เจ้าของ: Admin

[ศาลาจื่อเถิงฮวา]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-21 01:01:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-21 03:33



วันที่ ยี่สิบ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไฮ่ เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป ณ ศาลาจื่อเถิงฮวา


          ลมยามไห่พัดเอื่อยแผ่ว เสียงเสื้อผ้าที่สวมอยู่ขยับไปมาไหวตามแรงลมเบา ๆ ราวกับจะขับเน้นความเงียบระหว่างสองร่างใต้ศาลากลางคืนเงียบสงัดแห่งนี้ แสงจันทร์ขาวนวลแผ่ทอดลงบนเสี้ยวหน้าของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงข้ามหญิงสาวผู้แสร้างเป็นสาวใช้ ที่กำลังจะกลับไปทำสิ่งที่หนักหนาเกินกว่าที่นางคิด..

          “แม่นาง..เจ้าจะทำงานนี้ต่อหรือไม่” คำถามนั้นลอยออกมาตรง ๆ อย่างไม่มีคำหว่านล้อมใด ๆ แต่กลับแฝงความกังวนเงียบ ๆ ในจังหวะที่เสียงทอดลงเหมือนจงใจ เขาเงยหน้ามองนางนิดเดียวก่อนที่จะหันมองเงาจันทร์ที่ลอดชายหลังคาศาลาอย่างเงียบขรึม “ข้าไม่ใช่ผู้เร่งรัด..หากแม่นางเห็นควรว่าเลิก ก็ไม่มีใครว่ากล่าวได้” น้ำเสียงเรียบเฉยเฉียบดุจเคยชินกับเหตุการณ์ควบคุมอารมณ์ดังขึ้นอีก เขาพักคำไว้

          “แต่หากแม่นางเลือกจะเดินหน้าต่อให้ถึงที่สุด ค่าจ้างที่รับปากไว้ยังคงเป็นห้าสิบตำลึงทองเช่นเดิม ข้าไม่เปลี่ยนใจ แม้เจ้าอาจจะต้องแลกด้วยสิ่งที่มากกว่าที่คิด” เขาไม่พูดถึงโอวหยางเป่าเฉิงตรง ๆ แต่แววตาของเขาผ่านแสงจันทร์นั้นมาเหมือนรู้มากกว่าที่ควร “ข้าได้ยินข่าวจากสายที่ชายแดนว่าไว้ สกุลโอวหยางมีการติดต่อเร้นลับกับพวกหนานเจ้า..พวกมันเหมือนพวกลอบกัด คล่องแคล่วดุจอสรพิษ ฉลาดล้ำเหมือนหมาป่า ดุร้ายเหมือนเสือ ไม่มีวันยอมเล่นคิดซื่อ” คำสุดท้ายเหมือนจะโดนกลืนลงในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่อาจแปลว่าเย้ยหยั่นหรือขมขื่น..

          “และดูเหมือนพวกโอวหยาง กำลังจะเปิดทางให้พวกมันเข้ามาทดสอบเงื้อมมือราชสำนักถึงฉางอัน..สมคบคิดกับพวกนั้น” เถียนเฟิงเงียบอีกครู่หนึ่ง เขาเอ่ยต่อโดยไม่เร่งเร้า “ข้ารู้ว่าแม่นางมีวิธีของตนเองในการเอาตัวรอด แต่ข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าจะต้องอยู่อีกนานเพียงใดไม่อาจทราบได้” เขาขยับมือแล้วจ้องมองหลินหยาด้วยดวงตานิ่งสงบร้อนระอุเหมือนกำลังคิดว่านางจำต้องเห็นแก่บ้านเมืองหรือไม่..

          “หากจะเลิกตอนนี้ก็ไม่มีใครว่า แต่หากแม่นางจะสู้ต่อ ก็ขอให้เจ้าเตรียมตัวไว้”

          หลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้นนางไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ชะงัก ไม่เครียดแต่กลับมีบางสิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าที่นางจะพูดออกมาได้ หลินหยารู้ตัวว่านางเข้าสู่เรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คาด นางหันกลับมามองใต้เท้าเถียนเฟิงแล้วยกมือขึ้นคำนับอีกฝ่ายเล็กน้อย ราวกับจะพูดคำสาบานบางอย่างออกมาเพราะมันคือคำสาบานจริง ๆ ที่นางจะบอกต่อหน้าเขา นางสาบานสิ่งนี้ไว้เป็นสิ่งหนึ่งในใจคู่กับคติประจำใจตัวเองที่มีเพียงสองข้อเสมอไม่เปลี่ยนแปลง หลินหยามีบางอย่างที่อยากจะบอก และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ

          “เช่นนั้นข้าขอเรียนใต้เท้าตามตรง..ข้ามีคติของตนเอง”
          “天下大事 與我無關 (เทียนเซี่ยต้าซื่อ ยู่หว่ออู๋กวน)” นางเอ่ยออกมาพลางระบายยิ้มหวานงามราวกับไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่อิสระที่จะหายไป นางไม่กังวนที่จะต้องเป็นเสี่ยวหนานไปตลอด นางไม่เกรงความลำบาก แต่นางแค่..จะบอกเขาว่า

         เรื่องใหญ่ใต้หล้า ข้า ไม่ เกี่ยว

          “หากมันเกี่ยวข้องเช่นนั้นข้าไม่รับปาก ต่อให้ท่านจะไม่พอใจที่ข้าเดินออกจากเกมท่านก็ตาม แต่ชีวิตของข้าคืออสระ ข้าทำเพราะท่านขอ ข้าเห็นแก่มิตรภาพที่ก่อเกิด แม้จะมองเห็นเงินมากกว่าก็ตาม แต่หากเรื่องใหญ่เกินไปเกรงว่าจะไม่ใช่ทางของข้า หวังว่าใต้เท้าจะเข้าใจ” หลินหยาเอ่ยบอก เธอหนักแน่นพอที่จะทิ้งเงิน 50 จำลึงทองและความหมายมั่นของชายตรงหน้า

          เถียนเฟิงชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาที่มักสวมไว้ราวกับเป็นหน้ากากประจำตัวนั้นคล้ายถูกกระแสลมแห่งความคมชัดจากคำพูดของหลินหยาพัดกรรโชกหายไปชั่วครู่ ริมฝีปากของเขาคล้ายที่จะตอบโต้แต่กลับเปลี่ยนเป็นการขบฟันเบา ๆ จนเส้นเลือดกรามขึ้นแน่นเล็กน้อย..เขาเงียบ..เงียบจนน่าขันสำหรับผู้ที่ยืนอยู่ยอดอำนาจเหนือเมืองหลวงที่ขึ้นตรงต่อฟ้าอย่างโอรสสวรรค์เช่นฮ่องเต้ กลับต้องมานั่งฟังถ้อยคำของสตรีที่แสร้างทำตัวต่ำต้อยคนหนึ่ง ที่ปฎิเสธเขาอย่างตรงไปตรงมา และเหนือสิ่งอื่นใด…นาง..ดันน่าจับจ้องเกินกว่าจะละสายตา

          “天下大事 與我無關” เขาทวนคำที่นางกล่าว ดวงตาคมหรี่ลงช้า ๆ ราวกับกลั่นกรองทุกอักขระที่ออกจากเรียบปากของนางเมื่อครู่ เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นในลำคอของเขา ไม่ใช่ความเย้ยหยันแต่เหมือนกับ..การยอมรับมัน..

          “ข้าเข้าใจดี..เจ้ากล้าพูดในสิ่งที่หลายคนไม่กล้าต่อหน้าข้า” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยน ไม่ใช่เฉียบคม ไม่ใช่เสียดแทง แต่กลับทอดลงอย่างสงบเยือกเย็น เขายกมือครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อช้า ๆ “ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่เหมาะกับกระดานของข้ามากกว่า เจ้าฉลาดลึก เดาไม่ได้ รู้จักรักษาตัวเอง” เถียนเฟิงเหลือบมองตานางตรง ๆ แววตาไม่เร่าร้อนหรือเร่งเร้า แต่กลับนิ่งราวแผ่นน้ำแข็งใต้ขุนเขา

          “ดีที่เจ้าพูดมันออกมาตรงนี้ แทนที่จะรอให้ข้าค้นพบเองในยามที่ทุกอย่างล้อมเจ้าไว้หมดแล้ว เจ้ามีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตนเองเสมอเสี่ยวหนาน..หรือข้าควรเรียกเจ้าว่า หลินหยาดีล่ะ?” เขาหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วเหมือนกำลังคุมสติกับการโดนปฎิเสธนั้น “ค่าจ้าง หากเจ้าปฎิเสธ ก็ไม่จำเป็นต้องรับ”

          “หากวันใดเจ้าเปลี่ยนใจ หากวันใดเจ้าพบว่าโลกใบนี้ไม่ได้ให้เรายืนอยู่ตรงขอบโดยไม่เปื้อนโคลนได้เสมอ เจ้ากลับมาได้เสมอ ข้าจะรอ” ไม่ใช่คำอ้อนวอนหรือคำขู่ล่อลวง แต่คือคำประกาศของชายที่วางหมากทั้งชีวิตที่ไม่เคยพลาด แต่วันนี้ เขากลับพลาดเมื่อวางหมากตัวหนึ่งทิ้งลงกลางกระดานแล้วมันเดินออกไปเอง แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก

          “ข้าเป็นกำลังใจให้ท่าน ข้าจะยังอยู่ที่หอวง่านหงเหรินทุกคืน..หากท่านมาและข้าไม่แพ้เต้าหู้ป่วยตายไปเสียก่อน ข้าหวังว่าท่านจะรินสุราให้ข้าสักจอก ในอีกหลาย ๆ คืน” หลินยานั้นเอ่ยคำที่เขาเคยบอกเธอ เธอจำได้ทุกคำ ทุกอย่างที่ออกมาจากปากของเขา ว่าเขาเคยบอกว่าอาจจะรินเหล้าให้นางได้หลาย ๆ จอก ในหลาย ๆ คืน..

          เถียนเฟิงนิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ใบหน้าที่มักเคร่งขรึมแต่แฝงรอยละมึนไว้ภายในคล้ายแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจปิดบังได้ทั้งหมด ดวงตาของเขากระพริบช้า ๆ ขณะมองสตรีที่เอ่ยวาจาอ่อนโยนแต่กลับเจือรอยเฉียบคมเกินหญิงสาวธรรมดาที่จะครองไว้ คำพูดของหลินหยาทิ้งรอยสะเทือนลึกในใจเขา ไม่ใช่เพราะความหวาน หรือคำอวยพรอันแผ่วเบาของนาง หากแต่เป็นเพราะเธอจำได้..จำได้ทุกคำของเขา

          “เจ้าช่าง..” เขาเอ่ยเสียงเบากว่าครั้งไหน ๆ ก่อนที่จะทอดหายใจถอนออกมาอย่างเหนื่อยล้าแต่เปี้ยมไปด้วยบางอย่าง “บางครั้งข้าก็เกลียดความจำแม่นของเจ้าจริง ๆ แม่นางหลินหยา” เขาเหยียดยิ้มจาง ๆเหมือนจะยอมแพ้กับอะไรบางอย่างในใจ ดวงตานั้นแม้จะซ่อนความรู้สึกไว้แน่นหนาเพียงใด แต่ในยามที่หลินหยานั้นขอตัวลาลุกขึ้นอย่างเงียบสงบเพื่อจากไป เถียนเฟิงกลับอยากทำบางอย่างแต่หยุดไว้กลางอากาศมือนั้นวางมันลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้าแทน..

          บ้าชะมัด…



@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-21 12:35
โพสต์ 20141 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-21 01:01
โพสต์ 20,141 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-21 01:01
โพสต์ 20,141 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-21 01:01
โพสต์ 20,141 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-21 01:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-30 05:49:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 30 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 16.00 - 17.00 น. ณ นอนเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


ศาลาจื่อเถิงฉวาในยามเซินนั้นเงียบสงัด ผู้คนไม่ค่อยผ่านเข้าออกยามบ่ายคล้อยและอีกอย่างที่นี่เป็นนอกเมืองฉางอัน ตอนนี้แสงแดดอุ่นเริ่มโรยแสงออกมาแต่อุณหภูมิยังคงอบอุ่นและกลิ่นของดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งไปทั่วก็ลอยคลุ้งอย่างอ้อยอิ่ง แผ่ไอหอมจาง ๆ ปะปนกับกลิ่นฉุนราง ๆ ของเกสรบางอย่างที่หากสูดลึกเกินไปก็ชวนคลื่นไส้ได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วของนาง..


หลินหยา..เธอเดินเล่นด้านนอกเมืองจนเหนื่อย ตอนนี้ไม่ค่อยคิดฟุ้งซ่านเรื่องความฝันเมื่อคืนแล้วเพราะนางกำลังนั่งพักอยู่ที่ศาลาแห่งนี้..ร่างบางในชุดคนธรรมดาที่นั่งนิ่งอยู่ใต้ชายศาลา แม้ว่าจะแสร้งทำเป็นเหมือนชมดอกไม้แต่ความจริงนางมีใบหน้าที่ซีดเซียวจากความเหนื่อย ริมฝีปากแห้งเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนอันเคยสุกใสดูคล้ายจะมัวลงทีละร้อย เส้นผมสีดำที่พยายามจะรวบแต่เพราะมันสั้นเพียงบ่าเลยรวบได้ไม่หมด มีบางส่วนปลิวไหวไปตามแรงลมอ่อน ท่ามกลางภาพของดอกจื่อเถิงฮวาที่บานสะพรั่งจนทิวทัศน์งดงามดั่งภาพวาดนั้น..ทำให้ร่างของหลินหยาเหมือนดูเป็นเสี้ยวของภาพนางไม้ที่กำลังเหี่ยวโรยราที่ฝืนยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งฟ้าม่วงครมที่ไม่อาจละสายตาได้เลยแม้แต่น้อย


นางยกมือขึ้นปิดปากแล้วไอเบา ๆ แผ่วราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน แต่เสียงไอนั้นก็ยังเล็ดลอดออกจากปลายนิ้วที่ปิด มันอ่อนแรงจนแทบไม่ใช่เสียงของคนที่เคยดื้อรั้นผู้นั้นเท่าไรนัก..และใช่ ใครบางคนเห็นภาพนี้ทุกอย่าง..ทุกสิ่ง


ณ มุมหนึ่งของศาลา ใต้เงาไม้ที่ทอดตัวคลุมอย่างเป็นธรรมชาติ ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรดูมีราคาอยู่บ้างแต่เป็นสีหม่นไร้ตราสัญลักษณ์ใด ๆ เดินเข้ามาช้า ๆ เขามีหมวกทรงกลมปิดใบหน้าไหล่ตั้งตรงแต่แฝงความเรียบลื่นคล้ายคนฝึกยุทธ์มาอย่างหนักแต่ไม่แน่ใจว่าฝึกจริงหรือไม่ท่าทางนั้นมันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มือเรียวยาวซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม กลิ่นจาง ๆ ของพัดไม้หอมที่เขาชอบพกไว้ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ยังไม่เปลี่ยน เขาเดินมาหยุดอยู่ห่างจากหลินหยาสองก้าวครึ่ง...ไม่มากไม่น้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่เสียงของขันทีผู้หยอกเย้าผู้อื่นด้วยถ้อยคำเฉียบคมเสียดแทงเช่นในวัง แต่เป็นเสียงของชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่ง ซึ่งทุ้มต่ำ...ช้า และฟังแล้วคล้ายจะเจือแววอ่อนโยนอยู่ปลายถ้อยคำ


“แม่นางน้อยดูเหมือนคนไม่ค่อยสบาย...นั่งท่ามกลางดอกไม้พิษเช่นนี้ หากสลบไปก็ไม่มีใครรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ” เขาไม่เอ่ยนาม แต่เลือกจะนั่งลงอีกฝั่งศาลาโดยไม่ขออนุญาตเช่นกัน


“หืม?..” หลินหยาชะงักเล็กน้อยเพราะไม่นึกว่าจะพบใครที่นี่ ก่อนจะเหลือบตามองเขา เธอไม่พูดทันที อาจเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคือใคร หรือเพราะอ่อนแรงเกินกว่าจะถามอะไร แต่เพียงครู่ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าแต่ยังแฝงรอยดื้อดึง “เช่นนั้นเป็นดอกไม้พิษหากไม่เด็ดเข้าปากก็คงไม่ถึงตายเจ้าค่ะ...แต่บางทีหากมันจะฆ่าข้าเพียงด้วยกลิ่น...ก็คงแปลว่า ข้าอ่อนแอเกินไปแล้วจริง ๆ กระมังเจ้าคะ”


ชายหนุ่มในเงามืดปล่อยให้ความเงียบกลืนกินคำพูดนั้นไปชั่วอึดใจ เขาเอื้อมมือไปช้า ๆ ยกชายเสื้อของตนขึ้นแล้วฉีกออกเสี้ยวเล็ก ๆ ยื่นออกไปวางตรงข้างตัวนาง โดยไม่แตะต้องกายแม้ปลายเล็บ “เอาไว้ซับเลือด หากไอจนขากเสมหะสีแดงอีก” เขาเอ่ยขึ้นราวกับรู้ดีว่าร่างกายนางกำลังเผชิญอะไรอยู่


ดวงตาของหลินหยาเบิกเล็กน้อย เธอขมวดคิ้วนิดหนึ่งอย่างไม่ไว้ใจแต่ถ้าถามว่ารับเศษผ้าที่โดนฉีกมาไหม ก็เอามานะ เอามาซับคราบเสมหะเมื่อกี้บนมือน่ะ... “ข้าเอ่อ.....ไม่เคยรู้จักท่านใช่ไหมเจ้าคะ?” เธอกล่าวพลางผงะเล็กน้อย


เขายกมือซ้ายขึ้นแตะหมวก ปล่อยให้เงาไม้บดบังใบหน้าไว้อย่างมิดชิด “อืม...แม่นางไม่รู้จักข้า...นามของข้าคือ ห่าวหมิง ข้าเคยมาที่ศาลานี้ทุกวัน ข้าชอบที่นี่ เพราะมันเงียบและไม่มีใครถามคำถามมาก” เขาพูดเรียบ ๆ ไม่ขุ่นเคือง ไม่กระตือรือร้น เงียบงันเหมือนธารน้ำลึกที่ไม่อาจหยั่งถึง “แต่วันนี้ ข้าเห็นแม่นางเดินเข้ามาเหมือนวิญญาณหลงทาง” เขาวางพัดไม้หอมในมือลงตรงหน้าตัวเอง พลางเอนหลังเล็กน้อยให้พิงเสาไม้ศาลาอย่างสบาย ๆ “แม่นางจะให้ข้าเงียบก็ได้...แต่ข้าว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้นั่งตายช้า ๆ เพียงลำพัง”


คำว่า ‘ตายช้า ๆ’ ทำให้หลินหยาเงียบกริบ นางก้มหน้ามองพื้นก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาเหมือนกำลังพูดกับตัวเองมากกว่าผู้อื่น


“เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้าค่ะ..แต่ว่าข้าน่ะ ไม่ได้กลัวตายหรอกนะเจ้าคะ..แต่ข้าไม่อยากตาย..โดยที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองเสียทีน่ะเจ้าค่ะ” เสียงของหลินหยาเหมือนจะสั่นเพียงเล็กน้อย นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นจนสั่น “ข้าน่ะไม่อยากให้ใคร...มากำหนดว่าเราควรมีชีวิตต่อไปหรือไม่เจ้าค่ะ...ไม่อยากให้ใครมาล่ามโซ่เราไว้ แล้วบอกว่านั่นคือความเมตตา...”


ชายหนุ่มเงียบไม่ขัดหรือเตือน กระทั่งปลอบก็ไม่ เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ อย่างเข้าใจและนั่นยิ่งทำให้หลินหยาต้องเงียบไปมากกว่าเดิมเพราะพึ่งเป็นคนรู้จักกันเท่านั้นเอง “แม่นางพูดเหมือนเข้าใจมันดี…” เขาเอ่ยบอกแล้วเหมือนกับทำสีหน้าบางอย่างแต่เพราะหลินหยามองไม่เห็นนางเลยไม่ได้อะไร นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ จ้องมองใบหน้าที่โดนปิดไว้มิดชิดในเงามือของเขาแบบแปลก ๆ 


“เอ่อ..หรือ?...ท่านก็..เคยถูกล่ามไว้เช่นกันหรือเจ้าคะ? ท่านชายห่าวหมิง?”


ใบหน้าภายใต้เงาหมวกคลี่ยิ้มบางเบารอยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม “ไม่แน่ใจ...บางครั้งข้าอาจไม่เคยถูกล่ามหรอก หรือบางครั้งข้าอาจจะเคยล่ามผู้อื่นไว้แทน...และไม่สามารถลืมแววตาของคนผู้นั้นได้เลย จนถึงทุกวันนี้” ใบหน้าภายใต้เงาหมวกคลี่ยิ้มบางเบารอยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม หลินหยาเหมือนจะขยับริมฝีปาก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร...เธอหันกลับไปมองดอกจื่อเถิงฮวาที่ยังแกว่งไกวในสายลม พยายามกลืนความสั่นไหวลงคอ พลางกระชับผ้าคลุมรอบไหล่ให้แน่นขึ้น


หลินหยากระพริบตาช้า ๆ คล้ายพยายามประมวลคำพูดของบุรุษแปลกหน้าในชุดเรียบธรรมดาแต่กลับทำมาจากผ้าเนื้อดีมากกว่าปกติ นางไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรกับคำพูดที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงอันแฝงความหม่นของเขา ร่างบางขยับเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาเขาด้วยแววตาเหนื่อยล้าแต่ยังเปี่ยมด้วยมารยาทอ่อนหวานดังที่เคยได้รับการอบรมมา


“อ้อ..จริงสิข้าน้อย...หลินหยาเจ้าค่ะ ขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป” น้ำเสียงของนางไม่สดใสดังเช่นเมื่อก่อน หากแต่ยังคงน่าฟัง เสียงนุ่มที่เอ่ยแนะนำตนอย่างสุภาพราวกับลมหายใจผ่านปลายลิ้นกระซิบอยู่ในหู นางก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการแนะนำตัวให้อีกคนพลางยกมือคำนับแบบตามมารยาท “ร่างกายของข้าในตอนนี้เป็นอะไรสักอย่างที่อธิบายยากนักเจ้าค่ะ..” นางเอ่ยพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แต่ก็เหมือนจะขำกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“นับว่าอ่อนแอมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วล่ะเจ้าค่ะ ร่างกายเหมือนจะค่อย ๆ ทรุดลงไปเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวที่กำลังกัดกินข้าทีละน้อย ทีละนิด” หลินหยาพูดถึงตรงนี้ก็ยกมือเท้ากับพื้นศาลาแล้วมองดอกไม้ด้านนอกนั้นไปด้วยความสบายใจราวกับว่าตอนนี้ต่อให้ตายนางอาจจะเสียดายแต่คงไม่เสียใจ “แต่ข้าว่าข้าคงจะอยู่รอดได้อีกหน่อยเจ้าค่ะ..หากยังมีหมอเทวดาสักคนมารักษา..” นางยิ้มเจื่อนแต่แล้วก็หยุดเล็กน้อย คล้ายลังเลว่าจะเล่าให้ฟังดีไหม แต่เพราะอีกคนคงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งใด เล่าให้ฟังไปก็ไม่เป็นอะไรละมั้ง? “หรือไม่ก็อีกคนหนึ่งเจ้าค่ะ..แต่ข้าไม่คิดว่าจะได้พบกับเขาอีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงนางแผ่วลงเสียจนสายลมต้องช่วยพัดถ้อยคำไปถึงใบหูของคนที่นั่งข้าง ๆ แต่ไม่ได้ใกล้ขนาดนั้น


บุรุษในเงาไม้...หรือที่เวลานี้ใช้ชื่อว่า ห่าวหมิง ไม่ได้หันมองนางโดยตรง เขายังคงทอดสายตาออกไปยังดอกจื่อเถิงฮวาที่ไหวพลิ้วใต้สายลมเหมือนนางเช่นกัน ไม่มีอาการสะท้าน ไม่มีการกระตุก ไม่มีแม้แต่เสียงถอนหายใจอย่างรู้สึกใด...ทว่าแววตาใต้เงาหมวกที่เคยนิ่งเฉยในคราแรกกลับไหววูบลงไปลึก ๆ ในดวงตาสีเข้มราวกับบึงดำ


หลินหยา..นางยังคงจดจำเขาในฐานะจางกงกงได้ แม้จะเอ่ยชื่อไม่ได้ก็ตาม และเขากำลังนั่งอยู่ข้างนางในฐานะชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง ที่ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะพบ..แต่พบเพราะเขาต้องปลอมตัวยามออกไปไหนมาไหนในช่วงสามเดือนนี้เพราะตัวเองโดนกักบริเวณโดยจางทัง แต่เพราะอำนาจที่เขามี จางทังจึงทำอะไรไม่ได้ การขึ้นศาลแล้วโดยโบยไม่ได้ทำให้อำนาจของเขาสั่นคลอนแต่อย่างใดกับสิ่งที่เขาฝังรากลึกเข้าไปของราชสำนัก

หากมีใครที่จะมองเข้าไปในจิตใจของจางกงกง ณ เวลานี้..หรือที่เรียกว่า ห่าวหมิง ตามชื่อรองที่เขาแนะนำตัวไป จะเห็นทะเลอารมณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้เต็มตาเขารู้สึกได้ถึงบางอย่างในอกที่กำลังบีบรัด ความรู้สึกที่ไม่อาจมีคำเรียกแท้จริง ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าเสียใจหรือไม่เพราะตัวเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นคำนั้นเหมือนกัน ที่เคยเป็นผู่ล่ามนางไว้ด้วยมือตนเอง..หรืออาจจะคิดว่าบางทีนางอาจจะรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ไม่เลย หลินหยาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ


เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง รอให้น้ำเสียงในใจกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “ดูเหมือนเขาจะมีค่าต่อแม่นางมาก...คนที่พูดถึงน่ะ”


หลินหยาไม่ได้ตอบทันที นางหลุบตาต่ำ มือบางกำผ้าคลุมแน่นเหมือนจะหลีกเลี่ยงการพูดถึง แต่ท้ายที่สุดกลับเอ่ยเบา ๆ แบบปลง ๆ นิดหน่อยเพราะเอาความจริงจะว่ามีค่าไหม?..ไม่รู้สิ เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับเธอสุด ๆ “เขาไม่ใช่คนดีนักเจ้าค่ะ...และข้าก็ไม่ใช่คนดีนักเช่นกัน แต่บางครั้ง...มันก็มีคนที่ข้าไม่อาจเกลียดได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเจ้าค่ะ..เรียกว่าเช่นไรดีล่ะ?...อืม..ไม่อาจให้อภัย แต่ก็ไม่อาจลืมละมั้งเจ้าคะ” น้ำเสียงของนางเปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับผู้หญิงที่เคยยืนหยัดบนความแค้นและความกล้าเช่นนาง


จางกงกงหลับตาลงเล็กน้อยไม่มีใครมองเห็นน้ำเสียงที่ค่อย ๆ ตกค้างอยู่ในอกเขา ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เงียบข้างกาย...กำลังทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำไว้ และก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาตอบตนเองอยู่ในใจ แต่เอาตรง ๆ หากเขาคิดก็คงไม่พ้นว่าหากมีโอกาสย้อนกลับไป..เขาก็จะยังคงทำเหมือนเดิม แต่อาจจะไม่ปล่อยให้นางต้องช้ำลึงถึงเพียงนี้ “บางที...” เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนช้า ๆ “คนผู้นั้น...อาจยังไม่ไปไกลนักก็ได้นะ”


หลินหยาชะงัก เธอหันมามองเขาช้า ๆ ก่อนจะหลุบตาลงอีกครั้ง “ก็ไม่แน่ใจสิเจ้าคะ..เขาก็ดูแปลกทุกการกระทำน่ะเจ้าค่ะ” นางบอกเช่นนั้น ก่อนที่ท่านชายห่าวหมิงเหมือนจะกำลังเดินจากไปโดยไม่เอ่ยคำลาแต่อย่างใด สำหรับเขา เขายังมีเวลาอีกมากในช่วงกักบริเวณ...มากพอจะคิดวิธีเจอกับหลินหยาอีกครั้งในนามของ ห่าวหมิง ไม่ใช่จางกงกง หากนางยอมเปิดใจให้คนแปลกหน้า...บางที เขาอาจได้รู้จักหลินหยาใหม่อีกครั้งโดยนางก็ไม่จำเป็นไม่ต้องลืมสิ่งที่เขาเคยทำลงไปเลยแม้แต่น้อย


แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวพ้นระยะของเงาของศาลาไม้เลย เสียงเล็ก ๆ ของหลินหยากลับดังขึ้นจากเบื้องหลัง "ท่านชายห่าวหมิง...รอก่อนเจ้าค่ะ" เสียงของนางอ่อนหวานอยู่ดังเดิม ทว่าคราวนี้กลับปนบางอย่างที่ยิ่งกว่าการเอ่ยเรียก มันคือการดึงกลับด้วยบางสิ่งที่คนอย่างเขาไม่คาดคิดว่าหลินหยาจะเอื้อมมาหา...เขาหยุดฝีเท้าโดยอัตโนมัติ ไม่หันกลับทันที แต่ในวินาทีนั้น...เสียงฝีเท้าเบาหวิวของนางก็ก้าวใกล้เข้ามาแล้ว พร้อมกับเงาที่ซ้อนขึ้นข้างเขาอีกครั้ง


ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำตอบใดได้ ดวงตาคมใต้เงาหมวกกลับเห็นบางอย่างไหลเป็นทางเล็ก ๆ จากปลายจมูกของหลินหยาเป็นสีแดงชาดแต้มบนใบหน้าซีดจางราวดอกเหมยเหี่ยวเฉา เลือดกำเดา...แม้จะไม่มาก แต่กลับทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบ ดวงตาแทบหรี่ลงโดยไม่รู้ตัว หลินหยาไม่ได้ตกใจเลยสักนิด มือเรียวของนางเพียงแค่ยกขึ้นปัดเลือดออกเหมือนเคยชิน "ไม่ต้องใส่ใจเจ้าค่ะ..." นางพูดพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่แม้จะดูเหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย “ช่วงนี้มันเป็นบ่อย ข้าว่าอากาศเปลี่ยนมั้ง” คำพูดนั้นเหมือนกำแพงบาง ๆ ที่นางก่อขึ้นมา เพื่อไม่ให้ใครห่วงใยแต่เอาความจริง..น่าจะจากพิษในร่างกายแหละ


เขาเงียบ ไม่เอ่ยคำใด แต่ดวงตาภายใต้เงาหมวกที่เคยนิ่งสนิทกลับสั่นระริกในวูบหนึ่ง เขารู้ว่านั่นไม่ใช่อาการทั่วไป อาการเลือดกำเดาแบบนั้น...เป็นหนึ่งในผลกระทบของพิษเรื้อรังที่ฝังอยู่ในร่างนาง..อาจจะถอนให้ได้ในตอนนี้ แต่หากจะถอนตอนนี้นางจะรู้ซึ่งทุกอย่าง..เพราะงั้น..ยัง..ยังไม่ใช่ตอนนี้


แต่แล้วก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปกว่านี้ นางกลับยื่นบางอย่างมาตรงหน้า กล่องไม้เคลือบเงาให้เขา ภายในบรรจุขนมกลมสีขาวเขียวงามประณีต “ขนมปิงผีเยว่ปิ่ง...เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาแต่แฝงความเอื้ออาทรตามแบบหลินหยาที่เขาเคยรู้จัก “เมื่อวานข้าทำให้เพื่อนเจ้าค่ะ แต่ดันกะสูตรพลาด ทำออกมาเยอะเกินไปเสียจนไม่รู้จะทำอย่างไร เลยแบ่งไว้เผื่อใครผ่านมา...อย่างท่านชายห่าวหมิง..เอ่อ หากท่านไม่รังเกียจสนใจเอาไปทานระหว่างทางไหมเจ้าคะ?”


นางยังคงเรียกเขาว่า ห่าวหมิง โดยไม่รู้ว่าคือคนที่ทำให้นางร้องไห้จนไม่อาจหายใจได้ในคืนหนึ่ง เขายื่นมือออกมาช้า ๆ รับกล่องขนมด้วยท่าทีนุ่มนวล ราวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือสิ่งล้ำค่ากว่าทองคำ “ข้าจะรับไว้” เขาตอบเบา ๆ สายตาสบกับนางครู่หนึ่ง และในขณะนั้นแววตาของเขาก็อ่อนลงอย่างน่าใจหาย “ข้าจะกินทุกชิ้น” เขาเสริมราวกับสาบานเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เพื่อจะได้รู้ว่า…ข้าจะยังหลงเหลือความรู้สึกอยู่บ้างไหม เวลาข้าได้ลิ้มรสสิ่งที่คนคนหนึ่งทำให้ด้วยใจ”


หลินหยายิ้มอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ตอบโต้หรือซักถาม เพียงแค่หลบตาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำง่าย ๆ “ดีแล้วเจ้าค่ะ...เพราะข้าก็ไม่รู้จะมอบให้ใครเหมือนกัน ไม่งั้นมันเสียเพราะข้ากินไม่ทันข้าคงเสียดายอ่ะเจ้าค่ะ”


ห่าวหมิงยืนนิ่งมองนางอีกครู่ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ “รักษาสุขภาพด้วย...ข้าจะรอเจอแม่นางอีก...ที่ไหนสักแห่ง” เขาเอ่ยเหมือนจะกล่าวลา เหมือนจะปล่อยให้การพบหน้ากันครั้งหน้าเป็นเรื่องของโชคชะตาระหว่างกันก็เพียงพอ


เมื่อหลินหยาได้ยินประโยคว่า “ข้าจะรอเจอเจ้าอีก...ที่ไหนสักแห่ง” นางกลับเอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายสงสัยแต่ไม่ซักถาม ไม่ได้ตั้งคำถามว่าเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงอยากพบตน หรือเพราะเหตุใดจึงพูดในทำนองว่าคงมิได้พบกันบ่อย ท่าทางเช่นนั้นช่างเรียบง่าย…ใสซื่อ…และเป็น หลินหยา ที่เขาเคยรู้จัก นางยิ้มเล็ก ๆ ดวงตาคู่นั้นโค้งรับแสงแดดยามเซินราวกับน้ำในบึงต้องแสง เธอพูดเบา ๆ พลางมองกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นในลม "หากท่านชายอยากเจอข้าอีกนะเจ้าคะ...ช่วงนี้ข้ามักไปเดินเล่นที่ถนนสิบลี้บ่อยเจ้าค่ะ" เสียงของนางอ่อนหวานแผ่วเบาแต่ชัดเจน “มันเป็นอีกที่ที่ยังพอให้ข้ารู้สึกเหมือนยังมีชีวิตอยู่...มีผู้คน มีร้านรวง และเสียงหัวเราะ ข้าเดินวน ๆ แถวนั้นเจ้าค่ะ ปกติจะทำงานแต่ตอนนี้ทำงานไม่ค่อยไหวละ” เธอหยุดชั่วครู่ คล้ายชั่งใจ ก่อนจะเสริมเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย


"แล้ว...ถ้าท่านไม่เบื่อศาลาแห่งนี้เสียก่อน ข้าก็จะมาที่นี่อีกเจ้าค่ะ...พรุ่งนี้ ยามเซินเช่นเดิมเจ้าค่ะ" ท่าทางของนางในตอนนี้ต่างจากตอนที่อยู่ในตำหนักจงฉางชื่อลิบลับ นางไม่ก้มหน้า ไม่หลบสายตา ไม่มีเสียงสั่นหรือมือที่กำชายเสื้อแน่นเหมือนกำลังฝืนทนต่อชีวิต ทั้งที่พิษยังอยู่ในกาย และแม้จะยังซีดเผือด แต่กลับเต็มไปด้วยพลังใจบางอย่างแรงใจที่คนตรงหน้าของนางไม่มีทางลืม


ห่าวหมิงยังไม่ตอบในทันที เขาเพียงมองกล่องขนมในมือราวกับมันคือของล้ำค่าจากเงามืดของอดีตที่เขาไม่มีวันลบได้ ดวงตาที่ปกปิดใต้หมวกยังจับจ้องใบหน้าของนางราวกับจะเก็บไว้ทุกเศษเสี้ยว "หากแม่นางยังมา...ข้าจะมา" เสียงของเขาแผ่วลง ราวลมผ่านเงาไม้ "ตราบใดที่แม่นางรู้สึกว่าโลกภายนอกยังน่าอยู่พอจะออกมาเดินเล่นได้...ข้าจะไม่หายไปไกล"


แน่นอน..เขามองนางให้คนตามนางเสมอแม้นางจะออกจากวังหลัง แม้หวยหนานอ๋องจะประกาศกราวถึงเพียงนั้น แม้เขาจะยังไม่กล้าบอกความจริงแต่นาทีนี้...เขาแค่อยากเห็นนางยิ้ม...อย่างที่นางกำลังยิ้มให้อยู่ตอนนี้ แสงแดดยามเย็นสาดผ่านกลีบดอกจื่อเถิงฮวา ร่วงหล่นลงบนไหล่ของนาง สะท้อนเงาบางของชายผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง...ในคราบของผู้แปลกหน้า ที่อาจทำลายนางได้มากกว่ากว่าผู้ใดในโลกนี้ แต่แม้นจะใกล้เพียงลมหายใจเขากลับเป็นเพียงเงาเงียบ


ที่ได้แต่มองนาง…โดยไม่อาจเรียกชื่อนั้นของตนเอง



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาแล้วจ้าาาา มาปักเมนแล้วจ้า ให้เวลาน้อยตั้งสามสี่วันนน


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

มอบ ขนมบัวหิมะ ขนมว่างเกรดทอง ความสัมพันธ์ +20 (โอนแล้วจ้า)

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-6-30 12:00
โพสต์ 69605 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-30 05:49
โพสต์ 69,605 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-6-30 05:49
โพสต์ 69,605 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-30 05:49
โพสต์ 69,605 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-30 05:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-1 04:22:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-1 10:11


วันที่ 01 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 16.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


เสียงลมยามเซินฤดูร้อนเดือนใหม่พัดผ่านเบา ๆ เงาไม้จากต้นจื่อเถิงฮวาที่ทอดตัวลงบนพื้นศาลาแผ่วไหวไปตามแรงลม เหล่ากลีบดอกสีม่วงอ่อนปลิวหล่นลงบนเรือนผมนุ่มของหญิงสาวที่นอนตะแคงหน้าฟุบกับพื้นศาลา ศีรษะหนุนแขนตัวเอง ใบหน้าเปล่งปลั่งแต่ปวกเปียก หน้าท้องตึงเสียจนเนื้อผ้าสีชมพูหวานตึงรัดเห็นเป็นทรงชัดเจน ปากน้อย ๆ เม้มแน่นคล้ายกลั้นเสียงครางอึดอัดในคอ ข้างกายมีถาดเนื้อกวางผัดพริกชวงเจียสีแดงฉานส่งกลิ่นเผ็ดฉุนร้อนแรงกับไหสุรานารีแดงที่ผนึกฝาปิดไว้แน่น ราวกับรอการเปิดออกพร้อมระเบิดความร้อนแรงอีกระลอก


"อื๊ออออออ…อื้อหือ ท้องมันแน่นจะแตกอยู่แล้ว…แม่เอ้ยยย" เสียงครางเบา ๆ ของหลินหยาดังขึ้นในลำคอ นางค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วจิกชายเสื้อพัดตัวเองเบา ๆ ทั้งที่ไม่มีแรงแม้จะนั่ง หลังจากไปโรงอุปรากรกับใต้เท้าเถียนเฟิงก็หยิบนู่นนี่อย่างไม่หยุดมือเอาเข้าปาก เสร็จแล้วยังโดนชาวบ้านเจ้าประจำยัดของกินกลับมาให้อีกสามห่อ ท้องน้อยของนางที่ปกติกินแค่ข้าวหนึ่งถ้วยเล็ก ๆ กับขนมอีกชิ้น กลับถูกอัดแน่นเต็มไปหมดจนไม่ต่างอะไรกับท่อไผ่ที่ใส่ไส้จนแน่นเปรี๊ยะ


"โอ๊ย…ตายแน่ข้า…ใครมันจะไปกินเนื้อกวางพูนเท่านี้กับสุราอีกไหลงได้กันนะ…ข้าไม่ใช่เสือ!" มือบางลูบท้องตัวเองพลางเงยหน้ามองไปยังทางเดินซึ่งทอดผ่านลานไม้หน้าศาลา ดวงตาหวานที่ฉ่ำเยิ้มด้วยพิษอิ่มจนเกินพอดีเริ่มสอดส่องหาเงาของใครบางคนที่นางเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะมาหรือไม่


"ท่านชายห่าวหมิง…จะมารึเปล่าเนี่ย…" นางพึมพำพาดพิงถึงเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับในหัวมีแต่ชื่อเขาลอยวนอยู่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคือเพียงคุณชายที่พบกันไม่กี่ครา แต่เพราะการพบเจอกันในสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดครั้งก่อน แล้วเขากลับปฏิบัติต่อนางเหมือนนางยังเป็นคนปกติ...มันเลยฝังลงในใจอย่างแปลกประหลาด


หลินหยาหรี่ตามองฟ้า ลมเย็นปะทะแก้มจนเธอเผลอหรี่ตาแล้วเงียบลง…แต่ท้องกลับไม่เงียบตาม มันร้องครืดคราดเหมือนกำลังประท้วง เธอหน้าเบ้อย่างเห็นได้ชัด "ถ้าท่านชายไม่มา ข้าคงต้องนอนอยู่ที่นี่จนถึงยามไห่เลยละมั้งเนี้ย…เฮ้อ…แต่หากมานะ…" หญิงสาวยกนิ้วจิ้มพุงตัวเองเบา ๆ พลางบ่นอุบ "…ก็ฝากเนื้อกวางกับสุราไปเลยละกัน ข้าจะหลับแล้ว อย่าปลุก ข้ากินข้าเมาข้าจุกแล้ว…"


แต่ในความเป็นจริง…นางยังคงเปิดเปลือกตาข้างหนึ่งไว้ มองทางเดินราวกับเด็กน้อยรอพ่อแม่กลับบ้าน แม้ปากจะพูดว่าไม่รอ แต่สายตากลับเฝ้ารออย่างเงียบงัน เงาไม้ไหวเบา ๆ เสียงรองเท้าหนังแตะพื้นดินดังชัดเจนขึ้นในความเงียบของศาลา หลินหยายกมือปิดปากกลั้นเรอทันทีแล้วรีบตีหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าไม่อาจห้ามใบหูเล็ก ๆ ที่แดงวาบขึ้นอย่างน่าเอ็นดู


เสียงฝีเท้าเงียบ ๆ ของใครบางคนหยุดลงตรงปลายศาลา เสียงรองเท้าหนังขัดดีแตะกับแผ่นหินอย่างนุ่มนวล ห่าวหมิง…หรือจางกงกงในคราบของเขา ยืนแนบเงาอยู่ใต้ต้นจื่อเถิงฮวา ใบหน้าแม้ปกปิดด้วยหน้ากากบางสีเข้ม แต่แววตานั้นใต้เงาขนตากลับหรี่ลงช้า ๆ อย่างประหลาดใจ..


…หลินหยา??


นางไม่ได้นั่งเรียบร้อย ไม่ได้อยู่ในสภาพฟุบหลับอย่างเหนื่อยล้าเหมือนเมื่อวาน แต่กลับนอนแผ่กลางศาลา ร่างน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยราวกับแมวป่าขู่ฟ่อกลับกลายเป็นลูกแมวพุงตึงที่นอนราบพาดไปกับขอบโต๊ะ ขากางจนชายกระโปรงกระจายเรียงพริ้วตามพื้นศาลา มือทั้งสองกางอ้าขึ้นประหนึ่งแพ้ภัยชีวิต ดวงหน้างดงามที่เปื้อนเหงื่อเบาบางจากฤทธิ์อาหารหรือฤทธิ์แดดก็ไม่อาจแน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ คือดวงตาคู่นั้นที่เบิกมองเขาแว่บหนึ่งก่อนจะแสร้งหรี่หลับอย่างรวดเร็ว...นั่นน่ะต้องแอบทำอะไรลับหลังแน่ ๆ …


ห่าวหมิงก้าวขึ้นบันไดศาลาเงียบ ๆ เสียงปลายชายผ้าลากผ่านพื้นไม้สะอาดจนได้กลิ่นจันทน์แดงที่อาบตัวเขาอยู่ทุกวันก่อนออกจากตำหนักเวลาปลอมตัว เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ยืนอยู่เหนือศีรษะของนางโดยไม่พูดสิ่งใดครู่หนึ่ง ทอดตามองตั้งแต่ผมนุ่มดำเงาแซมกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนไปยังใบหูข้างหนึ่งที่แดงซ่านขึ้นเหมือนเพิ่งโดนลมหยอก ขยับมองเรื่อยไปถึงหน้าท้องที่ป่องขึ้นราวกับลูกพีชยัดแน่นจนข้างในแทบร้องขอชีวิต


"...เจ้าตายแล้วหรือแม่นางหลินหยา?" น้ำเสียงเขาเรียบขรึม แต่แฝงปลายแกล้งถามหยอกเย้าอย่างร้ายลึก ดวงตาภายใต้หน้ากากพลันไหวเบา ๆ หญิงสาวที่นอนอยู่เปิดตาข้างหนึ่งขึ้นช้า ๆ ส่งเสียงฟึดฟัดผ่านจมูกเล็ก ๆ ก่อนจะยกมือปัดหน้าตัวเองเล็กน้อยแล้วงึมงำตอบแบบไม่อาย “ยังเจ้าค่ะ..แค่เกือบ…เอือกก” 


"ข้าเห็นแล้ว" เขาว่าพลางเหลือบตามองถาดเนื้อกวางผัดพริกที่ยังคงส่งกลิ่นฉุนร้อนแรงอย่างท้าทายไหลจมูก พร้อมไหสุรานารีแดงที่สั่นคลอนเพราะแรงลมอ่อน พริบตานั้นความคิ้วขมวดบาง ๆ ก็แตะขอบหน้าผากของเขาโดยไม่รู้ตัว "แม่นางไปออกศึกกับผู้ใดมารึ? หรือแค่ทานอาหารกินเลี้ยง?"


"อ๊า..ข้าไปดูอุปรากรเจ้าค่ะ...แล้วก็โดนขุนจนพุงป่อง" นางตอบเสียงอู้อี้ในลำคอไม่ต่างกับเด็กเล็กที่งอแงไม่อยากตื่น ห่าวหมิงพอได้ยินแบบนั้นก็เหมือนว่าเขาคิดอะไรบางอย่าง "ข้าเห็นว่าแม่นางสวมชุดสวยผิดวิสัย สีชมพูอ่อนเช่นนี้แม่นางควรสวมไปเดินเล่นในสวนหรือออกงานแต่ง ไม่ใช่นอนพุงตึงกลางศาลา" น้ำเสียงเขาราบเรียบ แต่เนื้อความจงใจกระเซ้า


"แล้วข้าจะรู้ไหมเจ้าคะ..ว่าท่านชายจะมา" เธอบ่นขึ้นเบา ๆ ถึงจะพึ่งุถามตัวเองว่าเขาจะมาหรือไม่ก็ตาม...พลางหลับตาพริ้มราวกับไม่แคร์จะปิดบัง เจ้าแมวอ่อนแรงที่ยังไม่ยอมลดเขี้ยวเล็บ เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงที่หลุดจากอกนั้นเย็นนุ่มและร้ายลึกอย่างเงียบงัน "ถ้าข้าไม่มา แม่นางอาจนอนอยู่ที่นี่จนค่ำ แล้วโดนฝูงมดยกพุงเจ้ากลับรังแน่"


หลินหยาเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างช้า ๆ "ข้าไม่หวานขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ..ไม่ไหว" พูดด้วยสภาพที่เหมือนจะอ้วกได้ตลอดเวลา ขอเวลาย้อนอาหารแปปหนึ่งได้ไหม ขอแค่อีกนิด กระเพาะกำลังทำงานอยู่รอหน่อยนะ "หืม" ห่าวหมิงคลี่ยิ้มภายใต้หน้ากากที่บดบังครึ่งหน้า เขาคุกเข่าลงข้างศาลาอย่างเงียบงัน มือข้างหนึ่งประคองสุราอีกไหไว้หลวม ๆ พลางจับถ้วยขึ้นมาเทเบา ๆ "สุรานารีแดง…เจ้าว่าไหมว่านี่มันของล่อชายดี ๆ ชัด ๆ"


"ก็ท่านชายโดนล่อมาแล้วนี่นาเจ้าคะ" เธอหัวเราะแผ่ว ๆ ในลำคอเสียงนั้นอ่อนแรงแต่ฟังแล้ว…อบอุ่นเสียจนใจที่ปิดไว้ของเขาสะเทือนบาง ห่าวหมิงไม่ตอบเขาเพียงนั่งนิ่งมองสตรีที่แม้จะป่วยแม้จะจุกแน่นจนพุงตึง...แต่นางกลับยังสามารถยิ้มอย่างที่นางอยากยิ้มได้ มองเขาอย่างที่นางอยากมอง...โดยไม่ต้องหวาดกลัว ไม่ต้องปั้นหน้าหวาดระแวง เหมือนที่นางเคยมอง ‘จางกงกง’ นี่หรือเปล่า…ภาพของหลินหยาในแบบที่ไม่เคยปรากฏให้เขาเห็นจริง ๆ มาก่อน


"ข้าจะช่วยเจ้ากินเนื้อครึ่งหนึ่ง" เขาเอ่ยพลางเทสุราให้ตัวเองแล้วจิบ "แต่อีกครึ่ง…เจ้าต้องเล่าให้ข้าฟัง ว่าข้าได้พลาดดูอุปรากรที่น่าขันแค่ไหนไปบ้าง" ห่าวหมิงยกถ้วยสุราขึ้นแนบริมฝีปากเพียงครึ่ง ริมฝีปากกระตุกยิ้มบางเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเอนตัวลุกขึ้นพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะคุมท่าทางไม่ให้ดูเปิ่น แต่ก็ไม่วายเผลอครางเบา ๆ เพราะแรงตึงของท้องตัวเอง ก่อนจะนั่งแหมะลงตรงข้ามอย่างคนหมดแรงในชุดงามที่ดูไปแล้วก็คล้ายตุ๊กตาผ้าอ้วนพอง


"ข้ารู้เลย...ว่าท่านชายต้องฉลาดแน่ ๆ เจ้าค่ะ..แหม่ถึงกับเข้าใจข้าได้แม้ตอนพุงตึงว่าต้องการคนช่วยกิน" หลินหยายิ้มหวาน แก้มของนางพองขึ้นราวกับซาลาเปานึ่งใหม่ หยิบตะเกียบขึ้นมาเล่นก่อนจะเขี่ยเนื้อกวางบนจานอย่างเชื่องช้าแล้วพูดด้วยเสียงขี้เล่น "ไม่ต้องหวังให้ข้าเล่าเนื้อหาในโรงอุปรากรหรอกเจ้าค่ะ ข้าดูไม่ทันเลย พอถึงโรงก็นั่ง พอนั่งปุ๊บก็…กิน แล้วก็…นอนจ้า" เสียงสุดท้ายนั้นเอื้อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างรื่นรมย์ราวกับเป็นความภูมิใจส่วนตัว ห่าวหมิงขยับตาอย่างลอบกลั้วหัวเราะในใจ “เจ้าควรไปสมัครเป็นนักชิมในโรงเตี๊ยม..หากจะกินตลอดแบบนี้” เขาบอกแบบนั้น 


"ข้าก็คิดแบบนั้นนะเจ้าคะ!" นางพูดเร็วราวกับเห็นด้วยในทันที "แต่ท่านหมอขู่จะเอาไม้ฟาดหลังหากข้าไม่ยอมออกไปเดินเล่นบ้างหรือหากทำงานก็จะตีเหมือนกัน ข้าก็เลย…มากินข้างนอกแทนไงเจ้าคะ!" นางสรุปอย่างภูมิใจราวกับการกินคือภารกิจแห่งชีวิต 


ห่าวหมิงยิ้มไม่ออกเสียง ดวงตาเขาเหลือบมองสตรีตรงหน้าอย่างยากจะอ่าน สีหน้ายังเรียบ เงียบงัน เหมือนเขาไม่คิดอะไรมาก...แต่ภายในกลับมีบางอย่างสะท้อนอยู่ในแววตาลึก ๆ ราวกับจะถามตนเองว่าทำไมนางจึงกล้าเป็น ‘ตัวเอง’ ได้อย่างอิสระยามไม่อยู่ต่อหน้าจางกงกงเช่นเขา "...แล้วเรื่องที่แสดงเป็นเช่นไร..ชีวประวัติรึ?" เขาถามอย่างเหมือนไม่ใส่ใจ พลางหยิบเนื้อกวางชิ้นเล็กเข้าปาก


"ก็เส้นทางของลู่กุ้ยเฟยน่ะเจ้าค่ะ" หลินหยาพูดทันที แล้วถอนหายใจเล็ก ๆ "ลูกสาวของคหบดี...ที่ภายหลังขึ้นเป็นกุ้ยเฟย แล้วก็…กำลังจะเป็นฮองเฮาน่ะเจ้าค่ะ แบบตัวเต็งฮองเฮา ไม่รู้ใ้ตเท้าเถียนเฟิงจะให้ข้าไปทำไมแต่ก็ช่างเถอะ”


ห่าวหมิงเลิกคิ้วในเงาหน้ากาก เหมือนอยากจะถามว่าเถียนเฟิงเกี่ยวอะไรด้วย แต่เขาไม่พูด พลางตักเนื้ออีกคำเข้าปาก "ก็แปลว่า…ลู่กุ้ยเฟยได้ใจประชาชนแล้วใช่ไหม?" เขาถามเหมือนพูดคุยเรื่อยเปื่อย แต่ลมหายใจในอกนั้นหนักขึ้นเพียงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ได้ ส่วนหลินหยาก็เหมือนจะคิดเธอชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังนึกก่อนพยักหน้าช้า ๆ "อืม...เห็นได้ชัดเลยว่าโรงอุปรากรที่ใหญ่ขนาดนั้น คนแน่นเสียจนข้าแทบหายใจไม่ทั่วท้อง..โชคดีที่ได้นั่งที่พิเศษไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่นเขา แต่คนชอบพระนางมากจริง ๆ เจ้าค่ะ"


หลังจากนั้นหลินหยาก็เหลือบมองหนางอีกคนเล็ก ๆ เมื่อวานเขาสวมหมวกไม้ไผ่แล้วก็มีผ้าปิดหน้าปิดตา แต่วันนี้เขาสวมหน้ากากครึ่งใบหน้า …หน้าตาของเขาค้อนข้างหล่อเหมือนกันนะเนี้ยถึงแม้จะคุ้น ๆ แต่เพราะหลินหยาคิดว่าช่วงนี้เธอเจอคนหล่อเยอะเกินไป มันก็คงจะคุ้น ๆ เหมือนกันหมดนั้นแหละ “ท่านชายนี้หล่อเหมือนกันนะเนี้ยเจ้าคะ” 


ชายหนุ่มในชุดเรียบหรูแบบนักเดินทาง ยังคงนั่งนิ่งหลังโต๊ะไม้ต่ำขัดเงาที่เต็มไปด้วยอาหาร สีแดงฉานของเนื้อกวางทอดคลุกเครื่องลอยกลิ่นหอมฉุนขึ้นมาแตะจมูกทุกคนที่เข้าใกล้ เขาเอนตัวเล็กน้อย รับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน ใบหน้าครึ่งล่างยังซ่อนอยู่ใต้หน้ากากบางสีเข้ม มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ทอดมองตอบนาง…นิ่ง ไม่เอ่ยถ้อยคำใดเป็นพักใหญ่ 


“เจ้าชอบผู้ชายที่สวมหน้ากากรึ?” เสียงต่ำทุ้มก็หลุดออกมาอย่างเรียบสงบเหมือนเป็นคำถาม


หลินหยาเบิกตานิดหน่อย นางหัวเราะคิกคักอย่างกลั้นไว้ไม่มิด ขณะเท้าคางกับมือข้างหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะไม้อย่างเกียจคร้าน ดวงตานางคล้ายจะท้าทาย เล่นล้ออย่างขี้เล่นแต่ก็ไม่เสียมารยาทนัก “เปล่าหรอกเจ้าค่ะ” นางว่าด้วยเสียงอ่อนหวานเหมือนสายลมเย็นในยามบ่าย “แต่หน้าท่านวันนี้มันดู...หล่อดีนี่นาเจ้าคะ ข้าก็แค่พูดตามจริง” คำชมนั้นไม่ได้เจือเล่ห์ นางว่าออกมาจากใจ และดวงตากลมโตของนางก็มองตรงไปยังดวงตาอีกฝ่ายอย่างไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเคอะเขิน ราวกับ...ไม่ได้มีอะไรให้ต้องกังวลใจในความสัมพันธ์ของพวกเขาเลยสักนิด


ห่าวหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบรับคำชมนั้น ไม่ได้ขอบคุณ ไม่ได้แม้แต่ยิ้มตอบ แต่ในใจกลับกระตุกวูบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำชมจากหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม หรือเพราะ...นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่หลินหยา ชมเขา โดยไม่รู้ว่าเขาคือใครกันแน่ เขาไม่ได้เอ่ยถ้อยใดต่อเรื่องนั้น แต่รับรู้ถึงไออุ่นเบา ๆ ที่เกาะกุมในอกเหมือนควันจากสุราไหเย็น


หลินหยาหันไปมองจานล่าจื่อลู่ตรงหน้าอย่างชื่นตา เห็นสีแดงเผ็ดร้อนของเนื้อกวางทอดกับพริกชวงเจียที่คลุกเคล้าจนหอมเตะจมูกก็อดไม่ได้จะสูดน้ำลายเบา ๆ ทั้งที่ยังพุงตึงอยู่แต่ก็ยังอยากกินต่อไป นางใช้ตะเกียบเขี่ยเบา ๆ ก่อนเหลือบตากลับไปมองอีกคนพร้อมรอยยิ้มทะเล้น “ท่านชายห่าวหมิงเจ้าคะ…ท่านกินเผ็ดได้หรือเปล่า? ข้าลืมถามเลยน่ะเจ้าค่ะ” พลางหรี่ตานิด ๆ ยกถ้วยสุรานารีแดงขึ้นจิบ “เพราะที่นี่ไม่มีน้ำเปล่านะเจ้าคะ…มีแต่เหล้า”


เขามองถ้วยเหล้าในมือนาง ดวงตานิ่งสงบแต่คมกริบราวมีดที่ซ่อนไว้ใต้สายลม ก่อนจะหยิบตะเกียบของตนขึ้น หยิบเนื้อกวางกรอบกรุบชิ้นหนึ่งขึ้นมา สีแดงของมันเคลือบเครื่องเทศจนแทบจะขึ้นควัน พริกชวงเจียแห้งกรอบเกาะแน่นที่ผิวนอกของเนื้อทอด


“…เผ็ดขนาดไหน ข้าก็ทนได้” เสียงของเขาราบเรียบ ทว่าแววตาในยามนี้…ราวกับกำลังตอบคำถามที่ลึกกว่านั้นไม่ใช่แค่รสเผ็ดจากจานตรงหน้าแต่เป็นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาง แม้จะเผ็ดร้อนจนแผดเผาจิตใจ แม้จะลำบากกลืน แม้จะไม่มีน้ำให้ดับไฟในอก เขาก็ยังคงจะนั่งอยู่ตรงนี้กินข้าวกับนาง ฟังนางหัวเราะ ลืมสิ่งที่เคยกระทำและปลอมเป็นเพียง ‘ชายแปลกหน้า’ คนหนึ่ง ที่ได้รับโอกาสให้เข้าใกล้นางอีกครั้ง…อย่างที่จางกงกงไม่เคยได้ “…ยิ่งไม่มีน้ำ ข้ายิ่งชอบ” เขากล่าวต่อเบา ๆ แล้วเคี้ยวเนื้อกวางกรอบนั้นช้า ๆ พลางทอดตามองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง


หลินหยายิ้มออกมาราวกับได้รับคำท้าทายนางหยิบเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก เคี้ยวพลางพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่า ‘งั้นกินไปด้วยกันเถอะ’ แล้วเอนตัวพิงเสาศาลาอย่างพอใจ ……แต่วินาทีต่อมา..ลิ้นแดงเถือก ปากแดงเจ่อ แก้มแดงระเรื่อ เหงื่อผุดเม็ดเล็กตามขมับจนเส้นผมลู่ติดหน้าผาก นั่นคือสภาพของหลินหยาหลังจากคำเดียวของ ล่าจื่อลู่ ที่เธอเพิ่งเงื้อมตะเกียบคีบเข้าปากเต็ม ๆ ไปเมื่อครู่ มือบางรีบคว้าถ้วยสุรานารีแดงขึ้นซดหวังดับไฟในอกทันควัน


"แค่ก...แค่กกกก!! โอ้ยยย!!!" เสียงไอพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้าทำเอาเธอแทบพุ่งตัวออกจากเบาะศาลา ร่างบางเอนหลังพิงเสาไม้ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ถ้วยเหล้าในมืออย่างแค้นเคืองระคนตกใจ “ร้อนยิ่งกว่าเดิมอีกอ่ะ…บ้าชะมัด!!!อ๊ากกกกก” มืออีกข้างคว้าผ้าซับหน้าผากไปพร่ำบ่นไป เสียงอู้อี้งึมงำไม่หยุด “โอ๊ยยย จะตาย...ของบ้าอะไรรสชาติเป็นบาปเป็นกรรมแบบนี้!”


ห่าวหมิงหรือจางกงกงในคราบชายแปลกหน้า ยังคงนั่งเรียบร้อยนิ่งสงบตรงข้าม ราวกับรอบตัวเขาไม่เคยมีไฟเผาเหมือนกับหญิงสาวตรงหน้าแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่มองเธอ...ด้วยแววตาเรียบสนิท แต่ตรงมุมปากกลับมีบางอย่างกระตุกเล็กน้อยไม่ใช่การเยาะเย้ย ไม่ใช่ความสะใจ แต่มันคล้ายจะเป็น...ความเอ็นดูที่กลั้นไว้ไม่มิด “อย่าเพิ่งตาย” เขาเอ่ยเสียงนิ่ง ขณะเทเหล้าลงถ้วยอีกใบ แล้วเลื่อนมาให้ “ถ้ากินเผ็ดไม่ได้ ก็อย่าคีบชิ้นใหญ่ขนาดนั้นสิ...แม่เสือร้ายของข้า” เสียงสุดท้ายนั้นเบากว่าเดิมนัก เบาราวกับร่วงมาจากใจ...หลุดออกจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อเธอยังยุ่งกับการพร่ำบ่นกับตัวเอง เขาก็เพียงแค่หรี่ตาลงนิดหนึ่ง...ก่อนจะแสร้งยกเหล้าขึ้นจิบ


หลินหยาเหลือบมองถ้วยที่ถูกเลื่อนมาตรงหน้าเธอไม่ได้กินเพราะมันจะร้อนกว่าเดิม ใบหน้ายับยู่ยี่นิด ๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดออกมาแม้ลิ้นจะยังชาอยู่ “บอกว่าอย่าตายนี่...ท่านชายช่างพูดเหมือนข้ากำลังลาจากโลกนี้ไปจริง ๆ นะเจ้าคะ!” นางหัวเราะไป ฮึดฮัดไป มือปัดอากาศหน้าตัวเองรัว ๆ ราวกับจะไล่ไฟที่ลุกพรึ่บอยู่บนหน้า “ก็ข้าลืมไปว่านี่ไม่ใช่สูตรบ้านข้าน่ะสิเจ้าคะ! ปกติเวลากินกับท่านแม่ นางจะใส่น้ำซุปคลุกให้ด้วยหน่อย ลดความเผ็ดลงนิดหนึ่ง…แต่คนทำวันนี้คงจะ…โอ๊ย เผ็ด!!”


ห่าวหมิงมองนางเหมือนกำลังดูแมวเปียกที่กระโดดลงหม้อไฟแล้วดิ้นพราด ๆ กลางโต๊ะอาหาร ความสดใสของนาง ความร่าเริงเปื้อนแก้มแดงนั่นทำให้หัวใจเขาวูบวาบ ทั้งขมและหวานในคราวเดียวกัน นี่ใช่หรือไม่...หญิงสาวที่เขาเคยเห็นในสภาพเลือดชโลมหลังโดนโบยกลางห้องไต่สวน..หรือคนที่ร้องไห้ต่อหน้าเขา นี่คือหญิงสาวที่เคยกัดฟันเอ่ยว่า ท่านมันโรคจิต ด้วยเสียงแหบพร่าไม่ยอมแม้แต่มองหน้ากัน แต่ตอนนี้...เธอนั่งอยู่ตรงข้ามเขา กินเผ็ดจนเหงื่อแตก ปากแดงก่ำ หัวเราะให้เขาอย่างสดใส และไม่มีวี่แววจะรู้เลยว่าเบื้องหลังหน้ากากของชายตรงหน้า คือศัตรูที่เธอเคยอยากลืมให้หมดใจ


และแน่นอนแทนที่จะพักฟื้นหลินหยาอยากกำจัดความเผ็นดนางกลับหยิบขนมจากถุงกระเป๋าข้างตัวมาหยิบขนมยัดปากซะงั้น..นางยัดเข้าไปแบบที่ไม่สมควรกับขนาดร่างอันบอบบางนั้นเลยสักนิด “...อิ่มแล้วไม่ใช่เหรอ?” เสียงของห่าวหมิงเอ่ยเบา ๆ ช้า ๆ เหมือนกลัวจะรบกวนจังหวะการเคี้ยวอย่างดุเดือดของแม่นางตรงหน้าแต่มันก็ยากจะเรียกว่า แม่นาง ได้เต็มปากในตอนนี้…


“โอ๊ย…แสบพุงงง แต่มันหวานนุ่มอ่ะ…ดีจังเจ้าค่ะ!” นางพึมพำกับตัวเอง เหงื่อย้อยจากไรผมร่วงมาริมกรอบหน้า ลำคอละหงสีขาวนวลขยับขึ้นลงยามกลืนน้ำลายลงอย่างรีบร้อน ใบหน้าผ่องระเรื่อทั้งจากอากาศเย็นปลายฤดูร้อนและรสเผ็ดแสบลิ้นเมื่อครู่ ตอนนี้กลายเป็นคนละคนกับที่นอนแบ่กระอักกระอ่วนเมื่อครู่ ผ้าคลุมไหล่สีอ่อนเลิกขึ้นนิดหน่อยเวลาเธอขยับ พุงที่บ่นนักบ่นหนาว่าตึงก็ยังขยายได้อีกนิดเหมือนมันไม่ฟังคำสั่งสมอง ริมฝีปากแดงสดยามเคี้ยวแลดูวาววับจากเศษน้ำผึ้งและไส้ขนม...ชวนให้อีกคนเผลอเบือนหน้าไปเล็กน้อย


“แม่นางรู้ตัวหรือเปล่า...ว่าเจ้ากำลังกินเหมือนคนไม่เคยกินอะไรเลยในชีวิต” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แววตาอ่านยากอย่างเคย แต่รอยขมวดคิ้วเล็ก ๆ ที่เริ่มปรากฏบนใบหน้าเขานั้นไม่ใช่เพราะตำหนิ หากแต่เพราะ...มันรู้สึกแปลกประหลาด เพราะแม้ร่างเล็กตรงหน้าจะกำลังกินไม่ยั้ง แต่ในสายตาเขาสิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ความตะกละ หลินหยาไม่ใช่คนกินเยอะ นางมักระวังคำพูดคำจาและกิริยาเฉกเช่นหญิงที่เติบโตจากเมืองการค้า รู้มารยาทแต่ไม่ก้มต่ำเสียจนน่าเบื่อ รู้จักใช้คำสวย แต่ก็ไม่สวมหน้ากากเหมือนพวกตระกูลขุนนางทั่วไป และยิ่งไม่ใช่คนกินจุกจิกแบบไม่มีเหตุผลแต่ตอนนี้การที่เธอ ยังฝืนกิน ทั้งที่ปากแดงเหงื่อไหล แก้มขึ้นสีและพุงกำลังจะทะลุเสื้อออกมา…


“เผ็ดมันเผ็ด แต่อย่างน้อยขนมมันไม่ทำให้ไม่เผ็ดนี่นา” เธอยิ้มเงอะ ๆ ตอบอีกคนเมื่อได้ยินประโยคนั้น ท่าทีคล้ายจะอายอยู่เล็ก ๆ แต่ก็มิได้หยุดมือที่กำลังหยิบลูกต่อไปมาเข้าปาก นั่นแหละ...ทำให้เขาเบือนตาไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่เพราะเห็นแล้วหงุดหงิดแต่มัน…


...น่ามองเกินไป...


ใบหน้าแดงระเรื่อจากเผ็ด ปากแดงจากน้ำผึ้งและไส้งาดำ เหงื่อที่ลู่ผ่านต้นคอลงมาแนวเสื้อในยามที่เธอเงยหน้ากินคำใหญ่โดยไม่รู้ว่าท่าทางนั้นล่อแหลมเพียงใด...แม้จะนั่งห่างกันเพียงครึ่งศาลา แต่เขากลับต้องกลืนน้ำลายอย่างระมัดระวัง “ระวังจะติดคอตาย ไม่ใช่เพราะล่าจื่อลู่...แต่เพราะขนม” เขาว่าพึมพำ มือยกเหล้าขึ้นจิบอีกอึก หวังให้ความขมของมันช่วยดับสิ่งที่เริ่มเดือดในอกบางอย่างแทนไฟพริกชวงเจียเมื่อครู่


ขณะที่ขนมลูกสุดท้ายถูกกลืนหายลงคอไปพร้อมเสียงลมหายใจลึกของความพยายามครั้งสุดท้าย หลินหยาก็ค่อย ๆ เอนตัวไปข้างหลังคล้ายคนที่เพิ่งรบชนะศึก...แต่สูญเสียทหารทั้งหมดในสนามรบ เหลือเพียงนางแม่ทัพตัวเล็ก ๆ ที่พุงขยายไปถึงชายเสื้อ ค่อย ๆ ทรุดร่างลงกับพื้นศาลาเงียบ ๆ เหมือนแมวน้อยที่อิ่มนมเกินไปและกำลังจะแปรสภาพเป็นหมอนข้าง "อั่ก…บ้าเอ๊ย..." เสียงครางเบา ๆ ดังจากลำคอของนาง พร้อมอาการขมวดคิ้วแบบคนที่รู้ตัวว่าคงไม่ได้ลุกง่าย ๆ แล้วในหนึ่งชั่วยามนี้


“แม่นาง…เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าเหมือน...แมวพุงโตที่กำลังจะกลิ้งตกจากชายคา” เขาว่าพลางขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย เสียงไม่ดุ แต่ก็ไม่อ่อนโยน มันคือเสียงที่พยายามจะคงระยะห่างไว้ด้วยเหตุผลมากมายเหลือเกินในใจเขา


“เอือกกก…ข้าไม่ใช่แมวนะเจ้าคะ..มีศักดิ์ศรีความเป็นคนอยู่เด้อท่าน” หลินหยาเอ่ยเสียงอู้อี้ในขณะที่ตัวเองนอนแนบกับแผ่นไม้ศาลา พยายามจะพยุงตัวขึ้นแต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยท่ากลิ้งเล็ก ๆ พร้อมพึมพำต่อว่า “ถึงศักดิ์ศรีมันอยู่ในไส้ที่กำลังจะหลุดออกมานี่แหละ…โอ้ย..จะตายละ”


ห่าวหมิงหน้าหนี เหมือนอยากจะหัวเราะแต่ดวงตากลับวูบไหวด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่า เจ้ารู้หรือไม่หลินหยา ว่าข้าเคยเห็นเจ้าหมดสภาพยิ่งกว่านี้มาแล้วเคยเห็นเจ้าตัวสั่นเลือดโชก ถูกโบยจนเสื้อขาวเปื้อนเลือด เคยเห็นนางร้องไห้ทั้งที่ยังคร่อมร่างกายเขาอยู่ หรือนอนนิ่งหันไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขาผ่านซี่กรงขังในคุกหลวง แล้ววันนี้นางกลับนอนพุงโตอยู่ต่อหน้าเขา


“หากแม่นางท้องแตกขึ้นมาตอนนี้จริง ๆ ข้าจะไม่อุ้มแม่นางนะ” เสียงเขาเข้มขึ้นมาหน่อย เหมือนจะตำหนิแต่แววตากลับสั่นไหวด้วยความเอ็นดูที่ไม่ควรมีอยู่เลยในสถานะนี้


“ท่านกล้าทิ้งข้ารึเจ้าคะ?” หลินหยาย่นจมูกขึ้น เงยหน้ามองเขาในระยะประชิด ใบหน้าของนางยังคงสวย แต่แดงก่ำไปด้วยพริกกับเหล้า ขอบตาแพขนตาเปียกนิด ๆ จากเหงื่อ แก้มขึ้นสี...และริมฝีปากก็ยังวาวอยู่จากเศษขนมหวานที่กินเมื่อครู่


ห่าวหมิงนิ่งไปเล็กน้อย แล้วพูดเบา ๆ แทบไม่เป็นตัวของตัวเอง “…ข้าไม่เคยกล้าทิ้งเจ้าเลยสักวัน…หลินหยา” 


"ท่านพูดแปลก ๆ นะเจ้าคะ..." เสียงอู้อี้เล็ดลอดจากริมฝีปากที่แดงเรื่อของหลินหยา ดวงตาของนางยังฉ่ำวาวจากฤทธิ์เผ็ดและร้อนจากล่าจื่อลู่ แต่กลับสะท้อนแววบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ความเผ็ดหรือเหนื่อยอีกต่อไป "...แต่ก็จริง ท่านดูเหมือนไม่เคยทิ้งข้าเลย ทั้งที่พึ่งเจอกัน" น้ำเสียงนางเบาและเต็มไปด้วยความรู้สึกปนเปอยู่ในนั้น สำหรับหลินหยาแล้ว..นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เริ่มเปิดใจให้กับคนแปลกหน้าผู้หนึ่งได้ง่าย ๆ…ไม่แปลกเลยสักนิดสำหรับความรู้สึกของนาง


ห่าวหมิงนิ่ง มองใบหน้าที่แดงก่ำเปียกเหงื่อด้วยแววตายากจะอธิบาย ความรู้สึกตีกันยุ่งเหยิงในอก บางอย่างในตัวเขาหลุดร้าวเล็กน้อยเมื่อตัวเองเผลอพูดคำพูดนั้นว่าเขา ไม่เคยทิ้งนางเลย ก็เพราะมันคือความจริง…ที่นางไม่รู้ “ข้าก็ไม่เคยคิดจะทิ้งแม่นาง” ห่าวหมิงเอ่ยตอบเสียงนิ่ง แผ่วเบาราวกับรำพันกับตัวเอง “…ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม”


หลินหยาขมวดคิ้วน้อย ๆ กับคำพูดนั้นอีกครั้งแต่ไม่ได้ถามซ้ำ มือข้างหนึ่งคลำ ๆ หาถุงผ้าเล็ก ๆ ที่นางวางไว้ข้างตัว เมื่อคว้าได้แล้วก็ลากมันเข้ามาใกล้ ก่อนจะค่อย ๆ หยิบห่อผ้าสีอ่อน ๆ ที่มีลวดลายดอกเหมยบนผืนผ้าเล็ก ๆ คลี่ออก แล้วยัดอาหารใส่ในนั้นบรรจุเนื้อกวางผัดพริกจื่อหงฮัวในกล่องไม้ชั้นดีนั้น "นี่…ข้าคงกินไม่หมดแล้วล่ะเจ้าค่ะ" นางเอ่ยพลางยื่นให้เขา มือข้างหนึ่งพยุงพุงตัวเองเบา ๆ "ท่านชายห่าวหมิงเก็บเอาไปกินเถอะนะ ไม่งั้นข้าคงกรดไหลย้อนตายก่อนค่ำแน่ ๆ เลยล่ะเจ้าค่ะ..ไม่อยากท้องแตกตายหรืออ้วกออกมานะ.."


ชายหนุ่มรับกล่องมาอย่างเงียบ ๆ ชำเลืองมองมือที่ยื่นมาให้มือเล็ก ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยสั่นเทาเพราะความกลัว...แต่บัดนี้กลับยื่นมาให้เขาอย่างสนิทใจ เหมือนเพื่อน เหมือนคนรู้จัก เหมือนผู้ที่มีความรู้สึกดีต่อกัน "...หากแม่นางยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสองวัน ข้าอาจต้องอุ้มเจ้ากลับเมืองจริง ๆ แล้ว" เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตาที่ทอดมองตรงมานั้นกลับไม่สามารถปิดความอ่อนโยนบางอย่างได้เลย


"งั้นข้าจะไม่มาอีกวันละกัน!" หลินหยาเถียงเสียงเบา ๆ แต่น้ำเสียงกลับฟังดูเหมือนคนงอน ทั้งที่พุงยังตึง มือยังแตะหน้าท้องเบา ๆ แล้วก็เผลอหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา ...แล้วในจังหวะที่เสียงหัวเราะของนางกระทบหูเขาเบา ๆ ชายผู้ซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้หน้ากากก็ลอบเหลือบดวงตาหนีไปเล็กน้อย เพราะหากเขาเผลอสบตานางนานไปอีกสักครู่เดียว..กลิ่นของเธอ เสียงของเธอ ความเป็นเธอในยามนี้…มันคงถอนตัวไม่ขึ้นแน่



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

มอบ ล่าจื่อลู่ อาหารเกรดแดง ความสัมพันธ์ +30

มอบ สุรานารีแดง สุราเกรดแดง ความสัมพันธ์ +20

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5

(ส่งอาหารแล้วจ้า)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 110 โพสต์ 2025-7-1 13:15
โพสต์ 94924 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 04:22
โพสต์ 94,924 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-1 04:22
โพสต์ 94,924 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-1 04:22
โพสต์ 94,924 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-1 04:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-2 02:06:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-2 14:57


วันที่ 02 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


ยามเซินใกล้ล่วงเข้าสู่ปลายแสง เย็นลมอ่อนปะทะม่านศาลา เงาดอกจื่อเถิงฮวาร่วงหล่นตามแรงลมเป็นริ้วพรมสีม่วงอ่อนตัดกับผืนไม้สีเข้มของศาลา ศาลาจื่อเถิงฮวาเงียบสงบในยามนี้ ราวกับรอคอยการมาเยือนของแขกสำคัญซึ่งในบรรดาผู้ที่เคยเหยียบย่างมายังศาลาแห่งนี้ หลินหยานับเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ไม่เคยเงียบไปโดยสมบูรณ์ วันนี้ต่างจากวันก่อน ไม่ใช่ท่านชายห่าวหมิงในหน้ากากมืดที่เฝ้ารอ แต่มีกลิ่นชาอ่อนจาง และควันไอร้อนจากหม้อไฟที่ถูกตั้งเรียงอยู่กลางศาลา อบอุ่นแต่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของการชำระใจ จางทังนั่งอยู่ก่อนแล้ว ชุดขุนนางสีครามเข้มที่เสริมด้วยปกสูงและลายคลื่นสลักอย่างวิจิตร ขับให้รูปร่างของเขายิ่งดูลึกล้ำดุจน้ำลึกในคืนจันทร์มืด ร่างสูงตระหง่านทว่ารู้จักวางตัว คิ้วเข้มดวงตาคม พอผสานกับท่วงท่าการรินชาอย่างละเมียดละไมแล้ว ก็ดูราวกับซ่อนหนามคมไว้ในดอกไม้บานสงบ


เมื่อเห็นหลินหยาเดินขึ้นศาลาพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่แม้จะดูอิดโรยเล็กน้อยจากอาการป่วยที่ยังเรื้อรังแต่ยังเปล่งประกาย เขาก็ยกมือผายเชิญอย่างสุภาพ “แม่นางหลินหยา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มดุจสายลมต้นฤดู “ขอแสดงความยินดีที่ท่านหลุดพ้นจากคดีความเสียที มื้อนี้...ให้ข้าขอเลี้ยงตอบแทนในฐานะสหายคนหนึ่งเถิด” เขายิ้มจาง ๆ แต่ไม่อาจปิดแวววิเคราะห์ลึกในนัยน์ตาได้แม้เพียงเสี้ยววินาที ชั่วขณะที่เงาไอน้ำลอยขึ้นเหนือหม้อไฟ จางทังตักชิ้นเนื้อไว้ในช้อน และพูดต่อในขณะที่ดวงตายังคงจ้องไอร้อนอย่างมีสมาธิเมื่อหลินหยานั่งลงแล้วนั่งทานจางทังก็เริ่มชวนคุย


“ข้า...สังเกตเห็นบางอย่างในคดีนี้” เขาหยุดชั่วครู่ราวกับไตร่ตรองถ้อยคำ “นางกำนัลที่ให้ปากคำหลักฐาน แม้น้ำเสียงมั่นคง แต่แววตานางคล้ายคนที่กำลังถูก...บีบให้พูด มากกว่าจะเป็นความจริงจากใจ” เขาเงยหน้ามองหลินหยาด้วยสายตาที่ไม่ใช่แค่ผู้ผดุงความยุติธรรม หากแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจจากสหายที่รู้จักกันมาไม่นาน แต่รู้จักพอจะเห็นรอยร้าวเล็ก ๆ ที่คนอื่นมองข้าม “แม่นางอาจไม่รู้...แต่ข้ามั่นใจว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง มองดูแม่นางอยู่เงียบ ๆ และบีบให้ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น” ปลายตะเกียบขยับช้า ๆ คล้ายเขียนเส้นรอยลงบนลม จางทังไม่ได้พูดชื่อใคร ไม่เอ่ยถึงราชสำนัก ไม่แตะต้องวังหลวง


แม่นางหลินหยานั่งนิ่ง ริมฝีปากเม้มเบา ๆ นางไม่ตอบโต้ทันที แต่แววตาที่ไหวระริกในเงาชาเข้มในถ้วยเบื้องหน้า กลับเหมือนซัดสาดคลื่นเล็ก ๆ ในใจ จางทังยังไม่หยุด “ข้าไม่ใช่ผู้ที่ชอบกล่าวโทษผู้ใดโดยไร้หลักฐาน...แต่หากแม่นางมีเรื่องใดที่รู้สึกว่าควรพูดไม่จำเป็นต้องพูดในฐานะพยานหรือจำเลย” เสียงเขานุ่มลงในท้ายประโยค “แค่ในฐานะสหายของข้า...เท่านั้นก็พอแล้ว” แสงแดดยามเซินเฉียงเอียงอาบไหล่ชายหนุ่ม ดวงตาของเขาเจืออ่อนโยน และดูเหมือนเขาพร้อมจะฟังเงียบ ๆ แม้ถ้อยคำเหล่านั้นจะไม่มีน้ำหนักในศาล แต่มีความหมายมากพอในใจของใครคนหนึ่งที่เคยต้องนอนหมดแรงบนพื้นหินเย็นในเรือนสอบสวน


หม้อไฟค่อย ๆ เดือด น้ำซุปสีทองเข้มปุดเบา ๆ คล้ายกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ของทุกฝ่ายไว้ในไอร้อนนั้น…และห่างไปอีกด้านหนึ่งของศาลา ท่ามกลางกลีบดอกจื่อเถิงฮวาที่ปลิวผ่านลมไปยังเงามืดหลังพุ่มไม้ไผ่หน้ากากครึ่งหน้าสีเข้มยังคงจับจ้องทุกคำพูดเงียบ ๆ จากที่ไกลเกินเสียงแต่ใกล้พอจะได้ยินใจของนาง


ชายผู้หนึ่งในเงามืดยังคงไม่เอ่ยชื่อ…แต่ความรู้สึกของเขาเริ่มคลื่นไหว….


ยามที่รสของหม้อไฟเริ่มกลมกล่อมถึงใจที่สุด ไอน้ำระเหยบางลอยขึ้นปะทะม่านแสงอ่อนที่เลื้อยเข้ามาใต้ชายคาศาลา เสียงหัวเราะแผ่วเบาและกลิ่นเครื่องเทศยังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศหลินหยานั่งประคองถ้วยน้ำชาที่สอง เธอใช้ปลายนิ้วเช็ดเหงื่อบางจากข้างแก้มที่ขึ้นเพราะเผ็ดร้อน จมูกเล็ก ๆ นั้นขึ้นสีชมพูอ่อนตามความร้อน แต่ริมฝีปากยังคงยิ้มบางอย่างน่ารัก ท่าทางเหมือนแมวอิ่มนอนแดด


“แม่นาง” เสียงจางทังดังขึ้นขณะเขาลุกจากเก้าอี้ไม้เนื้อดีช้า ๆ มือหนึ่งยังถือผ้าเช็ดมืออย่างเรียบร้อย สายตาหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “รอสักครู่ ข้าลืมของบางอย่างไว้เป็นของเล็ก ๆ ที่อยากมอบให้แม่นางแต่ลืมหยิบขึ้นมาเสียสนิท” เขายกยิ้มให้ด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นปกติ ทว่าหากใครมองลึกจะพบว่านัยน์ตาคู่นั้นคล้ายเก็บความคิดบางอย่างไว้ลึกมาก...จนไม่อาจล้วงถึงได้ง่ายดายนัก “ไม่เกินหนึ่งเค่อเดี๋ยวข้ากลับมา” เขารับปากไว้เช่นนั้น ก่อนหมุนตัวจากไป


หนึ่งเค่อผ่านไป… หลินหยาเริ่มก้มหน้าลงแตะริมถ้วยชาอย่างช้า ๆ

สองเค่อผ่านไป… นางเริ่มนั่งโยกขาเล่นเบา ๆ พลางมองลมผ่านม่านไม้ไผ่

สามเค่อ… ดวงตาเริ่มเลื่อนมองเนื้อในถาดที่เย็นชืด สีหน้าประหนึ่งจะคิดว่ากลับมาอุ่นดีหรือไม่

สี่เค่อ… นางเหยียดแขนออกนอนกับโต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว…


พอหนึ่งชั่วยามผ่านไป… หญิงสาวเริ่มนั่งมองพื้น ไถเนื้อที่เหลืออยู่ในถาดไปมา ปากบ่น “ให้ตายเถอะ ท่านหายไปนานขนาดนี้จะไปเอาของหรือโดนลักพาตัวเนี้ย..หรือว่าข้าโดนทิ้งแล้วหรอ?..ให้นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวอะนะ???” หลินหยาหลุบตาลงมองถ้วยเปล่าในมือ สีหน้าเริ่มเงียบลงคล้ายจะกลืนอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่หม้อไฟ เงียบพอจะได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง


แต่แล้วเสียงพุ่มไม้ไหวเบา ๆ เคลื่อนไหวราวกับเงาของใครบางคนเดินเบียดใบไม้ผ่านร่มเงาเถาวัลย์ที่คลุมศาลา และไม่นานนัก ร่างสูงในชุดเรียบหรูที่ดูไม่จัดจ้านแต่สะอาดสะอ้านก็ปรากฏตัวขึ้นกลางแดดยามเย็นที่ลอบส่องลอดพุ่มไม้ ไม่ใช่จางทัง..แต่เป็นท่านชายที่สวมใส่หน้ากากครึ่งบนบดบังใบหน้าของตนเอง …อ้าว? “ท่านชายห่าวหมิง?” หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นบังแสง เงยหน้ามองเขาที่ปรากฏตัวคล้ายไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่มีความหวาดระแวง


นางขยับตัวขึ้นเล็กน้อยจากท่าทางกึ่งเอนเมื่อครู่ มือหนึ่งยังถือถ้วยน้ำชา อีกมือปัดเส้นผมที่ไถลตกแนบแก้มกลับขึ้นหลังใบหู “ท่านมาเดินเล่นหรอ? ข้ามากินข้าวกับสหายพอดีเจ้าค่ะ แต่…เขาหายไปนานแล้ว ท่านเองก็มาพอดีเลย” รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏที่มุมปาก ราวกับว่าความเงียบในศาลานี้ได้มีใครบางคนมาเติมเต็มอีกครั้ง


เขาเดินเข้าไปใกล้เพียงระยะเหมาะสม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการฝึกควบคุมอารมณ์มาอย่างยาวนาน “ใต้เท้าจางฝากข้ามาบอกเจ้า ว่าเขามีธุระด่วนต่างเมือง คงไม่ได้อยู่ฉางอันสักระยะหนึ่ง แม่นางหลินหยากลับไปได้แล้ว” ประโยคนั้นแล่นเข้าหูหลินหยาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้หหญิงสาวจำต้องรู้สึกสงสัย?..???


“หา?” นางเอียงหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตากระพริบช้าอย่างคนไม่เข้าใจทันที “ท่านว่าอะไรนะ? เขา…ฝากมาบอกอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” ใบหน้าเรียวเริ่มเคลือบเงาของความรู้สึกระคนปะปนกัน ดวงตากลมโตไหววูบเล็กน้อยอย่างซ่อนแทบไม่ทัน “แต่เขาบอกว่าจะไปหยิบของนี้เจ้าคะ…ของที่จะมอบให้ข้า แล้วก็แค่ไปที่รถม้าไม่ใช่หรือ?” เสียงของนางเบาลงกว่าเดิม ขณะมองอีกฝ่ายที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งด้วยหน้ากาก ราวกับจะหาความจริงจากแววตาใต้เงาผ้านั้น “แล้วเขาไม่คิดจะบอกลาข้าด้วยซ้ำหรือ? รีบอะไรขนาดนั้นอ่ะ?..” หลินหยากระซิบ พลางถอนหายใจน้อย ๆ เหมือนจะหัวเราะทั้งที่ไม่มีเสียง ริมฝีปากเม้มแน่นคล้ายคนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีงอนเสียดีไหมเนี้ย อยู่ ๆ ก็หายไปเสียอย่างงั้น


ห่าวหมิงยังคงนิ่ง ดวงตาภายใต้หน้ากากมองหญิงสาวตรงหน้า ความงามของนางยังคงไม่เปลี่ยนแต่ในแววตาใสนั้นกลับคล้ายซ่อนบางอย่างไว้ลึกกว่าที่ใครจะเห็นได้ชัดเจน เขาควรพูดอะไรหรือไม่? เขาควรจะพูด…ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง ควรจะบอก…ว่าชายคนนั้นไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้จากนาง ไม่ได้ทิ้งนางไว้


ในสายตาของจางกงกงเขาคือชายผู้เคยทิ้งรอยแผลลึกไว้ในชีวิตนาง คือผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังทุกบทลงโทษ ทุกสายตากดดัน ทุกความกลัวที่กัดกินจิตใจนางและในยามนี้…เขากลับปรารถนาจะเป็นคนที่ได้ปัดเส้นผมที่ระแนบแก้มนั้นอย่างแผ่วเบาแต่ทว่า…เขาไม่มีสิทธิ์ แม้ในนามของห่าวหมิงเขาก็ยังรู้สึกไม่คู่ควรพอ


“…ข้ารับคำสั่งมาเพียงเท่านี้” เสียงของเขาในคราบห่าวหมิงเปล่งออกมาอย่างเยือกเย็น นิ่งสนิทจนไร้อารมณ์ ทั้งที่ภายในกลับโหมกระหน่ำราวพายุใต้ผิวน้ำ “ถ้าแม่นางหลินหยาต้องการให้ข้าช่วยพากลับ ข้ายินดี” ไม่ใช่เพราะอยากส่งนางไปให้พ้นหน้าแต่เพราะเขาไม่อยากให้ใคร…ได้จ้องนางอีกและในยามที่หลินหยากำลังลังเลว่าจะถามอะไรต่อ หรือจะเงียบลงตรงนั้น…เขากลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเบา ๆ “แม่นางดูแข็งแรงขึ้นนะ…ดีแล้ว”


หลินหยาที่ได้ยินดังนั้นก็ระบายยิ้ม "ใช่เจ้าค่ะ ข้าสบายขึ้นมากเลย" เสียงของหลินหยานุ่มนวลและเต็มไปด้วยความสดใสไม่จางหายดวงตาของนางเป็นประกายระยับ ยามยิ้มกว้างจนพวงแก้มยกนูนขึ้นน่าขบเสียให้ได้ "แผลที่มีเริ่มหายไปเยอะแล้วล่ะเจ้าค่ะ หมอที่รักษาข้าเขาเก่งมาก ช่วงนี้อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย...เหมือนว่าโลกใบนี้มันไม่หนักเท่าเมื่อก่อนอีกแล้วน่ะเจ้าค่ะ" ปลายเสียงนางเจือกลั้วด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ พลางช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มในหน้ากากครึ่งใบอย่างเป็นกันเองไร้พิษภัย ราวกับว่าโลกที่โหดร้ายไม่เคยทำให้นางระแวงชายคนไหนอีกเลย ทั้งที่ความจริงมันไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ


“ท่านชายห่าวหมิง” หลินหยาขยับตัวเล็กน้อย ก่อนมือเรียวจะเอื้อมขึ้นไปปัดผ้าคลุมเล็กน้อยบนพื้นไม้ด้านข้าง แล้วตบเบา ๆ ลงกับพื้นที่ข้างตัว พลางเงยหน้ามองเขาพร้อมระบายรอยยิ้มที่หวานนักสำหรับเขา "นั่งตรงนี้ไหมเจ้าคะ? ข้ายังไม่อยากกลับเลยตอนนี้...ข้าน่ะนั่งอยู่คนเดียวมานานแล้ว แม้จะมีคนกินหม้อไฟด้วยเมื่อครู่ แต่เขาก็หายไปเสียอย่างนั้น" เสียงสุดท้ายของนางเจือแววขำขันเบา ๆ แต่หากชายตรงหน้าสังเกตให้ดีก็จะรู้ว่ามันมีอะไรบางอย่างฝังอยู่ลึกใต้รอยยิ้มนั้น อะไรบางอย่างที่คล้ายความเหงา…แต่ยังฝืนยิ้มไว้ด้วยความเคยชิน


"ท่านชายเองก็ดูเหมือนจะชอบสถานที่เงียบสงบเช่นนี้นี่ใช่ไหมเจ้าคะ? ถึงได้เจอกันสามวันติดแล้ว" นางขยับตัวขยี้ชายกระโปรงนิด ๆ แล้วยกมือเท้าคาง มองออกไปยังดอกจื่อเถิงฮวาที่ลู่ไหวตามแรงลมเบา ๆ อย่างเพลินตา ก่อนจะพูดพลางหัวเราะนิด ๆ “บางทีข้าอาจควรมาบ่อย ๆ นะเจ้าคะ ถ้าได้พบคนคุยน่าฟังอย่างท่านชายห่าวหมิงทุกวัน ก็คงช่วยให้ใจข้าสบายดีได้อีกนานเลยเจ้าค่ะ” นางพูดเหมือนล้อเล่นแต่สำหรับชายที่ยืนฟังอยู่ตรงหน้ามันกลับกลายเป็นคมมีดที่กรีดลงกลางใจอย่างเงียบงัน จางกงกง…ไม่ใช่ห่าวหมิงและหลินหยาหากรู้ว่าเขาคือใครจริง ๆ บางทีคงไม่มีรอยยิ้มนี้มอบให้เขาอีกเลย


ชายหนุ่มในหน้ากากเงียบงันไปชั่วครู่ ดวงตาของเขาภายใต้เงาหน้ากากทอดมองหญิงสาวที่กำลังวางใจจนหมดเปลือกกับใครที่นางไม่รู้จักจริง ๆ แล้วสั่นไหวเพียงเล็กน้อยนางไม่เปลี่ยนเลย…ยังคงเป็นคนที่กล้าเชื่อมั่นในใจคนอื่นต่อไป แม้จะเคยถูกตบย้ำซ้ำลงไปกลางวิญญาณจนแทบแหลกสลาย เขาควรหันหลังกลับไป…แต่กลับทรุดตัวลงนั่งข้างนางช้า ๆ อย่างไม่รู้ตัว “ได้” เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยอย่างเรียบแต่แผ่ว จางกงกงที่กำลังใช้ชื่อรองของตนเองนั่งข้างหญิงสาวที่ตนเองเคยทำลายลงด้วยมือ…แต่ในขณะเดียวกันกลับรู้สึกว่าไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไป


เพราะนางยังคงยิ้มให้เขา…ยิ้มอย่างที่ไม่มีใครเคยมอบให้เขามาก่อนในคราบของห่าวหมิง เขาเผลอไหลตามบทบาท


เสียงกิ่งไม้สีกันกรอบแกรบอย่างไม่ได้รับเชิญตรงชายพุ่มไม้ด้านหลังศาลาเงียบสงบ ดอกจื่อเถิงฮวาที่ลู่ตามแรงลมพริ้วอยู่พลันสะบัดแรงขึ้นเล็กน้อย เหมือนพยักหน้าตามสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังลอบคลานเข้ามาโดยไร้เสียงฝีเท้า หลินหยาที่เพิ่งจะยิ้มหวานส่งให้ชายข้างกายและตบเบาะเชิญชวนเขามานั่งด้วยกันนั้น ชั่ววินาทีนั้นเองเสียงดังแว่ว ๆ ตามด้วยเสียง “หงิ๊ง” เบา ๆ ก่อนที่เงาดำสี่ขาจะโผล่พรวดออกจากพุ่มไม้!



"ว้ากกก!!!" เสียงหลินหยาหลุดออกจากลำคอราวกับจะขวัญบิน นางเบิกตากว้างและกระตุกตัวเผละพรวดเข้าไปชิดแขนของท่านชายห่าวหมิงแบบไร้การเตรียมใจ มือขาวนวลคว้าจับแขนเสื้อเขาไว้แน่นแทบจะปีนขึ้นตักอยู่แล้ว ดวงตาสดใสเมื่อครู่บัดนี้เบิกโพลงขึ้นอีกครั้งทั้งตกใจและแตกตื่น "ไม่ ไม่ ไม่ ไม่น่าาาาาาาา! ทะ ท่านชาย!! ข้าเห็นมัน!!! มัน มัน…!!" นางพูดไม่เป็นภาษาระหว่างหอบหายใจถี่เหมือนคนจะเป็นลม ก่อนจะชี้นิ้วมือสั่น ๆ ไปยังเจ้าสิ่งที่ตอนนี้กำลังแลบลิ้นแฮ่ ๆ เดินกระดิกหางมาตรงหน้า...ใช่แล้ว…หมา!


ลูกหมาสีดำน้ำตาลปุกปุยน่ารักไม่ต่างจากก้อนเมฆวิ่งเตาะแตะมาด้วยท่าทางไร้พิษภัย ดวงตากลมโตมองนางอย่างสนอกสนใจราวกับนางคือขนมขวานเอาไว้แทะเคลื่อนไหวได้แต่สำหรับหลินหยา…เจ้าสัตว์ที่มีเสียงเห่าและขากรรไกรแบบนี้ มันคือศัตรูชีวิต!!


"ทะ ท่านชาย!! เอามันออกไปเถอะเจ้าค่ะ…แง้..ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว!! มันจะเห่า มันจะกระโดด มันจะเลีย มันจะอึก มันจะฆ่าข้า!" นางเกาะแขนเขาแน่นยิ่งกว่าตอนไหน.. ความหวาดกลัวทำให้แม้แต่กลิ่นหม้อไฟยังไม่ได้ช่วยปลอบขวัญให้กลับคืนมา


จางกงกงในร่างห่าวหมิงที่ไม่ทันตั้งตัวกับสภาพ ‘นางแมวขนฟูโดนหมาไล่’ ของหญิงสาวตรงหน้า ถึงกับหลุดหัวเราะเบา ๆ จากในลำคอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหลังของหลินหยาเบา ๆ อย่างปลอบโยนในขณะที่มืออีกข้างกันร่างนางให้พิงเข้ามาหาแน่นขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เสียงของเขายังคงเย็นนุ่มแต่แฝงความขบขันเจืออยู่เล็กน้อย “ข้าว่า...มันดูเหมือนจะอยากเล่นมากกว่าจะอยากฆ่าแม่นางนะ”


"ไม่น่าาาาาา!!! มันแฝงกลิ่นปีศาจไว้ข้างในแน่ ๆ เจ้าค่ะ ดูไม่ใช่หมาปกติเลย!! พวกหมามันมีแผน!" หลินหยาแทบจะสะอื้นอยู่แล้ว ดวงตานั้นเอ่อคลอน้ำตาทั้งเพราะตกใจและเพราะความกลัวแบบไร้เหตุผลที่ฝังลึกมาตั้งแต่เด็ก 


“เช่นนั้น…จะให้ข้าพาเจ้าหนูนี่ไปไกล ๆ ไหม?” ห่าวหมิงถาม


"อื้อออออ!! ไปให้ไกลที่สุดเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง!!!” นางพยักหน้าถี่ ๆ ซบหน้ากับต้นแขนเขาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอ้อมแขนตนกำลังพันอยู่กับใคร และมืออีกข้างของจางกงกงที่ไม่น่าจะเคยโอบใครด้วยความอ่อนโยนแบบนี้กลับเลื่อนขึ้นมาปัดเส้นผมข้างขมับที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เบา ๆ ราวกับไม่อยากให้ภาพหวาดกลัวนี้เกาะติดนางไปนาน เขายิ้มบาง ๆ ภายใต้หน้ากาก…อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เคยแสดงออกมาและหวังว่าหลินหยาจะไม่มีวันรู้เลยว่าคนที่เธอเกาะแน่นอยู่ตอนนี้…คือปีศาจในชุดขันทีที่เธอเคยเกลียดเข้าไส้ด้วยตนเอง


ท่ามกลางบรรยากาศเย็นกลิ่นดอกจื่อเถิงฮวาที่บานสะพรั่งกึ่งโรยคล้ายจะตลบอบอวลทั่วศาลา กลับไม่สามารถกลบกลิ่นความตึงเครียดเฉพาะบุคคลที่กำลังครอบคลุมอยู่ ณ มุมหนึ่งของศาลาจื่อเถิงฮวานั้นได้ที่ซึ่งสตรีผิวขาวจัดในชุดสีชมพูอ่อนระบายฟูราวกลีบบัวนั้นกำลังแนบแน่นร่างกายบางส่วนกับบุรุษในหน้ากากครึ่งหน้าอย่างลืมตัว..


แขนที่ถูกหลินหยาเกาะไว้แน่นนั้นกลายเป็นเหมือนเสาไม้ไผ่ที่ไม่อาจสะบัดห่าง หรือกระดิกแม้ปลายนิ้ว เพราะเพียงเขาเปลี่ยนท่าทีขยับเพียงน้อยนิด ใบหน้าสวยที่ซุกตรงต้นแขนจะยิ่งเบียดแน่นขึ้นแทบจะกลายเป็นการนัวเนียโดยไม่ตั้งใจเสียแล้ว มือของหลินหยาสั่นเล็กน้อย นิ้วเรียวบางนั้นเกาะแขนเสื้อของเขาจนเนื้อผ้าแทบยับยู่ มือข้างหนึ่งของนางยังพยายามดันตัวเองหลบอยู่ข้างหลังเขา ทั้งที่หมาเจ้ากรรมไม่ได้อยู่ใกล้แล้วแท้ ๆ ใบหน้าเธอขึ้นสีเรื่อเหงื่อซึมไหลตามขมับ แม้จะไม่ใช่เพราะความเขินอายเลยสักนิด แต่เป็นเพราะความหวาดหวั่นอย่างแท้จริง


“ขะ ข้าขอโทษนะเจ้าคะท่านชาย ข้ารู้ว่าข้าทำตัวเสียมารยาท แต่...ข้ากลัวจริง ๆ เจ้าหมานั่นมัน..มันจ้องข้าตะกี้…” หลินหยากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ใบหน้าหวานเบือนขึ้นสบตาเขาเพียงครู่ก่อนเบือนหนีไปอีกทางเหมือนไม่กล้าสบมากกว่านั้น "ข้ากลัวหมาจรจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าเคยโดนเห่าตอนยังเล็ก…ข้าไม่อยากโดนกัดอีก…เสียงมัน มันแหลม น่ากลัว ข้ากลัวแม้กระทั่งเสียงหอนของมันในเวลากลางคืน..." เสียงนางเบาลงจนน่าสงสาร นางไม่ใช่หญิงสาวที่กลัวแมลงหรือขี้แยไร้สาเหตุ แต่เรื่องนี้...ดูจะเป็นบาดแผลจากวัยเยาว์ที่เขาเพิ่งรู้

 

ห่าวหมิงยังไม่พูดอะไรมากกว่านั้นร่างสูงสงบเยือกเย็นของเขานิ่งไป แต่แผ่นหลังกลับยืดตรงดั่งเสาหลักรับน้ำหนักไว้ทั้งศาลา มือข้างหนึ่งที่เคยเหี้ยมโหดออกคำสั่งฆ่าคนได้เพียงพยักหน้ากลับยกขึ้นแตะลงที่กลางหลังของหลินหยาอย่างเบามืออีกครั้งเช่นเมื่อครู่ไม่เปลี่ยนเสียงเขานุ่มลึกแต่มั่นคง “…แม่นางไม่ต้องขอโทษ เรื่องกลัวก็เป็นเรื่องกลัว อย่าฝืนตัวเองให้ดูเข้มแข็งเสมอไปเลย”


"อืออ…ข้าไม่เคยให้ใครเห็นข้าตอนกลัวแบบนี้เลยนะเจ้าคะ อายแล้วเนี้ย" เสียงเธออู้อี้ ห่าวหมิงยังไม่พูดอะไร เพียงแต่ปล่อยให้เธอเกาะแขนต่อไป เงียบขรึมราวกับต้นสนท่ามกลางพายุ แต่ภายในดวงตาใต้หน้ากากนั้น มีประกายหนึ่งที่...แตกต่างจากเดิม เขาค่อย ๆ เอ่ยเบา ๆ ไม่ให้ใครได้ยิน นอกจากนาง "ถ้ามีหมาเข้ามาอีก…ข้าจะเป็นคนเห่าไล่มันให้แม่นางเอง เจ้าไม่ต้องกลัว"


"หาาา ท่านชายอย่าทำตัวเป็นหมานะเจ้าคะ..ข้ากลัวเสียงเห่าของพวกมันจะตาย" เธอเบิกตาก่อนจร่างเอนหัวซบกับแขนเขาแบบที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ซบไปแล้วจนคนที่นั่งนิ่งราวหินผาใต้เงาเถาวัลย์เงียบเชียบ ค่อย ๆ หันหน้าหนีเล็กน้อย…จนกระทั่งนางพึ่งรู้ตัว…อุ๊ย..เผลอเกาะแขนผู้ชาย..แฮ่ะ ๆ …อุ๊ย..


หลินหยาค่อย ๆ คลายมือจากแขนเสื้อของห่าวหมิง สองข้างแก้มขึ้นสีระเรื่อราวกับผลท้อสุกอ่อนเมื่อรู้ตัวว่าตนกอดเกาะแขนชายหนุ่มนานเกินสมควร ดวงตาคมหวานช้อนขึ้นมองเขาอย่างระแวดระวังน้อย ๆ พร้อมรอยยิ้มเก้อ ๆ บนใบหน้า ทั้งอับอายทั้งขำตัวเอง มือเรียวบางรีบถอยห่างออกเล็กน้อยแล้วประสานไว้ที่ตัก “ขะ…ขอโทษนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะจับตัวท่านเลยนะ มัน..มันเผลอไปเฉย ๆ อ่ะ...” น้ำเสียงเธอเบาลงในตอนท้าย ประหนึ่งกลัวว่าแม้กระทั่งเสียงของตัวเองจะกลบความน่าเก้อเขินนี้ไม่ได้ สตรีอย่างนางแม้จะหัวไว ปากไว กล้าเถียงกับขุนนางระดับสูงอย่างไม่เกรงกลัวกลับหน้าแดงแปร๊ดเพียงเพราะตนเองกอดแขนชายหนุ่มไปโดยไม่รู้ตัว


ห่าวหมิงเหลือบตามองใบหน้าของหญิงสาวที่ดูจะเขินเป็นครั้งแรก รอยแดงจาง ๆ บนแก้มนั้นไม่ใช่จากสุราหรือความร้อนของหม้อไฟแต่เป็นความเขินอายที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งไม่มีคำพูดใดเล็ดรอดจากหลังหน้ากากครึ่งหน้า ทว่าในใจกลับผุดความคิดขึ้นมารวดเร็วราวพายุร้อนฤดูร้อนไหลเข้าหัวใจที่เคยสงบนิ่งมานาน “…แม่นางหลินไม่คุ้นกับการสัมผัสบุรุษหรือ?” เขาถามเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แต่ทว่าสังเกตการณ์ลึกซึ้งอย่างยิ่ง


หลินหยาพยักหน้าช้า ๆ สายตาหลุบต่ำ "อื้อ...ไม่ค่อยเจ้าค่ะ ท่านก็เห็นอยู่นี้..คือแม้ข้าจะเคยทำงานที่หอว่านหงเหรินมาก่อนนะ..แต่ข้าก็ระวังตัวกับคนแปลกหน้าเสมอ...โดยเฉพาะบุรุษ" เสียงเธอเบาลงเรื่อย ๆ ดั่งกลัวว่าใครจะแอบฟังอยู่ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับยังคงเปล่งประกายอ่อนโยนและจริงใจอยู่เสมอ “ถ้าไม่ใช่ตอนตกใจจริง ๆ ข้าคงไม่แตะตัวท่านหรอกเจ้าค่ะ” เธอหันไปอีกทาง ปิดบังสีหน้าที่ระเรื่อไม่หยุด


ห่าวหมิงเหม่อมองเธอเพียงครู่ ก่อนที่มุมปากใต้หน้ากากจะยกขึ้นแผ่วเบา สีหน้าเงียบขรึมดังเดิมไม่มีใครล่วงรู้ แต่ในใจกลับสั่นไหวจากประโยคนั้นของนาง ‘แล้วตอนที่เจ้าต่อยหน้าข้ายามเป็นจางกงกงล่ะ ไม่ถือเป็นการแตะตัวบุรุษเรอะ?’ ...คิดได้เท่านั้น หัวคิ้วใต้หน้ากากก็ขยับกระตุกนิดหน่อยอย่างห้ามไม่อยู่ในหัวสมองของจงฉางชื่อพลันหวนกลับไปยังภาพเธอที่ตบหน้าเขา เตะเข่าแล้วก็ยังนั่งคร่อมอกแล้วต่อยหน้ารัว…แล้วนี่คือคนเดียวกันจริง ๆ งั้นรึ?


เขานิ่งเงียบ กลั้นหัวเราะอย่างแนบเนียน ก่อนกล่าวเบา ๆ “ไม่ต้องขอโทษ ข้า…ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอก” เสียงนั้นต่ำแต่นุ่ม กลายเป็นคำพูดที่ทำให้หลินหยาหันควับมามองหน้าเขา ดวงตากลมโตเบิกนิด ๆ อย่างตกใจ 


"เอ๊ะ?" เขา?..หมายความว่ายังไงน่ะ?


“หมายถึง…การที่แม่นางกล้าพึ่งข้าแม้จะกลัว" เขาเอ่ยเสริม หน้านิ่งขรึมดังเดิม “ไม่ใช่ทุกคนจะยอมเปิดเผยด้านเปราะบางให้ผู้อื่นเห็น" คำพูดนั้นเหมือนจะเรียบเฉย แต่อีกนัยหนึ่งกลับอ่อนโยนอย่างน่าแปลกใจ


หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเผลอยิ้ม...แล้วก็หัวเราะเบา ๆ "ท่านชายพูดเก่งจังเจ้าค่ะ...ข้าชักสงสัยแล้วว่าท่านเคยเป็นนักพูดหรือนักการทูตหรืออย่างไรกันเนี้ยไม่เหมือนชาวยุทธ์เลยสักนิด" น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยแววขำขัน แต่แฝงความสบายใจไว้เต็มเปี่ยมล้นใจ ไม่มีใครในศาลารู้เลยว่าใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้น มีชายผู้หนึ่งที่กำลังยิ้มเล็ก ๆ อยู่ในใจ…ยิ้มให้กับหญิงสาวที่วันหนึ่งเคยฟาดหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจแต่มาวันนี้กลับขอโทษเขาเพียงเพราะแตะแขนเบา ๆ เท่านั้นเอง


ดวงตากลมโตของหลินหยาจ้องมองเขาราวกับแมวสาวที่กำลังจะมอบของเล่นโปรดให้ใครสักคน รอยยิ้มหวานละไมบนใบหน้าแม้จะมีร่องรอยความอ่อนล้าเรื้อรังจากการพักฟื้น แต่กลับอบอุ่นจนแสงตะวันที่ส่องลอดหลังคาศาลาจื่อเถิงฮวายังดูอ่อนโยนลงไปถนัดตา มือเรียวหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกจากห่อผ้าปักลายเมฆมงคล กล่องนั้นแม้เรียบง่าย แต่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นดอกไม้และน้ำผึ้งตั้งแต่ยังไม่เปิด ฝาปิดที่ค่อย ๆ เปิดออกเผยให้เห็นก้อนกลมเล็ก ๆ สีขาวขุ่นข้างใน นุ่มนิ่มราวกับสำลี แต่แฝงกลิ่นหอมของน้ำผึ้งกวนและแป้งข้าวเหนียวที่ละเมียดบรรจงบรรจุ


"นี่...ขนมไหมฟ้าเจ้าค่ะ ข้าทำเองเช้านี้ พอดีตอนทำให้หรงเล่อกินแล้วมันเหลือ...นิดหนึ่ง" เสียงนางเอ่ยอย่างรื่นรมย์ แม้จะรู้ตัวว่าที่ว่านิดหนึ่งนั้นแล้วแท้จริงแล้วเธอแอบทำไว้สองกล่องเผื่อไว้ต่างหากหนึ่งกล่องสำหรับใครบางคนแทน "ส่วนชานี้ หวงซานเหมาเฟิงกลิ่นจะหวานกว่าของที่ขายทั่วไปนิดหน่อย" หลินหยาอธิบายราวกับแม่ค้าที่รักของตนเองมากกว่ารายได้ ดวงตาเปล่งประกายพองาม หางเสียงสดใสยิ่งกว่าแสงตะวันปลายยามเช้าบ่งบอกว่านางทำมันทั้งคู่เอง


“แต่ข้าไม่ป้อนนะเจ้าคะ…ท่านชายต้องกินเองนะ” เธอช้อนตาขึ้นมามองเขา พลางยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อย


ห่าวหมิงในชุดจอมยุทธ์ผู้เงียบขรึมสบตานางเพียงครู่ ก่อนมองขนมในมือสลับกับใบหน้าของหลินหยาที่ระบายยิ้มราวกับจะรอดูสีหน้าเขายามลิ้มรส เขายื่นมือรับกล่องนั้นมาอย่างเงียบงัน ก่อนกล่าวสั้น ๆ “…แม่นางชอบเลี้ยงข้า” น้ำเสียงนั้นราบเรียบแต่แฝงความหมาย ริมฝีปากกระตุกขึ้นนิด ๆ ราวจะยิ้ม หรืออาจประชดก็สุดรู้ “ให้ของกินข้าบ่อยขนาดนี้ ระวังข้าจะอ้วนจนปีนหลังม้าไม่ได้” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ คล้ายเตือน แต่ในน้ำเสียงนั้นมีความเคลือบแฝงของอะไรบางอย่างที่มิใช่ตำหนิ


หลินหยากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ "ฮะ ๆๆๆ ข้าไม่ได้ขุนท่านนะเจ้าคะ ท่านไม่กลายเป็นหมูหรอกน่า! ข้าแค่...กลัวท่านลืมกินข้าว บางที...กลัวท่านจะหิวตอนเดินทาง หรือเหนื่อยจากการทำงาน" นางพูดเสียงเบาลงในตอนท้าย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกอยากดูแลชายตรงหน้า แม้จะรู้จักกันไม่กี่วัน แม้จะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครจริง ๆ "แต่ถ้าท่านจะอ้วนล่ะก็...คงอ้วนแค่ใจละมั้งเจ้าคะ" เธอพูดจบก็กัดปากตัวเองเบา ๆ หน้าร้อนผ่าว


ห่าวหมิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบขนมไหมฟ้าขึ้นมา ลองกัดไปคำหนึ่งรสหวานอ่อน ๆ คลุกเคล้ากับกลิ่นหอมของเม็ดมะม่วงหิมพานต์และงาขาวที่บดละเอียด มันละลายในปากเหมือนเส้นไหม ไม่หวานจัดแต่ติดปลายลิ้นชวนให้อยากกินอีกเขาเงียบ...แต่กินหมด เมื่อหมดไปแล้วหนึ่งลูก เขาเหลือบมองเธออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ชนิดที่มีเพียงหลินหยาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน


“หวาน…แต่ไม่เลี่ยน..เหมือนแม่นาง”


หลินหยาถึงกับสะอึกตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น หน้าแดงวาบเป็นลูกพีชตกน้ำ ใจเต้นระส่ำพร่ำเพรื่อจนแทบฟุบลงไปตรงนั้น “ท่าน…พูดอะไรของท่านกันเล่าเจ้าคะ!” นางโพล่งออกมาพลางทำหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดกับท่าทางเช่นนั้น..รู้สึกสับสนโดยแท้ บ้าจริง..แล้วหันหน้าหนีอีกคนไปอย่างงั้นแหละ



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เควสปลดหัวใจจางทัง จางกงกงมาไงไม่รู้

หวงเกินคุณพี่ คุณพี่ก็หวงน้องเกิน

อยากไปส่งน้องที่ในเมืองแหละแหม่


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-09] จาง ทัง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

มอบ ขนมไหมฟ้า ขนมว่างเกรดทอง ความสัมพันธ์ +20

มอบ ชาหวงซานเหมาเฟิง ชาเกรดทอง ความสัมพันธ์ +10

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5

ชงชา ความสัมพันธ์ +5


(ส่งขนมและชาแล้วจ้า)


แสดงความคิดเห็น

หัวใจตัน 4 ดวงแล้ว   โพสต์ 2025-7-2 12:14
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 65 โพสต์ 2025-7-2 12:14
โพสต์ 98523 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-2 02:06
โพสต์ 98,523 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-2 02:06
โพสต์ 98,523 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-2 02:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-3 00:04:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 03 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกจางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


จางกงกง..ไม่สิห่าวหมิงในชุดเข้มสีเรียบหรู บัดนี้ไร้หน้ากากปิดบังเฉกเช่นทุกครั้งที่เขาไม่ได้ปลอมตัวเป็นห่าวหมิง ใบหน้าเรียบนิ่งและแววตาดูมีความลึกลับดั่งพยับเมฆยามสายฝนตั้งเค้า เขานั่งอยู่ริมศาลาจื่อเถิงฮวาที่เริ่มชุ่มน้ำ พาดแขนไว้กับพนักไม้เรียบของม้านั่ง ตัวตรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ดวงตาเหม่อมองไกลออกไปยังต้นแปะก๊วยซึ่งใบเขียวขจีเริ่มสั่นไหวเบา ๆ รับแรงลมที่พัดมาก่อนฝนจะแตะพื้นจริง เขาไม่เห็นหลินหยาทั้งที่เธอมักมาถึงก่อนเวลานี้เสมอ แม้ไม่ได้นัด แต่เวลานี้คือ เวลาของเธอกับเขาเสมอเวลาแห่งการพบกันโดยไม่ได้นัดหมาย..


ฝนเริ่มตกลงมาหยิม ๆ ก่อนจะกลายเป็นเส้นสายเฉียบขาดที่ฟาดฟันอากาศรอบข้างดั่งเม็ดฝนโปรยจากฟากฟ้า ตกกระทบหลังคาจนเกิดเสียงแผ่วคล้ายเสียงดนตรีจากปลายนิ้วสตรีผู้ชำนาญการดีดดนตรี ห่าวหมิงยังนั่งอยู่ตรงนั้นคิดว่าคงไม่มีใครมาแล้ว ราวกับนั่งเฝ้าเศษความเงียบจากความคุ้นชิน 


ทว่ากระแสสายฝนที่กำลังจะกลบทุกเสียง กลับเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปยังเงาร่างหนึ่งที่ก้าวผ่านม่านฝนเข้ามาอย่างเชื่องช้า ร่างนั้นเปียกปอนทั้งตัว…


เสียงฝนซัดลงบนพื้นกระเบื้องดินเผาราวกับกลุ่มเพชรที่หล่นกระแทกจากฟ้า ริมชายเสื้อของเขายังแห้งดีเพราะมาก่อนฝนจะตก ทว่าทันทีที่เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ดังใกล้เข้ามาพร้อมเงาร่างของสตรีผู้หนึ่ง ห่าวหมิงพลันขยับมือสวมหน้ากากครึ่งหน้าอย่างรวดเร็วโดยสัญชาตญาณเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วเพียงเลื่อนผ่านผ้าเนื้อดี ลวดลายเส้นเงินบางเฉียบล้อแสงมัวหม่นของบ่ายฝนตก พลางหันใบหน้าเฉียงออกเล็กน้อยในจังหวะเดียวกับที่เสียงใส ๆ ของเธอเอ่ยทักมาอย่างอารมณ์เสียเต็มกลืน

 

“โอ้ย..เปียกหมด..สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านชายห่าวหมิง”  เสียงของหลินหยาในยามนี้ไม่สดใสเหมือนเคยนัก ราวกับคนเพิ่งผ่านสมรภูมิพายุฝนมาหยก ๆ นางยืนข้างศาลาด้วยท่าทางของคนที่เพิ่งแปรสภาพเป็นแมวเปียกน้ำ หยาดน้ำไหลตามเส้นผมสลวยสีดำที่ลู่แนบใบหน้า เสื้อผ้าสีอ่อนลวดลายเหมยหอมที่ปกติมักดูพลิ้วไหวอย่างอิสระ บัดนี้แนบลู่กับสัดส่วนของนางเสียจนน่าจะเรียกว่าไม่ใช่ผ้าคลุมแล้ว แต่เป็นผ้าห่อข้าวเปียกหรือแหนมหมูที่รัดแน่นแนบลำตัว


เธอโบกมือให้เขาทีหนึ่งอย่างพยายามยังรักษาความร่าเริง…แม้หน้าจะบูดบึ้งเพราะตัวเปียกไปหมดแล้วจังหวะนี้ ก่อนบ่นอุบออกมาอย่างแรง


“อยู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่เลยนะเจ้าคะ น่าเบื่อมาก อยู่ ๆ ก็เทลงมาอ่ะ..โอ้ย เปียกหมดเลย” เธอบ่นระบายลั่นพลางเอามือสองข้างยกชายเสื้อขึ้นบิดน้ำออกแบบไม่แคร์ศักดิ์ศรีใด ๆ เพราะมันเปียกหนักมากจนหยดน้ำไหลตามแขนลงมาเปียกตรงข้อมือเสียงชัดแจ๋ว ดูท่าเธอเหมือนจะลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษแปลกหน้าที่เธอแทบไม่แตะตัวเมื่อเจอกันครั้งก่อน “โชคดีจริง ๆ ที่แผลที่หลังหายแล้ว…ไม่งั้นวันนี้คงไม่ใช่แค่แสบ แต่คงร้องลั่นกลางถนนแน่ ๆ ข้าเกลียดฝนที่สุดเลยเจ้าค่ะ…” พอเอ่ยจบ หลินหยาก็กระทืบเท้าเบา ๆ หนึ่งทีอย่างหงุดหงิดก่อนจะก้าวขึ้นมาบนศาลาอย่างไม่รอช้า


กลิ่นฝนผสมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวนางลอยกระทบจมูกเขาในจังหวะที่นางเดินผ่านหน้าชายหน้ากากเงียบ ๆ ห่าวหมิงสบตาเธอเพียงชั่วครู่ ริมฝีปากที่อยู่ใต้หน้ากากโค้งขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เป็นยิ้มที่ไม่ใช่การเย้ยหยันหรือหัวเราะ แต่คล้ายกับคนที่เพิ่งเห็นอะไรบางอย่างดูน่าสนใจเสียจนห้ามตัวเองไม่อยู่


“แม่นางเปียกปอนเช่นนี้..จะไม่หนาวหรือ?” เขาเอ่ยถามเรียบ ๆ พลางเอื้อมมือไปหยิบเนื้อคลุมข้างตัวแล้วยื่นให้แบบที่ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้ หลินหยาก็ถอนหายใจ “ข้า…พอทนได้หรอกเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงอู้อี้ แต่ก็รับผ้าไปคลุมอย่างไม่เกรงใจแล้วจากนั้นก็ยกมันมาซับปลายจมูกเบา ๆ 


ขณะยืดตัวตรงแล้วขยับถอดเสื้อนอกที่เปียกโชกออกด้วยความอึดอัด เธอกระพริบตาไล่ละอองฝนขณะบิดชายเสื้อออก น้ำไหลเป็นสายเล็ก ๆ ราวกับหยาดหยดจากกลีบดอกเหมยที่โดนฟ้าหลั่งพรำ สะท้อนแดดยามฝนพรำเป็นประกายจาง ๆ บนเนื้อผ้าที่แนบตัวนั้น…หากจางกงกงมองอยู่ย่อมเห็นว่าแม่นางตัวเล็กอย่างยิ่งจนแทบเหมือนจะปลิวลมได้ เอวคอดราวกับจะบีบให้ขาดได้ด้วยมือเดียว ไหล่เรียวเล็กที่เปลือยเปียกใต้เสื้อนั้นยิ่งตอกย้ำว่าหลินหยานั้น…ตัวเล็กแต่ดันมีแรงต่อยหน้าคนให้เลือดไหลได้..


“เนี้ยท่าน..ข้าก็เดินของตัวเองอยู่ดี ๆ เองนะเจ้าคะ..ตอนแรกข้าก็คิดว่าฝนแค่ตั้งเค้าเฉย ๆ ไม่น่าตกหรอก..หึ..เป็นไงล่ะ นี่ตกเป็นห่าใหญ่เลย ข้ายังไม่ทันได้วิ่งหลบด้วยซ้ำ..แต่พอจะวิ่งมาก็ไอเอา ๆ จนวิ่งไม่ไหวเพราะร่างกายจะเหนื่อยเกินอีก” เสียงอู้อี้น้อย ๆ ดังขึ้นในจังหวะที่นางนั่งลงแหมะบนเก้าอี้ไม้ เธอบ่นแบบคนน้อยใจฟ้า แววตาขุ่นน้อย ๆ เหลือบมองฝนที่ยังซัดลงไม่หยุด ชุดด้านในที่แนบกายยังชื้นแต่เธอกลับระบายลมหายใจเบา ๆ แล้วช้อนสายตาขึ้นมองคนข้างกายอย่างอ้อน ๆ พร้อมยกมือขึ้นขยี้ปลายผมที่เปียกเปื้อน "ข้าไม่ชอบเลยเวลาร่างกายอ่อนแอแบบนี้เลยเจ้าค่ะ มันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เหมือนแมวที่โดนจับอาบน้ำ แง่ง ๆ" ว่าจบยังแอบทำท่าคำรามในลำคอเบา ๆ แบบแมวเปียกน้ำที่ทั้งโมโหทั้งเหนื่อย น่าหัวเราะจนคนฟังต้องกลั้นยิ้ม


ห่าวหมิงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ริมฝีปากภายใต้หน้ากากกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ ไม่ได้เย้ยนาง…แต่คงเพราะไม่อาจห้ามใจได้กับภาพตรงหน้า “แมวที่โดนจับอาบน้ำมักจะหงุดหงิดเช่นนี้สินะ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม พยักหน้ารับคำบ่นแบบไม่ได้ประชด หยิบผ้าผืนบางจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เบา ๆ  “แต่ข้ากลับเห็นว่า…แมวเช่นนั้นก็น่าเอ็นดูในแบบของมันนะ”


หลินหยาเบิกตานิดหน่อย แล้วรับผ้าอีกรอบ..ทำไมติดผ้าไว้เยอะจังเลยอีตาหมอนี้ยกมือรับผ้าช้า ๆ อย่างประหลาดใจที่อีกฝ่ายเอ่ยชมแบบไม่อ้อมค้อมนัก “อ่า…ท่านชายห่าวหมิงชอบแมวที่อารมณ์เสียแบบข้างั้นหรือเจ้าคะ?” เธอแกล้งถาม ทั้งที่พวงแก้มยังแดงจัดจากทั้งความหนาวและความขำที่อีกคนบอกว่าชอบแมว


“อะ..แค่ก ๆ ..อืออ” 


หลินหยายกมือขึ้นเช็ดที่ใต้จมูกอย่างแผ่วเบา แค่จังหวะไอครั้งนั้นก็เหมือนสะกิดอะไรบางอย่างให้ปะทุขึ้น เธอเห็นปลายนิ้วชุ่มเลือดก่อนจะเบือนหน้าหนีเบา ๆ พลางปัดมือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลมหายใจของเธอยังคงสม่ำเสมอแต่แฝงไว้ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้เสียงนั้นสั่น "อ่า...ไม่ต้องใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ แค่...จั๊กจี้จมูกนิดหน่อยเท่านั้นเอง" เธอว่าแล้วก็ยิ้มกว้างเกินเหตุ พยายามจะกลบความซีดขาวบนใบหน้าของตนเอง แววตาที่ยังมีประกายสดใสกลับเจือด้วยแววบางอย่างเป็นบางสิ่งที่บอกไม่ได้ว่าคือความฝืนหรือความดื้อดึงต่ออาการที่ประดังเข้ามา


แต่คนอย่างจางกงกงหรือห่าวหมิง..มองออกทันทีที่เห็น..


เลือดที่ไม่ใช่หยดเดียวแต่เหมือนซึมออกมาจากจมูกเป็นเส้นจางบนผิวที่ตกลงมา ชัดเจนเกินจะกลบเกลื่อน พิษในร่างกายของเขาเป็นภัยสำหรับเธอและทุกคนแต่ถ้าถามว่าเขาจะยอมถอนให้นางตอนไหนเขาก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นเวลาใด..อาจจะเป็นตอนนางใกล้ตายเขาจึงอยากจะช่วยให้นางจ้องตาเขาแล้วอ้อนวอนขอชีวิต..ที่ไม่ใช่ขอความตาย


แต่แล้วเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น เปรี๊ยงงงงงงง!!!! 


เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงราวกับฉีกฟ้าคร่าช่วงกลางยามเซินเป็นสองเสี่ยง เสียงกัมปนาทคำรามลั่นประหนึ่งจะสะเทือนผืนแผ่นดิน และเป็นวินาทีเดียวกับที่หลินหยากำลังจะนั่งลงบนม้านั่งไม้ใต้ศาลาเงาร่างเปียกปอน เสื้อคลุมแนบตัว ผมเผ้ายาวสลวยเปียกน้ำจนลู่ติดแก้มขาวแต่เธอกลับสะดุ้งเฮือก 


“อ๊ากกกกกกก !!!!!” …มันควรเป็นเสียงกรี๊ดแบบผู้หญิงทั่วไปสิง.แหม่ ก็ร้องเอาซะมาดแมนเลยอ่ะ.


เอาเป็นว่าเรียกมันว่าเสียงกรี๊ดแล้วกันนะ เอาใหม่ ๆ หลินหยากรี๊ดออกมาเสียงใสกังวานด้วยความตกใจสุดขีด มือทั้งสองยกขึ้นปิดหูแน่น ดวงตาเบิกโพลงแล้วรีบขยับตัวเบียดเข้าหาเงาร่างสูงที่อยู่ใกล้ที่สุดแทบจะในทันทีแม้ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังประชิดแค่ไหน แต่นางตอนนี้คือแมวเปียกน้ำที่เสียขวัญ…เต็มขั้นเพราะไม่ทันตั้งตัว


“ท่าาน ๆ ….อ๊าาา ฟ้าผ่าาา มันผ่าาลงมาา ใกล้มากเลยเจ้าค่ะ..ตรงนั้น ๆ …โอ้ยย ข้าตกใจจจ” เสียงของหลินหยาสั่นระรัวไม่ต่างจากร่างที่สั่นน้อย ๆ เธอซุกหน้ากับต้นแขนของชายหนุ่มข้างกายโดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร ร่างเปียกชื้น กลิ่นฝนจาง ๆ คลุ้งไปทั่วทั้งศาลา กลายเป็นกลิ่นของแผ่นดินเปียกและเนื้อสาวที่เต็มไปด้วยอุณหภูมิร้อนเย็นสับสนจากพิษในร่างและความตกใจ 


จางกงกงภายใต้หน้ากากครึ่งหน้ายืนนิ่งในวินาทีนั้น ราวกับรับมือกับเหตุการณ์ไม่ทัน เขาคุ้นกับการประลองวาทะในราชสำนัก คุ้นกับมีดแทงคน คุ้นกับตำรา กลิ่นหมึกยาพิษและการเชือดเฉือนกันในสายตา แต่กับแมวตัวหนึ่งที่เปียกปอน ซุกตัวสั่นแล้วกอดแขนเขาแน่นราวกับขอที่พึ่งพิงจากสายฟ้า...เขากลับขยับตัวไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง…คล้ายเมื่อวาน..เลยแฮะ “แม่นางหลินหยา…กลัวฟ้าผ่าหรือ” เขาถามเสียงเบาในที่สุด น้ำเสียงไม่มั่นคงนักราวกับยังไม่ชินกับสถานการณ์


“อ้อ…เอ่อ..ก็เปล่านะ..เอ่อ…ก็…กลัวนิดเดียวเจ้าค่ะ…” หลินหยายังพูดขาดห้วง ปากสั่น ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อย มืออีกข้างที่ไม่ได้เกาะแขนอีกคนยังปิดหูแน่นเหมือนเด็กน้อยไม่ยอมโต แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงอน ๆ “แต่ท่านจะนั่งเฉย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ…ต้องช่วยข้าด้วยสิ!...นี้ข้ากลัวตกใจอยู่นะเจ้าคะ..ช่วยคนที่ขุนอาหารท่านมาสามวันด้วยย” หลินหยาบ่นอุบทวงค่าอาหารเสียเลย…ก็ขำดี


จางกงกงหลุบตาลง มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง…หากเป็นหลินหยาตอนนั้นในหอว่านหงเหรินหรือตำหนักของวังหลังยามเป็นนางกำนัล คงไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเผยความเปราะบางเช่นนี้แน่ แล้วสิ่งที่เขาเห็นในแววตานั้นไม่ใช่เพียงความกลัวฟ้าผ่า เขาจึงทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองยังไม่แน่ใจว่าทำไปทำไม มือหนาค่อย ๆ ยื่นแขนอีกข้างขึ้น คลี่ผ้าคลุมของตนออกเล็กน้อย แล้วโอบบางส่วนไว้เหนือไหล่นางเงาใบหน้าภายใต้หน้ากากมิได้กล่าวสิ่งใดต่อเพราะตอนนี้หลินหยาน่าจะกำลังอารมณ์ไม่จอยกับสิ่งที่เกิดขึ้น..


แต่นางก็ยังคงอยู่แบบนั้นเหมือนแมวหนีเสียงพลุ



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ปลดหัวใจสักทีโว้ยยยยยยย

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 43472 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 00:04
โพสต์ 43,472 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-3 00:04
โพสต์ 43,472 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-3 00:04
โพสต์ 43,472 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-3 00:04
โพสต์ 43,472 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-7-3 00:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-3 21:13:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 03 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกจางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


ห่าวหมิงนั่งสงบเงียบใต้ชายคาศาลา เขามองม่านฝนที่ยังคงซัดสาดไม่หยุดหย่อนอย่างใจเย็นราวกับสายฝนไม่อาจแตะต้องอารมณ์ของเขาได้แม้แต่น้อย “หากเป็นเช่นนี้..อีกสองชั่วยามก็ยังคงตกอยู่ดี” เขาพูดเสียงเรียบแล้วเหลือบมองคนข้างกายเพียงเสี้ยววินาทีก่อนหันหน้ากลับไปมองยังสถานที่ห่างไกล ส่วนหลินหยาที่ตอนนี้พยายามยกเสื้อเปียกขึ้นบิดน้ำอีกรอบ กลับหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิมเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ริมฝีปากน้อย ๆ ของเธอบึ้งออกมาเล้กน้อยอย่างไม่พอใจในโชคชะตาตัวเอง..ตะวันสาดแสงอยู่ดี ๆ ตอนนี้กลับฝนตกซัดเสียจนเธอรู้สึกว่ากำลังจะเป็นไข้ ตัวก็สั่น เสื้อก็เปียกหมด แม้จะผิวแห้ง แต่เนื้อผ้ากลับแนบเนื้อจนสัมผัสได้ถึงลมเย็นรที่ลอดเข้ามาแทบทุกทิศ… 


“อืม…ข้าคงเป็นไข้แน่ ๆ เลยเจ้าค่ะหากปล่อยให้เปียกไปต่อแบบนี้..” หญิงสาวบ่นเสียงนั้นเบา ๆ พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะหันมามองอีกคนอย่างลังเล ไม่อยากพูด แต่ก็ไม่มีทางเลือก และเมื่อได้สบตากับคนใต้หน้ากากที่ยังจ้องไหล ๆ นางก็พูดขึ้นมา “ท่านชายห่าวหมิงเจ้าคะ…” เขาหันมามองเล็กน้อยเป็นเชิงรับฟัง หลินหยาเม้มปากแน่นนิดหนึ่งแล้วกล่าวเสียงอ้อมแอ้ม "…ท่านหลับตาได้ไหมเจ้าคะ แล้วก็…อย่าหันมาดูได้ไหม?" เธอเอียงคอมองเขาพร้อมแววตาอ้อนวอนจริงจังจนแม้จะฟังดูเหมือนคำขอธรรมดาแต่มันกลับเต็มไปด้วยความละมุนละไมระคนประหม่าน่าประหลาด ริมฝีปากน้อย ๆ พูดต่อราวกับเกรงใจเต็มแก่


"ข้าจะเปลี่ยนชุดเจ้าค่ะ…มันเปียกไปหมดแล้ว ขืนใส่ไว้นานกว่านี้…ได้เป็นไข้หวัดแน่นอนเลยล่ะเจ้าค่ะ" ดวงหน้าเปียกน้ำของหญิงสาวสะบัดหยดฝนลงที่บ่าขาวเนียนจนเส้นผมที่ลู่ตามแก้มสั่นไหว เธอยกมือปัดน้ำเบา ๆ จากซอกคอ ก่อนตวัดชายเสื้อคลุมกอดอกไว้แน่น ท่าทางแบบนั้นหากเป็นบุรุษทั่วไปคงเลือดลมวิ่งไม่ทั่วร่างไปแล้ว


จางกงกงหรือห่าวหมิงภายใต้หน้ากากที่นั่งฟังอยู่นั้นเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขาไม่พูดอะไร แต่กลับหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งก่อนที่จะปิดดวงตาของตัวเองหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แฝงความเย็นเฉียบแต่เจือแววอ่อนโยนจาง ๆ อย่างหาได้ยาก "เชิญเปลี่ยนเถิด ข้าจะไม่มอง"


หลินหยาเงยหน้ามองเขาอย่างพิจารณาเหมือนจะประเมินว่าเขาจะซื่อตรงจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ถอนใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่าระมัดระวังนางหันหลังให้เขา ล้วงมือไปหยิบชุดแห้งจากในถุงผ้าใบเล็กที่นางพกมาเสมอเวลามาเดินเล่น แล้วค่อย ๆ คลายเดินถอยอีกคนออกมาให้อยู่ด้านหลังของเขาแล้วเริ่มปลดผ้าออกทีละชั้น ลมหายใจของหลินหยาถี่เล็กน้อยในความกดดัน เธอแม้จะไม่ใช่หญิงที่ไร้ความกล้า แต่กับการเปลี่ยนชุดในที่โล่งเช่นนี้ มันก็นับว่าเป็นการวางใจในชายตรงหน้าที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาคือใคร


โดยที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านี้คือครั้งที่สองที่นางทำเช่นนี้กับเขา ครั้งแรกยามเมื่ออยู่ในตำหนักของจงฉางชื่อเมื่อเขาให้นางถอดชุดแล้ววางของไว้..แต่ครั้งนี้..เสียงเสื้อผ้ามันดังกว่าเสียงฝนมากกว่าที่เคย 


เสียงผ้าชื้นหล่นลงกับพื้นไม้ศาลาดังเบา ๆ แล้วตามด้วยเสียงเนื้อผ้าสัมผัสผิว เธอไหวไหล่เล็กน้อยให้ผ้าตัวใหม่แนบเข้าที่ ม้วนปมเชือกคาดเอวให้แน่นพลางขยับท่าทาง สุดท้ายก็กระแอมเบา ๆ แล้วว่า “เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านชาย..ท่านลืมตาได้แล้ว” เธอนั่งลงข้างเขาอีกครั้ง ตัวสั่นเล็กน้อยแต่ดูอุ่นขึ้นจากผ้าแห้ง กลิ่นเนื้อผ้าอุ่นหอมสะอาดจากการตากแดดซึมซาบออกมาแตะจมูกเบา ๆ แล้วเธอก็หัวเราะเบา ๆ พลางว่า "ท่านไม่ขี้โกงเลยแฮะ…ข้าคิดว่าท่านชายห่าวหมิงน่าจะซุกซนเสียอีกนะเจ้าคะ" แววตาของนางเปล่งประกายเล็กน้อย ยิ้มหวานจนคนที่นั่งข้างกันต้องนิ่งงันไปราวกับฝนที่ยังคงตกอยู่…กลับไม่มีเสียงอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว


ห่าวหมิงเริ่มลืมตาขึ้นช้า ๆ ลังเสียงแจ้งจากนางดังขึ้นในห้วงสายฝนที่ยังไม่หยุด…ดวงตาหลังหน้ากากครึ่งหน้านั้นสั่นไหวเพียงเสี้ยวเดียวเมื่อเขาเห็นหลินหยากลับมานั่งตรงที่เดิมทว่าเส้นผมที่ยังลู่แนบแก้มและปล่อยลงมากลับชื้นจนเป็นเงา น้ำบางหยดไหลลงตามปลายคางเล็กหยดแหมะลงพื้นไม้แผ่นเสียงเบา ท่าทางของนางที่กอดอกตัวเองเบา ๆ นั้นดูเหมือนแมวที่เพิ่งหนีน้ำมาได้หมาด ๆ นางไม่ได้บ่นสักคำว่าเหน็บหนาวเพียงใด แต่ริมฝีปากกลับสั่นระริกนิด ๆ ขณะเอ่ยคำพูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูแล้วฝืนอยู่บ้าง


"แล้ว…ท่านไม่รีบกลับหรือเจ้าคะ?" หลินหยาถามขึ้นพลางไอเบา ๆ ครั้งหนึ่ง


ห่าวหมิงมองใบหน้าที่ซีดลงเล็กน้อยจากอากาศเย็นกับพิษเรื้อรังในกาย แล้วยังมีฝนเปียกซ้ำเติมอีก…เขาไม่ตอบทันที นัยน์ตาคู่นั้นนิ่งอยู่ครู่ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเบา เยือกเย็นแต่ทุ้มต่ำราวหมอกยามย่ำเย็น "กลับไป…เพื่ออะไรเล่า?" น้ำเสียงนั้นฟังดูราวกับไม่ใยดี แต่คนที่รู้จักเขาจริงจะรู้ว่ามันเป็นการเอ่ยที่จริงจังไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือเพื่อขัดขืนอะไร เขาเลื่อนมือไปหยิบผ้าผืนเล็กผืนเดิมที่เคยให้นางไว้เมื่อครู่ ใช้ซับน้ำฝนที่ข้างแก้มเธอแทน นิ้วเรียวสัมผัสเพียงเบา ๆ ที่ปลายปอยผมอย่างระวังมิให้ต้องผิวนางมากนัก "เปียกเช่นนี้ กลับไปคนเดียวคงไม่ไหว" เขาพูดขึ้นเบา ๆ ไม่ได้หมายถึงตัวเองไม่ไหวขณะวางผ้าไว้ที่ตักนาง ท่าทางไม่รีบร้อนเหมือนทุกครั้งก่อนหน้า "เจ้าไอไม่หยุดเลย"


เสียงฝนยังคงซัดกระทบหลังคาศาลาเบา ๆ ราวกับโลกภายนอกยังวุ่นวายไม่สิ้น แต่ในศาลาน้อยนี้กลับเงียบงันราวกับเวลาหยุดเดินอยู่ชั่วครู่ "นั่งพักอีกสักหน่อยเถอะ หากยังไม่อยากลุก…" เขาพูดต่อโดยไม่มองหน้านางตรง ๆ ห่าวหมิงเหลือบสายตามองนางจากเบื้องข้าง ริมฝีปากภายใต้หน้ากากขยับเล็กน้อย น้ำเสียงเรียบและเงียบพอจะกลืนไปกับเสียงฝน แต่กลับทิ้งน้ำหนักชัดเจนในประโยค


"พรุ่งนี้...ไปพบข้าที่เทือกเขาฉินหลิง ยามเว่ย ได้หรือไม่?" น้ำเสียงไม่ได้เป็นคำสั่ง ไม่เร่งเร้า แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกคล้ายแรงลมเย็นที่ค่อย ๆ พัดให้ใจคนไหว นัยน์ตาเขานิ่ง มองตรงไปยังม่านฝนเบื้องหน้า หากแต่ปลายหางตานั้นยังช้อนจ้องมาที่นางอย่างไม่อาจปิดบัง


หลินหยาที่ตอนนั้นยังยกมือปัดละอองฝนออกจากแขนตัวเองอยู่นิดหน่อย เงยหน้ามองอีกฝ่ายก่อนเอียงคอเบา ๆ ขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างประหลาดใจ...เทือกเขาฉินหลิง? "เทือกเขาฉินหลิงรึเจ้าคะ?" เธอเอ่ยทวนก่อนจะคิดนิดหนึ่ง นัยน์ตาที่เคยหม่นหมองเพราะสายฝนกลับแฝงประกายระยิบวับเล็กน้อยไม่ใช่เพราะสถานที่นั้นชวนตื่นเต้นอะไร แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ย ‘ขอนัดพบ’ อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเช่นนี้


หลินหยาขยับตัวบิดเสื้อเล็กน้อยก่อนเอ่ย "ข้าไม่มีอะไรทำช่วงนี้พอดีเจ้าค่ะ...ก็คงไปได้ล่ะเจ้าค่ะ" เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายเหมือนไม่ใส่ใจนัก "แต่ท่านแน่ใจนะเจ้าคะ ว่าจะไม่ลืม? หรือว่าพอใกล้ถึงเวลา…ก็จะส่งใครมาบอกว่าท่านมีธุระด่วนที่เมืองอื่นเหมือนท่านจางทัง?" เสียงท้าทายนิด ๆ นั่นแหละทำให้มันชัดเจนว่าแม้จะยิ้ม แต่เธอจำทุกอย่างแม่นเหลือเกิน เธอเหลือบตาไปมองเขา แล้วหัวเราะเบา ๆ พลางเอียงหน้าเล็กน้อย ราวกับกำลังหยอกเย้าอย่างที่เธอมักทำ "ห้ามเบี้ยวนะท่านชายห่าวหมิง ข้าเดินทางฟรีไม่ได้นะเจ้าคะ...เล่นกับคนป่วยไม่ดีนะ"


ห่าวหมิงนิ่งครู่หนึ่งขณะสายฝนยังคงกระหน่ำลงบนหลังคาศาลา เสียงหยาดน้ำกระทบไม้แผ่วเบา ทว่าภายในบรรยากาศกลับเหมือนเงียบลงอย่างประหลาด ราวกับถ้อยคำที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยของเขานั้นหนักแน่นเกินกว่าจะซ้อนทับด้วยเสียงฝน "ข้าจะรอที่ขอบผาตรงจุดที่สูงที่สุด..." เขากล่าวเสียงเรียบแต่ทุ้มต่ำอยู่ลึก ๆ "...ตรงนั้นจะมองเห็นฉางอันได้ทั้งหมด"


เมื่อหลินหยาหันมา นางระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนพยักหน้า ยามที่เส้นผมเปียกลู่แนบแก้ม ดวงตาของนางยังคงมุ่งตรง แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ กลับหลุดออกมา "ข้ายังไม่เคยไปที่ตรงนั้นเลยเจ้าค่ะ…ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย ไว้จะไปชมให้เต็มตา" ฝ่ามือเล็กยกขึ้นเสยผมแนบแก้มออก แล้วเธอก็หัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ขำในลำคออย่างบางเบา หากฟังดี ๆ จะรู้ว่าภายใต้เสียงนั้นมีรสขื่นเจือจางติดอยู่ในทุกถ้อยคำ "หากเป็นแต่ก่อน...ข้าคงไม่ว่างไปหรอกเจ้าค่ะ คงกำลังฝ่าฝนกลับหอว่านหงเหรินอยู่แน่ ๆ เพราะข้าดันชอบทำงานมากน่ะสิ"


"ข้าชอบที่นั่นมากนะเจ้าค่ะ แม้มันจะเป็นแค่หอรื่นรมย์ก็ตาม แต่ตอนนี้…ก็คงหมดโอกาสแล้วล่ะเจ้าค่ะ" หลินหยาเอ่ยบอกเช่นนั้น ในขณะที่ฝ่ามือของห่าวหมิงยังคงวางสงบอยู่บนหน้าตัก กระดูกนิ้วเรียวยังไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ขณะสายตาเบื้องหลังหน้ากากครึ่งหน้ายังคงจับจ้องไปยังหลินหยาที่อยู่ข้าง ๆ เสียงฝนที่ตกกระหน่ำอื้ออึงยังไม่ได้กลบเสียงเล็กของหลินหยา...ที่ดังออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนแรงและสีหน้ายู่ย่นเล็กน้อย


"ข้าทำเรื่องใหญ่ไปมาก...ข้าไม่มีหน้าไปเหยียบหอว่านหงเหรินอีกแล้วเจ้าค่ะ หากทางหอส่งจดหมายมา บอกให้กลับไปเป็นนักดนตรีฝึกหัดหรือแม้แต่สาวใช้ ข้าก็ยังดีใจเจ้าค่ะ…ถึงแม้จะไม่ได้เงินเป็นร้อยตำลึงเงินแบบพวกนางโลมก็เถอะ" ถ้อยคำเรียบง่ายแต่บาดลึกกว่าเข็มเย็บผิว เนื้อเสียงที่ปนความเหนื่อยล้าและเจือด้วยความขื่นขมเล็กน้อยทำให้บรรยากาศรอบกายเงียบงันลงอย่างประหลาดแน่ล่ะ..สถานที่นั้นเถ้าแก่ใหญ่คือจางกงกง นางคงลำบากใจที่จะพบกับเขา แต่นางก็เหนื่อยไม่แพ้ใจตัวเองพอสมควรเหมือนกัน หากโผล่ไปโดนไล่ตะเพิดแน่เลย


"ท่าน..." เสียงเธอลดต่ำลง "...รังเกียจหรือไม่เจ้าคะ ที่ข้าเคยทำงานในหอคนิกา?" คำถามนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจเงียบ ๆ ไม่มีคำตัดพ้อ ไม่มีเสียงขอความเห็นใจ มีแต่แววตาของคนที่กล้าหาญมากพอจะเอ่ยความจริง...แม้จะรู้ว่ามันอาจพังทุกอย่าง


ห่าวหมิงเงียบไปเนิ่นนานจนเกินกว่าคำว่าคิดคำพูดหากเงียบเพราะกำลังกลืนบางอย่างไว้ข้างใน เขายกมือขึ้นช้า ๆ แล้วคลี่พัดในมือออกมาเบา ๆ "ข้า...เคยถามหรือ?" เสียงของเขาเรียบ แต่ฟังแล้วเจือความจริงที่เย็นลึกยิ่งกว่าลมหายใจในฤดูหนาว "หรือข้าเคยทำท่าทางแสดงความรังเกียจแม่นางแม้สักครั้ง?" พัดไม้ในมือสะบัดเบา ๆ เพื่อไล่ความชื้นออกจากอากาศ แต่แววตาของเขาที่เหลือบมองหลินหยานั้นกลับเต็มไปด้วยบางอย่างที่...แม้แต่นางก็ยังไม่กล้าเรียกชื่อ


"คนที่ข้ารู้จัก ไม่ใช่สาวใช้ ไม่ใช่นางโลม ไม่ใช่นักดนตรีฝึกหัด..." เขาพูดช้าแต่ชัด "...นางชื่อหลินหยา และนางเป็นเพียงคนที่นั่งข้างข้าในเวลาที่อยู่ ณ ศาลาที่แสนเงียบสงบ"


หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ระบายยิ้ม นางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะกอดตัวเองแล้วเหลือบมองสายลมและสายฝน ความเย็นทำให้อากาศดี และเสียงฝนตกราวกับเสียงของบทเพลงที่บรรเลงโหมกระหน่ำ ร่างของหลินหยาแน่นิ่งลงช้า ๆ อย่างหมดแรง ราวกับสายฝนที่ซัดลงมาจนกระทั่งหยดสุดท้ายกลายเป็นเพียงม่านหมอกเบาบาง เส้นผมสีดำขลับของนางเปียกแนบกรอบหน้า ผิวขาวซีดจนเกือบโปร่งแสงสะท้อนอยู่บนพื้นไม้เปียกชื้น เสียงหายใจของนางเบาราวกับผีเสื้อกระพือปีก…


“Z Z  z z  Z Z  Z zz” …หลินหยาหลับ..หลับแซ่บเลย


พัดในมือของห่างหมิงหยุดเคลื่อนไหว ห่าวหมิงที่เคยปรากฏเป็นเพียงภาพฝันแสร้งเสกนั้นค่อย ๆ สลายตัวไป เหลือไว้เพียงร่างของขันทีสูงศักดิ์ในแววตานั้น…ผู้เป็นจงฉางชื่อแห่งราชสำนักต้าฮั่น จางกงกงผู้ไร้หัวใจ…หรือควรจะกล่าวว่า หัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยซากบางอย่างที่ไม่เคยมีใครเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย แววตาที่ทอดมองหลินหยา หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยพุ่งหมัดเข้าใส่ใบหน้าของเขาอย่างไม่กลัวตาย บัดนี้กลับนอนหหลับอย่างหมดแรงอยู่ต่อหน้าเขาไร้การป้องกันตัว..เหมือนไว้ใจ ห่าวหมิง คนนี้มากทีเดียว


เงาร่างสูงใหญ่ในชุดสีเข้มโน้มตัวลง กรอบหน้าคมคายนั้นจ้องมองนางคล้ายไร้ความสนใจ เขาย่อตัวลงจนชิด ใบหน้าอยู่ห่างจากนางเพียงครึ่งฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ จากร่างของนาง แม้จะเปียกโชกด้วยฝน แต่กลับยังคงหอมอยู่ดี ดวงตาคู่นั้นไล่ต่ำจากขนตาเปียกชื้นลงมาสู่ปลายจมูกเล็ก แล้วหยุดอยู่ตรงริมฝีปากสีเรื่อที่เม้มเข้าหากันเพราะความหนาว ความเรียบร้อยในเสื้อผ้าไม่ได้ช่วยให้นางดูปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย เขาเอื้อมมือไปแตะปลายผมของนางเบา ๆ ไล่ปลายนิ้วเรียวลากตามแนวลำคอขาวระหงหากเขาบีบมันแค่มือเดียวนางคงขาดใจตายได้ทันที


“…เจ้าหลับแล้วจริง ๆ หรือเสี่ยวหยา?” เสียงนั้นเบาและแหบพร่าเหมือนคำถามที่ถามเพียงในใจ


เขาขยับตัวเงียบ ๆ อุ้มร่างของหลินหยาขึ้นมาในอ้อมแขน นิ้วมือกรีดรอยจากเสื้อคลุมของนางก่อนจะวางร่างบอบบางลงบนตั่งไม้ เขาไม่ได้ห่มผ้าให้ ไม่ได้หาอะไรมาเช็ดผมให้นาง แต่เลือกจะนั่งลงข้าง ๆ ใช้ปลายเล็บขูดเบา ๆ ที่ริมชายเสื้อราวกับจะจดจำผิวสัมผัสนั้นไว้


แววตาที่ทอดมองนางขณะนี้มิใช่ความอ่อนโยน…แต่คือความ อยากเป็นเจ้าของที่ไม่สมประกอบ สิ่งที่แฝงอยู่ภายในบุรุษที่เคยถูกเฉือนวิญญาณโดยราชสำนัก ไม่ใช่แค่ความโหดเหี้ยม หากแต่คือความหิวกระหายแบบแปลกประหลาด เขาไม่สามารถจับมือเธอได้อย่างคนธรรมดา ไม่สามารถโอบเธออย่างบริสุทธิ์…เพราะในส่วนลึกของจางกงกง เขาไม่รู้จัก การให้ เลยแม้แต่น้อย เขารู้เพียง การเอาไว้ เงียบ ๆ …แม้ในยามที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ดวงตาของเขายังไม่ละไปจากหลินหยาสักชั่วขณะ เงียบงัน จมอยู่กับลมหายใจของนาง



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอาเลยคุณพี่ ชอบน้องสักทีเถอะ

รางวัล: อยู่ระหว่างเควสปลดจ้าาา


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 52771 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 21:13
โพสต์ 52,771 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-3 21:13
โพสต์ 52,771 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-3 21:13
โพสต์ 52,771 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-3 21:13
โพสต์ 52,771 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-7-3 21:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-5 20:44:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 05 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 16.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


ยามเซินคล้อยสู่ช่วงท้าย เมฆสีครามเริ่มซีดจางจากเส้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์อ่อนละมุนทอผ่านยอดไม้ซัดเงารำไรเป็นริ้วระบายบนพื้นไม้ของศาลาจื่อเถิงฮวาอย่างเงียบสงบ เสียงนกน้อยร้องขานกับสายลมเย็นพลิ้วพัด ขับกล่อมให้บรรยากาศแห่งยามเย็นช่างเย้ายวนใจให้เอนกายพักผ่อนยิ่งนัก หลินหยาที่ปรากฏกายก่อนตามนัดหมายในชุดเรียบง่ายประณีตนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งไม้พลางเอนหลังพิงเสาเล็กน้อย ใบหน้าเรียวหวานนั้นเปื้อนรอยยิ้มครื้นเครงแบบคนทำผิดแล้วไม่สำนึกเท่าใดนัก หน้าตรงหน้ายังไม่ใช่ขนมหวานอย่างที่เคยนัดไว้กับท่านชายห่าวหมิงหรือใครบางคนที่แสร้งเป็น


…แต่กลับเป็นถาดไม้เล็ก ๆ ที่วางเป็ดปักกิ่งหอมฉุย หนังสุกกรอบจนแสงเย็นของอาทิตย์สะท้อนวาววับ กับไหสุราใบจิ๋วปิดผนึกด้วยผ้าแดง พอเปิดออกกลิ่นก็พุ่งปร่าไปทั้งศาลา ระหว่างเดินเล่นนางดันหิวเลยเผลอกินขนมไป..อืม..ใช่..มัน..เผลอตัวไป.. “ขอโทษนะเจ้าคะท่านชายห่าวหมิง..จะงอนหรือเปล่าวะ บอกขนมหวานแต่ได้เป็นเป็ดปักกิ่งแทนเนี้ย” กล่าวจบก็ก้มหน้าจิ้มเนื้อเป็ดต่ออีกคำโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าบรรยากาศเงียบสงบตรงนี้กำลังมีสายตาหนึ่งที่ทอดมองมาเนิ่นนานจากเงาไม้ด้านนอกศาลาแววตานั้นคล้ายคนกำลังกลั้นยิ้ม แต่ก็แฝงความรู้สึกประหลาดอยู่ลึก ๆ ระหว่างห้วงอารมณ์...บางอย่างที่ปนเปกันระหว่างเอ็นดู อ่อนใจ และ...ความหลงใหลอันยากเก็บซ่อน


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลังศาลา พัดผืนหนึ่งยกขึ้นควงเบา ๆ ดั่งเคย จางกงกงในหน้ากากครึ่งหน้าเดินออกจากเงาไม้ พริบตานั้นหลินหยาก็หันไปเห็นเข้า รอยยิ้มซน ๆ ผุดบนใบหน้าขาวใสของนางในทันที “อ้าว มาแล้วรึเจ้าคะ ขอโทษนะเจ้าคะขนมไม่มีแต่มีเป็ดแทน…กับสุราหอมสิบลี้!” นางพูดพร้อมยกไหสุราขึ้นชูอย่างภูมิใจ “ถึงจะไม่หวานเท่าขนม แต่รับรองว่าเข้มกว่าเยอะเจ้าค่ะ ถึงใจสุด ๆ เลยล่ะ” น้ำเสียงนั้นสดใสราวแมวเปียกที่แอบมาขโมยปลาย่างแล้วพยายามทำตัวน่ารักให้เจ้าของให้อภัย รอยยิ้มของนางคือกลิ่นหอมที่ไม่ได้มาจากสุรา กลับทำให้จางกงกงผู้ชินชาไปกับเล่ห์คนในวังต้องข่มใจแน่น


จางกงกงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในเงาสะท้อนของตะวันบ่าย ใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งหน้ายังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์เช่นเคย แต่ในแววตาที่มองหลินหยานั้น…หากใครตาไวพอก็จะรู้ว่ากำลังถอนหายใจในใจ อยู่เงียบ ๆ อย่างลึกซึ้ง


…ขนมหวานนุ่มลิ้นล่ะ?

…ขนมไหมฟ้ากลิ่นเกสรดอกเหมยล่ะ?

…ไหนบอกจะมีชาหอม ๆ ล่ะ?


แค่ภาพของขนมที่เฝ้ารอถูกแทนที่ด้วยหนังเป็ดกรอบแวววาวและไหสุราแรงกลิ่นสิบลี้ จางกงกงก็อยากจะโยนพัดในมือทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น แต่พอเห็นอีกคนยิ้มระเรื่อ แถมยังเอียงคอส่งแววตาสุกใสคู่นั้นสะท้อนแสงตะวันจนแทบแทงเข้าใจกลางใจเขา…ทำได้แค่กลอกตาในใจแล้วเดินเข้าไปนั่ง


"เป็ดหรือ..." เขาพึมพำเสียงเรียบ ขณะรับตะเกียบอย่างเชื่องช้า "ช่างกลิ่นต่างจากขนมที่สัญญากันไว้ราวฟ้ากับเหว..." แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น มือกลับคีบเนื้อเป็ดคำโตขึ้นมาอย่างไม่มีปากไม่มีเสียง ลิ้นสัมผัสรสกรอบมันเค็มหวานที่ถูกหมักอย่างพิถีพิถัน ขณะเดียวกันก็ยกไหสุราขึ้นเปิดฝาดื่มตามไปหนึ่งอึก…แล้วแทบไอจนแทบสำลักในใจสุราซีเฟิ่งนั้นแม้จะหอมไกลถึงสิบลี้ แต่ก็รุนแรงถึงทรวงจางกงกงรู้ดีแต่เขาไม่คาดคิดว่าหลินหยาจะหักมุมกลางพงศ์ขนมด้วยสุราโบราณรุนแรงถึงเพียงนี้


พัดในมือถูกพับแน่นเงียบ ๆ เขาหลุบตามองเป็ดปักกิ่งบนถาดอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองเจ้าของรอยยิ้มใสซื่อข้าง ๆ ที่กำลังฮัมเพลงเบา ๆ พลางเอนคางลงกับมือ ยามเงยหน้ามองฟ้าแสงตะวันสาดกระทบพวงแก้มแดงเรื่อนั้น เหมือนแมวที่เผลอทำข้าวของเจ้าของตกแตกแล้วยังกล้ามานอนเล่นหน้าเตาผิงอย่างไม่รู้สึกผิด


"ข้ายังไม่ได้กินขนม..." จางกงกงเอ่ยเสียงเบา ปลายเสียงฟังดูแปลกคล้ายจะประชดแต่ก็ไม่เต็มปากเขาไม่เคยอยากได้อะไรจากใครนักในชีวิต…แต่ดูเหมือนตอนนี้เริ่มเข้าใจความรู้สึกที่เรียกว่าความเสียดายขึ้นมาทีละน้อย


หลินหยาเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้ว “อ้าว? ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าทำใหม่นะเจ้าคะ…แต่วันนี้ข้ากินไปหมดแล้วจริง ๆ ฮิฮิ” จางกงกงเงียบไปอึดใจ ก่อนจะคีบเป็ดเข้าปากอีกคำโดยไม่พูดอะไรอีก ขณะที่ลมหายใจเงียบ ๆ คล้ายแฝงด้วยประโยคหนึ่งที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา จางกงกงยังคงนั่งสงบนิ่งหลังจากกลืนคำเป็ดลงคอสายตาใต้ขอบหน้ากากเหลือบมองไหสุราที่กลิ่นหอมแรงทะลุขึ้นมาราวกับจะควันออกมาได้แม้ปิดฝาไว้แน่น มือเรียวยาวที่ถือพัดหยุดเคลื่อนไหวลงครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเสียงหลินหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใส ๆ แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ตนเองก่อไว้


"อื้ม ท่านไม่ชอบกลิ่นของสุราซีเฟิ่งสินะเจ้าคะ…" เสียงนั้นชัดเจนและซื่อราวกับไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาเกือบสำลักไปแล้วรอบหนึ่ง หลินหยาวางถ้วยเปล่าลงแล้วยิ้มแหย ๆ บ่นพลางบีบนิ้วตัวเองทีละข้างเหมือนกำลังกลุ้มใจเล็กน้อย "เอาความจริง…ข้าก็ไม่ชอบกลิ่นหอมฉุน ๆ เหมือนกันเจ้าค่ะ มันเหมือนเอาเครื่องหอมสิบเจ็ดชนิดมายัดใส่ไหเดียวแล้วเอามาฉุดจมูกให้หายใจไม่ออก…มันเหฟมาะกับอาหารรสเผ็ดหรือกลิ่นฉุน ๆ ตีกันอ่ะสะใจดี" เสียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ ดังขึ้นหลังกึ่งประโยคนั้น นางเอนคอเล็กน้อยพลางจ้องเขาด้วยดวงตาที่ไม่ได้แฝงความเกรงกลัวใด ๆ มีเพียงความรู้สึกแบบคนที่เล่าเรื่องเพื่อนซี้ให้ฟัง


"ถ้าเป็นข้า ข้าชอบกินกับล่าจื่อลู่มากกว่าเจ้าค่ะแซ่บถึงใจ กินแล้วเผลอร้องไห้เพราะเผ็ดก็ยังพอให้อภัยได้...แต่วันนี้ไม่มี...ทนกินไปก่อนแล้วกันนะ"


คำพูดนั้นธรรมดามาก จางกงกงแทบจะไม่ตอบสนองในแวบแรกริมฝีปากเรียบตึงไม่ขยับ น้ำเสียงเงียบงันอย่างเคยแต่พัดในมือเขากลับกางออก...แล้วพับเข้าทันทีเหมือนกลั้นบางสิ่งไม่ให้หลุดออกมาจากความเงียบ "เจ้าหวังให้ข้าทนกินไปก่อนหรือ เสี่ยวหยา?" น้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงแง่คำถามที่ไม่แน่ชัด ฟังเผิน ๆ เหมือนจะตำหนิ แต่ลึก ๆ กลับคล้ายยอมแพ้อย่างไรพิกล 


"ข้าเคยดื่มสุราที่กลั่นด้วยไข่มุกดำจากทะเลตะวันตก เคยกินอาหารจากมือพ่อครัวหลวงที่ลือกันว่ามีรสวิเศษเฉพาะฤดูกาล เคยรับกลิ่นบุปผาจากหุบเขาที่ไม่มีใครกล้าเหยียบ…แต่ไม่เคยพบอะไรที่กลิ่นแรงเท่าซีเฟิ่งในมือเจ้าวันนี้" เขาวางพัดลงก่อนหลุบตาไม่รู้ที่พูดเพราะอารมณ์เสียที่ไม่ได้กินขนมหวานหรือไม่ "และก็ไม่เคยมีใคร…ส่งอาหารให้ข้าแล้วบอกว่าทนกินไปก่อนก็แล้วกันด้วยรอยยิ้มแบบนั้น" ประโยคสุดท้ายนั้นไม่ได้เอ่ยด้วยโทษหรือเจตนาใด ๆ หากแต่ทิ้งไว้ในอากาศนิ่ง ๆ พร้อมกับสายตาที่เผลอทอดยาวไปยังหญิงสาวตรงหน้า นางที่เคยพูดว่าจะอยู่เคียงข้างในฐานะสหายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เงียบไปอึดใจจางกงกงลุกขึ้นจากตั่งไม้ หยิบไหสุราขึ้นพลิกดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวเรียบ ๆ


"ข้าจะเก็บไหนี้ไว้...ไม่ใช่เพราะมันดี แต่เพราะมันเป็นของเจ้าที่เอามาให้ด้วยรอยยิ้มโง่ ๆ แบบนั้น" พูดจบ เขาก็วางไหลงอย่างนุ่มนวล แล้วเดินไปยืนที่ขอบศาลา หันหลังให้สายลมเย็นยามเย็นที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ สายลมเย็นยามเย็นพัดกลีบดอกเถิงฮวาร่วงลงทีละแผ่น ละล้อกับปลายชายเสื้อของบุรุษผู้ยืนหลังตรงอยู่ที่ขอบศาลา เส้นผมยาวใต้หน้ากากครึ่งหน้าไหวเบา ๆ ตามจังหวะลมชายผู้นั้นไม่ได้ขยับใด ๆ หลังจากกล่าวประโยคนั้นออกไป ดวงตาภายใต้หน้ากากทอดมองวิวด้านข้างราวกับจะกลืนรับโลกทั้งใบไว้ในความเงียบเย็น


งอนชัวที่ไม่ได้กินขนม..เหมือนผู้หญิงเวลาเป็นประจำเดือนแล้วอดกินของหวานแน่นอนจังหวะนี้..นั้นคือความคิดของหลินหยาที่อยู่ในหัว..ฮ่ะ ๆ งานนี้ต้องง้อแล้วปะเนี้ย


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทีละก้าว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงนุ่มใสปนเอาแต่ใจอย่างเป็นธรรมชาติ “โหหห…ท่านอย่างอนที่ไม่ได้กินขนมหวานสิ เดี๋ยวข้าทำให้จริง ๆ อย่างอนน่า น่า ๆ” เสียงง้องอนนั้นเหมือนกระซิบจากหางลม แม้จะไม่มีเสียงหัวเราะ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความละมุนอ่อนโยนตามสไตล์หญิงสาวที่ชื่อว่า 'หลินหยา' อย่างแท้จริง


จางกงกงหรือตัวเขาในร่างของห่าวหมิงไม่ได้ขยับ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทว่าในอกกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างสะเทือนวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะคำว่าเดี๋ยวข้าทำให้จริง ๆ แต่เพราะคำว่า อย่า งอน น่า ?..งอน?! ในชั่วขณะหนึ่งจางกงกงเผลอหรี่ตานิด ๆ ภายใต้หน้ากาก ความเงียบถูกยืดออกก่อนจะรู้สึกถึงแรงลมอ่อน ๆ จากด้านข้างและ…กลิ่นหอมจาง ๆ ของผิวเปียกเหงื่อในวันที่อากาศเริ่มอบอ้าว


หลินหยาขยับตัวเบา ๆ ซ้ายทีขวาที ราวกับพยายาม ‘ล่อ’ ให้เขาหันกลับมาสีหน้ายุ้ยอย่างเจ้าแมวน้อยที่อ้อนเกินพอดีเอียงคอบ้าง ยิ้มบ้า ขยับมือจับแขนเสื้อเขาเบา ๆ “น่าา ท่านชายห่าวหมิงง ข้าเสียใจน่าาข้าแค่หิวจริง ๆ นี่นา…” น้ำเสียงนั้นคล้ายเด็กหญิงที่เพิ่งเผลอกินของขวัญวันเกิดของคนอื่นไปก่อนเวลา


แล้วเหมือนฟ้าแลบวาบในใจเขาแม้ร่างจะเป็นห่าวหมิงแต่จิตใจที่แท้จริงเบื้องหลังของจางกงกงกลับสั่นเล็กน้อย “…หากข้าเป็นคนที่เจ้าเกลียด เจ้าคงไม่พูดเช่นนี้ใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยเบา ๆ ทว่าไม่เหลียวกลับมาราวกับอยากให้คำถามนั้นปลิวหายไปกับลม


หลินหยาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ตอบ เธอเพียงแต่มองแผ่นหลังของเขาอยู่เงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ยิ้มออกเบา ๆ “ท่านไม่ใช่คนที่ข้าเกลียดนี้หน่า..ท่านคือท่านชายห่าวหมิงไง..เป็นเพื่อนข้าไงน่าา ข้าเลยกล้าง้อท่านหน่อยไม่ได้หรอ..หืม?...ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านงอนจริงหรือแค่ทำหน้าขรึม ๆ แต่มันดูเหมือนหุ่นไม้เลย..อ่ะ..ขอโทษเจ้าค่ะข้าไม่ได้จะว่าแบบนั้นจริง ๆ นะ! ข้าแค่พูดเล่น” คำขอโทษที่ตามมาทันทีเป็นสัญชาตญาณดิบของแม่นางที่รู้ว่ากำลังหยอกคนอารมณ์แปรปรวนอยู่ หญิงสาวหัวเราะแผ่วพลางจับแขนเสื้อเขาเบา ๆ แล้วเขย่าเหมือนเด็ก ๆ ที่อ้อนผู้ใหญ่


“คืนนี้ข้าจะทำขนมให้เองขนมหวาน ๆ หอม ๆ อย่างดี ท่านจะได้ไม่ต้องทนกับสุราเหม็นหอมอีก”


จางกงกงในร่างห่าวหมิงยังคงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายเขาก็หันมา ดวงตาคมกริบใต้หน้ากากกวาดมองดวงหน้านั้นที่เปื้อนรอยยิ้มเงอะงะแบบตั้งใจ หลินหยายังจับแขนเสื้อเขาแน่นไม่ยอมปล่อย “ข้าไม่ได้งอน...” เสียงตอบกลับในที่สุดก็ดังขึ้น แม้จะเบาและเรียบเฉย แต่แววบางอย่างในดวงตานั้นก็ไม่อาจซ่อนได้พ้น “แต่หากเจ้าจะง้อข้า...ข้าก็จะไม่ห้ามหรอก” เขาโต้ตอบกลับไปในที่สุด ด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ


"งั้นจะให้ง้อยังไงล่ะเจ้าคะที่ไม่ใช่ให้ขนม...ตอนนี้ข้าไม่มีอ๊า..าา หรือท่านอยากได้อ้อมกอดอันอบอุ่นปะล่ะ?" น้ำเสียงนั้นคล้ายจะล้อแต่ดวงตากลับจริงใจจนใจเต้นได้ง่าย ๆ คนที่ว่าคล้ายไม่สะทกสะท้านกลับรู้สึกบางอย่างจุกแน่นขึ้นมาในอก


จางกงกงในคราบห่าวหมิงกระพริบตาช้า ๆ สีหน้าไร้ความเปลี่ยนแปลงเหมือนทุกครั้ง ทว่าแววตาที่มองกลับมานั้นต่างออกไป “ข้าไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น” เขาว่าเช่นนั้นด้วยเสียงเรียบ แต่อีกข้างหนึ่งในจิตใจคล้ายจะเอ่ยว่า หากเจ้าจะให้ข้าก็จะรับทั้งหมด แต่ก่อนที่ความเงียบนั้นจะกลายเป็นความอึดอัด หลินหยาก็เอียงคอเล็กน้อยราวกับนึกอะไรออก ดวงตาเธอเป็นประกายขึ้นทันใด


"อ๊ะ?...งั้นท่านฟังเพลงไหมเจ้่าคะ?" นางเอ่ยขึ้นทันที “เดี๋ยวข้าเล่นให้ฟังนะ เนี้ย ๆ ข้าเล่นเป็นหมดเลย ขลุ่ย ผีผา กู่เจิง กู่ฉิน เอ้อหูอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้ข้ามีแค่ขลุ่ยติดตัวอ่ะจะฟังไหมล่ะ” …จะสาธยายว่าตัวเองเล่นได้หมดได้ไงทั้งที่ตัวเองมีติดตัวแค่ขลุ่ยไม้กัน…ว่าแล้วก็ก้มลงเปิดห่อผ้าเล็ก ๆ สีครามที่พกติดตัวไว้ตลอดด้านข้างตัวขลุ่ยไม้ไผ่สีอ่อนลายล่องแสงแทรกอยู่ในผ้าซับอย่างดี เธอหยิบมันขึ้นมาประคองอย่างทะนุถนอมเหมือนของมีค่าก่อนจะเงยหน้ามองคนข้าง ๆ อีกรอบ "แต่ท่านอย่าหลับนะ...บางทีเพลงของข้าอาจกล่อมให้ท่านหลับเหมือนแมวได้เลยล่ะ ขนาดเจ้าแมวอ้วนหน้าบ้านข้ายังกรนคร่อกทุกทีเลย" พูดพลางขำเล็กน้อย มืออีกข้างลูบไม้ขลุ่ยเบา ๆ อย่างอ่อนโยน


จางกงกงยังไม่ตอบคำถามนั้นในทันที หากแต่ดวงตาที่เคยมองลงจากศาลาด้วยแววแข็งกร้าวเมื่อครู่กลับเบือนมาอีกครั้งมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างนิ่งงันมองการหยอกเย้าอันอ่อนโยน มองรอยยิ้มสะท้อนแสงที่ไม่ใช่รอยยิ้มจอมปลอม มองมือเล็กที่จับเครื่องดนตรีด้วยท่วงท่าเหมือนกำลังจับหัวใจใครคนหนึ่งเอาไว้ เขาไม่ตอบว่า ‘อยากฟัง’ หรือ ‘ไม่อยากฟัง’


“…ก็เอาสิ”


หลินหยาขยับตัวนั่งลงตรงพื้นไม้ใกล้ขอบศาลา ขาทั้งสองข้างไขว้กันพองาม มือเรียวประคองขลุ่ยขึ้นจ่อริมฝีปาก ริมฝีปากที่เพิ่งเอ่ยคำล้อเล่นเมื่อครู่บัดนี้ขยับแผ่วเบาเพื่อสร้างท่วงทำนองแรกในอากาศอันเงียบงัน เสียงขลุ่ยโปรยตัวลงดั่งละอองฝน ความหวานหม่นลึกของมันแตกต่างจากเสียงเครื่องสายมันราวกับเสียงลมหายใจที่บอกเล่าความในใจโดยไม่ต้องใช้คำ เสียงขลุ่ยของหลินหยาไม่ใช่เสียงของผู้เคร่งขรึม หากแต่เป็นเสียงของหญิงสาวผู้มีหัวใจอบอุ่นแม้ในความเหน็บหนาวเสียงนั้นค่อย ๆ ลอยพัดผ่านยอดไม้ ลอดผ่านหูของชายที่ยืนอยู่ใกล้ ก่อนจะค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างเงียบเชียบ เพราะนางเป่าขลุ่ยให้เขา..ไม่ใช่เพราะสั่ง แต่เพราะนางเสนอ…


เสียงขลุ่ยแผ่วหวานของหลินหยาไหลเรื่อยดั่งธารน้ำใต้เงาไม้ แม้จะเล่นไปเพียงครึ่งท่อนแต่ทุกโน้ต ทุกลมหายใจ กลับตรึงแน่นอยู่ในอกของชายที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น... เงียบเสียจนแม้แต่เสียงสายลมที่พัดผ่านซุ้มเถิงฮวายังดูเหมือนจะเกรงใจไม่กล้าแตะต้องความสงบนี้ ในเงาสายตาของห่าวหมิงผู้ยืนเงียบงันคือจางกงกง ขันทีผู้มีจิตใจแหลมคมลึกล้ำและปนเปื้อนมืดมัวด้วยไฟแห่งความกระหาย ความฝันและความผิดหวังในโลกใบนี้รวมอยู่ในดวงตาคู่นั้นที่จ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่กะพริบ


มันไม่ใช่การมองเชยชม...หากแต่เป็นการ ‘จดจำ’ จดจำทุกลมหายใจ ทุกโน้ต ทุกท่วงท่า ทุกเส้นผมที่ปลิวกระจายขณะหล่อนโน้มหน้าเป่าขลุ่ย ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงขลุ่ยนั้น...ที่หอว่านหงเหรินเสียงเพลงของหลินหยาเป็นเพียงเสียงหนึ่งในร้อยเสียงของเหล่านางรำสาวงาม แต่ทว่าเสียงของนางกลับกระแทกเข้าในใจเขา ราวกับจะดึงเอาความฝันอันเหือดแห้งในวัยเยาว์ที่เขากลบฝังไว้...กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครา


เขาจำได้แม่นในศาลครั้งนั้น...เมื่อกล่าวต่อหน้าคนทั้งหลายด้วยใบหน้าเรียบเฉย เห็นพรสวรรค์ของหนานหลินหยาและมอบโอกาสให้นางได้เข้ามาถวายงาน คำพูดนั้นฟังดูคล้ายเหตุผลสุภาพ…แต่ในใจเขารู้ดี มันไม่ใช่แค่พรสวรรค์ธรรมดา แต่เป็นสิ่งต้องห้ามที่ทำให้เขาอยากครอบครอง


แม่นางตรงหน้า...ผู้เป่าขลุ่ยด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้เลยว่ากำลังล่อลวงอสูรให้ออกจากกรงด้วยเสียงเพลงของตนเอง ยิ่งเสียงขลุ่ยยิ่งบรรเลงไป...หัวใจของจางกงกงยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นทุกขณะ ความสงบปลอม ๆ ที่เคยสร้างไว้ในใจเริ่มสั่นคลอน พัดพาอดีตและความทรงจำมากมายให้กลับมาตีรวน ภาพของขันทีในวังที่ต้องกลืนเลือดและน้ำตา ความทรมาน ภาพของมือที่เต็มไปด้วยมลทินและภาพของหญิงสาวผู้ยิ้มให้เขาโดยไม่รู้เลยว่าเธอเป็นดวงไฟเพียงดวงเดียวที่เขามีแต่เธอกลับ…มองเขาอย่างไร้พิษภัยพูดกับเขาอย่างไม่กลัวแม้รู้ว่าเขาเป็นใครและเล่นเพลง...ให้เขาฟังเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน


ชื่อของนางถูกเรียกในใจอย่างแผ่วเบา.. เบาเสียจนเขาเองยังไม่แน่ใจว่ากำลังเรียกหรือกำลังร้องขอ เจ้ารู้หรือไม่…หากข้าเอื้อมมือออกไปในตอนนี้…จะไม่มีใครห้ามข้าได้เลย แต่เขาก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและนางก็ยังคงเป่าเพลงนั้น…โดยไม่รู้เลยว่า...อีกเพียงหนึ่งคำ อีกเพียงหนึ่งสัมผัส อาจกลายเป็นชนวนที่ปลุกคำว่าครอบครอง ให้ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครา


ท่านชายห่าวหมิงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างหญิงสาวราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเสียงเพลงที่พึ่งจบลง แม้ตอนนี้ลมหยุดพัด เสียงขลุ่ยเงียบงันแต่ในอกกลับยังมีท่วงทำนองหมุนวนดังก้อง มันไม่ใช่เพียงแค่บทเพลง หากแต่เป็นเงาอดีตรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กหญิงในหอว่านหงเหรินที่ไม่รู้เลยว่าความไร้เดียงสาของตนคือยาพิษร้ายแรงที่ค่อย ๆ ละลายกำแพงแห่งสติในใจของเขาทีละชั้น ดวงตาที่เคยสงบของเขากระเพื่อมเบา ๆ


“ท่านชาย..เป็นไง เพราะไหมเจ้าคะ?” หลินหยาที่พึ่งเล่นเพลงจบหันมองอีกคนพลางระบายยิ้ม คำถามนั้นเรียบง่าย หากแต่สำหรับเขา มันคือเสียงกระซิบจากปีศาจในใจที่หิวกระหายเสียงของหลินหยาที่ไม่รู้เลยว่าเธอเปล่งวาจาใดออกมา


มือข้างหนึ่งของเขาขยับเล็กน้อยเหมือนจะยื่นไปลูบใบหน้าหรือผมนางแต่กลับหยุดชะงักกลางอากาศก่อนจะปล่อยทิ้งลงช้า ๆ โดยยังไม่ทันจะขยับออกห่างจากตัวแม้แต่น้อย "เพราะ..." เขาตอบเสียงเรียบ แต่หางเสียงแฝงแรงสั่นบาง ๆ "...เพราะจนอยากจับเจ้าขังไว้ให้เป่าให้ข้าฟังคนเดียวทั้งชาติ" คำพูดนั้นออกมาอย่างแนบเนียน ราวกับเพียงพูดหยอกแต่ในดวงตานั้นกลับไม่มีวี่แววล้อเล่นมีเพียงความจริงที่อันตรายซึ่งหลินหยาไม่ควรมองเห็น เขาหัวเราะเบา ๆ ทอดตามองขลุ่ยในมือหญิงสาวที่เพิ่งเก็บลงในผ้าห่อผืนเล็ก 


"นักดนตรีฝึกหัดในหอว่านหงเหรินงั้นหรือ...ที่นั่นมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของหลายชีวิต และจุดจบของอีกหลายชีวิตเช่นกัน" เสียงนั้นคล้ายประชด คล้ายเย้ย คล้ายบ่น คล้ายจะฝังอะไรบางอย่างไว้ในคำพูด ก่อนเขาจะเหลือบตาลงมองหญิงสาวอีกครั้ง ลึกในดวงตานั้น...มันไม่ใช่ความชื่นชม หากแต่เป็นความ 


อยากได้มาเป็นของตนเอง




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5 

มอบ เป็ดเป่ยจิง อาหารเกรดแดง ความสัมพันธ์ +30

มอบ สุราซีเฟิ่ง สุราเกรดแดง ความสัมพันธ์ +20

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5

(ส่งแล้วจ้าาา)


แสดงความคิดเห็น

จางกงกงหัวใจถึง 6 ดวงแล้ว  โพสต์ 2025-7-5 21:30
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-7-5 21:30
โพสต์ 72755 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-5 20:44
โพสต์ 72,755 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-5 20:44
โพสต์ 72,755 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-5 20:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-7 17:39:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-7 19:26


วันที่ 07 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 16.30 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


ใต้เงาไม้จื่อเถิงฮวาที่ปลายยอดกำลังผลิดอกม่วงอ่อนแตะแสงยามเย็น หญิงสาวนั่งเงียบอยู่ที่เดิมบนตั่งไม้เก่า ท่ามกลางกลิ่นดินชื้นกับเสียงสายลมที่พัดเบา บทเพลงขลุ่ยพลิ้วไหวจากริมฝีปากหลินหยาดั่งบทสวดที่ส่งผ่านความรู้สึกไม่อาจกล่าว เป็นท่วงทำนองที่โอบล้อมหัวใจตนเองให้หลุดพ้นจากพันธะหม่น ๆ แม้เพียงชั่วขณะมันไม่ใช่เพลงกล่อมผู้ใดแต่มันกล่อมตนเองที่กำลังเหนื่อยล้าเหลือเกิน เสียงขลุ่ยดังกังวานแต่ไม่แหลมมันนุ่มละมุนคล้ายสายลมห่มไหล่ผู้หลับใหลในคืนหนาวและทุกครั้งที่ลมหอบผ่านพุ่มไม้ มันก็พาเอาเสียงนั้นแทรกซึมเข้าไปยังที่ซ่อนของบุรุษในชุดเข้มภายใต้เงาของต้นจื่อเถิงใหญ่


ท่านชายห่าวหมิง...หรือชายผู้ซ่อนความลับลึกที่สุดของวังหลวง จางกงกงในคราบชายหนุ่มผู้ลุ่มหลงยิ่งกว่าไฟ เขายืนนิ่งใต้เงาทึบของต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านลงคล้ายผ้าม่านธรรมชาติ ไม่เอ่ย ไม่ขยับ ไม่แม้แต่หายใจแรง ทุกคำโน้ตที่นางเป่าดั่งค่อย ๆ ไต่ขึ้นตามเส้นสันหลังของเขา ลูบไล้เข้าในหัวกะโหลกกระตุกจิตใจที่ชิงชังต่อโลกมนุษย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ในหัวกลับก้อง


ข้าเคยคิดว่าทุกคนในโลกนี้ล้วนเสแสร้งล่อลวง…แต่เจ้ากลับโง่เง่าเสียจนน่ากลืนกิน


เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นแตะตรงหัวใจ…หัวใจที่ไม่เคยเต้นแรงให้ใครกลับกระตุกช้า ๆ ยามฟังท่วงทำนองจากขลุ่ยเล็ก ๆ ในมือของหญิงสาวตรงหน้าเสียงนั้นไม่ใช่แค่บทเพลงมันคือภาพจำทั้งหมดของนาง คือดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม คือการกระทำที่เปราะบางแต่ยังหยัดยืน คือรอยยิ้มที่เคยให้เขาแม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มันคือสิ่งเดียวที่เขาไม่สามารถควบคุมได้แต่เขาจะไม่ยอมให้มันเกินเลยไปกว่านี้


ในจังหวะสุดท้ายที่เสียงขลุ่ยจบลง เขาจึงก้าวออกมาจากเงาไม้ เสียงฝีเท้านั้นเบาราวกับไม่มีอยู่ แต่สำหรับหลินหยาที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ ก็ยังรู้สึกถึงไอเย็นบางเบาของใครสักคนที่กำลังเดินเข้ามา “บทเพลงวันนี้...ฟังแล้วช่างเย็นนัก” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจากด้านหลังเป็นเสียงที่แม้จะฟังคุ้นเคย แต่วันนี้มันกลับมีบางอย่างต่างออกไปอาจเพราะนางเริ่มตั้งข้อสงสัย หรืออาจเพราะเขาตั้งใจให้มันแตกต่าง


หลินหยาเงยหน้าขึ้นหันไปมองเขาช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ


"เจ้ามาก่อนข้าด้วยซ้ำ..." เขาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะนั่งลงข้างนางโดยไม่ได้ขออนุญาต มือเรียวยาววางบนตั่งไม้อย่างมั่นคงแต่ดวงตาเขา...กลับจ้องไปยังริมฝีปากนางที่เพิ่งเป่าขลุ่ยจบ "เสียงขลุ่ยของเจ้า...ไม่เหมือนใครเลยจริง ๆ แม้แต่สถานที่ของข้าก็ยังไม่มีผู้ใดเล่นได้เช่นนี้" เขากล่าวเสียงเรียบแต่ในถ้อยคำนั้นแฝงบางสิ่งไม่ใช่คำชม หากเป็นคำประกาศการ 'จดจำ' ในแบบของเขา "เจ้ารู้ไหมเสี่ยวหยา…." เขาเอ่ยพลางขยับมองนางเต็มสายตา "...บางสิ่งที่เจ้าให้ข้าไป มันไม่ได้ย้อนกลับมาแค่เพียงความทรงจำ...แต่มันฝังลงในวิธีที่ข้าคิดและรู้สึก" เขายื่นมือไปใกล้ใบหน้านางช้า ๆ ก่อนจะไล้ปลายนิ้วตามแนวไรผมอย่างเงียบงัน "และข้าก็เริ่มเกลียดความรู้สึกนั้นเข้าแล้วด้วยสิ" แต่เขากลับยิ้ม…ยิ้มที่ไม่มีความรื่นรมย์ ไม่มีความอบอุ่น ยิ้มเหมือนคนที่กำลังจิบเหล้ารสขมที่ตนเองเลือกจะดื่ม แม้รู้ว่าพิษมันร้ายแค่ไหนและหลินหยาก็ยังไม่รู้…ว่าสิ่งที่กำลังคลี่คลายอยู่ตรงหน้าคือความเมตตา หรือกลไกทำลายล้างที่อำพรางด้วยรอยยิ้มละไมกันแน่


หลินหยาวางเครื่องดนตรีลงเบา ๆ บนตัก ใบหน้าหวานที่เปียกเหงื่อเพราะแสงแดดบ่ายคลี่ยิ้มจาง ๆ อย่างดูมีเชิงแฝง หางตาเหลือบมองบุรุษหน้ากากผู้ที่ในสายตาคนอื่นอาจดูสำรวมสุภาพ แต่กับเธอ...มันไม่ใช่แค่นั้น นางเบือนหน้ากลับมามองเขาตรง ๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าฉายความสงสัยแฝงระแวดระวังแต่ก็ไม่ได้ขยับปัดมืออีกคนทิ้งออกแต่อย่างใด


"เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงได้ชอบ...แตะต้องข้าบ่อยนักเจ้าคะ? ข้าจำได้นะว่าท่านไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน" น้ำเสียงเธอแฝงความเบาบางระคนสั่นสายตานั้นแม้คงความซื่อใส แต่ก็เริ่มมีเงาของบางสิ่งลอยผ่าน


ทว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้านั้นเพียงหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำคล้ายยั่วเย้าแต่ไร้ความอบอุ่น "ข้าชอบของสวยของงาม" เขาเอ่ยก่อนที่ปลายนิ้วจะไล้เส้นผมข้างแก้มของเธอเบา ๆ ราวจะลูบแมวเชื่องตัวหนึ่ง "และเจ้าก็งามเหลือเกิน...โดยเฉพาะตอนที่เจ้ามีใบหน้าหวาดระแวง" เขาหยุดคำเหมือนกับจะหยุดให้นางได้เตรียมตัวสำหรับการหายใจทั้งที่ดวงตาจ้องมองนางพราวระยับ "ข้าก็แค่..." นิ้วเย็นเยียบของเขาเลื่อนมาหยุดตรงท้ายทอยนางแล้วแตะเบา ๆ คล้ายสั่งสอนเด็กดื้อ "...อยากแน่ใจว่าเส้นด้ายที่ข้าผูกไว้กับเจ้ามันยังไม่คลายต่างหาก"


หลินหยากลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัวนางไม่ขยับไม่ถอย...แต่หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุอก นางกัดริมฝีปากตนเองแล้วเอ่ยช้า ๆ อยากจะหลบตาอีกคนและนางก็ทำแค่ไม่ได้ถอยห่าง "หากเป็นของงาม...แล้วเมื่อใดที่มันไม่งามท่านจะทิ้งมันหรือไม่เจ้าคะ?"


จางกงกงหรือท่านชายห่าวหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาหัวเราะอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีความขบขันแม้แต่น้อย "ข้าจะทำลายมัน...ให้ไม่เหลือแม้เงา" คำตอบนั้นเยือกเย็นดุจน้ำแข็งในฤดูหนาว แต่เขากลับยื่นมือแตะข้างแก้มเธอราวปลอบโยนกับคำรุนแรงเมื่อครู่นี้ "แต่เจ้ายังงามอยู่…เสี่ยวหยาและข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องลงมือเอง"


สุดท้ายนางก็ทนไม่ได้…หลินหยาเบือนหน้าหนีเล็กน้อยแม้ปากจะระบายยิ้มแต่นัยน์ตากลับแฝงร่องรอยความปวดร้าว เธอรู้ดีว่า...อีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น "ข้า...เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" เสียงนางเบาราวกับลมหายใจ "หากความงามคือสิ่งเดียวที่ข้าเหลือ…ที่ทำให้ข้ามีชีวิต…ข้าก็จะรักษามันไว้เพื่อไม่ให้โดนขยี้..โดยใครบางคน" ทั้งสองนั่งอยู่ใต้ร่มเงาจื่อเถิงฮวาที่กำลังผลิดอก ลมพัดเอื่อยไล้กลีบดอกม่วงปลิวผ่านกลางระหว่างคนทั้งคู่ หนึ่งคือเงาเยือกเย็นที่คลุมด้วยหน้ากากแห่งความห่วงใย อีกหนึ่งคือหญิงสาวผู้สับสนกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว


แต่หลังจากนั้นหลินหยากลับเหลือบมองเขาเล็กน้อย ท่านชายในหน้ากากครึ่งใบ..นางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็คิดว่าหากนางเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะทำให้ตัวเองเครียดแล้วอาการก็แย่ลงเสียเปล่า ๆ ..เช่นนั้นก็..ชวนกินดีกว่า จางกงกงที่นั่งนิ่งราวเงาสลัว ใบหน้าใต้หน้ากากเรียบนิ่งยิ่งกว่าแผ่นน้ำที่ไร้คลื่นไหว สายตาลึกดำคล้ายวังวนกำลังจ้องมองหญิงสาวที่หันหน้าหนีการคุกคามด้วยรอยยิ้มแผ่วๆ


"พอละ ข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับท่านแล้ว…วันนีไม่มีของหวานเจ้าค่ะ แต่ข้าทำไก่ขอทานไว้...กับสุราไผ่เขียวหนึ่งไห หอมเย็นกำลังดีเลยเจ้าค่ั" หลินหยาพูดไป มือก็หยิบไหสุราขึ้นมาตั้งไว้บนผืนผ้าหญ้าเล็ก ๆ ที่นางปูด้วยชายกระโปรงตนเองชั่วคราว ก่อนจะเปิดห่อใบไม้ที่ห่อไก่มาอย่างดี กลิ่นเนยจืดเคล้าขิง ขี้เหล็กเผา และเกลือหินหอมพุ่งขึ้นมาตามสายลมยามเย็นอย่างเย้ายวน "ของหวานไม่มี ของเผ็ดก็ไม่มี...มีแต่อะไรกลมกล่อมให้ท่านได้พักลิ้นพักใจเสียบ้างเจ้าค่ะจะได้เลิกพูดงง ๆ ปั่นหัวข้าสักที" นางพูดติดขำแผ่ว ๆ แต่เห็นจะมีความปลงอยู่ในนั้นพร้อมส่งน่องไก่หนึ่งชิ้นให้เขาโดยตรง


จางกงกงรับชิ้นไก่มาช้า ๆ ปลายนิ้วของเขาแตะหลังมือของหลินหยาแผ่วเบาในขณะที่รับของนั้น สัมผัสที่แฝงเจตนา…คล้ายเตือน คล้ายทวง คล้ายอ้อนวอน แต่สีหน้าและคำพูดของเขากลับไร้ซึ่งความนุ่มนวล "เจ้ารู้วิธี ‘หลอกล่อ’ ผู้คนดีนัก...เสี่ยวหยา" น้ำเสียงเขาเย็นจัดแต่ลึกซึ้ง "ข้าเกือบเชื่อแล้วว่าเจ้าปรารถนาเพียงอาหารมื้อนี้ ไม่ใช่การล่อลวงให้ใครลดการระแวดระวัง"


หลินหยายักไหล่น้อย ๆ ดวงตาแวววับฉายประกายซุกซนแต่จริงใจขณะกินน่องไก่อีกฝั่งแทนระหว่างนั้นก็พูดไปด้วย "แล้วท่านเชื่อหรือไม่เจ้าคะ?" จางกงกงเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะหยิบน่องไก่ขึ้นช้า ๆ ชิมคำหนึ่ง แล้วกระซิบแผ่ว ๆ ราวพูดกับตนเอง "แม้แต่ยาพิษ…หากกลิ่นหอมพอ ก็ไม่มีใครอยากปฏิเสธ"


หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่งตอนเขาบอกนางพ่นลมหายใจแล้วยิ้มขื่น ๆ "ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านเครียด...หากวันนี้ข้าทำได้เพียงปลอบโยนให้ท่านลืมเงามืดในใจบ้าง มันก็คุ้มแล้วเจ้าค่ะ"


"แม้จะรู้ว่าข้าอาจเป็นเงามืดนั้นเองหรือ?"


"เจ้าค่ะ" หลินหยาเอ่ยทั้งที่มือยังหั่นไก่ใส่มือให้เขา "แต่ข้าก็หิว...และถ้าเงามืดจะหิวด้วย ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก"


ครานั้นท่านชายห่าวหมิงเงียบไปนานมากจนนางเกือบคิดว่าเขาจะไม่ตอบใด ๆ เลย...แต่แล้วน้ำเสียงเยือกเย็นที่แฝงความอ่อนโยนจอมปลอมก็หลุดออกมาจากหน้ากากนั้น "เจ้าคือสิ่งเดียวที่ข้ากินเข้าไปแล้ว…ไม่กล้ากลืนลงหรือคายทิ้งเสี่ยวหยา" หลินหยาชะงักมือ รอยยิ้มบนริมฝีปากคล้ายจะค้างคาอยู่เพียงครึ่งคำ ก่อนที่นางจะเบือนหน้าไปอีกทางแล้วเอ่ยเบา ๆ "งั้นก็ค่อย ๆ เคี้ยวให้ดี...อย่าให้มันติดคอนะเจ้าคะ" แสงแดดเย็นของยามเซินร่วงหล่นผ่านใบจื่อเถิงลงมาเบื้องหน้าทั้งสอง...อาหารมื้อนั้นไม่ใช่เพียงไก่และสุรา แต่ยังเป็นบทสนทนาระหว่าง ‘ผู้ล่า’ กับ ‘เหยื่อ’ ที่ดูจะไม่มีใครยอมใครทั้งนั้น


หลังจากกินเสร็จแล้วหลินหยาก็เอาน้ำเปล่ามาล่างมือ แล้วส่งให้อีกคนด้วยเหมือนกันเขาจะได้ล้างมือเพราะใช้มือกินไก่กันแทะกันมันส์จนเหลือแต่กระดูกไก่อ่ะบอกเลย หลินหยาถือกระบอกน้ำเบา ๆ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วเอ่ยปนหัวเราะในลำคอ "ยื่นมือมาสิเจ้าคะ ท่านมือเลอะแล้ว..." แล้วนางก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ขี้เล่น "หรือ...ข้าต้องล้างให้ท่านด้วยไหมเจ้าคะ?" คำถามนั้นเหมือนไม่มีพิษภัยแต่น้ำเสียงที่ติดแววล้อเลียนของหลินหยากลับคล้ายท้าทายเขาอย่างเงียบงัน


จางกงกงยื่นมือมาอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วยาวนั้นยังคงมีคราบน้ำมันบาง ๆ จากหนังไก่กรอบที่แทะกันจนเกลี้ยงเหลือแต่กระดูก เขาไม่พูดอะไรทันที เพียงแต่มองหลินหยาอย่างนิ่งงัน ดวงตาใต้หน้ากากที่เคยทอดมองเมืองฉางอันจากยอดผาอย่างสงบนิ่งนั้น บัดนี้กลับคล้ายจ้องทะลุจิตใจนางราวกับจะจับให้ได้ทุกซอกซ่อนในแววตา นิ้วมือของเขาขยับเล็กน้อย ยื่นมาตรงหน้านางราวกับยอมจำนน แต่เมื่อปลายนิ้วแรกสัมผัสน้ำที่หลินหยาละเลงลงบนมือเขาอย่างเบามือ จางกงกงกลับจับข้อมือนางแน่นขึ้นอย่างเงียบงัน ไม่ใช่แรงที่บีบเพื่อทำร้ายนาง...แต่เป็นแรงกดที่ทำให้นางไม่อาจหลบเลี่ยงได้


"เจ้าล้างมือให้ข้า..." เสียงของเขาเอ่ยแผ่วเบาแต่แฝงกระแสบางอย่างที่ไม่อาจเดาได้ "แล้ววันหนึ่ง...หากต้องล้างคราบเลือดจากมือข้า เจ้าจะล้างให้ได้หรือไม่...เสี่ยวหยา?"


มือหลินหยาชะงักกลางอากาศข้อมือของนางยังถูกจับไว้อย่างมั่นคง น้ำในกระบอกนั้นสั่นไหวจนหยดลงพื้นทีละหยด นางไม่กล้าสบตาเขาทันทีแต่ก็ไม่ยอมเบือนหนีหรือสะบัดมือออกแต่อย่างใด "ข้า..." หลินหยาลูบมือเขาเบา ๆ ระหว่างล้างอย่างฝืนใจแต่ก็ยังคงทำมันอยู่ดี "…ถ้ามือท่านเจ็บหากท่านยังหายใจอยู่ ยังจับตะเกียบยังถือขลุ่ยได้ ข้าก็จะล้างให้…แต่ถ้ามือท่านเปื้อนเลือดใคร…ข้าก็ไม่รู้ว่าจะล้างให้ท่านด้วยใจที่สะอาดได้ไหม…" 


จางกงกงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือจากข้อมือนาง แล้วยกมือตัวเองขึ้นแนบปลายคางของหลินหยา ปาดหยดน้ำเล็ก ๆ ที่เปื้อนขึ้นมาอย่างจงใจ "เช่นนั้นเจ้าก็แค่ไม่ต้องใช้ใจ...ใช้แค่มือของเจ้า...ก็พอแล้ว" คำพูดนั้นเย็นชาจนเหมือนหิมะกลางฤดูร้อน แต่ปลายนิ้วเขากลับไล้แก้มนางอย่างแผ่วเบาแทบไม่ต่างจากสายลมรำไร "อย่าลืม...บางครั้งใจเจ้ามันโกหก…แต่มือของเจ้าจะซื่อตรงเสมอ" หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วหลุบตาลง รู้ดีว่า…คนที่อยู่ตรงหน้านาง ไม่ใช่เพียงท่านชายห่าวหมิงผู้แสนสุภาพ แต่คือเงาที่ไม่มีวันหายไปจากนางเลยสักวัน


ยามเย็นคลี่คลุมท้องฟ้าเหนือศาลาจื่อเถิงฮวา กลีบดอกม่วงไหวไหวตามแรงลมที่พัดแผ่ว...หลินหยาเหม่อมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง ริมฝีปากนุ่มนวลนั้นเผยอยิ้มบางแต่ไร้ความสดใสอย่างเคย ใบหน้าเงยขึ้นรับแสงสุดท้ายของวันก่อนจะถอนหายใจยาวเสียจนน่าหวั่นใจว่าลมหายใจนั้นจะพาเอาบางสิ่งในหัวใจนางปลิวไปด้วยนางเบือนหน้ากลับมา แล้วเอ่ยเสียงค่อยกับผู้ที่นั่งอยู่ข้างกัน


ยามเย็นคลี่คลุมท้องฟ้าเหนือศาลาจื่อเถิงฮวา กลีบดอกม่วงไหวไหวตามแรงลมที่พัดแผ่ว...หลินหยาเหม่อมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง ริมฝีปากนุ่มนวลนั้นเผยอยิ้มบางแต่ไร้ความสดใสอย่างเคย ใบหน้าเงยขึ้นรับแสงสุดท้ายของวันก่อนจะถอนหายใจยาวเสียจนน่าหวั่นใจว่าลมหายใจนั้นจะพาเอาบางสิ่งในหัวใจนางปลิวไปด้วย นางเบือนหน้ากลับมาแล้วเอ่ยเสียงค่อย ๆ กับผู้ที่นั่งอยู่ข้างกัน


"หากท่านยังไม่หยุดพูดอะไรสองแง่สองง่ามให้ตีความอีกละก็...ข้าจะจูบปิดปากท่านจริง ๆ นะเจ้าคะ" นางขมวดคิ้ว มองเขาด้วยดวงตาไม่สบอารมณ์แต่กลับมีแววขัดเขินจาง ๆ แอบแฝงอยู่ในแววตาที่ไม่อาจหลอกใครได้ "อย่าให้ข้าต้องกลายเป็นคนรุนแรงไร้ยางอายเลยเจ้าค่ะ ท่านชาย..."


ทว่า…จางกงกงในคราบของห่าวหมิงเพียงเงียบแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้เสียจนลมหายใจของเขาแทบเฉียดใบหูข้างหนึ่งของนาง "หึ...เจ้าจะจูบข้าปิดปากหรือ? ข้าควรถือว่านั่นเป็นคำเตือน หรือ...ข้อเสนอ?" คำพูดของเขาราวกับคลื่นใต้น้ำที่ค่อย ๆ รุกคืบเข้ามาเยือกเย็นและเมื่อกล่าวจบเขากลับเงียบราวกับรอฟังคำตอบจากเธออีกครา


หลินหยาเบือนหน้าออกด้านข้างแทบจะทันทีตอนที่อีกคนขยับเข้ามาใกล้เพื่อรักษาระยะห่างของกันและกัน สีแดงจางแต้มแก้มทั้งสองข้าง "ท่านนี่มัน...! ข้าขอเตือนว่าหากท่านข้ามเส้นข้าจะไม่ไว้หน้าเลยจริง ๆ..." เสียงของนางสะดุดเพียงครู่ก่อนเงียบลงเมื่อสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องมาด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดนั้น แววตาไม่ใสบริสุทธิ์อย่างใครอื่นแต่มันคือเงามืดที่ลึกจนดูราวหลุมพรางไม่มีก้นบึ้ง


จางกงกงเอียงศีรษะพลางพึมพำเบา "เจ้านี่...เป็นของเล่นที่ล้ำค่ายิ่งกว่าใครจริง ๆ..." นางชะงัก ตอนที่ได้ยินเสียงของเขาแล้วเม้มปากแน่น "ข้าไม่ใช่ของเล่นของใครนะเจ้าคะ..." เสียงของหลินหยาต่ำลง แววตาไม่กลัวแต่มีไหวหวั่น "หากวันหนึ่งท่านจะมองข้าเป็นเพียง 'อะไรบางอย่าง'...ข้าจะขอเป็นคนทำลายตัวเองก่อนท่านจะได้ทำเจ้าค่ะ"


พูดจบ นางขยับตัวลุกขึ้นเต็มความสูงของร่างบาง แล้วก้าวเดินไปอีกด้านของศาลา มือขาวเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นกอดอกแน่นราวต้องการกอดหัวใจของตนไม่ให้หลุดจากอก จางกงกงมองภาพนั้นนิ่งนาน รอยยิ้มที่เคยประดับริมฝีปากของเขาค่อย ๆ จางหายเหลือเพียงเงาสะท้อนของตนเองในแววตานางที่หันหลังให้...เงาที่เขาเองยังไม่รู้ว่าเป็นตัวตนจริง หรือเพียงสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมเธอ


"เจ้าจะกล้าทำลายตัวเอง…ก่อนที่ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็นจริงหรือ เสี่ยวหยา?" เขาพึมพำ...เสียงนั้นไม่มีใครได้ยินมีเพียงสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่าน กลีบจื่อเถิงโปรยลงบนบ่าของหญิงสาวและในหัวใจที่กำลังจะถูกวางเดิมพันด้วยความไม่แน่ใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5 

มอบ ไก่ขอทาน อาหารเกรดทอง ความสัมพันธ์ +25

มอบ เหล้าไผ่เขียว เหล้าเกรดทอง ความสัมพันธ์ 15

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5


แสดงความคิดเห็น

(หัวใจจางกงกง 8 ดวงแล้ว)  โพสต์ 2025-7-7 19:29
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-7-7 19:29
โพสต์ 62875 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 17:39
โพสต์ 62,875 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-7 17:39
โพสต์ 62,875 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-7 17:39
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-8 18:38:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 08 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


ยามเซินคล้อยผ่านไปช้า ๆ ท่ามกลางแดดอ่อนยามบ่าย เสียงลมพัดผ่านต้นจื่อเถิงฮวาอย่างเนิบช้า เถาวัลย์ม่วงสะบัดเบา ๆ เหมือนกำลังเต้นระบำตามแรงลมบนศาลาดอกจื่อเถิงฮวาโปรยกลีบลงกระทบไหล่หญิงสาวที่นั่งแหมะอยู่ตรงเสาไม้ฝั่งใต้ คนงามในชุดผ้าฝ้ายลายเรียบพับขาขึ้นอย่างไม่แยแสกิริยากุลสตรี ผมเผ้ายังพอเปียกนิดหน่อยจากการอาบน้ำมาใหม่ ๆ กลิ่นหอมของเครื่องหอมระเหยผสมกลิ่นแอลกอฮอล์แรงจัดของสุราเข้ากันอย่างประหลาด หลินหยายกไหสุราไผ่เขียวขึ้นกระดกอย่างหมดท่า อึก อึก อึก...


"อื้อหือ...แม่ง...แรง..." เสียงหวานพึมพำหลุดปาก พลางขมวดคิ้ว ดวงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันตาไม่ใช่เพราะแสงแดด แต่เพราะไอเหล้ากำลังเผาแก้มใสของนางให้เปล่งร้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ นางเอาขลุ่ยไม้พาดตักไว้ "จะมามั้ยก็ไม่รู้...ฮึ่ย พูดเองคนเดียวอีกละกู" นางบ่นแล้วเอาศอกเท้ากับราวศาลาพลางเท้าคางริมฝีปากแดงจัดนั้นย่นยู่เพราะความเบื่อ


แววตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนวับวาวเริ่มฉ่ำจากฤทธิ์เหล้านางถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่าเสียงต่ำเบา ๆ คล้ายจะกล่อมใจตัวเอง เสียงนั้นแผ่วเหมือนคนละเมอ ลื่นไหลชวนฝันเหมือนน้ำไหลตามโค้งเขา "เป่าดีกว่าไหมเนี้ย...ดีกว่านั่งคิดเรื่องคนชอบแตะผมคนอื่นเขาไปวัน ๆ...มะ ไม่ได้คิดถึงเลยนะเว้ย" แต่ริมฝีปากนั่นกลับแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ รอยยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มจริงจัง แค่ยิ้มให้กับอะไรบางอย่างที่แม้จะยังไม่มาแต่ก็ดันมีอิทธิพลพอจะอยู่ในหัวใจเสียแล้ว


แล้วทันใดนั้น...ก็มีเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากปลายทางเดินดินด้านทิศตะวันตกของศาลา เสียงรองเท้ากระทบกรวดเบา ๆ อย่างจงใจให้ได้ยิน แต่ไม่รีบร้อนไม่แสดงตัว เขาปรากฏตัวขึ้นเงียบงันเช่นเคยดั่งเงาเลื่อนลอยท่ามกลางกลีบดอกจื่อเถิงฮวาที่ร่วงโรยตามฤดูกาล ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากบุรุษหน้าตาคมคายเจ้าของชื่อเสียงอันเปี่ยมเกียรติในฐานะท่านชายห่าวหมิง ปรากฏร่างขึ้นที่ปลายทางเดินของศาลา สายลมยามเย็นพัดชายเสื้อของเขาสะบัดเบา ๆ ก่อนที่ปลายรองเท้าจะหยุดลงตรงหน้าศาลาที่เขารู้ดีว่ามีใครบางคนรออยู่ทุกบ่าย


แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม…


ไม่มีเสียงขลุ่ยกล่อมไม่มีกล่องขนมหรือผลไม้เปรี้ยวหวาน ไม่มีอาหารหลากชนิด ไม่มีแม้กระทั่งถ้อยคำทักทายเหมือนอย่างเคย มีเพียงร่างหนึ่งที่เอนซบอยู่ตรงเส หญิงสาวในชุดเรียบง่ายที่นั่งตัวปลิวนิด ๆ บนพื้นไม้พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเครื่องหอมที่เจือด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์แรงกล้า


ไหสุราสองใบตั้งอยู่ข้างตัว...แห้งสนิท มีเพียงหยดเหล้าอยู่เพียงไม่กี่หยดตรงส่วนปลาย..


ดวงตาใต้หน้ากากคมกริบของเขากระตุกวูบ...รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก รอยยิ้มที่บางเกินกว่าจะเรียกว่าหยอกล้อหากก็ลึกเกินกว่าจะมองว่าไร้ความนัย เขาก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่เอ่ยคำในคราแรก


หลินหยาไม่ได้เงยหน้าขึ้นทันที นางกำลังพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง มือหนึ่งลูบขลุ่ยที่วางอยู่ข้างตัว อีกมือปัดไรผมที่ตกเคลียแก้มจนยุ่งเหยิง "...ข้าไม่ได้เมานะ...ไม่ได้เมาแค่...อื้มม...พักผ่อน...ผ่อนคลาย...ก็เท่านั้นเอง..." เสียงของนางเบา พูดกับตัวเองเหมือนแมวหงอย ๆ ที่เริ่มพูดงึมงำกับเงาของตัวเอง เขาจึงนั่งลงใกล้ ๆ เธอเอื้อมมือไปแตะชายผ้าของนางเบา ๆ


"วันนี้ไม่มีขนมหวาน ไม่มีเสียงขลุ่ยแต่มีไหสุราวางสองใบวางเคียงแล้วเจ้าก็ยังกล้าบอกว่าไม่เมาอีกหรือ?" น้ำเสียงของเขานุ่ม...แต่แฝงด้วยบางอย่างที่เหมือนจะล้อเลียนหรือ...อาจจะกำลังจดจำ


หลินหยาค่อย ๆ หันมามองเขา ดวงตาฉ่ำวาววูบหนึ่งก่อนจะเบ้ปากน้อย ๆ แล้วเอานิ้วชี้ไปแตะหน้าอกเขาเบา ๆ อย่างขี้อ้อนหรืออาจจะแค่แกล้งเล่น "ท่านชายยย...อย่ามาทำหน้าทะเล้นนะ...ข้าแค่...ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ...วันนี้ข้าสบายจายยย..." เสียงหวานของนางแผ่วเบาลง ขณะพูดก็วางศีรษะลงบนแขนของตัวเอง เอียงหน้าไปด้านเขาราวจะเลี่ยงสายตา กลิ่นสุราจาง ๆ ปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมบนผิวนาง มันไม่ใช่กลิ่นที่จางกงกงคุ้นเคยจากนางในวันที่มีแรงต่อสู้ ไม่ใช่วันที่นางแววตาเด็ดเดี่ยวหรือเฉลียวฉลาด ท่าทางน่าจะเมาพอสมควรเหมือนกัน


ชายหนุ่มในคราบของห่าวหมิงเอื้อมมือไล้ปลายผมนางเบา ๆ อย่างที่เขามักใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมอารมณ์ ความอบอุ่นแฝงพิษร้ายค่อย ๆ ลูบไล้ผ่านปลายนิ้ว "ข้าจะถือว่าการที่เจ้าปล่อยตัวเมามายตรงหน้าข้าเช่นนี้...คือการไว้ใจอย่างหนึ่งหรือเป็นการยั่วยุโดยไม่รู้ตัว?"


หลินหยาสะบัดหน้าเบา ๆ ทั้งที่หัวเริ่มหมุน “ข้า...ก็แค่...เหนื่อย...อย่าแกล้งข้ามากนักสิ...”


"ข้ากำลังปลอบเจ้าอยู่ต่างหาก" เขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนผิดวิสัย แต่แววตากลับเคลือบไว้ด้วยประกายที่แม้ความเมาของนางก็แทบจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่า...ดวงตาของใครคนนี้ตอนนี้ช่างมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่อย่างวาววับ


หลินหยาเริ่มขยับตัวนิดหน่อยแล้วเอนหลังพิงเสาศาลา มือเรียวควานหาขลุ่ยไม่เจอ เจอก็แต่ไหสุราที่หมดไปเกือบทั้งสอง นางยกมือข้างหนึ่งกุมขมับขณะอีกมือชี้ไปที่โต๊ะราวกับจะฟ้อง ท่านชายห่าวหมิงว่า "ข้าไม่เมานะเจ้าคะ…แค่เหนื่อย เหนื่อยแบบสุด ๆ เลย วันนี้ข้าไปขุดเหมือง...ขุดอยู่ดี ๆ เจอปีศาจหนูสามโต๋ มันจะมากัดข้า ข้าก็เลยหยิบพลั่วฟาด..ฟาดดดดมันเลย! พะนะ!" เสียงท้ายประโยคนางลากเสียงใส่สำเนียงแปร่งแปลกคล้ายจะพูดตามภาษาท้องถิ่นบางอย่าง สลับระหว่างภาษากลางฮั่นกับสำเนียงอีสานอย่างไม่รู้ตัวขณะสายตาหวาน ๆ เบลอ ๆ ของนางมองเขาตาขวางพลางยู่ปากเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้อง


"แล่วข้าไปตกปลาต่อ…กะคือสิผ่อนคลาย แต่พวกปีศาจปลามันบ่ได้สิผ่อนตาม! มันสิฉุดข้าลงน้ำ! ข้ากะเลยฟาดดด มันไปนำนั่นละ หั่นแหล่ววว! เอิ้กกก" เสียงนางลั่นขึ้นมาอีกนิดเหมือนสะอึกเบา ๆ สองมือเล็กทำท่าประกอบเล่าอย่างติดลม ขณะดวงตายังเบลอ ๆ แบบคนเมาที่เริ่มช่างเจรจาอย่างน่ารักปนปวดหัว ส่วนจางกงกงในคราบห่าวหมิงที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ก็มองนางอยู่อย่างยากจะอธิบาย


ดวงตาใต้หน้ากากนั่นดูนิ่งมาก...แต่นิ่งเกินไป เขาค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้างหล่อนก่อนจะเอื้อมมือดึงผมเส้นหนึ่งที่ตกระเซิงติดเหงื่อของหล่อนขึ้นมาเก็บอย่างอ่อนโยน..ใช่…อ่อนโยนเกินไปเช่นกัน "เจ้าทุบปีศาจหนู...เชือดปีศาจปลา...แล้วตอนนี้จะทำอะไร? ดื่มสุราจนหน้ามึนแล้วก็จะอ้างความเหนื่อยว่าไม่เมา?"


หลินหยาเบ้หน้าใส่อีกคนที่พูดงั้น "เอิ้กกก ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เมา! แค่พูดไม่รู้เรื่องนิดหน่อย…เดี๋ยวก็หายแล้ววว"


"เดี๋ยวก็หาย...?" เขาทวนคำก่อนขยับตัวลงก้มลงกระซิบชิดหูหลินหยาน้ำเสียงเจือเย็นราวสายน้ำลึกแต่แฝงรอยยิ้ม "แล้วถ้าไม่หายล่ะ...ข้าควรดูแลเจ้ายันเช้าดีหรือไม่?" ปลายนิ้วของเขาแตะหลังมือนางแผ่วเบาเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าหลินหยาจะยังไม่ลุกหนี


หลินหยายกมือตีเบา ๆ ที่อกเขาอย่างเหนื่อยหน่าย "อย่ามาเล่นลิ้นนะ! ข้ายังสู้ได้อยู่เด้! ท่านอย่าคิดว่าสุราสองไหสิล้มข้าได้บ่ละ!"


"เจ้าสู้ได้...แต่ไม่แน่ว่าจะรอดจากข้าหรือเปล่า" เขาเอ่ยพลางหยิบไหสุราว่างเปล่าขึ้นมาตรวจดูราวกับตรวจหลักฐานในคดีสำคัญสายตาค่อย ๆ หยุดอยู่ที่ใบหน้าของเธอเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่างที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในเงานิ่งสงบนั่น...



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ปลดหัวใจคุณพรี้สักที

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 32330 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-8 18:38
โพสต์ 32,330 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-8 18:38
โพสต์ 32,330 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-8 18:38
โพสต์ 32,330 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-8 18:38
โพสต์ 32,330 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-8 18:38
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-9 05:30:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 08 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


เวลาล้วงเลยมาเป็นยามโหย่วที่มีลำแสงตกกระทบปลายท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ต่ำคล้อยขอบขุนเขารอบนอก เหลือเพียงแสงสีทองเจือแดงที่ทอดผ่านใบไม้ของต้นจื่อเถิงฮวาร่วงลงมากระทบผิวเรือนร่างบอบบางของหลินหยาที่กำลังนอนกลิ้งพริ้วไปมากับพื้นไม้ของศาลาริมทางที่ไร้ผู้คนอื่นนอกจากเธอกับบุรุษผู้สวมหน้ากาก เงาของใบไม้ไหวระริกตามลมในยามเย็น เหมือนร่ายระบำตามแรงลมหายใจของหลินหยาที่เปลี่ยนจังหวะของมันไปตามฤทธิ์ของสุราในร่างกายนางเอง..


“เอิ่กกก..มัน…อร่อยมากกกก” นางลากเสียงยาวในจังหวะที่แก้มแนบพื้นเย็น ๆ เสียงอู้อี้ชวนขำที่มาพร้อมกับการกลิ้งไปด้านข้างหนึ่งรอบ…


แล้วก็กลิ้งกลับไปมาอีกข้างอย่างหมดแรง แต่ความจริงจากที่ดูน่าจะเหมือนแมวที่แกล้งไปมาเพราะไม่อยากอยู่นิ่ง ๆ เสียมากกว่า และนางก็ยังคงพยายามงอแงต่อลมหายใจที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอยากกินเหล้าต่ออีกด้วย ยิ่งเห็นว่าอีกคนดูไหเหล้าที่หมดไปแล้วก็หน้ามุ่ย “แหนะ..ข้าไม่ได้โดนวางยาสักหน่อยนะเจ้าคะ…นั้นเหล้าของข้าเองนะ…เอื๊อกกกก” นางเอ่ยต่อ ทั้งที่ดวงตาแทบจะปิดสนิทแล้วแก้มแดงระเรื่อ ลมหายใจหอบเบาราวกับแมวที่นอนให้แดดอุ่นเลียร่างกาย อากาศเย็น ๆ อุ่น ๆ สลับกันไปมา กับฤทธิ์สุราที่ทำให้นางเปลื้องความระแวดระวังทั้งหมดในจิตใจของตนเองไปเสียสิ้น


จางกงกงในคราบของท่านชายห่าวหมิงนั้นหยุดมือที่หมุนไหสุราที่ตัวเองพลิกไปมาอย่างช้า ๆ แล้วหันมองภาพเบื้องหน้าราวกับฉากในฝันหรือภาพลวงตาต่อหน้าของเขา ดวงตาใต้หน้าหากขยับไปมองเงาของนางที่ทอดยาวราวกเส้นด้ายที่แผ่วเบาซึ่งพร้อมจะถูกตัดขาดเมื่อใดก็ได้ “ช่างน่าดูเสียจริง…” เสียงของเขาดังแผ่วในลำคอ คล้ายพึมพำกับตัวเองพลางทรุดตัวลงช้า ๆ ข้าง ๆ ร่างของหลินหยา


หญิงสาวไม่รู้สึกถึงอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อยในยามนี้ นางยังคังกลิ้งด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของตนเอง มือข้างหนึ่งคว้าชายเสื้อของท่านชายข้างกายไว้โดยไม่รู้ตัวเหมือนแมวที่ต้องการบางสิ่งบางอย่างมายึดเหนี่ยวหรือเอาไว้ใช้สำหรับข่วนเล่นยามที่ตัวเองมีแรงเหลือเฟือเพื่อฝนเล็บของตนเอง “อากาศเย็นจัง…ท่าน…เอามือมานี่สิเจ้าคะ” เสียงของหลินหยานั้นเบาหวิว นางพูดพลางขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างไม่ได้ตั้งใจเพราะสติไม่ได้อยู่กับเนื้อตัวมากนัก แต่ยิ่งใกล้ความเงียบของเขาก็ยิ่งดังขึ้นในใจของตนเอง ไม่ใช่ความเงียบของคนที่ไม่รู้จะพูดอะไร แต่เป็นความเงียบของคนที่กำลังสังเกต คำนวณ วางแพน และกดทับบางอย่างที่แทบจะปะทุอยู่ข้างในของตนเอง


เขายื่นมือออกไปช้า ๆ แตะที่แก้มของหลินหยาเบา ๆ ปลายนิ้วเรียบเย็นสัมผัสผิวอุ่นจนแทบจะลุกไหม้ขึ้นมา “เจ้าควรจะรู้..ว่าแมวที่เมาก็ยังเป็นแมวที่เสี่ยงต่อการถูกเชือดทิ้ง” เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เหมือนกับมันใกล้หูของนาง ราวจะกระซิบกับเงาในดวงตาของเธอเอง แต่หลินหยาเมาเกินกว่าที่นางจะเข้าใจได้..หรือบางทีนางอาจเข้าใจแต่เลือกที่จะไม่รับรู้สิ่งใดเลย


หลินหยาพยักหน้าช้า ๆ ตามสติของนางและเสื้อที่มือก็ยังคงกำไว้อยู่เช่นเดียวกัน 


“อือ…เชือดข้าหรือ?...ก็ลองดูสิเจ้าคะ..เดี๋ยวข้าจะข้วนหน้าท่านให้เป็นรอยเล็บยันต์ห้าแถบเลยคอยดู” นางเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะเล็ก ๆ เพราะว่าฤทธิ์ของสุราในร่างกาย ดวงตาปรือเลื่อนรางแต่ก็เหมือนว่านางจะไม่มีท่าทีว่าจะหลับเลยสักนิด 


ไม่นาน…ฤทธิ์ของมันก็เด้งขึ้นมาอีก เสียงครางในลำคอของหลินหยาหลุดออกมาขณะที่ร่างกายบางนั้นเริ่มกลิ้งเคลื่อนจากแผ่นไม้แห้งของพื้นศาลาไปยังริบขอบราวกับจะทำความสะอาดพื้นศาลาให้สะอาดไร้ฝุ่น ใบหน้าแนบพื้นจนปลายจมูกเฉียดขอบไม้ ระยะห่างจากดินเบื้องล่างไม่ถึงคืบแล้วตอนนี้ ร่างทั้งร่างพลิกไปมาเหมือนปลาที่ยังดิ้นได้หลังจากถูกจับขึ้นฝั่ง..อาการเมายังคงมีอยู่บวกกับพิษในร่างกายของนางทำให้ร่างกายไม่มีทางสร่างดีในตอนนี้แน่ ๆ และร่างกายของนางก็เริ่มไร้สมดุลสิ้นดีเพราะนางกำลังจะตก!!


แต่ก่อนที่หลินหยาจะพุ่งตัวลงไปพร้อมเสียงหวีดใสจากความซนและโง่งมของตัวเอง ร่างหนึ่งก็เคลื่อนมาด้วยความเร็วผิดวิสัยของชนชั้นสูงใด ๆ มือแข็งแกร่งนั้นคว้าข้อมือนางไว้ทันก่อนที่แขนอีกหนึ่งข้างจะรั้งตัวนางเข้ามาทั้งตัวอย่างแนบแน่น ท่ามกลางเสียงฝ่ามือที่กระแทกลงแผ่นหลังนุ่มนั้นเพื่อให้นางหยุดดิ้นเป็นแมวเจ้าเข้าสักเสียที


“เจ้าจะกลิ้งจนหัวทิ่มหรือไง…”


เสียงของท่านชายห่าวหมิงนั้นเยือกเย็นราบเรียบ แต่หากฟังให้ดี ๆ จะพบว่ายังมีร่องรอยเสียงหนึ่งที่ผิดแปลกเจืออยู่ในนั้นไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ความห่วงใยหรือห่วงหา แต่เป็นความหงุดหงิดปนเย้ยหยันแบบเงียบงันของจางกงกง


หลินหยานั้นเริ่มซุกตัวแนบอกของเขาเพราะเริ่มหมดแรง นางเริ่มพึมพำกับเสียงยานคางของตนเอง “ก็..ก็มันเย็นนี่นา…พื้นตรงนั้นมันเย็นกว่าอกท่านอีกแหนะ…” ปลายนิ้เวเรียวงามของนางนั้นเริ่มขยับซุกซนเหมือนแมวขี้เซาที่พยายามจะฟัดปลอกหมอนข้าง ความร้อนบนใบหน้าของนางนั้นแผ่ซ่านมาจนถึงอกของชายหนุ่มอย่างเงียบงัน..


จางกงกงนั่งนิ่งยอมให้นางนั้นเอาหน้าแนบอกของเขาอย่างแน่นิ่งไม่ไหวติง ดวงตาใต้หน้ากากเย็นเยียบ จับจ้องท่าทางที่นางไม่เคยเผยต่อหน้าใครราวกับมันเป็นความอ่อนแอเช่นนี้ ความซุกซนที่ไม่รู้จักระแวดระวังตัว ความไว้่ใจที่กล้าเผยร่างในสภาพนี้ต่อหน้าผู้อื่น..มั้งหมดนี้คือหลินหยาในยามเปราะบางเช่นนั้นหรือ?..


“หึ…เจ้ากล้าเปิดเผยตัวตนแบบนี้กับใครอีกไหม?” เสียงของเขากระซิบใกล้เกินไปมีเจือความไม่พอใจอยู่ลาง ๆ แต่มันกลับเหมือนจะอ่อนโยนและเย้ายวนแต่กลับแฝงพิษร้ายที่ไร้กลิ่นมันนุ่มนวลในหูของหลินหยาเหมือนสายลมปลอบโยนนาง แต่ในความจริงมันคือลมกรดที่พร้อมจะเฉือนจิตใจให้แหลกสลายยับเยินหากมีโอกาสให้มันทำ “กลิ่นเหล้าในลมหายใจเจ้า…มันเย้ายวนจริง ๆ เสี่ยวหยา” เขาวางมือบนศีรษะของนางเบา ๆ แล้วสางเส้นผมที่ยุ่งเหนิงที่หล่นปิดหน้าผากของนางไว้ แล้วกล่าวต่ออย่างช้า ๆ พลางใช้นิ้วไล้ปลายเส้นผมที่ยาวเพียงบ่าและเหมือนจะยาวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะนางเคยตัดแล้วส่งมอบให้เขาเมื่อคราวก่อน


“แล้วเจ้า…เชื่อใจข้าหรือไม่?”


คำถามนั้นมาอย่างเฉียบพลันเหมือนไม่ใช่คำถามของใครคตนหนึ่งต่อมิตรสหาย…แต่คือกับดักของคำตอบที่หากพูดผิดออกมาอาจหมายถึงการดับสิ้นลงในทันทีทันใด หลินหยาในสภาพเมาเละเทะแต่ยังคุมสติได้อยู่นั้นหน้ามุ่ย ๆ ตานางเยิ้มเหมือนยังฟังไม่เข้าใจนัก แต่ก็พูดออกมาเสียงเบา ๆ ข้างตัวของเขาเพราะนางกำลังพิงอกของเขาอยู่ 


“เชื่อสิ…เชื่อว่า…ท่านจะไม่ปล่อยให้ข้ากลิ้งตกลงไปบนพื้นหรอกใช่ไหมเจ้าคะ” แล้วนางก็หัวเราะเบา ๆ กับอกของเขา แววตาเลื่อนลอยเหมือนฝันครึ่งหนึ่งตื่นครึ่งหนึ่ง


จางกงกงเงียบไปชั่วขณะหนึ่งดวงตาของเขาในเงามืดภายใต้หน้ากากกระตุกวูบหนึ่ง ริมฝีปากไร้รอยยิ้มขยับน้อย ๆ กับหัวที่กำลังคิด เจ้ากำลังเล่นอยู่บนเส้นด้ายระหว่างสวรรค์กับนรก..และเจ้าไม่รู้ตัวเลยสักนิดสินะ เสี่ยวหยา? แต่เขาไม่พูดออกมา ทำเพียงลูบผมนางเบา ๆ แล้วปล่อยให้ซบอกของเขาต่อไปอย่างที่นางก็ไม่รู้ชะตาตนเอง ว่าแม่แมวตัวเล็กที่กำลังเล่นอย่างไร้เดียงสาราวกับกำลังจะถูกเขาล่ามโซ่เงาลงไปกับตนเองแล้วโดยไม่ต้องออกแสงแม้แต่น้อยนิด


มือบางที่เย็นยิด ๆ จากการแนบพื้นเมื่อครู่ถูกยกขึ้นมาช้า ๆ ราวกับโลกทั้งใบกำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้านางไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยที่อ่อนแรง แต่หลินหยาเป็นเหมือนแมวขี้เล่นยามที่นางเมาและความจริงก็ขี้เล่นอยู่แล้วและในขณะเดียวกันก็เป็นผู้หญิงที่บอบบางเกินกว่าที่นางจะวางใจสิ่งใดง่าย ๆ เสียแล้ว ปลายนิ้วเรียวงามของนางนั้นแตะลงบนช่วงแก้มของท่านชายห่างหมิงที่ไม่ได้มีหน้าหากปิดใบหน้าช่วงล่างอยู่ เบาและอ่อนโยนเกินไปสำหรับโลกของจางกงกงที่เขาเคยประสบพบเจอมา


นางขยับเข้าไปใกล้เขยิบปลายคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบตาเขาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเชื่อท่าน…” เสียงนางราวกับเสียงกระซิบเหมือนกับเสียงของสายลมในฤดูใบไม้ผลิในหุบเขาอันเงียบงัน “แต่…ข้าไม่อยากเป็นภาระของใครอีกแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของหลินหยานั้นไม่ใช่ดวงตาของหญิงสาวที่อ่อนแอที่ต้องหลบตากับโลกใบนี้แต่กลับเป็นดวงที่ยังคงซื่อตรงและไร้เดียงสานัก นางไม่มีแผนไม่มีเงื่อนไข ไม่มีบทบาที่ซับซ้อนซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของตนเองเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความจริงที่เปลือยเปล่าและอ่อนโยนอย่างไม่มีสิ่งใดป้องกันตัว ซึ่งนั้นแหละสิ่งที่จางกงกงไม่อาจเข้าใจได้เลยสักนิด


จางกงกงหรือท่านชายผู้ที่เรียกตัวเองในยามนี้ว่า ห่าวหมิง ยังคงเงียบ…แต่นัยน์ตาใต้หน้ากากนั้นกลับไม่เงียบสงบเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่นั้นมืดดำลงไปจนแทบจะไม่สะท้อนเงาใด ๆ กลับขึ้นมา มันนิ่งเหมือนบึงเงียบในยามเที่ยงคืนแต่หากเพียงลองเอาไม้เขี่ยเบา ๆ ในน้ำนั้นจะพบว่ามีอสรพิษดำซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำนิ่งทุกหยดราวกับแอ่งพิษ


“ภาระหรือ?...” เขากระซิบเสียงเบา ก่อนที่จะยกมือของตนเองแตะลงมือของนางที่แนบแก้มของเขา “หากข้ามองเจ้าเช่นนั้น เจ้าคงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้…” เสียงนั้นนุ่มลึกจนเกือบกลืนกินสติได้หากนางยังเมาอยู่เช่นนี้อีกนิดเดียว “เสี่ยวหยา…เจ้าไม่รู้ตัวหรอว่าเจ้ากำลังเอาตัวเองไปวางไว้ในฝ่ามือของใคร” คำว่าใครของเขานั้นลากเสียงน้อย ๆ ชัดถ้อยชัดคำราวกับอยากให้หญิงสาวตรงหน้าคิดได้ซ้ำอีกครั้งว่าผู้ที่นางกำลังเปิดใจให้อยู่นั้นคือใครกันแน่…


เขาขยับใบหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด ใกล้จนลมหายใจของเขาร้อนผ่าวผ่านแนบกับผิวแก้วของนางใกล้จนเสียงกระซิบเบาเหมือนเสี้ยวลมหายใจที่อาจหล่นอยู่ข้างหูของนางได้ “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าสามารถุทำให้เจ้าแทบขาดใจได้…ก่อนที่จะฉีกหัวใจของเจ้าทิ้งในวินาทีเดียว” คำพูดของเขาไร้อารมณ์ไม่มีโทนเสียงที่เรียกว่าโกรธแต่มันเหี้ยมโหด เยือกเย็น นิ่งและน่ากลัว…น่ากลัวเพราะมันจริง


ใบหน้าที่ถูกหน้าหากปิดบังครึ่งหนึ่งนั้นไม่ไหวติงต่อสิ่งใด แต่นัยน์ตาคู่นั้นคล้ายจ้องทะลุความกลัวทุกอย่างเขาไม่ต้องตะโกนบอกนางแต่เขาเพียงเตือน “เป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าจะยังกล้าเชื่อข้าอีกหรือไม่…แม้เจ้ากำลังจะโดนขังในโซ่ตรวนกรงของข้าเอง?” 


ศาลาจื่อเถิงฮวาเงียบงันแม้ลมเย็นในยามโพล้เพล้จะพักผ่านกลีบดอกไม้สีม่วงระย้าแต่มันไม่อาจพัดคลายความรู้สึกที่หนักอึ้งระหว่างสองคนตรงนี้ได้เลยแม้แต่นิด หลินหยาอาจเป็นเพียงแมวเปียกน้ำที่อยากจะหยอกล้อเล่นกับชายตรงหน้า แต่นางไม่รู้เลยว่า ตัวจริง นั้นคือตัวตนที่พร้อมจะปิดประตูกรงจากด้านในและกลืนนางทั้งเป็นด้วยความรู้สึกอันบิดเบี้ยวจนไม่อาจเรียกว่าความรักได้ด้วยซ้ำไป 


หลินหยานั้นเชยดวงตาของนางสบตาเขาอีกครั้งทั้งที่รู้ว่าไม่ควรจะพูดอะไรต่อจากนี้แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังคงกระตุกอยู่ในอกของนาง “แล้วหากข้าไม่หนีไปล่ะ…หากตอนนี้ข้าตั้งใจเดินเข้ามาเองแม้จะรู้ว่าเส้นทางนี้อาจเจ็บปวดรวดร้าวจนร่างกายแหลกสลาย” น้ำเสียงของนางนั้นไม่สูงหรือต่ำ แต่กลับชัดเจนในทุกพยางค์ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจที่เมามายของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าแรงใจตัวเองเกิดจากความกล้าหรือแค่ฤทธิ์ของสุราที่เมามาย 


“บางที…หากมีท่านอยู่ข้างใน ข้าอาจจะยอมอยู่ด้วยก็ได้..ละมั้ง”


คำพูดนั้นฟังเหมือนคำหยอกเย้าเบา ๆ แต่นัยน์ตาที่แดงนิด ๆ จากฤทธิ์เหล้ากลับไม่หลอกใครนางไม่ได้แสร้งผู้เพราะหัวใจของนางเริ่มก้าวพ้นเขตของการเล่นสนุกนานแล้วนานจนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจอีกต่อไป มันคงเป็นความคิดลึก ๆ ของนางที่ไม่อาจจะยอมรับได้หากตัวเองนั้นมีสตินึกคิดที่ดีกว่านี้


จางกงกงนิ่งค้างไปชั่วครู่ราวกับกลไกในสมองอันซับซ้อนนั้นสะดุดเพียงเพราะคำพูดหนึ่งประโยคของนาง แววตาของเขาหลุบต่ำลงเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาขยับน้อย ๆ ไม่ได้ยิ้มแต่คล้ายกับว่าทุกอญูบนใบหน้าของตนเองเริ่มสั่นไหวไม่ใช่เพราะความโกรธ…แต่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นเคยจนเกือบจะขยี้มันทิ้งไปเสียตจรงนั้น เสียงต่ำที่ลึกช้าแผ่วเบาเอ่ยขึ้นในที่สุด..มันช้า ชัด ราวกับคำสาป


“เจ้ากำลังล่ามข้าไว้…ด้วยคำพูดแค่นี้หรือ?” เขาเอ่ยพลางยกมือนางที่ยังแตะแก้มของเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา “เจ้ารู้หรือไม่…ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมันโหดร้ายยิ่งกว่ากระบี่ใด ๆ” เสียงนั้นเหมือนสะกดทุกลมหายใจรอบข้างให้เงียบงัน “เพราะถ้าเจ้ารู้…ว่าข้ารู้สึกเช่นไรเจ้าจะไม่มีทางพูดมันออกมาแบบนี้เลย” ริมฝีปากของเขาขยับช้า ๆ เอียงหน้าเล็กน้อยเข้าใกล้ใบหูของนาง กลิ่นกฤษณาจาง ๆ จากเส้นผมของหลินหยาแตะจมูกของเขาแล้วคำกระซิบก็ดังขึ้น


“และเจ้าจะไม่ยื่นมือเข้ามาหาข้า…ถ้าเจ้ารู้ความจริง” ตอนนี้มีหนามมีโซ่ตรวนและเงามืดรอเวลารัดแน่นจนลมหายใจหมดลงโดยไม่รู้ตัว หลินหยานั้นจ้องมองหน้าอีกคนเธอหัวเราะในลำคอเพราะยังคงเมาอยู่ แล้วจ้องดวงตาของเขาเล็กน้อย "แล้วข้าต้องล่ามท่านไว้ด้วยอะไรที่นอกจากคำพูดหรือเจ้าคะ?"




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ:  เปิดเควสใหม่ (บันทึกท่องยุทธจักร ระดับ Normal)“พันธะในเงาศาลา”

รางวัล: เพิ่มความสนิทสนมพิเศษ +10


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 10 โพสต์ 2025-7-9 12:02
โพสต์ 53689 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-9 05:30
โพสต์ 53,689 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-9 05:30
โพสต์ 53,689 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-9 05:30
โพสต์ 53,689 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-9 05:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้