหานางอีกครั้ง ดวงตานั้นยังคงสุขุมเยือกเย็น ทว่าแววพินิจได้แปรเปลี่ยนเป็นรับรู้ความจริงเสียที เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกสุราลงอย่างแผ่วเบา แล้วลุกขึ้นช้า ๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่สงบ นุ่มนวลและเปี่ยมด้วยสัมมาคารวะที่ควรมีต่อผู้มีคุณธรรม


“เช่นนั้น...ข้าคงเข้าใจผิด ต้องขออภัยที่ล่วงเกินแม่นางโดยไม่รู้สถานะ”


เขาก้มศีรษะเล็กน้อย แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความเคารพอย่างยิ่งยวดที่ไม่คาดว่าจะพบในสถานที่เช่นนี้ ซูเหยาเองก็รีบประสานมือคำนับตอบ แม้จะยังประหลาดใจกับกิริยาสุภาพนอบน้อมเกินคาดของบุรุษตรงหน้า


“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ...เป็นข้าที่ไม่ได้ชี้แจงให้ชัดเจนแต่แรก”


คณิกาสาวรีบยกมือขึ้นอย่างลนลาน แล้วเอ่ยเสียงแผ่วแต่ฉับไว


“ใต้เท้าเถียน โปรดประทานอภัยเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะรีบให้เด็กอีกคนมาบริการท่านแทนเดี๋ยวนี้!”


นางหันมาทางซูเหยาอย่างเกรงใจ พร้อมยิ้มแหย


“แม่นาง…ทางนี้เจ้าค่ะ ข้าจะพาไปส่งที่ประตูหน้า”


ซูเหยาเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางโค้งตัวอีกครั้งให้บุรุษตรงหน้า ก่อนหมุนกายตามหญิงสาวออกไป ดวงหน้าสงบเยือกเย็น เมื่อเดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง แสงโคมแดงยังวาบไหว ขลุ่ยยังแว่วหวาน และเสียงหัวเราะก็ยังไม่แผ่วลงแม้ยามดึก ซูเหยาก้าวผ่านกลุ่มชายหญิงผู้เริงร่าราวกับไร้สิ่งใดแปดเปื้อนจิตใจ นางขยับมือกระชับถุงผ้าหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย ขณะเดินผ่านซุ้มประตูของหอว่านหงเหรินออกมาสู่ลานหน้าตึก


ลมยามค่ำยิ่งเย็นขึ้นกว่าเดิมอีกนิด กลิ่นดอกเหมยในสวนด้านข้างโชยมาอีกระลอก ผสมกับกลิ่นกำยานที่ยังลอยแผ่ว นางหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งใต้แสงจันทร์ แสงดาวพราวอยู่บนฟ้า สะท้อนดวงใจที่ยังสะท้านเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อครู่


‘ใต้เท้าเถียน...’


ชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาในห้วงความคิดโดยไม่ตั้งใจ ดวงตาซูเหยาเหลือบมองกลับไปยังตึกไม้สูงซึ่งโอบอุ้มเสียงพิณและแสงโคมไว้เบื้องหลัง ก่อนหันกลับมาอย่างเงียบงัน แล้วสาวเท้ากลับไปยังโรงหมอเจิ้งเทียน




พรสวรรค์: หมอฝึกหัด (ไม้)

ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ

อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10




[NPC-08] มอบ น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนและสุราเซียนเมามาย ให้ เถียน เฟิง

+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง +  ชา/สุราเกรดแดง (+20)

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-6-29 15:52
คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-6-29 15:52
โพสต์ 39663 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-29 15:32
โพสต์ 39,663 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-6-29 15:32
โพสต์ 39,663 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-6-29 15:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้