
วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอว่านหงเหริน (พบ จางกงกง)
ในค่ำคืนเงียบสงัดของตำหนักจงฉางชื่อเมื่อคืนก่อน แสงเทียนเล่มยาวสว่างไหววูบตามแรงลมจากหน้าต่างบานใหญ่ เสียงพู่กันที่ลากเป็นเส้นสลับหนักเบาบนกระดาษง่วนไม่หยุดเป็นจังหวะเนิบนาบของผู้ที่ไม่เคยยอมหยุดนิ่ง แม้ในยามพักใจหรือยามที่โลกกำลังปั่นป่วน จางกงกงในอาภรณ์ยาวสีเข้มยังคงนั่งตัวตรงอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มือขวาขยับพู่กันลื่นไหลราวหยอกล้อกับบทบัญญัติของแคว้นฮั่น ส่วนมือซ้ายวางทับหน้าจดหมายลับฉบับหนึ่งที่เพิ่งรับมอบไว้เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน
เงาเงียบของขันทีหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาอย่างเคารพ ร่างกายของเขาโค้งต่ำแทบแตะพื้น “นายท่าน…มีข่าวเร่งด่วนเกี่ยวกับบุคคลที่นายท่านให้ติดตามขอรับ” ปลายพู่กันที่เคลื่อนอย่างเสถียรสะดุดเพียงชั่วขณะ แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดจากจางกงกง ราวกับเขาไม่ได้ยินสิ่งใดเลยในห้วงเวลานั้น
“หวยหนานหวาง…ทูลขอแม่นางหนานหลินหยาว่าแต่งงาน ที่สะพานเฉียวฮวาซื่อ ทางใต้ของทะเลสาบเยว่ปิงเหอขอรับ…”
เสียงรายงานพลันชะงักลงทันทีเพราะขันทีผู้นั้นรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังพ่นจากปากอาจนำพาไปสู่การถูกเด็ดหัวได้ทันทีถ้าความอดทนของบุรุษเบื้องหน้า…พังลง
แสงเทียนสะท้อนเงาใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งซีกนั้นยามไม่มีก็เห็นใบหน้าของจางกงกงที่แท้จริงไม่ใช่ห่าวหมิงเมื่อครั้งเขาออกไปข้างนอก แววตาคมดุใต้ขนตายาวขยับเพียงน้อย ทว่าประกายในแววตานั้นกลับเปลี่ยนเป็นดำสนิท ปานจะกลืนแสงทั้งหมดในห้องเข้าไปในปล่องอสูรภายใน ม่านตาคู่นั้นเหมือนจะมี ‘เปลวเพลิงทมิฬ’ กำลังไหวกระเพื่อม เปลวเพลิงที่ไม่ได้ลุกโชนด้วยโทสะธรรมดาแต่เป็น ‘ความเดือดดาล’ ที่ถูกจุดขึ้นจากก้นบึ้งของวิญญาณอันบิดเบี้ยวและแหลกสลายของผู้ซึ่งไม่เคยมี ‘ของรัก’ มาก่อนตลอดชีวิต
หลินหยาคือสิ่งเดียวที่เขาเลือกเอง…คือสิ่งเดียวที่เขาเฝ้าดู เลี้ยงดู แทรกแซง ลากนางเข้ามาในวงล้อมแห่งพันธนาการด้วยมือตนเองทีละน้อยคือ ‘ชิ้นส่วน’ ที่เขาฝังไว้อย่างลึกล้ำที่สุดภายใต้กระโหลกและใจ หากนางจะเป็นของใคร…ก็ควรเป็นของเขาเท่านั้น
ใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นคล้ายคนหมดสิ้นอารมณ์ บัดนี้กลับคล้ายแว่นตาใสที่แตกร้าวไม่มีชิ้นดี แม้ริมฝีปากจะยังไม่ไหวขยับเอ่ยคำใด แต่ลมหายใจที่หนักลึกและขาดช่วงก็บ่งบอกชัดเจนว่าเลือดในกายเขากำลังเดือดพล่านราวลาวา ความเงียบที่เคยใช้เป็นเกราะกำลังถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงแค้นและความ ‘อยากครอบครอง’
ใช่…มันไม่ใช่แค่การ ‘ขอแต่งงาน’ แต่สำหรับจางกงกงนั่นคือการ ‘ล่วงละเมิด’ ชัดเจนที่สุด คือการ ‘ขโมย’ ทรัพย์สินของเขาไปอย่างอุกอาจ
แม้ว่าตอนนี้จะรู้ว่านายท่านของตนเองกำลังเยือกเย็นแต่ภายในอารมณ์คุกกรุนอยู่ไม่น้อย แต่คนของจางกงกงก็ยังคงแจ้งเรื่องให้ชัดเจน “ข้าไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นขอรับ แต่แม่นางหลินหยาร้องไห้หนักในอ้อมแขนของหวยหนานหวาง ก่อนที่จะกลับไปและถูกอุ้มกลับไปพักยังเรือนที่ถนนสิบลี้” เสียงคำรายงานนั้นอาจจะแผ่ว แต่กลับดังก้องในหัวของจางกงกงประหนึ่งเสียงระเบิดในใจ แววตาคมลึกลุกวาบขึ้นด้วยแสงวาวคล้ายเหล็กกล้าแตะเปลวเพลิง ความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นในทันใด มันไม่ใช่เพียงความขุ่นเคืองธรรมดา หากแต่เป็นไฟแห่งการครอบครองที่ถูกท้าทายอย่างเงียบงัน
“อุ้ม?...อ้อมแขน?” เขาทวนคำในใจพลางปล่อยลมหายใจผ่านไรฟัน ความเย็นจัดแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณรอบกาย จนผู้ที่เข้ามารายงานที่อยู่ใกล้พลอยเหงื่อผุดซึมทั้งที่อากาศมิได้ร้อนเลยสักนิด ยิ่งรู้ว่าหวยหนานหวาง ‘อุ้มและกอด’ หลินหยาไปส่งที่บ้านพัก ความรู้สึกขยะแขยงปนคลั่งก็ทะลักออกมา จิตใจของจางกงกงดำดิ่งสู่ห้วงของความรังเกียจชิงชัง ใครก็ไม่ควรแตะต้องเธอ โดยเฉพาะชายอื่น มือสกปรกของมันกล้ามาแปดเปื้อนกายของนางได้อย่างไร เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวของเขาอย่างบ้าคลั่ง
มือที่ประสานอยู่บัดนี้กำแน่นเสียจนเส้นเลือดปรากฏชัด เสียงลมหายใจที่หนักหน่วงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาเพียงน้อยนิด แม้ใบหน้าจะสงบนิ่งไร้อารมณ์ราวรูปสลักหยก แต่สายตานั้น...ไม่ใช่เพียงการจับจ้องอย่างธรรมดา หากเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่กดทับไว้จนแทบระเบิด ความรู้สึกราวกับถูกชิงสิ่งสำคัญที่สุดไปต่อหน้าต่อตาทั้งที่เขาเป็นผู้วางหมากทั้งหมดนี้ไว้เอง
จะปล่อยให้มือของบุรุษอื่น...แนบชิดกับนางง่ายดายนักหรือ?
ไม่มีทาง
เขาเป็นจงฉางชื่อแห่งวังหลวงไม่ใช่เงาร่างให้ใครข้ามผ่านโดยไม่ชำเลืองมอง สิ่งใดที่เขาแตะต้องแล้ว ต่อให้เป็นบุปผาชูช่อในฤดูวสันต์ก็ไม่มีสิทธิ์ไปเบ่งบานในสวนของใครอื่นได้อีก
…..
……….
ยามเซินแสงอาทิตย์ลอดม่านฝนลงมาทีละริ้ว ขับให้ภาพถนนสิบลี้หม่นซึมเยี่ยงภาพวาดหมึกที่โดนหยาดน้ำลบเลือน หลินหยาก้าวเท้าช้า ๆ ลากเสียงหยดน้ำตามฝีเท้าลงบนพื้นทางหิน เธอเพิ่งเดินออกจากศาลาจื่อเถิงฮวาได้ไม่ทันไร ฝนก็ไล่ตามลงมาไม่ปรานี เสื้อคลุมบางชุ่มแนบเนื้อจนร่างเล็กสั่นน้อย ๆ คล้ายลูกแมวเปียกที่เพิ่งหลุดออกจากอ่างไม้ เธอหอบจดหมายปักตราพิเศษในมือ แนบอกแน่นด้วยหัวใจที่ทั้งหน่ายระคนระแวง “ให้ตายเถอะ…จะอะไรอีกล่ะคราวนี้” หลินหยาพึมพำกับตัวเองขณะก้าวเข้ามายังหอว่านหงเหริน ประตูบานใหญ่ของห้องพักพิเศษฝั่งตะวันตกถูกเปิดออกโดยไม่ต้องให้ใครมาเชื้อเชิญ นางยกมือเคาะเบา ๆ แค่พอเป็นพิธี ก่อนจะผลักเข้าไปโดยไม่รอเสียงตอบรับ เพราะน้ำจากผมและชายเสื้อไหลย้อยลงตามคางจนเริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไป
ภายในห้องเงียบงัน เย็นยะเยือก แม้จะไม่มีไอฝน แต่กลับมีความกดดันประหลาดปกคลุมอยู่เต็มทุกตารางฉื่อ เธอกวาดสายตาหาเจ้าของจดหมายก่อนจะสบตาเข้ากับบุรุษในชุดคลุมขาว หน้ากากเงินที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือหนึ่งค่อย ๆ วางพู่กันลง อีกมือประสานเข้าหลังหลัง ดวงตาคมดุใต้หน้ากากไม่กระพริบขณะจ้องมองเธอจากหัวจรดเท้า...จนถึงตรงหัวใจ นัยน์ตาของเขาเหมือนมีบางอย่างที่กำลังสั่นไหวอยู่ภายใน คล้ายเปลวไฟที่ซุกซ่อนอยู่ใต้เถ้าถ่าน รอเวลาเพียงน้อยนิดก็พร้อมจะโหมกระพือขึ้นอย่างดุร้าย แต่เงียบ...เงียบเสียจนไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
“เจ้าตัวเปียก...เหมือนแมวพึ่งโดนจับอาบน้ำนักเสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำกล่าวเรียบ ๆ ดั่งจะเย้ยเยาะ แต่กลับแฝงอะไรบางอย่างที่ยากจะตีความได้ชัดเจน ทั้งขำขัน ทั้งเวทนา และ...คล้ายแววหงุดหงิดบางอย่างแผ่วเบาในน้ำเสียง
หลินหยาชะงักตอนที่ได้ยินเหลือบมองตัวเองก่อนจะขมวดคิ้ว บ่นอุบอิบ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาในสภาพนี้หรอก ท่านเล่นเขียนจดหมายปุบปับ ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตก...แล้วก็ดันไม่ให้รอด้วยสิ”
เธอเดินเข้ามาชิดกว่าเดิมคิ้วเลิกขึ้นน้อย ๆ ก่อนพูดต่อ “นี่...ข้ามาแล้วนะ ถ้าท่านจะเรียกมาแค่เพื่อหัวเราะสภาพข้า งั้นข้ากลับล่ะ” พูดจบยังไม่ทันหมุนตัวเต็มแรง เสียงไม้ขยับก็ดังขึ้นช้า ๆ ก่อนที่ร่างสูงในชุดคลุมจะก้าวเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง มือหนึ่งยื่นมาคว้าเอวหลินหยาไว้อย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น “อย่าพึ่งไป”
คำพูดเบากระซิบที่ข้างหู แผ่วเสียจนคล้ายลมหายใจ...แต่แฝงไว้ด้วยแรงดึงดูดราวเวทมนตร์ ร่างเล็กชะงักค้างอย่างไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตหรี่ลงนิดขณะสบสายตาที่แม้จะซ่อนอยู่หลังหน้ากากครึ่งซีก แต่ก็ร้อนระอุพอจะทำให้ใจของคนมองสะท้าน “วันนี้...เจ้าต้องอยู่ฟังสิ่งที่ข้า ‘เก็บ’ มาตลอดคืน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่คำว่าเก็บนั้นเปี่ยมด้วยรสของบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา คล้ายความโกรธขึงถูกแช่เย็นไว้จนแข็งตัว แล้วพร้อมจะแทงกลับเมื่อมีโอกาส
หลินหยากลืนน้ำลายก่อนจะยกมือแตะแขนอีกคนเบา ๆ “แล้ว...มันเรื่องอะไรหรือ?” เธอพยายามฝืนยิ้มแห้ง “อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ข้าไปเจอกับท่านหลิวอันน่ะ?...” จางกงกงยังคงนิ่ง แต่เพียงแววตาใต้หน้ากากเท่านั้นที่เปลี่ยน มันไม่ใช่เพียงแค่ไม่พอใจอีกต่อไปแต่มันคือการกักเก็บบางสิ่งไว้เนิ่นนานจนล้นทะลัก
“ก็ใช่...” เขาพยักหน้าช้า ๆ “แล้วก็เรื่องที่ ‘เขา’ กล้าอุ้มเจ้าในอ้อมแขน” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย กระซิบชิดแก้มจนเสียงแผ่วกระทบหูอย่างจงใจ “มือของผู้อื่น...ไม่ควรแตะต้องของของข้า ไม่ว่าจะในหรือนอกฝัน เจ้าคิดว่า...ข้าจะปล่อยผ่านหรือเสี่ยวหยา?” เสียงแผ่วเบาแต่แหลมลึกปักเข้าใจกลางอกอย่างจัง หลินหยากลืนน้ำลายอีกครั้งหนึ่งยกมือขึ้นผลักอกเขาเบา ๆ “ท่าน...ก็คิดเกินเลยไปละ ข้าไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจให้อะไรแบบนั้นเกิดขึ้นนะ”
“งั้นหรอ?” จางกงกงว่าเบา ๆ ก่อนจะโอบผ้าคลุมแห้งมาคลุมให้นางอย่างประหลาดใจ ราวกับจะแสดงว่าเขา...ทั้งโมโหและทั้งห่วง พร้อมกันในคราวเดียว แววตานั้นเย็นชาราวเหล็กกล้าในนาทีแรก แต่กลับอบอุ่นเสียจนเผาใจในนาทีถัดมา จางกงกงผู้ไม่เคยเปิดเผยความคิดอย่างตรงไปตรงมา แต่ทุกการกระทำล้วนเป็นเสี้ยวหนึ่งของความบิดเบี้ยวที่กำลังจะโอบรัดหัวใจใครบางคนให้แน่นยิ่งขึ้นทุกขณะ
หลินหยายืนอยู่กลางห้อง เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงเมื่อสาวใช้ของหอนำกล่องผ้าเรียบหรูเข้ามาวางลงบนโต๊ะไม้ต่ำ ร่างเล็กยังอยู่ในสภาพเปียกโชกเสื้อคลุมบางแนบไปตามร่างจนเห็นสัดส่วนอย่างน่าเวทนา เธอขมวดคิ้วรู้สึกอึดอัดไปหมด เสื้อผ้าเปียก น้ำฝนไหลเย็นเฉียบตามแผ่นหลังลงไปถึงเอว แต่กลับยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะละสายตาไปจากนางเลยแม้แต่น้อย
"นำเสื้อผ้ามาแล้วเจ้าค่ะใต้เท้า" สาวใช้น้อยค้อมตัวกล่าวเบา ๆ พลางเหลือบตาไปมองหลินหยาที่กำลังพยายามห่อไหล่ตนเองเพื่อให้พ้นจากสายลมที่พัดลอดหน้าต่างเข้ามาก่อนที่นางจะเร่งจากไปอย่างทันทีไม่อยู่ตรงนี้นาน จางกงกงเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาภายใต้หน้ากากยังคงจับจ้องราวกับกำลังวัดอารมณ์ตัวเองอย่างที่สุด
“เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในที่สุด “จะได้ไม่เป็นหวัด”
หลินหยาเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูด เพียงแต่เดินไปยังโต๊ะไม้ หยิบกล่องผ้าขึ้นมา แล้วเปิดมันอย่างระแวดระวังแค่เห็นชั้นผ้าด้านบน นางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “...หืม?” ดวงตาคู่หวานเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลงทีละนิด ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เธอคีบผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู แล้วหันกลับไปมองจางกงกงที่นั่งไขว้ขาอย่างเงียบ ๆ ใต้แสงตะเกียงนิ่งเฉย ราวกับเป็นเพียงผู้ชมบนเวทีละคร ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“นี่...คือสิ่งที่ท่านให้นางเอามาให้ข้าหรือ?” หลินหยาพูดเสียงเบาแต่กดต่ำเต็มไปด้วยข้อหา เธอสะบัดผ้าในมือขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นชุดผ้าแพรบางเบาสีขาวหม่นปักลายเมฆพลิ้วที่ไม่ต่างจากชุดนางระบำยามต้องร่ายรำรับแขก ยิ่งดู ยิ่งไม่ต่างจากสิ่งที่นางเคยเห็นเหล่านางโลมบางคนสวมสมัยอยู่หอมากนัก แม้จะไม่โป๊เปลือยแต่ก็ชัดเจนว่า...ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดสายตาโดยเฉพาะ
จางกงกงไม่พูดอะไรเขายกถ้วยสุราขึ้นจิบ ราวกับว่าเสียงนางเป็นเพียงสายลมผ่านแก้ม ขณะดวงตาภายใต้หน้ากากยังมองนางอยู่ไม่ละไปแม้แต่น้อย “ชุดของเจ้าเปียกหมด ไม่มีเวลาหาชุดใหม่...” เขาพูดในที่สุดเสียงเรียบเย็นดังลอดหน้ากากเหมือนน้ำเย็นสาดลงบนเหล็กร้อน “หอว่านหงเหรินจะมีชุดแบบไหนให้เจ้าก็แล้วแต่ใจเจ้าคิด”
“อ้อ แล้วท่านก็ไม่คิดจะให้คนไปหาชุดปกติมาให้ข้าใช่ไหม ชุดสาวใช้ธรรมดาก็มีปะ” หลินหยาพึมพำก่อนจะถอนใจยาว “หรือจริง ๆ แล้วท่านก็จงใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” นางว่าพลางหยิบผ้าแพรขึ้นอีกชิ้น ก่อนจะบ่นงึมงำ “เนื้อผ้าดี...แต่มันบางเหมือนลมหายใจ”
“บางก็ดี จะได้แห้งไว” คำตอบของเขาทำให้หลินหยาเกือบจะปาเสื้อใส่หน้าอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น แต่เธอก็กลั้นไว้ สะบัดหน้าเดินไปอีกมุมของห้องหลังม่านที่พอจะกั้นสายตาได้บ้าง ดวงหน้าแดงเรื่อขึ้นด้วยทั้งความหนาวและความขัดใจปนกัน “ถ้าข้าเปลี่ยนออกมาแล้วหน้าท่านมีอาการอะไรแม้แต่นิดเดียว ข้าจะเอาไม้เสียบไก่ปิ้งจิ้มตาท่านให้บอดทั้งสองข้างเลยคอยดู!”
“เชิญ...” จางกงกงตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า แต่ในใจกลับกำลังนับวินาทีอย่างเยือกเย็นและใจเย็นที่สุดในรอบหลายวัน เขากำลังบีบคออารมณ์ของตัวเองให้แน่นยิ่งขึ้นเพียงเพื่อจะรอดูว่า เมื่อนางสวมชุดที่เขาเตรียมไว้แล้ว...ความอดทนของเขาจะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหนต่อสิ่งที่เขารับรู้เมื่อคืนวาน
ม่านผ้าสีอ่อนเคลื่อนไหวแผ่วเบา เมื่อเงาร่างเล็กก้าวพ้นออกมาในชุดแพรที่เกือบจะหลอมกลืนไปกับผิวเนียนขาว ราวกับเป็นหมอกบางของยามรุ่งอรุณที่ไม่มีอะไรปิดบัง แสงจากโคมกระทบเนื้อผ้า บิดไล้เส้นโค้งและสัดส่วนอย่างจงใจให้ต้องมองซ้ำ สายตาของจางกงกงจับนิ่งไม่กระพริบจากภาพนั้น ขณะจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าเหมือนถูกลืมไปสิ้น แม้ดวงหน้าภายใต้หน้ากากจะยังไร้แวว ทว่าดวงตาคู่นั้น...ไม่อาจปิดบังแรงอารมณ์ที่ร้อนระอุอยู่ภายในได้แม้แต่น้อย
หลินหยาหรี่ตาใส่เขาขยับชายผ้าแนบเอวแน่นขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ "ท่านมองอะไรนักหนา?" เสียงนั้นไม่ใช่คำด่าทอ แต่แฝงไว้ด้วยความระแวดระวังและความขัดเขินที่ไม่อาจปิดบังเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของเขาของ ‘เขาคนนี้’ ทำให้หลินหยาไม่เคยไว้ใจอะไรได้เลย จางกงกงไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงเอียงหน้าช้า ๆ เหมือนพินิจนางในทุกมุม เงียบงันจนน่าขนลุกก่อนเสียงเรียบนิ่งจะเอื้อนเอ่ย “เจ้าดูดี...ในแบบที่ใครก็ยากจะละสายตา”
“หืม? อันนี้ท่านชมเพื่อจะกัดใช่ไหม” หลินหยาว่าพลางถอยหลังเล็กน้อยแล้วกอดอกเล็กน้อย “รีบบอกข้ามาเถอะ เรียกมาทำไม?”
ชายหนุ่มยังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เสียงรองเท้าแตะพื้นไม้ดังก้องในความเงียบยิ่งตอกย้ำบรรยากาศอึดอัดระหว่างทั้งสอง เขาก้าวเข้ามาทีละก้าว สายตายังคงตรึงแน่นบนดวงหน้าที่แม้จะพยายามทำหน้าดุ แต่แววตากลับซ่อนร่องรอยเหนื่อยล้าและ...ความเศร้าเอาไว้ไม่มิด “เมื่อวาน...เจ้าไปร้องไห้ในอ้อมแขนของผู้ใดมา?” น้ำเสียงเขาเย็นยะเยือกแฝงคำถามอย่างแผ่วเบาแต่คล้ายใบมีดบาดลึก หลินหยาเบิกตากว้างชั่วขณะ หัวใจเต้นวูบก่อนจะหลบสายตาเขาทันที "ใครบอกท่านเรื่องนั้น..."
จางกงกงยิ้มมุมปากแม้มองไม่เห็นชัดหลังหน้ากาก "ไม่สำคัญหรอกว่าใครบอก สำคัญที่...มันเป็นความจริงใช่หรือไม่?"
“แล้วไงเล่า?” หลินหยาตอบทันทีโดยไม่คิด “มันไม่ใช่เรื่องของท่านสักหน่อยนี้” เพียงคำพูดนั้น จางกงกงก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอราวกับเงาทมิฬที่บดบังแสงทั้งหมดในห้อง มือล็อกที่ข้อมือบางของเธอด้วยแรงที่ไม่ถึงกับเจ็บ แต่หนักแน่นพอให้รู้ว่า...นางไม่มีทางหนี “ไม่ใช่เรื่องของข้า?” เสียงเขาเยียบเย็นลงทุกวินาที “เจ้าแน่ใจหรือว่าร่างของเจ้าที่ข้าจูบเมื่อวานก่อน...ไม่มีความหมายใดเลย?”
“ท่าน...” หลินหยากัดฟันแน่น ดวงตาฉายแววตึงเครียดและลังเลปะปน “ข้าแค่...เหนื่อย”
“เหนื่อยจนต้องร้องไห้ใส่อ้อมแขนของผู้อื่นน่ะหรือเสี่ยวหยา?” เขาโน้มหน้าเข้าใกล้คำพูดกระซิบชิดใบหู “หรือเพราะเขา ‘ขอเจ้าแต่งงาน’ เจ้าก็เลยคิดจะหนีข้าไปอย่างนั้นรึ?” หลินหยาเบิกตาโพล่งตอนที่ได้ยินแบบนั้นหน้าแดงซ่านทันที “ใครว่า…! ข้าไม่ได้ตอบตกลงด้วยซ้ำ!”
“แต่เจ้าก็ไม่ปฏิเสธทันที” จางกงกงแทรกทันที น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันอย่างเหี้ยมเกรียม "ข้าเฝ้ามองเจ้า...ตั้งแต่เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครอยู่เบื้องหลังหอว่านหงเหริน ข้าให้โอกาสเจ้าเล่นเป็นเบี้ยหมาก ให้น้ำให้ท่าให้อาหาร ทว่าเจ้า...กล้าจะหันไปยิ้มให้ชายอื่นหรือ?" น้ำเสียงเขาในตอนนี้...บิดเบี้ยว และเต็มไปด้วยไฟริษยาร้อนแรงจนหลินหยาเองยังไม่เคยเห็นมาก่อน “เจ้าจะพูดอะไรอีกเสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำคล้ายคำรำพึงมากกว่าคำถาม “หรือเจ้าจะยังโกหกตัวเองว่า...ข้าไม่สำคัญพอ?”
จางกงกงไม่ขยับแม้เพียงครึ่งก้าวไม่ใช่เพราะเขาไร้ความรู้สึก แต่เพราะเขารู้ดีว่าหากเพียงปล่อยให้ความคลั่งในอกได้ครอบงำแม้แต่วินาทีเดียว…บางสิ่งที่ไม่ควรเกิดอาจเกิดขึ้นจริง เขาไม่เชื่อใจมือของตนเอง ไม่เชื่อใจหัวใจบิดเบี้ยวที่กำลังเกรี้ยวกราดราวเปลวเพลิงทมิฬในห้องไร้แสง เขาเลือกที่จะยืนนิ่งประหนึ่งรูปสลักเงานิ่ง…แต่แหลมคม รอให้นางเป็นฝ่ายเอ่ย ราวกับวางกับดักแห่งความสงสัยให้หลินหยาเป็นผู้เลือกว่าจะเหยียบมันหรือไม่ และนาง…ก็เหยียบมันโดยเต็มใจ
หลินหยาพ่นลมหายใจพลางปัดเส้นผมเปียกที่ปรกใบหน้าออก “ข้าจะบอก” นางบอกแบบนั้นแล้วจางกงกงก็ยังไม่มั่นใจ หลินหยาจึงขยับมือเล็กหยิบไหสุราที่ตั้งบนโต๊ะมารินลงจอกราวกับจะย้อนเวลาให้กลับไปยังช่วงเวลาเก่าก่อน ดวงตาของนางไม่หลบซ่อน ไม่อ้อมค้อมเช่นเคย “ใช่ ท่านหลิวอันขอข้าแต่งงาน” เสียงแก้วกระทบกันแผ่วเบาเหมือนเสียงระฆังเตือนภัยในความเงียบงัน จางกงกงยังไม่พูดไม่มีการสะดุ้ง ขมวดคิ้วหรือกัดฟัน มีเพียงร่างสูงในชุดเข้มที่มองอย่างนิ่งลึก…ลึกเกินกว่าจะอ่านความคิดได้
หลินหยาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งแต่หนักแน่น “แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง” น้ำเสียงมั่นคงจนน่าประหลาดใจ “และข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที…เพราะข้าเห็นว่าเขาคือผู้มีพระคุณ ไม่ใช่แค่ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์แต่เป็นบุพการีคนที่สองของข้า ผู้เคยช่วยข้าหลายครั้งในวันที่โดนท่านทำลายจิตใจไม่มีชิ้นดี” นางเว้นวรรคเพื่อกลืนน้ำลาย…หรืออาจจะกลืนบางอย่างที่ตีขึ้นมาจากอก ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายเบา ๆ แต่ชัดเจน
“ข้าร้องไห้ เพราะข้าสงสารเขา” ดวงตาของหลินหยาเริ่มสั่นไหวในถ้อยประโยคสุดท้าย “ข้าต้องบอกเขาว่าหัวใจข้า…เป็นของคนอื่น”
ชั่วขณะหนึ่งทุกสรรพเสียงในห้องเงียบงันจนน่ากลัว แม้แต่เสียงลมหายใจก็เหมือนจะหยุดนิ่ง จางกงกงยังยืนนิ่งเช่นเดิม ราวกับรูปสลักของจอมปีศาจที่ไม่มีหัวใจ แต่ในดวงตานั้น…แววเพลิงคลั่งที่เคยลุกโชนกลับค่อย ๆ สงบลง มอดไปอย่างเชื่องช้า แต่ไม่ใช่ความสงบของผู้ยินดี ไม่ใช่การคลายใจของคนรักมันคือความสงบของผู้ล่าที่เพิ่งเห็นเหยื่อยอมกลับมาเข้ากรงเอง
ริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขาค่อย ๆ คลายออกทีละน้อย ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นเยียบขึ้นบนใบหน้าไม่ใช่รอยยิ้มที่งดงามหรืออบอุ่นหากแต่เป็นรอยยิ้มของความ ‘ยืนยัน’ เป็นรอยยิ้มของผู้ที่ได้ชัย ราวกับเกมหมากที่เขาวางมือลงมาตั้งแต่ต้น ได้เดินมาถึงจุดที่อีกฝ่ายยอมรับโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นหมากในกระดาน “แน่นอน…” เสียงทุ้มแผ่วราวกับลมหนาวยามเหมันต์ “เจ้าก็ย่อมต้องเป็นของข้าอยู่แล้ว…อยู่ในกรงของข้าอยู่ใต้เงาของข้า อยู่ในลมหายใจและคำสั่งของข้า” เขายื่นมือออกไปรับจอกสุราจากมือนาง ดื่มมันเข้าไปในอึกเดียวก่อนวางลงอย่างแผ่วเบาริมฝีปากยังคงยิ้ม “ข้าจะไม่ถามว่า ‘คนอื่น’ คนนั้นคือใคร…”
เขาก้าวเข้ามาใกล้หนึ่งก้าวสบตานางแน่นิ่ง “เพราะข้ารู้คำตอบอยู่แล้ว” เขาไม่ได้แตะต้องนาง…ยังไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ในเวลาที่หัวใจของเขายังไม่ได้เต้นเป็นจังหวะที่พอใจ แต่ช่วงเวลานี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว และเขาไม่คิดจะปล่อยให้แม้แต่ลมหายใจของนาง…หลุดพ้นไปจากเงาของตนอีกเลย ดวงตาของจางกงกงทอประกายวาววับในแสงมัวของห้องนั้นราวกับเงาเพลิงที่ยังไม่ดับมอดลงจริง หากแต่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้รอยยิ้มบาง ๆ ซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าเป็นรอยยิ้มของความพอใจ หรือเป็นเพียงการควบคุมอารมณ์ที่คลั่งจนแทบทะลักออกมาด้วยเปลือกหน้าสงบนิ่งอย่างที่เขาถนัด
"นั่นแหละ...เป็นสิ่งที่ควรเป็น" ดั่งเสียงพึมพำแผ่วในความมืดของจิตใจ หลินหยา...ไม่ควรเป็นของใคร ไม่ควรแม้แต่จะถูก ‘คิดถึง’ โดยบุรุษอื่น ไม่ควรถูกยื่นข้อเสนอใด ๆ เพราะแม้แต่คำว่ารัก...ก็เป็นสิ่งที่เธอไม่มีสิทธิ์จะเลือกให้ใครนอกจากเขา และการปฏิเสธของนางในวันนี้...ไม่ได้ทำให้บาดแผลที่เขาได้รับจากการรู้ว่าหวยหนานหวางได้แตะต้องนางจางลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันทำให้เขา ‘มีสิทธิ์’ มากขึ้น มีเหตุผลที่จะย้ำเตือนนางมากขึ้น ว่าหลินหยาเป็นของเขา ทุกอณูของร่างกายนาง ทุกช่องว่างในหัวใจนางทุกรอยยิ้มและหยดน้ำตานางควรถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเขาเท่านั้น
ชายหนุ่มที่ซ่อนตัวในหน้ากากครึ่งหน้าผู้เป็นจงฉางชื่อขยับนิ้วเรียวยาวแตะปลายจอกเบา ๆ ในจังหวะนิ่ง...แต่ตึงเครียด ราวกับกำลังอดกลั้นบางสิ่งไว้ลึกในอก ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้ และเป็นหลินหยาที่เอื้อมมือมาสัมผัสเขาเบา ๆ ที่แขน สัมผัสนั้นนุ่มนวล อบอุ่น ราวกับน้ำเย็นที่เทราดใส่เปลวไฟที่คลั่งกระเพื่อมในอกเขา
"ท่านอย่าโมโหนักได้ไหม..." น้ำเสียงของนางไม่อ้อน...ไม่ออดอ้อนเหมือนหญิงสาวทั่ว ๆ ไป หากแต่มันเป็นคำพูดตรง ๆ ของนาง…ในแบบที่เป็นหลินหยา ไม่หวานแต่จริงใจเต็มไปด้วยความรู้สึก มือเล็กที่จับแขนของเขานั้นแน่นพอให้รู้สึก แต่ไม่มากเกินกว่าจะกลายเป็นการต่อต้าน ดวงตาที่มองมาไม่หลบเลี่ยงแต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยอง มีเพียงความพยายามเข้าใจ...ในขณะที่เธอเองก็อาจไม่เข้าใจหัวใจของปีศาจตรงหน้าได้หมด
จางกงกงปรายตามองมือนั้น มือที่เรียวงามนุ่มเรียบน่าสัมผัสแต่กลับที่เคยจิกลงกลางอกเขาครั้งที่เขาทำนางเจ็บปวด มือนี้ที่เคยผลักเขาออกและในเวลาเดียวกัน...ก็เป็นมือนี้ที่คอยรินสุราให้อย่างเงียบงัน ริมฝีปากเขาขยับขึ้นเล็กน้อยไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นแววกระตุกของความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก "เจ้าคิดหรือว่าข้ากำลังโกรธ?" น้ำเสียงของเขานุ่มลึก ราบเรียบจนแทบเย็นชา แต่ดวงตานั้นกลับร้อนระอุเหมือนจะกลืนหลินหยาทั้งร่างลงไปกับคำถามเพียงประโยคเดียว
"ถ้าข้าโกรธ...เจ้าคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แบบไม่เป็นอะไรหรอกเสี่ยวหยา" สายตาของเขาค้างอยู่ที่ดวงหน้าเธอครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อย และในแววตานั้นคือภาพของผู้ล่าที่ยังไม่ยอมละจากเหยื่อ แต่เพียงยอมให้เหยื่อได้หายใจอีกหนึ่งเฮือก...เพื่อรอช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ “...แต่เจ้าทำได้ดีแล้ว ที่ปฏิเสธมันไป” เขายอมให้นางพาเขานั่งลงตามปกติอย่างเงียบงัน
แค่ครั้งนี้เขาจะยังไม่รัดคอเหยื่อที่รักให้ขาดหายใจในทันที แต่จงจำไว้หลินหยาเจ้าเป็นเหยื่อที่เคยหลุดรอดไปจากเงาของเขา...ไม่มีใครรอดได้เป็นหนที่สองและครั้งหน้า...หากมีใครเอื้อมมือมาใกล้อีก เขาจะไม่ยอมให้แม้แต่มือนั้นยังคงติดอยู่กับตัวมัน
เสียงในห้องนั้นเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเบาบางของทั้งสอง…หรืออาจจะมีเสียงหัวใจของใครบางคนที่กำลังเต้นรัวหนักจนเหมือนจะดังลอดออกมาได้จริง ๆ ดวงตาใต้หน้ากากจงฉางชื่อยังคงจ้องมองหลินหยาอย่างแน่วแน่ ราวกับจะสลักภาพเธอไว้ในม่านตาอย่างไม่มีวันลบเลือน ...สายตานั้นไม่ใช่แค่การมอง แต่คือการยึดครองอย่างเงียบงันและหนักแน่น “เจ้าเป็นของข้า...และไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าได้” คือถ้อยคำที่เอ่ยออกมา สัมผัสได้จากแรงกดดันที่บีบคั้นอากาศรอบตัวจนแน่นตึง ดวงตาคมกริบราวเหยี่ยวที่ซุกซ่อนเปลวเพลิงทมิฬไว้ในนั้นขยับนิ่งสะท้อนเงาใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
มือเรียวยาวของเขาเอื้อมมาสัมผัสแก้มของเธอเบา ๆ ทว่า...ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนครั้งก่อน หากแต่แฝงด้วยน้ำหนักแห่งเจตจำนงแน่วแน่ที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ปลายนิ้วเกลี่ยผ่านผิวแก้มขาวชื้น รอยเย็นจากละอองฝนยังคงเกาะอยู่ แต่ปลายนิ้วของจางกงกงกลับร้อนเสียจนดูเหมือนจะละลายหยดน้ำเหล่านั้นให้หายไปในเสี้ยววินาที "มา" เขาเอ่ยเพียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยแรงบีบบังคับนัย ๆ ก่อนจะรั้งข้อมือบางของหลินหยา ดึงนางให้ทรุดตัวลงนั่งบนตักของเขาในอ้อมแขนโดยไม่รอฟังคำตอบ
“เอ๊ะ!...เดี๋ยวสิ ข้ายัง….” หลินหยาจะร้องประท้วงเบา ๆ เพราะถูกจับอุ้มราวแมวเปียกที่โดนลากกลับบ้านแต่เขาไม่สน มืออีกข้างตวัดขึ้นโอบเอวบางไว้แน่นราวกับจะกลืนหลินหยาเข้าไปในร่างตนเอง ฝ่ามือกดเบา ๆ ที่แผ่นหลังของนางอย่างคุ้นเคย ทั้งยังเป็นแรงยึดไว้ไม่ให้นางดิ้นหลุดไปไหนได้ง่าย ๆ ดวงตาของเขาขยับมาหยุดที่ริมฝีปากของนาง ลมหายใจของทั้งสองข้างใบหน้าห่างกันเพียงเสี้ยวคืบ
ปลายนิ้วโป้งของเขาขยับมาลากผ่านกลีบปากของหลินหยา…ช้าและหนักแน่น ราวกับกำลังลงอาคมประหลาดอะไรบางอย่าง "เจ้าอย่าให้ใครได้สัมผัสมันเชียวนะเสี่ยวหยา...เข้าใจไหม" ประโยคเดียวที่ลอดริมฝีปากเขา ทำเอาคนที่อยู่บนตักถึงกับชะงัก ใบหน้าหลินหยาเริ่มร้อนผ่าว ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ทั้งเพราะเขินทั้งเพราะ...โกรธ
"โอ๊ยยย….ท่านเป็นบ้าหรือไง! ท่านนี่มัน..." นางยกมือตีแผ่วที่หน้าอกของเขาเบา ๆ เหมือนแมวข่วนแค่พอให้รู้ว่าไม่พอใจ แต่มืออีกข้างของจางกงกงกลับเลื่อนขึ้นมารั้งข้อมือนางไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบชิดหูอย่างจงใจให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าว
"ใจเจ้ายังอยู่กับข้า...ใช่หรือไม่ ข้าถึงไม่ฆ่ามันเสียตอนนี้" น้ำเสียงนั้นไม่ได้โกรธเกรี้ยว แต่เย็นเยียบจนเหมือนน้ำแข็งใต้เปลวไฟ
หลินหยาขมวดคิ้วมือเล็กพยายามผลักไหล่เขา แต่ก็ไม่ได้แรงพอจะดันออกได้จริง ๆ เพราะเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าเขาแค่ปล่อยให้ดิ้นเพราะหากเขาจะกอดจริง ๆ เธอไม่มีวันขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียว "ปล่อยนะท่าน...เสื้อข้าเกือบหลุดแล้ว!"
"ก็ดี...ข้าอยากมองมันอยู่พอดี"
“นี่!” จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ใกล้ใบหูของหลินหยา กลายเป็นเสียงที่ทำให้นางสะดุ้งเพราะมันทั้งน่าขนลุกและ......น่าตี! อ้อมแขนนั้นกระชับขึ้นอีกนิดจนหญิงสาวรู้สึกว่าถ้าไม่รีบผลักออกตอนนี้ มีหวังเขาจะได้ ‘อุ้ม’ เธอเข้าห้องด้านในแบบที่นางไม่มีโอกาสเปล่งเสียงเลยก็เป็นได้ “ข้า…ข้าจะ...จะลุกแล้ว!”
“หืม? ใครบอกว่าให้เจ้าไปไหนกันเล่า” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนอย่างเสแสร้งชัดเจนแต่แววตายังคงแฝงความหม่นลึกที่นางอ่านไม่ออกจางกงกงที่ยังคงจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลินหยาไม่หลบตาไปไหนแขนแกร่งรัดรอบเอวของหลินหยาจนแทบไม่มีช่องว่างให้แม้แต่ลมหายใจเล็ดลอด อ้อมกอดของจางกงกงแน่นหนาราวกับกรงเหล็กที่ขังนางไว้ในโลกของเขาเพียงผู้เดียว เสียงกระซิบแผ่วต่ำกระทบข้างหูทำเอาสะโพกของนางสั่นไหววูบเล็กน้อยจากแรงสะท้านไม่ใช่เพราะกลัว หากแต่เป็นความรู้สึกที่ปะปนจนยากจะบรรยาย
"เจ้าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว...เสี่ยวหยา" น้ำเสียงนั้นเอ่ยเบาราวกล่อม แต่ความจริงคือโซ่ตรวนแห่งอำนาจที่ค่อย ๆ พันธนาการลงบนหัวใจของนางอย่างแนบเนียน "โลกภายนอกนั้นอันตรายนัก...มีแต่คนคิดร้ายและอยากจะฉุดกระชากเจ้าไปจากข้า" คำพูดที่เหมือนห่วงใย แต่แท้จริงแฝงความหึงหวงรุนแรงชนิดที่แม้แต่สายลมก็ไม่ควรต้องพัดผ่านปลายผมของนางหากเขาไม่อนุญาต
หลินหยายังคงพยายามเบือนหน้าหนี ไม่อยากสบสายตาเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้น เพราะนางรู้ดี หากสบเข้าไปตรง ๆ หัวใจเจ้ากรรมของตนจะยอมจำนนอย่างง่ายดายเกินไป แต่จางกงกงกลับไม่ปล่อยให้นางหลบหนีแม้แต่เพียงนิด เขาโน้มศีรษะลงมาใกล้ใบหูเธอลมหายใจร้อนวาบพัดรินผ่านผิวแก้ม
"เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืน..." เสียงกระซิบพร่าเลือนต่ำติดแหบครางเบา ๆ เหมือนคนอดกลั้นบางอย่างไว้สุดขีด "...ข้าต้องอดทนกับความทรมานแค่ไหน...เพราะไอ้สารเลวนั่นมันกล้าแตะต้องเจ้า" ขณะที่เอ่ยเขาก็แนบริมฝีปากลงบนกลีบหูของเธอแผ่วเบาคล้ายจะลูบไล้ คล้ายจะลงโทษ
หลินหยาสะดุ้งเธอเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาฉายแววลังเลและสับสน างรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามฝังความรู้สึกผิดไว้ในหัวใจของเธอว่าความเจ็บปวดของเขาเป็นผลมาจากการกระทำของนางเอง ราวกับว่าทุกการกระทำของเธอคือสิ่งที่เขาต้องรับผลแทนอย่างแสนสาหัส นั่นมันบ้าบอ...ไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความครอบครองที่ปะปนกับการปลูกฝังพันธะลวงลึก
"ท่านอย่าว่าเขาสารเลวเพราะท่านมันเลวกว่าเขาพันพันเท่า…แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจ..." หลินหยาพึมพำในประโยคสุดท้ายเบือนหน้าไปทางอื่นแม้ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา "ข้าไม่รู้ว่าเขาจะ...ทำแบบนั้น..."
"ไม่รู้? หรือเจ้าหวั่นไหว?" เสียงของเขาแฝงรอยกัดกร่อน ราวกับเล็บที่ข่วนผิวบาง ๆ อย่างจงใจให้แสบเล็กน้อยก่อนจะปิดแผลด้วยจุมพิตหลอกลวง หลินหยาหันขวับดวงตาแดงวาวเหมือนจะระเบิดอารมณ์ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของจางกงกงที่แฝงความเจ็บปวดไว้ภายใต้ความเย็นชา ...เจ็บปวดแท้จริง หรือแค่แสร้งสร้างขึ้นมาควบคุมนาง? เธอไม่อาจแน่ใจได้เลย เขากดหน้าผากแนบหน้าผากเธอ จ้องตาเธอใกล้จนแทบสัมผัสลมหายใจ "อย่าทำให้ข้าต้องอดทนมากกว่านี้...เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนดี...และข้าไม่ใช่คนที่ยอมแบ่งของรักให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น" แมวเปียกในอ้อมแขนชะงักนิ่งงันอยู่เช่นนั้น ท่ามกลางความเงียบที่หนักอึ้งปนด้วยอารมณ์หลากหลายที่ร้อยรัดกันแน่นจนแทบหายใจไม่ออกและจางกงกง…ยังคงกอดไว้แน่นขึ้นอีกนิด ราวกับจะหลอมหลินหยาให้เป็นเนื้อเดียวกับเขาแม้เป็นการครอบครองด้วยอารมณ์มืดมน...แต่มันก็คือ...ความจริงของเขาที่จะแสดงออก
หลินหยามองหน้าอีกคนเล็กน้อย แล้วพ่นลมหายใจเหมือนจะยอมแพ้แล้วเลือกที่จะทิ้งตัวเอาหัวซบอกอีกคน ตอนนี้นางนั่งตักเขา อยู่ในอ้อมกอดเขาและเหมือนกับคนที่จะแพ้เขาทุกที จางกงกงชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงของร่างบางที่ทิ้งตัวลงมาแนบอกเขา ศีรษะเล็กพิงลงกับช่วงอกในจังหวะที่หัวใจเขากำลังเต้นกระหน่ำรุนแรง อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ราวกับจะปกป้องแมวน้อยในอ้อมกอดจากทุกสิ่งบนโลกนี้ แม้กระทั่งลมหายใจของใครอื่นที่ไม่ใช่เขาเอง เขาเงียบไม่ตอบทันที ดวงตาสีเข้มใต้แพขนตายาวจ้องมองลงไปยังเสี้ยวหน้าที่แนบอกตนด้วยสายตาที่ยากจะแปลความระหว่างความอ่อนโยนกับความคลั่งไคล้บางอย่างที่เหมือนกำลังคุกกรุ่นอยู่ในห้วงลึก
"ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนดี..." น้ำเสียงของหลินหยาแผ่วเบาแต่แน่นอน "ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เป็นคนดีตอนนี้...แต่ท่านต้องค่อย ๆ ปรับไป เข้าใจไหม..." ถ้อยคำนั้นเหมือนละอองฝนกลางเปลวเพลิง...ไม่ได้ดับไฟ แต่ทำให้มันเงียบลงชั่วคราว เธอขยับตัวในอ้อมกอดแล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเล็กแหงนขึ้นเล็กน้อยขณะเอ่ยถามด้วยดวงตากลมโตที่แพขนตายังเปียกชื้นบางส่วนจากละอองฝนก่อนหน้านี้
"หมายความว่าตอนนี้ห้ามผู้ชายคนไหนแตะตัวข้าเลยหรอ?" หลินหยายู่หน้าใส่เขา น้ำเสียงเหมือนกำลังต่อรองแม้ร่างกายจะยังซบแน่นอยู่ในอ้อมแขนเขา "อุบัติเหตุก็ไม่ได้หรือไง...?" ดวงตาโตหรี่มองเขา ราวกับเด็กดื้อที่แกล้งลองดี
รอยยิ้มของจางกงกงปรากฏขึ้นที่มุมปาก ช้า ๆ แต่ไม่อ่อนโยน มันคือรอยยิ้มของผู้ชายที่มั่นใจในอำนาจของตนอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในแววตา ริมฝีปากและแรงโอบรัดของอ้อมแขนนั้น เขาก้มหน้าลงมาใกล้ กระซิบเสียงต่ำข้างใบหูของเธออย่างจงใจให้รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อน "แม้แต่สายลม...ก็ไม่ควรแตะต้องเจ้า หากข้าไม่อนุญาต" คำพูดนั้นไม่ใช่คำสั่งแต่คือคำประกาศอธิปไตยหนึ่งเดียวบนดินแดนชื่อว่า 'หนาน หลินหยา'
เขาก้มมองหล่อนอีกครั้ง ดวงตาที่เหมือนจะอ่อนโยนแต่ลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และรอยยิ้มที่ตามมาก็โอบล้อมเธอไว้อย่างสมบูรณ์ "ข้าจะยอมปรับ...ก็ได้" เขาว่าช้า ๆ พลางยกนิ้วไล้แก้มนุ่มของเธอ "แต่เจ้าก็ต้องยอมเป็นของข้าแต่โดยดีเช่นกัน...ยิ่งเจ้าห้ามข้ายิ่งอยากทำให้เจ้ารู้ว่าไม่มีใครหวงเจ้าได้เท่าข้าอีกแล้ว" หลินหยาได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง แม้หน้ายังยู่แต่ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ได้ยินนั้น...แม้มันจะคลั่งเกินไปหน่อย แต่มันก็คือจางกงกงคนที่นางเผลอให้อำนาจเหนือตนเองมาโดยไม่รู้ตัวและยิ่งปล่อยให้เขากอดนานเท่าไร…คำว่าหลบหนีก็ดูจะเลือนรางลงไปทุกที
ในหัวกลับเต็มไปด้วยเสียงของตัวเองที่ดังลั่นไม่แพ้เสียงฟ้าคำรามในใจสาวน้อย ‘ข้าจะบ้าเรอะ…นี่ข้าชอบคนแบบนี้ไปได้ยังไงกัน…คนที่เอาแต่พูดว่าข้าเป็นของเขา ใครแตะตัวข้าไม่ได้ ขนาดลมก็ยังหวง?’ นางกรีดก้องอยู่ในอกอย่างสุดแรง ใบหน้าหวานสะบัดเล็กน้อยเหมือนจะไล่ความรู้สึกงี่เง่านั่นออกไป
แต่แล้วสายตาอีกคนก็จับจ้องลงมาอย่างแน่วนิ่ง ใต้เงาของหน้ากากหยกขาวแกะลายเมฆาร่วงโรย…นัยน์ตาเรียบนิ่งแต่น่ากลัวเยือกเย็นอยู่ในที จางกงกงยังคงไม่หลบสายตาเธอ และไม่ขยับออกแม้แต่น้อย กลับกัน…กลับมองหน้าเธอแน่นิ่ง ราวกับอยากจะกลืนกินความคิดเธอเข้าไปเสียตรงนั้น หลินหยาชะงักเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมพ่นลมหายใจแรงอีกครั้ง เสียงถอนหายใจของแมวน้อยผู้ดื้อดึงดังขึ้นในความเงียบของห้องราวกับคำถามที่กลั้นใจมานาน
"ท่านอยากถอดหน้ากากไหม?" หล่อนเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วแต่จริงจัง ดวงตาไหวระริกเล็กน้อยก่อนมองไล่ไปยังขอบหน้ากากงาช้างที่บดบังใบหน้าอีกฝ่าย “ตรงนี้ไม่มีใคร...และอีกอย่าง...เมื่อวานก่อน ท่าน...ฆ่าคนต่อหน้าข้า...ห้าคนเลยนะข้าไม่ได้ร้องไห้เพราะข้าไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นการฆ่าฟันหรืออ่อนแอ...แต่เพราะข้าไม่อยากเห็นท่านเป็นแบบนั้น...ต่อหน้าข้าอีก” ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเอ่ยออกมาพร้อมแววตานิ่งสงบ ทว่าแฝงแวววิตกและอ่อนโยนปะปนกันราวกับเธอไม่อยากหนี แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้เขาดำดิ่งลงไปลำพังในเงามืดที่น่ากลัวเกินไปแล้ว
จางกงกงเงียบกริบไปครู่หนึ่งอ้อมแขนที่กอดนางแน่นอยู่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงเล็กน้อย ราวกับกำลังประเมินคำพูดนั้นอย่างรอบคอบ…หรืออาจจะกำลังคำนวณอะไรบางอย่างในใจที่มืดมน "เจ้ากลัวข้า?" น้ำเสียงเขาเย็นชาแต่แฝงความปวดร้าวลึก ๆ ในคำถามที่แทบจะไม่เอื้อนเอ่ยออกมา หากไม่ใช่เพราะแมวน้อยในอ้อมกอดนี้
"ข้าไม่กลัว" หลินหยาเงยหน้าขึ้นสบตา "แต่ข้าเจ็บ...ที่เห็นคนที่ข้ารู้สึกดีด้วย...ต้องกลายเป็นปีศาจ" คำว่า 'รู้สึกดีด้วย' ไม่ใช่คำว่ารัก แต่มากพอที่จะทำให้หัวใจของคนฟังแปรปรวนได้ มือที่เคยแน่นนั้นหยุดนิ่ง...ก่อนที่ปลายนิ้วของจางกงกงจะยกขึ้นช้า ๆ ไปยังสายร้อยหลังศีรษะ แล้วเลื่อนปลดสายหน้ากากออกทีละน้อย เสียงคลายสายดังเบา ๆ พร้อมกับการเลื่อนหน้ากากหยกออกจากใบหน้าเผยผิวขาวจัดใต้แสงมัว ดวงตาคมดั่งกระบี่ดุจดั่งอสรพิษเฝ้ามองเหยื่อแต่กลับซุกซ่อนความเศร้าและบิดเบี้ยวไว้ภายใต้ชั้นม่านตา
เขายกมืออีกข้างสัมผัสแก้มของเธอเบา ๆ ดวงตายังคงไม่กระพริบ "ข้า...จะพยายาม" เขากล่าวอย่างหนักแน่นริมฝีปากกระซิบใกล้ชิด "แต่เจ้าต้องอยู่ตรงนี้...ข้างข้า…ทุกครั้งที่ข้าหลุดไป" เหมือนคำขอที่ไม่อาจหักหาญ เหมือนพันธะที่มีเพียงแมวน้อยตัวเดียวเท่านั้น…ที่มีกุญแจไขประตูกรงของอสูรร้ายตัวนี้

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: พี่เขาเอาเงินฟาดหัวน้อง อยากได้ทุกเดือนง่ะ อ้อนเอาเงินจากพี่แกยังไงดี
รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง
99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point