เจ้าของ: Admin

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-21 17:47:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-21 17:50


วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ขณะที่หลินหยายังคงหอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าแดงซ่านทั้งจากการจูบและความรู้สึกประหลาดที่ยังไม่คลายตัว จางกงกงหรือก็คือท่านชายห่าวหมิงในยามนี้กลับหยิบบางสิ่งขึ้นมาจากแขนเสื้ออย่างใจเย็น แล้ววางมันไว้บนตักของนาง “สิ่งนี่…เจ้าเก็บไว้ใช้จ่ายสิ่งที่เจ้าชอบเถอะ เสี่ยวหยา” เขากล่าวเรียบ ๆ ราวกับเพิ่งยื่นถั่วให้ลิงน้อย หลินหยาหน้างอพลางเลิกคิ้วสูงเพราะนางไม่รู้ว่าเขาให้สิ่งใด “หืม? จู่ ๆ ท่านก็มาให้ข้าแบบนี้…หมายจะล่อข้าเข้าสำนักนางโลมหรืออย่างไร?”


“สิ่งนั่นเจ้าพูดเองนะ ไม่ใช่ข้า” เขายิ้มบาง ๆ ดวงตาพราวพร่างแววระยิบระยับเหมือนกำลังซ่อนลูกเล่นไว้ข้างใน แต่พอหลินหยาก้มลงมองอย่างจริงจังสีหน้าก็เปลี่ยนไปในบัดดล “สามสิบตำลึงทอง?! ท่านเอาเงินจากไหนมาฟาดหัวข้าเยี่ยงนี้ ห๊ะ!?” จางกงกงยิ้มน้อย ๆ แต่ดวงตายังเปี่ยมไปด้วยแววลุ่มลึกและบิดเบี้ยว “เจ้าชอบของกินนี่ ข้าก็แค่ให้เจ้าเอาไปกินให้เข็ด”


“เข็ดเรอะ! ข้าจะเอาไปกินให้พุงแตกตายเลยคอยดู! ข้าล่ะอิจฉาพวกมีเงินถุงเงินถังจริง ๆ” หลินหยาเบะปาก รับถุงเงินอย่างไม่อ้อมค้อมแล้วผูกมันติดกับชายเสื้อของตนแน่นหนาราวกับสมบัติชีวิต “ก็ดีแล้ว กินเยอะ ๆ หน่อย…” เสียงของเขาทุ้มนุ่มจนน่าแปลกใจ “…เพราะเจ้าน่ะตัวเล็กเกินไป กลัวจะรับอย่างอื่น…ไม่ไหว” ยังไม่ทันขาดคำ…


“เพี๊ยะ!” หลินหยาฟาดไหล่เขาไปเต็มแรงใบหน้าขึ้นสีจัด ดวงตาวาวโรจน์อย่างคนทั้งเขินทั้งขุ่น “ท่าน…ไอ้คนป่วยจิต! เอาเงินท่านคืนไปเลยไป๊!”


“ไม่เอา ข้าให้แล้ว ของข้าไม่มีวันเอาคืน…เหมือนข้าที่ไม่มีทางคืนเจ้าให้ใคร”


“จางกงกง!!” เสียงตวาดของนางดังลั่นอย่างอดไม่ได้แม้ปลายเสียงจะสั่นเพราะขำก็เถอะ เขาหัวเราะเบา ๆ ลูบต้นแขนตนเองตรงที่โดนนางฟาดด้วยแววตาน่าหมั่นไส้ “อืม…แรงดีเหมือนตอนต่อยหน้าข้าเมื่อก่อนเลย”


“ข้าจะต่อยอีกแน่ถ้าท่านยังพูดจาลามก!”


“ถ้าต่อยแล้วได้จูบอีกทีข้าก็รอให้ต่อยอยู่นะ เสี่ยวหยา” หลินหยาถึงกับเอามือปิดหน้าร้องครางในลำคอด้วยความอับอายเพราะความรู้สึกตอนนี้อีกคนมันแหย่เธอเกินกว่าที่ตัวเธอจะทนได้พอสมควร “บ้าเอ๊ย…คนแบบท่านนี้นี่มัน…”


“คนแบบข้านี่แหละ จะอยู่ข้างเจ้าไปจนเจ้าตายจากกันเลยล่ะ เสี่ยวหยา” คราวนี้หลินหยาเงียบไปเลย…แต่ใบหน้ากลับแดงเข้มอย่างน่ารักยิ่งนักในสายตาของจางกงกง เขางทอดสายตามองดวงหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาวที่ยังคงแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนเขา ริมฝีปากของหลินหยายังช้ำเล็กน้อยจากแรงจูบเมื่อครู่ที่แทบไม่ต้องนับว่ามันนานเพียงใด เขาอยากอยู่ต่อ…อยากทอดเวลานี้ให้ยืดยาวไปอีกนิดให้เสี่ยวหยาตัวน้อยได้จดจำรสสัมผัส ความห่วงหาและความเป็นเจ้าของนี้ให้ฝังแน่นยิ่งกว่าคำพูดใด แต่…


“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจพลางเหลือบตามองฟ้าเหนือหลังคา “ข้าอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย…แต่น่าเสียดาย จงฉางชื่อมิใช่ตำแหน่งว่างเปล่าข้ายังมีงานอีกเป็นภูเขา” หลินหยาขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขาเริ่มขยับตัว จางกงกงเอื้อมหยิบหน้ากากครึ่งหน้าที่หล่นอยู่ข้างตัวขึ้นมาคลี่ริมฝีปากนิดเดียวก่อนจะค่อย ๆ สวมมันกลับคืนอย่างเคย…หน้ากากที่เขาใช้หลบซ่อนตัวตน หลบซ่อนความรู้สึกและกลบเกลื่อนทุกแผนการในเงามืด


“แต่ก่อนข้าจะไป…” เสียงของเขาแผ่วเบาแต่จริงจัง “ข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้า พยายามเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ละเว้นโทษตายจางทัง…อย่างน้อยก็เปลี่ยนเป็นโทษเบาหากเขายอมกลับมาโดยดี ยอมจำนนต่อราชโองการ และไม่คิดกระทำการอันเกินฐานะอีก” หลินหยาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย สีหน้าสั่นไหวชัดเจน นางเงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “มันจะเป็นอย่างที่ท่านว่าหรือ? ท่านจางทังไม่มีวันทำเรื่องบัดซบอย่างที่ท่านกล่าวหา…เขาเป็นคนสัตย์ซื่อ ยึดมั่นในหลักคุณธรรม ไม่มีทาง…ไม่มีทางทะเยอทะยานแบบที่ท่านวาดภาพให้ข้าเชื่อหรอก”


จางกงกงยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ดวงตาภายใต้หน้ากากนั้นทอประกายบางอย่างเหมือนจะสมเพช…หรืออาจเพียงเย้ยหยัน เขาเอียงหน้านิดหนึ่งอย่างแผ่วเบาเสียงต่ำดังลอดออกมาราวกับเสียงกระซิบที่ผนึกไว้ด้วยความลับ “งั้นก็รอดู…เสี่ยวหยา” เขาว่าด้วยน้ำเสียงคล้ายคนที่รู้ชะตาอยู่ก่อนแล้ว “ความจริงน่ะ…มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดีเสมอไปหรอก” แล้วเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ ร่างสูงค้อมลงอย่างไม่เร่งรีบ สัมผัสริมฝีปากแผ่วเบาไว้ที่ข้างขมับของหลินหยาอีกครั้งหนึ่งต่างจากเมื่อครู่มันไม่ใช่จูบที่รุกราน หากแต่เป็นจูบจากใครบางคนที่ฝากคำลาขณะยังครองทุกอารมณ์เหนืออีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิง


จากนั้นเขาก็ขยับกายถอยหลังทีละก้าว ราวกับทุกอิริยาบถล้วนถูกออกแบบไว้แล้ว บรรจงเหมือนภาพจิตรกรรมบนผนังหอวังหลังจนกระทั่งร่างในชุดคลุมยาวสีเข้มกลืนกับเงามืดของตรอกเส้นทางด้านในหอหรูนั้นอย่างสมบูรณ์…หายไปโดยไม่มีเสียงฝีเท้า เหลือเพียงหลินหยาที่ยังนิ่งอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความเงียบงัน ภายใต้แสงสุดท้ายของวันแสงจาง ๆ นางได้แต่กำถุงเงินแน่นในมือ และถามตัวเองซ้ำ ๆ ในใจว่า…คนอย่างจางกงกง ยังมีสิ่งใดอีกที่นางไม่รู้? และ 'แผน' ที่เขาว่าจะช่วย…มันคือความช่วยเหลือจริง ๆ หรือเป็นเพียงแค่หมากอีกตัว…ในกระดานที่เธอถูกจับวาง


ขณะที่เงาร่างสูงของจางกงกงหลอมรวมไปกับม่านหมอกและความมืดของตรอกหลังเรือน หายลับสายตาไปอย่างไร้เสียงและไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีอยู่จริง สายลมยามราตรีก็พัดผ่านอย่างเฉียบพลัน เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่กับพื้น ทว่า…


แผ่นกระดาษสีหม่นแผ่นหนึ่ง ค่อย ๆ ร่วงหล่นจากชายเสื้อคลุมยาวของเขา ร่วงลงมาอย่างเงียบงัน เสียงกระทบพื้นแทบไม่มีให้ได้ยินหากไม่ใช่เพราะสายตาของหลินหยาที่เผลอมองตามแผ่นผ้านั้นขณะไหวไหลไปกับการเคลื่อนไหวสุดท้ายของชายผู้ลึกลับ…นางก็คงไม่ทันได้เห็น เธอเลิกคิ้วขึ้นทันที ใจหนึ่งลังเล…อีกใจหนึ่งกลับเย็นเยียบ


มือบางคว้าจดหมายนั้นขึ้นมาอย่างเบามือ ปลายนิ้วที่ยังอุ่นจากสัมผัสเมื่อครู่พลิกเปิดซองแผ่วช้า ข้างในมีข้อความเพียงไม่กี่คำ…แต่กลับเปี่ยมไปด้วยแรงสะเทือนในใจที่ยากจะอธิบาย


‘คนถึงผิงหยางแล้วขอรับนายท่าน กำลังจัดฉาก’


ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนคู่งามสั่นไหวเบา ๆ นางเม้มริมฝีปาก สายตายังจับจ้องตัวอักษรทุกตัวราวจะกลืนกินมันด้วยความคิดพลุ่งพล่าน ในน้ำเสียงที่ทิ้งไว้ของจางกงกง…ไม่มีวี่แววว่าเขาเพิ่งสูญเสียความลับสำคัญไปแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาเองอาจจงใจทิ้งมันไว้ให้หล่อนก็เป็นได้ "เล่นอะไรของท่านน่ะ…จางกงกง…" เสียงพึมพำเบา ๆ หลุดออกจากเรียวปากของหลินหยา ก่อนเธอจะพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บไว้อย่างแน่นหนาในแขนเสื้อโดยไม่กระโตกกระตาก


ปีศาจเช่นเขา…ย่อมไม่มีทางเล่นอะไรซื่อ ๆ แม้แต่การจากลา ความช่วยเหลือหรือแม้แต่ความรัก…ก็คงแฝงไว้ด้วยกับดักบางอย่างที่นางยังไม่อาจมองเห็น หลินหยาขยับขึ้นช้า ๆ ปัดผ้าอย่างใจเย็น ดวงหน้าแม้ยังแดงเรื่อแต่ดวงตากลับคมกริบราวหญิงสาวที่กำลังวางหมากอีกตัวลงกระดาน ใช่…การดัดนิสัยปีศาจนั้นยาก ยากเยี่ยงการหลอมเหล็กในไฟนรกแต่หากปีศาจตนนั้นยังเดินมาหานางเอง นางก็มีเหตุผลดีพอที่จะตอบรับ


โดยเฉพาะเมื่อเกมนี้…ไม่ได้มีแค่เดิมพันของหัวใจ แต่มันยังเต็มไปด้วยคำลวง ความหลัง และแผนลึกเร้น ที่หากนางพลาดแม้ก้าวเดียว อาจมิใช่เพียงหลินหยาเท่านั้นที่พ่าย…แต่แม้กระทั่งจางกงกงเอง ก็คงต้องชดใช้ราคาของเกมรัก…ที่เดิมพันด้วยชีวิต




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ:  พี่เขาเอาเงินฟาดหัวน้อง อยากได้ทุกเดือนง่ะ อ้อนเอาเงินจากพี่แกยังไงดี


รางวัล: จ่าย 30 ตำลึงทองม๊าาา จ่ายยัง


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 7 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด



วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


ในค่ำคืนเงียบสงัดของตำหนักจงฉางชื่อเมื่อคืนก่อน แสงเทียนเล่มยาวสว่างไหววูบตามแรงลมจากหน้าต่างบานใหญ่ เสียงพู่กันที่ลากเป็นเส้นสลับหนักเบาบนกระดาษง่วนไม่หยุดเป็นจังหวะเนิบนาบของผู้ที่ไม่เคยยอมหยุดนิ่ง แม้ในยามพักใจหรือยามที่โลกกำลังปั่นป่วน จางกงกงในอาภรณ์ยาวสีเข้มยังคงนั่งตัวตรงอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มือขวาขยับพู่กันลื่นไหลราวหยอกล้อกับบทบัญญัติของแคว้นฮั่น ส่วนมือซ้ายวางทับหน้าจดหมายลับฉบับหนึ่งที่เพิ่งรับมอบไว้เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน


เงาเงียบของขันทีหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาอย่างเคารพ ร่างกายของเขาโค้งต่ำแทบแตะพื้น “นายท่าน…มีข่าวเร่งด่วนเกี่ยวกับบุคคลที่นายท่านให้ติดตามขอรับ” ปลายพู่กันที่เคลื่อนอย่างเสถียรสะดุดเพียงชั่วขณะ แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดจากจางกงกง ราวกับเขาไม่ได้ยินสิ่งใดเลยในห้วงเวลานั้น


“หวยหนานหวาง…ทูลขอแม่นางหนานหลินหยาว่าแต่งงาน ที่สะพานเฉียวฮวาซื่อ ทางใต้ของทะเลสาบเยว่ปิงเหอขอรับ…”


เสียงรายงานพลันชะงักลงทันทีเพราะขันทีผู้นั้นรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังพ่นจากปากอาจนำพาไปสู่การถูกเด็ดหัวได้ทันทีถ้าความอดทนของบุรุษเบื้องหน้า…พังลง


แสงเทียนสะท้อนเงาใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งซีกนั้นยามไม่มีก็เห็นใบหน้าของจางกงกงที่แท้จริงไม่ใช่ห่าวหมิงเมื่อครั้งเขาออกไปข้างนอก แววตาคมดุใต้ขนตายาวขยับเพียงน้อย ทว่าประกายในแววตานั้นกลับเปลี่ยนเป็นดำสนิท ปานจะกลืนแสงทั้งหมดในห้องเข้าไปในปล่องอสูรภายใน ม่านตาคู่นั้นเหมือนจะมี ‘เปลวเพลิงทมิฬ’ กำลังไหวกระเพื่อม เปลวเพลิงที่ไม่ได้ลุกโชนด้วยโทสะธรรมดาแต่เป็น ‘ความเดือดดาล’ ที่ถูกจุดขึ้นจากก้นบึ้งของวิญญาณอันบิดเบี้ยวและแหลกสลายของผู้ซึ่งไม่เคยมี ‘ของรัก’ มาก่อนตลอดชีวิต


หลินหยาคือสิ่งเดียวที่เขาเลือกเอง…คือสิ่งเดียวที่เขาเฝ้าดู เลี้ยงดู แทรกแซง ลากนางเข้ามาในวงล้อมแห่งพันธนาการด้วยมือตนเองทีละน้อยคือ ‘ชิ้นส่วน’ ที่เขาฝังไว้อย่างลึกล้ำที่สุดภายใต้กระโหลกและใจ หากนางจะเป็นของใคร…ก็ควรเป็นของเขาเท่านั้น


ใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นคล้ายคนหมดสิ้นอารมณ์ บัดนี้กลับคล้ายแว่นตาใสที่แตกร้าวไม่มีชิ้นดี แม้ริมฝีปากจะยังไม่ไหวขยับเอ่ยคำใด แต่ลมหายใจที่หนักลึกและขาดช่วงก็บ่งบอกชัดเจนว่าเลือดในกายเขากำลังเดือดพล่านราวลาวา ความเงียบที่เคยใช้เป็นเกราะกำลังถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงแค้นและความ ‘อยากครอบครอง’


ใช่…มันไม่ใช่แค่การ ‘ขอแต่งงาน’ แต่สำหรับจางกงกงนั่นคือการ ‘ล่วงละเมิด’ ชัดเจนที่สุด คือการ ‘ขโมย’ ทรัพย์สินของเขาไปอย่างอุกอาจ


แม้ว่าตอนนี้จะรู้ว่านายท่านของตนเองกำลังเยือกเย็นแต่ภายในอารมณ์คุกกรุนอยู่ไม่น้อย แต่คนของจางกงกงก็ยังคงแจ้งเรื่องให้ชัดเจน “ข้าไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นขอรับ แต่แม่นางหลินหยาร้องไห้หนักในอ้อมแขนของหวยหนานหวาง ก่อนที่จะกลับไปและถูกอุ้มกลับไปพักยังเรือนที่ถนนสิบลี้” เสียงคำรายงานนั้นอาจจะแผ่ว แต่กลับดังก้องในหัวของจางกงกงประหนึ่งเสียงระเบิดในใจ แววตาคมลึกลุกวาบขึ้นด้วยแสงวาวคล้ายเหล็กกล้าแตะเปลวเพลิง ความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นในทันใด มันไม่ใช่เพียงความขุ่นเคืองธรรมดา หากแต่เป็นไฟแห่งการครอบครองที่ถูกท้าทายอย่างเงียบงัน


“อุ้ม?...อ้อมแขน?” เขาทวนคำในใจพลางปล่อยลมหายใจผ่านไรฟัน ความเย็นจัดแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณรอบกาย จนผู้ที่เข้ามารายงานที่อยู่ใกล้พลอยเหงื่อผุดซึมทั้งที่อากาศมิได้ร้อนเลยสักนิด ยิ่งรู้ว่าหวยหนานหวาง ‘อุ้มและกอด’ หลินหยาไปส่งที่บ้านพัก ความรู้สึกขยะแขยงปนคลั่งก็ทะลักออกมา จิตใจของจางกงกงดำดิ่งสู่ห้วงของความรังเกียจชิงชัง ใครก็ไม่ควรแตะต้องเธอ โดยเฉพาะชายอื่น มือสกปรกของมันกล้ามาแปดเปื้อนกายของนางได้อย่างไร เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของเขาอย่างบ้าคลั่ง


มือที่ประสานอยู่บัดนี้กำแน่นเสียจนเส้นเลือดปรากฏชัด เสียงลมหายใจที่หนักหน่วงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาเพียงน้อยนิด แม้ใบหน้าจะสงบนิ่งไร้อารมณ์ราวรูปสลักหยก แต่สายตานั้น...ไม่ใช่เพียงการจับจ้องอย่างธรรมดา หากเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่กดทับไว้จนแทบระเบิด ความรู้สึกราวกับถูกชิงสิ่งสำคัญที่สุดไปต่อหน้าต่อตาทั้งที่เขาเป็นผู้วางหมากทั้งหมดนี้ไว้เอง


จะปล่อยให้มือของบุรุษอื่น...แนบชิดกับนางง่ายดายนักหรือ?


ไม่มีทาง


เขาเป็นจงฉางชื่อแห่งวังหลวงไม่ใช่เงาร่างให้ใครข้ามผ่านโดยไม่ชำเลืองมอง สิ่งใดที่เขาแตะต้องแล้ว ต่อให้เป็นบุปผาชูช่อในฤดูวสันต์ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเบ่งบานในสวนของใครอื่นได้อีก


…..

……….


ยามเซินแสงอาทิตย์ลอดม่านฝนลงมาทีละริ้ว ขับให้ภาพถนนสิบลี้หม่นซึมเยี่ยงภาพวาดหมึกที่โดนหยาดน้ำลบเลือน หลินหยาก้าวเท้าช้า ๆ ลากเสียงหยดน้ำตามฝีเท้าลงบนพื้นทางหิน เธอเพิ่งเดินออกจากศาลาจื่อเถิงฮวาได้ไม่ทันไร ฝนก็ไล่ตามลงมาไม่ปรานี เสื้อคลุมบางชุ่มแนบเนื้อจนร่างเล็กสั่นน้อย ๆ คล้ายลูกแมวเปียกที่เพิ่งหลุดออกจากอ่างไม้ เธอหอบจดหมายปักตราพิเศษในมือ แนบอกแน่นด้วยหัวใจที่ทั้งหน่ายระคนระแวง “ให้ตายเถอะ…จะอะไรอีกล่ะคราวนี้” หลินหยาพึมพำกับตัวเองขณะก้าวเข้ามายังหอว่านหงเหริน ประตูบานใหญ่ของห้องพักพิเศษฝั่งตะวันตกถูกเปิดออกโดยไม่ต้องให้ใครมาเชื้อเชิญ นางยกมือเคาะเบา ๆ แค่พอเป็นพิธี ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอเสียงตอบรับ เพราะน้ำจากผมและชายเสื้อไหลย้อยลงตามคางจนเริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไป


ภายในห้องเงียบงัน เย็นยะเยือก แม้จะไม่มีไอฝน แต่กลับมีความกดดันประหลาดปกคลุมอยู่เต็มทุกตารางฉื่อ เธอกวาดสายตาหาเจ้าของจดหมายก่อนจะสบตาเข้ากับบุรุษในชุดคลุมขาว หน้ากากเงินที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือหนึ่งค่อย ๆ วางพู่กันลง อีกมือประสานเข้าหลังหลัง ดวงตาคมดุใต้หน้ากากไม่กระพริบขณะจ้องมองเธอจากหัวจรดเท้า...จนถึงตรงหัวใจ นัยน์ตาของเขาเหมือนมีบางอย่างที่กำลังสั่นไหวอยู่ภายใน คล้ายเปลวไฟที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เถ้าถ่าน รอเวลาเพียงน้อยนิดก็พร้อมจะโหมกระพือขึ้นอย่างดุร้าย แต่เงียบ...เงียบเสียจนไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ


“เจ้าตัวเปียก...เหมือนแมวพึ่งโดนจับอาบน้ำนักเสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำกล่าวเรียบ ๆ ดั่งจะเย้ยเยาะ แต่กลับแฝงอะไรบางอย่างที่ยากจะตีความได้ชัดเจน ทั้งขำขัน ทั้งเวทนา และ...คล้ายแววหงุดหงิดบางอย่างแผ่วเบาในน้ำเสียง


หลินหยาชะงักตอนที่ได้ยินเหลือบมองตัวเองก่อนจะขมวดคิ้ว บ่นอุบอิบ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาในสภาพนี้หรอก ท่านเล่นเขียนจดหมายปุบปับ ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตก...แล้วก็ดันไม่ให้รอด้วยสิ”


เธอเดินเข้ามาชิดกว่าเดิมคิ้วเลิกขึ้นน้อย ๆ ก่อนพูดต่อ “นี่...ข้ามาแล้วนะ ถ้าท่านจะเรียกมาแค่เพื่อหัวเราะสภาพข้า งั้นข้ากลับล่ะ” พูดจบยังไม่ทันหมุนตัวเต็มแรง เสียงไม้ขยับก็ดังขึ้นช้า ๆ ก่อนที่ร่างสูงในชุดคลุมจะก้าวเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง มือหนึ่งยื่นมาคว้าเอวหลินหยาไว้อย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น “อย่าพึ่งไป”


คำพูดเบากระซิบที่ข้างหู แผ่วเสียจนคล้ายลมหายใจ...แต่แฝงไว้ด้วยแรงดึงดูดราวเวทมนตร์ ร่างเล็กชะงักค้างอย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหรี่ลงนิดขณะสบสายตาที่แม้จะซ่อนอยู่หลังหน้ากากครึ่งซีก แต่ก็ร้อนระอุพอจะทำให้ใจของคนมองสะท้าน “วันนี้...เจ้าต้องอยู่ฟังสิ่งที่ข้า ‘เก็บ’ มาตลอดคืน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่คำว่าเก็บนั้นเปี่ยมด้วยรสของบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา คล้ายความโกรธขึงถูกแช่เย็นไว้จนแข็งตัว แล้วพร้อมจะแทงกลับเมื่อมีโอกาส


หลินหยากลืนน้ำลายก่อนจะยกมือแตะแขนอีกคนเบา ๆ “แล้ว...มันเรื่องอะไรหรือ?” เธอพยายามฝืนยิ้มแห้ง “อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ข้าไปเจอกับท่านหลิวอันน่ะ?...” จางกงกงยังคงนิ่ง แต่เพียงแววตาใต้หน้ากากเท่านั้นที่เปลี่ยน มันไม่ใช่เพียงแค่ไม่พอใจอีกต่อไปแต่มันคือการกักเก็บบางสิ่งไว้เนิ่นนานจนล้นทะลัก 


“ก็ใช่...” เขาพยักหน้าช้า ๆ “แล้วก็เรื่องที่ ‘เขา’ กล้าอุ้มเจ้าในอ้อมแขน” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย กระซิบชิดแก้มจนเสียงแผ่วกระทบหูอย่างจงใจ “มือของผู้อื่น...ไม่ควรแตะต้องของของข้า ไม่ว่าจะในหรือนอกฝัน เจ้าคิดว่า...ข้าจะปล่อยผ่านหรือเสี่ยวหยา?” เสียงแผ่วเบาแต่แหลมลึกปักเข้าใจกลางอกอย่างจัง หลินหยากลืนน้ำลายอีกครั้งหนึ่งยกมือขึ้นผลักอกเขาเบา ๆ “ท่าน...ก็คิดเกินเลยไปละ ข้าไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจให้อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นนะ”


“งั้นหรอ?” จางกงกงว่าเบา ๆ ก่อนจะโอบผ้าคลุมแห้งมาคลุมให้นางอย่างประหลาดใจ ราวกับจะแสดงว่าเขา...ทั้งโมโหและทั้งห่วง พร้อมกันในคราวเดียว แววตานั้นเย็นชาราวเหล็กกล้าในนาทีแรก แต่กลับอบอุ่นเสียจนเผาใจในนาทีถัดมา จางกงกงผู้ไม่เคยเปิดเผยความคิดอย่างตรงไปตรงมา แต่ทุกการกระทำล้วนเป็นเสี้ยวหนึ่งของความบิดเบี้ยวที่กำลังจะโอบรัดหัวใจใครบางคนให้แน่นยิ่งขึ้นทุกขณะ


หลินหยายืนอยู่กลางห้อง เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงเมื่อสาวใช้ของหอนำกล่องผ้าเรียบหรูเข้ามาวางลงบนโต๊ะไม้ต่ำ ร่างเล็กยังอยู่ในสภาพเปียกโชกเสื้อคลุมบางแนบไปตามร่างจนเห็นสัดส่วนอย่างน่าเวทนา เธอขมวดคิ้วรู้สึกอึดอัดไปหมด เสื้อผ้าเปียก น้ำฝนไหลเย็นเฉียบตามแผ่นหลังลงไปถึงเอว แต่กลับยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะละสายตาไปจากนางเลยแม้แต่น้อย


"นำเสื้อผ้ามาแล้วเจ้าค่ะใต้เท้า" สาวใช้น้อยค้อมตัวกล่าวเบา ๆ พลางเหลือบตาไปมองหลินหยาที่กำลังพยายามห่อไหล่ตนเองเพื่อให้พ้นจากสายลมที่พัดลอดหน้าต่างเข้ามาก่อนที่นางจะเร่งจากไปอย่างทันทีไม่อยู่ตรงนี้นาน จางกงกงเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาภายใต้หน้ากากยังคงจับจ้องราวกับกำลังวัดอารมณ์ตัวเองอย่างที่สุด


“เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในที่สุด “จะได้ไม่เป็นหวัด”


หลินหยาเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูด เพียงแต่เดินไปยังโต๊ะไม้ หยิบกล่องผ้าขึ้นมา แล้วเปิดมันอย่างระแวดระวังแค่เห็นชั้นผ้าด้านบน นางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “...หืม?” ดวงตาคู่หวานเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลงทีละนิด ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เธอคีบผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู แล้วหันกลับไปมองจางกงกงที่นั่งไขว้ขาอย่างเงียบ ๆ ใต้แสงตะเกียงนิ่งเฉย ราวกับเป็นเพียงผู้ชมบนเวทีละคร ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น


“นี่...คือสิ่งที่ท่านให้นางเอามาให้ข้าหรือ?” หลินหยาพูดเสียงเบาแต่กดต่ำเต็มไปด้วยข้อหา เธอสะบัดผ้าในมือขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นชุดผ้าแพรบางเบาสีขาวหม่นปักลายเมฆพลิ้วที่ไม่ต่างจากชุดนางระบำยามต้องร่ายรำรับแขก ยิ่งดู ยิ่งไม่ต่างจากสิ่งที่นางเคยเห็นเหล่านางโลมบางคนสวมสมัยอยู่หอมากนัก แม้จะไม่โป๊เปลือยแต่ก็ชัดเจนว่า...ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดสายตาโดยเฉพาะ


จางกงกงไม่พูดอะไรเขายกถ้วยสุราขึ้นจิบ ราวกับว่าเสียงนางเป็นเพียงสายลมผ่านแก้ม ขณะดวงตาภายใต้หน้ากากยังมองนางอยู่ไม่ละไปแม้แต่น้อย “ชุดของเจ้าเปียกหมด ไม่มีเวลาหาชุดใหม่...” เขาพูดในที่สุดเสียงเรียบเย็นดังลอดหน้ากากเหมือนน้ำเย็นสาดลงบนเหล็กร้อน “หอว่านหงเหรินจะมีชุดแบบไหนให้เจ้าก็แล้วแต่ใจเจ้าคิด”


“อ้อ แล้วท่านก็ไม่คิดจะให้คนไปหาชุดปกติมาให้ข้าใช่ไหม ชุดสาวใช้ธรรมดาก็มีปะ” หลินหยาพึมพำก่อนจะถอนใจยาว “หรือจริง ๆ แล้วท่านก็จงใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” นางว่าพลางหยิบผ้าแพรขึ้นอีกชิ้น ก่อนจะบ่นงึมงำ “เนื้อผ้าดี...แต่มันบางเหมือนลมหายใจ”


“บางก็ดี จะได้แห้งไว” คำตอบของเขาทำให้หลินหยาเกือบจะปาเสื้อใส่หน้าอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น แต่เธอก็กลั้นไว้ สะบัดหน้าเดินไปอีกมุมของห้องหลังม่านที่พอจะกั้นสายตาได้บ้าง ดวงหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยทั้งความหนาวและความขัดใจปนกัน “ถ้าข้าเปลี่ยนออกมาแล้วหน้าท่านมีอาการอะไรแม้แต่นิดเดียว ข้าจะเอาไม้เสียบไก่ปิ้งจิ้มตาท่านให้บอดทั้งสองข้างเลยคอยดู!”


“เชิญ...” จางกงกงตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า แต่ในใจกลับกำลังนับวินาทีอย่างเยือกเย็นและใจเย็นที่สุดในรอบหลายวัน เขากำลังบีบคออารมณ์ของตัวเองให้แน่นยิ่งขึ้นเพียงเพื่อจะรอดูว่า เมื่อนางสวมชุดที่เขาเตรียมไว้แล้ว...ความอดทนของเขาจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหนต่อสิ่งที่เขารับรู้เมื่อคืนวาน


ม่านผ้าสีอ่อนเคลื่อนไหวแผ่วเบา เมื่อเงาร่างเล็กก้าวพ้นออกมาในชุดแพรที่เกือบจะหลอมกลืนไปกับผิวเนียนขาว ราวกับเป็นหมอกบางของยามรุ่งอรุณที่ไม่มีอะไรปิดบัง แสงจากโคมกระทบเนื้อผ้า บิดไล้เส้นโค้งและสัดส่วนอย่างจงใจให้ต้องมองซ้ำ สายตาของจางกงกงจับนิ่งไม่กระพริบจากภาพนั้น ขณะจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าเหมือนถูกลืมไปสิ้น แม้ดวงหน้าภายใต้หน้ากากจะยังไร้แวว ทว่าดวงตาคู่นั้น...ไม่อาจปิดบังแรงอารมณ์ที่ร้อนระอุอยู่ภายในได้แม้แต่น้อย


หลินหยาหรี่ตาใส่เขาขยับชายผ้าแนบเอวแน่นขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ "ท่านมองอะไรนักหนา?" เสียงนั้นไม่ใช่คำด่าทอ แต่แฝงไว้ด้วยความระแวดระวังและความขัดเขินที่ไม่อาจปิดบังเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของเขาของ ‘เขาคนนี้’ ทำให้หลินหยาไม่เคยไว้ใจอะไรได้เลย จางกงกงไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงเอียงหน้าช้า ๆ เหมือนพินิจนางในทุกมุม เงียบงันจนน่าขนลุกก่อนเสียงเรียบนิ่งจะเอื้อนเอ่ย “เจ้าดูดี...ในแบบที่ใครก็ยากจะละสายตา”


“หืม? อันนี้ท่านชมเพื่อจะกัดใช่ไหม” หลินหยาว่าพลางถอยหลังเล็กน้อยแล้วกอดอกเล็กน้อย “รีบบอกข้ามาเถอะ เรียกมาทำไม?”


ชายหนุ่มยังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เสียงรองเท้าแตะพื้นไม้ดังก้องในความเงียบยิ่งตอกย้ำบรรยากาศอึดอัดระหว่างทั้งสอง เขาก้าวเข้ามาทีละก้าว สายตายังคงตรึงแน่นบนดวงหน้าที่แม้จะพยายามทำหน้าดุ แต่แววตากลับซ่อนร่องรอยเหนื่อยล้าและ...ความเศร้าเอาไว้ไม่มิด “เมื่อวาน...เจ้าไปร้องไห้ในอ้อมแขนของผู้ใดมา?” น้ำเสียงเขาเย็นยะเยือกแฝงคำถามอย่างแผ่วเบาแต่คล้ายใบมีดบาดลึก หลินหยาเบิกตากว้างชั่วขณะ หัวใจเต้นวูบก่อนจะหลบสายตาเขาทันที "ใครบอกท่านเรื่องนั้น..."


จางกงกงยิ้มมุมปากแม้มองไม่เห็นชัดหลังหน้ากาก "ไม่สำคัญหรอกว่าใครบอก สำคัญที่...มันเป็นความจริงใช่หรือไม่?"


“แล้วไงเล่า?” หลินหยาตอบทันทีโดยไม่คิด “มันไม่ใช่เรื่องของท่านสักหน่อยนี้” เพียงคำพูดนั้น จางกงกงก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอราวกับเงาทมิฬที่บดบังแสงทั้งหมดในห้อง มือล็อกที่ข้อมือบางของเธอด้วยแรงที่ไม่ถึงกับเจ็บ แต่หนักแน่นพอให้รู้ว่า...นางไม่มีทางหนี “ไม่ใช่เรื่องของข้า?” เสียงเขาเยียบเย็นลงทุกวินาที “เจ้าแน่ใจหรือว่าร่างของเจ้าที่ข้าจูบเมื่อวานก่อน...ไม่มีความหมายใดเลย?”


“ท่าน...” หลินหยากัดฟันแน่น ดวงตาฉายแววตึงเครียดและลังเลปะปน “ข้าแค่...เหนื่อย”


“เหนื่อยจนต้องร้องไห้ใส่อ้อมแขนของผู้อื่นน่ะหรือเสี่ยวหยา?” เขาโน้มหน้าเข้าใกล้คำพูดกระซิบชิดใบหู “หรือเพราะเขา ‘ขอเจ้าแต่งงาน’ เจ้าก็เลยคิดจะหนีข้าไปอย่างนั้นรึ?” หลินหยาเบิกตาโพล่งตอนที่ได้ยินแบบนั้นหน้าแดงซ่านทันที “ใครว่า…! ข้าไม่ได้ตอบตกลงด้วยซ้ำ!”


“แต่เจ้าก็ไม่ปฏิเสธทันที” จางกงกงแทรกทันที น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันอย่างเหี้ยมเกรียม "ข้าเฝ้ามองเจ้า...ตั้งแต่เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครอยู่เบื้องหลังหอว่านหงเหริน ข้าให้โอกาสเจ้าเล่นเป็นเบี้ยหมาก ให้น้ำให้ท่าให้อาหาร ทว่าเจ้า...กล้าจะหันไปยิ้มให้ชายอื่นหรือ?" น้ำเสียงเขาในตอนนี้...บิดเบี้ยว และเต็มไปด้วยไฟริษยาร้อนแรงจนหลินหยาเองยังไม่เคยเห็นมาก่อน “เจ้าจะพูดอะไรอีกเสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำคล้ายคำรำพึงมากกว่าคำถาม “หรือเจ้าจะยังโกหกตัวเองว่า...ข้าไม่สำคัญพอ?”


จางกงกงไม่ขยับแม้เพียงครึ่งก้าวไม่ใช่เพราะเขาไร้ความรู้สึก แต่เพราะเขารู้ดีว่าหากเพียงปล่อยให้ความคลั่งในอกได้ครอบงำแม้แต่วินาทีเดียว…บางสิ่งที่ไม่ควรเกิดอาจเกิดขึ้นจริง เขาไม่เชื่อใจมือของตนเอง ไม่เชื่อใจหัวใจบิดเบี้ยวที่กำลังเกรี้ยวกราดราวเปลวเพลิงทมิฬในห้องไร้แสง เขาเลือกที่จะยืนนิ่งประหนึ่งรูปสลักเงานิ่ง…แต่แหลมคม รอให้นางเป็นฝ่ายเอ่ย ราวกับวางกับดักแห่งความสงสัยให้หลินหยาเป็นผู้เลือกว่าจะเหยียบมันหรือไม่ และนาง…ก็เหยียบมันโดยเต็มใจ


หลินหยาพ่นลมหายใจพลางปัดเส้นผมเปียกที่ปรกใบหน้าออก “ข้าจะบอก” นางบอกแบบนั้นแล้วจางกงกงก็ยังไม่มั่นใจ หลินหยาจึงขยับมือเล็กหยิบไหสุราที่ตั้งบนโต๊ะมารินลงจอกราวกับจะย้อนเวลาให้กลับไปยังช่วงเวลาเก่าก่อน ดวงตาของนางไม่หลบซ่อน ไม่อ้อมค้อมเช่นเคย “ใช่ ท่านหลิวอันขอข้าแต่งงาน” เสียงแก้วกระทบกันแผ่วเบาเหมือนเสียงระฆังเตือนภัยในความเงียบงัน จางกงกงยังไม่พูดไม่มีการสะดุ้ง ขมวดคิ้วหรือกัดฟัน มีเพียงร่างสูงในชุดเข้มที่มองอย่างนิ่งลึก…ลึกเกินกว่าจะอ่านความคิดได้


หลินหยาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งแต่หนักแน่น “แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง” น้ำเสียงมั่นคงจนน่าประหลาดใจ “และข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที…เพราะข้าเห็นว่าเขาคือผู้มีพระคุณ ไม่ใช่แค่ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์แต่เป็นบุพการีคนที่สองของข้า ผู้เคยช่วยข้าหลายครั้งในวันที่โดนท่านทำลายจิตใจไม่มีชิ้นดี” นางเว้นวรรคเพื่อกลืนน้ำลาย…หรืออาจจะกลืนบางอย่างที่ตีขึ้นมาจากอก ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายเบา ๆ แต่ชัดเจน 


“ข้าร้องไห้ เพราะข้าสงสารเขา” ดวงตาของหลินหยาเริ่มสั่นไหวในถ้อยประโยคสุดท้าย “ข้าต้องบอกเขาว่าหัวใจข้า…เป็นของคนอื่น”


ชั่วขณะหนึ่งทุกสรรพเสียงในห้องเงียบงันจนน่ากลัว แม้แต่เสียงลมหายใจก็เหมือนจะหยุดนิ่ง จางกงกงยังยืนนิ่งเช่นเดิม ราวกับรูปสลักของจอมปีศาจที่ไม่มีหัวใจ แต่ในดวงตานั้น…แววเพลิงคลั่งที่เคยลุกโชนกลับค่อย ๆ สงบลง มอดไปอย่างเชื่องช้า แต่ไม่ใช่ความสงบของผู้ยินดี ไม่ใช่การคลายใจของคนรักมันคือความสงบของผู้ล่าที่เพิ่งเห็นเหยื่อยอมกลับมาเข้ากรงเอง


ริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขาค่อย ๆ คลายออกทีละน้อย ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นเยียบขึ้นบนใบหน้าไม่ใช่รอยยิ้มที่งดงามหรืออบอุ่นหากแต่เป็นรอยยิ้มของความ ‘ยืนยัน’ เป็นรอยยิ้มของผู้ที่ได้ชัย ราวกับเกมหมากที่เขาวางมือลงมาตั้งแต่ต้น ได้เดินมาถึงจุดที่อีกฝ่ายยอมรับโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นหมากในกระดาน “แน่นอน…” เสียงทุ้มแผ่วราวกับลมหนาวยามเหมันต์ “เจ้าก็ย่อมต้องเป็นของข้าอยู่แล้ว…อยู่ในกรงของข้าอยู่ใต้เงาของข้า อยู่ในลมหายใจและคำสั่งของข้า” เขายื่นมือออกไปรับจอกสุราจากมือนาง ดื่มมันเข้าไปในอึกเดียวก่อนวางลงอย่างแผ่วเบาริมฝีปากยังคงยิ้ม “ข้าจะไม่ถามว่า ‘คนอื่น’ คนนั้นคือใคร…”


เขาก้าวเข้ามาใกล้หนึ่งก้าวสบตานางแน่นิ่ง “เพราะข้ารู้คำตอบอยู่แล้ว” เขาไม่ได้แตะต้องนาง…ยังไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ในเวลาที่หัวใจของเขายังไม่ได้เต้นเป็นจังหวะที่พอใจ แต่ช่วงเวลานี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว และเขาไม่คิดจะปล่อยให้แม้แต่ลมหายใจของนาง…หลุดพ้นไปจากเงาของตนอีกเลย ดวงตาของจางกงกงทอประกายวาววับในแสงมัวของห้องนั้นราวกับเงาเพลิงที่ยังไม่ดับมอดลงจริง หากแต่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้รอยยิ้มบาง ๆ ซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าเป็นรอยยิ้มของความพอใจ หรือเป็นเพียงการควบคุมอารมณ์ที่คลั่งจนแทบทะลักออกมาด้วยเปลือกหน้าสงบนิ่งอย่างที่เขาถนัด


"นั่นแหละ...เป็นสิ่งที่ควรเป็น" ดั่งเสียงพึมพำแผ่วในความมืดของจิตใจ หลินหยา...ไม่ควรเป็นของใคร ไม่ควรแม้แต่จะถูก ‘คิดถึง’ โดยบุรุษอื่น ไม่ควรถูกยื่นข้อเสนอใด ๆ เพราะแม้แต่คำว่ารัก...ก็เป็นสิ่งที่เธอไม่มีสิทธิ์จะเลือกให้ใครนอกจากเขา และการปฏิเสธของนางในวันนี้...ไม่ได้ทำให้บาดแผลที่เขาได้รับจากการรู้ว่าหวยหนานหวางได้แตะต้องนางจางลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันทำให้เขา ‘มีสิทธิ์’ มากขึ้น มีเหตุผลที่จะย้ำเตือนนางมากขึ้น ว่าหลินหยาเป็นของเขา ทุกอณูของร่างกายนาง ทุกช่องว่างในหัวใจนางทุกรอยยิ้มและหยดน้ำตานางควรถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเขาเท่านั้น


ชายหนุ่มที่ซ่อนตัวในหน้ากากครึ่งหน้าผู้เป็นจงฉางชื่อขยับนิ้วเรียวยาวแตะปลายจอกเบา ๆ ในจังหวะนิ่ง...แต่ตึงเครียด ราวกับกำลังอดกลั้นบางสิ่งไว้ลึกในอก ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้ และเป็นหลินหยาที่เอื้อมมือมาสัมผัสเขาเบา ๆ ที่แขน สัมผัสนั้นนุ่มนวล อบอุ่น ราวกับน้ำเย็นที่เทราดใส่เปลวไฟที่คลั่งกระเพื่อมในอกเขา 


"ท่านอย่าโมโหนักได้ไหม..." น้ำเสียงของนางไม่อ้อน...ไม่ออดอ้อนเหมือนหญิงสาวทั่ว ๆ ไป หากแต่มันเป็นคำพูดตรง ๆ ของนาง…ในแบบที่เป็นหลินหยา ไม่หวานแต่จริงใจเต็มไปด้วยความรู้สึก มือเล็กที่จับแขนของเขานั้นแน่นพอให้รู้สึก แต่ไม่มากเกินกว่าจะกลายเป็นการต่อต้าน ดวงตาที่มองมาไม่หลบเลี่ยงแต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยอง มีเพียงความพยายามเข้าใจ...ในขณะที่เธอเองก็อาจไม่เข้าใจหัวใจของปีศาจตรงหน้าได้หมด


จางกงกงปรายตามองมือนั้น มือที่เรียวงามนุ่มเรียบน่าสัมผัสแต่กลับที่เคยจิกลงกลางอกเขาครั้งที่เขาทำนางเจ็บปวด มือนี้ที่เคยผลักเขาออกและในเวลาเดียวกัน...ก็เป็นมือนี้ที่คอยรินสุราให้อย่างเงียบงัน ริมฝีปากเขาขยับขึ้นเล็กน้อยไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นแววกระตุกของความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก "เจ้าคิดหรือว่าข้ากำลังโกรธ?" น้ำเสียงของเขานุ่มลึก ราบเรียบจนแทบเย็นชา แต่ดวงตานั้นกลับร้อนระอุเหมือนจะกลืนหลินหยาทั้งร่างลงไปกับคำถามเพียงประโยคเดียว


"ถ้าข้าโกรธ...เจ้าคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แบบไม่เป็นอะไรหรอกเสี่ยวหยา" สายตาของเขาค้างอยู่ที่ดวงหน้าเธอครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อย และในแววตานั้นคือภาพของผู้ล่าที่ยังไม่ยอมละจากเหยื่อ แต่เพียงยอมให้เหยื่อได้หายใจอีกหนึ่งเฮือก...เพื่อรอช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ “...แต่เจ้าทำได้ดีแล้ว ที่ปฏิเสธมันไป” เขายอมให้นางพาเขานั่งลงตามปกติอย่างเงียบงัน


แค่ครั้งนี้เขาจะยังไม่รัดคอเหยื่อที่รักให้ขาดหายใจในทันที แต่จงจำไว้หลินหยาเจ้าเป็นเหยื่อที่เคยหลุดรอดไปจากเงาของเขา...ไม่มีใครรอดได้เป็นหนที่สองและครั้งหน้า...หากมีใครเอื้อมมือมาใกล้อีก เขาจะไม่ยอมให้แม้แต่มือนั้นยังคงติดอยู่กับตัวมัน


เสียงในห้องนั้นเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเบาบางของทั้งสอง…หรืออาจจะมีเสียงหัวใจของใครบางคนที่กำลังเต้นรัวหนักจนเหมือนจะดังลอดออกมาได้จริง ๆ ดวงตาใต้หน้ากากจงฉางชื่อยังคงจ้องมองหลินหยาอย่างแน่วแน่ ราวกับจะสลักภาพเธอไว้ในม่านตาอย่างไม่มีวันลบเลือน ...สายตานั้นไม่ใช่แค่การมอง แต่คือการยึดครองอย่างเงียบงันและหนักแน่น “เจ้าเป็นของข้า...และไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าได้” คือถ้อยคำที่เอ่ยออกมา สัมผัสได้จากแรงกดดันที่บีบคั้นอากาศรอบตัวจนแน่นตึง ดวงตาคมกริบราวเหยี่ยวที่ซุกซ่อนเปลวเพลิงทมิฬไว้ในนั้นขยับนิ่งสะท้อนเงาใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า


มือเรียวยาวของเขาเอื้อมมาสัมผัสแก้มของเธอเบา ๆ ทว่า...ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนครั้งก่อน หากแต่แฝงด้วยน้ำหนักแห่งเจตจำนงแน่วแน่ที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ปลายนิ้วเกลี่ยผ่านผิวแก้มขาวชื้น รอยเย็นจากละอองฝนยังคงเกาะอยู่ แต่ปลายนิ้วของจางกงกงกลับร้อนเสียจนดูเหมือนจะละลายหยดน้ำเหล่านั้นให้หายไปในเสี้ยววินาที "มา" เขาเอ่ยเพียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยแรงบีบบังคับนัย ๆ ก่อนจะรั้งข้อมือบางของหลินหยา ดึงนางให้ทรุดตัวลงนั่งบนตักของเขาในอ้อมแขนโดยไม่รอฟังคำตอบ


“เอ๊ะ!...เดี๋ยวสิ ข้ายัง….” หลินหยาจะร้องประท้วงเบา ๆ เพราะถูกจับอุ้มราวแมวเปียกที่โดนลากกลับบ้านแต่เขาไม่สน มืออีกข้างตวัดขึ้นโอบเอวบางไว้แน่นราวกับจะกลืนหลินหยาเข้าไปในร่างตนเอง ฝ่ามือกดเบา ๆ ที่แผ่นหลังของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งยังเป็นแรงยึดไว้ไม่ให้นางดิ้นหลุดไปไหนได้ง่าย ๆ ดวงตาของเขาขยับมาหยุดที่ริมฝีปากของนาง ลมหายใจของทั้งสองข้างใบหน้าห่างกันเพียงเสี้ยวคืบ 


ปลายนิ้วโป้งของเขาขยับมาลากผ่านกลีบปากของหลินหยา…ช้าและหนักแน่น ราวกับกำลังลงอาคมประหลาดอะไรบางอย่าง "เจ้าอย่าให้ใครได้สัมผัสมันเชียวนะเสี่ยวหยา...เข้าใจไหม" ประโยคเดียวที่ลอดริมฝีปากเขา ทำเอาคนที่อยู่บนตักถึงกับชะงัก ใบหน้าหลินหยาเริ่มร้อนผ่าว ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ทั้งเพราะเขินทั้งเพราะ...โกรธ


"โอ๊ยยย….ท่านเป็นบ้าหรือไง! ท่านนี่มัน..." นางยกมือตีแผ่วที่หน้าอกของเขาเบา ๆ เหมือนแมวข่วนแค่พอให้รู้ว่าไม่พอใจ แต่มืออีกข้างของจางกงกงกลับเลื่อนขึ้นมารั้งข้อมือนางไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบชิดหูอย่างจงใจให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าว


"ใจเจ้ายังอยู่กับข้า...ใช่หรือไม่ ข้าถึงไม่ฆ่ามันเสียตอนนี้" น้ำเสียงนั้นไม่ได้โกรธเกรี้ยว แต่เย็นเยียบจนเหมือนน้ำแข็งใต้เปลวไฟ


หลินหยาขมวดคิ้วมือเล็กพยายามผลักไหล่เขา แต่ก็ไม่ได้แรงพอจะดันออกได้จริง ๆ เพราะเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าเขาแค่ปล่อยให้ดิ้นเพราะหากเขาจะกอดจริง ๆ เธอไม่มีวันขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียว "ปล่อยนะท่าน...เสื้อข้าเกือบหลุดแล้ว!"


"ก็ดี...ข้าอยากมองมันอยู่พอดี"


“นี่!” จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ใกล้ใบหูของหลินหยา กลายเป็นเสียงที่ทำให้นางสะดุ้งเพราะมันทั้งน่าขนลุกและ......น่าตี! อ้อมแขนนั้นกระชับขึ้นอีกนิดจนหญิงสาวรู้สึกว่าถ้าไม่รีบผลักออกตอนนี้ มีหวังเขาจะได้ ‘อุ้ม’ เธอเข้าห้องด้านในแบบที่นางไม่มีโอกาสเปล่งเสียงเลยก็เป็นได้ “ข้า…ข้าจะ...จะลุกแล้ว!”


“หืม? ใครบอกว่าให้เจ้าไปไหนกันเล่า” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนอย่างเสแสร้งชัดเจนแต่แววตายังคงแฝงความหม่นลึกที่นางอ่านไม่ออกจางกงกงที่ยังคงจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลินหยาไม่หลบตาไปไหนแขนแกร่งรัดรอบเอวของหลินหยาจนแทบไม่มีช่องว่างให้แม้แต่ลมหายใจเล็ดลอด อ้อมกอดของจางกงกงแน่นหนาราวกับกรงเหล็กที่ขังนางไว้ในโลกของเขาเพียงผู้เดียว เสียงกระซิบแผ่วต่ำกระทบข้างหูทำเอาสะโพกของนางสั่นไหววูบเล็กน้อยจากแรงสะท้านไม่ใช่เพราะกลัว หากแต่เป็นความรู้สึกที่ปะปนจนยากจะบรรยาย


"เจ้าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว...เสี่ยวหยา" น้ำเสียงนั้นเอ่ยเบาราวกล่อม แต่ความจริงคือโซ่ตรวนแห่งอำนาจที่ค่อย ๆ พันธนาการลงบนหัวใจของนางอย่างแนบเนียน "โลกภายนอกนั้นอันตรายนัก...มีแต่คนคิดร้ายและอยากจะฉุดกระชากเจ้าไปจากข้า" คำพูดที่เหมือนห่วงใย แต่แท้จริงแฝงความหึงหวงรุนแรงชนิดที่แม้แต่สายลมก็ไม่ควรต้องพัดผ่านปลายผมของนางหากเขาไม่อนุญาต


หลินหยายังคงพยายามเบือนหน้าหนี ไม่อยากสบสายตาเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้น เพราะนางรู้ดี หากสบเข้าไปตรง ๆ หัวใจเจ้ากรรมของตนจะยอมจำนนอย่างง่ายดายเกินไป แต่จางกงกงกลับไม่ปล่อยให้นางหลบหนีแม้แต่เพียงนิด เขาโน้มศีรษะลงมาใกล้ใบหูเธอลมหายใจร้อนวาบพัดรินผ่านผิวแก้ม


"เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืน..." เสียงกระซิบพร่าเลือนต่ำติดแหบครางเบา ๆ เหมือนคนอดกลั้นบางอย่างไว้สุดขีด "...ข้าต้องอดทนกับความทรมานแค่ไหน...เพราะไอ้สารเลวนั่นมันกล้าแตะต้องเจ้า" ขณะที่เอ่ยเขาก็แนบริมฝีปากลงบนกลีบหูของเธอแผ่วเบาคล้ายจะลูบไล้ คล้ายจะลงโทษ


หลินหยาสะดุ้งเธอเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาฉายแววลังเลและสับสน างรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามฝังความรู้สึกผิดไว้ในหัวใจของเธอว่าความเจ็บปวดของเขาเป็นผลมาจากการกระทำของนางเอง ราวกับว่าทุกการกระทำของเธอคือสิ่งที่เขาต้องรับผลแทนอย่างแสนสาหัส นั่นมันบ้าบอ...ไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความครอบครองที่ปะปนกับการปลูกฝังพันธะลวงลึก


"ท่านอย่าว่าเขาสารเลวเพราะท่านมันเลวกว่าเขาพันพันเท่า…แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจ..." หลินหยาพึมพำในประโยคสุดท้ายเบือนหน้าไปทางอื่นแม้ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา "ข้าไม่รู้ว่าเขาจะ...ทำแบบนั้น..."


"ไม่รู้? หรือเจ้าหวั่นไหว?" เสียงของเขาแฝงรอยกัดกร่อน ราวกับเล็บที่ข่วนผิวบาง ๆ อย่างจงใจให้แสบเล็กน้อยก่อนจะปิดแผลด้วยจุมพิตหลอกลวง หลินหยาหันขวับดวงตาแดงวาวเหมือนจะระเบิดอารมณ์ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของจางกงกงที่แฝงความเจ็บปวดไว้ภายใต้ความเย็นชา ...เจ็บปวดแท้จริง หรือแค่แสร้งสร้างขึ้นมาควบคุมนาง? เธอไม่อาจแน่ใจได้เลย เขากดหน้าผากแนบหน้าผากเธอ จ้องตาเธอใกล้จนแทบสัมผัสลมหายใจ "อย่าทำให้ข้าต้องอดทนมากกว่านี้...เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนดี...และข้าไม่ใช่คนที่ยอมแบ่งของรักให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น" แมวเปียกในอ้อมแขนชะงักนิ่งงันอยู่เช่นนั้น ท่ามกลางความเงียบที่หนักอึ้งปนด้วยอารมณ์หลากหลายที่ร้อยรัดกันแน่นจนแทบหายใจไม่ออกและจางกงกง…ยังคงกอดไว้แน่นขึ้นอีกนิด ราวกับจะหลอมหลินหยาให้เป็นเนื้อเดียวกับเขาแม้เป็นการครอบครองด้วยอารมณ์มืดมน...แต่มันก็คือ...ความจริงของเขาที่จะแสดงออก


หลินหยามองหน้าอีกคนเล็กน้อย แล้วพ่นลมหายใจเหมือนจะยอมแพ้แล้วเลือกที่จะทิ้งตัวเอาหัวซบอกอีกคน ตอนนี้นางนั่งตักเขา อยู่ในอ้อมกอดเขาและเหมือนกับคนที่จะแพ้เขาทุกที จางกงกงชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงของร่างบางที่ทิ้งตัวลงมาแนบอกเขา ศีรษะเล็กพิงลงกับช่วงอกในจังหวะที่หัวใจเขากำลังเต้นกระหน่ำรุนแรง อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ราวกับจะปกป้องแมวน้อยในอ้อมกอดจากทุกสิ่งบนโลกนี้ แม้กระทั่งลมหายใจของใครอื่นที่ไม่ใช่เขาเอง เขาเงียบไม่ตอบทันที ดวงตาสีเข้มใต้แพขนตายาวจ้องมองลงไปยังเสี้ยวหน้าที่แนบอกตนด้วยสายตาที่ยากจะแปลความระหว่างความอ่อนโยนกับความคลั่งไคล้บางอย่างที่เหมือนกำลังคุกกรุ่นอยู่ในห้วงลึก


"ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนดี..." น้ำเสียงของหลินหยาแผ่วเบาแต่แน่นอน "ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เป็นคนดีตอนนี้...แต่ท่านต้องค่อย ๆ ปรับไป เข้าใจไหม..." ถ้อยคำนั้นเหมือนละอองฝนกลางเปลวเพลิง...ไม่ได้ดับไฟ แต่ทำให้มันเงียบลงชั่วคราว เธอขยับตัวในอ้อมกอดแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเล็กแหงนขึ้นเล็กน้อยขณะเอ่ยถามด้วยดวงตากลมโตที่แพขนตายังเปียกชื้นบางส่วนจากละอองฝนก่อนหน้านี้


"หมายความว่าตอนนี้ห้ามผู้ชายคนไหนแตะตัวข้าเลยหรอ?" หลินหยายู่หน้าใส่เขา น้ำเสียงเหมือนกำลังต่อรองแม้ร่างกายจะยังซบแน่นอยู่ในอ้อมแขนเขา "อุบัติเหตุก็ไม่ได้หรือไง...?" ดวงตาโตหรี่มองเขา ราวกับเด็กดื้อที่แกล้งลองดี


รอยยิ้มของจางกงกงปรากฏขึ้นที่มุมปาก ช้า ๆ แต่ไม่อ่อนโยน มันคือรอยยิ้มของผู้ชายที่มั่นใจในอำนาจของตนอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในแววตา ริมฝีปากและแรงโอบรัดของอ้อมแขนนั้น เขาก้มหน้าลงมาใกล้ กระซิบเสียงต่ำข้างใบหูของเธออย่างจงใจให้รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อน "แม้แต่สายลม...ก็ไม่ควรแตะต้องเจ้า หากข้าไม่อนุญาต" คำพูดนั้นไม่ใช่คำสั่งแต่คือคำประกาศอธิปไตยหนึ่งเดียวบนดินแดนชื่อว่า 'หนาน หลินหยา'


เขาก้มมองหล่อนอีกครั้ง ดวงตาที่เหมือนจะอ่อนโยนแต่ลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และรอยยิ้มที่ตามมาก็โอบล้อมเธอไว้อย่างสมบูรณ์ "ข้าจะยอมปรับ...ก็ได้" เขาว่าช้า ๆ พลางยกนิ้วไล้แก้มนุ่มของเธอ "แต่เจ้าก็ต้องยอมเป็นของข้าแต่โดยดีเช่นกัน...ยิ่งเจ้าห้ามข้ายิ่งอยากทำให้เจ้ารู้ว่าไม่มีใครหวงเจ้าได้เท่าข้าอีกแล้ว" หลินหยาได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง แม้หน้ายังยู่แต่ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้น...แม้มันจะคลั่งเกินไปหน่อย แต่มันก็คือจางกงกงคนที่นางเผลอให้อำนาจเหนือตนเองมาโดยไม่รู้ตัวและยิ่งปล่อยให้เขากอดนานเท่าไร…คำว่าหลบหนีก็ดูจะเลือนรางลงไปทุกที


ในหัวกลับเต็มไปด้วยเสียงของตัวเองที่ดังลั่นไม่แพ้เสียงฟ้าคำรามในใจสาวน้อย ‘ข้าจะบ้าเรอะ…นี่ข้าชอบคนแบบนี้ไปได้ยังไงกัน…คนที่เอาแต่พูดว่าข้าเป็นของเขา ใครแตะตัวข้าไม่ได้ ขนาดลมก็ยังหวง?’ นางกรีดก้องอยู่ในอกอย่างสุดแรง ใบหน้าหวานสะบัดเล็กน้อยเหมือนจะไล่ความรู้สึกงี่เง่านั่นออกไป


แต่แล้วสายตาอีกคนก็จับจ้องลงมาอย่างแน่วนิ่ง ใต้เงาของหน้ากากหยกขาวแกะลายเมฆาร่วงโรย…นัยน์ตาเรียบนิ่งแต่น่ากลัวเยือกเย็นอยู่ในที จางกงกงยังคงไม่หลบสายตาเธอ และไม่ขยับออกแม้แต่น้อย กลับกัน…กลับมองหน้าเธอแน่นิ่ง ราวกับอยากจะกลืนกินความคิดเธอเข้าไปเสียตรงนั้น หลินหยาชะงักเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมพ่นลมหายใจแรงอีกครั้ง เสียงถอนหายใจของแมวน้อยผู้ดื้อดึงดังขึ้นในความเงียบของห้องราวกับคำถามที่กลั้นใจมานาน 


"ท่านอยากถอดหน้ากากไหม?" หล่อนเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วแต่จริงจัง ดวงตาไหวระริกเล็กน้อยก่อนมองไล่ไปยังขอบหน้ากากงาช้างที่บดบังใบหน้าอีกฝ่าย “ตรงนี้ไม่มีใคร...และอีกอย่าง...เมื่อวานก่อน ท่าน...ฆ่าคนต่อหน้าข้า...ห้าคนเลยนะข้าไม่ได้ร้องไห้เพราะข้าไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นการฆ่าฟันหรืออ่อนแอ...แต่เพราะข้าไม่อยากเห็นท่านเป็นแบบนั้น...ต่อหน้าข้าอีก” ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเอ่ยออกมาพร้อมแววตานิ่งสงบ ทว่าแฝงแวววิตกและอ่อนโยนปะปนกันราวกับเธอไม่อยากหนี แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้เขาดำดิ่งลงไปลำพังในเงามืดที่น่ากลัวเกินไปแล้ว


จางกงกงเงียบกริบไปครู่หนึ่งอ้อมแขนที่กอดนางแน่นอยู่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงเล็กน้อย ราวกับกำลังประเมินคำพูดนั้นอย่างรอบคอบ…หรืออาจจะกำลังคำนวณอะไรบางอย่างในใจที่มืดมน "เจ้ากลัวข้า?" น้ำเสียงเขาเย็นชาแต่แฝงความปวดร้าวลึก ๆ ในคำถามที่แทบจะไม่เอื้อนเอ่ยออกมา หากไม่ใช่เพราะแมวน้อยในอ้อมกอดนี้


"ข้าไม่กลัว" หลินหยาเงยหน้าขึ้นสบตา "แต่ข้าเจ็บ...ที่เห็นคนที่ข้ารู้สึกดีด้วย...ต้องกลายเป็นปีศาจ" คำว่า 'รู้สึกดีด้วย' ไม่ใช่คำว่ารัก แต่มากพอที่จะทำให้หัวใจของคนฟังแปรปรวนได้ มือที่เคยแน่นนั้นหยุดนิ่ง...ก่อนที่ปลายนิ้วของจางกงกงจะยกขึ้นช้า ๆ ไปยังสายร้อยหลังศีรษะ แล้วเลื่อนปลดสายหน้ากากออกทีละน้อย เสียงคลายสายดังเบา ๆ พร้อมกับการเลื่อนหน้ากากหยกออกจากใบหน้าเผยผิวขาวจัดใต้แสงมัว ดวงตาคมดั่งกระบี่ดุจดั่งอสรพิษเฝ้ามองเหยื่อแต่กลับซุกซ่อนความเศร้าและบิดเบี้ยวไว้ภายใต้ชั้นม่านตา


เขายกมืออีกข้างสัมผัสแก้มของเธอเบา ๆ ดวงตายังคงไม่กระพริบ "ข้า...จะพยายาม" เขากล่าวอย่างหนักแน่นริมฝีปากกระซิบใกล้ชิด "แต่เจ้าต้องอยู่ตรงนี้...ข้างข้า…ทุกครั้งที่ข้าหลุดไป" เหมือนคำขอที่ไม่อาจหักหาญ เหมือนพันธะที่มีเพียงแมวน้อยตัวเดียวเท่านั้น…ที่มีกุญแจไขประตูกรงของอสูรร้ายตัวนี้




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ:  พี่เขาเอาเงินฟาดหัวน้อง อยากได้ทุกเดือนง่ะ อ้อนเอาเงินจากพี่แกยังไงดี


รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 132350 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 132,350 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 132,350 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 132,350 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 132,350 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 7 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 22 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน

อีเว้นท์ ภารกิจ "ด้ายแดงแห่งรอยร้าว"


หอว่านหงเหรินยามเช้ายังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้หอมจาง ๆ ผสมกลิ่นกำยานที่จุดไว้แต่ก่อนรุ่งสาง เสียงดนตรีเงียบงันมีเพียงเสียงเกลียวลมลอดม่านไหมบาง ๆ ที่ยังไม่ถูกรูดเปิดเต็มที่ ส่องแสงแดดแรกผ่านลวดลายภาพจิตรกรรมสตรีงามบนบานประตูฝาผนัง หลินหยาสาวเท้าเข้าสู่หออย่างสง่าผ่าเผยในชุดเรียบง่าย ใบหน้าขาวจัดแดงเรื่อเพียงปลายแก้มจากอากาศยามเช้า ไม่ต่างจากดอกเหมยแรกแย้มในยามหิมะละลาย แม้นางจะออกจากการเป็นสาวใช้และนักดนตรีฝึกหัดไปแล้ว แต่สายตาหลายคู่ของหญิงคณิกาภายในหอที่คุ้นเคยกับนางดี ต่างก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยความยินดีและเป็นกันเองทันทีที่เห็นเธอ


“แม่นางหลินหยา! เจ้ากลับมาเยี่ยมพวกข้าแล้วหรือ!” หญิงคณิกาคนหนึ่งที่เคยคลอเคลียเล่นหัวกับนางเอ่ยพลางยกชายกระโปรงกรายมาแตะแขนหลินหยาด้วยท่าทีสนิทสนม “ไม่ต้องยินดีขนาดนั้นก็ได้ ข้ามาเพราะมีเรื่องแปลกใจเสียมากกว่าที่อยากรู้น่ะ” หลินหยายกยิ้มจาง ๆ พลางวางตะกร้าขนมที่ซื้อจากตลาดไว้บนโต๊ะ “เมื่อคืนก่อน มีชายลึกลับพาผู้ใดออกไปจากหอนี้หรือไม่?” นางเอ่ยตรงประเด็นเสียจนหญิงคณิกาสองสามนางรอบข้างต่างหันมามองกันตาโต คนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “เจ้ารู้แล้วหรือ...นั้นคืออาเหมยน่ะ…”


หลินหยาพยักหน้าเรียบ ๆ “เล่ามาหน่อยนะข้าอยากรู้”


หญิงคณิกาผู้ชื่อว่าอาเหมยนั้นเคยสนิทกับหลินหยาอยู่บ้าง นิสัยอ่อนหวาน เรียบร้อย และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ชอบรับแขกมากราย ทว่าคืนก่อนมีบุรุษคนหนึ่งมาสั่งซื้อทั้งคืนนางไปในราคาสูงลิบ มาถึงก็เงียบ ม่านไม่เปิด สั่งแค่สุราดีหนึ่งไหกับเครื่องดนตรีแล้วพานางออกไปจากหอ โดยไม่มีการแตะต้องใด ๆ แม้แต่น้อย แต่ที่น่าขนลุกคือ...เขาทิ้ง “กล่องไม้ดำสนิท” ไว้ในห้อง เมื่ออาเหมยกลับมาในยามจื่อของคืนนั้น สีหน้านางซีดขาวทั้งร่าง เหงื่อชุ่ม แม้ไม่ได้โดนทำร้ายใด ๆ แต่นางสั่นสะท้านตลอดคืน วันรุ่งขึ้นก็บอกว่าต้องออกจากหอทันที


หลินหยาขมวดคิ้วแน่นขึ้นนางโค้งขอบใจพวกหญิงคณิกาเหล่านั้นแล้วเดินออกมาตรวจสอบด้วยตนเอง คนครัวเล่าว่า...ตอนจัดอาหารสุราขึ้นไป มีมือปริศนายื่นออกมารับถาดทางช่องประตูแต่ไม่เห็นหน้า เจ้าตัวยังพูดสั่น “มือเหมือนคนเย็นเฉียบ ข้ากลัวจนอยากจะโยนแล้ววิ่งหนี”


สาวใช้ประจำเรือนบอกว่า...เห็นบุรุษผู้นั้นเดินออกจากหอหลังเที่ยงคืนตรงไปทางตรอกด้านหลังที่มีซุ้มไม้เลื้อยเก่า ๆ ลมเย็นประหลาดมากจนรู้สึกเหมือนเดินผ่านหลุมลมปราณ


นักดนตรีชายที่อยู่ในหอเล่าว่า...เขาถูกขอให้เล่น "เซิ่งกวนเยี่ย (เสียงแผ่วแห่งพระจันทร์)" เพลงเก่าแก่ที่ปกติไม่มีใครร้องแล้วเพราะว่ากันว่าเป็นบทเพลงของวิญญาณผู้หลงรักคนที่ไม่อาจครองคู่ได้ “เขาให้ข้าเล่นแต่ท่อนแรก แล้วเงียบ...ไม่ฟังจนจบเลยล่ะ”


หลินหยากลืนน้ำลายเบา ๆ ดวงตาเริ่มหรี่ลงอย่างพินิจ นางรู้ดี...นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และกล่องไม้นั่นน่าจะเป็นหนึ่งในเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำของด้ายแดง ที่องค์เทพเยว่เหล่ากล่าวถึง นางจึงตัดสินใจจะย้อนกลับขึ้นไปยังห้องของอาเหมยที่ยังไม่ได้ถูกปล่อยให้หญิงคณิกาคนใหม่เข้าพัก แล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด


ตอนนี้...กลิ่นกำยานจาง ๆ ยังติดอยู่ เงาสะท้อนจากกล่องไม้วางอยู่มุมเตียง นิ่งสงบ เยือกเย็นเกินควร


เสียงเอี๊ยดเบา ๆ ของบานประตูห้องพักคณิกาเบอร์เด่นแห่งหอว่านหงเหรินดังขึ้น เมื่อหลินหยาผลักมันเปิดช้า ๆ กลิ่นหอมจางของกำยานเก่าและน้ำมันหอมที่ยังติดอยู่ในลายไม้ผนัง ลอยวนเข้าจมูกอย่างคุ้นเคย บรรยากาศภายในยังคงสงบเงียบแม้ไร้เจ้าของ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังถูกรักษาไว้อย่างประณีต ราวกับรอการกลับมาของผู้จากไป...หรือบางทีอาจร"ผู้ใดที่จะเปิดกล่องนั้น


แต่ก่อนหน้านั้นยังไม่ทันจะได้เข้ามาภาพและเสียงจากหน้าหอชั้นล่างยังคงชัดในหัว


หลินหยาเพียงเอ่ยเบา ๆ กับเถ้าแก่หลิวไค่ ผู้เป็นเจ้าของหอว่านหงเหริน ว่าอยากเข้ามาดูห้องของอาเหมยสักหน่อย ท่านเถ้าแก่ที่รู้จักกันก็ยินยอมแต่โดยดีมิหนำซ้ำยังยกมือไหว้หลินหยาอย่างเคารพแบบอ้อม ๆ พร้อมกับคำถามที่ไม่คาดคิดนัก ‘เย็นนี้...เจ้าจะมาที่หออีกหรือไม่? เถ้าแก่ใหญ่...อาจอยากพบเจ้าอยู่’ คำว่า เถ้าแก่ใหญ่ ทำเอาหลินหยาที่ยืนอยู่ถึงกับชะงักมือนิดหนึ่งแม้สีหน้าเธอจะยังเรียบนิ่งคล้ายคนไม่รู้สึกรู้สา แต่ปลายนิ้วกลับแน่นขึ้นเล็กน้อยจนเส้นเอ็นขาวขึ้นเป็นแนว ดวงตาไหวสั่นเพียงเสี้ยวพริบตาเดียว


จางกงกง...หรือจะเรียกว่า...ท่านชายห่าวหมิง


ยังหลงเหลือกลิ่นอายในทุกลมหายใจของเธอจากเรื่องเมื่อวาน เสียงกระซิบต่ำราวกับคำสั่งที่คล้ายรอยสักลงกลางสันหลังยังวนเวียนไม่หาย ริมฝีปากที่เคยแตะเธอรุนแรง และมือที่ลากเธอเข้าใกล้ขอบเหวแห่งความรู้สึกซับซ้อนเกินจะบรรยาย...หลินหยาแสร้งยิ้มบาง คล้ายไม่มีสิ่งใดอยู่ในใจทั้งสิ้นตอนที่ตอบไป ‘วันนี้...ข้ามีธุระจำเป็นนัก ขออภัยเถ้าแก่ ข้าคงไม่มาที่หอในนี้เจ้าค่ะ’ เสียงของเธออ่อนโยนเหมือนเคย แต่แฝงด้วยเส้นเสียงชัดเจนที่บ่งบอกว่าไม่อาจเปลี่ยนใจได้


‘...แต่หากเถ้าแก่ใหญ่อยากพบ ข้าจะไปรอเขาที่อื่นแทน’ คำตอบนั้นเรียบง่าย ทว่าทิ้งไว้ซึ่งความหมายลึกซึ้งในตัว บางสิ่งบางอย่าง เธอไม่อาจตัดใจได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่อาจเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องที่มีกลิ่นของเขาติดผ้าม่านทุกเส้น ทุกอณูของเตียงนุ่ม ๆ ที่อาจจะไม่ได้มีแค่ความทรงจำระหว่างเขา...และเธอ เอาตรง ๆ มันคือการปกป้องตัวเอง เพราะยิ่งอยู่ในห้องปิด การกระทำของจางกงกงก็ล้วนรุนแรงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่มากเกินกว่าที่นางจะขัด แถมมันลำบากใจมากกว่าเพราะหลินหยาดันแทบขัดมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


กลับมาที่ปัจจุบันบันไดไม้ขึ้นสู่ห้องพักของอาเหมยเงียบงัน นางเดินช้า ๆ โดยไม่ส่งเสียง ลมหายใจแผ่วเบา สายตาเรียบขรึมเริ่มเปลี่ยนจากความตื่นตัวกลายเป็นสภาวะระวังภัยที่เงียบสงัด เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้องนั้น นางมองโดยรอบอย่างละเอียด...แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างกระดาษสาอ่อนโยน บนโต๊ะข้างเตียงยังมีรอยถ้วยชาที่ไม่ได้ล้าง กล่องไม้สีดำสนิทตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงมุมหนึ่ง ไม่มีกลอน ไม่มีลาย ไม่บ่งบอกว่าใครเป็นเจ้าของ...แต่กลับรู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่


หลินหยาขยับปลายนิ้วลูบผ่านผิวกล่องเบา ๆ ลมหายใจเธอแน่นอยู่ในอก "เจ้าซ่อนอะไรกันแน่..." หากนี่คือหนึ่งในเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำของด้ายแดงนางพร้อมจะเปิดดู แม้ว่า...สิ่งที่อยู่ในนั้น อาจเป็นอดีตที่ปวดร้าว หรืออนาคตที่ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกเลยก็ตาม


กล่องไม้ที่ปิดสนิทไร้กลอนนั้น เมื่อหลินหยาเปิดออกช้า ๆ กลับปรากฏเพียงวัตถุสิ่งเดียววางอยู่กลางผืนผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทเส้นด้ายแดงบางเบา ทว่าแวววาวราวจะมีชีวิตของตนเอง มันดูธรรมดาเหลือเกินหากมองผิวเผิน ทว่าทุกลมหายใจที่แผ่วผ่านมันกลับสั่นสะท้าน...ประหนึ่งกำลังตอบสนองต่อหัวใจของผู้ถือไว้


หลินหยาจับมันขึ้นมาด้วยปลายนิ้ว เส้นด้ายเพียงเส้นเดียวแต่กลับให้ความรู้สึกหนักอึ้งในอก ราวกับมันอุ้มชูทั้งชีวิตของใครคนหนึ่งไว้ ความทรงจำที่ไม่ได้เป็นของเธอแล่นวูบผ่านภาพของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งเขียนจดหมายโดยมีแสงตะเกียงส่องอยู่ปลายผม มือที่สั่นไหวไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะหวังอย่างสุดหัวใจว่าจดหมายนั้นจะส่งไปถึงชายผู้หนึ่ง


“อาเหมย...” หลินหยาเอ่ยชื่อคนที่เธอรู้จักดี คณิกาตัวน้อยผู้มีใบหน้ายิ้มละไมเสมอ ไม่เคยพูดจาร้ายกับใคร...แต่ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นซ่อนความปรารถนาที่อ่อนแอและไร้เสียงอยู่ เธอก้มหน้าลงมองเส้นด้ายในมือ ริมฝีปากขบเม้มเบา ๆ ก่อนจะระบายยิ้มบาง ใบหน้างามขาวจัดของนางสะท้อนกับแสงยามเช้าที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างกระดาษสา ผืนฟ้าสีฟางทองข้างนอกดูอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับผู้เฒ่าเยว่เหล่ากำลังเฝ้าดูอยู่จริง ๆ


"เจ้าช่างน่าสงสารนัก...อาเหมย เจ้าผูกใจรักต่อบุรุษผู้หนึ่งอย่างจริงแท้แต่โลกกลับไม่เปิดทางให้เจ้า..." นางหลับตาลงนิดหนึ่ง สูดลมหายใจให้ใจสงบก่อนจะเปิดเปลือกตาอีกครั้ง ดวงตาหวานล้ำกลับมีแววมั่นคงอยู่ในนั้น "ข้าจะนำเส้นด้ายนี้กลับไปให้องค์เทพเยว่เหล่า...ในนามของเจ้า และในนามของหญิงใดก็ตามที่เคยรักอย่างหมดใจแต่โลกไม่ให้ทางเลือก"


หลินหยาเก็บเส้นด้ายนั้นไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะปิดกล่องไม้แล้ววางมันกลับลงในถุงผ้าเรียบ ๆ ของตน เดินจากห้องของอาเหมยอย่างเงียบงัน หัวใจยังสะท้อนถึงคำพูดของเทพเยว่เหล่า “หนึ่งในสาม เศษเสี้ยวแห่งความปรารถนา...” เมื่อย่างเท้าก้าวผ่านประตูห้อง นางเงยหน้ารับแสงเช้า ริมฝีปากยังคงกระซิบแผ่ว...ทั้งเพื่อให้ใครบางคนในหอนี้ได้ยิน หรือเพื่อให้ฟ้าเบื้องบนได้รับรู้ก็ตาม


“ขอให้ความปรารถนาของเจ้า...ได้รับการตอบรับในอีกภพหนึ่งนะ อาเหมย”


ลมเช้าเย็นระรื่นพัดผ่านผืนผ้าคลุมไหล่ของนางเบา ๆ เสมือนเป็นคำตอบรับจากใครบางคนที่มองอยู่จากที่ไกลแสนไกล




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เมื่อคุณสนิทกับเจ้าของหอตัวจริง แน่นอน เควสนี้กินกล้วย

รางวัล:  ได้รับ "เศษเสี้ยวความทรงจำแห่งความปรารถนา" (ไอเท็มประกอบฉาก)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 39847 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 39,847 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 39,847 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 39,847 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 39,847 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 19 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 
ยามไฮ่ (เวลา 21.00 - 23.00 น.)


เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็มแล้วที่ซูเหยา หมอหญิงแห่งโรงหมอเจิ้งเทียนไม่ได้ย่างกรายเข้าสู่หอว่านหงเหริน สถานที่ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลกีย์และบุปผาหลากสีที่ไม่อาจเทียบเท่ากับความบริสุทธิ์ของป่าเขา นางมาที่นี่อีกครั้งในวันนี้ มิใช่เพื่อดื่มด่ำสุราหรือชมการแสดง หากแต่เป็นการทำตามหน้าที่ของหมอเพื่อติดตามอาการของหญิงคณิกานามว่าเซี่ยวยวี่ ผู้ที่นางเคยให้การรักษาเมื่อครั้งก่อน

ยามที่ก้าวเท้าเข้าสู่หอคณิกา กลิ่นหอมฟุ้งของเครื่องหอมชั้นดีผสมผสานกับกลิ่นสุราและแป้งผัดหน้าโชยมาปะทะจมูก ซูเหยายังคงไม่คุ้นชินกับบรรยากาศเช่นนี้ ความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยยังคงเกาะกุมในใจ แต่ด้วยจิตวิญญาณของหมอผู้มุ่งมั่น นางก็พยายามสงบจิตใจให้เป็นกลาง

ทันทีที่นางมาถึง หญิงคณิกานางหนึ่งในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนที่แลดูอ่อนช้อย ก็ก้าวเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มงดงาม ดวงตาคมหวานหยาดยิ้มเชื้อเชิญ 

“ท่านหมอหญิง โปรดตามข้ามาเจ้าค่ะ นังเซี่ยวยวี่รอท่านอยู่ด้านบน”

ซูเหยาพยักหน้ารับเล็กน้อย แล้วเดินตามหญิงคณิกานางนั้นเข้าไปด้านใน ผ่านโถงทางเดินที่ประดับประดาด้วยโคมไฟแดงระยิบระยับ ภาพวาดพู่กันจีนอันวิจิตรงดงาม และม่านไหมพริ้วไหว เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบาเคล้าเสียงหัวเราะคิกคักจากห้องหับต่าง ๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในหอว่านหงเหรินดูมีชีวิตชีวาและแฝงไว้ด้วยความเร้นลับ

เมื่อเดินขึ้นบันไดไม้แกะสลักอย่างประณีตสู่ชั้นบน แสงสว่างเริ่มเลือนหายไปเล็กน้อย บรรยากาศเงียบสงบขึ้นกว่าชั้นล่าง หญิงคณิกานำทางซูเหยาไปยังห้องหนึ่งที่อยู่สุดทางเดิน บานประตูไม้แกะสลักรูปพยัคฆ์เหินประดับด้วยมุกฝังดูเรียบหรูแต่แฝงไว้ด้วยความงดงามล้ำค่า

“ถึงแล้วเจ้าค่ะ” หญิงคณิกาโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วผายมือเชิญ ซูเหยาพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ

ภายในห้องค่อนข้างกว้างขวาง ประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสนิยม ม่านแพรโปร่งแสงสีขาวพลิ้วไหวตามแรงลมที่พัดผ่านช่องหน้าต่าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรและดอกเหมยอบอวลอยู่ทั่วห้อง ทำให้ซูเหยารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย บนเตียงไม้แกะสลักขนาดใหญ่ใจกลางห้อง ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่นั่นคือเซี่ยวยวี่ หญิงคณิกาผู้ที่ซูเหยาเคยทำการรักษาในอาการที่ละเอียดอ่อนและอันตรายยิ่งนัก

ซูเหยามองไปยังร่างที่ผอมบางของเซี่ยวยวี่ ในใจนึกย้อนถึงอาการครั้งก่อนที่นางได้ตรวจพบ โรคโลหิตอั้นหลังคลอด ซึ่งส่งผลให้ประจำเดือนผิดปกติ มีอาการปวดท้องรุนแรงจนบางครามีไข้ต่ำ ร่างกายของนางอ่อนแออย่างยิ่งจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และด้วยตำแหน่งอาการที่อยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยง ย่อมไม่อาจให้หมอชายตรวจดูได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซูเหยาได้รับมอบหมายให้มาทำการรักษา

นางค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้เตียง สัมผัสชีพจรของเซี่ยวยวี่อย่างแผ่วเบา สัมผัสที่ปลายนิ้วบ่งบอกถึงจังหวะที่สม่ำเสมอและหนักแน่นขึ้นกว่าครั้งก่อน นางคลำตรวจดูช่องท้องเบา ๆ สังเกตเห็นว่าอาการบวมที่เคยมีลดลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเซี่ยวยวี่ดูมีเลือดฝาดขึ้นกว่าเดิม ไม่ซีดเซียวเหมือนที่ผ่านมา ซูเหยาพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ

“อาการของท่านดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหยาเอ่ยขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นเซี่ยวยวี่เริ่มจะรู้สึกตัว ดวงตาคู่งามที่บัดนี้ดูสดใสขึ้นค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ

เซี่ยวยวี่พยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ซูเหยาโบกมือห้ามเบา ๆ 

“อย่าเพิ่งลุกเลย นอนพักไปก่อน”

“ขอบพระคุณท่านหมอหญิงเจ้าค่ะ” เซี่ยวยวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่แฝงไว้ด้วยความสำนึกในบุญคุณ “ท่านหมอหญิงช่วยชีวิตข้าไว้แท้ ๆ”

ซูเหยาส่งยิ้มบาง ๆ 

“นั่นคือหน้าที่ของข้าเจ้าค่ะ” นางเริ่มจัดยาที่เตรียมมาพร้อมกับอธิบาย “จากอาการที่ข้าได้ตรวจดูภาวะโลหิตอั้นหลังคลอดของท่านดีขึ้นมากแล้ว แสดงว่ายาที่ข้าจัดให้ก่อนหน้านี้ได้ผลดีในการสลายเลือดคั่งและบำรุงเลือด”

“อย่างไรก็ตามเพื่อให้ร่างกายท่านฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ข้าจะปรับยาให้ท่านใหม่เจ้าค่ะ” ซูเหยาเริ่มอธิบายหลักการรักษาของนางอย่างละเอียด “ตามหลักการแพทย์ ภาวะเลือดพร่องและพลังชี่ติดขัด ป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการของท่าน ดังนั้นการรักษาต่อจากนี้จะเน้นไปที่การบำรุงเลือดและปรับสมดุลพลังชี่ เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดลมเป็นปกติเจ้าค่ะ”

นางหยิบห่อสมุนไพรออกมาวางบนโต๊ะข้างเตียง 

“ยาชุดนี้ประกอบด้วยสมุนไพรหลักหลายชนิด อาทิ ตังกุย เพื่อบำรุงเลือดและปรับประจำเดือน เสกตี่ ช่วย เสริมยินบำรุงเลือดและชะเอมเทศ เพื่อปรับสมดุลยาและขับพิษ นอกจากนี้ข้ายังเพิ่มหงฮวาและเถาเหริน ซึ่งมีฤทธิ์สลายเลือดคั่ง แต่จะใช้ในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิมเพื่อไม่ให้กระทบต่อร่างกายที่กำลังฟื้นตัวของท่านเจ้าค่ะ”

ซูเหยาอธิบายวิธีต้มยาและการรับประทานอย่างละเอียด พร้อมกำชับเรื่องอาหารการกินและการพักผ่อน 

“ท่านจะต้องต้มยาดื่มวันละสองครั้ง หลังอาหารเช้าและก่อนนอน พยายามหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน และอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เน้นอาหารที่ย่อยง่าย มีประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดคือ การพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำร่างกายมากเกินไปนะเจ้าคะ”

ซูเหยาตรวจสอบสภาพร่างกายของเซี่ยวยวี่อีกครั้งอย่างละเอียด ให้คำปรึกษาถึงอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อปรับยาในครั้งหน้า ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่า 

“ร่างกายท่านยังอ่อนแออยู่มาก การฟื้นตัวต้องใช้เวลาและความอดทน หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ให้รีบส่งคนไปตามข้าได้ทันทีนะเจ้าคะ”

“ขอบพระคุณท่านหมอหญิงอีกครั้งเจ้าค่ะ” เซี่ยวยวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ข้าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านหมอหญิงอย่างเคร่งครัดเจ้าค่ะ”

ซูเหยามองไปยังเซี่ยวยวี่ที่ยังคงสีหน้าอิดโรย แต่แววตาเต็มไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ 

“ท่านพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”

ขณะที่ซูเหยากำลังเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ เซี่ยวยวี่ก็เอ่ยรั้งไว้ 

“ท่านหมอหญิง ข้าได้ให้คนของหอจัดเตรียมอาหารไว้ที่ห้องรับรองพิเศษ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านช่วยรักษาชีวิตข้าไว้ โปรดอยู่รับประทานอาหารก่อนแล้วค่อยกลับนะเจ้าคะ”

ซูเหยาลังเลเล็กน้อย นางไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นาน แต่เมื่อเห็นความจริงใจของเซี่ยวยวี่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงพยักหน้ารับ 

“เช่นนั้นก็รบกวนด้วยเจ้าค่ะ”

นางเดินตามสาวใช้ที่นำทางไปยังห้องรับรองพิเศษซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องของเซี่ยวยวี่ ภายในห้องกว้างขวาง ประดับตกแต่งอย่างหรูหราด้วยภาพวาดทิวทัศน์และกระถางต้นไม้ประดับ สาวใช้วางล่าจื่อลู่และสุราลงบนโต๊ะไม้ขัดเงา กลิ่นหอมฉุนของพริกไทยเสฉวนและเครื่องเทศโชยมาแตะจมูก

ยังไม่ทันที่ซูเหยาจะได้เริ่มรับประทานอาหาร ก็มีเสียงพูดคุยดังมาจากห้องข้างๆ เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง 

“อะไรนะ ล่าจื่อลู่หมดงั้นหรือ?”

“ขออภัยเจ้าค่ะท่านใต้เท้า จานสุดท้ายเพิ่งถูกนำไปเสิร์ฟเมื่อครู่เองเจ้าค่ะ” เสียงของสาวใช้ตอบกลับ

ชายผู้นั้นบ่นพึมพำด้วยความเสียดาย 

“โธ่เอ๊ย! ตั้งใจจะมากินวันนี้แท้ ๆ”

เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูราวกับเคยได้ยินที่ใดมาก่อน เดิมทีซูเหยาไม่ได้มาที่นี่เพื่อตั้งใจจะกินอาหารอยู่แล้ว จานล่าจื่อลู่นี้คงจะเป็นของขวัญจากเซี่ยวยวี่เพื่อตอบแทนที่นางช่วยชีวิตไว้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยกจานล่าจื่อลู่และสุราไปที่ห้องข้าง ๆ

นางเคาะประตูเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตก็เปิดเข้าไป 

“ท่านต้องการล่าจื่อลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้ายังไม่ทันได้เริ่มกิน ข้ายกให้ท่านเจ้าค่ะ”

ทันทีที่นางวางจานลงบนโต๊ะของชายผู้นั้นและเงยหน้าขึ้น นางก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย ผู้ที่นางเคยพบ ณ ที่แห่งนี้คราวก่อน

“ใต้เท้าเถียน?” ซูเหยาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

เถียนเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย คล้ายจะพยายามนึกบางอย่าง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย 

“ใช่หมอหญิงซูเหยาหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม พลางจ้องมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้

เถียนเฟิงมองซูเหยาอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยขึ้น

ใช่หมอหญิงซูเหยาจริง ๆ ด้วย คราวที่แล้วเป็นความผิดของข้าเองที่เข้าใจผิด คิดว่าหมอหญิงเป็นคนของที่นี่ ต้องขออภัยด้วย” เขากล่าวพร้อมผายมือเชื้อเชิญ “ไหน ๆ ก็มาแล้ว เชิญนั่งลงสนทนากันหน่อยเถิด”

ซูเหยารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย การสนทนากับชายแปลกหน้าในหอคณิกาไม่ใช่สิ่งที่นางคุ้นเคยหรือปรารถนา แต่ด้วยความเป็นสุภาพชน อีกทั้งเขายังเป็นผู้มีอำนาจ นางจึงไม่อาจปฏิเสธได้ง่าย ๆ นางจึงเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างเรียบร้อย

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ใต้เท้าเถียน” ซูเหยากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ามิได้ถือสาอันใด”

เถียนเฟิงพยักหน้า ก่อนจะจ้องมองจานล่าจื่อลู่ที่ซูเหยานำมาให้ 

“ไม่คิดเลยว่าหมอหญิงจะใจดีถึงเพียงนี้ ข้ากำลังผิดหวังที่อดกินอยู่เชียว”

“ข้ามิได้ตั้งใจจะมาทานอาหารอยู่แล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งยังเป็นของที่แม่นางเซี่ยวยวี่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อตอบแทนบุญคุณ” ซูเหยาอธิบาย

“เซี่ยวยวี่?” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “นางสบายดีแล้วหรือ?”

“อาการดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหยาตอบ “ข้าเพิ่งปรับยาให้ นางคงจะฟื้นตัวได้ในไม่ช้า”

เถียนเฟิงพยักหน้ารับ 

“หมอหญิงซูเหยาช่างมีเมตตายิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าหมอหญิงจะมารักษานางด้วยตัวเอง”

“นั่นเป็นหน้าที่ของข้าเจ้าค่ะ” ซูเหยากล่าวเรียบ ๆ “ไม่ว่าผู้ใดเจ็บป่วยก็สมควรได้รับการรักษาทั้งสิ้น”

บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ เถียนเฟิงจิบสุราเล็กน้อย ก่อนจะมองสำรวจซูเหยาอย่างละเอียด ใบหน้าหมดจด ดวงตาที่ฉายแววความมุ่งมั่นและเมตตา เครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน ทำให้เขารู้สึกทึ่งในตัวนางยิ่งนัก ต่างจากสตรีทั่วไปในหอคณิกาแห่งนี้ราวฟ้ากับเหว

ซูเหยาสังเกตเห็นสายตาของบุรุษผู้นั้นที่มองมาอย่างพินิจพิเคราะห์ นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับท่าทีที่ถูกจ้องมองเช่นนั้น จึงเลือกที่จะหลบสายตาไปทางอื่น พยายามรักษาความเป็นปกติที่สุด แม้ภายในใจจะระแวดระวังอยู่ตลอดว่าบุรุษผู้นี้มีเจตนาเช่นไร

“ท่าทางท่านหมอหญิงจะไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก” บุรุษผู้นั้นเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเจือแววสังเกตการณ์

“เจ้าค่ะ ข้ามาเพียงเพื่อทำหน้าที่หมอเท่านั้น” ซูเหยาพยักหน้าเล็กน้อย

“เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะได้พบเจ้า” เขากล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ทำให้ซูเหยารู้สึกผ่อนคลายลงแต่อย่างใด “ว่าแต่ ท่านหมอหญิงประจำอยู่ที่โรงหมอเจิ้งเทียนใช่หรือไม่?”

“เจ้าค่ะ” ซูเหยาตอบสั้น ๆ นางไม่อยากให้ข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป

“ชื่อเสียงของโรงหมอเจิ้งเทียนเป็นที่เลื่องลือ” เขากล่าว “แต่ไม่คิดว่าจะมีหมอหญิงฝีมือดีอยู่ที่นั่นด้วย”

ซูเหยาเพียงยิ้มรับเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไรตอบ นางยังคงพิจารณาบุรุษผู้นั้นอยู่เงียบ ๆ ในใจ การแต่งกายที่ประณีตและเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงฐานะ ทำให้ซูเหยาทราบดีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ยากที่จะประเมินได้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่จากเพียงการพบกันเพียงสองครั้งนี้

“ท่านเองก็ดูเหมือนจะชอบล่าจื่อลู่ไม่น้อยนะเจ้าคะ” ซูเหยาเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นฝ่ายถูกสอบถามอยู่ฝ่ายเดียว

บุรุษผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ 

“ใช่แล้ว ข้าชอบอาหารรสจัดจ้านโดยเฉพาะล่าจื่อลู่ของหอว่านหงเหรินแห่งนี้ นับว่าเป็นรสชาติที่หาที่ไหนเทียบได้ยาก” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านหมอหญิงไม่ลองชิมหรือ จะได้รู้ว่าทำไมข้าถึงเสียดายนัก”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ถนัดอาหารรสจัดเท่าใดนัก” ซูเหยาปฏิเสธอย่างสุภาพ

เถียนเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้คะยั้นคะยออีกต่อไป เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อเคลือบพริกแดงก่ำเข้าปาก สีหน้าแสดงความพึงพอใจอย่างชัดเจน 

“เสียดายนัก” เขาพึมพำ “แต่ไม่เป็นไร ได้เห็นหมอหญิงใจดียกมาให้ถึงที่ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

ซูเหยารู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร นางกวาดสายตาไปรอบห้องอย่างไม่ตั้งใจนัก สังเกตเห็นว่าห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องรับรองทั่วไป มีการตกแต่งที่หรูหรากว่า บ่งบอกถึงฐานะพิเศษของผู้ที่มาใช้งาน

“ท่านใต้เท้าเถียนมาที่นี่บ่อยหรือไม่เจ้าคะ?” ซูเหยาตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อรักษาบทสนทนาไว้ ไม่ต้องการให้เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดอีก

เถียนเฟิงวางตะเกียบลงช้า ๆ พลางยกจอกสุราขึ้นจิบ 

“ก็บ่อยพอสมควร” เขาตอบ “ที่นี่มีสุราและอาหารรสเลิศ อีกทั้งยังเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์”

“แต่ถ้าหมอหญิงไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้ ก็คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย” เขาเหลือบมองซูเหยา

“ข้ามิได้ไม่ชอบเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่คุ้นชิน” ซูเหยารีบอธิบาย “งานของข้าอยู่ในโรงหมอ ไม่ได้มีโอกาสได้พบเจอผู้คนมากมายนักนอกเสียจากคนไข้”

“นั่นสินะ” เถียนเฟิงยิ้มบาง ๆ “แต่การได้ออกมาเห็นโลกภายนอกบ้างก็ดีมิใช่หรือ”

“อาจจะใช่เจ้าค่ะ แต่สำหรับข้าแล้ว การได้รักษาผู้ป่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วยคือความสุขที่สุดแล้ว” 

เถียนเฟิงมองนางด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายมีความชื่นชมฉายขึ้นมา 

“หมอหญิงซูเหยา ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจเมตตาและอุดมการณ์ยิ่งนัก”

“ท่านใต้เท้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้สึกกระอักกระอ่วนกับคำชมนั้น จึงก้มหน้าลงเล็กน้อย 

“ไม่เลย” เถียนเฟิงส่ายหน้า “ข้ากล่าวตามความจริง ผู้คนมากมายในโลกนี้ล้วนวุ่นวายอยู่กับลาภยศสรรเสริญ แต่เจ้ากลับมุ่งมั่นในเส้นทางแห่งการช่วยเหลือผู้อื่น ช่างเป็นสิ่งที่น่าเคารพยิ่งนัก”

บทสนทนาดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นเถียนเฟิงที่เอ่ยถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในโรงหมอและชีวิตของซูเหยา นางพยายามตอบเท่าที่จำเป็น ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสุภาพและความพยายามที่จะทำความรู้จักของเขา

ในที่สุดซูเหยาก็รู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะขอตัวกลับ 

“ขออภัยเจ้าค่ะท่านใต้เท้า ข้าเกรงว่าจะต้องขอตัวกลับก่อน”

เถียนเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

“ไม่เป็นไรหมอหญิง ข้าคงรั้งท่านไว้ได้ไม่นานนัก” เขาลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม “ข้าต้องขอบคุณหมอหญิงอีกครั้งสำหรับล่าจื่อลู่นี้”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซูเหยาลุกขึ้นยืนโค้งคำนับเล็กน้อย

“ถ้าเช่นนั้น ขอให้หมอหญิงเดินทางปลอดภัย” เถียนเฟิงกล่าว 

ซูเหยาเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยความรู้สึกโล่งใจผสมกับความแปลกใจ นางไม่คิดว่าจะได้พบกับใต้เท้าเถียนอีกครั้ง และยิ่งไม่คิดว่าการสนทนาของพวกเขาจะดำเนินไปอย่างราบรื่นถึงเพียงนี้

ระหว่างทางกลับโรงหมอเจิ้งเทียน ภาพใบหน้าของเถียนเฟิงยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของซูเหยา เขาเป็นบุรุษที่ดูน่าเกรงขาม แต่ก็มีความสุภาพและดูเป็นมิตรในบางครั้ง การได้พบกับเขาถึงสองครั้งในสถานที่แห่งนี้ ทำให้ซูเหยาอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นเพียงความบังเอิญ หรือเป็นโชคชะตาที่นำพา

ซูเหยาส่ายหน้าเบา ๆ พยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไป นางเตือนตัวเองว่าหน้าที่ของนางคือการเป็นหมอที่ดี และสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้ไม่ควรเข้ามาอยู่ในความสนใจของนาง


ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10

[NPC-08] มอบ ล่าจื่อลู่ และ สุรานารีแดง ให้ เถียน เฟิง
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 24 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)


เสียงบานประตูไม้บานใหญ่เปิดออกอย่างเงียบเชียบในยามที่แสงแดดอ่อนคล้อยกระทบขอบผนังทาสีแดงหม่น หลินหยาผลักประตูเข้าไปอย่างระวัง ดวงตาเรียวเฉียงฉายแววประหลาดใจนิดหน่อยที่หอยังไม่คึกคักนัก เพราะช่วงนี้เป็นเวลาระหว่างรอเปลี่ยนเวร เถ้าแก่หลิวไค่ยังคงนั่งอยู่หลังฉากมุกที่มีม่านลูกปัดทองห้อยระย้า ดวงตาแหลมคมที่ผ่านโลกมามากเหลือบมองขึ้นมาในเสี้ยววินาทีที่นางก้าวเข้าไม่ต้องเอ่ยชื่อเขาก็จำได้ทันที


“ข้าไม่คิดว่าจะเจ้า...จะกลับมาเหยียบที่นี่ในวันนี้อีกนะ แม่นางหลินหยา” เสียงของเขาเย็นเฉียบประหนึ่งเหล็กฝนบนหิน กระนั้นยังอ่อนลงเล็กน้อยเพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม่นางผู้นี้คือคนของเถ้าแก่ใหญ่ “อย่าเรียกชื่อข้าแบบนั้นสิเจ้าคะ” หลินหยาหรี่ตาเอ่ยเสียงต่ำ “เอางี้นะท่าน ตอนนี้ข้าคือเสี่ยวหนาน และข้าก็ไม่ได้กลับมาเพราะอยากมาเสียหน่อย ข้าต้องการงาน งานที่ไม่ต้องถอดผ้า ไม่ต้องขายเสียงแค่ใช้มือใช้แรงก็พอ”


เถ้าแก่หลิวไค่มองนางนิ่ง ยกพัดไม้หอมในมือลูบปลายคางตนอย่างครุ่นคิด “เจ้ารู้ไหม รอบก่อนที่เจ้ามาน่ะ ข้าต้องจัดการเก็บศพนางโลมไปถึงห้าคน กลิ่นเลือดยังติดพื้นห้องอยู่เลยแม้จะล้างซ้ำไปกี่รอบ นั่นเพราะเขา เถ้าแก่ใหญ่ของพวกเรา… ไม่พอใจ กับใครบางคนที่ รู้ความลับมากเกินไป


“ข้ารู้” หลินหยาพูดสั้น ๆ ดวงตาเยียบเย็นจนแม้แต่คนที่เคยเห็นคนตายมาไม่รู้กี่ศพยังต้องถอนหายใจเบา ๆ “ข้าไม่ใช่คนของเขา ข้าไม่เคยเป็นแล้วก็จะไม่เป็นตอนนี้ด้วย เขาอยากถือสิทธิ์อะไรนักหนาไม่รู้ ข้าแค่อยากทำงาน หาเงิน ไม่ใช่ขอส่วนบุญจากใครนะเจ้าคะ”


“แม้จะเสี่ยงตาย?”


“ก็ยังดีกว่าหิวตายแหละท่าน” หลิวไค่หัวเราะแผ่ว แต่ในหัวเหมือนมีระฆังสั่นเตือน เขาพยักหน้าเรียบ ๆ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนชื่อ “เสี่ยวหนาน” ลงบนแผ่นบัญชีรับงานรายวัน แล้วผลักมันไปด้านข้าง “ก็ได้ เจ้าอยากทำงานก็ทำไป แต่ถ้าข้าโดนลากไปตายตามเจ้าอีกครา ข้าจะสาปส่งวิญญาณเจ้าให้ติดที่นี่ไปอีกเจ็ดชาติไม่ให้ได้ผุดได้เกิดแน่” หลินหยากระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ “ท่านมันก็คนขายวิญญาณอยู่แล้วนี้เจ้าคะ จะไปสาปใครก็คงไม่มีน้ำหนักเท่าไรหรอกนะ”


เถ้าแก่หลิวไค่หัวเราะฮึในลำคอ ทว่าก่อนนางจะหันหลังเดินจากไปเขาก็เอ่ยเสียงแผ่วขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าเขาจะไม่รู้หรือ?” ดวงตาผู้ช่ำชองพราวลึก “ว่าคนที่เขาให้ใครตามหาอยู่ทุกหุบเขา ทุกแคว้น ทุกตรอกถนน…ตอนนี้กำลังอยู่ในหอของเขาเอง” หลินหยาหยุดนิ่ง ใจเต้นช้าลงจนเหมือนจะหยุด ดวงหน้าซีดนิด ๆ แต่นางตอบกลับเพียงคำเดียว


“รู้อยู่แล้วล่ะเจ้าค่ะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ไง” แล้วนางก็เดินจากไปพร้อมเงาที่ทอดยาวลงบนผืนไม้...เงาที่จางกงกงไม่เคยลืม


เสียงหัวใจเต้นตุบ ๆ ในอกของหลินหยาดังยิ่งกว่าก้าวเท้าที่ค่อย ๆ ลอบเดินผ่านระเบียงยาวของหอว่านหงเหริน ยามเซินคล้อยไปมากแล้วลมพัดกรอบบานไม้ให้สั่นกรอบเบา ๆ แต่ไม่ได้แผ่วเบาพอจะกลบความสงสัยในใจนางที่ค่อย ๆ สุมไฟขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวขาออกจากห้องของเถ้าแก่หลิวไค่… “เมื่อวานท่านทำกับข้าอย่างนั้น แล้ววันนี้กลับมาอยู่ในหอนางโลมอีกหรือ...” เสียงบ่นในใจของหลินหยาผสมกับการขมวดคิ้วหน้าน้อย ๆ ที่ดื้อดึงไม่แพ้เจ้าของ นางไม่ได้เปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ ยังสวมเพียงผ้าฝ้ายบางเนื้อเรียบ ชุดสีอ่อนสบายตัวที่ไม่มีเครื่องประดับใดประดับกาย แม้จะเป็นเพียงสาวใช้รายวันแต่รอยยับเล็ก ๆ บนแขนเสื้อกลับทำให้นางดูเหมือนแมวป่าที่พร้อมจะข่วนใครก็ได้ที่เข้ามาใกล้ในจังหวะนี้ โดยเฉพาะเขา


หลินหยาหยุดฝีเท้าเงียบ ๆ หน้าประตูไม้บานหนาทางห้องตะวันตกของหอ ซึ่งน้อยคนนักจะได้ย่างกรายเข้าไป ยกเว้นแขกคนสำคัญ...และเถ้าแก่ใหญ่เท่านั้น เสียงจากในห้องลอดออกมาราวกับตั้งใจให้ได้ยิน….


“ท่านชายชอบแบบนี้หรือเจ้าคะ...หืม?” เสียงนางโลมคนหนึ่งแผ่วหวาน แต่เบื้องหลังคือเสียงผ้าซาตินถูไถกับพื้นหรือผิวหนังใครบางคน เสียงขยับเบา ๆ นั่นกลับทำให้เส้นประสาทของหลินหยากระตุกขึ้น นางกัดริมฝีปากล่างแน่นทันที ดวงตากลอกต่ำแล้วมองบานประตูตรงหน้า “ท่านมาแล้ว...จริง ๆ ด้วย” จางกงกงในร่าง ‘ท่านชายห่าวหมิง’ อยู่ในห้อง...กับนางโลม? “เจ้าขันทีโรคจิต…” หลุดปากพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับส่ายหน้าแรงทีหนึ่งเหมือนจะสลัดภาพในหัวให้หาย


ไม่ใช่ว่าหึง...ไม่ใช่เสียหน่อย


นางแค่...แค่ยังไม่ได้ล้างหน้าแต่งตัว แล้วก็ตั้งใจจะทำงานยามค่ำเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเจอคนอย่างเขา จะได้ไม่ต้องโดนจูบแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบเมื่อวานอีก จะได้ไม่ต้อง...เห็นแววตาที่บอกว่าเขาหวงนางยิ่งกว่าอะไร แต่มือกลับหยาบคายใส่นางเหมือนเจ้าของสัตว์เลี้ยงบ้าเลือด แต่แล้ว…เสียงของชายในห้องนั้นกลับดังขึ้น...เย็น เรียบ ราวกับดาบที่เคลือบยาพิษ “เสื้อคลุมเจ้าหลุด…อย่าทำให้ข้าหงุดหงิดไปมากกว่านี้”


"ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ..." ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงคราง ไม่มีแม้แต่ความพึงพอใจในถ้อยคำของหญิงสาวมีเพียงความเงียบที่เยียบยะเยือก และอะไรบางอย่างที่บอกหลินหยาได้ทันที...เขาไม่ต้องการนางโลมพวกนั้นเลยสักนิด หลินหยาถอยกรูดหนึ่งก้าวอย่างเงียบงัน หัวใจกลับเต้นแรงกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินตรงไปที่ประตู ราวกับว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเธอ 


"ใครอยู่หน้าห้อง?" เสียงนั้นกดต่ำลง...คมราวกับกรงเล็บงู หลินหยาเบิกตากว้าง หายใจแทบไม่ทัน นางรีบหมุนตัววิ่งหลบไปทางระเบียงอีกฝั่งแทบในทันที ปล่อยให้ม่านลูกปัดไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่พัดผ่าน จางกงกงยืนอยู่ภายในห้องนั้น ลมหายใจหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย นิ้วเรียวยกขึ้นแตะแนบขมับก่อนจะหลุบตามองพัดดำในมือที่ไม่ได้ใช้สะบัดมาหลายวัน หึ...เสี่ยวหยาหรือ? หรือว่าต้องให้ข้าตามจับเองอีกครั้ง? เขาไม่ชอบให้ของมีค่าหลุดมือ...ยิ่งไม่ชอบให้ของที่เขายัง ไม่ได้อนุญาตให้เป็นของใคร หนีไปด้วยน้ำมือของตัวเอง


ใต้ชายคาของหอว่านหงเหรินยามนี้ เสียงดนตรีห่างไกลของเหล่านางโลมบรรเลงในชั้นล่างคล้ายเสียงลวงใจ ลมหอบหนึ่งพัดกระทบระเบียงจนม่านไหมไหวเอื่อย กลิ่นเครื่องหอมผสานกลิ่นไม้จันทน์จาง ๆ ยังอบอวล แต่หลินหยากลับไม่รู้สึกถึงความโรแมนติกใดนอกจากแรงกดดันที่เหมือนเงาดำแผ่คลุมหลังอยู่ นางหลบตัวแนบแผ่นผนังด้านข้างหน้าต่าง ก้มตัวซ่อนใต้ระเบียงไม้ ชายกระโปรงขาวนวลสะบัดนิดหนึ่งแต่ก็ไวพอที่จะหลุดสายตาผู้ใดหากไม่มีฝีมือพิเศษ


"ฟู่... เขาคงไม่รู้..." หลินหยาพึมพำแทบไม่เป็นเสียง หัวใจเต้นกระหน่ำในอกอย่างระแวดระวัง พยายามกลั้นลมหายใจให้แผ่วที่สุด ใบหน้าที่ไม่แต่งเติมใดในยามนี้ขาวจัดจนเห็นเส้นเลือดจาง ๆ บนแก้ม มือบางกำแน่นแนบอกหวังเพียงว่าหากอยู่นิ่งพอหากเงียบพอ เขาจะไม่สังเกตเห็น แต่บางสิ่งในตัวนางกลับลืมไปเสียสิ้น...ว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นไม่ใช่ ‘แขกทั่วไป’ ที่พอใจแค่ร่างนาง แต่เป็นจางกงกง ผู้ที่ซึมซาบกลิ่น เสียง จังหวะหายใจของนาง...จนแยกออกได้แม้หลับตา


เงาแผ่วหนึ่งเคลื่อนมาจากหลังฉาก


ในห้อง ไม่มีเสียงเปิดประตู ไม่มีเสียงฝีเท้า แต่ ‘เขา’ กลับไม่อยู่หลังบานประตูแล้ว บัดนี้กลับยืนอยู่บนชายคาตะวันตกของหอ คล้ายปีศาจไร้เสียงผู้มีสายตาสังหารและรอยยิ้มร้ายกาจ "เจ้า...ลืมไปหรือไม่ ว่าข้าน่ะเคยฝึกไล่ล่าพวกกบฏมาทั้งราชสำนัก" เสียงกระซิบชิดต้นคอจากด้านหลังดังขึ้นราวกับปีศาจในฝันร้าย ทำเอาหลินหยาเบิกตากว้าง หันขวับกลับไปแทบสะดุดชายกระโปรงตัวเอง นางเพิ่งได้เห็นเขาเต็มตาในคราบท่านชายห่าวหมิง บุรุษชุดดำสลับทอง ผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้า ดวงตาข้างหนึ่งที่โผล่พ้นหน้ากากนั้น...ดั่งหยกน้ำแข็งส่องสะท้อนจันทราเยือกเย็น


"ทะ...ท่าน..." เสียงนางแผ่วราวแมวขู่ 


แต่ยังไม่ทันเอ่ยต่อ มือใหญ่ก็คว้าข้อมือเล็ก ๆ ของนางหมับ แล้วกระชากนางเข้าหาอกแกร่ง ก่อนที่เสียงลมหายใจอุ่นจะเป่าข้างใบหู "ทำไม...ต้องหนีข้าด้วย" คำถามที่เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก ถูกพูดด้วยน้ำเสียงเบาราวล้อเล่น แต่ในสายตาของจางกงกงนั้น...กลับเป็นดั่งหมากตัวหนึ่งที่หนีออกจากกระดานโดยไม่ได้รับอนุญาต "เจ้าไม่พอใจข้า? หรือเพียงแค่...คิดว่าข้า ไม่กล้าทำอะไรเจ้าในหอนี้?" ปลายนิ้วเรียวของเขายกขึ้นประคองปลายคางหลินหยาอย่างแผ่วเบา แต่กลับทำให้นางขนลุกชันไปถึงท้ายทอย ดวงตานางสั่นไหววูบหนึ่งก่อนจะแว้งใส่ด้วยแววไม่ยอมแพ้


"ข้าไม่ใช่ของท่านสักหน่อยนะ..."


“หึ…” เขาหัวเราะในลำคออย่างชัดเจน ปลายนิ้วยังคลึงปลายคางนางเล่นอย่างเจ้าเล่ห์ “งั้นก็อย่าทำตัวเหมือนลูกแมวที่เผลอติดกับกับดักของข้าเสียเอง” ทันใดนั้น กล่องเล็ก ๆ ในมือเขาก็ปรากฏขึ้นจากแขนเสื้อราวกับมายากล เขาเปิดฝากล่องเผยให้เห็นผลหยางเหมยหลายลูกแสนน่าอร่อย "เจ้าชอบรสนี้มิใช่หรือ?" เขาถาม ก่อนจะหยิบหนึ่งผลขึ้นมาหยอกล้อหน้าปากนาง "อยากกินหรือไม่ล่ะ? แต่ต้องให้ข้าป้อนเท่านั้น" 


หลินหยาเม้มปากแน่นใบหน้าเริ่มแดงขึ้นทั้งจากความโกรธ ความเขิน และความหิวปะปนกันเสียจนน่าเขกหัวตัวเอง เจ้าคนบ้า…โรคจิต…จิตจริง ๆ นั่นแหละ! แต่ที่ทำให้นางโกรธที่สุดไม่ใช่อะไรอื่น…เพราะกลิ่นผลไม้บ้าอะไรนี่มันหอมเกินไปต่างหาก!


ศีรษะเล็ก ๆ ของหลินหยาขยับขึ้นสบตาอีกคนด้วยดวงตาเจ้าอารมณ์เต็มประดา คิ้วโค้งน้อย ๆ ขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึงเหมือนแมวหวงถ้วยข้าว กลิ่นของผลไม้เปรี้ยวหวานฉ่ำที่อีกฝ่ายยื่นให้เมื่อครู่ยังไม่จางจากปลายจมูกดี แต่นางกลับไม่แม้แต่จะเหลือบมองมัน เอาแต่กอดอกไว้แน่นแล้วทุบอกเขาเบา ๆ หนึ่งที “จะล่อข้าด้วยของกินอีกแล้วใช่ไหมล่ะ! ข้าไม่ใช่แมวน้อยหิวข้าวปลาหรอกนะที่ท่านจะล่อให้เดินตามกลิ่นอะไรพวกนั้น!”


“อืม…” จางกงกงส่งเสียงในลำคอต่ำพร่าพร้อมกับยกผลไม้ในมือเล่น “ก็แค่สงสัยนิดหน่อย ว่าเจ้า...หึงหรือไม่ ที่ข้าพานางโลมมา?” เสียงพูดนั้นเรียบนิ่งแต่ปลายคำนั้นกลับมีบางสิ่งแฝงอยู่ ราวกับขวากหนามในรอยยิ้มอ่อนโยน


“เปล่าสักหน่อย!” หลินหยาขึ้นเสียงทันทีสวนกลับโดยไม่คิด กลับกลอกตาใส่เขาพร้อมหน้าหงิกอย่างคนกำลังพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ และนั่นแหละ...คำตอบที่เขาต้องการไม่จำเป็นต้องฟังจากปาก เพราะสีหน้าของนางบอกทุกอย่างแล้ว ชั่วพริบตานั้นยังไม่ทันที่หลินหยาจะรู้ตัวดี ร่างบางของนางก็ถูกชายหนุ่มตรงหน้าโน้มตัวเข้าประชิด แล้ว...ยกขึ้นจากพื้น! "อุ๊ย! ท่านจะทำอะไรของท่าน! วางข้าลงนะ ไอ้บ้า!" นางร้องโวยวายแทบจะทันที มือเล็ก ๆ ฟาดแขนเขาปั่ก ๆ อย่างไม่เต็มแรง


“ก็บอกว่าไม่หึงนี่” จางกงกงตอบเสียงเย็น ขณะอุ้มนางตรงดิ่งไปยังห้องพิเศษทิศตะวันตก ไม่แม้แต่จะหยุดฟังเสียงโวยวายขัดขืนของนาง ใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มเงียบงันที่ยิ่งมองก็ยิ่งคล้ายปีศาจผู้บันเทิงใจกับการจับเหยื่อวิ่งวุ่น


"แง๊งงง!! หยุดเลยนะเจ้าคนบ้าโรคจิต! ข้าเดินเองได้!!"


"แม้แต่เสียงดิ้นของเจ้าก็ยังไพเราะ..." เขากระซิบใกล้หูจนลมหายใจแตะผิวแก้มอย่างจงใจ ดวงตาคมใต้หน้ากากจ้องต่ำลงมาที่นางขณะฝ่าประตูเข้าไปในห้องเงียบ ๆ ประตูปิดลงอย่างไร้เสียง หลินหยาที่ถูกอุ้มแนบอกทั้งดิ้นทั้งถลึงตาใส่ แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นแรงเท่าไร...วงแขนของเขาก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเท่านั้น ราวกับไม่ยอมให้เจ้าลูกแมวตัวนี้หลุดมืออีกเป็นครั้งที่สอง ร่างบางของหลินหยาถูกวางลงบนเบาะนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าขาวจัดของนางยังแดงก่ำจากการดิ้นขัดขืนเมื่อครู่ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะทะลุอก เมื่อเห็นเงาของจางกงกงโน้มตัวลงมาใกล้เรื่อย ๆ ดวงตาคมใต้หน้ากากครึ่งใบหน้าจับจ้องเธอราวกับจะกลืนกินทั้งร่างในคราเดียว


“ท่าน...หยุดก่อนนะ” หลินหยายกมือขึ้นดันอกแกร่งที่อยู่ตรงหน้า สายตาหลบหนีวูบหนึ่งอย่างพยายามตั้งสติ “ตอนนี้...ไม่ได้ เจ็บปากอยู่” เสียงนางสั่นเล็กน้อยแต่พยายามทำเป็นเด็ดเดี่ยว จางกงกงชะงักไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะก้มมองริมฝีปากน้อยที่ยังแดงช้ำจากร่องรอยเมื่อวาน แววตาคมเข้มวาววับด้วยบางสิ่งที่บิดเบี้ยว ทั้งความหงุดหงิดเพราะถูกห้าม และความเอ็นดูเพราะนางพยายามกล้าขัดเขา


“เจ็บงั้นหรือ...” เสียงต่ำเย็นเอ่ยช้า ๆ เขาเอื้อมนิ้วไล้เบา ๆ ที่มุมปากของเธอราวกับจะพิสูจน์ความจริง “ข้าคงทำแรงเกินไปสินะ เสี่ยวหยา” หลินหยาหลับตาปี๋กลั้นใจเพราะคิดว่าเขาจะไม่ฟังและคงจะฝืนต่อ แต่แทนที่จะกดจูบลงมา จางกงกงกลับหัวเราะในลำคออย่างเย็นเยียบ “เจ้ากล้าขัดข้าแบบนี้...น่าสนใจ” มือเรียวลูบผ่านแก้มนุ่ม ลากช้า ๆ ไปจนถึงคางแล้วเชยขึ้นให้สบตา ดวงตาคมลึกส่องประกายคล้ายจะกลืนกินทั้งจิตวิญญาณ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่จูบ...แต่จะทำให้เจ้าจำไว้ ว่าการดื้อกับข้ามันมีราคาของมัน”


รอยยิ้มบางแฝงความเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปากใต้หน้ากาก เขาก้มลงช้า ๆ ไม่ใช่เพื่อจูบ แต่วางหน้าผากแนบกับหน้าผากนาง ลมหายใจร้อนของเขาแตะใบหน้าเธอทุกจังหวะ หัวใจของหลินหยาเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกมา ขณะที่เสียงกระซิบพร่าของเขาดังขึ้นข้างหู 


“คราวนี้ข้ายอม...แต่ครั้งหน้าเสี่ยวหยา เจ้าจะไม่มีทางห้ามข้าได้”


“เอ๊ะ..” หลินหยาหันหน้าหนีหน้ายู่แบบไม่พอใจหลังจากโดนจ้องด้วยสายตาเข้ม ๆ แบบนั้น นางรีบขยับตัวเล็กน้อย ดันอกของจางกงกงออกห่างแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว มือเล็กคว้าเหยือกสุรามาเทลงถ้วย รินเต็มแล้วซดเสียเองอย่างประชดพลางพึมพำเบา ๆ “ไม่ได้ดื้อซะหน่อย...”


จางกงกงยืนนิ่ง มือซุกหลังอย่างสงบ ดวงตาใต้หน้ากากมองนางอย่างจับผิด เสียงของเขาเรียบเย็น แต่แฝงความคุกคามที่นางคุ้นดี “แล้วเหตุใดวันนี้จึงมาที่หอว่านหงเหริน...ปกติ เจ้าไปรอข้าที่ศาลาจื่อเถิงฮวาไม่ใช่หรือ?” หลินหยาเกือบสำลักสุราแต่รีบกลบเกลื่อนด้วยการวางถ้วยลงดังปึก ยิ้มแห้ง ๆ พลางเอ่ยโกหกหน้าตาย “ก็...ก็มาเยี่ยมเพื่อนที่นี่น่ะสิ เพื่อนข้าเยอะ ท่านก็รู้” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เนียนที่สุดแม้ในใจจะเต้นรัวเป็นกลองรบ


จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นต่ำจนหลินหยาขนลุก ดวงตาคมกริบส่องประกายราวกับมองทะลุทุกคำโกหก “เพื่อน...งั้นหรือเสี่ยวหยา เจ้าโกหกข้าเก่งขึ้นทุกวันนะ” เขาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ความเย็นยะเยือกแผ่ออกมารอบตัวทำเอาหลินหยาถอยหลังไปติดผนังโดยไม่รู้ตัว “แต่ข้าจะปล่อยให้เจ้าโกหกได้...ครั้งนี้” เขากระซิบใกล้ใบหูนางรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมุมปาก “จำไว้...โกหกข้า มีราคาเสมอ”


หลินหยาหน้างอพลางยกมือดันใบหน้าภายใต้หน้ากากของจางกงกงให้ถอยออกเล็กน้อย ดวงตาหวานหรี่ลงอย่างไม่พอใจ “อย่าพึ่งเข้ามาใกล้ได้ไหม” นางบ่นเสียงแข็ง จางกงกงเลิกคิ้วใต้หน้ากาก เสียงเรียบแต่เจือความขบขันแผ่วต่ำ “หืม? เหตุใดเล่า เสี่ยวหยา…เจ้าเพิ่งบอกให้ข้าอยู่ห่างอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนตอบสั้น ๆ “ก็…ข้าเป็นประจำเดือนอยู่ไง” น้ำเสียงติดจะงอน ๆ แต่จริงใจ


คำพูดนั้นทำให้จางกงกงเงียบไปครู่หนึ่ง ความเย็นยะเยือกในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออก เขาก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิมช้า ๆ เอ่ยเสียงพร่าอย่างจงใจ “แล้วอย่างนั้นหรือ…เจ้าเป็นประจำเดือน แล้วคิดว่ากลิ่นคาวเลือดเล็กน้อยจะรบกวนข้า?” หลินหยาหันขวับมองเขาตาโตตอนได้ยิน “ก็ปกติ…มันต้องมีกลิ่นนี่!” นางพูดพึมพำ เหมือนอาย ๆ “แต่ข้าไม่เคยได้กลิ่นสักทีหรอก”


จางกงกงหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นคล้ายพิษเย็นที่ไหลซึมเข้าหัวใจ “เจ้าช่างน่ารักเสียจริงที่พูดตรง ๆ เช่นนี้…ไม่ต้องกังวลเสี่ยวหยา ข้าไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย” เขายื่นมือมาแตะแก้มนางเบา ๆ ดวงตาคมใต้หน้ากากจ้องลึก “ต่อให้เจ้าจะมีกลิ่นคาวเลือดจริง…มันก็เป็นกลิ่นของเจ้า และข้าจะไม่มีวันลืมมันได้เลย”


หลินหยาหน้าแดงระเรื่อรีบดันอกเขาแรงกว่าเดิม “ไอ้คนโรคจิต! ข้าบอกแล้วว่าอย่ามาใกล้ไง!” หลินหยาดันอกอีกคนแรงขึ้นจนจางกงกงต้องถอยเล็กน้อย ดวงตานางวาววับด้วยความหงุดหงิดผสมเขิน สีหน้าตึงแต่แก้มกลับแดงเรื่อเพราะทั้งอายทั้งอารมณ์ที่ขึ้นง่ายกว่าเดิม นางสูดลมหายใจแรง “ข้าบอกแล้วว่าวันนี้ข้าไม่ค่อยสบายตัว! วันแรกมันก็อย่างนี้แหละ...ยังมาไม่เยอะ แต่ก็พยายามอย่ามาอยู่ใกล้ได้ไหม” น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวกว่าทุกครั้งจนแม้แต่ตัวเองก็รู้สึกได้


จางกงกงนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์ร้าย สายตาคมภายใต้หน้ากากเหมือนจับเหยื่อที่ดิ้นหนี “หงุดหงิดเช่นนี้เพราะเป็นรอบเดือน…หรือเพราะข้ากันแน่ เสี่ยวหยา?” น้ำเสียงนุ่มแต่ทุกคำเจือความเย็นชาวาบที่ทำให้หัวใจหญิงสาวสั่นสะท้าน


“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ!” หลินหยาตอบสวนทันที ดวงตากลมจ้องเขาแน่วแน่ แก้มขึ้นสีระเรื่อยิ่งกว่าเดิม ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกตัวเองเหมือนแมวขู่เสือ


แทนที่จางกงกงจะถอย เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ช้า ๆ จนร่างสูงนั้นบดบังแสงรอบตัวหมดสิ้น ปลายนิ้วเขาปัดปอยผมที่หล่นข้างแก้มของหลินหยาอย่างแผ่วเบา ก่อนโน้มตัวลงกระซิบชิดใบหู กลิ่นลมหายใจเย็นเยียบแผ่วลอดออกมา “ยิ่งเจ้าหงุดหงิด…เจ้ายิ่งน่ารัก และข้าไม่มีวันถอยเพียงเพราะเจ้าบอกเช่นนี้”


“ท่านนี่มัน…!” หลินหยากัดฟัน


นางยกมือดันอีกครั้งสุดแรง แต่มือเรียวยาวของเขากลับจับข้อมือนางไว้แน่น พลังของเขามากเสียจนขัดขืนไม่ได้ เขากดเสียงต่ำจนแทบเป็นคำรำพึง “เจ้าจะผลักข้ากี่ครั้ง ข้าก็ยังอยู่ตรงนี้...เพราะเจ้าเป็นของข้า” คำพูดนั้นบีบหัวใจหญิงสาวแน่น หลินหยาหันหน้าหนีเพื่อไม่ให้เขาเห็นแก้มที่แดงจัด ดวงตาสั่นระริกเหมือนกำลังพยายามปิดบังความรู้สึก นางอยากจะงอนให้สุด อยากแสดงว่าตัวเองไม่ยอมแพ้ แต่ในอกกลับเต้นแรงจนแทบทะลุ นี่มันบ้าไปแล้ว…ทำไมถึงแพ้สายตาคนคนนี้ทุกครั้งกันนะ!




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออ นาน ๆ ทีจะไม่ต้องใส่รหัส 555

รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-26 10:50


วันที่ 24 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


เสียงดนตรีที่ลอยละล่องจากห้องโถงใหญ่ของหอว่านหงเหรินคล้ายจะขับกล่อมค่ำคืนนี้ให้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานของบุปผาและสุรารสแรง หลินหยาที่ในคืนนี้กลับมาในฐานะ “เสี่ยวหนาน” ก้มหน้าก้มตาเสิร์ฟสุราตามคำสั่งพนักงานชั้นสูงของหอ นางพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับเหล่าสาวใช้คนอื่นเพื่อหลบสายตาจางกงกงที่อาจจะปรากฏตัวเมื่อไรก็ได้ ทว่าโชคชะตาเหมือนชอบเล่นตลก เมื่อประตูห้องแขกพิเศษเลื่อนเปิดออก หญิงสาวยกถาดอาหารเข้าไปอย่างเงียบงัน ก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งพิงเบาะสีแดงเข้ม ใบหน้าสุขุมเฉียบคมยังคงสงบเสงี่ยมราวกับทุกครั้งที่พบ...ใต้เท้าเถียนเฟิง


ดวงตาคมของเขาเหลือบขึ้นมามองเพียงชั่วครู่ ท่ามกลางแสงโคมอ่อนสลัว ในนั้นมีประกายบางอย่างแฝงอยู่ประหลาดใจ ปนกับความไม่เข้าใจเล็กน้อย ขณะที่มือยกพัดขึ้นปิดริมฝีปากไว้คล้ายจะซ่อนรอยยิ้มเย็นที่กำลังผุดขึ้น “หลินหยา…?” เสียงของเขาลดต่ำเยือกเย็น แต่แฝงแววขันในที “ข้าเข้าใจว่าเจ้าเลิกทำงานที่นี่แล้วเสียอีก เหตุใด...จึงกลับมาในรังเสือด้วยสภาพเช่นนี้?” 


หลินหยากัดริมฝีปากแน่นเล็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มเจื่อน ๆ ส่งไปให้เขาเหมือนคนที่รู้ตัวว่าถูกจับได้ “ข้าก็แค่มาหาเงินเจ้าค่ะ...ท่านอย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวใครจะสงสัยเข้า”


เถียนเฟิงเอนตัวเล็กน้อยดวงตาสีเข้มจับจ้องใบหน้าที่พยายามเสแสร้งความเป็นสาวใช้ธรรมดา ทว่าไม่ว่าอย่างไร เสน่ห์ของหลินหยาก็ไม่อาจกลบเกลื่อน เขาหลุบตาลงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา “เจ้านี่...ช่างเก่งในการสร้างเรื่องยุ่งให้ตัวเองเหลือเกิน” เขาเอ่ยเรียบ ๆ แต่แววตากลับฉายแสงร้ายกาจที่คุ้นเคยราวกับหมากบนกระดานที่เขาคิดจะเดินหมากใหม่ “คิดหรือว่าปลอมตัวแล้วจะหลบสายตาเขาได้? หรือเจ้าคิดว่า...เขาจะปล่อยเจ้าไว้เฉย ๆ?”


หลินหยาหรี่ตามองเขาเล็กน้อยยกถาดวางบนโต๊ะด้วยท่าทีสงบแต่แฝงแววท้าทาย “ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยนี่เจ้าคะ ใต้เท้าอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ...ท่านมานั่งพักผ่อน ข้าก็มาทำงานของข้า แยกกันชัดเจนเลย” เถียนเฟิงหัวเราะแผ่ว เสียงนั้นคล้ายจะเอ็นดูแต่ก็แฝงความลึกล้ำเกินกว่าสหายทั่วไป “แยกกันหรือ? หลินหยา...เจ้าลืมไปหรือว่า ข้าไม่ชอบหมากที่เดินนอกกระดานโดยไม่บอกเจ้าของกระดาน” น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นแต่ตรึงใจ หลินหยาก็เพียงยิ้มหวานแล้วเอียงคอเล็กน้อย “ข้าว่า...กระดานของใต้เท้าใหญ่เกินไปแล้วละเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ตัวหมากตัวเล็ก ๆ ไม่ทันใครหรอกเจ้าค่ะ” 


คำตอบนั้นทำให้เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางคลี่บนริมฝีปากที่มักซ่อนความคิดไว้เสมอ เขาวางพัดลงช้า ๆ มองนางอย่างตั้งใจ ราวกับจะบอกว่าเรื่องนี้...ยังไม่จบแน่ เถียนเฟิงเอนหลังเล็กน้อย พัดในมือหมุนช้า ๆ ขณะมองหญิงสาวที่ยืนเชิดหน้าตอบกลับเขาด้วยแววตาแน่วแน่ น้ำเสียงของนางไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “ข้าไม่กลัวท่านเถียนเฟิงหรอกเจ้าค่ะ” หลินหยาพูดยิ้ม ๆ แต่ในดวงตากลับซ่อนความจริงใจ “กลัวคนอื่นมากกว่าเสียอีก เอาเป็นว่า...ที่นี่เรียกข้าว่าเสี่ยวหนานนะ อย่าเรียกชื่อจริงของข้า”


เถียนเฟิงหยุดพัด รอยยิ้มเยือกเย็นแต่แฝงแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นตรงมุมปาก “เสี่ยวหนานงั้นหรือ...” เสียงทุ้มของเขากล่าวช้า ๆ เหมือนจงใจลากถ้อยคำให้ยาวขึ้น “ชื่อที่ข้าเคยตั้งให้เจ้าเมื่อครั้งไปแฝงตัวในจวนโอวหยาง…เจ้าจำได้แม่นเหมือนเคย” หลินหยาหันหน้ามามองเขา แววตาเหมือนจะบอกว่าก็แน่นอนสิ “เพราะมันเป็นชื่อที่ใช้หาเงินได้ไงเจ้าคะ ข้าไม่ลืมหรอก”


คำตอบนั้นทำให้เถียนเฟิงหัวเราะต่ำ ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะแผ่วแต่ฟังแล้วเหมือนคมมีดที่เฉือนผ่านอากาศ “เจ้ามันกล้าจริง ๆ เสี่ยวหนาน...กล้าพูดกับข้าแบบนี้ทุกครั้ง” เขาลุกขึ้นจากเบาะ เดินเข้ามาใกล้นางช้า ๆ แสงโคมสะท้อนเงาร่างสูงสง่าดวงตาลึกคมของเขาจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างจับจ้อง “จำไว้นะ...ต่อให้เจ้าจะใช้ชื่อปลอมที่ข้าเป็นคนมอบให้ ข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าเป็นใคร และอยู่ที่ไหนอยู่ดี”


หลินหยาไม่ถอยแม้สักก้าว นางยิ้มหวานราวกับไม่สนใจน้ำเสียงแฝงอำนาจนั้น “รู้แล้วเจ้าค่ะ...แต่ก็อย่าทำให้ข้าเด่นเกินไปล่ะ เดี๋ยวคนนั้นรู้เข้า ข้าลำบากแย่เลยเจ้าค่ะ”


เถียนเฟิงหลุบตาลงรอยยิ้มเจืออยู่บนริมฝีปากไม่ใช่รอยยิ้มของผู้ดีแสนสุภาพ แต่เป็นรอยยิ้มของอสรพิษที่กำลังเก็บงำพิษไว้ในใจ “เจ้าเล่นกับไฟเก่งขึ้นทุกวันจริง ๆ เสี่ยวหนาน…” และเขาก็ยอมถอยกลับไปนั่งราวกับยอมปล่อยให้หมากตัวเล็กที่ดื้อดึงนี้เดินบนกระดานของเขาอีกครั้ง แต่สายตาคมเข้มยังคงจับจ้องนาง...ไม่ปล่อยแม้สักวินาที




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: แอบคนมาทำงานค่ะ 5555+ หวังว่าเขาจะไม่รู้

(จางกงกงกำหมัดบอก 30 ตำลึงทองที่ให้ไปทำไมมันไม่พอหรอ)


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน

+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


เปิดตำนานรับจ้างรายวันอีกครั้ง 555+

ที่ไม่รู้ว่าจะโดนจับได้ตอนไหน


คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-27 00:01


วันที่ 25 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าหอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


ค่ำคืนนี้หอว่านหงเหรินคลาคล่ำไปด้วยแขกชั้นสูง เสียงพิณและขลุ่ยประสานกับกลิ่นสุราหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่วโถงใหญ่ หลินหยาในชุดสาวใช้ชื่อปลอม “เสี่ยวหนาน” เดินอย่างคล่องแคล่วระหว่างโต๊ะ เสิร์ฟอาหารด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้แขกบางคนเหลียวมองแต่ก็รีบหลบสายตาในทันที เมื่อเดินมาถึงห้องพิเศษซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางผลักประตูเข้าเบา ๆ กลิ่นบุหงาอวลตัดกับกลิ่นสุราที่เข้มขึ้นกว่าโถงข้างนอก เถียนเฟิงนั่งอยู่ตามเดิมในมุมที่เงียบสงบ ร่างสูงในอาภรณ์หรูเรียบสง่า พัดขนนกในมือเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมเงยขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านาง


หลินหยาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มเล็ก ๆ ให้เขาเหมือนทุกครั้ง “อาหารค่ำของท่านเจ้าค่ะ ใต้เท้า” น้ำเสียงเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความเป็นกันเองในแบบที่มีเพียงนางเท่านั้นที่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้ เถียนเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยชม ไม่ได้ตำหนิ แต่แววตาลึกสงบกลับจ้องนางนิ่งยิ่งกว่าปกติ คล้ายกำลังอ่านใจนางอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วเหมือนละอองพิษอ่อน ๆ แฝงไว้ในอากาศ “วันนี้เจ้าทำตัวเหมือนทุกวัน...ทั้งที่เจ้าไม่เหมือนคนที่ทำงานเพียงเพื่อต้องการเงิน”


หลินหยาหันมามองเขา แววตาประกายขบขันเล็กน้อย “ท่านคิดมากไปเองแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเสี่ยวหนานที่มาทำงานก็เพราะต้องการเงินเท่านั้นแหละ”


เถียนเฟิงหัวเราะในลำคออย่างเยือกเย็น ดวงตาที่คล้ายจะหยอกล้อแต่ก็แฝงแววเจ้าเล่ห์ราวกับมองทะลุทุกอย่าง “เช่นนั้นหรือ...เสี่ยวหนาน? ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะคอยดู ว่าหมากตัวนี้จะเดินไปทางไหนต่อ” เขายกถ้วยสุราขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า แววตาไม่ละไปจากนางแม้สักชั่วขณะ ส่วนหลินหยาก็เพียงส่งยิ้มหวานนิด ๆ พลางโค้งศีรษะ “เชิญท่านพักผ่อนให้สบายเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะทำหน้าที่ของข้า...อย่างที่เสี่ยวหนานควรทำ” ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูสงบ เส้นสายความตึงเครียดระหว่างทั้งสองกลับคล้ายสานกันแน่นขึ้นโดยไม่มีใครยอมเอ่ยออกมา


แสงโคมในห้องพิเศษส่องแผ่วอาบใบหน้าของเถียนเฟิง เขาวางพัดลงกับโต๊ะอย่างเรียบง่าย ก่อนเอ่ยถามเสียงนุ่มที่เต็มไปด้วยความสนใจ “แล้วเจ้าหมาน้อยที่ข้าเคยซื้อให้เล่า...เจ้าเซียนเฉ่า ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง?” หลินหยาที่กำลังจัดสำรับให้เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตานางเป็นประกายเมื่อพูดถึงสัตว์เล็กที่กำลังอยู่ในความดูแล “กินอิ่มนอนหลับดีเจ้าค่ะ บางวันก็ไปเดินเล่นด้วยกัน...ข้าให้คนที่ดูแลร้านของข้าเป็นคนช่วยดูแลมันด้วย ที่นั่นยังมีแมวชื่อชือฟ่าน พวกมันเป็นเพื่อนกันได้ด้วยนะเจ้าคะ”


เถียนเฟิงฟังแล้วมุมปากยกยิ้มบาง ราวกับพอใจในคำตอบ แต่แววตาลึกซึ้งกลับทอดมองนางอย่างอ่านใจ ก่อนจะพูดต่อช้า ๆ “ที่เจ้าทำงานหนักขนาดนี้...ก็เพื่อหาเงินไปจ่ายค่าเปิดร้านนั้นสินะ?” หลินหยาหันมาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจแต่ก็ปนความขี้เล่น “ใช่สิเจ้าคะ! ก็แม่งแพงจัดนี่นา ถ้าไม่ขยันทำงาน ข้าจะไปเอาเงินจากไหนมาเปิดร้าน” คำหยาบที่หลุดออกมาจากปากนางทำให้เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนหัวเราะในลำคอเสียงต่ำอย่างขบขัน “ปากเจ้าช่างกล้าเหมือนเดิมเสี่ยวหนาน... แต่ข้าก็ไม่แปลกใจ เจ้าเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ”


หลินหยาสบตาเขาอย่างตรงไปตรงมา ยิ้มหวานทั้งที่น้ำเสียงยังแฝงแววท้าทาย “ก็แน่นอนสิ...ถ้าไม่ดิ้นรน ข้าคงไม่ใช่หนาน หลินหยาแล้วละเจ้าค่ะ” เถียนเฟิงมองนางนิ่งไปครู่หนึ่ง แววตาที่ปกติสงบเยือกเย็นกลับฉายประกายบางอย่างที่เก็บงำไว้ ก่อนจะหยิบพัดขึ้นมาโบกเบา ๆ ราวกับปิดบังความคิดในใจ แต่รอยยิ้มมุมปากของเขาก็ยังไม่เลือนหายไป


เสียงในห้องเงียบลงชั่วขณะเมื่อเถียนเฟิงเอนตัวพิงเบาะ พัดขนนกหมุนช้า ๆ ในมือราวกับไร้ความสนใจ แต่ดวงตาคมกลับจับจ้องที่หลินหยาด้วยความเยือกเย็นปนแฝงรอยสงสัย เขาเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงน้ำหนักที่นางคุ้นเคยดี “เมื่อห้าวันก่อน...เจ้าหายตัวไปแล้วไปโผล่นอนสลบอยู่บ้านหลังเล็กของหวยหนานหวาง เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”


หลินหยาชะงักไปเล็กน้อย มือที่ถือถาดเหมือนเกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางเบือนหน้าหนีชั่วครู่ก่อนจะเบ้ปากส่งสายตากวน ๆ ใส่เขา “รู้ไว้แล้ว...อย่าไปบอกใครนะเจ้าคะ”


เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตานิ่งสงบแต่เหมือนจะบอกว่า ข้าจะรอฟังคำอธิบายของเจ้า


หลินหยาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยอมเล่าเสียงเบาแต่จริงจัง “ท่านหวยหนานหวาง...หลิวอันน่ะ เขาขอข้าแต่งงานเจ้าค่ะ” ดวงตานางเหลือบขึ้นมามองเขานิดหนึ่ง เห็นเพียงสายตาที่นิ่งเกินไปจากฝั่งเถียนเฟิง “แต่ข้าปฏิเสธไป” หลินหยาพูดต่ออย่างหนักแน่นพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่แฝงความเศร้าเล็ก ๆ “เพราะข้าไม่เคยมองเขาแบบนั้นเลยสักครั้ง...ในสายตาข้า เขาเป็นเหมือนบุพการีคนที่สอง เป็นคนที่ห่วงข้า...ปกป้องข้า แต่ไม่ใช่คนที่ข้าจะมอบหัวใจให้”


เถียนเฟิงฟังเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดแทรกเข้ามาแม้แต่คำเดียว เพียงแต่พัดในมือหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาที่มักเยือกเย็นราวกับอ่านหมากทั้งกระดานกลับลึกล้ำยิ่งขึ้น รอยยิ้มที่มักมีบนมุมปากหายไปแทนที่ด้วยแววครุ่นคิด สุดท้ายเขาเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ ราวกับกลืนบางสิ่งไว้ในใจ “เจ้า...ช่างกล้าตัดสินใจนัก”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ แสร้งทำเป็นไม่เห็นประกายในดวงตานั้น “ก็แน่นอนสิ ข้าเป็นข้า...ไม่ใช่หมากของใครนี่เจ้าคะ ที่จะต้องทำตามสิ่งที่คนอื่นสั่ง” เถียนเฟิงก้มหน้าลงเล็กน้อย พัดในมือสะบัดช้า ๆ แต่ในหัวใจของเขากลับปั่นป่วนยิ่งกว่าคืนที่เมาหนัก กระนั้น รอยยิ้มบางก็กลับมาประดับมุมปากอีกครั้ง “พูดได้ดี...เสี่ยวหนาน” น้ำเสียงของเขาเย็นแต่ทุ้มลึกจนทำให้ห้องทั้งห้องเงียบสงัดลงอย่างประหลาด บรรยากาศในห้องพิเศษเงียบลงอีกครั้งจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดกระทบม่านไหม หลินหยามองเถียนเฟิงที่ยังคงนั่งนิ่ง ท่าทางสงบแต่เต็มไปด้วยรัศมีบารมีที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกอ่านใจได้ทุกครั้ง นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหลุบตาลง แก้มขึ้นสีชมพูเรื่อเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

 

“ข้าบอกท่านหลิวอันไปว่า...ข้ามีคนที่มีใจให้อยู่แล้ว” หลินหยาเอ่ยเสียงแผ่ว แฝงความประหม่า ดวงตากลมสวยมองพัดในมือของเถียนเฟิงแทนที่จะสบสายตาเขา “เขาเป็นคนที่น่ากลัว...โหดร้ายเหมือนปีศาจ แต่ข้าก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึง...ชอบเขา”


เถียนเฟิงชะงักเพียงเสี้ยววินาที พัดขนนกหยุดหมุนกลางอากาศก่อนจะกลับมาโบกช้า ๆ อีกครั้ง ดวงตาคมกริบก้มต่ำคล้ายจะปิดบังความรู้สึกที่แล่นผ่าน ข้างในใจเขามีบางสิ่งไหววูบ แต่ใบหน้ากลับคงความสงบนิ่งไร้รอยร้าว เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงรอยอ่อนโยนตามแบบฉบับของยอดบัณฑิตผู้สุขุม “คนที่เจ้าพูดถึง...หากแม้โหดร้ายเยี่ยงปีศาจ แต่เขาทำให้เจ้ารู้สึกอยากเข้าใกล้ แปลว่าเขามีบางอย่างที่ดึงใจเจ้าไว้อย่างแน่นหนา” หลินหยายกตาขึ้นมองเขาอย่างตกใจน้อย ๆ เถียนเฟิงเพียงยิ้มบาง รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเกินกว่าจะคาดคิดจากชายผู้มากเล่ห์เช่นเขา 


“แต่ฟังข้าไว้หน่อย แม่นาง...ถ้าเจ้าจะชอบใครสักคน ต่อให้เขาเป็นปีศาจ ก็จงแน่ใจว่าปีศาจตนนั้นจะไม่ทำลายเจ้า”


คำพูดของเขาเรียบง่าย ทว่ามีแววปกป้องแฝงอยู่โดยไม่เปิดเผยออกมาตรง ๆ หลินหยายิ้มจาง ๆ กับคำตอบนั้น ดวงตาเป็นประกายแต่ก็ยังมีเงาลึกล้ำ “ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ” เถียนเฟิงเพียงพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มบนมุมปากยังคงอยู่ แต่ในใจกลับครุกรุ่นไปด้วยความคิดมากมายที่เขาเลือกจะเก็บเงียบไว้ในฐานะ สหาย ที่นางเชื่อว่าเขาเป็น 


แสงโคมไหวส่องบนใบหน้าที่มักสุขุมเย็นชา เถียนเฟิงนั่งนิ่ง มือที่ถือพัดหยุดเคลื่อนไหวเมื่อหลินหยาหันมามองเขา ดวงตากลมใสเต็มไปด้วยประกายความเชื่อใจที่ปราศจากเล่ห์ลวง นางระบายยิ้มเล็ก ๆ ใสซื่อราวกับแสงจันทร์กลางค่ำคืน “ข้าดีใจนะเจ้าคะ...ที่ได้เป็นเพื่อนกับท่าน” หลินหยาเอ่ยเบา ๆ แต่น้ำเสียงนั้นจริงใจจนกระทบถึงหัวใจที่ซ่อนเขี้ยวคมของเขา


เถียนเฟิงเพียงมองตอบด้วยสายตานิ่งสงบ รอยยิ้มบางราวกับหน้ากากที่ประดับบนใบหน้าเสมอค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แต่ลึกลงไปในแววตานั้นมีประกายบางอย่างที่แฝงความซับซ้อนเกินกว่าจะอ่านได้ในคราเดียว “...ข้าก็ดีใจเช่นกัน” เขาตอบเรียบง่าย น้ำเสียงราบเรียบแต่ทุ้มลึกกว่าปกติ เหมือนกำลังกลืนความรู้สึกบางอย่างไว้ภายใน


หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ เหมือนได้รับคำตอบที่ทำให้นางอุ่นใจ นางโบกมือน้อย ๆ ให้เขา ก่อนหมุนตัวเดินออกไปอย่างคล่องแคล่วเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ร่างบางหายลับไปในแสงเงาแห่งหอว่านหงเหริน เถียนเฟิงมองตามแผ่นหลังนั้นไปเงียบ ๆ พัดในมือสะบัดเบาเพียงครั้งเดียว แววตาคมลึกฉายรอยบางอย่างที่ไม่มีใครสังเกตเห็นทั้งอบอุ่น ทั้งเจ็บปวด และทั้งอันตรายอย่างที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจ


เสียงเครื่องสายบนเวทีใหญ่ดังกังวาน บทเพลงของนักดนตรีคลอไปกับการร่ายรำของนางรำที่หมุนวนอ่อนช้อยกลางแสงโคมไฟสีทองแดง แต่ในมุมหนึ่งของหอว่านหงเหรินกลับมีสาวใช้ในชุดธรรมดาเดินแทรกไปท่ามกลางความหรูหราโดยไม่ดึงสายตาใคร หลินหยาก้าวอย่างมั่นคง ถือถาดอาหารและสุราเสิร์ฟทีละโต๊ะตามคำสั่ง ใบหน้างามเรียบเฉยคล้ายไม่สนใจเสียงหัวเราะคิกคักของแขก หรือกลิ่นน้ำหอมอวลในอากาศ นางคุ้นชินกับบรรยากาศวุ่นวายและแววตาที่มักจ้องมองมาอย่างหื่นกระหาย หลินหยาทำเพียงส่งยิ้มสุภาพจาง ๆ ให้แขกตามมารยาท แล้วเคลื่อนไหวต่ออย่างคล่องแคล่ว


เมื่อผ่านโต๊ะหนึ่งที่แขกกำลังสนุกกับเหล้า นางหลบปลายแขนที่แกว่งมาด้วยสติครบถ้วน วางจอกสุราลงอย่างแม่นยำแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เชิญท่านดื่มให้เต็มที่เจ้าค่ะ” ก่อนจะหมุนตัวไปอีกโต๊ะโดยไม่เหลือร่องรอยของตัวตนให้ใครจดจำ


ในหัวหลินหยามีเพียงความคิดง่าย ๆ ทำงานให้เสร็จ พ้นคืนนี้ไปได้อีกหนึ่งคืนก็พอแล้ว ดวงตาที่มักเต็มไปด้วยแววล้อเลียนหรือความสดใสในยามปกติกลับนิ่งสงบในค่ำคืนนี้ คล้ายเงาน้อย ๆ ที่เคลื่อนไปท่ามกลางความโกลาหลของหอว่านหงเหริน


ค่ำคืนนี้หอว่านหงเหรินเต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือน เสียงหัวเราะและบทสนทนาผสมกับกลิ่นสุราหอมแรงลอยคลุ้งจนแทบคลุมอากาศ เสียงพิณและกลองจังหวะช้าไล่เรียงกับฝีเท้านางรำที่หมุนตัวในชุดสีสดสะบัดชายกระโปรงงามเป็นระลอก ละอองกำยานลอยคลอไปกับแสงโคมไฟที่สั่นไหวเหนือหัวผู้คน ท่ามกลางความหรูหรานั้น เสี่ยวหนาน เพียงเดินเงียบ ๆ ตามเส้นทางไปมา ถาดอาหารในมือสั่นเล็กน้อยเมื่อแขกบางคนหัวเราะเสียงดังเกินไปและเกือบชนเธอ แต่หลินหยาหลบได้อย่างคล่องแคล่ว สายตานิ่งเรียบเหมือนไม่แยแส นางวางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างแม่นยำ ก่อนย่อกายเล็กน้อยในท่าคำนับตามธรรมเนียม ไม่สนใจเสียงพูดจาลามกที่แว่วเข้าหูเพียงบางคำ นางเดินต่อโดยไม่แม้แต่จะหันกลับ


โต๊ะแล้วโต๊ะเล่า ผ่านหน้าคนแล้วคนเล่า ทุกจอกสุราที่ถูกวางลงเหมือนส่วนหนึ่งของจังหวะดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ หลินหยาไม่เคยหยุดมองการแสดงแม้เพียงครั้งเดียว ถึงแม้จะสวยงามเพียงใด แต่สำหรับนางที่ผ่านความวุ่นวายและความเจ็บปวดมาไม่น้อยแล้ว แสงสีเหล่านี้ก็แค่ฉากหน้าที่ไม่มีความหมาย


เสียงกระซิบจากพนักงานคนอื่นดังขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลินหยาไม่ตอบ เพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวต่อไป บางครั้งสายตาของแขกก็ชำเลืองมาที่เธอด้วยความสงสัยต่อความนิ่งเงียบที่ต่างจากสาวใช้ทั่วไป แต่เมื่อเห็นเพียงใบหน้างามเรียบสงบกับรอยยิ้มจาง ๆ พวกเขาก็เลิกสนใจ


เมื่อถึงมุมหนึ่งที่เงียบกว่า หลินหยาหยุดพักชั่วครู่หลังฉากม่านไม้ไผ่ เธอปลดถาดจากมือ สูดหายใจลึก ๆ กลิ่นกำยานและสุราหอมแทรกเข้าปอดจนแสบเล็กน้อย ดวงตาของนางทอดไปยังเวทีใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องเชียร์และการแสดงงดงาม แต่นางก็แค่เหลือบมองชั่ววินาที ก่อนจะก้มหน้าแล้วหยิบถาดขึ้นอีกครั้ง คืนนี้ต้องผ่านไปให้ได้เหมือนคืนก่อน ๆ นางบอกกับตัวเองในใจ แล้วก้าวออกสู่ความวุ่นวายอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบางที่ไม่มีใครอ่านออกว่ามันซ่อนอะไรไว้บ้าง


เมื่อเสียงดนตรีสุดท้ายดับลง แขกเหรื่อทยอยออกจากหอว่านหงเหรินทีละกลุ่ม ความวุ่นวายค่อย ๆ คลายตัวลง เหลือเพียงแสงโคมไฟส่องวับไหวกลางความเงียบ หลินหยาในคราบเสี่ยวหนานเดินตรงไปยังห้องเก็บเงินของหออย่างคุ้นเคย กลิ่นกำยานที่คละคลุ้งมาตลอดทั้งคืนค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับเสียงพูดคุยและหัวเราะอึกทึก นางยื่นสมุดบันทึกชั่วโมงงานให้กับคนดูแลการเงินที่นั่งนับเหรียญอยู่หลังโต๊ะไม้เก่า ทองเหลืองของน้ำหนักเงินกระทบกันเป็นเสียงแผ่ว ก่อนที่ถุงเงินจะถูกเลื่อนมาทางเธอ “สามสิบตำลึงเงิน ตามที่ตกลง” เสียงคนดูแลบอกอย่างไม่ใส่อารมณ์ หลินหยาเพียงพยักหน้ารับอย่างสุภาพ หยิบถุงเงินขึ้นชั่งน้ำหนักในมือแล้วเก็บไว้ในสาบเสื้ออย่างมิดชิด


สามสิบตำลึงเงิน…ยังไม่พอสำหรับ 5 ตำลึงทอง…อืม 10 ตำลึงเงินเท่ากับ 1 ตำลึงทอง แปลว่าอันนี้คือ 3 ตำลึงทองสินะ…อ๊าาาจะบ้า นางคิดในใจอย่างเงียบงัน ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางอย่างพอใจ ถึงจะเป็นงานที่ต้องทนเสียงวุ่นวายและสายตาหื่นกระหายของคนบางประเภท แต่มันก็ง่ายกว่าหลายงานที่ผ่านมา ที่สำคัญที่สุด พิษในร่างกายไม่ได้กำเริบแม้แต่น้อยในคืนนี้


ขณะที่นางกำลังจะเดินออกไป สาวใช้ฝึกหัดคนหนึ่งที่มักช่วยงานเสิร์ฟด้วยกันรีบก้าวเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวหนาน วันนี้เหนื่อยไหม? เห็นทำงานทั้งคืนแทบไม่พักเลย” หลินหยาหันไปมอง ดวงตากลมโตฉายแววเหนื่อยล้าเล็กน้อยแต่ก็ยังคงความสดใสไว้เต็มที่ “สบายดีอยู่เจ้าค่ะ ไม่ได้หนักมากเลยแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง” นางยิ้มบาง ก่อนจะยกมือปัดเหงื่อที่เกาะข้างแก้มออกเบา ๆ


“คืนนี้กลับไปต้องรีบอาบน้ำแล้วนอนพักเลย ข้าไม่อยากให้ตัวเองทรุดลงหรอก” หลินหยาพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ คล้ายปลอบใจอีกฝ่ายมากกว่าตัวเอง เสียงหัวเราะนั้นยังคงอบอุ่นและร่าเริงอย่างที่เป็นแม้จะผ่านค่ำคืนอันยาวนาน สาวใช้ฝึกหัดมองเธอด้วยสายตาโล่งใจแล้วพยักหน้า “งั้นก็กลับบ้านดี ๆ ล่ะ”


“อืม” หลินหยาพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงเบาสบาย ก่อนจะโบกมือลาและหมุนตัวเดินออกไปสู่ลมยามค่ำ แสงจันทร์สาดส่องเส้นทางกลับของเธอ ความเหนื่อยค่อย ๆ คลายออกไปพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่าน ร่างบางก้าวอย่างมั่นคงกลับสู่บ้านหลังเล็กในค่ำคืนนี้ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสงบสุขในแบบของนางเอง




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ว้ายยย ขอโทษนะเถียนเฟิง 5555 มายเฟรนว่ะ


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน

+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 63225 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 63,225 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 63,225 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 63,225 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 26 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น.  ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน

อีเว้นท์ ภารกิจ “กลีบเหมยใต้เงาจันทร์” - จบภารกิจ


ยามแสงแดดอุ่นคล้อยลงบนถนนสิบลี้ฝั่งตะวันตก เมื่อฉู่ ซ่วนจื่อและหลินหยาก้าวเท้าเข้าสู่หอว่านหงเหริน เสียงพิณและซอคลอแว่วมาจากภายในประตูไม้ฉลุลายที่เปิดกว้าง กลิ่นกำยานและกลีบดอกเหมยที่โรยบนทางเดินลอยคลุ้งต้อนรับผู้มาเยือน หอว่านหงเหรินขึ้นชื่อเรื่องการแสดงดนตรี และศิลปะที่ผสมผสานความงดงามกับความเศร้าได้อย่างลึกซึ้ง ภายในหอมีโคมแดงประดับเรียงราย แขวนลดหลั่นเป็นแถว เสียงพูดคุยของแขกค่อย ๆ กลืนหายไปเมื่อการแสดงเริ่มขึ้นบนเวที ไฟส่องลงบนฉากการแสดงโบราณ นักแสดงสวมชุดหรูหราสีสันสด แต่งหน้าเด่นชัด เล่าเรื่องราวของความรักต้องห้ามที่ผ่านการพลัดพราก ความเจ็บปวด และการเสียสละ ก่อนจะลงเอยด้วยการได้อยู่ร่วมกันในที่สุด เสียงร้องผสมกับดนตรีกู่เจิงและขลุ่ยสร้างบรรยากาศอ่อนไหวที่บีบหัวใจผู้ฟัง


ฉู่ ซ่วนจื่อยืนข้างหลินหยา ดวงตานิ่งสงบแต่จับทุกอารมณ์ที่แผ่ออกมาจากเวที นางเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคน "ศิลปะ...มีพลังเยียวยา จงฟัง จงมอง แล้วปล่อยใจเจ้าซึมซับมัน บางทีเจ้าอาจเห็นแง่มุมของความรักที่เจ้ามองข้ามไป" หลินหยานิ่งฟัง แต่สีหน้ากลับอึนชัดเจนเมื่อกวาดตามองไปทั่วหอ ความทรงจำถาโถมเข้ามา ที่นี่แหละจุดเริ่มต้นทุกอย่าง สถานที่ที่เธอเคยเป็นเพียงนักดนตรีฝึกหัด เดินเล่นในเงามุมห้องกับเสียงพิณจาง ๆ และที่นี่เอง...ที่นางได้พบกับเขา คนที่ทำให้หัวใจเธอพลั้งเผลออย่างโง่เขลา


เธอกอดอกหลบสายตาผู้คน พยายามปิดใบหน้าด้วยชายแขนเสื้อเพราะมีคนรู้จักมากเกินไป "พี่ฉู่...ที่นี่แหละเจ้าค่ะ" น้ำเสียงเธอต่ำลงราวกับสารภาพบาป "ที่ข้าเจอคนคนนั้น...คนที่ข้าเผลอรักเข้าไป" ดวงตาเธอหลบเลี่ยงสั่นระรัวทั้งจากความทรงจำและความเขินอาย


ฉู่ ซ่วนจื่อหันมามองนาง สายตานิ่งลึกอย่างคนที่รู้มากกว่าที่พูด แค่ยิ้มบาง ๆ ไม่ถามตรง ๆ แต่แววตานั้นช่างเหมือนอ่านใจได้หมด "เจ้ามีอดีตกับที่นี่สินะ..." น้ำเสียงสงบเหมือนจะถามแต่ก็ไม่ใช่คำถามเต็มปาก หลินหยาหลบตายกมือลูบชายกระโปรงตัวเองอย่างเก้อเขิน "ข้าเคยทำงานเป็นนักดนตรีฝึกหัดที่นี่(แน่นอนว่าตอนนี้แอบทำอยู่อิอิ)…พี่ฉู่ อย่ามองแบบนั้นสิเจ้าคะ" เธอบ่นเบา ๆ แต่หางเสียงสั่นราวเด็กที่ถูกจับได้


ฉู่ ซ่วนจื่อหัวเราะเบา ๆ แผ่วเหมือนสายลมที่พัดผ่าน "ข้าไม่ได้คิดอะไรเกินไป เพียงแต่…บางครั้ง สถานที่เก็บความทรงจำย่อมซ่อนสิ่งที่ไม่พูดก็รู้" แววตานางอ่อนโยน ทว่าลึกลงไปมีแววที่เหมือนรู้ว่าความสัมพันธ์ของหลินหยากับแขกคนหนึ่งที่นี่ไม่ธรรมดา ระหว่างที่การแสดงบนเวทียังคงดำเนินไปในฉากแห่งการกลับมาพบกัน ฉู่ ซ่วนจื่อชี้ไปที่ตัวละครหญิงในชุดขาวที่ร้องด้วยน้ำตา "นางเจ็บปวดเพราะรัก แต่เพราะความเจ็บนั้นเอง ความสุขตอนท้ายจึงมีค่า"


หลินหยากัดริมฝีปากเบา ๆ ใจเต้นแรงจนแทบฟังเสียงพิณไม่ได้ เธอหันมามองพี่ฉู่ด้วยรอยยิ้มจางที่เหมือนกำลังกลั้นความรู้สึก "ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ…ว่าทำไมท่านถึงพามาที่นี่" ฉู่ ซ่วนจื่อเพียงยิ้มตอบ ไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้การแสดงทำหน้าที่สะท้อนหัวใจของหลินหยา จนเสียงปรบมือก้องไปทั้งหอ และในหัวใจของหญิงสาว…ความรักที่ซับซ้อนก็เหมือนมีแสงบางอย่างส่องลอดเข้ามาอีกครั้ง


สียงปรบมือดังแผ่วไปทั่วหอว่านหงเหรินเมื่อม่านการแสดงค่อย ๆ ปิดลง ท่วงทำนองสุดท้ายของขลุ่ยและกู่เจิงลอยเลือนเหมือนกลิ่นกำยานที่จางหาย ทว่าความรู้สึกในใจคนดูยังคงคุกรุ่นไม่หาย หลินหยานั่งนิ่ง สายตายังจ้องไปที่เวทีที่ไร้ผู้คนแล้ว ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พยายามประมวลผลกับสิ่งที่เพิ่งได้เห็น เธอหันมามองฉู่ ซ่วนจื่อที่ยังคงนั่งสงบเช่นเดิม ดวงตาสีดำสนิทของพี่ฉู่สะท้อนแสงโคมแดงอย่างอ่อนโยน หลินหยาจึงถามเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง "พี่ฉู่...ในการแสดงนี้ ท่านเห็นอะไรหรือเจ้าคะ? ความรักที่ไร้เหตุผล หรือความหวังที่ยังคงอยู่?"


ฉู่ ซ่วนจื่อหันมามองนาง ยกยิ้มบางอย่างคนที่กำลังซ่อนคำตอบลึก ๆ ในใจ "เจ้าล่ะ หลินหยา? เจ้าคิดว่าเจ้าเห็นอะไร?"


หลินหยาหลุบตามองมือของตนที่กำแน่นบนตัก แล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางที่แฝงประกายเข้าใจ "ข้าเห็นทั้งสองอย่างเจ้าค่ะ… ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าความรักเป็นสิ่งที่ซับซ้อน มันอาจทำให้เราเจ็บปวด แต่มันก็สามารถนำมาซึ่งความสุขได้เช่นกันเจ้าค่ะ"


ฉู่ ซ่วนจื่อฟังแล้วพยักหน้าน้อย ๆ ดวงตาลึกสงบคล้ายทะเลในคืนเดือนเพ็ญ "ดีมาก หลินหยา…เจ้ามองเห็นแล้วว่าแท้จริง ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือโชคชะตา เราไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องฝ่ามันด้วยความจริง และใจอันแรงกล้า" นางยกสายตามองโคมแดงที่แกว่งไหวเบา ๆ แล้วเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า "จำไว้นะ…ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือวิญญาณ ล้วนปรารถนาความสุข ความรัก และความอบอุ่นทั้งนั้น"


หลินหยามองพี่ฉู่ด้วยดวงตาที่ฉายแววซาบซึ้ง ความอบอุ่นจากคำพูดนั้นเหมือนแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ เธอยิ้มหวาน ยกมือประสานที่อกเล็กน้อยราวกับเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจ "ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ… สำหรับวันนี้ ขอบคุณพี่ฉู่มากจริง ๆ"


ฉู่ ซ่วนจื่อเพียงหัวเราะแผ่ว ยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเบา ๆ ด้วยท่าทางอ่อนโยน "ข้าต่างหากที่ต้องขอบใจเจ้า…ที่กล้าจะเปิดหัวใจอีกครั้ง" ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเคียงกันออกจากหอว่านหงเหริน แสงแดดยามบ่ายสาดทอผ่านผ้าไหมที่ปลิวไหว ราวกับประกาศว่าความมืดในหัวใจหลินหยาเริ่มคลี่คลาย… และบนเส้นทางที่ทอดยาวนั้น เธอได้ก้าวไปพร้อมกับความหวังใหม่ที่อ่อนโยนแต่มั่นคง


ระหว่างที่ทั้งสองเดินออกมาจากหอว่านหงเหริน เสียงดนตรีและกลิ่นกำยานที่หลงเหลือเพียงเลือนลาง ฉู่ ซ่วนจื่อซึ่งก้าวเคียงข้างหลินหยาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหญิงสาวด้วยสายตาลึกสงบคล้ายคลื่นในทะเลสาบยามค่ำ นางค่อย ๆ ยื่นสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยาวของตนกระจกกลมขนาดเล็กกรอบเงินขาวที่ส่องประกายจาง ๆ แม้ยามบ่าย "นี่คือ กระจกเงาแห่งปัญญา" เสียงของพี่ฉู่ราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยพลังแห่งความจริง "พกติดตัวไว้เถิด หลินหยา… สิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นความจริงในใจผู้อื่นได้ แต่จำไว้…มันจะสะท้อนเฉพาะสิ่งที่เจ้ากล้าจะมองเห็นเท่านั้น"


นางวางกระจกลงบนมือของหลินหยาอย่างแผ่วเบา ดวงตาอ่อนโยนแต่แฝงประกายเข้ม "หากคนที่เจ้าหมายมั่นรักจริง เป็นดั่งปีศาจ จิตใจของเขาอาจมืดบอดจนกระจกนี้ไม่สะท้อนสิ่งใดเลย เมื่อวันใดเจ้าผิดใจกับเขาลองส่องมันก่อน…แล้วค่อยพิจารณาทุกสิ่งด้วยหัวใจที่สงบ"


หลินหยาก้มมองกระจกเงาในมือ แสงของมันสะท้อนเข้าตาเธอราวกับแฝงมนตราอ่อนโยน น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง "พี่ฉู่… ขอบคุณเจ้าค่ะที่มอบสิ่งนี้ให้ข้า" เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาหวานมีประกายแน่วแน่ "ตอนนี้ข้าไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลยเจ้าค่ะ…สักนิดเดียว"


ฉู่ ซ่วนจื่อยิ้มบาง ยกมือแตะไหล่นางเบา ๆ "ดีแล้ว…เพราะเจ้ามีคนที่ห่วงเจ้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข้า หรือคนอื่น ๆ" น้ำเสียงนั้นอบอุ่นราวสายลมปลายฤดูใบไม้ผลิ ขณะลมบ่ายพัดพลิ้วผ่านม่านโคมแดงของหอ นางพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่เหมือนซ่อนความนัย "เช่นนั้น…หากพรุ่งนี้เจ้าไปที่ยอดเขาหัวซานอีก ข้าคงได้พบเจ้า"


หลินหยากอดกระจกไว้แน่น ยิ้มหวานอย่างจริงใจ ดวงตาทอแสงแห่งความหวัง "ได้เจ้าค่ะ พี่ฉู่" ทั้งสองก้าวออกสู่ถนนสิบลี้ที่อาบด้วยแสงบ่ายทอง ความอบอุ่นของมิตรภาพและความสงบในใจหลินหยาเหมือนส่องประกายไปพร้อมกับแดดยามนั้น แสงที่บอกเธอว่าเธอไม่ได้เดินอยู่ลำพังเลย




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: จบสักกะที เหนื่อยยย


รางวัล: ปลดล็อคหัวใจ 2 ดวง [NPC-17] ฉู่ ซ่วนจื่อ

กระจกเงาแห่งปัญญา (สามารถมองเห็นความจริงในใจผู้อื่น)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 33081 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 33,081 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 33,081 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 33,081 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 33,081 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 26 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


กลิ่นกำยานผสมกลิ่นเหล้ารินรดทั่วโถงใหญ่ของหอว่านหงเหริน เสียงหัวเราะคึกคักของแขกผู้มาเยือนดังแข่งกับเสียงพิณและกลองที่เร่งจังหวะให้นางรำหมุนตัววาดลีลาอย่างงดงาม กลางความอลหม่านนั้น หลินหยาในคราบเสี่ยวหนานแทบถอนหายใจทุกก้าวที่เดินเข้าไปในความวุ่นวาย ถาดอาหารในมือหนักจนข้อมือชา แขกแต่ละโต๊ะกวักมือเรียกจนนางแทบวิ่งไม่ทัน “สาวใช้! เหล้าที่นี่หมดแล้ว!” 


“ข้าอยากได้กับแกล้มเพิ่ม!” เสียงเรียกดังมาจากแทบทุกมุม หลินหยารับคำสั่งแบบปากแห้ง มือก็จัดการอย่างว่องไว เดินเสิร์ฟเหล้าไปที่หนึ่ง วางอาหารอีกที่หนึ่ง กลับหลังหันก็ต้องยกถาดใหม่ไปอีกโต๊ะ


อะไรกันคืนนี้ แขกเยอะเกินไปหรือข้าเหนื่อยเกินไปกันแน่! นางสบถในใจพลางกัดฟันยิ้มสุภาพให้แขกทุกโต๊ะตามมารยาท แม้ดวงตาจะฉายแววเบื่อหน่ายชัดเจน


เมื่อเดินผ่านโต๊ะที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยง แขกบางคนถึงกับเกือบจะฟาดแขนมาชนถาดนาง “เฮ้ ระวังหน่อยสิเจ้า!” หลินหยาเบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะก้มหน้าเอ่ยเสียงเรียบ “โปรดระวังด้วยเจ้าค่ะ” แล้วก้าวต่อไปอย่างไม่สนใจสายตาล้อเลียน เสียงพิณเปลี่ยนทำนองเป็นเร็วขึ้น แขกโห่ร้องดังลั่น แต่นางกลับเหมือนอยู่ในโลกที่แยกออกไปเพราะงานเยอะเกินจนสมองเบลอไปหมด ร่างบางเคลื่อนไหวอย่างช่ำชองตามสัญชาตญาณ แม้ขาจะเริ่มเมื่อย มือเริ่มชา แต่หลินหยาก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไปโดยไม่บ่น แค่ผ่านคืนนี้ไปได้ก็พอ นางคิดขณะเดินไปอีกโต๊ะ วางจอกสุราลงแล้วแอบพ่นลมหายใจเหนื่อย ๆ เบา ๆ ก่อนจะฝืนยิ้มอีกรอบ ก้าวต่อไปสู่โต๊ะถัดไปอย่างไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ต่อค่ำคืนสุดอลหม่านนี้


เสียงบานประตูห้องพิเศษถูกเลื่อนเปิดออกช้า ๆ หลินหยาก้าวเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ แม้จะพยายามยืดหลังให้ดูปกติ แต่ใบหน้าซีดเซียวและรอยเหนื่อยล้าที่แผ่กระจายบนดวงตากลมโตนั้นก็ซ่อนจากสายตาใครไม่ได้เลย นางวางถาดอาหารลงอย่างระมัดระวัง มือสั่นน้อย ๆ ราวกับไร้เรี่ยวแรง เถียนเฟิงนั่งอยู่ในท่วงท่าสุขุมตามแบบฉบับของเขา พัดขนนกในมือขยับเบา ๆ แต่ดวงตาคมจับจ้องมาที่นางแทบจะทันทีที่ก้าวเข้ามา เขาไม่เอ่ยคำทักทายแต่สายตากลับกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วหยุดที่ใบหน้าซีดขาวนั้นนานกว่าปกติ


“แม่นาง…วันนี้เจ้าดู…แย่กว่าทุกครั้ง” น้ำเสียงเรียบเย็น แต่ฟังดี ๆ แฝงความเป็นห่วงที่เขาไม่ค่อยเปิดเผยนัก


หลินหยาขยับยิ้มจาง ๆ ส่งให้ “เหนื่อยนิดหน่อยเจ้าค่ะ แขกเยอะ…เกินไป” นางพูดพลางยักไหล่เล็กน้อยเหมือนไม่คิดจะบ่นมากกว่านี้แม้ขาจะสั่นเล็ก ๆ อยู่แล้วก็ตาม เถียนเฟิงวางพัดลงช้า ๆ ก่อนเอนกายเล็กน้อยมองนางด้วยแววตาที่ลึกเกินคาดเดา “เหนื่อยขนาดนี้ยังจะฝืนทำงาน? เจ้าต้องการอะไรนักหนา เงินอีกแล้วหรือ” เขากล่าวในน้ำเสียงเหมือนประชดแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใยที่แอบซ่อน


หลินหยายักคิ้วใส่แบบคนหมดแรงแต่ยังพอมีอารมณ์ขัน “ก็…ใช่สิ ข้าหิวเงิน ข้าเคยบอกท่านแล้วนี่เจ้าคะ” เสียงตอบเบาเหมือนแมวที่พยายามขู่ทั้งที่ตัวเองก็แทบจะฟุบลงไป


เถียนเฟิงถอนหายใจยาว ยกมือเรียกนางให้เข้ามาใกล้ “เข้ามานี่”


“อะไรอีกเล่าเจ้าคะ…” หลินหยาบ่นเบา ๆ แต่ก็ยอมก้าวเข้ามา เขามองเธอเงียบ ๆ ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นแตะข้อมือเล็กเบา ๆ ความเย็นจากมือเขาตัดกับความร้อนที่ผิวของนางที่ทำงานจนร่างกายอ่อนล้า “ไปพัก ไม่ต้องฝืน” เสียงเขาไม่ดัง แต่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้หลินหยาหยุดนิ่ง เถียนเฟิงกวาดสายตาไปยังอาหารที่นางเพิ่งวาง “ที่เหลือข้าจัดการเอง เจ้าไปนั่งที่มุมห้อง อย่าเถียง” หลินหยามองหน้าเขานานสองนานก่อนถอนหายใจยอมแพ้ “ก็ได้เจ้าค่ะ…” พูดพลางยิ้มอ่อน ๆ แล้วลากขาเล็ก ๆ ไปนั่งพักเงียบ ๆ ตรงมุมห้อง ท่ามกลางสายตาคมที่ยังคงจับตามองนางทุกจังหวะของลมหายใจ


หลินหยาเอนตัวพิงผนังเย็น ๆ ของห้องพิเศษ ก่อนจะไถลลงไปนั่งกับพื้น มือเล็กเช็ดเหงื่อที่ซึมตามขมับ พลางพ่นลมหายใจยาวจนได้ยินชัด “โอย…วันนี้มันวันอะไรนะ ทำไมคนเยอะชิบหาย…วันที่ยี่สิบหกเดือนหกงั้นหรือ เห็นเลขหกก็ต้องฉลองกันหรือไง หืม?” นางบ่นพึมพำเหมือนคนหมดแรง เสียงพัดของใครบางคนดังขึ้นช้า ๆ เถียนเฟิงนั่งอยู่บนเบาะด้านใน พัดขนนกเคลื่อนไปมาอย่างใจเย็น แววตาคมปรายมองหญิงสาวที่นอนแผ่ราบบนพื้นอย่างหมดสภาพ “วันนี้มีการแสดงพิเศษ แขกก็เลยมากกว่าปกติ” น้ำเสียงของเขาราบเรียบเหมือนทุกที แต่แฝงความสังเกตว่าหลินหยาซีดกว่าปกติ


“อ้อ…แบบนี้นี่เอง” หลินหยาตอบเสียงอืดอาด ไม่แม้จะเงยหน้า นางขยับตัวคลานไปหามุมเย็น ๆ เพิ่มอีกนิด ก่อนจะทิ้งตัวนอนราบลงกับพื้นไม้ที่ขัดสะอาดราวกับไม่สนใจว่ากำลังอยู่ต่อหน้าใคร


เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อยกับสภาพไม่รักษาภาพลักษณ์นั้น เขาก้าวช้า ๆ มาหยุดใกล้ร่างเล็กที่นอนแผ่เหมือนแมวหมดแรง มองจากบนลงล่างด้วยสายตานิ่งสนิท “เจ้าทำตัวเหมือนห้องนี้เป็นของตัวเองจริง ๆ” หลินหยาหันหน้ามองเขาแบบเบื่อโลก ดวงตาเหมือนจะบอกว่า แล้วไงเล่า ก่อนตอบสั้น ๆ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว จะให้ยิ้มสวย ๆ เหมือนนางรำข้างล่างคงไม่ไหวหรอกนะท่าน”


เถียนเฟิงหัวเราะเบาในลำคอ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแต่รอยยิ้มจางที่ยากจะเห็นแวบขึ้น เขาก้มตัวเล็กน้อย ดวงตาคมสบกับนางตรง ๆ “ถ้าข้าบอกให้เจ้าเลิกทำงานคืนนี้ จะลุกขึ้นตามคำสั่งหรือจะนอนแผ่ต่อ?”


“นอนแผ่ต่อแน่นอนเข้าค่ะ” หลินหยาตอบทันทีแบบไม่คิด เสียงติดง่วง ๆ ทำเอาเถียนเฟิงส่ายหัวน้อย ๆ อย่างจนคำ เขาย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ เอาพัดแตะหน้าผากนางเบา ๆ คล้ายคนเช็กอาการ “เจ้าตัวซีดเกินไปแล้ว เสี่ยวหนาน…ลุกเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไปพัก” หลินหยาหัวเราะแห้ง ๆ หลับตาลงแต่ยกมือขึ้นโบกไปมา “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้านั่งพักแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลุกได้แล้ว…ข้าถือว่าได้พักฟรีหนึ่งรอบเพราะแขกห้องพิเศษใจดีไม่ไล่”


เถียนเฟิงมองนางนิ่ง ดวงตาคมลึกเกินกว่าจะอ่านออก ก่อนพึมพำเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเอง “สหายเช่นเจ้า…น่าจับตามองเกินไปจริง ๆ”


หลินหยายังคงนอนแผ่กับพื้นไม้เย็น ๆ มือหนึ่งก่ายหน้าผากอย่างคนหมดแรง ดวงตาเหลือบมองเถียนเฟิงที่นั่งพัดขนนกอยู่ใกล้ ๆ เสียงของนางอืดอาดแต่ยังแฝงแววขี้เล่น “ท่านรู้ไหม ข้าทำงานจนแทบสายตัวขาดแล้วนะ แต่ก็ยังไม่พอจ่ายของที่อยากได้เลย” เถียนเฟิงหันพัดช้า ๆ มองนางด้วยคิ้วที่ยกขึ้นเล็กน้อย “ของที่ว่า…เจ้าหมายถึงค่าเช่าร้านหรือ?” หลินหยาหัวเราะหึในลำคอ มุมปากยกน้อย ๆ “ค่าเช่าร้านน่ะจ่ายได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าอยากได้วัตถุดิบเข้าร้านด้วย แล้วก็หินอัฟเกรด…ท่านรู้จักไหม หินล้ำค่าที่ใช้เสริมพลังอาวุธน่ะ”


“หินอัปเกรด?” เถียนเฟิงเอียงศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่ชัดเจนว่าเขารู้จักดี “ของหายาก ราคาคงสูงไม่น้อย”


“โหหห สูงบ้าเลือดเลยต่างหากเจ้าค่ะ” หลินหยาบ่น มืออีกข้างชูขึ้นแล้วร่วงลงมาบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง “ที่ขบวนคหบดีลู่ขายอยู่ ราคา 86 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน ต่อหนึ่งก้อน…ถ้าอยากได้สามก้อนต้องมี 258 ตำลึงทอง 21 ตำลึงเงินนะท่าน” ดวงตาคมของเถียนเฟิงเหลือบมองหญิงสาวที่ยังนอนพึมพำไม่หยุด คล้ายเด็กขี้งอนที่บ่นกับผู้ใหญ่ เขาพูดเรียบ ๆ “เจ้ากำลังบ่น หรือกำลังอ้อนขอข้าอยู่กันแน่?” หลินหยาหันหน้ามองเขา ดวงตาเหมือนจะบอกว่า ฝันไปเถอะ ก่อนตอบเสียงเนือย ๆ “ข้าแค่พูดเฉย ๆ ท่านอย่าคิดไปไกล ข้าหิวเงินก็จริง…แต่ไม่ได้อ้อนใครหรอกนะ”


เถียนเฟิงหลุบตาลงเล็กน้อย แววตาคมกระจ่างดั่งรอยยิ้มที่แทบไม่ปรากฏบนริมฝีปาก “หึ…เจ้ามันช่างปากเก่งจริง ๆ เสี่ยวหนาน”


“ข้าเก่งทั้งปากทั้งใจแหละเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบกลับทั้งที่ยังนอนแผ่ มือปัดพัดของเถียนเฟิงเล่นเล็กน้อยแล้วหลับตาเหมือนกำลังจะงีบ “ไว้ข้าเก็บเงินได้เอง ข้าจะซื้อจนได้แหละ…ถึงมันจะทำให้ข้าต้องทำงานจนสายตัวแทบแตกอีกก็ตาม” เถียนเฟิงจ้องมองเงาร่างเล็กบนพื้นนิ่ง ๆ แววตาซ่อนความคิดบางอย่างที่ไม่พูดออกมา ก่อนจะพัดขนนกช้า ๆ ส่งลมเย็นไปยังคนที่หมดแรงอยู่ข้างกาย นางบอกว่าไม่อ้อน…แต่ในหูของข้า มันช่างเหมือนคำอ้อนที่คมยิ่งกว่ามีดเสียอีก


เถียนเฟิงมองภาพหญิงสาวที่นอนแผ่กับพื้นเย็น ๆ ราวกับแมวที่หมดแรง ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เขาเพิ่งจะเอ่ยปากเรียกชื่อ หลินหยา เสียงยังไม่ทันลอดพ้นริมฝีปากเต็มประโยค นางก็หลับไปเสียแล้วอย่างง่ายดาย ริมฝีปากของเขายกยิ้มบาง ๆ คล้ายขำ คล้ายเอ็นดู “เจ้ามันช่างไม่เกรงใจสถานที่จริง ๆ” เสียงนั้นเบาเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับเสียงดนตรีที่เล็ดลอดมาจากเวทีข้างนอก เขาก้าวเข้ามาใกล้ ก้มตัวลงมองใบหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่กลับดูสงบอย่างประหลาดยามหลับ เถียนเฟิงใช้พัดขนนกในมือโบกเบา ๆ ไล่ความร้อนรอบตัวนาง เส้นผมสีน้ำตาลดำพลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ๆ เขาหยุดมองชั่วครู่…ในความสงบนี้ เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นพลังแปลกประหลาดในตัวนางที่ยังคงเต้นเร้นอยู่เงียบ ๆ


“เสี่ยวหนาน…หรือควรจะเรียกเจ้าว่าหลินหยาดีนะ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ น้ำเสียงเจือความอบอุ่นที่มักซ่อนเร้นไว้ภายใต้ความเย็นชาเสมอ ก่อนจะก้าวถอยออกไปเรียกบ่าวสาวในหอให้เอาผ้ามารองใต้ตัวนาง เมื่อบ่าวสาวเข้ามาจัดแจง เถียนเฟิงสั่งเสียงเรียบ “อย่าไปปลุกนาง ให้หลับไปเช่นนั้นจนกว่าตื่นเอง” เขาหันหลังเดินกลับไปนั่งที่เดิม พัดขนนกสะบัดเบา ๆ ในมือ ขณะที่สายตาคมยังเหลือบมองเงาร่างเล็กบนพื้นอยู่ไม่ห่าง แม้หลับยังทำให้ข้าวางหมากอื่นต่อไม่ได้…เจ้ามันตัวป่วนจริง ๆ หลินหยา


แต่แล้ว….


เสียงร้องแหลมเล็กของหลินหยาแทรกขึ้นกลางความเงียบของห้องพักพิเศษ "อ๊าคคค เจ็บโว้ยยยย!" ร่างบางที่ยังนอนแผ่อยู่เมื่อครู่สะดุ้งเฮือก ขาข้างหนึ่งชี้เกร็ง ใบหน้าซีดเผือดเหงื่อผุดขึ้นเต็มขมับเพราะความเจ็บปวดรุนแรงที่แล่นขึ้นมาตามน่อง เธอกัดฟันแน่น มือเล็กกำชายกระโปรงตัวเองไว้แน่น พยายามจะยืดขาแต่กลับเกร็งจนตัวสั่น นางนอนกลิ้งไปมากับพื้นไม้เย็น ๆ เสียงหอบถี่กระทบลำคอแผ่ว "โอ๊ยยย...เจ็บจะตายแล้ว!"


เถียนเฟิงที่นั่งพิงพนักอยู่ข้างในห้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นภาพนั้น ดวงตาคมวาบขึ้นทันที ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างเงียบงัน เขาก้าวช้า ๆ เข้ามาหา ภายใต้แสงตะเกียงสลัว ร่างของหลินหยาที่นอนบิดตัวดูน่าสงสารเกินกว่าจะมองข้าม เส้นผมกระจายเลอะพื้น ผิวแก้มขึ้นสีซีดเพราะความเจ็บ "เจ้า…" น้ำเสียงของเขาเรียบสนิท แต่มีความระอาปนขำเจือจางที่เจ้าตัวเองก็เก็บไม่มิด “นอนยังไงถึงได้ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้”


หลินหยาเบิกตา น้ำใส ๆ คลอเบ้า กัดฟันตะโกนกลับ "โอ้ยท่านนน อย่ามัวพูด…มาช่วยดิเจ้าคะ! ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว!!" 


เถียนเฟิงย่อกายลงนั่งยองใกล้ร่างน้อย มือใหญ่สอดประคองข้อเท้าเล็กที่เกร็งค้าง เขาไม่พูดพร่ำสอนอะไรอีก เพียงออกแรงพอดีดันปลายเท้าเข้าหาตัวเธอเพื่อคลายเกร็ง ขณะเดียวกันอีกมือก็กดนวดเบา ๆ ตรงน่องที่แข็งราวหิน เสียงหอบของหลินหยาสั่นพร่า มือเล็กเผลอกำแขนเสื้อของเขาไว้แน่น "โอ๊ยย…เบา ๆ สิ! เจ็บนะ!"


“นิ่ง ๆ อย่าดิ้น ไม่งั้นเจ้าจะเจ็บกว่าเดิม” เสียงของเถียนเฟิงนิ่งสนิท แต่แฝงน้ำเสียงสั่งการที่ไม่อาจขัดได้ นางกัดฟันแน่นดวงตาเริ่มมีน้ำคลอเพราะความเจ็บแต่ก็พยายามอดทน ผ่านไปครู่หนึ่งอาการเกร็งค่อย ๆ คลายลง ความปวดรุนแรงแผ่วเบาลงเป็นความอุ่นจากฝ่ามือที่ยังนวดให้ไม่หยุด เมื่อมั่นใจว่าอาการดีขึ้น เถียนเฟิงจึงค่อย ๆ ปล่อยขาของนางแล้วลุกขึ้น มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามันสตรีที่น่าสงสารและน่าปวดหัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ…” เมื่ออาการดีขึ้น เขาจึงปล่อยข้อเท้านางแล้วลุกขึ้น “หึ…ไม่มีความเป็นสตรีงามต่อหน้าข้าเลยสักครั้ง”


หลินหยาเงยหน้ามองเขาในท่าที่นอนกองอยู่กับพื้น ริมฝีปากยู่ตอบกลับ “สตรีงามอะไรล่ะ! ตอนขาเป็นตะคริวใครมันจะไปงามได้กัน!”


เถียนเฟิงหัวเราะเบาในลำคอ ส่ายศีรษะเหมือนระอาในความดื้อ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเย็น “พักเถอะ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าล้มกลิ้งกลางหอว่านหงเหรินอีก” แล้วจึงหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะ ปล่อยให้หลินหยานอนอู้อีกครู่พร้อมบ่นงึมงำ “ก็เพราะท่านแหละ…ทำข้าลุกไม่ขึ้น…” หลินหยายังนั่งอยู่กับพื้น มือน้อยกุมข้อเท้าที่ปวดเกร็ง ใบหน้าซีดเผือดแต่ดวงตายังพยายามมองเถียนเฟิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย เสียงทุ้มเอ่ยเนิบแต่เต็มไปด้วยความกดดันแฝงความห่วงใย “หากเขาทำให้เจ้าลุกไม่ขึ้น เช่นนี้ข้าอุ้มกลับได้หรือไม่?” น้ำเสียงเหมือนครึ่งหยอก ครึ่งจริงจัง


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาตกใจนิด ๆ ก่อนจะรีบส่ายหัวแรง “อย่าเลย! ห้ามทำเด็ดขาดนะเจ้าคะ” เธอหอบหายใจเล็กน้อยแล้วเบ้ปากบ่นต่อ “ข้าไม่อยากโดนหึงหวงอีกแล้ว เหนื่อยจะตายเวลาเจอคนขี้หึงเนี้ย” คำพูดนั้นทำให้เถียนเฟิงเลิกคิ้ว ขยับพัดในมืออย่างเชื่องช้าแล้วกรอกตาไปด้านข้างอย่างคนที่พยายามกลั้นทั้งรอยยิ้มและความไม่พอใจ “คนที่เจ้าชอบ…ถึงกับหึงแม้กระทั่งเพื่อน?” เสียงเขาเนิบแต่แฝงความเย้ยบาง ๆ


หลินหยาเงยหน้าขึ้น กระพริบตาแล้วเบ้ปาก “ใช่เจ้าค่ะ…จริงจัด ๆ เขาขี้หึงหนักมาก ขนาดเพื่อนยังหึงเลยนะ ข้าเหนื่อยจะตายเวลาต้องอธิบายทุกอย่าง…” เสียงนางแผ่วลงราวบ่นกับตัวเอง


เถียนเฟิงกรอกตาอย่างเห็นได้ชัด พัดขนนกในมือสะบัดเบา ๆ ราวจะไล่ความขุ่นเคืองที่ไม่จำเป็นออกไป “บุรุษที่หึงแม้กระทั่งเงาเพื่อนเจ้าหรือ…น่าสมเพชหรือควรอิจฉาดี” เขาเอ่ยช้า ๆ ก่อนจะหัวเราะแผ่วเหมือนกับคิดอะไรบางอย่าง “ข้าไม่รู้ว่าบุรุษคนนั้นเป็นใคร แต่ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมเจ้าถึงยังชอบเขาได้ ทั้งที่เจ้าก็ดื้อพอตัว” หลินหยายักไหล่เล็ก ๆ ราวไม่อยากตอบอะไรให้มากกว่าเดิม “ไม่รู้สิ…ข้าก็แค่ชอบ เขาน่ากลัวก็จริง แต่ก็เป็นเขาแบบนั้นแหละ ข้าเลือกแล้วนี่” นางพูดจบก็ถอนหายใจเหมือนเหนื่อยจะอธิบาย


เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ รอยยิ้มที่มุมปากผุดขึ้นราวกับเย้ยหยันทั้งบุรุษที่หลินหยาหมายถึง และเย้ยความดื้อดึงของนางเอง “เจ้านี่…เลือกทางที่ลำบากเสมอจริง ๆ” เขาพูดพลางมองนางด้วยสายตาลึกซึ้งที่อ่านยาก ก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ และยื่นมือมาโบกเบา ๆ “ลุกไหวก็ลุกเถอะ ข้าไม่อุ้มก็ได้…แต่เจ้าต้องพยุงตัวเองกลับไปให้ได้ เข้าใจหรือไม่ เสี่ยวหนาน?” หญิงสาวแอบหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ยังปวดเท้า ยกมือโบกไล่เขากลับ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านสหาย…ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย"




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คิดไม่ออกแล้วล่ะมายเฟรน เราเหนื่อย ทำงานเยอะ


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน

+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

หัวใจเถียนเฟิง 9.999 ดวงแล้วพร้อมปลด 10 ดวง  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 64609 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 64,609 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 64,609 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 3 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้