12345
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ เมื่อวานซืน 05:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 27 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก หอว่านหงเหริน (พบ เถียน เฟิง)


บรรยากาศในหอว่านหงเหรินค่ำคืนนี้คล้ายกับจะสงบลงกว่าวันก่อน แสงโคมแดงที่แกว่งไหวอาบท้องถนนให้เป็นสีชาดอุ่น ๆ เสียงหัวเราะคิกคักของเหล่าลูกค้าแว่วแทรกกับเสียงเครื่องสายอันแผ่วหวาน หลินหยาที่สวมชุดสาวใช้สีหม่นเดินอย่างคล่องแคล่วในหมู่โต๊ะ แขนเล็ก ๆ ถือถาดอาหารและเหล้าสลับไปมาในจังหวะที่ชินเสียจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ ทว่าความเรียบง่ายก็ไม่อาจหลีกหนีสายตาเจ้าเล่ห์ของชายบางคนได้ นักค้าความสุขบางคนยกจอกเหล้า หันมาส่งยิ้มพราวอย่างหมายมาด สายตาลามเลียไล่ตามรูปร่างของนางอย่างไร้มารยาท "แม่นาง เสิร์ฟเหล้าให้ข้าอีกจอกสิ" เสียงนั้นแฝงความหยอกล้อที่มากกว่าปกติ


หลินหยาหยุดเท้าเพียงชั่วครู่ หันใบหน้าซื่อ ๆ ของนางไปตอบรับตามมารยาท รอยยิ้มเล็กจางราวกับละอองควัน “เจ้าค่ะ” ก่อนจะวางจอกลงอย่างเรียบเฉย หญิงสาวไม่แม้แต่จะสบตา ชายคนนั้นยังคงส่งเสียงหัวเราะขบขัน พยายามจะหยอกอีกครั้ง ทว่า...นางเมินเสียสนิท เดินผละออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง ในหัวนางเพียงคิดหงุดหงิดเล็ก ๆ ชิ...พวกคนพวกนี้ เอะอะก็เกี้ยว อยากให้ข้ากำหมัดใส่สักทีไหม? แต่หลินหยาก็รู้ดีว่าการอยู่ในที่เช่นนี้ ต้องรู้จักเลือกสู้และเลือกนิ่ง บางครั้งการเมินเฉยก็ทำให้พวกนั้นเสียหน้าได้มากกว่าคำตอบใด ๆ ขณะนางกำลังจะเดินไปเสิร์ฟโต๊ะถัดไป สายลมเย็นพลันพัดพาเอากลิ่นที่คุ้นเคยมากลิ่นไม้กฤษณาเจือจางปนกับความสงบอันน่าหวาดหวั่น หลินหยาเหลือบตามอง และในมุมหนึ่งของห้องพิเศษ…


หลังจากนั้นหลินหยาก็เลือกเสิร์ฟอาหารต่อไปอย่างเงียบ ๆ แต่ทว่าอยู่ ๆ ผู้ดูแลก็เดินมาเรียกเธอในชื่อ เสี่ยวหนาน บอกว่าวันนี้ไปเป็นนักดนตรีให้หน่อยได้ไหมแขกห้องพิเศษขอมาน่ะ หลินหยารู้ทันทีว่าเป็นแขกห้องไหน


เถียนเฟิงที่นั่งพิงเบาะอย่างสง่างามเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เมื่อประตูห้องพิเศษถูกเลื่อนออก เสียงของหลินหยาในคราบเสี่ยวหนานดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มแซวที่ทำให้บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากความนิ่งขรึมกลายเป็นมีประกายบางอย่างที่แฝงอยู่ในแววตาของเขา “หืม?...เจ้ามาแล้วหรือ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มเรียบ แต่หางเสียงแฝงความพึงใจชัดเจน พัดขนนกในมือหมุนเล่นช้า ๆ ก่อนวางลงบนโต๊ะ “ข้าไม่ได้เพียงแค่อยากฟังเพลงหรอก ข้าอยากฟังว่า วันนี้เจ้า...จะบรรเลงอะไรให้ข้าฟังต่างหาก”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เดินเข้าไปใกล้แล้วจัดเรียงเครื่องดนตรีที่เตรียมมา วันนี้นางเลือกกู่เจิง เครื่องสายที่สะท้อนเสียงได้ทั้งอ่อนหวานและแฝงความเด็ดเดี่ยว เธอเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง แววตาซุกซนคล้ายจะบอก ข้าจะเล่นให้ท่านฟัง แต่ไม่ได้เล่นตามใจท่านทั้งหมดหรอกนะ


เถียนเฟิงมองเธอไม่กะพริบ ริมฝีปากยกยิ้มบางเหมือนคนที่กำลังวางหมากเงียบ ๆ “เช่นนั้นข้าจะรอฟัง” เขาเอนกายลงเล็กน้อย ดวงตาลึกซึ้งราวกับพร้อมจะจับทุกจังหวะที่ปลายนิ้วของนางสัมผัสลงบนสายเครื่องดนตรี หลินหยาวางนิ้วลงบนสายกู่เจิงลมยามค่ำพัดลอดหน้าต่างเข้ามา เสียงแรกที่กรีดกรายดังกังวาน คล้ายหยอกเย้าแต่มีพลัง ส่งผ่านไปถึงบุรุษที่นั่งอยู่ เถียนเฟิงฟังเงียบ ๆ ราวกับวิเคราะห์ทุกตัวโน้ตที่เล่นออกมา ความจริงในน้ำเสียงนั้นไม่ใช่แค่เพลงสำหรับแขก...แต่มันคือเสียงที่สื่อใจของนางโดยไม่ต้องเอ่ยคำ


ปลายนิ้วของหลินหยาลูบไล้สายกู่เจิงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดลงสร้างเสียงกังวานที่ลื่นไหลราวสายน้ำกลางหุบเขา เสียงแรกพัดพาจิตใจให้สงบ เย็นเยือกเหมือนน้ำค้างที่กลั่นตัวบนกลีบดอกไม้ในยามรุ่งสาง ต่อมาเสียงสายที่สองดังกระชับ สะบัดแรงดุจพายุพัดฝุ่นในทะเลทราย จังหวะต่อไปแผ่วหวานและลึกล้ำดุจเสียงพร่ำรักของคนในฝัน และเสียงที่สาม...สะท้อนลึกไปในหัวใจผู้ฟัง ราวกับเสียงเรียกของวิญญาณที่เคยหลับใหลมานาน


ห้องทั้งห้องตกอยู่ในมนต์ขลัง ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจของเถียนเฟิงจะดังเกินไป ทุกสายตาถูกตรึงด้วยภาพหญิงสาวที่นั่งตัวตรง หน้าตาสงบ ปลายนิ้วพริ้วไหวราวกับกำลังวาดเส้นสายบนผืนฟ้า เส้นเสียงของเธอกลายเป็นคลื่นพลังที่สัมผัสได้ แม้เพียงเป็นเสียงดนตรี แต่เหมือนมีแรงอุ่นอ่อนแผ่วพัดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา ดวงตาของเถียนเฟิงที่ปกติคมกริบเย็นชากลับสะท้อนประกายบางอย่างคล้ายถูกชะล้างจากคลื่นเสียงนี้ ทุกโน้ตที่หลินหยาบรรเลงมีลายเซ็นเฉพาะของนางความสดใส ขี้เล่นปนดื้อรั้น ความอ่อนโยนที่ไม่ยอมถูกเหยียบย่ำ และเสี้ยวหนึ่งของความเข้มแข็งที่เงียบสงัดแต่ร้อนแรง


เถียนเฟิงรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้ามาในใจ ไม่ใช่เพียงเพราะฤทธิ์ของเสียงที่สัจเทพประทานพร หากเป็นเพราะคนที่นั่งตรงหน้าผู้นี้ต่างหาก หญิงสาวที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีตำแหน่ง แต่กลับปลุกความรู้สึกในส่วนที่เขาเก็บซ่อนไว้ลึกที่สุด ความรู้สึกที่ไม่ใช่ความรัก หากเป็นความคารวะต่อจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตา


ท่วงทำนองเร่งขึ้นเสียงดังกังวานจนโคมไฟในห้องสั่นไหวเบา ๆ เถียนเฟิงมองเธอด้วยสายตาที่ลึกขึ้นทุกที ใบหน้าของเขายังคงสวมรอยยิ้มบาง ๆ ของสุภาพบุรุษผู้สุขุม แต่ในความนิ่งนั้นเต็มไปด้วยแรงสะท้อนที่บอกไม่ถูก นี่หรือ…ความสามารถที่แท้จริงของนาง เขารู้ว่าแม้สตรีตรงหน้านี้จะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรพิเศษ แต่เสียงเพลงที่บรรเลงกลับประกาศความพิเศษของนางต่อฟ้าและดิน เสียงสุดท้ายถูกปล่อยออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ยาวนาน ราวกับเส้นด้ายทองที่ขึงระหว่างดวงจันทร์กับผืนน้ำ เมื่อสายสุดท้ายหยุดนิ่ง ความเงียบปกคลุมห้องเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงลมหายใจของเถียนเฟิงที่เหมือนถูกคลายพันธนาการ


หลินหยาเชยตาช้า ๆ ดวงตาของนางยังส่องประกายสดใสและเต็มไปด้วยชีวิต แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยราวกับไม่รู้ว่าตนเองเพิ่งสร้างปาฏิหาริย์ แต่หัวใจของทุกคนที่ได้ฟังกลับสั่นไหว


เถียนเฟิงเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แววตาคมดุจเหยี่ยวแต่แฝงความชื่นชมลึกลับ ยามสบตาหลินหยาเขากล่าวเสียงต่ำ ละมุนแต่แฝงแรงดึงดูดจนหัวใจนางสะท้าน “เสียงเพลงของเจ้า…มิใช่เพียงเพลง หากเป็นอาคมที่สะกดทุกสรรพสิ่ง ข้าเคยได้ยินกู่เจิงมานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีครั้งใดที่ทำให้ข้า…หลงฟังจนลืมตัวเช่นนี้”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เหมือนคนที่ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ “ข้าแค่เล่นตามใจตัวเองต่างหากล่ะเจ้าค่ะ” เธอตอบไปพลางยิ้มหวาน ราวกับไม่รู้ตัวว่าท่วงทำนองที่เธอสร้างขึ้นได้สั่นสะเทือนหัวใจของมหาเสนาบดีผู้เยือกเย็นตรงหน้าไปแล้วทั้งดวง


หลินหยาวางกู่เจิงลงอย่างเบามือ ก่อนจะขยับตัวไปนั่งตรงมุมใกล้โต๊ะที่มีน้ำชาอยู่ เธอยกจอกขึ้นจิบเล็กน้อยให้ชุ่มคอ จากนั้นก็เอนหลังเล็กน้อยพลางถอนหายใจยาว เหงื่อที่ซึมบนหน้าผากถูกเธอลูบออกไปอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาหวานฉายแววสดใสกว่าทุกวัน ทำให้เถียนเฟิงที่นั่งมองเงียบ ๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความสังเกต “วันนี้ใบหน้าเจ้าดูสดใสขึ้นนัก…ได้พักผ่อนหรืออย่างไร?”


หลินหยาหันมามองเขาแล้วยิ้มบาง “พักผ่อนหรือเจ้าคะ? ไม่หรอกเจ้าค่ะ ยังไม่ได้พักเหมือนเดิมนั่นแหละ” เธอยักไหล่เล่น ๆ “แค่ตอนเช้าไปทำบัญชีร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้แล้วพบว่าขายดีเกินคาด ข้าก็เลยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองเธอต่อราวกับกำลังรอฟัง “แล้วข้าก็ได้ซื้อหินอัปเกรดมาแล้วนะ” หลินหยาพูดต่อ พลางทำหน้ายู่เหมือนจะโวยวายกับโลก “สามก้อนเลยนะ! 258 ตำลึงทอง 21 ตำลึงเงิน ตอนนี้เงินข้าหมดเกลี้ยง”


ฟังถึงตรงนี้เถียนเฟิงเอียงหน้ามองเธอ ดวงตาหรี่เล็กน้อยด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดเจ้าถึงทำหน้าเหมือนเพิ่งเสียพนันทั้งที่ได้ของที่ต้องการแล้ว?”


หลินหยาหันไปมองเขาแบบคนที่เซ็งสุดในโลก ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ก็เพราะข้าลองเอามาใช้แล้วมันไม่เป็นผลน่ะสิ!” เธอเอามือเท้าคางพลางมองพื้นอย่างเอือมระอา “เหมือนมันรับพลังงานจากข้าไม่ไหวหรือไม่ข้าก็อาจจะเกินเยียวยา พังไปเลย…เจ้าว่ามันตลกไหม?” เถียนเฟิงยกพัดขนนกขึ้นมาเคาะกับคางตัวเองเบา ๆ สายตาเขามีแววขำที่ถูกกลบไว้ใต้ใบหน้าสุภาพ “หึ…หินอัปเกรดรับพลังไม่ได้ แปลว่าพลังเจ้ามันเกินกว่าที่หินนั้นจะรับไหวกระมัง”


หลินหยาเบะปาก หันมามองเขาพร้อมเสียงประชด “ท่านนี่ก็พูดเก่งไปเรื่อย ถ้ามันเกินจริงทำไมพังล่ะเจ้าคะ” เถียนเฟิงหัวเราะเบาในลำคอเสียงหัวเราะนั้นแฝงความนุ่มนวลไม่เหมือนเวลาปกติที่มักเย็นชา “อย่างน้อยเจ้าก็ได้เรียนรู้อะไรสักอย่าง…ว่าบางทีสิ่งล้ำค่าก็ไม่ใช่สิ่งที่เงินซื้อได้เสมอไป”


หลินหยาหันไปค้อนใส่ทันที “ข้ารู้แล้วน่า ท่านอย่ามาสอนเหมือนข้าเป็นเด็กหน่อยเลยเจ้าค่ะ” แล้วเธอก็พ่นลมหายใจทำหน้าบึ้ง เล่นเอาเถียนเฟิงยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะแค่ได้เห็นเธอโวยวายเล็ก ๆ แบบนี้ก็ทำให้บรรยากาศในห้องอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด หลินหยากอดอกแน่นจนอกกระเพื่อมตามแรงถอนหายใจ ใบหน้าของเธอย่นยู่ไปหมดเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งถูกหลอกขายของแพง เธอพึมพำบ่นเสียงอู้อี้ “ข้าอุตส่าห์หวังไว้มากนะเจ้าคะ…คิดว่ามันจะช่วยได้สักหน่อยแต่พอแตกปุ๊บ…ข้าก็ไปสืบข้อมูลเพิ่ม มันเขียนชัดเลยว่าโอกาสสำเร็จแค่ 30 ใน 100 โอ้ยยย ข้าจะบ้าตาย…” เธอเงยหน้ามองเถียนเฟิงดวงตาเหมือนแมวที่โดนขโมยปลาต้ม ใบหน้าหงอยแบบสุด ๆ ก่อนจะฟุบแขนลงกับโต๊ะเสียงดัง “นี่มันโคตรเหนื่อยเลยนะ! ทำไมมันต้องพังด้วยเนี่ย…”


เถียนเฟิงที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ แรกเริ่มทำเพียงแค่ยกพัดขึ้นปิดปาก กลั้นหัวเราะไว้ แต่พอเห็นท่าทางหลินหยาที่ทำตัวน่าหมั่นไส้สุดขีด ทั้งกอดอกแน่น ทั้งหน้าบึ้งเหมือนเด็กเสียของเล่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นแม้จะแผ่วแต่นุ่มลึกพอจะทำให้อากาศรอบตัวอุ่นขึ้น “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าหินพวกนั้นจะยอมศิโรราบต่อใครง่าย ๆ” เถียนเฟิงวางพัดลงกับโต๊ะ ขยับตัวเอนเล็กน้อยไปข้างหน้า มุมปากยกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “หากทุกคนทำสำเร็จได้ มันก็คงไม่ชื่อว่าหินล้ำค่าหรอก เสี่ยวหนาน” เขาบอกตั้งใจพูดชื่อในหอของหลินหยา


หลินหยายู่ปากมองเขาอย่างเอาเรื่อง “ก็ไม่เห็นต้องพูดให้ดูข้าโง่แบบนั้นนี่เจ้าคะ! ข้าแค่…คาดหวังเกินไปก็เท่านั้น”


เถียนเฟิงหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ไม่กลั้นแล้ว เขามองใบหน้างอแงของนางพลางเอ่ยเสียงทุ้ม “บางที…เจ้าก็น่าขำยิ่งกว่าสิ่งที่เจ้าบ่นเสียอีก” หลินหยาค้อนวงใหญ่ใส่ “ท่านนี่! หัวเราะอะไรนักหนา!” แต่แม้จะค้อนแก้มของนางก็แดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขินในความสนิทที่ทำให้เขาหัวเราะกับเธอได้ง่ายดายเช่นนี้


หลินหยาพ่นลมหายใจออกแรง ๆ พลางเอนตัวเหมือนปลาทูตากแห้ง เธอสบตาเถียนเฟิงที่ยังคงยิ้มบาง ๆ อยู่ตรงนั้นแล้วบ่นเสียงแผ่ว “ข้าเหนื่อยนะเจ้าคะ…เหนื่อยกับเรื่องพัง ๆ ที่ต้องเจอทุกวัน แต่ก็คงต้องกัดฟันซื้อหินพวกนั้นต่อไป เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ” ดวงตาของนางส่องประกายปนดื้อรั้นราวกับจะบอกว่าต่อให้ล้มกี่ครั้งนางก็ยังจะลุกขึ้นสู้


เถียนเฟิงมองนางนิ่ง รอยยิ้มที่มักมีไว้ปกปิดความคิดข้างในดูอ่อนลง เขาวางพัดลงบนโต๊ะเบา ๆ เอ่ยช้า ๆ แต่ชัด “ในเมื่อเหนื่อยนัก เจ้าก็มากินอาหารกับข้าเสียสิ”


หลินหยาหรี่ตา มองเขาอย่างระแวงปนขำ “ท่านรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ข้ายังอยู่ในเวลางานนะเจ้าคะ? ข้าไม่ได้แอบอู้งานเหมือนตอนนอนแผ่วานนะ”

 

เถียนเฟิงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ดวงตาคมวาวขึ้นอย่างคนกำลังข่มกลั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “วันนี้ งานของเจ้าคือเล่นดนตรีให้ข้า และตอนนี้เจ้าก็กำลังพักระหว่างเพลง…ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานแล้วกัน” น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความมั่นคงจนเธอเถียงไม่ออก หลินหยาเบ้ปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแบบยอมจำนน เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปร่วมโต๊ะกับเขาอย่างเสียไม่ได้ พอหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ก็แอบกวาดตามองอาหารที่จัดเรียงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “ข้าหวังว่าจะไม่มีถั่วเหลืองซ่อนอยู่ในนี้นะ…” หลินหยาพึมพำพลางจิ้มอาหารบนจานด้วยตะเกียบอย่างระแวดระวัง เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เอื้อมมือขยับจานบางจานเข้ามาใกล้ตัว “สบายใจเถอะ ไม่มีสิ่งที่เจ้ากินไม่ได้หรอก ข้าสั่งไว้แล้ว”


หลินหยาชะงักเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองหน้าเขา ดวงตาหวานปรือขึ้นนิด ๆ ด้วยความประหลาดใจและขอบคุณ “ท่าน…รู้ด้วยเหรอ...ไม่สิต้องเรียกว่าจำได้ด้วยสินะ” เถียนเฟิงยักคิ้วเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบแต่ทุ้มอบอุ่น “เรื่องของคนที่ข้าเรียกว่าสหาย ข้าจำได้เสมอ” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มสดใสแต้มบนใบหน้า เธอหยิบอาหารเข้าปากด้วยท่าทางสบายใจขึ้น “ก็ได้…ถือว่าคะแนนความใส่ใจท่านบวกเพิ่มสักนิดหนึ่งแล้วกันนะ” เถียนเฟิงเพียงยิ้มบาง ๆ แต่แววตาที่มองนางกลับลึกซึ้งเกินคำพูดใด ๆ ขณะที่ทั้งสองเริ่มลิ้มรสอาหารร่วมกันในค่ำคืนนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะเป็นแค่การกินอาหารธรรมดา แต่กลับแฝงไว้ด้วยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว


เสียงช้อนตะเกียบกระทบถ้วยชามเบา ๆ แทรกอยู่ในความเงียบสบาย ๆ เถียนเฟิงวางพัดลงข้างตัว ครู่หนึ่งมองหลินหยาที่กำลังง่วนเคี้ยวอาหารด้วยท่าทางไม่ระวังตัวนัก ดวงตาคมจับจ้องเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบแต่แฝงแววเจาะลึก 


“หลินหยา…” เขาเรียกชื่อจริง ไม่ใช่เสี่ยวหนาน ทำให้นางชะงักช้อนในมือเงยหน้าขึ้น “ช่วงนี้เจ้าดูเหนื่อยเกินไป ข้าสงสัยว่า…เจ้าไม่ได้บอกใครใช่ไหมว่าอาการพิษในร่างเจ้าเริ่มกำเริบบ่อยขึ้น?”


หลินหยาเบือนสายตาหนีเล็กน้อย ดวงตาวูบไหว ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ “อืม…ก็ใช่เจ้าค่ะ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ข้ายังทำงานได้ ยังวิ่งเล่นได้เห็นไหม” นางยกมือโบกโชว์เหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ปลายนิ้วยังมีรอยซีดจากความอ่อนแรง เถียนเฟิงมองเงียบ ๆ ไม่ได้พูดแทรกทันที แต่เสียงเขาต่ำลงนิด “เจ้าชอบทำให้คนรอบตัวคิดว่าเจ้าสบายดีเสมอ…จนบางที ข้าเริ่มสงสัยว่าใครกันจะเป็นคนคอยดูแลเจ้าเวลาที่เจ้าล้มลงจริง ๆ” หลินหยาหยุดเคี้ยวอาหารหันมามองเขาตรง ๆ แทนจะตอบกลับด้วยความกวน นางกลับเอ่ยช้า ๆ “ข้าไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะข้าหรอก ท่านเถียนเฟิง…ชีวิตข้าข้าเลือกเดินเอง ถ้าล้มก็ลุกเองได้อยู่”


คำพูดนั้นทำให้เขาหรี่ตานิด ดวงตาคล้ายจะยอมรับแต่ก็ไม่ปล่อยผ่านง่าย ๆ “แล้วเจ้าเลือกได้หรือ…ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญ มันใหญ่เกินตัวเจ้าจนคนที่เจ้าเรียกว่าสหายต้องมองดูเฉย ๆ?”


หลินหยากระพริบตา หัวเราะเบา ๆ แต่หัวใจกลับสั่น นางวางตะเกียบลงพิงคางกับฝ่ามือ เอียงคอมองเขา “ท่านนี่…ถามยากนะ เถียนเฟิง แต่เอาเถอะ หากวันนั้นมาถึง ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สหายต้องเป็นคนดูเฉย ๆ อย่างน้อยก็…ให้สหายนั่งหัวเราะเยาะในงานศพข้าได้แบบสบายใจ” 


คำตอบนั้นทำเอาเถียนเฟิงนิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาคมส่องประกายบางอย่างที่ยากจะอ่าน ก่อนจะหลุดหัวเราะแผ่วในลำคอ “เจ้า…ปากดีเกินไปแล้ว”


หลินหยายักไหล่ “ก็ข้าเป็นแบบนี้แหละ”


บรรยากาศบนโต๊ะเงียบลงชั่วครู่ แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำ เถียนเฟิงเพียงหยิบจอกเหล้ามารินให้หลินหยาด้วยมือเขาเอง ขณะเอ่ยเสียงนุ่มที่ฟังแล้วเหมือนคำสัญญา “ดื่มเสียเถอะ…สหายของข้า”


หลินหยารับจอกนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส “ได้สิ…สหายของข้า”


เงาของโคมไฟน้ำมันส่องทาบลงบนโต๊ะไม้ กลิ่นอาหารหอมกรุ่นเจือกับกลิ่นเหล้าจาง ๆ หลินหยาจิบจอกเหล้าเบา ๆ ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าแต่ยังพยายามยิ้ม เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าลองไปทำงานอย่างอื่นดูแล้วนะเถียนเฟิง…ทั้งงานเสิร์ฟร้านเหล้าแถวตลาดตะวันตก ทั้งช่วยขนของที่ขบวนคหบดีลู่…แต่พอทำแล้วพิษในกายมันกำเริบตลอดเลย” ดวงตาของเธอพร่ามัวเล็กน้อยคล้ายคนระลึกถึงความทรมานนั้น พลางหัวเราะแห้ง “เจ็บไปหมด แทบล้มทั้งยืน สุดท้ายเลยต้องกลับมาที่นี่แหละ หอว่านหงเหริน ถึงจะเหนื่อยก็จริง แต่เหนื่อยน้อยกว่าที่อื่น อย่างน้อยทำแล้วไม่ตายคาที่” 


เธอยกนิ้วขึ้นนับพลางบ่นเหมือนประชดชีวิต “ข้าได้ที่อื่นแค่ 300 เหรียญอู่จูเองนะเถียนเฟิง! 300! ในขณะที่ที่นี่ได้ 30 ตำลึงเงิน…มันห่างกันมากเลยนะเจ้าคะ?”


เถียนเฟิงที่ฟังเงียบ ๆ เอียงพัดในมือ พลิกช้า ๆ ดวงตาคมมองนางด้วยสายตาแฝงรอยกังวลที่ไม่ค่อยเผยให้ใครเห็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่า…300 เหรียญอู่จู เท่ากับไม่ถึงตำลึงเงินด้วยซ้ำ” เสียงของเขาเรียบ แต่กลับกรีดลึกเหมือนบอกให้เธอรู้ว่าเขาเข้าใจทุกอย่าง


หลินหยากอดอก ทำหน้าเหมือนแมวหงุดหงิด “ข้ารู้น่า! 1 ตำลึงเงินก็ 400 เหรียญอู่จูนี่…มันต่างกันมากเลยใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นข้าถึงต้องมาที่นี่ไงเจ้าคะ”


เถียนเฟิงยกคิ้วเล็กน้อย แฝงรอยยิ้มมุมปากที่อ่านยาก “เจ้าคือคนที่คำนวณเก่งเหลือเกินแม้จะทำตัวเหมือนไม่สนอะไร…แต่เจ้าก็เลือกทางที่เจ็บน้อยกว่าเสมอ” หลินหยาหันมาจ้องตาเขา ขยับยิ้มขี้เล่น “แล้วมันผิดไหมล่ะที่ข้าเลือกทางที่เจ็บน้อยกว่า…อย่างน้อยข้าก็ยังได้เจอท่านบ่อย ๆ นี่นา” คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเหมือนหยุดชั่วขณะ เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้เย้ยหยัน แต่เหมือนยอมแพ้ต่อความเป็นตัวของนาง “ไม่ผิด…ไม่ผิดเลยหลินหยา” เขายื่นมือมารินเหล้าเพิ่มให้เธอโดยไม่พูดต่อ ราวกับบอกเป็นนัยว่า เขายอมรับในเส้นทางที่เธอเลือกแล้ว


“จริงสิ ข้าไม่ค่อยอยากรับจดหมายจากบ้านเลยนะช่วงนี้…ทุกครั้งที่เห็นตราสัญลักษณ์สกุลหนาน ข้าก็แทบจะถอนหายใจออกมาเป็นสิบครั้ง” เถียนเฟิงเอนหลังเล็กน้อย พัดขนนกในมือเขากวัดแกว่งช้า ๆ ดวงตาคมจับจ้องหลินหยาที่พ่นลมหายใจราวกับระบายความกังวล เธอยกจอกเหล้าขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงแล้วกอดอกเหมือนเด็กดื้อที่กำลังทำใจพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเลิกคิ้วคลี่ยิ้มบาง แต่ในรอยยิ้มมีความสนใจอย่างจริงจัง “เพราะอะไร? ข้ารู้ว่าท่านพ่อของเจ้ามิใช่คนกดดันเจ้ามากนัก” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตาอ่านทุกการเคลื่อนไหวของนาง


หลินหยาขยับไหล่ ยกมุมปากแบบฝืนยิ้ม “ท่านพ่อไม่เท่าไรหรอก…แต่ท่านแม่ข้าน่ะสิ คงส่งจดหมายมาถามว่า ‘ได้คนรักหรือคนที่อยากแต่งงานด้วยแล้วหรือยัง’ น่ะสิ” เธอหัวเราะแห้ง ๆ “ไม่งั้นข้าได้โดนจับหมั้นหมายกับใครก็ไม่รู้แน่”


เถียนเฟิงฟังเงียบ ๆ พัดในมือหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาใต้คิ้วเรียวยังคงนิ่งแต่แฝงความเฉียบ “แล้วเจ้ามีคนที่อยากแต่งงานด้วยไม่ใช่หรือหลินหยา?” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะระบายยิ้มบางอย่างที่ไม่ได้ร่าเริงอย่างปกติ “มีสิ…ข้ามีคนที่ชอบแล้ว” เธอพูดพลางมองลงที่จอกเหล้า คล้ายไม่กล้าสบตาเขาในตอนนี้ “แต่ปัญหามันใหญ่…ใหญ่โคตร ๆ ใหญ่จนข้าไม่รู้จะทำยังไงดี”


เถียนเฟิงเอียงศีรษะเล็กน้อย แววตาเหมือนพญาอสรพิษที่กำลังจับความจริงในความมืด เขาไม่ได้เร่งถามว่าคือใคร แต่เสียงต่ำเย็นกลับเล็ดลอด “ใหญ่แค่ไหนกันเชียว…ใหญ่พอจะทำให้เจ้าที่กล้าดื้อรั้นกับฟ้าดินยังต้องลังเลหรือ?”


หลินหยาหัวเราะนิด ๆ ทั้งที่แววตาแอบเศร้า “ก็ใหญ่ขนาดนั้นแหละท่านเถียนเฟิง…เพราะเขาเป็นคนที่น่ากลัว โหดร้ายเหมือนปีศาจ ข้าเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบเขา” เถียนเฟิงวางพัดลงบนโต๊ะช้อนตามองนางราวกับกำลังอ่านใจ แม้เขาจะรู้ดีว่านางคิดกับเขาเพียงสหาย แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้สะกิดอะไรบางอย่าง “แล้วเจ้าจะทำเช่นไร…จะยอมให้ผู้ใดจับหมั้น หรือจะดื้อรั้นเดินบนเส้นทางของตนต่อไป?” หลินหยาหันมามองเขา ดวงตาวาววับทั้งดื้อและเศร้าในคราวเดียว “ข้าจะดื้อรั้นต่อไปสิ…ก็ข้าเป็นหนานหลินหยา ข้าไม่ยอมให้ใครกำหนดชีวิตข้าได้หรอก”


เถียนเฟิงหัวเราะเบาในลำคอ คล้ายชื่นชมในความดื้อรั้นนั้น รอยยิ้มของเขามีทั้งความอบอุ่นและความลึกซึ้ง “ดี…เจ้าก็เป็นตัวของเจ้าแบบนั้นแหละ หลินหยา”


เสียงลมจากหน้าต่างเลื่อนเข้ามาในห้องที่มีกลิ่นสุราจาง ๆ คลออยู่ หลินหยาพิงข้อศอกกับโต๊ะ ดวงหน้าซีดจางแต่ดวงตาสุกใส เธอพ่นลมหายใจยาว “แต่ก็นะหากข้าชอบเขา ข้าก็จะไม่มีวันได้แต่งงานหรอกท่านเถียนเฟิง” เสียงของนางเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงดนตรีจากด้านนอกห้อง เธอยักไหล่ราวกับไม่แยแส “แต่ข้าไม่เคยสนเลยนะ ข้าไม่ได้อยากเป็นแม่ที่ดีอะไรแบบนั้น การแต่งงานหรือไม่แต่งงาน…มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ข้ากังวลสักนิด” หญิงสาวหยุดชั่วครู่ สายตาว่างเปล่ามองไปยังจอกเหล้าตรงหน้า ก่อนเสียงหัวเราะแผ่วจะหลุดออกมา “ก็แค่…ข้าเป็นบุตรสาวคนสุดท้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อกับท่านแม่คงหวังให้ข้าเป็นฝั่งเป็นฝาบ้าง”


เถียนเฟิงจ้องมองนางอย่างเงียบงัน ปลายนิ้วเคาะพัดในมือเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบแฝงเย้า “งั้นก็แต่งงานซะสิ จะได้จบเรื่อง”


หลินหยาหันขวับมามองเขา ดวงตากลมโตวาวด้วยแววประชด นางพ่นลมหายใจใส่เขาอย่างแรงราวกับจะระบายอารมณ์ ก่อนจะพูดเสียงนิ่งเรียบแต่เจือรอยขบขันที่บาดลึก 


“ข้าชอบขันทีนะ”


คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่ตัดผ่านความเงียบ เถียนเฟิงชะงักไปชั่ววูบ พัดในมือหยุดเคลื่อนไหว แววตาคมหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายประเมินว่าหลินหยาพูดเพื่อล้อเล่นหรือประกาศความจริงที่เขาไม่อยากได้ยิน บนใบหน้าของเขามีเพียงรอยยิ้มบางที่ไม่อาจคาดเดาความคิดได้ “ขันทีงั้นหรือ…” เสียงของเถียนเฟิงแผ่วต่ำอย่างแปลกประหลาด คล้ายกลืนบางอย่างลงไปในอก เขามองนางนิ่ง ดวงตาซ่อนประกายยากจะอ่านออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นที่คล้ายระคนหัวเราะ “เจ้านี่…รู้จักทำให้คนฟังเสียอารมณ์ได้เก่งจริง ๆ”


หลินหยาหัวเราะคิกกับท่าทีของเขา “ก็จริงนี่ ข้าไม่ได้โกหกสักหน่อย” เธอยักคิ้ว ทำเหมือนพูดเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก แต่หัวใจกลับเต้นระรัวเมื่อสบตากับดวงตาคมที่เหมือนจะลุกวาบขึ้นชั่วขณะหนึ่งจากเถียนเฟิง


ชายหนุ่มหลุบตาลงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ใต้รอยยิ้มสุขุม “เจ้ามัน…กล้าพูดเกินไปแล้ว หลินหยา” เสียงของเขานั้นนิ่ง ทว่ามีแรงกดดันบางอย่างคล้ายอสรพิษที่ขดตัวรอจังหวะ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยกจอกเหล้าขึ้นจิบแล้วมองนางด้วยสายตาที่ทำให้อากาศรอบตัวเย็นลงนิด ๆ และร้อนขึ้นในเวลาเดียวกัน ในห้องพิเศษของหอว่านหงเหริน ไฟจากโคมกระดาษส่องแสงอุ่นคลอเคลียบนโต๊ะไม้กลม เถียนเฟิงเอนหลังพิงพนักเบา ๆ พลางหมุนพัดในมืออย่างเคยชิน ดวงตาคมทอดมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามราวกับอ่านใจอยู่ตลอดเวลา เสียงของเขาเปล่งออกมาอย่างเรียบเฉย แต่มีแววขันในที 


“ข้าสงสารหวยหนานหวางจริง ๆ นะ เป็นถึงหวางผู้สูงศักดิ์ เป็นพระปิตุลาในองค์ฮ่องเต้ แต่กลับโดนสตรีที่ชอบขันทีปฏิเสธ…น่าสงสารเหลือเกิน”


หลินหยาทำหน้ายู่ทันทีที่ได้ยิน นางถอนหายใจหนักราวกับไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก “อย่าย้ำได้ไหมเถียนเฟิง…ข้ารู้สึกผิดจะตายอยู่แล้วตอนต้องตัดสินใจน่ะ ถ้าท่านรู้มากกว่านี้ ท่านจะอึ้งทึ้งจิมกี่” น้ำเสียงปนขุ่นเล็ก ๆ ทำให้มุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นด้วยความขบขัน เขาเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงเหมือนเหยี่ยวจ้องเหยื่อ “ถ้าเจ้าบอกว่าข้าอึ้งได้ ข้าก็อยากรู้สิ ว่ามันคืออะไร เล่าได้ไหมหลินหยา?” เสียงนุ่มนั้นราวกับคำเชิญที่ยากจะปฏิเสธ แต่ยังคงบังคับให้นางต้องเผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของเขา


หลินหยากัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ สายตาหลุบต่ำเล็กน้อยก่อนเงยขึ้นมองเขา “แล้วถ้าข้าเล่า…ท่านจะเอาไปบอกใครไหม?” น้ำเสียงของนางจริงจังขึ้น แม้จะยังมีแววท้าทายแบบหลินหยา เถียนเฟิงยกพัดขึ้นเคาะโต๊ะเบา ๆ ก่อนตอบเสียงเรียบ “หากเจ้าบอกว่าเป็นความลับ ข้าจะเก็บมันไว้ในใจ…ไม่มีวันเอาไปพูดต่อ” น้ำเสียงนั้นมั่นคงแต่เจือรอยร้ายกาจบาง ๆ ราวกับกำลังล่อให้นางเผยความลับที่ซ่อนลึกสุดใจ


สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางโต๊ะเงียบงัน ราวกับทั้งห้องมีเพียงพวกเขาเท่านั้น หลินหยาหลุบตาลง พ่นลมหายใจช้า ๆ เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรสักอย่าง…


“ข้าชอบจางกงกง”


บรรยากาศในห้องพิเศษพลันเงียบงันทันทีหลังคำพูดนั้นหลุดออกจากริมฝีปากของหลินหยา นางนั่งนิ่ง สีหน้าตึงเครียดจนมือที่จับปลายกู่เจิงสั่นเล็กน้อย ขณะที่เถียนเฟิงชะงักราวกับถูกกระแทกด้วยคำที่ไม่คาดคิด “เจ้า…ว่าอย่างไรนะ?” น้ำเสียงของเขาต่ำลงกว่าทุกที ดวงตาคมฉายแววเย็นวาบในเสี้ยววินาที ทั้งที่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง


หลินหยาหลุบตา ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนเอ่ยซ้ำด้วยเสียงที่เบาแต่หนักแน่น “ข้าบอกว่าข้าชอบ…จางกงกง”


พัดในมือของเถียนเฟิงหยุดหมุนกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะวางมันลงบนโต๊ะช้า ๆ แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกตะลึงที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ความสุขุม “จางกงกง…” เขาทวนชื่อราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง เขาเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาเย็นเฉียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นทำอะไรกับเจ้าไว้บ้าง? หรือเจ้าลืมแล้ว ว่าเขาใช้เจ้าเป็นเครื่องมือทางอำนาจอย่างไร?” น้ำเสียงของเขาแฝงความกดดันหนักหน่วง


หลินหยาหลับตา สูดหายใจลึก “ข้าไม่ได้ลืม…ทุกอย่างที่เขาทำ ข้าจำได้หมด จำจนฝันร้ายยังไม่ยอมจางหายไปไหน แต่…” ดวงตาของนางสั่นไหว “แต่ข้ากลับทั้งชอบทั้งเกลียด ทั้งกลัว..ไม่รู้สิมันเยอะแยะไปหมด”


เถียนเฟิงมองนางนิ่งนาน ลมหายใจเย็นเฉียบของเขาช่างต่างจากภายในที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธและสับสน เขาอยากตะโกนถามว่าทำไม แต่กลับเพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นทั้งขมและเจ็บปวด “น่าขันเหลือเกินหลินหยา…เจ้าเจ็บปางตายเพราะเขา แต่เจ้ากลับ…” หลินหยาเงยหน้ามองเขาดวงตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและดื้อรั้น “เพราะหัวใจมันไม่ได้ฟังเหตุผลเลยท่านเถียนเฟิง…เจ้าคิดว่าข้าอยากชอบเขาหรือ? ข้าไม่อยากเลยสักนิด แต่ข้าโกหกตัวเองไม่ได้”


เถียนเฟิงนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ดวงตาคมหรี่ลงราวกับพยายามเก็บความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างใน เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ช้า ๆ หัวเราะเย็นเหมือนเสียดแทงตัวเอง “ข้าอึ้ง…อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรดี” บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดันที่พูดไม่ออก ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเถียนเฟิงจะยกจอกเหล้าขึ้นจิบช้า ๆ ดวงตาคมจ้องนางไม่กะพริบ “เจ้ารู้หรือไม่หลินหยา…หัวใจเจ้ามันบ้ากว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”


หลินหยาสบตาเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ “ข้าเองก็คิดว่าข้ามันบ้าเหมือนกัน”


เถียนเฟิงวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะ เสียงกระทบเบา ๆ แต่หนักพอจะสะท้อนถึงอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในใจ ดวงตาคมมองหลินหยาอย่างจับจ้อง “แล้วหวยหนานหวางรู้หรือยัง ว่าเจ้ามีใจให้กับจางกงกง?” น้ำเสียงเรียบแต่กดต่ำ เหมือนอยากรู้คำตอบแท้จริง หลินหยานิ่งไปชั่วอึดใจก่อนพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา ราวกับแบกรับความหนักอึ้งของเรื่องราวทั้งมวล “ข้าไม่เคยบอกเขา…แต่ข้าว่าเขาคงฉลาดพอจะรู้เอง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือเศร้า มือบางกำชายกระโปรงแน่น ดวงตาหม่นหมองมองต่ำไปที่พื้น


เถียนเฟิงเอนพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมฉายแววประเมิน สายตานั้นคล้ายกดดันให้หลินหยาเปิดใจต่อไป “แล้วเจ้ารู้สึกยังไงกับสิ่งนั้น”


หลินหยาหัวเราะในลำคอแผ่ว ๆ แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ข้ารู้สึกผิดมาก…มากจนแทบจะหายใจไม่ออก วันที่หวยหนานหวางสารภาพรักกับข้าขอข้าแต่งงาน ความรู้สึกผิดมันถาโถมจนพิษในร่างกายของข้ากำเริบ” นางยกมือแตะอกตัวเองเบา ๆ เหมือนยังจดจำอาการในวันนั้นได้ชัดเจน “ข้าทรมานจนคิดว่า…อาจจะตายเพราะความรู้สึกนี้เสียแล้ว”


ดวงตาของเถียนเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่ไม่เอ่ยแทรกปล่อยให้คำพูดของหลินหยาลอยอยู่ในอากาศ เขาจิบเหล้าอีกครั้งช้า ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเย็นแต่แฝงความจริงจัง “เจ้ารู้ไหมหลินหยา…ความรู้สึกผิดมันคือดาบที่เจ้าใช้แทงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเจ้ารักผิดคน ดาบเล่มนั้นก็จะยิ่งลึกขึ้น” หลินหยาสบตาเขาดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าแต่ก็มีประกายของความดื้อรั้น “ข้ารู้…แต่หัวใจมันไม่ยอมฟังเหตุผลเลยท่านเถียนเฟิง” นางระบายยิ้มบาง ๆ ที่เจือความเจ็บปวด “ข้าไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าไม่ได้รักเขา ถึงแม้ว่ามันจะทำร้ายตัวข้ามากแค่ไหน”


เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเย็นเยียบ ราวกับกำลังหัวเราะให้กับชะตากรรมที่บิดเบี้ยวของนางและอาจรวมถึงตัวเขาเอง “เจ้ามัน…ทั้งโง่ ทั้งกล้าในเวลาเดียวกัน”


หลินหยาเพียงก้มหน้ายอมรับคำพูดนั้น เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วราวกับพูดกับตัวเอง “บางทีข้าอาจจะผิดมาตั้งแต่แรก…ที่ดันไปเปิดใจให้ปีศาจคนนั้น”


เถียนเฟิงจ้องมองนางเนิ่นนาน ลมหายใจของเขาหนักขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำช้า ๆ “ปีศาจตัวนั้น…ถ้าวันหนึ่งมันทำลายเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มันลอยนวล” น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดัง แต่หนักแน่นจนหลินหยาต้องเงยหน้ามองเขา ดวงตาสองคู่สบกันท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด…แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจของสหายที่ห่วงใยอย่างที่สุด เถียนเฟิงวางพัดลงบนโต๊ะอย่างช้า ๆ ก่อนโน้มตัวเล็กน้อย ดวงตาคมที่มักจะเต็มไปด้วยแผนการตอนนี้กลับมีเพียงแววห่วงใยปนตำหนิ “หลินหยา…เจ้ามีโชคติดตัว มีแต่ผู้คนรักใคร่ เจ้ามีค่ามากกว่าที่เจ้าคิด แล้วทำไมถึงไปหลงรักคนที่พร้อมจะทำร้ายเจ้าได้ทุกเมื่อ?” น้ำเสียงของเขานั้นเรียบ แต่หนักพอจะทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกดุจริง ๆ


หลินหยาก้มหน้างุดทันที ไม่กล้าสบตาเขา ปลายนิ้วเกลี่ยชายกระโปรงตัวเองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ความรู้สึกเหมือนถูกต่อว่าแล่นขึ้นมาในอก “ข้า…ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบเขา” เสียงของนางแผ่วลงราวกับคนสารภาพผิด “ข้าไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หัวใจมันดื้อเกินไป ข้าก็ไม่เข้าใจตัวเอง”


เถียนเฟิงถอนหายใจแรงเล็กน้อย เขายกจอกเหล้าขึ้นจิบ แล้ววางลงช้า ๆ ราวกับใช้เวลาไตร่ตรองคำพูดของตัวเอง “เจ้ารู้ไหมว่าเวลาที่เจ้าเอ่ยถึงเขา ดวงตาเจ้ามันทั้งเจ็บ ทั้งอ่อนแอในเวลาเดียวกัน…ข้าเกลียดสายตาแบบนั้น” เขาเอ่ยเสียงนิ่งแต่ทุกคำเหมือนกดดันให้หลินหยาเงยหน้าขึ้นมา


หลินหยายังคงก้มหน้าอยู่ น้ำเสียงแผ่วเหมือนคนกำลังถูกตำหนิจากพี่ชายที่ห่วงใย “ข้ารู้ว่าท่านคิดว่าข้าโง่…บางทีข้าเองก็คิดเหมือนกัน”


เถียนเฟิงขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย มือที่ถือพัดเอื้อมขึ้นมาเกือบจะวางบนศีรษะนางแต่ก็หยุดกลางอากาศ เขาเพียงสบตานางด้วยแววตาที่ดุผสมอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เรียกว่าเจ้าโง่หรอก แต่เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายที่ข้ากลัวว่ามันจะขาดในสักวัน…และข้าไม่อยากเห็นเจ้าตกลงมา”


“ท่าน…เป็นห่วงข้าหรอ?” คำพูดนั้นทำให้หลินหยาชะงัก เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก


เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ใช่หัวเราะเย้ย หากเป็นหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู “แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะมานั่งฟังเจ้าโอดครวญอยู่ตรงนี้ทำไม” น้ำเสียงเขาแผ่วลงก่อนเอ่ยต่อ “อย่าก้มหน้าแบบนั้นอีก…ข้าไม่ได้อยากเห็นเจ้าเหมือนคนถูกตำหนิ แต่เจ้าควรรู้ไว้ ว่าข้าจะพูดตรง ๆ เพราะข้าอยากให้เจ้ารอด ไม่ใช่จมไปกับคนที่ไม่คู่ควร” หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ในแววตานั้นกลับมีประกายอุ่นที่เธอรู้สึกได้จากคำตำหนิของเขา เธอเอ่ยเสียงเบาเหมือนเด็ก 


“ขอบคุณนะท่านเถียนเฟิง…ที่เป็นห่วงข้า…ข้าน่ะอยากลองสักครั้งหนึ่ง…ถ้าจางกงกงทำร้ายข้าอีก ไล่ข้าอีกข้าจะกลับผานอวี้แล้วใช้ชีวิตที่นั้นไม่หวนกลับฉางอันอีก”


เถียนเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลินหยา ดวงตาคมดุจอสรพิษมองตรงไปยังใบหน้าที่เอ่ยคำเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงนิ่งแน่วแน่ ไม่มีแววลังเลแม้แต่น้อย ความสงบที่เขามักควบคุมไว้กลับสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากยกยิ้มบางแต่ไม่ใช่รอยยิ้มอบอุ่นที่นางคุ้นเคย หากเป็นรอยยิ้มที่ปกปิดความคิดอันซับซ้อนลึก ๆ “เจ้ากำลังพูดเหมือนจะเดิมพันทั้งชีวิตของเจ้าเลยนะ หลินหยา” น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยออกมา แต่แฝงไปด้วยความขุ่นบาง ๆ จนแทบจับไม่ได้ เถียนเฟิงเอนหลัง ดวงตาลึกคมไล่จับเสี้ยวหน้าของนางอย่างช้า ๆ 


“เจ้าแน่ใจหรือว่า...คนผู้นั้นคู่ควรกับหัวใจที่เจ้าจะทุ่มให้ทั้งดวง? หัวใจที่แสนซื่อและบริสุทธิ์ของเจ้า เจ้ากำลังเดินเข้าไปในปากอสรพิษร้ายโดยสมัครใจอยู่นะ”


หลินหยาหันกลับมามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยประกายที่มั่นคง เธอพ่นลมหายใจยาว ราวกับรู้ว่ากำลังทำให้เขาไม่พอใจ แต่ก็ยังเลือกพูดออกไป “ข้าแน่ใจ...อย่างน้อยข้าอยากรู้สักครั้งหนึ่ง ว่าเขาจะรับข้าไว้หรือผลักข้าออกไป ถ้าเขาไล่...ข้าก็จะกลับผานอวี้ ข้าจะไม่เหลืออะไรที่ฉางอันอีกต่อไป” น้ำเสียงนางอ่อนนุ่มทว่าทุกคำหนักแน่นราวคมดาบ


เถียนเฟิงจ้องนางนิ่ง ดวงตาเย็นจัดและร้อนระอุในคราวเดียว ความขัดแย้งในตัวเขาก่อคลื่นกระเพื่อมที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกตัว เขาอยากจะหัวเราะในความบ้าบิ่นของนาง แต่อีกใจก็อยากคว้าตัวนางไว้ไม่ให้เดินไปทางนั้น “เจ้าเด็ดขาด บ้าบิ่น...และมั่นคง...มั่นคงจนน่ากลัว” เขาเอ่ยช้า ๆ ราวกับกลืนคำพูดไว้ครึ่งหนึ่ง


หลินหยาหลุบตาลงเล็กน้อย เหมือนรู้ว่าเถียนเฟิงกำลังคิดอะไร แต่เธอก็ยังยิ้มบาง ๆ “ก็ใช่เจ้าค่ะ...เพราะข้าเป็นข้า ไม่ใช่ใครอื่น ข้าเป็นแบบนี้แหละ ข้าแก้ไขตัวเองมากกว่านี้ไม่ได้หรอก”


เถียนเฟิงกุมพัดในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนคลายออกอย่างรวดเร็วราวกับกลบเกลื่อนอารมณ์ของตนเอง ดวงตาคมวาวขึ้นเล็กน้อยราวกับซ่อนอะไรบางอย่าง “ดี...ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ขวาง เพียงจำไว้ว่า ถ้าวันนั้นมาถึง...และเจ้าถูกผลักตกจากที่สูง ข้าจะเป็นคนแรกที่หัวเราะเยาะเจ้า และ...คนแรกที่ยื่นมือไปดึงเจ้ากลับขึ้นมา”


คำพูดนั้นเรียบ แต่แรงจนหลินหยาชะงักไปชั่ววินาที ก่อนที่มุมปากของนางจะโค้งยิ้มอ่อนโยนออกมา “เช่นนั้น...ข้าก็วางใจได้แล้วละนะ”


บรรยากาศระหว่างทั้งสองในห้องส่วนตัวนั้นนิ่งสนิท มีเพียงเสียงหายใจแผ่วและแววตาที่ประสานกันอย่างไม่มีใครยอมละ จนเถียนเฟิงต้องหันหน้าหนีไปจิบเหล้า คลายบรรยากาศที่ตึงเครียดลงเล็กน้อย แต่ลึก ๆ ในใจของเขาไฟบางอย่างกลับคุโชนขึ้นโดยไม่อาจดับได้ง่าย ๆ




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอาไว้ปลดเถียนเฟิง เด๋วมาปลดนะมายเฟรน 5555


รางวัล: 30 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +20 EXP +2 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ เมื่อวานซืน 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ เมื่อวานซืน 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก โล่ไม้  โพสต์ เมื่อวานซืน 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +40 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +35 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ เมื่อวานซืน 05:06
โพสต์ 134,812 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ เมื่อวานซืน 05:06

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
12345
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้