เจ้าของ: Admin

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-3 22:47:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 03 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 22.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


แสงโคมหน้าหอว่านหงเหรินสาดสีส้มจางลงบนผืนถนนสิบลี้ที่เงียบสงัดในยามไห่ สายลมเย็นยามค่ำพัดปลายแขนเสื้อของบุรุษผู้ยืนอยู่หน้าโรงน้ำชาระดับสูงแห่งนี้ให้ปลิวไหวเบา ๆ ใบหน้าเงียบขรึมของใต้เท้าเถียนเฟิงเงยขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นจากฝั่งถนนฝั่งตรงข้าม ก่อนที่สายตาคมเรียบของเขาจะสะดุดเข้ากับร่างเล็กในชุดธรรมดาของใครบางคนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหยุดตรงหน้าเขาในท่าทางหอบแฮ่ก


"ใต้เท้าเถียนเฟิง…??" เสียงหลินหยาดังขึ้นในจังหวะที่เธอกำลังโบกมือส่งให้ด้วยรอยยิ้มเกร็ง ๆ แววตาเธอหลุกหลิก กึ่งโล่งใจ กึ่งยังระแวดระวังเหมือนลูกแมวที่ยังไม่รู้ว่าหลุดจากกรงเล็บของหมาหรือยัง


"แม่นางหลิน?" เถียนเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ไม่ถามมากในทันที แต่เพียงยกพัดขนนกขึ้นเคาะกับฝ่ามือเบา ๆ แล้วเอียงคอเล็กน้อย "เจ้าวิ่งหนีอะไรมา?" 


"อ้อ…ข้าแค่วิ่งหนีคนแปลก ๆ มาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ" หลินหยายิ้มแห้ง มือหนึ่งปัดชายเสื้อ อีกมือเช็ดเหงื่อแผ่วเบาแม้ใจยังเต้นรัวอยู่ในอก เถียนเฟิงจ้องใบหน้าของนางครู่หนึ่ง เห็นดวงตายังคงสะท้อนความตื่นกลัวเล็ก ๆ และลมหายใจยังไม่เป็นจังหวะ เขาจึงยกพัดขึ้นพับครึ่งอย่างใจเย็น "หากไม่มีอะไร เหตุใดเจ้าจึงมองกลับไปด้านหลังถึงสามครั้งก่อนหยุดตรงหน้าข้า"


“อะ...เอ๊ะก็เปล่านะ!” หลินหยารีบปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบขโมยขนมกิน แล้วรีบเสไปมองด้านข้าง “อากาศเย็นดีนะเจ้าคะคืนนี้ ฮ่ะฮ่า...” บอกเช่นนั้นเพื่อกลบเกลื่อนเพราะเอาตรง ๆ ไอ้คนนั้นก็แปลก ๆ อ่ะ พ่อค้ามีไก่ด้วย..อืมแปลก


เถียนเฟิงไม่ตอบ เขากลับเดินตรงเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว พร้อมลดเสียงให้เบาลงจนเหมือนจะเป็นเสียงลมหายใจ “เจ้ามักไม่กลัวใคร แต่หากเจ้าเริ่มกลัว... แสดงว่าอีกฝ่ายคงอันตรายอยู่ไม่น้อย”


หลินหยายิ้มค้างไปชั่วขณะ "ใต้เท้าเจ้าคะ..โห.. ข้าแค่ไม่อยากวุ่นวายอีกแล้วเจ้าค่ะ วันไหนมีเรื่องข้าเหนื่อยทุกทีอ่ะ…แค่หนีคนแปลก ๆ เจ้าค่ะ มีไก่อยู่ข้างตัวแค่นั้นแหละ” นางเอ่ยบอกก่อนที่จะทำหน้าบ่จอยเท่าไร "เอ่อ..จริงสิพอดีผ่านมา ไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่ ท่านมาทำอะไรเจ้าคะ...พักผ่อนเหมือนเคยหรอ?" เสียงหลินหยานุ่มลงอย่างเป็นมิตร


เถียนเฟิงสบตานางครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเบา ๆ "อืม...ที่นี่มีเครื่องหอมดี อาหารเลิศรส ช่วยให้คิดอะไรชัดเจนขึ้น" เขากล่าวระหว่างเดินทางจะกลับ หลินหยาเลยเดินไปด้วยเสียเลย หลินหยาที่เดินเคียงข้างเงียบ ๆ ไปครู่หนึ่ง พลันชะงักเล็กน้อยเมื่อสายลมยามค่ำพัดเอากลิ่นหอมแผ่วบางจากร่างของบุรุษข้างกายลอยแตะปลายจมูกอย่างอ่อนโยน กลิ่นนั้นไม่ฉุนจัด ไม่ใช่กลิ่นสมุนไพรหรือยาเหมือนยามเจอเขาในราชสำนัก แต่กลับเป็นกลิ่นหอมแบบเรียบหรู แฝงความนุ่มนวลและเยือกเย็นแบบบุรุษผู้ทรงปัญญา กลิ่นที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน นั่นสิ ตอนก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีกลิ่นนี้


“หืม...” นางเลิกคิ้วเล็กน้อย เอียงหน้ามองคนข้างกายที่ยังคงเดินด้วยสีหน้าเรียบเย็นไร้ความรู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น “กลิ่นนี้...หอมดีนะเจ้าคะ ใต้เท้าเปลี่ยนเครื่องหอมหรืออย่างไรเจ้าคะ?” เสียงของเธอทุ้มเบาแต่แฝงแววขบขัน ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มตาวาวอย่างคนรู้ทัน “โหห…นี่ข้าออกจากหอว่านหงเหริน พอเผลอแวบเดียวก็เรียกสาวไปนั่งรินเหล้าคลายเหงาเสียแล้วรึเจ้าคะแหม่..ไวไฟจริง” เสียงหัวเราะของเธอใสพอจะสะท้อนในถนนที่เงียบยามค่ำ แม้จำใช้คำแปลก ๆ แต่ก็ชวนงง ๆ ราวกับเด็กสาวผู้กล้าหยอกล้อเพื่อนสนิทผู้เป็นขุนนางใหญ่เสียเต็มประดา


เถียนเฟิงหยุดฝีเท้า หันมามองอีกฝ่ายช้า ๆ ดวงตาเรียบเฉยแต่คิ้วกลับกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่อาจห้าม ริมฝีปากยกยิ้มบางราวกับกลั้นหัวเราะ แต่กลับไม่เอื้อนเอ่ยปฏิเสธแม้สักคำเดียว เขายกพัดขนนกขึ้นกั้นปากเพียงครึ่งล่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าของหอว่านหงเหริน ไม่อาจใช้สิทธิ์เรียกใครมาได้ดั่งใจนักหรอก...และถ้าเจ้าหมายถึงกลิ่นนี้ มันก็แค่กลิ่นน้ำอบจากสาวแม่นางผู้หนึ่งที่ทำตกไว้บนชายเสื้อข้า”


“หึฮึมมมฮึ… ยังมีเวลารับของตกด้วยรึเจ้าคะ ท่าทางว่างเสียจริง” หลินหยาเอียงคอพึมพำแล้วเบะปากใส่ หางเสียงฟังดื้อเต็มประดา


เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ จากลำคอ ไม่ตอบกลับโดยตรง แต่กลับเดินนำต่ออย่างใจเย็น “หากข้าบอกว่ามีคนตั้งใจหยดไว้ให้เจ้ารู้สึกแบบนี้ เจ้าจะหยุดแหย่หรือจะหึงแทนดีเล่า?”


“หึง? ข้าเนี่ยนะ? บ้าแล้ววจะไปหึงท่านทำไมอ่ะ ใจเย็น ได้ยินแล้วขนลุกเจ้าค่ะ” หลินหยาเบิกตาแล้วหัวเราะลั่นทันที “ไม่เอาหรอกเจ้าค่ะ ท่านจะชอบกลิ่นไหนก็เรื่องของท่านเถอะ ข้าแค่...แค่รู้สึกว่ากลิ่นหอมแบบนี้มันไม่เข้ากับคนที่ปกติหายใจเข้าออกยังมีแต่กลิ่นตำราแบบท่านเลยแค่ตกใจนิดหน่อยเจ้าค่ะ..นึกว่าจะได้ไปงานแต่งใต้เท้าเถียนเฟิงซะละ” เธอว่าพลางหัวเราะในลำคออีกครั้ง แล้วเดินชิดเข้ามาเล็กน้อย ราวกับเจ้าแมวที่ขยับเข้ามาเคียงคนสนิทอย่างเป็นธรรมชาติ


หลินหยาหันมามองเขาด้วยแววตาสงบแต่เปล่งประกายแผ่วเบา ดวงหน้าขาวจัดสะท้อนแสงจันทร์นวลบนเส้นผมที่ยังไม่ทันยาวดีหลังโดนตัด แม้ชุดจะเรียบง่ายกว่าตอนอยู่โรงอุปรากร ทว่า...ความงามธรรมชาติแบบเด็กสาวที่กลายเป็นหญิงเต็มตัวนั้น กลับชัดเจนขึ้นทุกคราที่เขาได้เห็น “ข้าอยู่บ้านหลังเล็กของอ๋องหลิวอันนะเจ้าคะ ตรงทางนั้น” นางเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดา แต่ในความธรรมดานั้นแฝงด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “แม่นางหรงเล่อคงรอข้าอยู่แล้วละมั้งเนี้ย...” แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของเธอ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มแบบสาวใช้เสี่ยวหนาน หรือรอยยิ้มแบบคนที่ตกอยู่ใต้คำสั่งใคร หากแต่เป็นรอยยิ้มของหนาน หลินหยา ที่เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่...มีอิสระในใจ


“ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน ท่าน” คำว่า ‘ท่าน’ ฟังดูแปลกประหลาดในน้ำเสียงเธอ เพราะมันนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นคำเรียกอย่างขุนนางกับชาวบ้าน และขณะเดียวกันก็ห่างไกลจากการเรียกของผู้ติดหนี้บุญคุณ


พอพูดจบ หลินหยาก็ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย แล้วหมุนตัวกลับทันที เดินกลับไปทางอีกฟากของถนนสิบลี้ที่ทอดยาว เสียงฝีเท้าก้าวย่ำบนพื้นหินเบา ๆ เป็นจังหวะมั่นคง ร่างของเด็กสาวราวกับหายลับลงไปในความมืดอย่างรวดเร็วทว่าไม่เร่งรีบ เหมือนคนที่กำลังเดินกลับบ้านของตนเองอย่างมีจุดหมาย


และเถียนเฟิง...ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พูดไม่ไล่ไม่รั้ง ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำลามีเพียงสายตาคู่นั้น ที่ทอดมองเงาหลังของหญิงสาวอย่างเงียบงันเหมือนกับทุกครั้งไม่มีเปลี่ยน บางครั้งนางก็มาไวไปไวเหมือนกับสายลม อยู่ไม่เคยนิ่งและไม่มีสิ่งใดขังสายลมได้แม้สักครา



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

น้องจะตอบว่า อ้อนเจ้าของก่อน ฮรุก  โพสต์ 2025-7-4 00:56
เถียนเฟิงเอ่ยทักคุณ วันนีี้ไม่มาทำงานรึ  โพสต์ 2025-7-4 00:41
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-4 00:40
โพสต์ 32538 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 22:47
โพสต์ 32,538 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-3 22:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-5 20:36:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 05 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 15.30 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ระหว่างที่หลินหยากำลังเดินผ่านหน้าหอว่านหงเหรินเพื่อออกไปยังนอกเมืองหลังจากพบท่านเถียนเฟิงเสร็จแล้วเธอก็ต้องหยุดกึกเพราะบังเอิญ โลกกลม และพรหมลิขิต(?) ให้นางพบใครบางคนตอนนี้ นางจำได้กับชายหน้ากากครึ่งหน้าคนนั้น “ฮันแหน่…นั้นใครเอ่ย..ท่านชายห่าวหมิงมากินเหล้าเคล้านารีอ่ะดิ!”


ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าผู้ยืนอยู่หน้าทางเข้าประตูหอว่านหงเหรินหันขวับมาแทบจะทันทีเมื่อเสียงเรียกอันคุ้นหูดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามถนน…ดวงตาที่คมกริบใต้หน้ากากนั้นจับจ้องมายังร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังก้าวเท้ามาอย่างทะเล้น โบกมือหยอย ๆ เหมือนเด็กน้อยพบเพื่อนเล่นกลางตลาดฤดูร้อน น้ำเสียงยียวนคุ้นเคยพร้อมรอยยิ้มแบบคนรู้ทันของหลินหยา ดังกระแทกหัวใจเขาจนฝ่ามือแทบเผลอบีบด้ามพัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


...ไม่สิ นางยังไม่รู้แน่ว่าเขาไม่ใช่ 'ท่านชายห่าวหมิง' อย่างที่นางเข้าใจ เงาหน้ากากนิ่งค้างเพียงครู่เดียวก่อนชายผู้นั้นจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ ขยับพัดในมือลงบังใบหน้าล่างไว้อย่างมีชั้นเชิง ร่างสูงยืดตัวตรงด้วยท่าทีสงบเงียบเฉกเช่นปกติ แต่ปลายหางตากลับยกสูงขึ้นอย่างนึกขันในความจุ้นของหลินหยา “แม่นางเสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย แต่ฟังดี ๆ กลับแฝงแววเอ็นดูที่ไม่ควรปรากฏในน้ำเสียงของขุนนางชั้นสูงแม้แต่น้อย “เจ้าก็รู้ดีว่าข้า...มิใช่คนแบบนั้น” เขาเอ่ยก่อนจะขยับหมุนพัดเคาะกับฝ่ามือเบา ๆ ราวกับเล่นไปตามบทที่นางปั้นให้ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนครึ่งจริงครึ่งล้อ


หลินหยาขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัยก่อนจะพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง เดินกอดอกตรงเข้ามายืนเท้าสะเอวข้าง ๆ เขาแบบไม่เกรงใจนัก “ถึงท่านจะไม่ใช่คนแบบนั้นก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ ข้าเห็นหน้าท่านชายห่าวหมิงอยู่หอว่านหงเหรินทังที่จะให้อดแซ่วไม่ได้ปะเจ้าคะ…” คำพูดประชดประชันนั้นทำให้ชายตรงหน้าเหลือบมองนางเงียบ ๆ ก่อนริมฝีปากภายใต้หน้ากากจะขยับเล็กน้อย...เป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่แม้ไม่มีใครเห็น แต่สัมผัสได้จากความเยือกเย็นที่ดูจะเย็นขึ้นไปอีกแต่อีกคนกลับไม่รับรู้ถึงมันสักนิด


“ข้าเพียง...มาพักผ่อน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะในลำคอ แววตาใต้หน้ากากฉายแววลึกล้ำขึ้นชั่วขณะ “หรือเจ้าจะว่า...ข้าไม่เหมาะจะดื่มชา รำสุรา ฟังเพลง ร่ายกลอนเหมือนบุรุษอื่น?”


หลินหยาทำปากยู่ก่อนจะกลอกตาใส่เขาแบบไร้ยางอาย “เหมาะสิคะแหม่..ท่านก็ท่านเหมาะมาก เหมาะกับการมานั่งพิงม่านแพร จิบน้ำชาราคาแพง แล้วแอบฟังสาว ๆ ร้องเพลงพร้อมกระซิบข่าวสารมากกว่า” คำว่ายาวยืดนั้นแฝงการรู้ทันอย่างเจ็บแสบแต่เขากลับไม่โต้เถียง ไม่แก้ตัวแค่ปรายตามองนางอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “แม่นางนี่...จะให้เก็บเจ้าไว้เป็นดอกไม้ประดับในห้องก็คงน่าเสียดายฝีปาก”


หลินหยาหัวเราะร่วน เธอเอียงตัวเหมือนเด็กสาวในชุดเดินทางก่อนจะเหลือบตามองเขาอย่างระแวดระวัง “ว่าแต่…วันนี้ท่านชายมาคนเดียวจริงเหรอเจ้าคะ?” ห่างหมิงเงียบไปเพียงครู่เดียว ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะไม่แน่ใจว่านางจะถามต้องการสิ่งใดกันแน่..ความคิดนางแปลก ๆ จนเดาไม่ค่อยได้ แต่บางเรื่องก็แทบไม่ต้องเดาก็เป็นไปตามนั้น “ใช่...เพียงคนเดียว เจ้ามีปัญหา?”


“หึ…ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ” หลินหยาขยิบตาให้หนึ่งที “ข้าก็แค่จะเดินเล่นออกนอกเมืองเลยเดินผ่านแวะมาสูดกลิ่นสาปแห่งความมัวเมาตรงหน้าหอว่านหงเหรินก่อนนิดหนึ่ง เผื่อเถ้าแก่ที่ร้านจะลากข้าไปทำงานเป็นนักดนตรีเหมือนเดิม”


“ไม่กลัวเจอคนชั่วหรือ?” คำถามนั้นไม่ใช่คำล้อเล่น มันแฝงแววจริงจังเสียจนหลินหยาหยุดยิ้มชั่วขณะ แต่เธอกลับยักไหล่ตอบกลับง่าย ๆ “ก็ไม่รู้สินะเจ้าคะ…ก็เจอบ้างนะเจ้าคะ เป็นไม่กี่คน ถึงเจอที่ชั่วก็ชั่วสุดขีดอ่ะบอกเลย” ก่อนจะหันมาแซวต่ออย่างรวดเร็ว “แต่ถ้าเจอพวกที่โรคจิต ๆ ล่ะก็ คงต้องแอบไว้ใจท่านชายห่าวหมิงช่วยข้าหน่อยนะคะ ฮิฮิ” จางกงกงใต้หน้ากากนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตานั้นเหลือบมองเงาของเธอที่สะท้อนบนพื้นฝนอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ชิดริมฝีปากอย่างมีนัย


“…ข้าก็เฝ้ามองอยู่เสมอ”


“งั้นข้าไปละ” หลินหยาหรี่ตามองอีกคนก่อนจะยกมือขึ้นโบกเล็กน้อยเหมือนจะลาจริง แต่ก็ยังไม่วายหันกลับมาหยอกเย้าอีกหนึ่งยกตามสไตล์แม่นางน้อยผู้ยียวนที่สุดในย่านสิบลี้ “ไปละเจ้าค่ะ เจอกันที่ศาลาจื่อเถิงฮาเหมือนเดิมนะเจ้าคะ เย็นนี้ข้าจะเอาขนมไปด้วย...ท่านอย่าลืมมากินล่ะ ข้าจะเตรียมชาหอม ๆ ไว้ให้ด้วย!” น้ำเสียงสดใสราวเสียงระฆังในยามบ่ายแว่วก้อง นางยักคิ้วหนึ่งที ทำท่าเหมือนนางเอกละครที่ลงจากเวทีแล้วหมุนตัวจะจากไปอย่างอารมณ์ดี ทว่า… “อ้อ…ถ้าท่านบังเอิญมาแบบมีรอยจูบสาว ๆ ติดหน้าหรือคอมานะ...ข้าบอกเลยว่า ข้าไม่มียาประคบให้นะเจ้าคะ!” เสียงหัวเราะของหลินหยาเหมือนจะดังลั่นแถมยังเร่งฝีเท้าออกไปอย่างสนุกสนาน ราวกับตั้งใจจะหนีสายตาค้อน ๆ จากบุรุษด้านหลัง


แต่เบื้องหลังหน้ากากครึ่งหน้าของห่าวหมิงกลับปรากฏเพียงรอยยิ้มบางเฉียบมุมปาก…ไม่รู้ว่าเพราะถูกแซว หรือเพราะสิ่งที่นางพูดนั้นมีความหมายบางอย่างสะกิดใจลึก ๆ จางกงกงยกพัดขึ้นเคาะไหล่ตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าสู่หอว่านหงเหรินอย่างไม่พูดอะไรอีก ดวงตาคู่ล้ำลึกใต้หน้ากากหลุบลงต่ำ เจ้าไม่มีวันรู้หรอก เสี่ยวหยา…ว่าข้ายอมให้เจ้าเห็นรอยจูบจากใครไม่ได้




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-5 21:30
โพสต์ 27472 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-5 20:36
โพสต์ 27,472 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-5 20:36
โพสต์ 27,472 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-5 20:36
โพสต์ 27,472 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-5 20:36
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-6 00:37:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-6 16:38


วันที่ 06 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.30 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


บรรยากาศรอบหอว่านหงเหรินในยามเซินคล้ายจะผ่อนคลายจากความร้อนของแดดบ่ายแล้วเข้าสู่บรรยากาศเย็นละมุนของปลายวัน เสียงพิณเบาจากด้านในลอยมากับกลิ่นเครื่องหอมจาง ๆ ผสานกับกลิ่นแป้งร่ำและสุราหวาน ราวกับโลกภายนอกไม่มีเรื่องทุกข์ใดจะกล้ำกราย ทว่าในห้วงคิดของหลินหยากลับเต็มไปด้วยความกังวล...จางทังหายไป…หายไปนานกว่าที่ควรจะเป็น นางรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีฝีมือ แต่นั่นแหละ...ก็เพราะรู้ดีว่าเขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนอันตรายเพราะเธอ…คนที่เหมือนยิ้ม แต่เบื้องหลังแววตาคือความเคียดแค้นที่เย็นเยียบและไม่ลืมเลือน..นางกลัวว่าจางกงกงจะทำอะไรเขา…


นางมองเลยขึ้นไปบนอาคารของหอคนิกา มุมเดิม หน้าต่างบานเดิม กลับไม่เห็นใคร และกำลังจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งสู่นอกเมือง ทว่าเสียงประตูกระทบกับลมเบา ๆ และร่างหนึ่งที่คุ้นตาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูบานใหญ่ของหอ "ท่านชาย...ห่าวหมิง?" เสียงหลินหยาหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว


บุรุษในชุดคลุมยาวสีเข้มมีลวดลายปักทองเดินทอดน่องออกมาอย่างไม่รีบร้อน หน้ากากครึ่งซีกสีเงินดำบดบังครึ่งใบหน้าของเขาไว้อย่างงดงามและน่าเกรงขาม และแม้เงาแดดจะเฉียงตกต้อง ผ้าม่านด้านหลังปลิวไสวอยู่เพียงนิดเดียว แต่ทุกอิริยาบถของเขากลับประหนึ่งจงใจกรีดลงบนสายตาคนมองให้รู้ว่าเขาคือผู้ปกครองหอว่านหงเหรินอย่างแท้จริง ห่าวหมิงชะงักนิดเดียวขณะเห็นหญิงสาวยืนมองอยู่ริมทางยิ้มบางบนริมฝีปากไม่แน่ว่าเพราะบังเอิญหรือจงใจ


"บังเอิญดี...หรือว่าเป็นโชคชะตา?" น้ำเสียงนั้นคล้ายจะหยอก แต่น้ำหนักคำและแววตาภายใต้หน้ากากกลับไม่เบาเช่นคำพูด เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ทีละน้อยก่อนจะหยุดยืนตรงหน้า "แม่นางเสี่ยวหยา..." เขาเอ่ยเรียกนางด้วยเสียงอ่อนโยนหากแต่ชวนรู้สึกแปลก ๆ "เจ้ากำลังจะออกนอกเมืองอีกแล้วหรือ?"


"เจ้าค่ะ ข้าแค่ไปเดินเล่นสูดอากาศ ไม่ได้ไกลอะไร..." หญิงสาวตอบอย่างระวัง แต่ก็ไม่อาจปิดบังความอยากรู้อยากเห็นในแววตาได้ "ท่านชาย...เพิ่งออกมาจากหอว่านหงเหรินหรือเจ้าคะ?"


อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ดวงตาใต้หน้ากากหรี่ลงราวกับหาความหมายนัยลึกในคำถามนั้น "ข้าเพียงเข้าไปพูดคุยธุระเล็กน้อยกับคนเก่าแก่...เป็นสถานที่ที่ข้ามักใช้สำหรับเจรจาบางอย่างที่ไม่ควรให้ใครได้ยินง่าย ๆ" น้ำเสียงเรียบนิ่งและท่าทางไม่หลบหลีกทำให้หลินหยาเงียบไปชั่วครู่...นางไม่กล้าถามตรง ๆ แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดหรือหวั่นไหว แต่เพราะจู่ ๆ ก็อดคิดไม่ได้ท่านชายผู้นี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย


"...ข้าเห็นเจ้ามองหอนั้นอยู่นานแล้วเมื่อครู่" เขาเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า


หลินหยาพ่นลมหายใจแผ่ว ๆ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย "เจ้าค่ะ ข้าเคยเล่าให้ท่านฟังแล้วนี้..ถึงจะไม่บ่อยว่าข้าเคยทำงานอยู่ที่นั่นนักดนตรีฝึกหัด...กับสาวใช้ชั่วคราว ที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใดหรอก"


"หืม..." เสียงเขาลากต่ำ ดวงตาภายใต้หน้ากากไล่สายตามองนางอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งในน้ำเสียงแปลกประหลาด "ความจริง ข้าชอบคนที่เคยอยู่ในที่แบบนั้นนะ...กลิ่นอายของ 'ชีวิตจริง' ยังติดตัวอยู่เสมอ...ไม่เสแสร้ง ไม่ปลอม และมีบางอย่างที่หาไม่ได้จากพวกที่คลานออกจากจวนขุนนาง..." เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้น


แต่หลินหยากลับตาดี นางมองหน้าเขาเล็กน้อยแล้วหรี่ตามองไปทางคอเสื้อของอีกคน "อ้อออ....ท่านนี้ท่าจะดื่มเหล้าเคล้านารีกันสนุกเลยสินะเจ้าคะ คอเสื้อท่านมีรอยสีแดงจากริมฝีปากสตรีด้วย" นางเอ่ยก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยแซวแบบเหมือนจะมีอารมณ์ขุ่นอยู่ลึก ๆ "นางสวยไหมเจ้าคะ? ลีลาดีล่ะสิ"


จางกงกงที่ยังอยู่ในร่างของ ท่านชายห่าวหมิง ชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าภายใต้หน้ากากไม่ได้เปลี่ยนสีสัน แต่แววตากลับเหมือนหยักขึ้นด้วยแสงบางอย่างที่ชวนขนลุกเขาเหลือบมองหลินหยาอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มแผ่วจางบนริมฝีปาก ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มของใครสักคนที่ ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว ห่าวหมิงยกปลายนิ้วแตะเบา ๆ ตรงคอเสื้อของตน คล้ายเพิ่งสังเกตว่ามีร่องรอยแปลกปลอมติดอยู่บนนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ...เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดู สบาย ๆ อย่างจงใจ ราวกับผู้ชายที่ไม่มีอะไรให้ปิดบัง


"อา...แบบนี้เรียกว่าตาดี หรือหึงกันแน่ล่ะ เสี่ยวหยา?" น้ำเสียงทอดต่ำยิ่งนัก เย็นชาในความสุภาพอ่อนโยนนั้น เขาก้าวเข้ามาใกล้นางหนึ่งก้าวแค่หนึ่งก้าว แต่มันเหมือนทั้งอากาศรอบตัวแน่นขนัดขึ้นในทันที "เจ้านี่มัน...มีจมูกที่ไวดีเหมือนแมวที่จำกลิ่นเจ้าของได้ไม่มีผิด" เขายื่นมือขึ้นแต่ไม่ได้สัมผัส เพียงแค่หยุดอยู่ใกล้ปลายคางของนางราวกับจะหยอกหรือเตือนหรือบีบให้เธอรู้ว่าตัวเองกำลังเล่นอยู่กับไฟที่ไม่มีวันมอด


"นางหรือ?" เขาหลุบตาลงเล็กน้อยริมฝีปากยังคงยิ้มขณะกระซิบถ้อยคำที่เยียบเย็นเสียจนรอบด้านเหมือนจะเงียบงันไป "ก็แค่แมลงเม่าที่หลงแสงไฟ...นางสวยดีในแบบที่หายไปจากความทรงจำหลังจากเช้าตรู่" เขาหยุด แล้วเลื่อนดวงตาขึ้นสบกับแววตาของหลินหยาโดยตรง "เสี่ยวหยา เจ้าอยากให้ข้าซื่อสัตย์หรืออยากให้ข้าสะอาด? เพราะหากเจ้าคาดหวังทั้งสองอย่างจากคนอย่างข้า...ข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว"


เขาโน้มตัวเข้าใกล้มากขึ้น เสียงกระซิบเบาราวกับพรายกระซิบจากขุมนรก "แต่ถ้าเจ้าโกรธ...เจ้าควรลงโทษข้านะ..แต่ยังไงล่ะ?" ดวงตาคู่นั้นฉายประกายเย้ยหยันเพียงนิดเดียว ก่อนจะยืดตัวขึ้นกลับมาเป็นชายหนุ่มผู้มีมารยาทดังเดิม




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ปลดหัวใจโว้ยยยยยยย

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28134 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-6 00:37
โพสต์ 28,134 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-6 00:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-7 16:40:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 07 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 15.30 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ยามเซินกลางวันแสก ๆ แสงอาทิตย์อาบผิวหินและกลิ่นดอกไม้ริมถนนสิบลี้อบอวลจาง ๆ ไปทั่ว หญิงสาวผู้หนึ่งในชุดบางเบาสำหรับการเดินทางกลางแดดกำลังย่างก้าวออกจากฉางอันด้วยท่าทีอารมณ์ดี ราวคนที่ตั้งใจจะไปตกปลาหาเรื่องสงบใจอย่างสันโดษตามนิสัยเดิม ๆ ของนาง หากเพียงเสี้ยวลมหายใจ…ฝีเท้าของหลินหยากลับชะงักลงเมื่อดวงตาสะท้อนเงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งนางไม่อาจลืมไปได้เลยนับแต่เมื่อวาน ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าในชุดคลุมยาวประณีต สีเข้มเยียบดั่งหมึกหลั่งลงกระดาษ เขาเดินด้วยท่วงท่าที่ไม่เร่งรีบแต่มั่นคง เหมือนรู้ดีว่าก้าวต่อไปจะเหยียบย่ำหัวใจใครไว้บ้าง ท่านชายห่าวหมิงผู้นั้นกำลังจะก้าวเดินอยู่หน้าหอว่านหงเหรินอย่างแช่มช้า


ภาพในความทรงจำยามเช้าของหลินหยาแล่นวาบขึ้นทันควัน...เสียงคำเตือน...กลิ่นแผ่นไม้...คำว่าสองหน้ากากยังดังก้องอยู่ในหัวนาง หญิงสาวพยายามระบายยิ้มอย่างเคยแม้รอยยิ้มนั้นจะฝืนและบางเฉียบเกินกว่าปกติเล็กน้อย “สวัสดีเจ้าค่ะ...ท่านชายห่าวหมิง” นางเอ่ยเสียงเบาแต่ไม่สั่น “วันนี้ก็มาพักผ่อนที่หอว่านหงเหรินอีกแล้วหรือเจ้าคะ?”


ชายหนุ่มหันกลับมาช้า ๆ สบตากับนางผ่านช่องว่างของหน้ากาก ดวงตาคู่นั้นยังคงนิ่งราบ เรียบเฉียบเหมือนกระจกดำที่มองลึกลงไปเห็นเงาในจิตใจของอีกฝ่ายได้ เขาไม่ตอบในทันทีหากกลับย่างเท้าเข้ามาหานางอย่างไม่เร่งเร้าแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มือข้างหนึ่งซึ่งเปลือยเปล่าไร้ถุงมือยกขึ้นแตะปอยผมที่ปรกหน้าผากของหลินหยาเบา ๆ แล้วเกลี่ยมันไปทัดใบหูของนาง


"เจ้ารู้จักที่นี่ดีนี่..." เขากล่าวเสียงทุ้ม "เพราะเจ้าก็เคยอยู่ในหอนี้"


มือของเขายังไม่ผละจากเส้นผมของนาง กลับไล้ลงมาแตะข้างแก้มช้า ๆ ราวกับลองทดสอบบางสิ่ง อุณหภูมินิ้วของเขาเย็นอย่างประหลาดแต่แรงสัมผัสนั้นกลับอ่อนโยนเกินจะต้านรังเกียจ เป็นสัมผัสที่คุ้นเคยผิดเวลา ผิดสถานที่ และที่สำคัญ…ผิดจังหวะของเหตุผลทั้งหมดที่หลินหยาเคยเข้าใจ "ข้าแค่คิดถึงเสียงดนตรี...เลยมา" เสียงนั้นพร่าเบา ราวคำกล่อมฝันหากแต่ในใจแท้กลับเคลื่อนไหวดุจงูเงี้ยวเลื้อยวนอยู่กับแผนที่ไม่มีใครล่วงรู้


เขาเอียงหน้าลงมาเล็กน้อยจนเงาหน้ากากครึ่งใบทาบเงาบนพวงแก้มของนาง ห่างกันเพียงลมหายใจหนึ่งก่อนที่เสียงกระซิบจะลอดริมฝีปากเอ่ยชิดใบหู "หรือเจ้าไม่อยากให้ข้ามาฟังมันอีกแล้ว?" หลินหยาชะงักตอนนี้ที่เขาประชิดตัวอย่างแปลกประหลาด จึงขยับขาออกเพียงครึ่งเก้าแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่ออีกฝ่ายทำเช่นนี้ จางกงกงชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจเมื่อหลินหยาขยับถอยออกห่าง แม้เพียงครึ่งก้าวอันแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอให้เขาสัมผัสได้ถึงความลังเลที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของนางเหมือนลวดบาง ๆ ที่เคยดึงรั้งแน่นเริ่มคลายตัว หากจะปล่อยให้หลุดลอยไปง่าย ๆ เขาคงไม่ใช่เขา


เขายิ้มในจังหวะที่นางยังไม่ทันตอบรอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนผิดวิสัย แต่ลึกในแววตากลับฉายแสงเย็นยะเยือกของนักล่า “เจ้ากำลังระแวงข้าอยู่หรือไม่ เสี่ยวหยา?” จังหวะนี้ เขาคลี่พัดในมือซ้ายกางออกช้า ๆ แล้ววางมันลงบนบ่าของนาง


หลินหยารีบตอบทันทีหลังจากนี้ “เปล่าเจ้าค่ะ...ข้าไม่ได้จะบอกว่าไม่ให้ท่านฟังดนตรีเสียหน่อย..เพราะหากท่านคิดถึงเสียงดนตรี ท่านก็สมควรแล้วที่จะเข้าหอว่านหงเหรินนี้เจ้าคะ?” นางเอ่ยขึ้นเช่นนั้น ไม่ได้ขยับหนีอีกคน แม้จะกำลังสงสัยว่าตอนนี้เขาต้องการอะไรกันแน่แต่นางก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเขาคือคนคนนั้นแน่นอน…นางกำลังคิดว่าควรที่จะถามเขาว่าวันนี้เขาจะไปที่ศาลาจื่อเถิงฮวาหรือไม่อย่างไร แต่เพราะเสียงของเขากลับดังขึ้นมาก่อนที่นางจะได้ถามอะไรออกไปจากริมฝีปากของตนเอง


"อา...เช่นนั้นก็สมควรแล้วที่ข้าจะเข้าหอว่านหงเหริน..." เขากล่าวช้า ๆ ซ้ำถ้อยคำของนางริมฝีปากคลี่ยิ้มที่ไม่แน่ว่าคือยิ้มหรือแสยะ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยมองนางจากใต้เงาหมวกหน้ากาก “แต่ที่นั่น...แม้จะมีเสียงดนตรีงดงามแค่ไหนก็ไม่มีเสียงใดขับกล่อมจิตใจข้าได้เท่าของเจ้า” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบเย็น หากแต่ในแววตากลับรุกเร้าจนคล้ายร้อนแรงชวนให้หลบตา เขาขยับพัดที่เคยวางบนบ่านางขึ้นมาแตะปลายคางของหลินหยาเบา ๆ เพียงชั่วพริบตาสัมผัสที่อ่อนโยนจนแทบเรียกว่าแทะเล็มความรู้สึกไม่ใช่แค่ร่างกาย


“เจ้ากำลังคิดถึงเย็นนี้หรือ?” เขาเอ่ยถามราวกับเข้าใจจิตใจนางทะลุปรุโปร่งก่อนจะค่อย ๆ ดึงพัดกลับมาแนบอกตนแล้วตอบในจังหวะที่อารมณ์คล้ายกำลังคลุมเครือ “หากเจ้ายังต้องการให้ข้าไป ข้าก็จะไป...” ดวงตาใต้หน้ากากมองนางนิ่ง “แต่ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่า...เจ้าจะเตรียมขนมไว้ หรือว่าเตรียมใจไว้มากกว่ากัน?” เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ดังแค่พอให้ได้ยินราวเสียงขนนกสะกิดใจ มันไม่ใช่เสียงขำขันแต่มากพอจะทำให้หัวใจหลินหยาสั่นคลอนอย่างไร้เหตุผลเหมือนคนถูกลูบหลังมือกลางฝัน


เขาขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเต็มร่างสูงสง่าภายใต้ชุดยาวสีเข้มเอ่ยอีกประโยคอย่างผ่อนคลาย “ถ้าเจ้าเตรียมใจไว้ดีแล้วข้าจะไปรับด้วยตนเอง...ที่ศาลา” แล้วท่านชายห่าวหมิงก็หันกายเดินเข้าไปในหอว่านหงเหรินอย่างไม่หันหลังกลับอีก เส้นผมสีเข้มยาวถูกมัดอย่างเรียบง่ายสะบัดเบา ๆ ตามแรงลม หายลับเข้าไปในเงาประตูไม้แกะสลักประณีตเงาที่กลืนเอาแววตา รอยยิ้มและเจตนาอันยากหยั่งของเขาไปจนหมดสิ้น


ทิ้งให้หลินหยายืนอยู่ท่ามกลางแดดยามเซิน ใจเต้นแผ่ว ๆ กับความรู้สึกประหลาดที่เกาะกุมไม่ยอมคลาย...ไม่รู้ว่าสิ่งที่สั่นไหวอยู่ในอกขณะนี้คือความระแวง ความหวั่นไหว...หรือว่าบางสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นกันแน่




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-7 18:58
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-7 18:58
โพสต์ 27424 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 16:40
โพสต์ 27,424 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-7 16:40
โพสต์ 27,424 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-7 16:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-18 02:12:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-18 02:23


วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


ยามไห่คลี่คลุมเมืองด้วยม่านค่ำเงียบงันแม้จะเป็นยามพักผ่อนของคนส่วนใหญ่ แต่ย่านถนนสิบลี้ใกล้หอว่านหงเหรินยังคงมีแสงไฟสลัวจากโคมแขวนหน้าร้านเรือนหอและเสียงเพลงบรรเลงเบาจางจากภายในดังลอดออกมาให้รู้ว่าโลกยามราตรียังหายใจอยู่…หลินหยาที่เดินเหม่อกลับเรือนพักไปตามทางเดิมจนใกล้จะเลยหอที่เคยทำงาน กลับต้องหยุดฝีเท้ากะทันหัน “อืม...อะไรน่ะ?” นางหรี่ตาแล้วขยับเข้าไปใกล้พุ่มไม้ด้านข้างของหอว่านหงเหริน...พอเพ่งดูดี ๆ ถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยสีหน้าโคตรงงราวกับจะถามสวรรค์ให้ได้คำตอบ


“อะไรวะนั้น…” เสียงของนางพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง “เฮ้ย เดี๋ยวนะ…ไอ้คนที่พิงต้นไม้แบบงง ๆ แล้วข้าง ๆ หืม? พัดปะน่ะ…” นางชะโงกหน้าขึ้นเล็กน้อย “...ใต้เท้าเถียนเฟิง?!” หลินหยาเบิกตาโพลงทันทีแถมยังแทบจะถอยหลังไม่เป็นจังหวะเหมือนเห็นวิญญาณเร่ร่อนกลางดึก “เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย!! ไต้เท้าเถียน?! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นคะ!! เมาหนักมากหรอ!! เมาเหมือนหมาเลยอะท่าน!!” นางโวยวายเสียงสูงพร้อมเดินดุ่ม ๆ เข้ามาโดยไม่เกรงใจฐานะของอีกฝ่ายแม้แต่นิดแววตาเต็มไปด้วยความตกใจระคนขำปนเหลือเชื่อสุดขีด


“ท่านเถียนเฟิง เฮ้ย ท่าน…นี้ได้ยินข้าไหม? ท่านเป็นถึงมหาเสนาบดีตรวจการแห่งแผ่นดินเชียวนะ เป็นต้าซือคงมานั่งหน้าเยิ้มพิงพุ่มไม้แบบนี้ให้ข้าเห็น...เอิ่ม...ไม่น่ารอดจากพวกนางโลมตรงหอนะเนี้ยจากสภาพ!” นางเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น พร้อมกับชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนยังลืมตาอยู่ แม้จะปรือ ๆ ก็ตาม “ท่านยังตื่นอยู่ใช่ไหม?” หลินหยาโน้มตัวลง ใช้ปลายนิ้วสะกิดแขนอีกฝ่ายเบา ๆ “ท่านดื่มอะไรมาเนี่ย...อืม...กลิ่น...เหล้าแรงเสียด้วย? ท่านลักลอบเอาออกมาดื่มรึเปล่าเนี่ย ฮึ่ย บอกแล้วว่าท่านไม่ควรดื่มตอนอารมณ์ไม่ดีโอ้ย..”


เถียนเฟิงยังกะพรายไฟใต้หม้อที่สงบนิ่งทว่าในความเมากลับยังมีประกายจาง ๆ แฝงอยู่ในดวงตานั้นหรือบางอย่างที่แม้แต่นางก็ยากจะหยั่งถึงได้หมด หลินหยาหยุดพูดทันทีที่เห็นขณะจ้องใบหน้าอีกคนที่พิงอยู่ใต้แสงจันทร์บางเบา นางเอ่ยเบา ๆ ขึ้น “...ท่านมานั่งเหงาอะไรตรงนี้ ท่านไม่ใช่คนประเภทนั้นไม่ใช่เหรอ...” นางกอดอกจ้องตาอีกฝ่าย “จะลุกดี ๆ ไหม หรือจะให้ข้าหาเกวียนมาเข็น?” ใบหน้าเรียวมีรอยยิ้มขี้แกล้งผสานความห่วงใยไว้อย่างแนบเนียนตามสไตล์หลินหยาที่เป็นหลินหยาเสมอมาดื้อดึงแต่ใส่ใจ ปากร้ายกับคนที่กวนตีนกันเก่งแต่ใจอ่อน ยิ่งเวลาเห็นอีกคนเหมือนจะ ไม่เป็นตัวเอง...นั่นแหละน่าเป็นห่วง


“.....อือ” เสียงจากใต้เท้าเหมือนจะยังไม่มีคำพูดของหลินหยาเข้าหัว


เสียงลมยามไห่แผ่วผ่านใบไผ่ที่พริ้วเหนือศีรษะ…กลบเสียงลมหายใจอ้อยอิ่งของชายผู้หนึ่งที่ปกติแล้วไม่เคยจะเสียท่าแม้แต่นิดในท่ามกลางราชสำนัก...แต่ยามนี้กลับกลายเป็นบุรุษที่นั่งพิงเก้าอี้ไม้ตรงพุ่มไม้หน้าหอว่านหงเหรินในสภาพเสื้อคลุมเปิดแง้ม หลินหยาคุกเข่าลงนั่งข้าง ๆ พอเห็นชัด ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสบถ "โว้ยยย ท่านนี่มัน…" นางขมวดคิ้วแน่น มองใบหน้าอีกฝ่ายที่ปกติเยือกเย็นราวจันทราเยือนบึงนิ่ง แต่เวลานี้กลับเหมือนพระจันทร์ตกน้ำคลอนแคลนไม่หยุด ตรงริมฝีปากยังมีกลิ่นสุรารุนแรง ดวงตาข้างหนึ่งปรือคล้ายลืมไม่ขึ้นหลินหยาหันมองรอบตัว


“รถม้าท่านล่ะ? คนติดตามท่านล่ะ? หรือแม่งปล่อยท่านทิ้งไว้คนเดียวเนี้ย?! เถียนเฟิง!! ตอบข้าหน่อย! โอ๊ย ท่านนี่มัน…!!”


เถียนเฟิงปรือตาขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงตาแดงเรื่อเหมือนผู้แบกความเหนื่อยล้าหลายปีซ้อน ในความเงียบระคนเสียงจิ้งหรีด มีเพียงคำพูดอ้อแอ้ที่เล็ดลอดออกมาเบา ๆ เสียงต่ำ ราวกับเปล่งผ่านผิวลิ้นที่ขมปร่า "...หืม…เสียงเจ้า...หลินหยาหรอ?" เขาเอียงหน้าเล็กน้อย พยายามเพ่งมอง ทั้งที่เห็นหน้าอีกฝ่ายตรงหน้าเต็มสองตาแล้วแท้ ๆ แต่สติเขากลับเหมือนลอยหายไปครึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งขยับพรวดคว้ากลุ่มอากาศพลางพูดงึมงำ "ไม่มีใคร…ข้าไล่กลับหมดแล้ว...ไม่มีใคร…มึน" เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหัวเราะ...เสียงแหบพร่าแฝงความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถจำแนกได้ว่าเศร้าหรือระบายเจ็บในอกตามประสาคนเมา


"ข้าดื่ม...ดื่มจนจะลืมแต่พอเงยหน้าขึ้น......ข้ากลับเห็นเจ้าชัดกว่าตอนมีสติอีก" เถียนเฟิงไม่ใช่คนที่จะเมาเพราะสุรา หากเมาเพราะความคิดตัวเอง ความเงียบที่สะสมเหมือนกับไม่รู้สิหลินหยาไม่เคยเห็นเขาไม่มีทางเป็นแบบนี้อ่ะ ทุกสิ่งในตารางบัญชีของชีวิตเขาไม่มีคำว่าผิดพลาดแต่ยามนี้ทุกอย่างมันไม่เป็นระเบียบ…


“ท่านโดนมอมยากับมอมเหล้าหรอใต้เท้า” หลินหยาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง


"ไม่มีใครมารับหรอก...ไม่มีใครรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่..." เขาว่าเบา ๆ ราวกับเงาไม้ที่ทอดยาว ตอนนี้เหมือนว่าหลินหยาจะงงหนักกว่าเดิม เพราะเขาพูดเอาแต่ไม่มีใคร ไล่กลับ ….เขาบอกกันว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาท่าจะจริง มือที่เคยกำกระดานบัญชีอย่างมั่นคงตอนนี้กลับคว้าแต่ใบไม้ที่ร่วงใต้เท้า สะท้อนภาพบุรุษผู้ควบคุมทุกอย่าง...แต่ปล่อยใจตัวเองหลุดจากการควบคุม


เถียนเฟิงขมวดคิ้วนิด ๆ ขณะกลิ่นหอมของลูกท้ออ่อน ๆ กับไม้กฤษณาที่มักจะติดกายหลินหยาลอยมาตามลม ร่างสูงที่นั่งเมาอยู่ที่นั่งริมพุ่มไม้เงยหน้าขึ้นอีกครั้งช้า ๆ ดวงตาที่พร่ามัวไปเพราะฤทธิ์สุรากระพริบถี่เหมือนจะเรียกสติกลับมา ทว่า…ก็ยังพูดช้าเหมือนบทความจากราชกิจจาฯ ที่โดนก๊อปมาครึ่งหน้า “ขะ…ข้าไม่ได้โดนยานะ…ก็แค่...แค่...หรือเปล่า?” เขาเลียริมฝีปากตัวเองนิดหนึ่ง ดวงตาปรือยิ่งกว่าแมวเมาแดด “ก็แค่…กินมากไปนิด...แถมท้องว่างด้วย…มั้ง?”


“แล้วไอ้ที่เจ้าว่าข้าพูดไม่เป็นภาษาน่ะ ข้าเรียกว่า...การแสดงออกทางวรรณศิลป์แห่งความหดหู่ในใจ...” เสียงเถียนเฟิงยานคางใบหน้าปกติที่สุขุมจนฆ่าคนตายได้โดยไม่ต้องขยับกลายเป็นใบหน้าเมาที่อึนจนอยากหยิกแก้มข้างขวาเล่น ๆ เขาเอียงคอมองหลินหยาพลางยกมือขึ้นแต่ไปคว้าได้เพียงชายแขนเสื้ออีกฝ่ายเบา ๆ นิ้วเรียวสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไรแต่แทนที่จะเป็นประโยคฉลาด ๆ หรือเสียดสีแบบคนเจ้าเล่ห์...กลับกลายเป็นคำอ้อนครางเบา ๆ


หลินหยามองเขาด้วยสีหน้าระคนระหว่างงงปนสงสารปนอยากยัดยาดมใส่จมูกคนเมาให้ฟื้นสติกลับมา เธอส่ายหน้าแล้วว่าเสียงลอดไรฟันเบา ๆ “โอ๊ย ให้ตายสิ คนอะไรเมาแล้วยังจะทำตัวลิเกไปอีก!”


“ก็ได้…จะอยู่เป็นเพื่อนให้แป๊บนึงก็ได้…แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าจะอ้วกนะข้าไม่ล้างให้นะท่าน อีกอย่างถ้านานเกินไปข้าจะเดินไปตามคนมาลากท่านให้พาไปส่งจวนท่านเองด้วย” แล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเล็ก ๆ ในแขนเสื้อออกมาวางใส่ตักอีกคนเบา ๆ แบบเอาคืนก่อนจะนั่งกอดเข่ามองเขาเงียบ ๆ


“...ผ้าเช็ดหน้ากลิ่นลูกท้อกับไม้กฤษณา...ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเจ้าเนี้ย...” แล้วหัวก็เอนพิงลำไม้เงียบ ๆ เหมือนจะหลับไปตรงนั้นอีกครั้ง...กุลสตรีที่ไหนจะต้องนั่งเฝ้าอสรพิษขี้เมาเงียบ ๆ ใต้แสงตะเกียงยามดึกเช่นนี้กันนะ…หลินหยาหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับไม่อยากยอมรับว่า…บางทีเธอก็เป็นพวกเดียวกับเขา


 


@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาปลดจ้า คือ 5555 เถียนเฟิงไม่เคยหล่อในสายตาน้องเลยดิ แกงมาก

รางวัล: -



อัพความชำนาญเฉพาะตัว ศาสตร์การดนตรี

รับพลังยอดนักดนตรี
1) มีระดับปราณพรสวรรค์ถึงระดับทอง
2) มีระดับความแข็งแกร่งถึงระดับ 40
3) มีสเตตัส INT 60+ และ POW 50+


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 31007 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-18 02:12
โพสต์ 31,007 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-18 02:12
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-18 16:09:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน

อีเว้นท์ เงาจันทร์เหนือถนนสิบลี้


เงาจันทร์ยามยามไห่ทอดทาบลงบนถนนสิบลี้ เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจของสุนัขเร่ที่นอนพาดเท้าหน้าหอว่านหงเหริน...แต่ไม่เงียบพอที่จะกลบเสียงบ่นอ้อแอ้ของเถียนเฟิงที่ยังเมาไม่สร่างแม้จะนั่งพิงต้นไม้อยู่นานจนดอกหญ้าข้างแก้มเขาแทบจะงอกเข้าไปในหู “...ข้าบอกแล้วว่าระบบส่วยแบบเดิมมันไม่ได้ผล...พวกกรม….คิดว่ากำแพงเมืองจะซ่อมได้ด้วยงบแค่นั้นหรือไง...ต้องมีคน...ต้องมี...คน...” เสียงเขาลดหลั่นลงเป็นกระซิบแหบพร่าแทบฟังไม่รู้เรื่อง


หลินหยานั่งกอดเข่ามองเขาสักพักรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูการแสดงเดี่ยวของขุนนางสายป่วยจิตขั้นอ่อนที่กำลังเล่นบทคนบ่นใส่ฟ้าดิน ทั้งที่ตรงหน้ามีแค่ต้นหญ้ากับแมวหลับไปแล้วหนึ่งตัว นางถอนหายใจพลางบ่นเบา ๆ “อาการแบบนี้…ตัวร้อนแน่เลยคนเมาหนักเนี้ย ถ้าปล่อยไว้...” แล้วจึงขยับเข้าไปใกล้แตะหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เพราะมือของเถียนเฟิงร้อน ๆ อุ่น ๆ พอสมควร “เอาว่ะ…ใต้เท้า...ข้าจะพาท่านกลับจวนนะ ลุกขึ้นหน่อย อย่าอิดออด เดี๋ยวก็ป่วยเอา” เสียงเธอเอ่ยด้วยความระอาแต่แฝงความห่วงใยดวงตากลมโตเหลือบมองรอบ ๆ อย่างระวังตัวก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างสูงขึ้นช้า ๆ


เขาขยับตัวอย่างงุ่มง่าม ริมฝีปากยังพึมพำ “...อย่าบอกใครนะ...ว่าข้า...เป้าหมายการปฏิรูปเศรษฐกิจของฮ่องเต้...คือการลดการพึ่งพาเงินจากตลาดมืด...” หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกรอกตา “ไม่บอกหรอกน่า ใครเขาจะอยากรู้ว่าคิดอะไรแบบนั้นอยู่วะ ไม่ใช่การทำงานนะตอนนี้อ่ะท่านเถียนเฟิง” แล้วขยับมือไปคว้าหมวกไม้ไผ่ที่หลินหยามีมาสวมลงบนศีรษะอีกฝ่าย หมวกนั้นใหญ่ไปหน่อยจนเถียนเฟิงต้องก้มหน้าเกือบครึ่งคอถึงจะไม่หล่น หลินหยาแอบหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะพูดติดตลก “ดีละ ท่านดูเหมือนชาวบ้านที่เมาเพราะเมียหลวงไม่ยอมกลับบ้านสักที…ไม่มีใครจำท่านได้แน่นอน”


จากนั้นมือบางก็ค่อย ๆ ประคองแขนอีกคนขึ้นอย่างไม่ประณีตนักแต่ก็แน่นพอให้พยุงน้ำหนักได้ เดินผ่านถนนสิบลี้ที่ไร้ผู้คนยามค่ำ เงาสะท้อนของตะเกียงบนแอ่งน้ำข้างถนนกระเพื่อมไหวตามแรงก้าวของทั้งสองร่าง เสียงฝีเท้าที่ไม่เท่ากันดังสลับไปมาพร้อมเสียงถอนหายใจเบา ๆ ของหญิงสาวที่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับสภาพคนที่ปกติปั้นหน้าเย็นชาเหมือนจะวางแผนล้มขั้วอำนาจได้ทั้งแคว้นแต่วันนี้กลับโดนแบกหัวหมุนกลางดึกแบบนี้และระหว่างที่เธอกำลังนึกถึงทางลัดกลับจวนที่ไม่ต้องผ่านพวกช่างนินทาเถียนเฟิงที่อยู่ในอ้อมแขนเธอก็พึมพำเบา ๆ ข้างหู “หลินหยา...ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเป็นหนี้ใคร...แต่คืนนี้...ให้ข้าเป็นหนี้เจ้าก็แล้วกัน...”


เสียงนั้นเบาราวกลืนไปกับลม...แต่แรงกอดที่แนบมาตามแขนข้างหนึ่งของเขาทำให้เธอต้องเม้มปากแน่น เอ่อ แกได้เป็นหนี้สมใจแน่เถียนเฟิง


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวดังต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบของยามค่ำคืน ถนนสิบลี้ยามนี้ราวกับร้างไร้เงาคน มีเพียงแสงตะเกียงบางดวงที่ยังกรุ่นไส้ไฟริบหรี่คล้ายจะดับแต่ยังสู้ไม่สิ้นแสง เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างบางที่แม้จะเหนื่อยจากการพยุงร่างของใครบางคนซึ่งกำลังเมาได้ที่จนแทบจะเป็นภาระระดับเสาเรือนแต่เธอก็ยังเดินไปข้างหน้า ดวงตาหวานสั่นไหวไปตามแสงที่สะท้อนผิวน้ำใต้ฝ่าเท้า


เถียนเฟิงตอนนี้...ไม่ใช่ใต้เท้าที่สงบเสงี่ยมวางแผนเงียบ ๆ อีกต่อไป ทว่าเขาคือชายเมาขาดสติที่กำลังพึมพำราวกับวิญญาณในพงไพร “ถิงเว่ย...เขาหายไป...ไม่ทันได้ถามว่าเอกสารนั้นเสร็จยัง...” น้ำเสียงพร่าลงในลำคอคล้ายละเมอ “...วันที่สอง...ยามเซิน...ไม่มีใครบอก ไม่มีร่องรอยใด...”


หลินหยาในจังหวะนั้นชะงักฝีเท้าหัวใจพลันเต้นแรง ความทรงจำหนึ่งผุดพรายขึ้นในห้วงคิด ถิงเว่ย..ท่านจางทัง วันนั้นเขาอยู่กับนางกินหม้อไฟแสนอร่อย...ก่อนจะขอตัวออกไป หายไป...แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ตอนนั้นท่านชายห่าวหมิงในคราบจางกงกงยังบอกอีกว่าเขาไปราชการต่างเมือง...นางเม้มปากแน่นกัดฟันแน่นจนกรามเกร็ง นัยน์ตากลมโตหรี่ลงอย่างคาดการณ์


"...ถ้าโกหกข้าล่ะก็ ไอ้จางกงกง...เราได้รู้กันแน่..."


เสียงกรอดเบา ๆ จากฟันที่ขบกันแน่นแทบจะสื่อความในใจออกมาทั้งหมดและในขณะเดียวกันนั้น เถียนเฟิงที่ดูเหมือนจะทรุดตัวลงเล็กน้อยกลับขยับเข้ามาแนบชิดเธอยิ่งกว่าเดิม แขนที่วางพาดบ่ากลับรั้งเบา ๆ ให้ร่างสูงเอนเข้ามา...แนบจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนจัดของผิวกาย ริมฝีปากที่เคยกล่าวโทษเหล่าขุนนางคดโกงคราวนี้กลับเลื่อนไปใกล้ใบหูเธออย่างไม่รู้ตัว หลินหยาเบ้ปากอย่างเหนื่อยใจ “ให้ตายสิ...นี่มันกอดแน่นกว่าตอนพี่ชายข้าเมาอีก…แล้วจะให้ข้าพาพ้นมุมหัวถนนสิบลี้ไหมเนี้ย...” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่มือเธอก็ยังมั่นคงไม่ปล่อย น้ำเสียงไม่แผ่วแม้หัวใจจะเต้นแรงจากข้อมูลที่ได้รับมาท่ามกลางความเมามายของอีกฝ่าย


“ท่านบอกว่าจะเป็นหนี้ข้าใช่ไหม...” เสียงเธอแผ่วเบาในลำคอก่อนจะเหยียดยิ้มจาง ๆ “งั้นก็จดไว้ให้ดี ข้าจะเก็บทบต้นทบดอกจดพร้อมวันที่ เวลา และแม้แต่ชื่อคนที่ท่านกอดแน่นแบบนี้ขณะเมา...” น้ำเสียงขี้เล่นนั้นพาให้บรรยากาศเย็นของค่ำคืนอุ่นขึ้นเล็กน้อย แม้น้ำหนักของอีกฝ่ายจะยังพาดมาจนบ่าจะหลุดแต่หญิงสาวก็ก้าวต่อไปโดยไม่คิดจะปล่อย คืนนี้...นอกจากจะต้องพาใครบางคนกลับให้ถึงจวนโดยไม่มีใครเห็นแล้ว...เธอยังได้รู้เรื่องใหม่ที่เหมือนเงาผืนผ้าไหมที่ถูกดึงออกจากมุมหนึ่งจนเห็นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงภายใน


และหลินหยารู้ดีว่า...เรื่องนี้นางจะไม่ปล่อยให้มันจบง่าย ๆ อย่างแน่นอน




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอาเลยคุณพี่น้องจะตีหัวจางกงกง

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 26450 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +20 EXP +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-18 16:09
โพสต์ 26,450 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม +5 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-18 16:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 19:48:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


และแล้วหลินหยาก็มาที่นี่อีกครั้ง หอว่านหงเหรินที่ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน ก่อนหน้านี้เธอไปรับเลี้ยงหมาน้อยตัวหนึ่งมาก่อนแต่มันอ่อนแอเลยพาไปส่งที่โรงหมอให้ท่านหมอรักษาก่อน แล้วก็อาบน้ำใหม่มาที่หอว่านหงเหรินแห่งนี้ สถานที่จุดเริ่มต้นของนางกับจางกงกง เธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ เขามาที่นี่ในฐานะท่านชายห่าวหมิง แต่ก็คงจะอยู่ที่ห้องเดิม ห้องรับรองตะวันตก ห้องที่เขามักจะไปที่นั้นนั่งฟังเสียงดนตรีและรำสุราที่หลินหยาเป็นคนบรรเลงหรือเป็นคนรินยามเมื่อนางยังเป็นเพียงนักดนตรีฝึกหัดที่หอว่านหงเหรินแห่งนี้


เสียงฝีเท้าของหลินหยากระทบลงบนพื้นไม้เนื้อดีแห่งหอว่านหงเหรินที่เงียบสงบในยามเซิน แสงแดดอุ่นอ่อนทะลุม่านผ้าแพรบางสีครามนวลย้อมเรือนร่างเธอด้วยเฉดทองอ่อนของบ่ายคล้อย หากแต่ในอกกลับรู้สึกหน่วงหนักคล้ายเดินผ่านความหลังของตนเองในทุกย่างก้าวความทรงจำในรอยยิ้ม เงาของดวงตาและเสียงทุ้มนุ่มนวลที่คล้ายจะเอ่ยชื่อของนางในทุกคืนเดือนดับ...


"ห้องรับรองตะวันตกเหมือนเดิมสินะ..." หญิงสาวพึมพำกับตนเอง ดวงตาฉายแววลังเลชั่วครู่ก่อนจะกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง


เส้นทางเดินภายในหอยังงดงามราวภาพฝันเช่นเดิม กลิ่นดอกเหมยอบแห้งผสมกลิ่นเครื่องหอมจากเตาเผาอ่อน ๆ ยังลอยคลุ้งล้อมอยู่ในบรรยากาศไม่แปรเปลี่ยน ทุกก้าวที่ก้าวไปเหมือนมีดอกไม้โปรยไว้บนความทรงจำ บางครั้งเธอเคยหัวเราะอยู่ตรงนี้บางครั้งเธอเคยแอบยิ้มอยู่ตรงนั้น และในห้องปลายทาง...เธอเคยเกือบหลงคิดว่าเขาเป็นคนดีจนไม่ฟังคำเตือนใคร หลินหยาหยุดอยู่หน้าบานประตูไม้สลักลายเมฆซ้อนหงส์ที่เธอคุ้นเคย บานประตูนี้เคยเปิดออกมาและพบกับเขาผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้าชายแปลกหน้าผู้มีดวงตานิ่งงันยากคาดเดา แต่กลับเอาแต่จ้องมองนางราวกับจะกลืนกินหัวใจเธอทั้งดวง


“ท่านอยู่ข้างในนั้นหรือเปล่านะ…หญิงสาวพ่นลมหายใจยาวอีกครั้งก่อนยกมือขึ้นเคาะเบา ๆ ที่ประตู


ตึก ตึก ตึก…


ไร้เสียงตอบกลับทันที มีเพียงเสียงสายลมยามบ่ายที่โบกผ่านร่มไม้ภายนอก ลมหอบกลิ่นบุหงาหอมอ่อนปลิวมาแตะปลายจมูก ก่อนที่บานประตูจะค่อย ๆ แง้มเปิดออกช้า ๆ ด้วยแรงผลักจากภายใน...กลิ่นเครื่องหอมที่เธอจำได้แม่นลอยออกมาเป็นระลอกแรก ตามมาด้วยแสงสีทองที่รินไหลจากหน้าต่างฝั่งตะวันตกทอดลงบนพรมไหมพับงามกลางห้อง และในห้องนั้นบนเบาะรองนั่งที่มีหมอนปักไหมประดับลวดลายหยินหยางใบหนึ่ง เรียงรายขวดสุราและถ้วยชาอยู่เงียบ ๆ ชายผู้หนึ่งในชุดยาวสีเข้มที่เธอรู้ดีว่าใคร...กำลังเอนกายพิงขอบหน้าต่าง มองแสงอาทิตย์ด้วยแววตาเหม่อลอย แต่เมื่อบานประตูเปิด เสียงฝีเท้าและกลิ่นเฉพาะของนางพลันเปลี่ยนทิศสายตาของเขาให้หันกลับมาในพริบตา


"เจ้ามาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้นะ...เสี่ยวหยา" เสียงทุ้มของเขากล่าวขึ้นในที่สุด แต่ในน้ำเสียงกลับไม่แฝงความประหลาดใจ ราวกับเขาคาดไว้แล้วว่านางจะมาหาเขา...ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หลินหยาจ้องเขาไม่กระพริบ นางไม่พูดอะไรทันทีแต่เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง นั่งลงตรงกันข้ามเขาด้วยท่าทางที่เหมือนจะบอกว่า ‘ข้ามาเพราะต้องมา ไม่ได้อยากมา’ แต่ถึงกระนั้น...ขอบตาของหญิงสาวกลับร้อนผ่าวกว่าที่คิด ทั้งที่ไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลยก็แค่สถานที่เก่า บรรยากาศเดิมกับผู้ชายหน้าเดิม ๆ ที่แกล้งนางได้ทุกครั้ง...แล้วทำไมนางถึงใจเต้นแรงจนอยากหนีกลับไปเสียตอนนี้นะ?

 

แต่หลินหยาก็แค่เม้มปากแน่นไม่ยอมแสดงสีหน้าใด ๆ เพราะรู้ดี...ว่าถ้าเธอเผลอเผยความรู้สึกนั้นออกไป เขาจะต้องจับได้แน่นอนและจะต้องแกล้งเธออีกแน่ ๆ อย่างที่เคยทำ...แค่คิด...นางก็อยากจะเอาถ้วยชานั้นฟาดหน้าคนตรงหน้าแล้วหนีออกไปซะเดี๋ยวนั้นเลย หลินหยามองชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าแล้วเดินมาภายในห้องแห่งนี้แล้วปิดประตู กอดอกมองเขา บอกให้มาพิสูจน์ว่ามีสตรีมายุ่งไหม แต่เขาคงไม่ทำอะไรให้เสียเรื่องเสียละมั้ง..


จางกงกงยังคงเอนกายพิงหมอนข้างบนพรมเนื้อดี ชุดยาวสีหมึกทอดตัวเรียบลื่นท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่างแคบของห้องรับรองตะวันตก เสียงประตูปิดลงเบา ๆ ตามด้วยเสียงฝีเท้าเบาแต่หนักแน่นของหญิงสาวผู้มาเยือนและเขาไม่จำเป็นต้องเหลือบมองก็รู้ว่าใคร "จริงสิ…ข้าไม่เห็นต้องพิสูจน์อะไรเลยใช่ไหม" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หางเสียงแฝงรอยยียวนพลางเอียงศีรษะมาทางนางครึ่งหนึ่ง "แต่ไหน ๆ เจ้าก็มาด้วยตนเอง ข้าก็ควรแสดงความ...จริงใจหน่อยละมั้ง?" 


ดวงตาหลังหน้ากากครึ่งหน้าจับจ้องหลินหยาไม่คลาดเคลื่อน ขณะที่หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาคมหวานเดินเข้ามา กอดอกแน่น มองเขาด้วยแววตาระแวดระวังปนเหนื่อยหน่าย ไม่ต้องเดาให้ยากสีหน้าแบบนี้ของหลินหยา แปลได้ชัดถ้อยว่า ‘ข้ารู้ทันนะว่าเดี๋ยวต้องมีอะไรแน่’


“ท่านบอกให้ข้ามา ข้าก็มานี่ไง” นางบ่นในลำคอก่อนจะสะบัดหน้ามุ่ยเบา ๆ แล้วเดินวนห่างจากเขาเล็กน้อย หางเสียงงอนเล็ก ๆ แต่กลบด้วยท่าทางฮึดฮัดแบบคนที่พยายามจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร “ก็บอกให้มาพิสูจน์ดูนี่นาว่ามีสตรีใดมาเกี่ยวข้องกับท่านไหม แต่นี่คงจะไม่ทำอะไรให้ดูง่าย ๆ หรอก ข้าไม่หลงกลท่านหรอกนะอย่าคิดจะมาหยอกหรือแกล้งอะไรอีกล่ะ!”


“หืม? แต่หน้าตาเจ้าดูเหมือน...คาดหวังอยู่นะ” จางกงกงหรี่ตาลง มุมปากยกยิ้มบาง ๆ อย่างผู้กำลังจะล่าเหยื่อ มือหนึ่งค่อย ๆ ยกถ้วยสุราขึ้นจิบช้า ๆ ดวงตานั้นยังไม่ละจากร่างของหญิงสาวแม้แต่วินาทีเดียว


หลินหยาหันขวับส่งสายตาราวกับจะฆ่าเขาด้วยลูกตา แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล “คาดหวังบ้านท่านสิ!” นางแทบจะตะโกนเสียงเขียวแต่ก็ยังคงรักษาสง่าราศีของสาวชาววังไว้ไม่ให้กลายเป็นแม่ค้าตลาดล่างเสียก่อน นางจงใจเดินเข้าไปใกล้หยิบถ้วยชาตรงหน้าเขามาวางเปรี้ยงลงข้างตัว ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอีกคนอย่างท้าทาย คางเชิด ดวงตาหวานร้อนแรงกว่าคำพูดเสียอีก “ถ้าจะเล่นลิ้นนักล่ะก็...รีบ ๆ พิสูจน์ให้มันจบ ๆ ไปเสียที ข้าจะเข้าเรื่อง”

 

จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้ดังกึกก้องแต่มันกลับทำให้บรรยากาศรอบห้องเหมือนจะอุ่นวาบขึ้นในทันที “เช่นนั้นก็รอดู...เพราะข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูด้วยวิธีของข้าเท่านั้น” เขาค่อย ๆ วางถ้วยสุราลง ก่อนจะเอนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนหลินหยาเริ่มอยากจะลุกหนี แต่ก็ดันยืดอกท้าทายเข้าใส่ทั้งที่ใจเต้นแรงแทบระเบิด ก่อนที่หากเมื่ออีกคนดูท่าจะยื่นมือมาหลินหยาเบี่ยงตัวหลบอย่างมีจังหวะ มือเรียววางถ้วยชาเปล่าลงโต๊ะอย่างไม่เบานัก ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาคมหวานที่เคยฉายแววขี้เล่นระริกกลับฉายเงาเครียดจัดเจน นางยกมือกอดอกไว้แน่นก่อนเอ่ยเสียงขุ่น


"ไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอก ข้าไม่ได้มาวันนี้เพื่อให้ท่านมาแกล้งหรือเล่นลิ้นอีกแล้ว" น้ำเสียงของนางฟังดูเด็ดขาดกว่าทุกครั้ง “ข้ามาเพราะเรื่องของท่านจางทังอย่าทำลืมสิ”


จางกงกงยังคงเอนพิงหมอนหนุนหลัง ท่าทีของเขายังคงดูผ่อนคลายจนเกินเหตุ แม้จะมีแววระวังลึก ๆ ใต้ดวงตาใต้หน้ากากที่เหลือบมองนางไม่วาง จนเมื่ออีกฝ่ายหยิบประเด็นที่เขาอยากจะหลีกเลี่ยงขึ้นมา ใบหน้าหล่อใต้หน้ากากครึ่งซีกนั่นกลับเผยรอยยิ้มเหี้ยมเยือกบาง ๆ คล้ายคนที่กำลังจะเล่นสนุกกับของที่ตนเองจับทางได้หมดแล้ว "เรื่องของเขาน่ะหรือ? โอ้...เจ้าอยากรู้จริง ๆ งั้นหรือเสี่ยวหยา?" เสียงของเขาเอ่ยเนิบนาบคล้ายล้อเลียน คล้ายทดสอบใจนางไปพร้อมกัน “ถามข้าตรง ๆ เช่นนี้ ทำไมกัน? หรือว่า...เจ้ากลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปเพราะเจ้า?”


“ท่านทำอะไรเขา?” นางย้อนถามเสียงต่ำ ใจร้อนจนสายตาลุกวาว หากเป็นดาบคงฟาดลงมากลางคอเขาแล้ว “ตอบมาเถอะ ข้าไม่เล่นด้วยouhไม่ใช่เรื่องที่จะหยอกเย้านะ!”


“หืม… ใจร้อนจังนะ” จางกงกงลุกขึ้นจากท่านั่งสบาย ๆ ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะไม้ลายครามมายืนตรงหน้านางอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าเนิบช้าแต่แฝงอำนาจมือหนึ่งไขว้หลังอีกมือแตะขอบโต๊ะ ก่อนจะโน้มกายลงมาจนใบหน้าของเขาอยู่ในระดับเดียวกับหลินหยา “ข้าสัญญาแล้วมิใช่หรือ?” เขาเอ่ยเสียงนุ่มแต่เย็นเยียบ “ว่าจะตามหาเขาให้และจะพากลับมา หากข้าทำได้…เจ้าก็ต้องให้รางวัลข้าเหมือนที่เจ้าพูดไว้ ใช่หรือไม่?”


หลินหยาขบฟันแน่นอย่างอดกลั้นทั้งอยากผลักใบหน้าทะลึ่งทะเล้นนั่นออกให้พ้นทาง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องแกล้งกลับอยู่ดี “ท่านอย่าคิดว่าข้าจะลืมเรื่องนั้น แล้วเอามาเล่นลิ้นต่อรองกับเรื่องของท่านจางทังนะ!”


“แล้วข้าเล่นตรงไหนกัน?” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกือบสุภาพเกินควร “ข้าแค่...ถามไถ่ถึงข้อตกลงระหว่างเราก็แค่นั้น” ดวงตาของเขาฉายแววเยือกเย็นขึ้นชั่วขณะก่อนจะกลับเป็นรอยยิ้มแฝงเงาเงียบ “และตอนนี้ข้าก็กำลังทำตามสัญญาอยู่...แม้ว่าจะมีอุปสรรคบางอย่าง”


หลินหยาขมวดคิ้ว “อุปสรรคอะไร?”


“เจ้า” เขาตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มเยือกเฉียบในดวงตา “เจ้านั่นแหละคืออุปสรรคของข้า ไม่ว่าจะมองยังไง” ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือขึ้น...แตะที่ปลายคางนางเบา ๆ แล้วเอ่ยแผ่วเบาในระยะที่ลมหายใจแทบผสานกัน “แต่ข้าไม่ถือสา...หรอกนะ เพราะอุปสรรคที่ทำให้ข้าหลงหัวปักหัวปำได้ขนาดนี้ ก็มีแค่เจ้านี่แหละ”


หลินหยาเบิกตากว้างนางอยากผลักไส อยากด่ากลับให้เจ็บใจ แต่กลับพูดไม่ออก คำพูดพวกนั้น...มันคล้ายจริงจังเสียจนนางสับสนว่าจะโกรธ หรือจะหลุดหัวเราะออกมาก่อนกันแน่ แต่สิ่งเดียวที่แน่ชัดคือเขายังไม่ได้ตอบเลยว่า ท่านจางทังอยู่ที่ไหนกันแน่?


หลินหยาแทบอยากจะด่าเขา กำลังด่าเลยแหละ "อย่ามาเล่นลิ้นกับข้านะ!" เสียงหวานแปร่งด้วยความขุ่นเคืองพุ่งแหลมขึ้นในห้องแคบ หลินหยายืนตึงขากรรไกรแน่นเสียจนข้างแก้มขึ้นสัน ดวงตาเบิกกว้างราวจะพ่นไฟใส่คนตรงหน้า "บอกมาเสียที! ท่านจางทังอยู่ไหน? อย่าคิดจะยื้อเพื่อแกล้งข้าเล่นอีก!" นางกัดฟันพูดมือกำชายเสื้อจนข้อนิ้วซีดขาว ทั้งจากความโกรธและความกลัวที่กัดกินใจตนเองอย่างเงียบงัน ความกังวลในน้ำเสียงนางไม่อาจปิดบังได้ ถึงหลินหยาจะเก่งในเรื่องแสดงละครขนาดไหน แต่เมื่อนึกถึงท่านจางทังมิตรสหายชายหนุ่มผู้เคยมีบุญคุณต่อนางมันก็ยากเหลือเกินที่จะข่มอารมณ์ให้ราบเรียบ และยิ่งอยู่ต่อหน้าชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าตรงหน้า นางยิ่งปิดบังมันไม่ได้


ตรงกันข้ามกับความตึงเครียดของนาง ใบหน้าของจางกงกงภายใต้หน้ากากครึ่งซีกกลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างเนิบช้า ดวงตาฉายแววขำขันปนเวทนา และนั่นนั่นแหละ...ที่ทำให้หลินหยาอยากจะพุ่งเข้าไปผลักเขาให้ล้ม "ใจเย็นสิแม่เสี่ยวหยาตัวน้อย" เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าความนุ่มนั้นกลับเต็มไปด้วยหนามแหลมพาดพิงถึงความไร้พลังของนางอย่างไม่บอกกล่าว "คนของข้ากำลังจัดการเรื่องนั้นอยู่"


เขาหยุดไปครู่ก่อนจะเอียงศีรษะเบา ๆ แล้วเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ทีละก้าว...ทีละก้าว ราวกับนักล่าที่รู้แน่ว่าเหยื่อไม่อาจหนีได้พ้นกรงเล็บตน "หอว่านหงเหรินน่ะ...เจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงสถานที่หาความบันเทิงธรรมดาเท่านั้นหรือ?" เสียงทุ้มเจือเย็นเอ่ยกระซิบเมื่อระยะห่างเหลือไม่ถึงสองคืบ มือเรียวยาวยกขึ้นแตะปลายเส้นผมของนางที่ปรกแก้มอย่างแผ่วเบา เกลี่ยมันออกเบา ๆ คล้ายจะห่วงหา ทั้งที่รอยยิ้มใต้หน้ากากนั้นกลับบิดเบี้ยวด้วยความคิดน่าสะพรึงในหัวของตน "มีใครบางคนในเงามืดหรือแสงสว่าง...ที่ข้าไม่อยากให้เจ้าได้พบเขาอีก ข้าเพียงกำจัดสิ่งกีดขวาง...และรอให้คนของข้าจัดการลากตัวกลับมา"


“ข้าไม่ต้องการคำอธิบายครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือคำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ จากปากท่านหรอก” หลินหยาขยับถอยหลังอย่างไม่ไว้ใจ “ข้าอยากได้คำตอบว่าท่านจางทังปลอดภัยหรือไม่!”


“ปลอดภัยดี…ตราบเท่าที่เจ้ายังว่างมาพบข้าแบบนี้ได้ทุกวัน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกคล้ายล้อ แต่นัยน์ตาที่จ้องนางไม่ใช่เล่นไม่เคยเล่นเลยแม้สักครั้ง และก่อนที่นางจะทันตอบโต้อะไร จางกงกงก็ก้าวเข้ามาอีกครั้ง ฝ่ามือหนาแตะที่ผนังด้านหลังใบหน้านาง ร่างสูงแผ่รัศมีคุกคามปิดทางหนีทุกทิศไว้แน่น "เจ้าน่ะ…มันปีศาจในคราบแมวเชื่อง" เสียงเขาแผ่วกระซิบที่ข้างใบหู "แต่ข้าน่ะหรือ…ข้าคือมัจจุราชที่จับเจ้าไว้ใต้กรงเล็บตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว" คำพูดของเขาเย็นชาแต่ลุ่มลึก ราวกับผู้อ้างสิทธิ์ครอบครองในสิ่งที่ไม่ควรครอบครองและหลินหยาก็รู้...รู้ดีว่าทุกคำพูดนั่นไม่ได้เป็นเพียงลมปาก


ความรู้สึกเยือกเย็นและร้อนรุ่มปะทะกันกลางอกนาง ราวกับกำลังยืนอยู่บนเหวน้ำแข็งที่ลุกเป็นไฟ นางจะรับมือกับเขาอย่างไรดีในเมื่อตอนนี้เงารอยยิ้มใต้หน้ากากนั้นช่างเหมือนคนที่ พร้อมจะกลืนกินนางทั้งเป็น...โดยไม่เหลือซากเลยแม้แต่นิดเดียว


ดวงตาคมใต้หน้ากากครึ่งซีกของจางกงกงทอดมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนอะไรบางอย่างในห้วงความคิดได้ถูกสะกิดขึ้นมา... เงาในม่านความทรงจำทาบซ้อนกับภาพตรงหน้าราวกับฉากละครซ้อนเงา


...ที่นี่...ห้องนี้

...แสงเทียนสลัวเย็นรินผ่านม่านบาง

...กลิ่นกฤษณาอ่อนๆ จากกระถางธูปที่วางมุมห้อง


"เจ้ายังจำได้ไหม" เสียงแหบพร่าชวนเคลิบเคลิ้มกระซิบที่ข้างหูนางคล้ายหยอก คล้ายจงใจสะกิดบางสิ่งให้ตื่นขึ้น "ที่นี่...คือที่ที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรก" 


หลินหยาเบิกตากว้างนิดๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีดวงตานั้น กลิ่นน้ำหอมจากอาภรณ์เขายังคงรวยริน เสียดแทงความทรงจำเก่าก่อนให้พุ่งขึ้นราวคลื่นกลืนสติ ตอนนั้นนางยังไม่รู้จักเขา ยังไม่รู้ว่าเบื้องหลังหน้ากากคนนั้นคือปีศาจเงียบงันในวังหลวง…นางในวัยนั้นแค่เด็กสาวคนหนึ่งในหอว่านหงเหริน ผิวขาวจัด ตาคมหวาน ใบหน้าเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบร่างเล็กผอมบางจนเสื้อคลุมยังหลวมโพรก มือที่ถือถาดยังสั่นไม่หายจากแรงตื่นเต้น...วันที่เขาเดินเข้ามาในห้องตะวันตก ห้องนี้ ห้องที่ตอนนี้กลายเป็นสนามอารมณ์ระหว่างทั้งสอง


เสียงฝีเท้าของเขาในความทรงจำยังคงชัดเจน เงาร่างสูงในชุดคลุมดำทาบทับกับแสงไฟ สวมหน้ากากครึ่งซีกเหมือนทุกครา ดวงตาคมดั่งหมาป่าทะลุม่านทุกสิ่ง...และประโยคแรกที่เขาพูดกับนาง


‘เจ้าชื่ออะไร’ แม้ผ่านมานานแค่ไหน เสียงนั้นก็ยังคงดังก้องเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ‘หลินหยาเจ้าค่ะ’ คำตอบของเด็กสาวเหมือนจะสั่นแต่กลับนิ่งขึ้นได้อย่างน่าประหลาด มือประสานแน่นอยู่หน้าท้อง เสียงของนางเบาจนแทบกลืนหายไปกับสายลม แต่เขาได้ยินเขาจำได้และเขาก็จดจำมันไว้เสมอ


"เจ้าพูดคำนั้นด้วยดวงตาที่นิ่งแต่สั่นเหมือนหวาดกลัวนัก...แต่ก็ยังนิ่งได้อยู่" จางกงกงพูดต่อเบา ๆ นิ้วเรียวแตะที่ปลายคางของนางเกลี่ยขึ้นอย่างนิ่มนวลเกินกว่าจะเชื่อว่ามาจากผู้ชายที่เคยบีบคอคนตายโดยไม่กะพริบตา "แต่ข้ากลับรู้สึกว่าชื่อของเจ้ามัน...หวานเสียจนกลืนไม่ลง" หลินหยาเม้มปากแน่นนางไม่อยากจำ แต่มันก็จำขึ้นมาเสียหมด เขาเคยมองนางเหมือนตุ๊กตาใบหนึ่งที่เขาแค่อยากเล่นด้วยชั่วคืนหรือชั่วอารมณ์ แต่เขา...ไม่เคยแตะต้องนางในครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย กลับนั่งนิ่งฟังเสียงขลุ่ย ฟังเสียงรินสุรามองนางราวกับกำลังมองบางสิ่งที่ตนเองยังไม่เข้าใจ


"เจ้าน่ะ...เปลี่ยนไปนะ" เขากระซิบชิดหูอีกครั้ง ริมฝีปากร้อนแนบแน่นแทบจะแตะเนื้อนวลขาวใต้ใบหู "จากลูกแมวสั่นกลัว...กลายเป็นแมวป่าขนพองที่พร้อมจะข่วนข้าทุกครั้งที่มีโอกาส...แต่มันก็น่ารัก...จนข้าอดใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็น"


"ท่านจางกงกง..." หลินหยาพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นนางอยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อขัดจังหวะสายตานั้นเพราะเขานั้นแหละที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ เพราะเขาคนเดียวที่พรากเอาความสุขของนางไปตอนนั้น ความจดจำบ้าคลั่งนั้นแต่ก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่ยกมือขึ้นปัดมือเขาออกแต่กลับถูกคว้าไว้เสียก่อน


"ไม่ต้องขัดขืนหรอก เจ้าน่ะ...ยังไงก็ไม่มีวันหนีข้าพ้นอีกแล้ว" และก่อนที่นางจะทันเอ่ยถ้อยคำใด ดวงตาคู่นั้นก็มองลึกเข้าไปในใจของหลินหยาอีกครั้งดวงตาที่ไม่เคยเปลี่ยน ดวงตาของผู้ชายที่มองนางมาตั้งแต่วันแรก...ดั่งหมาป่าที่จ้องเฝ้าเหยื่อของตนเองมาโดยตลอด…จนกว่าวันหนึ่งจะถึงเวลา ลงมือ จริง ๆ


จางกงกงที่อยู่ตรงหน้าเงียบไปชั่วอึดใจ ขณะดวงตาภายใต้หน้ากากครึ่งซีกยังคงจับจ้องหลินหยาด้วยแววตานิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ราวกับภาพของวันแรกที่ได้พบเธอในหอว่านหงเหรินยังคงติดตรึงอยู่ในใจ และตอนนี้เธอก็ยังอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ในฐานะผู้ต่อรอง…หรือในฐานะเหยื่อล่อสำหรับบางอย่างที่เขายังไม่อาจกล่าวออกมา มือของหลินหยาที่พยายามขยับจะปัดเขาออกในตอนแรกที่ตอนนี้กลับถูกชายผู้ครองตำแหน่งจงฉางชื่อรวบไว้มั่น เขาไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อเธอซ้ำอย่างอ่อนโยนเหมือนก่อน จางกงกงโน้มตัวเข้ามาใกล้ เลื่อนปลายนิ้วของหลินหยาเข้าหาตนเองอย่างแช่มช้า ชั่ววินาทีนั้น ราวกับทั้งอากาศภายในห้องรับรองตะวันตกในหอว่านหงเหรินนั้นหยุดนิ่ง


ริมฝีปากของเขาแตะลงที่ปลายนิ้วของเธอเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่ไม่ได้แผ่วเบาหรืออ่อนหวาน มันไม่ใช่การสัมผัสของผู้ปรารถนาดี ไม่ใช่ความละเมียดละไมแบบคนรัก...มันคือการแตะที่แฝงเร้นความหมาย การกระทำที่จงใจ และมีจุดมุ่งหมาย มันคือสัญลักษณ์ของการตีตรา ความท้าทาย และการครอบครองไม่ใช่ด้วยสิทธิของหัวใจ แต่ด้วยอำนาจและความปรารถนาอันเร้นลึกที่เก็บงำไว้ในความมืด


หลินหยาเบิกตาน้อย ๆ ดวงหน้าแดงวูบวาบเพราะความรู้สึกประหลาดแล่นวูบขึ้นมาจากปลายนิ้วจนถึงท้ายทอย นางสะดุ้งเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจเต้นถี่อย่างสับสน มืออีกข้างรีบยกขึ้นผลักอกเขาเพื่อขอระยะห่าง "ท่าน!" เสียงเธอหลุดครางทั้งที่ตั้งใจจะเอ่ยเสียงแข็ง แต่จางกงกงกลับเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาที่เปล่งประกายเจือรอยขบขันและความลุ่มหลงในเวลาเดียวกัน เขาไม่พูดสักคำเพียงปล่อยนิ้วเรียวของเธอช้า ๆ ราวกับเสียดายทุกสัมผัส แล้วเอียงศีรษะเพียงเล็กน้อยกระซิบเบา ๆ ตรงข้างหู


"ครั้งแรกที่เจ้าเสิร์ฟสุราในห้องนี้ เจ้าก็ทำให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนธรรมดา...น่าขันที่ตอนนี้ เจ้ากลับกลายเป็นคนเดียวที่ข้าไม่อาจละสายตาได้เลย"


น้ำเสียงเขาเรียบเย็นแต่หัวใจหลินหยากลับเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ เพราะเธอรู้ดี...ว่าเขาไม่ใช่แค่พูดเล่นและหากวันนี้เขายังไม่ยอมบอกเรื่องของจางทัง นางคงต้องใช้วิธีอื่นที่คาดไม่ถึงบ้างเสียแล้ว เกมระหว่างเธอกับเขายังไม่จบ...แต่ตอนนี้คนที่ถูกไล่ต้อนกลับกลายเป็นเธออีกครั้ง


ขณะหลินหยาเบี่ยงกายถอยหลังเล็กน้อยเพื่อจะดึงมือตัวเองกลับมา ทว่ากลับไม่อาจดึงออกจากแรงบีบแผ่วเบาแต่หนักแน่นของจางกงกงได้ ราวกับนิ้วเรียวของนางถูกเขากักไว้ภายใต้อุ้งมือเพียงเพื่อกลั่นแกล้งหรือกระทำอะไรที่มากกว่านั้น...นัยน์ตาคมใต้หน้ากากจ้องมองนางนิ่งงันราวกับล่วงรู้ความคิดอันแสนซนในใจของหลินหยาเสียหมดสิ้น ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายยิ้ม คล้ายสมเพช คล้ายหลงใหล "เจ้ากำลังคิด…ว่าข้าจะหักนิ้วเจ้าใช่หรือไม่?" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบาดุจเงาที่คลืบคลานขึ้นจากผืนดิน เสียงนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์แปลกประหลาด ชวนให้อารมณ์ตีวนระหว่างหวาดหวั่นกับหวั่นไหว "หึ..." เขาหัวเราะในลำคอ ไม่ดังกึกก้อง แต่กลับก้องสะท้อนในอกของหลินหยาแทน


"หากเป็นคนอื่น…อาจใช่" เขาโน้มตัวเข้าใกล้อีกครั้ง จงใจจนได้กลิ่นลมหายใจสลับของกันและกัน มือที่กุมมือของนางไว้เปลี่ยนจากรั้งเป็นลูบไล้เบา ๆ ทีละปลายนิ้วราวกับกำลังลิ้มรสสัมผัสด้วยปลายนิ้วตนเองก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแผ่วพร่า


"แต่นิ้วของเจ้า…เรียวงามบอบบางขาวสะอาดและ...อ่อนหวานจนไม่น่าเชื่อ" ปลายเสียงแผ่วลงราวกับชิมคำในปากก่อนกลืนลงไปอย่างพึงใจ ท่าทางของเขาไม่ต่างจากนักล่า...นักล่าผู้รอบจัดที่ไม่รีบเขมือบเหยื่อ แต่กลับละเลียดจนเหยื่อหวาดหวั่นในความเชื่องช้าทว่าเร้าเร่งนั้น ปลายนิ้วโป้งของเขาเกลี่ยเบา ๆ ที่รอยข้อของนิ้วก้อยหลินหยา ราวกับจะย้ำให้รู้ว่าเขาจำได้แม้แต่กระดูกนิ้วมือนางเป็นอย่างไร ก่อนจะประทับจูบแผ่ว ๆ ลงบนหลังมืออีกครั้งจนหลินหยาสะดุ้ง แต่ต่างจากเมื่อครู่ที่มันเย็นยะเยือกด้วยแรงกลั่นแกล้งครั้งนี้มันกลับแฝงความกระหายชนิดที่สัมผัสได้ชัดเจน


"หากหักไปเสียแล้ว ข้าจะเอาอะไรมา…ลูบไล้ข้าคืนตอนเจ้าโกรธล่ะ? เหมือนคืนนั้นไงลูบไล้ข้าไปห้าหมัดถ้วน" น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเขาเปล่งออกมาทั้งรอยยิ้ม ราวกับรู้ว่าหลินหยานั้นทั้งอยากด่าเขา ทั้งอยากผลักไส ทั้งอยาก…เข้าใกล้กว่านี้อย่างไม่รู้ตัว และนั่นคือสิ่งที่จางกงกงชื่นชอบที่สุดในตัวของนาง


เขามิได้เพียงต้องการครอบครองนางหากแต่ต้องการล้วงลึกทุกความคิด ทุกอารมณ์ จนกระทั่งวันหนึ่งที่นางไม่มีทางหลบหนีได้อีกต่อไป แม้แต่หัวใจที่พยายามปิดบังไว้...ก็จะต้องถูกเขาค่อย ๆ แกะทีละชั้น ทีละชั้น จนเหลือเพียงแค่ชื่อเขาในนั้น เช่นเดียวกับที่เขาฝังชื่อของนางไว้แน่นในใจ ไม่อาจถอนออก


"ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลย วันนี้ข้ามาถามเรื่อง..!" เสียงแข็ง ๆ ที่หลินหยาเอ่ยออกมาพร้อมแววตาเอาเรื่องต้องหยุดลงกลางประโยค ริมฝีปากนุ่มนวลที่กำลังขยับเอ่ยกลับถูกหยุดไว้ด้วยปลายนิ้วเย็นจัดของชายตรงหน้านิ้วเรียวที่เชยคางนางขึ้นแผ่วเบาแต่แน่นหนาราวกับเชือกที่ผูกแน่นไปทั่วสติ หลินหยาสะดุ้ง เงยตาขึ้นสบดวงตาหลังหน้ากากที่สวมอยู่ครึ่งใบ ทว่ากลับเผยเพียงแววตาคมที่ทั้งร้อนแรงและคุกคามอย่างแฝงความวาบหวิวสายหนึ่ง ในนั้นไม่มีแม้แต่ความขอโทษกับการล่วงเกิน กลับมีเพียงเสียงเงียบของคำสั่งซึ่งเปล่งผ่านสายตาแวววาวดั่งเปลวไฟในเงามืดนั้น


"พอเถอะ" เสียงแผ่วทุ้มของเขาดังขึ้นข้างหูดั่งคำสั่งอันนุ่มนวลของเจ้านายต่อสัตว์เลี้ยงที่กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนจะหนีออกนอกกรอบ "อย่าพูดถึงมันในตอนนี้"


ปลายนิ้วไล้จากคางลากผ่านแก้มก่อนจะลูบกลุ่มผมข้างหูของนางราวกับกล่อมเด็กสาวไม่ให้ฝันร้าย ขณะสายตาไม่ผละออกจากใบหน้าของหลินหยาแม้แต่วินาทีเดียว เขาไม่เร่งเร้า ไม่บีบบังคับแต่ก็ไม่เปิดช่องให้ขัดขืน "หากถึงเวลา...คนของข้าจะมาเอง" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ความเยือกเย็นแฝงอยู่ในนั้นประหนึ่งว่าการเคลื่อนไหวของผู้ใต้บัญชาเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะหยุดได้ แม้แต่เทพเจ้าก็ต้องรอ


จางกงกงโน้มตัวลงอีกเล็กน้อยดวงหน้าอยู่ใกล้กับหลินหยาจนนางแทบไม่ได้หายใจโดยไม่สัมผัสกลิ่นสุราอ่อน ๆ ผสมน้ำมันหอมแปลกประหลาดจากอาภรณ์ชั้นนอกของเขา กลิ่นนั้นราวกับกลิ่นไม้แห้งในห้องสมุนไพรที่หมักเคล้ากับกลิ่นโลหิตและความลับของคนทั้งวัง บรรยากาศรอบห้องรับรองแปรเปลี่ยนไปจากเดิม แม้จะยังเป็นห้องที่เต็มไปด้วยม่านบางและกลิ่นบุปผา แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นกรงทองลวงตา


"ตอนนี้...เจ้าต้องอยู่กับข้าก่อน" เสียงนั้นต่ำและหนักราวกับอ้อมแขนที่พันธนาการ ดึงนางกลับไปยังโลกที่เขาเป็นเจ้าของและไม่มีที่ให้หลบเร้น หลินหยาแม้จะเบี่ยงหน้าเล็กน้อยพยายามไม่ตกหลุมพรางแต่ก็ไม่อาจหลีกพ้นแรงดึงดูดที่ชวนให้โกรธขนลุก และใจเต้นในคราวเดียวกันนางรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับบุรุษผู้ไม่ได้เพียงสวมหน้ากาก…แต่ยังสวมบทบาทของปีศาจผู้รู้จักหัวใจนางดีกว่านางเอง


หลินหยาเบือนหน้าหนีทันทีที่สัมผัสจากปลายนิ้วของเขาเคลื่อนไปตามแนวกราม ก่อนจะขมวดคิ้วนิ่วแน่นอย่างสุดจะทน ดวงตาคมหวานฉายแววระแวดระวังชัดเจน นางยกมือดันอกอีกฝ่ายพลางว่าเสียงห้วน "อยู่อะไรของท่าน ข้าไม่อยากอยู่เลย! ถอยออกไปเถอะ ข้าไม่ได้เชิญให้มานั่งตบยุงใกล้ ๆ แบบนี้สักหน่อย!" คำพูดของนางนั้นตรงและแข็ง หากเป็นใครทั่วไปคงจะหน้าเสียแล้วล่าถอยไปเป็นวา แต่นี่คือ เขา ชายสวมหน้ากากผู้มีสายตาดำมืดยิ่งกว่าหมึกที่ใช้ลบชื่อคนออกจากบัญชีชีวิตแถมยังหน้าด้านยิ่งกว่าหนังช้างแห้ง


จางกงกงไม่เพียงไม่ขยับออกหากยังหรี่ตามองนางด้วยรอยยิ้มบางที่ไม่น่าไว้วางใจนัก ก่อนเอียงหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่เป่ารินเหนือข้างแก้มบาง "อืม...เจ้าจะไล่ข้าอย่างนี้ทุกครั้งที่เราสนิทกันหรือ?" น้ำเสียงนั้นแฝงรอยขบขันเย็นเยียบ หากหูดีพอจะจับความนัยกวนประสาทใต้คำพูดได้เต็มเปา


"ฟังดูน่าขันดีนี่…ข้าคนที่เจ้าเคยให้รินสุรา จับขลุ่ย บรรเลงเพลงกล่อมแทบทุกเย็น กลับถูกไล่เหมือนแมวขโมยปลาทอดตอนเช้ามืด"


หลินหยาแทบกัดปากตัวเองนางรู้ว่าเขาจงใจยั่ว ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งหวานในแบบที่น่าถีบให้หน้าทิ่มพื้น “ท่านอย่ามาเล่นลิ้นนะ ข้าชักจะประสาทเสียเพราะท่านแล้ว!” นางตวาดเบา ๆ แต่เสียงแหบสั่นจากความโมโหปนเขิน ไม่รู้เพราะอากาศในห้องร้อน หรือเขาอยู่ใกล้เกินไป ร่างของหลินหยาถอยหลังติดพนักไม้ในที่สุดแต่เพราะนั่งอยู่บนเบาะพื้นต่ำ แถมเขายังอยู่สูงกว่าเล็กน้อยตอนโน้มตัวมาทำให้เธอไม่มีทางถอยอีกแล้ว


และนั่นคือสิ่งที่ จางกงกงชอบนัก การเห็นแมวตัวน้อยจนตรอกจนขนฟู


"ก็เจ้านั่นแหละผิดก่อน" เขาว่าเสียงเบายกมือเรียวลูบผมสลวยข้างแก้มของนางอย่างจงใจช้า "ที่กลับมาที่นี่...มาหาข้าเอง ถึงแม้จะอ้างเรื่องคนอื่นก็ตามที" หลินหยากัดฟันแน่น แววตาฉายแววเหมือนจะเถียงกลับ แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาดึงชายเสื้อของนางเบา ๆ พลางทำเสียงเรียบว่า


"แต่ก็ดีข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดู...ว่าอยู่กับข้าแล้วมันทรมานหรือสุขใจมากกว่ากันแน่"


ในใจของหลินหยาตอนนี้แทบอยากจะก้นด่ากราดคนตรงหน้า โอ๊ย…อีตานี่มันจะแกล้งกันจนข้าสติหลุดไปก่อนหรือไม่ก็เผลอฟาดหน้าเขาเสียก่อนแน่ ๆ! หลินหยาได้แต่กำหมัดแน่นในอกในใจพลางกรอกตาแรงจนแทบกลิ้งออกนอกเบ้า...หลินหยาเจ้าต้องคิดว่าเจ้าควรเตรียมใจไว้ให้ดีเสียแล้วเพราะเกมของจางกงกงครั้งนี้กำลังเริ่ม


“ท่านจะพิสูจน์ยังไง” 


จางกงกงชะงักยิ้มตรงมุมปาก รอยยิ้มนั้นชวนให้คลื่นสยองกับกระแสวาบหวามไหลบรรจบกันอย่างแปลกประหลาด เขาไม่พูดตอบในทันที แต่เพียงทอดสายตามองหลินหยาที่ยังขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะเอาหนังสือหนา ๆ มาสอดได้ด้วยความไม่พอใจปนระแวงและนั่นยิ่งทำให้แววตาของเขาดูมีความบันเทิงจิตเบื้องลึกเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว มือเรียวขาวซีดของเขาเลื่อนจากข้างแก้มของนางลงสู่ปลายคาง ลูบเบา ๆ แล้วเชยขึ้นอย่างละเมียดละไมจนราวกับจะเห็นนางเป็นผลงานศิลป์ชิ้นเอกในค่ำคืนอันเปลี่ยวเหงา


"จะพิสูจน์อย่างไรหรือ?" เสียงของเขาแผ่วพรายชิดริมใบหูของหลินหยาราวกับพรมด้วยกลีบกลิ่นไม้หอมควันบาง ผสมสุราจาง ๆ กับกลิ่นอำพันจากหอว่านหงเหรินที่ยังไม่จางจากปลายผม "ย่อมไม่ใช่ด้วยคำพูดแน่นอนหรืออาจจะ? เพียงข้าไม่ใช่พวกพูดจาหว่านล้อมให้เชื่อหากเป็นเจ้า..."


เขาเว้นช่วงแววตาเยียบเย็นขึ้นเล็กน้อย ทว่าปลายนิ้วที่แตะปลายคางกลับลากเบา ๆ ลงมาตามลำคอของนางแล้วหยุดตรงตำแหน่งชีพจรเต้นสั่นใต้ผิวเนียน "หากจะพิสูจน์ว่าข้า...ไม่มีสตรีอื่นแล้วน่ารำคาญใจ ไม่ง่ายกว่าหรือหากเจ้า... ลองมาเป็นของข้าเสียเอง" เสียงกระซิบของเขายิ่งเบายิ่งเสียดเข้าโสตประสาทของหญิงสาวดั่งมีเล็บครูดลงแก้วบาง ๆ


หลินหยาขมวดคิ้วทันที สีหน้าผันผวนแบบที่เขาชื่นชอบที่สุดระหว่างขัดเคืองกับสับสน ระแวดระวังแต่ก็ใจเต้นอยู่ไม่รู้ตัว และก่อนที่นางจะได้ด่าอะไรกลับไป มือของเขาก็เอื้อมมาคว้าข้อมือของเธอไว้แน่น...แต่อย่างประหลาด เขาไม่ได้ดึงให้นางถลาเข้าหาแบบคราวก่อน ทว่าเพียงยกมือของนางขึ้นแนบกับแผ่นอกด้านในเสื้อคลุมแพรบางที่สวมอยู่


"รู้สึกหรือไม่ ว่าที่นี่..." เขาวางมือนางลงตรงจุดที่หัวใจเขาเต้นชัดอยู่ใต้ฝ่ามือ "ไม่มีใครอยู่ในนี้เลย...นอกจากเจ้า" ประโยคนั้นช่างอ่อนหวานแต่กลับปนความบิดเบี้ยวของคนที่ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘รัก’ อย่างแท้จริง พิษในน้ำผึ้งชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน หลินหยารู้...ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น แต่ก็ไม่ได้พูดจริง และก่อนที่เธอจะได้เอ่ยสิ่งใด ใบหน้าของจางกงกงก็โน้มลงช้า ๆ ราวกับเวลาชะงักงัน...ปลายจมูกของเขาแทบจะชนกับหน้าผากของเธออยู่แล้ว


"หึ...หากจะพิสูจน์กับข้า" เขากระซิบทั้งที่ยังยิ้มเยียบ "ก็มีเพียงเจ้าที่ต้องทดสอบ...ว่าใจของเจ้าพร้อมจะถูกกลืนกินทั้งเป็นหรือยัง" เสียงฝีเท้านางรำด้านนอกกำลังเคาะบทเพลงขึ้นสู่บทเพลงอีกบทแต่ในห้องนี้ เสียงหัวใจของหลินหยาเต้นดังยิ่งกว่าสายกู้เจิงที่ถูกดีดครั้งแรกเสียอีก และตอนนี้เธอก็ภาวนาให้คนของจางกงกงรีบมาสักทีเพราะคนตรงหน้าเริ่มน่ากลัวและดูเหมือนเลี้ยวกายรัดนางเหมือนอสรพิษจนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เริ่มด้วยหอว่านหงเหริน ก็จบด้วยหอว่านหงเหริน สุดจ๊าดดด

(เอาจางทังกลับม๊าาา)

รางวัล: ปลดหัวใจจจ 99.9999999999999999 เปอร์เซ็นต์


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 114876 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 19:48
โพสต์ 114,876 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-20 19:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 22:51:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ขณะที่ปลายนิ้วเรียวแตะค้างตรงตำแหน่งหัวใจของเขา หัวใจของหลินหยากลับเต้นรัวยิ่งกว่าเสียงระนาดจากด้านล่างเสียอีก ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นทำให้นางเบิกตากว้างเล็กน้อย ขยับตัวจะถอย ทว่าอีกฝ่ายกลับโน้มหน้าลงมาชิดจนแทบจะประทับริมฝีปากบนหน้าผากของนาง "ข้าไม่ใช่คนดี...แต่สำหรับเจ้า ข้ายังอยากจะเป็นใครสักคนที่..."


“หยุดนะ!” หลินหยาทำเสียงลั่นปัดหน้าของจางกงกงออกแทบจะทันทีที่ได้สติพร้อมรีบขยับตัวถอยหลังราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมเข้ามาอีกครั้งอย่างที่เขาชอบทำ ทว่าทันใดนั้นประตูไม้ก็เปิดออกเสียก่อน  บุรุษร่างสูงในชุดพ่อบ้านสีเข้มเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าเรียบเฉย...สายตาไม่แม้แต่จะมองหลินหยาเลยสักนิด เขาโน้มตัวเล็กน้อยกระซิบบางสิ่งข้างหูจางกงกง แม้หลินหยาจะไม่ได้ยินชัดเจนแต่กลับเห็นได้ชัดว่าแววตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มที่มุมปากของเขาหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ก่อนหน้านั้น “หึ...” เขาส่งเสียงในลำคอแผ่วเบา มุมปากยกขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ดวงตากลับไม่ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย


“มีเรื่องอะไรหรือ?” หลินหยาขมวดคิ้วถามขึ้นแม้ในใจจะรู้ว่าเขาไม่มีวันตอบตรง ๆ


จางกงกงปรายตามามองนางช้า ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเบา ๆ แล้วยิ้มจาง ๆ “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่...ข้าว่ามีคนลืมกฎของข้าไปบ้างแล้ว ข้าว่าคืนนี้ควรจะมีคนบางคนได้รู้ว่าผนังของหอว่านหงเหรินบางห้องนั้นบางยิ่งกว่าใจของคน”


พรึ่บ


เสียงเตียงจากชั้นล่างกระทบผนังดัง ตึง! ตึง! ตึง! ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของสตรีเจื้อยแจ้วปนเสียงร้องครางที่ลอดขึ้นมาพร้อมกลิ่นสุราจาง ๆ ในอากาศ หลินหยาชะงักไปทันที ใบหน้าร้อนวูบแบบห้ามไม่อยู่ “เจ้าได้ยินไหม?” จางกงกงเอียงหน้ากระซิบถาม ดวงตาเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์ชัดเจน “เตียงนั้น...ก็เคยเป็นของข้า เจ้าที่เจ้ารินสุราให้ข้า จนข้ารู้ว่าเจ้าช่างเหมาะกับการถูกจับวางไว้บนมันอย่างยิ่ง”


"อะ…อีตาบ้า!" หลินหยาขึ้นเสียง พลางยกมือจะตีเขาทว่าจางกงกงกลับคว้ามือนางไว้ได้ก่อนอย่างแม่นยำ “อย่าใจร้อนนักสิ แม่นางเสี่ยวหยาตัวน้อยข้ายังไม่ได้พูดเลยว่าข้าอยากให้เจ้าไปลองนอนดูตอนนี้...” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่ออย่างเนิบนาบราวกับมีแผนซ่อนอยู่ในทุกคำ “...แต่อีกไม่นาน เจ้าอาจจะได้ รู้ ว่าข้าจำเสียงของเจ้า...ดีกว่าเสียงดนตรีใดทั้งสิ้น”


ดวงตาของหลินหยาเบิกเล็กน้อยปากอ้าเตรียมจะสบถอีกคำใส่ แต่นางกลับพูดไม่ออกเพราะมือเขายังคงกุมมือของนางไว้อย่างแน่นหนา เสียงหัวเราะเบา ๆ จากจางกงกงยังดังแผ่วในลำคออย่างเยือกเย็นราวกับภูติราตรีที่กระซิบคำสาปให้คนขวัญอ่อนสะท้าน...แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น ราวกับความห่วงหา ความโกรธเกรี้ยว...และบางทีความหวาดหวั่นเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวไม่ยอมรับว่ามี เขายังคงไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น และในหัวของหลินหยาก็เริ่มตั้งคำถามใหม่...ว่าเสียงเตียงที่ดังนั่น ใช่แค่เสียงของคนอื่นจริงหรือเปล่า หรือว่าเขา...กำลังเตือนนางอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น


จางกงกงที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หรูประดับลายเมฆทอง ครั้นได้ยินคำถามของหลินหยา น้ำเสียงนางที่เริ่มเครียดขึ้น…แววตาที่จ้องตรงมาอย่างจับผิดเช่นนั้นเขากลับเผยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างพอเหมาะ ดวงตาหม่นแสงไปเพียงนิดก่อนจะทอดถอนหายใจแผ่วเบาราวกับแบกภาระหนักอึ้งเอาไว้บนบ่าทั้งสองข้าง "หากข้าจะบอกเรื่องถิงเว่ยนั้นข้าว่าเจ้าคงไม่เชื่อหรอก..." เขาเอ่ยแผ่ว เสียงนุ่มเจือความหนักแน่นประหลาด ดวงตาคู่นั้นจ้องหลินหยาแนบแน่นไม่กระพริบแม้ครึ่งห้วง


"แต่ข่าวจากสายของข้า...ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น"


หลินหยาเลิกคิ้ว ขมวดหน้านิด ๆ ไม่มั่นใจว่าที่เห็นอยู่นั้นเป็นการแสดงอีกบทของจางกงกงหรือเขาพูดจริงเสียทีแต่กระนั้นก็เผลอฟังต่อโดยไม่แทรก


"จางทัง..." จางกงกงทอดเสียงยาว เงียบไปอึดใจราวกับเรียบเรียงถ้อยคำที่แนบด้วยคมมีด ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ ว่า "เขาไม่ได้แค่ไปทำงานต่างเมือง เขา...กำลังรวบรวมคนในเขตตุนหวง ซ่องสุมกองกำลังเงียบ ๆ ตั้งแต่กลางฤดูที่ผ่านมา ผู้คนที่เข้าร่วมล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของกองตรวจการ…บางคนมีประวัติไม่โปร่งใส บางคน…เคยมีข้อพิพาทกับราชสำนัก" จางกงกงเหลือบมองใบหน้าหลินหยาชั่วครู่ ก่อนคลี่ยิ้มเยียบเย็นแบบที่เขาถนัดยิ้มบางเฉียบราวกับใบมีดโกนที่ซ่อนในรอยยิ้มของชายใจคด


"เขากำลังวางหมากอะไรบางอย่าง…และข้าไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงกลางอย่างเจ้า จะเป็นหมาก…หรือตัวประกันกันแน่"


หลินหยาเบิกตานิด ๆ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยแทรก "ท่านกำลังใส่ร้ายเขาใช่ไหม? ท่านจางทังเป็นคนตรงไปตรงมา และเขาเป็นถิงเว่ยที่ภักดีมาตลอด"


"ใช่…ใช่ที่เขา เคย ภักดี" จางกงกงตอบทันควันพร้อมยกนิ้วแตะริมฝีปากนางเบา ๆ เป็นเชิงให้เงียบและฟังต่อ มืออีกข้างแตะเอวหลินหยาไว้ไม่ให้นางถอยหนีไปเสียก่อน "แต่ความภักดีของคนมันเปลี่ยนได้ เมื่อกลิ่นของอำนาจเริ่มหอมหวานกว่ากลิ่นชาดำที่เจ้าชอบ" เขาหัวเราะเบา ๆ คล้ายหยาม “และเขาคงรู้ดี…ว่าเจ้ากำลังแอบเกี่ยวข้องกับข้า”


หลินหยาชะงักนิด ดวงตาสั่นระริก ครั้นกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ อีกฝ่ายก็ยกมือแตะคางนางก่อนเอียงหน้าเข้าใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจอุ่นร้อน "ข้าเพียงอยากเตือนเจ้า...ด้วยความหวังดีหรืออย่างน้อยก็ในแบบของข้า" เขากระซิบเสียงแผ่วราวเสียงลมหายใจยามค่ำคืนที่กระซิบข้างหูผู้หลับใหล “ว่าระวัง...บางทีคนที่เจ้าหวังพึ่ง…อาจเป็นคนที่ผลักเจ้าให้จมลึกลงกว่าเดิม” แล้วเขาก็ยิ้มอีกครั้ง ยิ้มเย็นเฉียบที่ไม่มีแม้เงาความอบอุ่น ปลายนิ้วยังค้างอยู่ตรงมุมปากของหลินหยา ราวกับจะบอกว่าเรื่องที่เขาพูดนั้น…หากนางยังคิดจะค้าน ก็เชิญลองเสี่ยงดู ว่าเขาจะยอม…หรือจะทำให้เธอ เจ็บปวด กว่าเดิม


"ให้ตายยังไงข้าก็ไม่เชื่อ! คนที่ข้าควรระวังมีท่านคนเดียวนั้นแหละในโลกนี้น่ะ!" หลินหยาแหวกลับ มือเรียวเล็กฟาดเพียะเข้ากับมือใหญ่ที่ยังแตะที่เอวของนางอย่างหน้าด้าน ท่าทางของนางเต็มไปด้วยแรงโทสะปนความเจ็บร้าวจากความพยายามบิดเบือนความทรงจำอันแสนจริงแท้ของนาง ใบหน้าแดงเรื่อด้วยอารมณ์ไม่ใช่เขินอาย แต่เป็นความรู้สึกของคนที่กำลังปกป้องสิ่งสำคัญที่สุดของตนเอง


"ข้ายังจำวันนั้นได้แม่น ท่านจางทัง...เขาบอกข้าว่าจะไปเอาของขวัญมาให้ข้า เขายิ้ม เขาไม่ได้มีแผนชั่ว ไม่ได้พูดลวง ข้าเห็นแววตาเขา...เขาดีใจที่ข้ารอดพ้นจากคดีนั้น เพราะเขาเองก็เป็นถิงเว่ยที่ลงมือทำคดี ข้าเห็น! ข้ารู้! แล้วเขาก็หายไป ถ้าเขาคิดร้ายกับข้าอย่างที่ท่านพูดเขากลับมาทำลายข้าไปนานแล้วล่ะ ไม่ใช่หายเงียบราวกับคนที่ตายจากกันไป!" นางขบกรามแน่น หอบลมหายใจถี่เพราะแรงสะอื้นที่ยังกลั้นอยู่ในอกแล้วแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ "ข้าไม่ใช่คนโง่แบบเมื่อก่อนแล้วนะ จางกงกง…ไม่สิท่านชายห่าวหมิง" น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นชัดเจนในถ้อยถาง ดวงตาของหลินหยาฉายแววแน่วแน่ และสิ่งนั้น...ทำให้จางกงกงนิ่งไปชั่วครู่


ชายผู้มีหน้ากากครึ่งหน้าปิดบังสีหน้าท่อนบนของตนไว้กลับคลี่ยิ้มบางออกมาอย่างเงียบงัน ยิ้มที่ไม่ได้แสดงถึงความผิดหวังแม้แต่น้อย หากแต่กลับมีแวว...พึงใจ "เจ้าดื้อรั้นขึ้นนเสี่ยวหยา..." เสียงเขาแผ่วลงคล้ายกระซิบแต่หนักแน่นราวกับตรึงลมหายใจของห้องไว้


"ดื้อขึ้น...ฉลาดขึ้น...แล้วก็งดงามขึ้นกว่าเดิมเสียอีก…"


เขากล่าวพร้อมค่อย ๆ โน้มหน้าเข้าใกล้พลางเลิกมือขึ้นรั้งปอยผมของนางที่ปรกแก้มไปด้านหลังอย่างแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารินข้างหูอีกฝ่าย ไม่ใช่เพื่อหว่านล้อมด้วยคำหวาน แต่เพื่อจงใจให้หล่อนหวั่นไหวในแบบที่เขาต้องการ "เจ้าคิดว่าข้าจะหยุด...แค่เพราะเจ้าไม่หลงกลข้าแล้วงั้นหรือ?" เสียงของเขานุ่มลึกแต่แฝงความเย็นเยียบราวกับมีดคมปลายที่คอยจ่อจังหวะหัวใจนางทุกวินาที "ไม่หรอกเสี่ยวหยา...เจ้าคงไม่รู้เลยว่ายิ่งเจ้าฉลาดขึ้นเท่าไร ยิ่งต่อต้านข้าเท่าไร…ข้าก็ยิ่งอยากทำลายเจ้าให้พังทั้งเป็นมากเท่านั้น"


เขายิ้มแต่รอยยิ้มนั้นราวกับฉีกออกมาจากเงาแห่งหายนะ ยามที่นัยน์ตาสีดำคู่นั้นสั่นไหวด้วยแรงปรารถนาบิดเบี้ยวที่คล้ายหลงใหลในความบริสุทธิ์ของนางมากพอ ๆ กับที่อยากฉีกกระชากมันออก "แต่เจ้าจะไม่พังหรอก...ไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อย...ข้าจะถนอมมันไว้อีกหน่อย ก่อนจะดูซิว่าเจ้าจะทนได้นานเท่าใดกัน" เสียงกระซิบจบลงพร้อมกับการละมือออกช้า ๆ ราวกับเขาเป็นนักเชิดหุ่นที่เพิ่งคลายสายใยบางส่วนที่รัดแน่นจากหางตาถึงปลายเท้า...แต่ไม่ได้ปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง และหลินหยาที่ดวงตายังลุกวาบด้วยเพลิงแห่งความไม่ยอมจำนน ก็คือของเล่นที่เขาจะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนอย่างไร




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: อย่ามาขี้จุ!!

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 39405 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 22:51
โพสต์ 39,405 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-20 22:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-21 15:48:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-21 15:50:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้