123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

[ศาลาจื่อเถิงฮวา]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-9 21:29:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-9 21:39


วันที่ 08 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


เสียงในหัวที่ดั่งสายลมแฝงคำทำนายโชคชะตาพลันเงียบลง ราวกับหลอมรวมเข้ากับเสียงขลุ่ยและเสียงใบจื่อเถิงที่พลิ้วสั่นกระซิบอยู่รอบศาลา ร่างของหลินหยาอ่อนระโหยเอนซบแนบอกของชายหนุ่มเบื้องหน้า ดวงตาหนักอึ้งราวกับโลกทั้งใบลอยห่างออกไปแต่ก่อนที่สติสุดท้ายจะปลิดปลิว เธอกลับเห็นแวบหนึ่งของภาพที่ไม่ควรจะเห็นในยามก้ำกึ่งระหว่างหลับกับตื่น หน้ากากครึ่งหน้าของท่านชายห่าวหมิงคล้ายเลือนราง…ขอบหน้ากากนั้นเคลื่อนไหวเหมือนถูกสายลมและเงาสะบัด ดวงตาที่เคยลึกล้ำกลับแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า เป็นแสงเงาสลับกันระหว่างความอบอุ่นและความหนาวเหน็บ


ในวินาทีนั้นเอง ภายในจิตของหลินหยาพลันสั่นสะเทือน


"สายลมพัดผ่านศาลาใต้เถาวัลย์ม่วง ผู้เอ่ยถ้อยคำใต้ฤทธิ์สุราอาจได้พันธะซึ่งยากจะคลาย" เสียงนั้นดังก้องอยู่ภายใน…ไม่ใช่เสียงหนึ่ง แต่เป็นหลายเสียงซ้อนทับ ทั้งนุ่มนวลและหยาบกร้าน ทั้งอ่อนโยนและเย้ยหยัน เสียงสตรี เสียงบุรุษ และเสียงที่ไม่มีเพศไม่มีแหล่งที่มาไม่มีที่ไป


"หากไม่ต้องการเป็นภาระใครอีก จงแบก 'พันธะ' นี้ไปค้นหาความหมายของมันในสถานที่แห่งหนึ่ง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ...กลางป่ารกร้างซึ่งมี 'ประตูเงา' ตั้งอยู่เงียบงัน"


แล้วเงาดำรูปหนึ่ง...คล้ายเงาของหลินหยาเองกลับค่อย ๆ ปรากฏในห้วงจิตของเธอ เงานั้นหมุนเวียนไปกับม่านควันจางกลายเป็นภาพป่ารกร้างแห่งหนึ่งซึ่งมีซุ้มประตูดำสนิทตั้งตระหง่านกลางหมอกหนาเสียงหนึ่งกระซิบช้า ๆ ตบท้าย


"ผู้ทำสัญญาแห่งศาลาจะต้องเผชิญหน้ากับตนเองที่แท้จริง"


และเธอก็เผลอหลับตาลงในที่สุด ดวงจันทร์ยามโหย่วพลันขึ้นสูงเหนือยอดไม้ พาดเงาท่านชายห่าวหมิงและหลินหยาทับซ้อนกันใต้ศาลาเงียบงันสองเงาต่างมืดมน ราตรีนี้จึงมิได้เป็นเพียงคืนหนึ่งแห่งความเมา แต่คือประตูด่านแรกของพันธะที่ถูกกล่าวถึง...พันธะที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนหัวใจของนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เควส บันทึกท่องยุทธจักร ระดับ Normal “พันธะในเงาศาลา”

รางวัล: - 


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 13677 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-9 21:29
โพสต์ 13,677 ไบต์และได้รับ +4 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-9 21:29
โพสต์ 13,677 ไบต์และได้รับ +5 EXP +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-9 21:29
โพสต์ 13,677 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-9 21:29
โพสต์ 13,677 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +2 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-9 21:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-17 19:18:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


ท้องฟ้าคลอด้วยแสงอุ่นอาบม่วงของเถาวัลย์ห้อยระย้าศาลาจื่อเถิงฮวาเงียบสงบลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านพวงดอกไม้หอมกรุ่นเบา ๆ เสียงกลีบดอกตกกระทบพื้นไม้ดังแผ่วเหมือนเสียงใจของหลินหยาที่กำลังไหวสั่น...หญิงสาวเดินตรงเข้าสู่ศาลาเงียบ ๆ แม้ขาเธอจะเบาเหมือนขนนกแต่หัวใจกลับหนักอึ้งยิ่งกว่าหินผา ดวงตาคู่นั้นที่เคยฉายประกายหยอกเย้าบัดนี้กลับขุ่นมัวและหวาดหวั่น นางนั่งลงตรงเก้าอี้ริมสุดของศาลาสถานที่ที่เคยหัวเราะกับเขา ไม่สิ กับเขาในหน้ากากที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร ท่านชายห่าวหมิง...จางกงกง... สุดท้ายเขาก็คือคนเดียวกันและเธอก็ไม่อาจแยกเขาออกได้อีกแล้ว


หัวใจที่เคยอ่อนโยนของนางบัดนี้ถูกบีบคั้นด้วยภาพอดีตอันรุนแรงและโหดร้ายที่ได้ประสบมา ราวม่านลวงแห่งโชคชะตาที่ถูกฉีกทึ้งจนเห็นถึงความจริงอันน่าสะพรึง


เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบา ๆ จากด้านหลัง… ‘เขามาแล้ว…’ เสียงในใจของหลินหยาดังขึ้นก่อนร่างกายจะทันตอบสนอง เธอไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเขาเสียงก้าวเดินที่แม่นยำมั่นคง แต่ไม่ส่งเสียงให้ใครรู้ตัวได้ง่าย ๆ ชายผู้นั้นมาหยุดยืนข้างหลังเธอเสียงเสื้อคลุมสีกลมกลืนกับเงาไม้ขยับเบา ๆ ลมหายใจเขาอยู่ใกล้พอจะทำให้ผิวหนังเธอเย็นยะเยือก ท่านชายห่าวหมิงเขายังสวมหน้ากากครึ่งใบหน้า ใบหน้านั้นครึ่งหนึ่งยังซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากากเย็นเฉียบสีหม่นดุจเถ้าถ่าน แววตาของเขายังเหมือนเดิมไม่ไหวติง ไม่มีความรู้สึกแม้แต่รอยยิ้มที่เคยใช้หลอกลวงเธอในวันแรกที่พบกัน...ยังเหมือนเดิมจนน่ากลัว


"แม่นางเสี่ยวหยา...เหตุใดจึงมาช้านัก" เสียงเขาเอ่ยเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนว่าวันเวลานับแรมสัปดาห์ที่ทั้งสองไม่เจอกันนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หลินหยานางเปลี่ยนไปแล้วหัวใจของนางถูกเปิดออก ถูกฉีกกระชาก ถูกยัดเยียดภาพชีวิตของเขาเข้าไปจนไม่มีที่ว่างให้ตนเองได้หายใจ นางยังไม่ตอบ ยังไม่แม้แต่จะหันไปมอง มือที่วางบนตักสั่นไหวเล็กน้อย


  เขาก้าวเข้ามาอีกก้าว หยุดอยู่เบื้องข้าง ใกล้จนได้กลิ่นหอมเย็นประหลาด


"ท่านคือ...จางกงกงสินะ" ประโยคนั้นเปล่งออกมาเบาราวสายลมแต่กลับเหมือนคมมีดตัดความเงียบสนิทของศาลา เขาเงียบ...สายตาคู่นั้นไม่ไหวติงแต่ในใจกลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย "ข้าควรจะเรียกท่านว่าอะไรดี...หรือควรไม่เรียกอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ" เสียงของหลินหยาเริ่มชัดขึ้นแม้จะเจือด้วยความเจ็บปวดนางยกมือขึ้นกอดอกแน่นเพื่อประคองตนเองไม่ให้ทรุดลง "ข้า..."  คำถัดไปของนางสั่นเครือแต่สุดท้ายก็กลืนหายเข้าไปในลำคอ


เขาไม่ตอบเขาเพียงยืนนิ่งและในความนิ่งนั้นคือพายุที่หมุนวนในใจของคนทั้งสอง ศาลาจื่อเถิงฮวา...เคยเป็นที่พักใจ บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีของความเงียบที่อัดแน่นไปด้วยทุกสิ่งที่ไม่อาจพูดออกมา เสียงลมหายใจขาดช่วงไปครู่หนึ่งก่อนที่เงาร่างสูงนั้นจะขยับมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วเรียวยาวของเขาวางลงบนขอบหน้ากากเย็นเยียบที่ปิดครึ่งใบหน้า พลันที่แสงแดดยามเซินสาดผ่านกลีบจื่อเถิงสะท้อนกระทบหน้ากากเงาสีเข้มเรื่อเร้นสั่นไหวบนแก้มเขา…


จางกงกงหรือท่านชายห่าวหมิงในชื่อที่เพียงไม่กี่คนกล้าเอ่ยมองหญิงสาวตรงหน้า สตรีผู้เคยยิ้มได้แม้ในวันที่มืดมนที่สุด บัดนี้กลับนั่งนิ่งราวกับก้อนหินเปราะบางริมธารทว่ายังกล้าสบตากับเขาแม้ในยามที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงจนไม่มีวันย้อนคืนเขากำลังจะถอดหน้ากากแต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะแตะตรงสันกลาง หญิงสาวผู้เปื้อนรอยบอบช้ำทางใจกลับเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น


"อย่า...อย่าเพิ่งถอดมันออกนะเจ้าคะ" คำพูดนั้นเหมือนเสียงสายลมอ่อนหวานแต่เฉือนลึก ใบหน้าของเขาชะงักมือหยุดค้างกลางอากาศเงาของดอกไม้สั่นไหวในแววตาใต้หน้ากาก


"...เหตุใด"


น้ำเสียงของเขายังราบเรียบเย็นดุจผิวน้ำฤดูหนาวแต่ลึกลงไปมีบางสิ่งที่ไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ หลินหยากัดริมฝีปากแน่นนางหลุบตาลงเพื่อหลบสายตานั้นมือกำชายเสื้อแน่นเสียจนข้อขาวซีด "เพราะข้ายังไม่พร้อมเจ้าค่ะ..." นางเอ่ยเบาราวคำสารภาพ "ไม่ใช่เพราะข้ากลัวท่าน...ไม่ใช่เพราะข้าเกลียด แต่เพราะข้ายังไม่เข้าใจ"


ชายหนุ่มไม่ขยับแต่เงาหลุบลึกที่บังใบหน้าครึ่งล่างสะท้อนประกายบางอย่างราวกับเศษใจที่กำลังชั่งระหว่างอดีตและปัจจุบัน "ถ้าท่านถอดมันตอนนี้…ข้าเกรงว่าข้าจะไม่เหลือสิ่งใดในใจให้ยึดไว้ ว่าท่านคือคนที่ข้าเคยหัวเราะด้วย..." เสียงของหลินหยาสั่นเครือความเงียบเข้าปกคลุมศาลาอีกครา คราวนี้แม้แต่เสียงสายลมก็คล้ายจะหยุดลง


ห่าวหมิงลดมือของเขาลงช้า ๆ หน้ากากยังคงอยู่...ดังเดิม "ข้าจะรอ...จนกว่าเจ้าพร้อม" เขาเอ่ยเบา ๆ น้ำเสียงไม่ดุดันไม่เสียดเย้ยไม่เฉียบคมเช่นทุกทีหากแต่...อ่อนลงจนหลินหยาต้องเงยหน้าขึ้นมอง เสียงนั้นเหมือนคำมั่นคล้ายลมโอบไหล่คล้ายเงาไม้ซ่อนแสงแรงกล้าไว้เบื้องหลัง หลินหยายังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น หัวใจเต้นแรงจนนางต้องพยายามควบคุมลมหายใจ


ใช่...เขาคือจางกงกง

ใช่...เขาคือห่าวหมิง


แต่ตอนนี้...เขาคือผู้ที่ยอมวางความจริงไว้กลางฝ่ามือของเธอเพื่อรอให้นางเป็นผู้เลือกที่จะรับมันไว้เมื่อพร้อมและนั่นต่างหากที่น่ากลัวที่สุด


"ท่านจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ที่นั่งตั้งเยอะ..." เสียงของหลินหยาที่เอ่ยออกมาเบาราวสายลม แต่กลับแทงลึกถึงก้นบึ้งจิตใจของชายที่ยืนอยู่ใต้เงาจื่อเถิงตรงขอบศาลา ประโยคนั้นไม่มีทั้งแววขำ ไม่มีทั้งเย้าหยอก ไม่มีแม้แต่ความประชดประชันตามแบบฉบับของหญิงสาวผู้นี้หากแต่เป็นถ้อยคำเรียบง่ายที่เปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้งจนหากเป็นคนอื่นอาจฟังไม่ออก ทว่าชายผู้ยืนอยู่ตรงนั้นฟังออก


ห่าวหมิงยืนนิ่งครู่หนึ่งแสงอาทิตย์สีทองยามเซินทอดเงาใบหน้ากากของเขาให้คล้ายภาพสลักแห่งเงามืดและแสงสว่างที่พันเกี่ยวกันด้วยเส้นด้ายบางราวสายใยแมงมุมเขาไม่พูดอะไร หากแต่ขยับเท้าช้า ๆ เสียงฝีเท้าบนไม้เก่าของศาลาดังเบา ๆ ราวกับไม่กล้ารบกวนความเงียบสุดท้ายก็หยุดลงข้างกายหญิงสาว เขาไม่ได้นั่งชิดแต่ก็ไม่ห่างจนเย็นชา เพียงพอให้ลมหายใจอุ่นอวลในอากาศเดียวกันพอให้เงาของเขาทาบซ้อนลงบนเงาของนางในยามนี้


หลินหยาไม่หันไปมองเขา ดวงตาแดงเรื่อคล้ายจะมีหยดน้ำใสไหลเอ่อแต่กลับฝืนกลืนมันกลับลงไป “ข้ายังไม่รู้ว่าจะมองหน้าท่านยังไงเจ้าค่ะ...ถ้าจะต้องจำทุกภาพนั้นไว้ข้างในใจตลอดชีวิต” น้ำเสียงของนางเบาจนแทบจางหายคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับเขา 


จางกงกงนั่งนิ่งไม่กล่าวอะไรกลับในทันที เขาเพียงปล่อยให้ความเงียบไหลผ่านเหมือนลำธารที่ค่อย ๆ ซึมซับรอยแผลในใจทั้งสองให้จางลง "เจ้าไม่จำเป็นต้องให้อภัยข้า" เขาเอ่ยในที่สุดน้ำเสียงของเขายังคงเรียบแต่ทุ้มนิ่งจนน่าหวาดหวั่น "ข้าไม่ต้องการความเมตตา..." เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบาเหมือนฝากเสียงไว้ในลมหายใจของบ่ายวันนี้ "...แค่ข้ายังได้อยู่ข้าง ๆ เจ้า ณ เวลานี้ นั่นก็เพียงพอแล้ว"


เมื่อหลินหยาได้ยินเช่นนั้นนางเบือนหน้าหนีเล็กน้อยริมฝีปากเม้มแน่นเพียงแต่ในแววตาที่สั่นไหวของหญิงสาว ยังมีคำหนึ่งซ่อนอยู่ลึก ๆ...


เขา โกหก เพราะคนอย่างเขา…ไม่เคยพอ แค่การ อยู่ข้าง ๆ หรอก


"ข้าฝันเจ้าค่ะ..." หลินหยากระซิบเบาดวงตากระพริบไล่ภาพเลือนลางที่ยังติดอยู่ในหัว "ฝันถึงอะไรบางอย่างที่...มันชัดเจนเหลือเกิน" เสียงของนางแผ่วแต่แฝงด้วยแรงสะท้อนจากความทรงจำอันหนักอึ้ง ก่อนที่จะเงียบทั้งสองเงียบกันอยู่นานจนกระทั่งหลินหยายกมือปัดผมออกจากใบหน้าพ่นลมหายใจแรงเบา ๆ เหมือนพยายามรวบรวมแรงใจให้เรียบเรียงได้ "เอาวะ..." คำสั้น ๆ ที่ฟังดูไร้พิธีรีตองนั้นเปี่ยมด้วยความกล้าในแบบฉบับของหลินหยา ความกล้าที่เปลือยเปล่าและดิบเถื่อน เป็นชนิดที่ไม่เคยมีใครมอบให้นางนอกจากตัวนางเอง


หญิงสาวหันวาบไปทางอีกคนดวงตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ที่ผสมกลมกลืนกับความสับสนอย่างสิ้นเชิงในฉับพลันนั้นนางเข้าประชิด ดันแผ่นหลังของชายตรงหน้ากลับไปพิงเสาศาลาจื่อเถิงฮวาอย่างรวดเร็ว เสียงดัง กึก ที่ดังขึ้นเบา ๆ นั้นไม่ใช่เสียงกระทบของไม้เพียงอย่างเดียวแต่เป็นเสียงของความอดกลั้นที่แตกร้าว เธอนั่งคร่อมประชิดใกล้จนได้กลิ่นหอมจางเย็นของกลิ่นไม้กฤษณาที่เขามักใช้ หัวใจหลินหยาเต้นโครมครามในอกมือเรียวบางยกขึ้นอย่างช้า ๆ ไปแตะที่ขอบหน้ากากหน้ากากที่ปิดครึ่งหนึ่งของใบหน้าไว้ราวกับพยายามแยกโลกออกจากความจริง ทว่าขณะที่ปลายนิ้วของเธอแตะมันเบา ๆ เธอกลับนิ่งไป


ดวงตาของเขา จางกงกง...หรือห่าวหมิง มองตรงมาไม่หลบไม่หลีกแต่กลับจ้องเข้าไปในดวงตาของนางอย่างแน่วนิ่งไม่ใช่การยอมจำนน ไม่ใช่การขอร้อง และไม่ใช่การแสดงออกถึงความเสียใจมันเป็นสายตาที่…น่าขนลุกและน่าหวาดหวั่น สายตาของอสรพิษที่ปล่อยให้เหยื่อเดินเข้ามาในรัศมีเขี้ยวของมันเอง ความสงบนิ่งนั้นไม่เยือกเย็นแต่มันลึกล้ำจนเหมือนจะกลืนกินสิ่งที่มองเข้าไป ไม่มีแวววูบไหวไม่มีแม้แต่ประกายแสง มีเพียงแรงโน้มถ่วงบางอย่างที่พร้อมฉุดรั้งทุกสิ่งให้ตกลงไปในหลุมมืดของใจเขา


มือของหลินหยาสั่นไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะรู้แล้วว่าใต้หน้ากากนี้...ไม่ได้มีเพียงใบหน้าแต่มันมีบางสิ่ง...ที่อันตรายกว่า "ข้า..." นางพูดไม่ออก เสียงหลุดหายไปจากลำคอ แม้ริมฝีปากจะขยับเบา ๆ


"หากเจ้าถอดมัน..." เสียงของจางกงกงดังแผ่วเบาเย็นเยียบในลมหายใจชิดใกล้ "เจ้าจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็น" เสียงนั้นไม่ใช่คำเตือนแต่เป็นคำมั่น ดั่งกับเขากำลังบอกว่า หากนางจะเลือกถอดมันออกเอง ก็จงแบกรับให้ได้ไม่ใช่เพียงภาพ...แต่คือทั้งหมดของเขา และเขาก็จะไม่อภัยให้นางเป็นแน่หากนางหวาดกลัวแล้วถอยกลับไปในภายหลัง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในใจของหลินหยา ณ ตอนนี้…นางหวาดกลัวอะไรมากกว่ากัน กลัวสิ่งที่อยู่ 'ใต้หน้ากาก' หรือกลัวว่า…นางจะไม่สามารถ 'เกลียดเขา' ได้อีกต่อไป


จางกงกงนั่งอยู่ตรงั้นเงียบ ๆ ราวกับเงาเงียบสงัดของคืนเดือนดับ แม้เพียงลมหายใจของเขาก็ไม่ได้สั่นไหวไปตามบรรยากาศรอบกายไม่มีแม้การขยับไม่มีแม้เสียงพร่าของความรู้สึกใด ๆ บอกออกมาว่าในใจเขากำลังคิดอะไร...หรือกลัวสิ่งใด จนกระทั่งเสียงแผ่วเบาดุจสายลมของหลินหยาดังขึ้น


“หลับตา…”


ดวงตาคมลึกของชายหนุ่มกระพริบไหวเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย...อย่าง ประหลาดใจ ในความกล้าที่ปะปนความกลัวของนาง


หลินหยาจ้องใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นดวงตาของนางฉายแววลังเลอย่างเห็นได้ชัด นางรู้ว่าเพียงแค่ปลายนิ้วหนึ่งขยับนางจะไม่สามารถย้อนกลับไปยังจุดเดิมได้อีกต่อไป มือเรียวบางของหญิงสาวค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าเขา นิ้วของเธอแตะกรอบหน้ากากราวของต้องสาปเย็นเยียบที่สะท้อนกับปลายนิ้วของนางราวกับจะกัดกินไปถึงเส้นเลือดด้านใน เธอกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก...ก่อนจะกล่าวย้ำอีกครั้งในน้ำเสียงที่เกือบสั่น


“ห้ามลืมตา...ท่านห้ามลืมจนกว่าข้าจะบอกห้ามเด็ดขาดนะเจ้าคะ” คำพูดนั้นไม่ใช่เพียงคำสั่ง มันเป็น ความกลัว ที่กลั่นออกจากความไม่แน่ใจว่าเธอพร้อมแล้วจริงหรือไม่ พร้อมจะมองใบหน้าของคนที่นางเกลียดของคนที่เปลี่ยนชีวิตนางจนไม่เหลือชิ้นดีและเป็นคนเดียวที่นางไม่อยากลืม มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของหลินหยาค่อย ๆ ประคองใบหน้าของเขานิ้วเรียวแตะข้างกรอบหน้าอย่างอ่อนโยน หัวใจของนางเต้นแรงราวจะระเบิดมืออีกข้างจึงค่อย ๆ ถอดหน้ากากออก


กรอบหน้ากากครึ่งใบหน้าสีหม่นขยับเผยให้เห็นใบหน้าใต้หน้ากากนั้นอย่างช้า ๆ หลินหยาชะงักในวินาทีนั้นราวกับทุกสิ่งรอบตัวเงียบงันลงแม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าขยับ ใบหน้าที่ปรากฏใต้หน้ากากนั้นช่างหลอกหลอนนางเหลือเกินในทุกคืนวัน...หล่อเหลาจนเหมือนไม่ควรเป็นของคนที่มีบาปมหันต์เช่นนี้ ผิวขาวจัดคิ้วดกเรียวดวงตาปิดสนิทแต่เรียงตัวอย่างสวยงาม จมูกได้รูปและริมฝีปากที่แนบสนิทเป็นเส้นบางนิ่งสงบราวกับรูปสลัก แต่กับคนที่รู้จักเขาดีอย่างหลินหยากลับรู้ว่า...คนคนนี้ไม่มีอะไรเหมือนรูปสลักเลยสักนิดเดียว


นางจ้องเขาจ้องเหมือนต้องการจดจำเสี้ยวใบหน้านั้นไว้ให้ลึกที่สุด นิ้วเรียวของหลินหยาขยับอย่างเงียบงันไปแตะที่พวงแก้มของเขาเบา ๆ...เบาราวกลัวว่าความจริงจะหล่นลงกับปลายนิ้วมันเย็นเฉียบทั้งผิวหนัง...และจิตใจของคนผุ้นี้ ไม่มีความรู้สึกหรือไม่มีแม้แรงสะท้อนกลับมาเหมือนเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วแต่หลินหยาก็ไม่ถอนมือหรือถอยหนี นางเพียงแตะพวงแก้มของเขา แล้วหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายจะกระซิบออกมาอย่างที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคำพูด หรือเป็นเพียงเสียงในใจ…


“...ท่าน…” แล้วนางก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำไปปลายนิ้วยังค้างบนแก้มเขา ใบหน้าของเขายังสงบหลับตาตามคำสั่งของนางแต่ไม่มีใครรู้...ว่าในจิตใจของคนทั้งสองในเวลานั้น...ใครกันแน่ที่กลัวมากกว่ากัน ริมฝีปากของจางกงกงขยับน้อย ๆ ราวกับจะเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่ากลับไร้เสียงใดเล็ดลอดออกมาเหมือนลมหายใจหนึ่งที่อัดแน่นด้วยคำสารภาพที่ไม่มีใครบนโลกควรได้ยิน


หลินหยาไม่ทันรู้ตัวว่าตนเองขยับปลายนิ้วโป้งขึ้นอย่างเชื่องช้า...แตะลงที่ริมฝีปากนั้นเบา ๆ เธอเพียงตั้งใจจะดูว่าคนตรงหน้ามีเลือดเนื้อจริงหรือไม่ที่ริมฝีปากนี้มีไออุ่นหรือเป็นเพียงภาพมายา...สัมผัสนั้นนุ่มและจริง แต่แทนที่จะถอนมือหนีความคิดของหลินหยากลับล่องลอย...วูบหนึ่งนางจำได้ว่านี่คือริมฝีปากที่เคยพูดกับนางด้วยถ้อยคำเสียดสี…แต่ก็เคยพูดคำที่ไม่มีใครเคยพูดกับนางเช่นกัน “อย่าลืมตานะเจ้าคะ...” เสียงของเธอแผ่วเบาเกินกว่าจะเป็นคำสั่งคล้ายคำขอ…หรือคำวิงวอนร้องร่ำแต่เธอไม่รู้เลยว่าการกระทำเพียงนิดเดียวของเธอกลับกลายเป็นไฟลามทุ่งในหัวใจของคนตรงหน้า


...ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทนั้นดวงตาของจางกงกงสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาไม่ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเลยในเวลานี้มีเพียงเสียงในหัวเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ


‘เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ห่าวหมิง’

‘ปล่อยให้มือนางลูบไล้แบบนี้ทำไม’

‘เจ้าจะกลายเป็นคนอ่อนแอ...แค่เพียงเพราะสัมผัสของสตรีคนนี้เช่นนั้นหรือ’


แต่เขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียวเขากลับกำมือแน่นอยู่ข้างลำตัว เส้นเลือดปูดขึ้นที่หลังมือ ร่างกายของเขาเย็นยะเยือกแต่ภายในกลับลุกไหม้ดั่งเพลิงบาป เพียงปลายนิ้วเล็กนั้นแตะริมฝีปากเขาก็หวาดกลัวไม่ใช่เพราะเจ็บ ไม่ใช่เพราะโกรธ...แต่เพราะเขา รู้สึก ...รู้สึกเกินไปเสียด้วยซ้ำ ‘เจ้ากำลังสั่นไหว...เพราะสัมผัสของสตรีผู้นี้...งั้นหรือ?’ เสียงในหัวเย้ยหยันตัวเขาเอง


นิ้วเล็กเรียวงามสัมผัสริมฝีปากที่เธอแตะนั้นเริ่มสั่นน้อย ๆ ใต้ปลายนิ้วของนางเหมือนคนที่พยายามควบคุมตัวเองสุดกำลังไม่ให้ทำสิ่งใดที่...เกินเลย แต่ใครจะรู้ว่าคนอย่างเขา จางกงกงผู้หลอมตนจากไฟแค้นและความมืดมิดสามารถอดทนกับการถูกแตะต้องด้วยความอ่อนโยนได้ถึงเพียงใด เพียงครู่เดียวที่เงียบสงัดกลับกลายเป็นเข็มพิษที่กัดกร่อนหัวใจ เพียงสัมผัสเดียวจากนาง...ก็ทำให้ปีศาจเงียบงันข้างในดิ้นรนจะตื่นขึ้นมา


...และมันหิว กระหาย ใคร่อยาก


จางกงกงยังหลับตาอยู่เช่นเดิมเมื่อปลายนิ้วของหลินหยาเคลื่อนออกจากริมฝีปากเขาช้า ๆ ไร้คำพูดใดขานรับไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจแสดงความรู้สึก หากแต่เพียงเงียบงันและนิ่งแน่นอยู่ตรงนั้น หลินหยาขยับถอยออกมาหนึ่งช่วงกายแล้วสบมองฝ่ามือของเขาที่ยังคงกำแน่นข้างลำตัวจนสั่นเล็ก ๆ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอรู้ดีว่าความรู้สึกบางอย่างได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้วในคราวที่เธอเอ่ยห้ามเขาถอดหน้ากากนั้นออก แต่หลินหยาก็ยังคงเอื้อมมือขึ้นจับหน้ากากที่เธอถอดออกมาก่อนหน้านี้สบตากับใบหน้าของเขาเป็นครั้งสุดท้ายภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท นางสวมมันกลับไปให้เขาช้า ๆ


“ใส่เถอะเจ้าค่ะ…” เสียงหลินหยาดังแผ่วเบาคล้ายลมหายใจลอยแผ่วในเงาศาลาใต้เถาวัลย์ม่วงที่ลู่ไหวตามแรงลม “...เพราะตอนนี้ท่านยังโดนกักบริเวณอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ?” เสียงที่ฟังเหมือนพูดลอย ๆ นั้นกลับแฝงด้วยความระวังในทุกถ้อยคำ หลินหยาเม้มริมฝีปากแล้วหันหน้าไปทางอื่นขณะพูดต่อ “...ข้าไม่อยากให้ท่านจางทังกลับมาจากเมืองหลวงแล้วเห็นท่านอยู่กับข้าตอนนี้” นางไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัยหรือใด ๆ มีเพียงความจริงที่สั่นคลอนเล็กน้อยในน้ำเสียง หญิงสาวไม่อยากโกหก...แต่ก็ไม่อยากพูดในสิ่งที่ตนเองยังไม่เข้าใจนัก “ไม่ใช่เพราะกลัวท่านจางทังจะเข้าใจผิดหรอกนะเจ้าคะ” เสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดจากลำคอหลินหยา แต่ฟังดูเหมือนคนฝืนยิ้มใส่บาดแผลตัวเองมากกว่า


“ข้ากับเขาก็แค่...สหาย” นางนิ่งไปสักพักสายตายังไม่ยอมหันกลับไปมองเขาที่บอกแบบนั้นเพราะเอาตรง ๆ นางเริ่มคิดแล้วว่าท่านจางทังหายไปเพราะเขาหรือเปล่าแต่นางจะยังไม่ถามตอนนี้หรอกเพราะอยากให้เขาสารภาพเอง ยกเว้นเขาจะเฉไฉไปนานนางจะดึงหูเขาให้สารภาพบาปเสียเลย แต่สุดท้ายก็พูดประโยคที่เบาราวกระซิบ “...ข้าแค่ไม่อยากเห็นท่านโดนลงโทษอีก...ก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ” และในประโยคนั้นไม่มีคำใดหลุดออกมาว่า เป็นห่วง หรือ รู้สึกผิด แต่ทุกอย่างถูกบีบอัดอยู่ในน้ำเสียงนิ่งเรียบที่ซ่อนความรู้สึกหลายชั้น “ลืมตาได้แล้วเจ้าค่ะ”


จางกงกงลืมตาขึ้นในวินาทีที่ได้ยินคำเอ่ยอนุญาตจากปากหลินหยา แสงยามบ่ายลอดผ่านกลีบเถาวัลย์ม่วงสาดกระทบเข้ากับหน้ากากครึ่งซีกที่กลับคืนสู่ใบหน้า ราวกับเป็นการตอกย้ำว่าทุกอย่างยังไม่อาจถอดเปลือยออกได้ทั้งหมด…ไม่ใช่เพียงหน้ากากหากแต่หมายถึงหัวใจของเขาด้วย เขาไม่ได้ขยับทันทีหลังลืมตาหากเพียงปรายตามองเงาสะท้อนของหลินหยาในพื้นไม้ที่ทอดตัวอยู่เคียงข้าง นางถอยกลับไปนั่งตรงที่เดิมเยี่ยงเคยราวกับจะรักษาระยะห่างทั้งทางกายและใจ ระยะห่างที่เขาเกลียดนักหนายามเมื่ออยู่กับนาง


“แผลโบยหนึ่งร้อยไม้ของท่าน…หายดีหรือยัง?” แล้วเสียงของนางก็ดังขึ้นเจือความเรียบเรื่อยแต่ไม่อาจปิดบังห่วงใยที่หลุดรอดออกมาได้ คำถามนั้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ปลายนิ้วของจางกงกงที่เคยวางอยู่บนต้นขากระตุกเล็กน้อยในทันที ริมฝีปากภายใต้หน้ากากโค้งขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจแปลความว่าเยาะเย้ยหรือเพียงพอใจ

 

“ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว...ใช่” เสียงนั้นราวกับคมเข็มกลัดผ้าปักลายที่ค่อย ๆ ทิ่มลงในเนื้อผ้าเบา ๆ แต่ไม่อาจถอนกลับ “ร่างกายคนเราฟื้นตัวได้เร็วยิ่งหากมีหมอเก่ง ๆ รายล้อม...แต่รอยแผลมิได้อยู่แค่ผิวหนัง” เขาหันกลับมามองนางช้า ๆ ดวงตาทะลุผ่านหน้ากากลงลึกในแววตาเหมือนจะคลายปมบางอย่างแต่แวววาวในแววนั้นกลับดู...เป็นประกายเกินกว่าจะเรียกว่าเยือกเย็น “เจ้ารู้ไหม ตอนโดนโบยไม้ที่ 30 ข้ายังมีแรงสบตากับเจ้าได้..แต่พอไม้ที่ 31 กำลังจะเริ่ม…” จางกงกงหัวเราะนิดหนึ่ง เป็นเสียงหัวเราะที่คล้ายจะเบาแต่กลับหนาวเหน็บอย่างไร้สาเหตุ


“กลับไม่มีโอกาส…เพราะหวางเย่ผู้แสนดีของเจ้ากลับกลายเป็นเกราะกำบังที่ไม่มีใครคาดคิด” เขายกมือขึ้น วางลงช้า ๆ บนตักอย่างจงใจปล่อยให้นิ้วชี้ลูบร่องรอยเสื้อบริเวณด้านข้างลำตัวที่บัดนี้ไร้บาดแผลแล้วทว่าหลินหยาในฐานะผู้เคยเห็นมัน…คงจินตนาการออกได้ไม่ยาก “ข้าควรจะขอบคุณพระองค์ใช่หรือไม่? หวยหนานหวางผู้สง่างามคนนั้นที่รักเจ้าเสียจนยอมให้เจ้า...ไม่ต้องเจ็บมากไปกว่านี้” มือของเขากำแน่นเล็กน้อยก่อนคลายออกสายตาเลื่อนมองไปทางนางอีกครั้ง แววตาแฝงไว้ด้วยบางสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ทั้งหมดเช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่มองผ่านม่านหมอก


“แล้วเจ้าล่ะ…เจ็บอยู่หรือไม่จากสิ่งที่เจ้าเลือกในวันนั้นเสี่ยวหยา” ไม่ใช่แค่การสั่งโบยเขา แต่การเลือกความยุติธรรมเหนือทุกอย่าง แม้กระทั่ง...เหนือเขาเอง


“ไม่เจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยเสียงเรียบขณะก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองดวงตาหลุบต่ำแต่แฝงความหนักแน่นในน้ำเสียง “เพราะท่านสมควรโดนแล้ว” นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะสบตาเขาแต่ก็ไม่เต็มตา สายตาของนางสั่นคลอนนิด ๆ ก่อนจะแข็งกร้าวเบาบางลงคล้ายคนที่แม้ยังโกรธแต่เหนื่อยจะโกรธเต็มทีแล้วในตอนนี้ “ข้าก็ยังโกรธท่านอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ...แต่ก็เริ่ม...บางลงเรื่อย ๆ” ถ้อยคำแผ่วเบานั้นหลุดลอยไปกับสายลมยามเซินที่พัดเอาเถาวัลย์ม่วงโยกไหวเบา ๆ กลีบดอกปลิวละล่องลงมาตกบนหน้าตักของหลินหยาโดยที่นางไม่แม้แต่จะสนใจแต่นัยน์ตาของชายตรงหน้านางกลับต่างไป


จางกงกงยังคงนั่งนิ่งข้างใบหน้าใต้หน้ากากที่ถูกคืนกลับมีแววตาเงียบเชียบราวกระจกนิ่งสะท้อนทุกคำพูดของนางและนั่นคือปัญหาเขาไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น เขาแค่...จ้องมองนางอย่างเงียบ ๆ มองใบหน้านั้นที่เขาจดจำได้แม้หลับตาดวงตากลมใสที่ในคราวนี้กลับไม่มีกำแพง ขนตาที่ยาวพอจะรั้งปลายแสงให้ติดอยู่นานกว่าปกติ คิ้วเรียวที่ขมวดแล้วคลายอย่างไม่แน่ใจ มองริมฝีปากน้อย ๆ ที่ยังชื้นจากลมหายใจ อมชมพูติดซีดเล็ก ๆ จากพิษในกายนาง หลินหยารู้ตัวแน่นอนว่านางกำลังตกเป็นเป้าสายตา ก็เขาน่ะขึ้นชื่อเรื่องชอบจ้องอยู่แล้วแต่วันนี้มันต่างออกไปวันนี้มันจ้อง...นานเกินไปแล้วยาวนานจนนางเริ่มรู้สึกเหมือนใบหน้าถูกสายตาของเขา ‘โลมเลีย’ ด้วยความร้อนที่ไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า


จนในที่สุดหลินหยาก็สะบัดหน้าหันขวับแล้วว่าเสียงดุ “ท่านจะมองอะไรนักหนา! มองอย่างกับจะกินหน้าข้าเข้าไปทั้งหน้า!” ดวงตานางลุกวาวด้วยความเอือมระคนกระดากจิต ทว่าคนตรงหน้ากลับยกมือขึ้นเท้าคางพลางขยับริมฝีปากใต้หน้ากากที่ปิดไว้ครึ่งเดียวอย่างจงใจรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก


"ข้ากำลังประเมินอยู่ว่า...หากจะกินเข้าไปทั้งหน้าควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี” เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกระซิบดวงตาคู่นั้นมืดวูบลงชั่วขณะเหมือนเสือเงาที่ซ่อนเล็บใต้พุ่มไม้ “...ขนตา? หรือริมฝีปากดีล่ะ?”


“ท่าน!!?” หลินหยาขึ้นเสียงพลางถอยกรูดไปอีกฟากของศาลา แต่จางกงกงกลับเหมือนอยากแกล้งนางเสียเต็มแก่ “อะไรเล่า?” เขาขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะตามแต่มือเพียงวางบนพนักพิงโดยดีไม่ละล้ำเกินกว่านั้น เขาหัวเราะในลำคอเสียงเบาแล้วเอนหลังพิงเสาศาลาดวงตาฉายแววพึงใจในคำเอ็ดของนางเสียอย่างนั้น “แค่มองก็โดนเอ็ดแล้ว อย่างนี้ต่อไปจะให้ข้า ‘แตะ’ ได้อีกไหมเนี่ย?” เสียงทุ้มต่ำกลั้วหัวเราะในลำคอนั้นทำเอาหลินหยาร้อนผ่าวไปถึงใบหู ให้ตายเถอะ...ไม่ว่าจะมองมุมไหน เขาก็ยังเป็นจางกงกงคนนั้นอยู่ดีจางกงกงที่น่าตบบ่องหูเสียให้เข็ด


"วันนี้ข้าจะไม่ให้ขนมท่าน ข้าโกรธท่าน" หลินหยาเอ่ยแบบนั้นแล้วไม่มองด้วย ลุกขึ้นทันทีแล้วเดินหนีซะเลยเพราะเกรงว่าเขาจะแกล้งนางอีกแล้วหากอยู่นานมากกว่านี้




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ก็ยาวเลยดิ พองี้ก็จัดเลยดี ไอ้เรามันก็สายกุ๊กกิ๊กซะด้วยสิ


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-17 19:45
โพสต์ 93895 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-17 19:18
โพสต์ 93,895 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-17 19:18
โพสต์ 93,895 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-17 19:18
โพสต์ 93,895 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-17 19:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-19 04:49:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-19 04:58


วันที่ 17 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


เสียงสายลมยามเซินพลิ้วพัดกลีบดอกเถาวัลย์ดอกไม้สีม่วงโยกโอนเอนไหวแผ่วเบา ศาลาจื่อเถิงฮวาอยู่ท่ามกลางแดดยามบ่ายช่างสงบเกินไปสำหรับหัวใจหลินหยาที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำ นางก้าวเข้ามาเหยียบพื้นศาลาราวกับกำลังก้าวสู่สนามรบของตนเอง มือข้างหนึ่งจับชายเสื้อไว้แน่นขณะเดินตรงเข้าไปด้วยใจของตนเองที่แน่วแน่มากนัก วันนี้นางจะต้องคุยเรื่องของท่านจางทังกับเขาให้รู้เรื่อง นางเตรียมใจมาว่าจะได้ด่ากลับใส่หน้าจางกงกงสักคำสองคำ ตั้งใจไว้แน่วแน่ว่าจะไม่ให้อีกฝ่ายข่มเล่นเชิงคำแปลก ๆ ใส่อีกแล้ว นางจะเป็นฝ่ายคุมเกมเองทั้งหมดในวันนี้


…แต่เปล่าเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สิ่งแรกที่นางเห็นคือแผ่นหลังของชายสวมหน้ากากครึ่งใบหน้าที่กำลังยืนอยู่ตรงขอบศาลาใต้เงาร่มไม้ของศาลาจื่อเถิงฮวา และเมื่อเขาหันมาเพียงแวบแรกเท่านั้นที่นัยน์ตาคมดั่งหยกมืดตวัดมองนางอย่างไม่ละสายตาเพราะสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันควัน ไม่มีคำกล่าวทักหรือแม้แต่จะพูดชื่อของนางด้วยน้ำเสียงประชดประชันเช่นเคย มีเพียงก้าวเท้าที่ย่างเข้าหาเธออย่างช้า ๆ จนหลินหยาชะงักไปเล็กน้อย


“เจ้า…ไปทำอะไรกับแขนของเจ้ามา” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นราวกับสายลมเย็นที่กระซิบเข้าข้างหูมือเรียวยาวของเขาเอื้อมไปยังแขนข้างซ้ายของนางที่พยายามจะซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อของตนเองแม้จะยังไม่ได้สัมผัสตรง ๆ แต่แววตาของเขานั้นแน่นิ่งและจดจ้องอย่างไม่วางตา “...ข้าดูออก เจ้าพยายามขยับไหล่ให้ปกติ แต่มันไม่เท่ากัน…ขยับแขนช้าไปครึ่งจังหวะ…” ชายสวมหน้ากากไว้ครึ่งหน้ายกมือขึ้นสูงกว่าเดิม นัยน์ตายังคงมองนิ่งไม่หลบแม้แต่น้อย “แสดงว่าเจ้ารู้สึกเจ็บอยู่ทุกการเคลื่อนไหวแต่ยังฝืน”


“คิดว่าข้าไม่รู้หรือ?”


หลินหยาที่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนความตั้งใจในเรื่องทั้งหลายที่นางเตรียมมาเพื่อเผชิญหน้ากลับถูกบีบอัดให้จบลงไปก่อนราวหิมะที่กำลังละลายบนพื้น “อย่ามาทำเก่งต่อหน้าข้าเสี่ยวหยา” เขาเอ่ยเบา ๆ น้ำเสียงนั้นราบเรียบอย่างยิ่งแต่มันเย็นและกระชากวิญญาณ มือของเขาหยุดลงเพียงชั่วขณะก่อนที่ปลายนิ้วจะเกือบแตะปลายแขนเสื้อของหลินหยา แต่หลินหยานั้นเบี่ยงตัวออกช้า ๆ “ท่านอย่ามาแตะข้านะ” นางกัดฟันพูดดวงตาเหมือนจะแฝงความไม่พอใจลุก ๆ “ข้ายังไม่ได้พูดเรื่องท่านจางทังกับท่านเลยนะ”


จางกงกงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดมือไว้กลางอากาศ…ไม่ขยับอีกแต่ไม่ละสายตาจากหลินหยาเช่นกัน “แล้วเจ้าพูดไหวหรือไม่” เขาถามกลับด้วยเสียงต่ำและนิ่งอย่างยิ่งก่อนที่จะเอียงหน้าเล็กน้อย “ถ้าเลือดเจ้ายังไหลซึมอยู่ใต้ผ้าพันแผลเช่นนี้…หรือเจ้าจะรอให้ข้าดูแลให้ก่อนดีล่ะเสี่ยวหยา?” คำพูดนั้นเหมือนจะอ่อนโยน…แต่น้ำเสียงของเขาไม่เคยให้อุ่นใจเลยสักนิด นัยน์ตาคู่นั้นยังคงวาวโรจน์ใต้เงาหน้ากากครึ่งใบของตนเองไม่ใช่สายตาของคนใจดีเลย แต่เป็นสายตาของคนที่รู้หมดทุกอย่าง ตั้งแต่จังหวะลมหายใจไปจนถึงอารมร์ที่เจ้าตัวพยายามปิดบัง หลินหยารู้…ว่าคนตรงหน้าไม่เคยปล่อยให้นางมีความลับใดเกินห้วงลมหายใจเดียวต่อหน้าเขาเลยจริง ๆ 


“ท่านไม่ต้องห่วงมากหรอกน่า…แค่แผลถาก ๆ เอง ไม่ลึกมากหรอก” น้ำเสียงของหลินหยานั้นแสร้งว่าลอย ๆ เหมือนไม่ใส่ใจอะไรนักทว่าเรียวคิ้วของนางยังขมวดเบา ๆ ตอนยกแขนข้างที่เจ็บขึ้นเล็กน้อยและนั้นแหละที่ยิ่งทำให้ดวงตาใต้หน้ากากของเขากระจ่างชัดขึ้นว่าไม่ใช่แค่ถาก ๆ …ความห่วงใยที่ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อยแววตาที่แทบจะเดือดพล่านในความเงียบมองตรงมา


เขาไม่พูดอะไรออกมาเพียงจ้องนางไม่วางตาใต้ใบหน้าใต้หน้ากากที่ดูคล้ายจะไร้ความรู้สึกกลับเปล่งรังสีอึมครึมราวกับจะถามออกมาตรง ๆ ว่า ‘ใครทำ’ และ ‘มันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่’ จนหลินหยานั้นเห็นแล้วก็ถอนหายใจยาวหนัก “ท่าน…เพื่อนข้าเมาแล้วพลาดนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรจริง ๆ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นสิ” นางเอ่ยพร้อมกับยกมืออีกข้างแตะเบา ๆ บนท่อนแขนเสื้อที่บังผ้าพันแผลที่ต้นแขนซ้ายไว้


จางกงกงยังไม่พูดอะไร แต่เขากลับยืนนิ่งอย่างเย็นชาดวงตากระพริบช้า ๆ …อาการแบบนี้สำหรับหลินหยาที่เริ่มอ่านเขาออกบ้างแล้วมันคือกำลังคิดว่าจตะจัดการกับไอ้คนที่เมานั้นยังไงดี อาจจะกำลังคิดว่าเสียแขนไปสักข้างเสียดีไหม 


“ใต้เท้า…” หลินหยาเอ่ยพลางกัดฟันเรียกเขาด้วยถ้อยคำยกย่องเหมือนจะเรียกสติของเขาให้กลับมา “ข้าไม่ได้ทำงานวันนี้ด้วยซ้ำนะ…แผลไม่เปิด แผลมันไม่หนักด้วยซ้ำ…หมอใส่ยาให้แล้วบอกว่าอีก 2-3 วันแผลก็ปิดสนิทแล้วด้วยซ้ำ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะเอาคนทั้งโลกไปขังหรือฆ่าตายให้หมดอย่างงั้นจะได้หรือไม่” หลินหยาถามแต่เมื่อเะห็นว่าเขายังไม่ตอบหลินหยาก็ถอนหายใจอีกหนหนึ่ง นางเดินเข้าไปใกล้กับเขาอีกก้าวเงยหน้ามองใต้เงาของเสาศาลาที่ทาบลงเล็กน้อยข้างตัวท่าใกลางแสงแดดสาดทับจากใบไม้ของเถางาม “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ท่านจะยืนเกร็งอารมณ์คุกกรุ่นอยู่แบบนี้อีกนานไหม?” นางเอ่ยอย่างประชดนิด ๆ แต่แฝงความอ่อนโยนไว้ตามแบบฉบับของตนเองเพราะหลินหยารู้ดีว่าสิ่งที่เขาแสดงออกนั้น…อาจจะดูบ้าบอวิปริตในสายตาใคร แต่สำหรับนางแล้ว...มันคือความห่วงใยของคนที่ไม่เคยถูกสอนให้แสดงความรักอย่างถูกวิธีมาก่อนเลย


หลินหยายืนอยู่ใต้ร่มเงาเถาวัลย์ม่วง เสียงลมฤดูร้อนพัดลอดผ่านปลายแขนเสื้อบางเบาจนชายเสื้อกระเพื่อม แต่ดวงตาของนางกลับจับจ้องที่เขาไม่วางตาไม่ใช่สายตาออดอ้อน ไม่ใช่ความละมุนละไมแบบวันก่อนหากแต่คมชัดนักเหมือนคมมีดในยามเงียบสงัด “อย่าพึ่งมาห่วงข้าเลย แค่แผลนิดเดียวมันไกลหัวใจนัก…” เสียงของหลินหยานิ่งเรียบแต่เริ่มเฉียนลึกเขาทุกที “...เรื่องที่ควรห่วงคือเรื่องของเราและเรื่องของท่านจางทังต่างหากล่ะตอนนี้น่ะ” เพียงเอ่ยนามนั้นเงาของสิ่งที่แฝงอยู่ใต้หน้ากากครึ่งซีกของเขาก็ดูจะก่อตัวทึบขึ้นในพริบตา ดวงตาคู่นั้นไม่กระพริบไม่ไหวติง แต่แวววาวบางอย่างแล่นผ่านตัวราวกับสายฟ้าใต้เมฆฝนที่ก่อตัวขึ้น


และหลินหยาก็ยังไม่หยุด “วันนั้น…ข้าคือคนสุดท้ายที่อยู่กับท่านจางทังก่อนที่เขาจะหายตัวไป” นางพูดราวกับจะไล่เรื่องราวเมื่อวันนั้นที่นางกินหม้อไฟกับท่านจางทัง “วันที่ 2 ของเดือนนี้ ยามเซินที่ศาลาจื่อเถิงฮวาแห่งนี้” บรรยากาศเงียบกริบราวกับแม้แต่เสียงจั๊กจั่นก็หยุดฟัง “และหลังจากนั้น ท่านก็ปรากฎตัวในฐานะของห่าวหมิง แล้วท่านก็บอกว่าเขาไปราชการต่างเมือง แต่ไม่มีใครรู้ข่าว ไม่มีจดหมายส่งตัวไม่มีคนรับส่ง ไม่มีแม้แต่จะไปบอกเพื่อนร่วมงานว่าไปไหน” ดวงตาของนางไหววูบแต่ยังคงมั่นคงไม่หลบหลีกแม้สิ่งที่หลินหยาได้คือความเงียบก็ตาม


“ท่าน…ทำอะไรกับเขา?” คำถามสุดท้ายถูกทิ้งไว้กลางอากาศ สีหน้าใต้หน้ากากนิ่งสงบเกินจริงแต่หลินหยารู้ดีเกินไป...เงียบแบบนี้แหละอันตรายที่สุด จางกงกงไม่ตอบเขาเพียงเบือนหน้าเล็กน้อย เหมือนไม่ใส่ใจแต่นางรู้เขาได้ยินชัดทุกถ้อยคำ


"หืม..." เสียงแผ่วต่ำแค่นั้นหลุดออกจากลำคอของชายหนุ่มเขายกมือเกลี่ยไรผมข้างใบหูราวกับเบื่อหน่ายจะฟังต่อ "เจ้าห่วงเขามากสินะ...เจ้าถามข้าเรื่องคนอื่นซ้ำ ๆ เหมือนใจเจ้ายังผูกอยู่กับชายอื่นอย่างเขาไม่หลุด" ดวงตาของเขานิ่งแต่แฝงรอยแค่นหัวเราะเย็น ๆ จนหลินหยาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่บิดเบี้ยวเหมือนคลื่นใต้น้ำ “เจ้าเคยเห็นสายตาของเขาที่มองข้าหรือไม่?” เสียงของจางกงกงเย็นดั่งลมหนาวรอบโลงศพ “มันเต็มไปด้วยการตัดสินการเหยียดหยาม...เขาคือผู้สั่งโบยข้าในที่สาธารณะทั้งที่รู้ว่าเจ้ากำลังมองอยู่” ดวงตาใต้หน้ากากฉายแววแหลมคมขึ้นชั่วขณะ “เขาทำราวกับข้าไม่มีเกียรติ...เช่นเดียวกับพวกมันทั้งหมด”


หลินหยาที่ได้ยินนางกำมือแน่นเล็กน้อยนางรู้ว่านี่คือการเฉไฉตามแบบของจางกงกง หลีกเลี่ยงการตอบตรง ๆ ด้วยการลากทุกอย่างไปในคำพูดของตัวเอง นางสูดลมหายใจเข้าปอด “ท่านจางทังทำตามหน้าที่ และเขาก็ไม่เคยหยามเกียรติท่านด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องของเกียรตินะ ท่านรู้ดี…ข้าถามว่าเขาอยู่ที่ไหน” 


จางกงกงยังคงเงียบไม่แม้แต่จะกระพริบตาหากเขาพูดออกมาตอนนี้คาดว่าคำพูดนั้น…อาจจะกลายเป็นดาบเฉือนความสัมพันธ์บาง ๆ ที่มีอยู่ระหว่างเขากับนางในทันทีมากกว่า แต่เขากลับยกยิ้มเบา ๆ เยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง “คนอย่างเขา…หายตัวไปเสียได้ก็ดีมิใช่หรือไง?” ถ้อยคำเบา ๆ ทว่าโหดเหี้ยมในความหมายหลินหยาที่ได้ยินนิ่งงันจับจ้องเขาอย่างไม่อาจเชื่อว่านี้คือสิ่งที่อีกฝ่ายกล้าพูดออกมาต่อหน้าเธอ ดวงตาของหลินหยาฉายแววทั้งผิดหวังทั้งเย็นชา แม้ในแววตานั้นยังมีความเจ็บปวดที่ไม่กล้าพูดชัดนางไม่ชอบเลย ไม่ชอบสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมาแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะถ้อยคำที่ดูหมิ่นคนที่นางเคยเรียกว่าสหาย


“เขาเป็นเพื่อนข้า…หากการทำตามหน้าที่ของเขาคือการหยามเกียรติท่านแล้วสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ตอนนี้คืออะไรล่ะ? หยามหัวใจของข้างั้นหรือ?” ถ้อยคำที่ไม่แรงนักแต่แทงลึกยิ่งกว่ามีเพียงสายลมยามบ่ายที่พัดผ่านราวพยานเงียบงัน หลินหยานั้นกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองอยู่ ใบหน้าของนางนิ่งแต่แผ่วลมหายใจที่สั้นถี่ในอกนั้นบอกว่าหัวใจของนางก็กำลังจะเดือดพล่านขึ้นทุกที ๆ 


ทันใดนั้นเองจางกงกงที่เงียบงันตลอดประโยคก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้นาง ดวงตาใต้หน้ากากนั้นครึ้มลงก่อนที่จะคลี่ยิ้มเยือกเย็นออกมาช้า ๆ “แล้วเหตุใด…ข้าต้องบอกเจ้าว่าจางทังอยู่ที่ไหนหรือเสี่ยวหยา?” เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย เสียงแผ่วเบาราวกับลมหายใจราวกับคำที่กระซิบกลางบรรยากาศทมี่เงียบงัรนกลางศาลาจื่อเถิงฮวาแห่งนี้ “เหตุใดเจ้าชอบเอ่ยนามของชายอื่นให้ข้าได้ยินนักนะ?...” มือข้างหนึ่งของเขาขยับแผ่วเบาราวกับสายหมอกหมายจะเชยคางเรียวงามของนางขึ้นเมา ๆ ด้วยปลายนิ้วให้ขึ้นมามองหน้าชัด ๆ …แต่ยังไม่ทันถึงตัว


“ไม่…” เสียงสั่งนั้นสั้นเรียบและมั่นคง


มือบางของหลินหยาเอื้อมมาจับข้อมือเขาไว้แน่นก่อนที่ปลายนิ้วนั้นจะได้สัมผัสผิวแก้มของนาง นางเงยหน้าขึ้นจ้องเขาเต็มตา ในนัยน์ตาไม่มีความสั่นไหวมีเพียงความไม่ยอมแพ้ "หากท่านยังคิดจะเฉไฉเช่นนี้ อย่าแม้แต่จะเอื้อมมาสัมผัสหน้าข้าเลย"


วินาทีนั้นเองที่สายตาของจางกงกงเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ใช่ตกใจ ไม่ใช่โกรธ แต่...เหมือนยิ่งถูกกระตุ้น เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ "หืม..." เสียงหัวเราะเบาราวงูขดตัวใต้เงาไม้ “เช่นนี้แหละน่าเอ็นดูนัก...ยิ่งเจ้าขัดขืนยิ่งเจ้าปฏิเสธยิ่งน่าเล่นนัก...” เขาไม่ยอมดึงมือกลับเสียทีเดียวกลับเพียงลดแรงลงเล็กน้อย ปล่อยให้หลินหยาจับข้อมือเขาไว้เหมือนผู้ถูกครอบครอง แต่สายตานั้นยังจ้องนางอยู่เช่นเดิมจ้องแบบไม่กะพริบ "เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเวลาที่เจ้าทำหน้าแบบนี้..." เขาโน้มเข้าใกล้ ริมฝีปากเกือบแตะปลายหูของนาง แต่ยังไม่แตะ “...มันทำให้ข้าอยากลบชื่อชายทุกคนออกจากหัวใจเจ้าให้หมด...” ลมหายใจของเขาร้อนและอ่อนเหมือนกระซิบอันแสนอันตราย 


หลินหยากำข้อมือเขาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยใจเต้นแรงแต่นางไม่หลบไม่หนี หากใครจะพังความสงบตรงนี้ลงต้องไม่ใช่นางแน่...แม้จะเจ็บ แม้จะลังเล แม้จะกลัว แต่หลินหยาในตอนนี้...ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยเจตจำนงของตนเองอย่างไม่เคยอ่อนแอกว่าใคร


“หากเช่นนั้นท่านก็ต้องลบชื่อท่านออกจากใจข้าด้วยเช่นกัน…ท่านเป็นบุรุษนี้” คำพูดนั้นของหลินหยาทำให้แววตาของจางกงกงแข็งกร้าววูบหนึ่งแต่ไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความตกใจ ทว่าเป็นประกายที่คล้ายกับอสูรในเงามืดซึ่งได้ยินมนต์ต้องห้ามจากนักบวชผู้โง่เขลาริมฝีปากใต้หน้ากากค่อย ๆ คลี่ยิ้มเอื่อย ดวงตาคมคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาราวกับจะเผาใจนางทั้งเป็น


“เช่นนั้น…” เขากระซิบเสียงแผ่วแต่หนักแน่นราวกับคำสาปใต้พระจันทร์ “...เจ้าก็จงลบชื่อข้าด้วยมือเจ้าเองสิ เสี่ยวหยา” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกมองนางในระยะที่แค่ลมหายใจก็สัมผัสปลายจมูก มือใหญ่ที่ถูกนางจับไว้ไม่ยอมดึงกลับหากแต่ขยับเบา ๆ คว้ามือของนางแทนอย่างชำนาญราวกับรอจังหวะนี้มาแต่ต้นมือของหลินหยาถูกเขากุมไว้แน่น มั่นคงและเย้าหยอก


“ไหนว่าไม่ให้ข้าแตะ...” เขาเอ่ยเสียงต่ำ ขณะเลิกคิ้วเพียงนิดด้วยรอยยิ้มที่คล้ายหมาป่าในเงาไม้ “...แต่เจ้ากลับเป็นฝ่ายแตะข้าก่อน มิใช่หรือ? เจ้ากำลังละเมิดกฎที่เจ้าตั้งเองนะเสี่ยวหยาน้อย…” มือของเขาขยับนิ้วไล้แผ่ว ๆ ไปที่หลังมือของนาง ลูบวนเบา ๆ ราวกับยั่วเย้าราวกับสัมผัสนั้นคือการลงโทษอย่างช้า ๆ “หรือว่าใจเจ้าก็เป็นดั่งวาจาพร่ำห้ามไม่ให้ข้าสัมผัสแต่กลับอยากให้ข้าสัมผัสมากกว่าผู้ใด”


หลินหยาแทบอยากด่ากลับไปให้หายอัดอั้น แต่เพียงสบดวงตาคู่นั้นราวกับพูดอะไรก็เท่ากับเทน้ำมันลงกองไฟ ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นไม่หลบเลยแม้แต่น้อย เขาไม่รีบร้อนไม่ก้าวร้าว...แต่กลับเต็มไปด้วยเล่ห์กลบิดเบี้ยว เขาไม่กลัวการถูกเกลียดด้วยซ้ำ...เขาราวกับโหยหาการถูกหลีกหนีมากพอ ๆ กับโหยหาการถูกจดจำ “ชื่อของข้า...” เขาก้มลงจนหน้าผากเกือบแตะแก้มนาง เสียงกระซิบหลุดลอดลมหายใจอุ่นร้อน “...จะเป็นชื่อเดียวที่เจ้าลบไม่ได้แม้ในฝันร้ายของเจ้าเอง” ปลายนิ้วของเขาลูบผ่านแนวข้อมือขาวละมุนแต่คุกคาม และหลินหยาก็เริ่มรู้สึกว่าหากปล่อยให้ชายผู้นี้พูดต่อไปอีกแม้เพียงคำเดียว...ใจของนางอาจจะไม่ได้ยินเสียงของตนเองอีกเลย


“ท่านอย่ามาเล่นลิ้นนะ!!” หลินหยาเสียงแข็งทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ดวงตาคมหวานจ้องอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่ไว้หน้า น้ำเสียงแม้จะคุมให้เรียบแต่กลับสั่นเล็กน้อยเพราะความโกรธจนแทบลุกไหม้ หากตอนนี้ถือไม้ได้คงได้ฟาดหน้าเขาไปแล้วจริง ๆ “ข้าบอกให้บอกว่า ‘ท่านจางทังอยู่ที่ไหน’ ไม่ได้ให้ท่านมาเล่นคำถามตอบคำถามกับข้า!!”


ชายตรงหน้านิ่งเงียบไปชั่วครู่ราวกับเพียงชื่นชมท่าทีเดือดดาลที่งดงามราวอัญมณีต้องไฟ ดวงตาภายใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นเป็นประกายเจ้าเล่ห์จาง ๆ ราวกับนักล่าที่ได้กลิ่นเหยื่อกำลังโกรธเกรี้ยว ใบหน้าส่วนล่างโค้งยิ้มเพียงบาง “อา...ข้าชอบเวลาเจ้าขึ้นเสียง มันมีเสน่ห์เหลือเกิน” เขาว่าพลางเอียงหน้าราวกับเพลิดเพลินกับความโมโหของนาง


“ตอบมา จางกงกง” หลินหยาพูดพลางกัดฟันเน้นเสียงนั้น นางไม่ได้ขยับหนีหรือแม้แต่เบือนหน้าหลบเลยสักนิด กลับนิ่งก้าวเข้าหาเขาอีกครึ่งก้าวราวกับจะเอาเรื่องเขาจริง ๆ หากเขายังทำแบบที่ทำอยู่ในตเนอนี้ 


ชายผู้นั้นกระตุกยิ้มเล็กน้อยลมหายใจเบา ๆ ผ่านใต้หน้ากากก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ก่อกวนไม่ต่างจากไฟที่ลามเชื้อแห้งในใจหญิงสาว “หากข้าบอกว่าเขาอยู่ไหน เจ้าจะทำอย่างไร?...จะตามหาเขา? หรือว่า…” เขาเอนตัวเล็กน้อยเข้ามาอีก “...จะให้ ‘ข้า’ ผู้เป็นจงฉางชื่อแห่งวังหลวงไปตามหาให้? เจ้าคิดว่าเวลาข้าหายไปใครจะเป็นฝ่ายตามหาข้าอย่างเอาเป็นเอาตายที่สุดกันนะ?” เสียงต่ำค่อย ๆ ลูบไล้หูของนางอย่างตั้งใจจะยั่ว


หลินหยาเริ่มกำหมัดแน่นนางกัดริมฝีปากตัวเองจนแน่นก่อนจะหรี่ตามองเขาอย่างคนที่อยากจะหยิบตะหลิวจากร้านบะหมี่มาเคาะหัวหมอนี่สักป้าบ แต่เขาไม่จบแค่นั้นยังกล้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกระซิบเสียงชิดอีกว่า “ถ้าข้าทำถ้าข้าบอก...แล้วข้าจะได้อะไร?”


“...?...”


“ของขวัญแสนวิเศษสักอย่างจากแม่นางผู้ร่าเริงใสซื่อบริสุทธิ์ที่ขายเสียงขลุ่ยดีดผีผา มีทรัพย์ติดตัวไม่ถึง 100 ตำลึงทอง...?” เขาหัวเราะในลำคออีกครั้งคราวนี้ชัดเจนในความเหยียดเย้ยปนหมั่นไส้เล่นเอาหลินหยาตวัดตาใส่ทันที


“ท่านมันไอ้คนเจ้าเล่ห์! ไอ้คนสารเลว! หน้าเลือด!!” นางหลุดสบถทันทีแบบลืมไปว่านี่คือจงฉางชื่อแห่งวังหลวงไม่ใช่แค่ห่าวหมิงที่สวมหน้ากากครึ่งใบหน้าอยู่ นางอยากจะเตะหน้าเขาสักทีจริง ๆ แต่ชายผู้นั้นกลับหัวเราะเบา ๆ ราวกับได้ฟังกลอนรักจากปากนางเสียอย่างนั้น เขาเอียงหน้าช้า ๆ ดวงตาเปล่งประกายประหลาดอย่างน่าหงุดหงิด


“มีเพียงคำด่า...หรือจะมีสิ่งใดที่ยอมมอบให้ข้าอีก หากข้า...ให้เจ้ารู้เบาะแสของสหายคนนั้น? หรือจะแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งที่ข้าอยากได้...ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เงิน” เขาโน้มตัวลงอีกนิด...ปลายจมูกเกือบแตะแก้มของหลินหยาเหมือนเคยเพราะเขาชอบนักที่จะได้กลิ่นผิวกายเนื้อนางอย่างใกล้ชิด


“...แต่เป็นเจ้า”


หลินหยาแทบอยากเขวี้ยงเขาลงศาลาเมื่อได้ยินให้จมดินโดนพสุธาสูบไปให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดมันเดี๋ยวนี้ ดวงตาของหลินหยาหรี่ลงเล็กน้อยทันทีที่เห็นอีกคนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ มือบางรีบยกขึ้นดันใบหน้าของจางกงกงออกห่างโดยอัตโนมัติทว่านิ้วมือเรียวยาวของเขากลับยกขึ้นค้างจับข้อมือนางไว้แน่นเหมือนจะยื้อไว้ให้อยู่ตรงนั้น ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมถอย ไม่ยอมให้ไกลจากกลิ่นหอมแผ่วเบาที่เขาติดใจมานาน “โอ้ยยย ท่านจะเอาข้าเป็นเมียหรือไง!! ท่านอย่ามาใกล้กว่านี้นะ...ข้ายังพูดไม่จบ” หลินหยาขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขุ่นน้อย ๆ แต่ก็พอมีลมหายใจของความเหนื่อยใจประสมเจืออยู่ “ข้าไม่ทำงานสกปรกให้ท่านหรอก อย่าคิดเชียวว่าแกล้งเอาเรื่องท่านจางทังมาขู่แล้วข้าจะยอมเล่นตามเกมกระดานที่บัดซบของท่าน”


แววตาจางกงกงสั่นระริก...แต่ไม่ใช่เพราะหวั่นไหวหรอก กลับเป็นเพราะห้ามยิ้มไม่ไหวเสียมากกว่า เส้นผมเส้นหนึ่งร่วงลงเคลียปลายคางขณะเขาโน้มต่ำเข้าไปใกล้กว่าเดิม ใกล้เสียจนปลายจมูกของเขาแทบแตะกลีบปากนาง “หึ...แล้วเจ้าคิดว่างานสกปรกของข้า...มันคืออะไรล่ะ? หรือว่าเจ้าเข้าใจว่าข้า...อยากได้เจ้าไปเป็นฟูเฟรินจริง ๆ?”


หลินหยาสะอึกเบา ๆ มองหน้าเขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเบะปาก “ก็พูดแบบนั้นไม่ใช่หรือ? จะให้ของขวัญ ให้แลกเปลี่ยนแล้วถามว่าข้าจะให้เจ้าอะไรได้แล้วยังจะทำหน้าทะลึ่งนั่นอีกยื่นหน้าเขามาใกล้ข้าอยู่นั้นแหละ” ยังไม่ทันที่นางจะว่าให้จบ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำก็หลุดออกมาจากในลำคอของชายสวมหน้ากากครึ่งหน้า


“หากได้ก็ดี” คำตอบสั้น ๆ ที่พูดราวกับไม่ใส่ใจนักทว่ากลับบาดอารมณ์ของหลินหยาเสียเต็มรัก


“ไอ้บ้า!” นางหันหนีหน้าแทบจะทันทีแต่ยังไม่ทันลุกหลบไปไหน กลับถูกเขาคว้าข้อมืออีกครั้งอย่างรู้จังหวะ ร่างทั้งร่างถูกรั้งเบา ๆ ให้เอนซบกำแพงศาลาอีกหน มือของจางกงกงค้างอยู่ที่บ่าของนางและดวงตาที่มองมากลับมีประกายร้าย ๆ แบบที่เขามักซ่อนเอาไว้


“แต่เจ้าเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่งนะ...เสี่ยวหยาถึงข้าจะอยากได้เจ้าไปเป็นฟูเหรินจริงหรือไม่...แต่ข้าอยากได้เจ้าทั้งที่ยังเกลียดข้า...มากกว่า” เขายิ้มบาง ๆ ดวงตาหลินหยาลุกวาบตอนที่ได้ยินนางตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง


“จะบ้าเรอะ! ท่านมันอะไรคนอะไรโรคจิต!” แต่จางกงกงกลับหัวเราะเบา ๆ เหมือนนั่นคือคำชม แล้วโน้มหน้าไปกระซิบใกล้หูของนางอีกครั้งอย่างคนจงใจ “ก็เพราะเจ้าดูน่ารักเหลือเกิน...เวลาที่เจ้ากำลังพยายามไม่รักข้าไง” หลินหยาจะเอาหน้าไปซุกเสาศาลาให้จมตายเสียตรงนั้นเลยดีไหมก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้หูทั้งสองข้างของนางแดงซ่านเสียจนแม้แต่ฤดูหนาวก็อาจอุ่นขึ้นได้จากไอร้อนบนใบหน้าของนางนี่ล่ะ


หลินหยาเบ้ปากแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น นางมองหน้าของเขาอย่างเหลืออด กวาดตามองอีกฝ่ายจากหัวจรดเท้าแล้วกลอกตามองฟ้าช้า ๆ อย่างสุดจะทน ไหล่เล็กสั่นระริกเพราะพยายามข่มความอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาเอาไว้ นางสูดลมหายใจเข้าลึกจนหน้าอกสะท้านแล้วแค่นเสียงเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด


“ท่านนี่มัน! คนเจ้าเล่ห์ จอมขี้แกล้ง! จอมขี้เอาเปรียบ! พ่อค้าในตลาดยังไม่เอาเปรียบขนาดนี้เลย!” เสียงของหลินหยาสะท้อนก้องในศาลาจื่อเถิงฮวาราวกับหวังจะบรรเทาความอึดอัด กลับยิ่งตอกย้ำความหัวร้อนของนางเข้าไปอีก ใบหน้าแดงก่ำทั้งจากโทสะและความอับอายเธอหันขวับไปหาอีกคนพลางจ้องเขาเขม็ง


“ข้าถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อน!” หลินหยากระแทกเสียง “ไม่ใช่เพราะจะมาต่อราคาหารางวัลให้กับท่าน คนหรืออะไรก็ไม่รู้เห็นข้าเป็นแม่ค้าตัวเล็กจ้อยก็จะเล่นหัวข้าตลอดเลยรึไง!” มือบางขยับไปผลักไหล่เขาเบา ๆ หนึ่งทีแต่ก็ไม่ได้ออกแรงนัก หน้าตาแดงซ่านเพราะความหงุดหงิดปนเขินก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วกลอกตาเหมือนจะข่มอารมณ์ของตนให้กลับมาเป็นปกติ แต่ยิ่งอยู่ใกล้คนอย่างเขา…ก็เหมือนยิ่งไกลจากความสงบเข้าไปทุกทีแต่สุดท้าย…


“ก็ได้…” เสียงนั้นเอ่ยในที่สุดแต่น้ำเสียงกลับแฝงความไม่พอใจแบบสาวปากแข็งเต็มที่ “หากท่านจางทังหายไปเพราะข้า…ถ้าท่านเป็นคนที่ทำให้เขาหายตัวไปเพราะเรื่องของข้า…ท่านก็ต้องช่วยข้าพาตัวเขากลับมาให้ปลอดภัยเหมือนกัน” ดวงตาคู่นั้นสบเขาแน่วแน่ไม่ไหวเอนไม่อ้อมค้อมอีก พูดจบก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว นิ้วเรียวยาวและขาวจัดของนางขยับ…เกี่ยวเข้ากับนิ้วของเขาอย่างเงียบงัน แต่มั่นคง สัมผัสนั้นแม้เบาแต่กลับทำให้เส้นประสาททุกส่วนในกายของชายสวมหน้ากากตึงเครียดราวกับโดนกระตุก “เกี่ยวก้อยสัญญาแล้วนะ…” หลินหยาเอ่ยตัดบทเร็ว ๆ แล้วเบือนหน้าหนีสีหน้าแดงระเรื่อจนแทบจะกลายเป็นผลพีชสุกจัด “หากท่านบอกและพากลับมาได้ก็…ก็จะให้รางวัลก็ได้แหละ” ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับห้วนขึ้นตอนจบ พูดเหมือนจะกัดฟันกรอดสายตาพราววาวราวกับสาวน้อยโมโหตัวเองว่าทำไมถึงได้เผลอหลุดปากพูดอะไรแบบนี้ไปด้วยซ้ำ


“แต่อย่าร้องขออะไรมากนักนะบอกไว้ก่อน!”


…แต่เขาน่ะสิ ไม่ตอบ ไม่หัวเราะ ไม่แม้แต่จะขยับตัวหลังจากนิ้วของนางเกี่ยวเข้ากับมือเขาแล้ว ดวงตาใต้หน้ากากครึ่งใบนั้นกลับจับจ้องหลินหยาราวกับนักล่าที่เฝ้าดูเหยื่อวิ่งเข้ามาใส่กับดักอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าที่ยังไม่ได้เปิดเผยทั้งหมดดูเงียบสงบ แต่หากมองให้ลึกพอ…มันมีแววระคนกันระหว่างความตื่นเต้น เฉียบขาด และบิดเบี้ยวอย่างเงียบงัน “รางวัลงั้นหรือ…” เขาทวนคำนั้นเบา ๆ ราวกับละเมอปลายนิ้วเรียวกระชับนิ้วของนางกลับโดยไม่ได้ถามก่อน “ข้าจะถือว่าเจ้า ‘ให้สัญญา’ แล้วก็แล้วกันนะเสี่ยวหยา อย่าผิดคำตนล่ะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างน่าประหลาดแต่อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างในกลับเยียบเย็นพอจะทำให้หลินหยาหยุดหายใจไปเสี้ยววินาที


และในแววตาของเขาเวลานี้...นางเองก็เห็นมันชัดเจนราวกับแมวที่เพิ่งตะครุบเหยื่อแล้วกำลังคิดว่าจะเริ่มละเลียดกินจากตรงไหนก่อนดี


"เช่นนั้นข้าขอ...ค่ามัดจำในสัญญาได้หรือไม่?" จางกงกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบเรื่อย แต่ในความเรียบนั้นมันมีอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่หลินหยาฟังแล้วขนลุกวาบไปถึงท้ายทอย ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากเวลาถูกงูเลื้อยผ่านข้อเท้าในยามค่ำมันเย็นเฉียบ ไม่อาจกะได้ว่ามันจะกัดหรือเลื้อยผ่าน หลินหยาเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวใบหน้างามนั้นแสดงอาการงุนงงเต็มพิกัด "หือ? ค่ามัดจำอะไรของท่าน ข้าไม่มีเงินนะบอกไว้ก่อนเลย…จะยืมก็ไม่มีให้ยืม จะค้ำก็ไม่มีอะไรค้ำ!" มือเล็กขยับไขว้ป้องอกไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะยึดข้าวของของนางไปจริง ๆ


แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงนั้นไม่ได้ดังมากนักหากแต่กลับเหมือนเข็มเล็ก ๆ จิ้มตรงใจหลินหยาทีละจุด ๆ อย่างจงใจ "มิใช่เงิน..." จางกงกงโน้มตัวลงนิดหนึ่งพูดชัดถ้อยชัดคำ โดยที่มือยังจับนิ้วของนางไว้ไม่ยอมปล่อย "สิ่งที่ข้าต้องการ…คืออย่างอื่นต่างหาก"


"อะ…อะไรของท่านอีกเล่า! จะเอาอะไรอีก!" หลินหยารีบเบี่ยงตัวออกแล้วหันหน้าหนี หน้าแดงจัดขึ้นมาในพริบตาหัวใจก็เต้นรัวเหมือนจะระเบิดออกมาทางอก แต่เพราะหลินหยาเป็นหลินหยา…ถึงจะเขินแค่ไหนก็ยังทำหน้าดื้อไว้ก่อน “อย่าคิดว่าจะได้อะไรแปลก ๆ นะ ถ้ามันไม่ใช่เงินงั้นก็ไม่มีให้!”


"แปลกหรือไม่ เจ้าจะต้องคิดเองหรือเปล่า?" จางกงกงตอบเสียงเรียบแต่สายตาเขาน่ะ…มันกำลังจ้องนางอย่างมีความสุข ชัดเจนว่าเขากำลังแกล้ง นัยน์ตาสีเข้มนั้นราวกับแมวตัวโตที่กำลังเขี่ยลูกแมวตัวน้อยเล่น ๆ ปลายหางของเขาคือความนิ่งสงบที่จงใจปั่นประสาทคนตรงหน้าให้ดิ้น "ข้าขอไม่ยาก ขอเพียงอย่างเดียว…ไม่เจ็บตัว ไม่เสียเงิน ไม่ล่วงเกินกฎใด ๆ ทั้งสิ้น"


"แล้วมันคืออะไรล่ะงั้นน่ะ!" หลินหยาถามกลับเร็วจี๋มือยังคงปัด ๆ ไปมาราวกับจะกันอะไรสักอย่างจากอากาศ


"หนึ่งจุมพิต" เขาตอบเรียบ ๆ หลินหยาชะงัก เหมือนโดนฟาดด้วยกล่องอาหารกลางศีรษะ


"…ห๊ะ?"


"จุมพิต" เขาทวนซ้ำอย่างไร้อารมณ์แต่ดวงตากลับทอแสงซุกซนเกินบรรยาย "ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ริมฝีปาก…ที่แก้มก็นับ ที่หน้าผากก็ได้หรือจะที่ปลายนิ้วเจ้าที่จับมือข้าอยู่ตอนนี้ก็ไม่เลว"


"บะ…บ้า! ท่านพูดอะไรของท่านน่ะไม่มีทาง! ท่านมัน…ท่านมัน...!" นางชี้หน้าเข มือที่ยังเกี่ยวกับเขารีบดึงกลับในทันใดเหมือนจับเหล็กร้อน จางกงกงก็แค่ยักไหล่เบา ๆ พร้อมก้มศีรษะลงเล็กน้อย ประหนึ่งเป็นพ่อค้าผู้ไม่ฝืนใจลูกค้า "เช่นนั้นก็ไม่มีสัญญา ไม่มีการค้นหา ไม่มีของรางวัล"


"ท่านขู่ข้างั้นหรอ!" หลินหยาแหวใส่เสียงสูง


"หามิได้ ข้าเพียงเสนอทางเลือกให้เจ้า" เขาหยุดเว้นคำก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้เสียงลดต่ำลงอย่างนุ่มนวลแต่จงใจบีบอารมณ์ “…หรือเจ้ากลัวว่าจะไม่ใช่แค่จุมพิตเดียว?” ตอนที่ได้ยินหลินหยาเบิกตากว้าง ปากอ้าจะด่าอีกครั้งแต่สุดท้ายนางก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่แล้วถอยหลังหนีตัวงอ หน้าร้อนฉ่าจนน่าจะต้มน้ำชาร้อน ๆ ได้สิบหม้อ ส่วนจางกงกงหรือ? เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างคนที่ได้แกล้งจนพอใจ…แล้วรอว่าแม่ค้าคนงามตรงหน้า จะยอมจ่าย ‘ค่ามัดจำ’ ด้วยใจ…หรือด้วยหัวใจของนางเอง


จางกงกงในคราบของห่าวหมิงกำลังมองนางด้วยแววตาเจ้าเล่ห์พราวระยับอย่างเปิดเผยเต็มที่ ดวงตาคู่นั้นฉายความรู้สึกพึงใจปนเย้ยหยันในความเขินและหงุดหงิดระคนกันของหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นโน้มลงเพียงเล็กน้อยเช่นเคย ท่าทีเหมือนแมวตัวใหญ่ที่กำลังหยอกเล่นกับเหยื่อซุกซนซึ่งตอนนี้เจ้าเหยื่อดันเป็นคนที่เขาไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือ


แต่เขาคิดผิด…


เพราะหลินหยาแห่งตระกูลหนานในผานอวี้คือสาวแสบที่ความคิดซับซ้อนจนเดาอะไรไม่ได้ อดีตสาวใช้หรือนักดนตรีฝึกหัดในหอว่านหงเหริญที่กรำศึกที่จะให้ชายหลายคนชะงัก หญิงสาวที่ผ่านทั้งเล่ห์กลและน้ำมือของเหล่าพี่สาวนางโลมทั้งหอนี้มาเกินครึ่ง กำลังเงียบไม่พูดไม่จา ไม่โวยวายอย่างเคยแต่กลับมองหน้าเขานิ่ง ๆ …และมันน่ากลัวกว่าการโดนตบเสียอีก "อะไรกัน?" จางกงกงเลิกคิ้วเล็กน้อยขมวดคิ้วอย่างคนที่เริ่มระวังตัวในความเงียบฉับพลันนี้ เขารู้ว่านางไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่นี่มันสงบเกินไปเหมือนพายุที่หยุดเคลื่อนไหวก่อนจะซัดถล่มลงมาเป็นเท่าตัว


แล้วทันใดนั้นยังไม่ทันที่เขาจะพูดคำใดต่อ มือเล็กของหลินหยาก็ยื่นมาจับหลังคอของเขาอย่างมั่นคง รวดเร็วและเด็ดขาดราวกับฝนตกกลางแดด


"หือ…?" ก่อนที่เสียงในลำคอเขาจะดังไปไกลกว่านั้นริมฝีปากนุ่ม ๆ ของหญิงสาวก็ขยับเข้ามาแนบชิด...แต่มิใช่ที่ปากมิใช่ที่แก้ม มิใช่หน้าผากอย่างที่เขาคิดจะยั่วเย้าแต่เป็นที่ ลำคอ สัมผัสนั้นรวดเร็วแต่ชัดเจนร้อนจัดราวกับเปลวเพลิงในฤดูเหมันต์ และนั่นไม่ใช่แค่ริมฝีปากที่แตะผ่าน แต่มันมีทั้งแรงกดเสียงลมหายใจและความตั้งใจ…อย่างแน่นอน


จางกงกงเหมือนถูกสายฟ้าฟาดกลางอก สมองที่เคยคิดคำนวณแผนการละเอียดลึกซึ้งถึงขั้นวางยาหรือซ้อนเกมนับสิบกลับหยุดชะงักจนคำพูดเรียบหรูของเขาหลุดหายไปกลางคอ 


“…” 


หลินหยาไม่พูดอะไรหลังจากนั้น นางเพียงยืดหลังนิดหน่อยแล้วจ้องหน้าคนตรงหน้า ดวงตาแสนดื้อดึงที่เปล่งประกายความพอใจแบบลอบกัดกะทันหันนั้นฉายแววชัดเจนว่า เอาให้เขินไปเลยไอ้คุณชายจอมวางแผน “แค่ ‘ค่ามัดจำ’…ใช่มั้ย?” เสียงนางเอ่ยช้า ๆ แล้วเลียริมฝีปากของตนเองนิดหนึ่งเหมือนล้อเลียน “ข้าจ่ายให้แล้วนะ ท่านอยากจะเริ่มงานในสัญญาเลยไหมล่ะ?”


“…” 


ห่าวหมิงยืนเงียบใบหน้าใต้หน้ากากนั้นยากจะเดา แต่ไหล่ของเขาแข็งเกร็งไปครู่หนึ่งก่อนที่มือเรียวยาวจะค่อย ๆ ขยับเชยคางของหลินหยาเบา ๆ ช้า ๆ เหมือนจะถามว่า เจ้ารู้ตัวไหมว่าเพิ่งทำอะไรลงไป แต่หลินหยากลับสะบัดหน้าออกแล้วปัดมือเขาทิ้งทันทีเหมือนไม่แคร์ ก่อนจะหันไปอีกทางพร้อมเสียง "เชอะ" เล็ก ๆ ที่แฝงรอยยิ้มร้ายในลำคอของตนเอง "อย่าคิดว่าท่านคุมเกมอยู่คนเดียวสิ…จางกงกง" นางเอ่ยเสียงเบาโดยไม่หันมา และเป็นครั้งแรกที่คนอย่างจางกงกง...ถึงกับต้องยืนเงียบงัน ราวกับเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าใครกันแน่ที่เพิ่งตกหลุมพรางใคร


หากจะบอกว่าหลินหยาทำไปเพราะหน้ามืดก็คงไม่ใช่…


หากจะบอกว่าทำไปเพราะแค้น…ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว… มันเป็นอะไรที่อยู่ระหว่างความรู้สึกอยากจะตอกกลับ กับบางอย่างที่…แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังอธิบายไม่ได้ หลินหยาหลังจากยืดตัวจุมพิตที่ลำคอของบุรุษตรงหน้าเสร็จ ร่างเล็กก็กลับมายืดหลังตรงตามเดิมมือบางที่จับหลังคอของอีกฝ่ายไว้ก็ผละออกอย่างแนบเนียนเหมือนไม่เคยสัมผัสสิ่งใด นางไม่สบตาเขาแม้สักนิดหนึ่ง ดวงตาคมวาวอย่างแม่เสือสาวที่เพิ่งข่วนเจ้าป่าแล้วเดินจากมาด้วยหางตาเย้ยหยัน ริมฝีปากนุ่มที่แนบคอเขาเมื่อครู่ยังคงชื้นนิด ๆ จากลมหายใจอุ่นร้อนของตน


ในหัวใจของนางแม้จะตะโกนเสียงดังเป็นพันประโยคว่า ‘บัดซบเอ๊ย กูทำอะไรลงไปวะหลินหยา!’ แต่น้ำเสียงและสีหน้ากลับแน่นิ่งยิ่งกว่าสายน้ำเย็นของแม่น้ำเว่ยยามค่ำคืน


"ข้าจ่ายให้แล้วนะ" เสียงของนางยังคงเรียบสนิทราวกับคนไม่รู้สึกรู้สา แต่ภายในอกนั้นเต้นโครมครามดังกว่ากลองรบของทัพใหญ่เสียอีก แม้จะหันไปอีกทางแต่รอยแดงจาง ๆ ที่เริ่มระเรื่อขึ้นบนใบหน้าของหลินหยานั้นเด่นชัดนัก ‘องค์เทพช่วย กูจูบคอเขาเหรอวะ!’ ในใจนางร่ำร้องราวกับเสียงระเบิดเงียบ ร่างกายแทบอยากจะวิ่งหนีออกจากศาลานั้นแต่ก็ต้องฝืนท่าทีให้สงบนิ่งที่สุด ยืนเฉยให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจอยากจะขุดดินฝังตัวเองชั่วคราวด้วยซ้ำ


แต่เพราะรู้ว่าเขากำลังจ้องอยู่…นางถึงต้องนิ่ง เพราะถ้าหลุดเขินขึ้นมาเมื่อไหร่…เจ้าบ้าโรคจิตนั่นไม่มีวันปล่อยแน่! ล้อนางชิบหายชัว ๆ !! ดวงตาของหลินหยาแม้จะไม่มองเขาโดยตรงแต่ก็ลอบมองจากหางตาอยู่หลายที พลางเห็นอีกคนยังยืนนิ่งราวกับรูปปั้นสลักศิลาบนยอดเขาคุนหลุน ร่างสูงแข็งทื่อ…ไม่ขยับ ไม่ไหวติง แววตาที่เคยแน่นิ่งอย่างคาดเดาไม่ได้นั้น…จู่ ๆ ก็อึ้งจนเห็นได้ชัดเจน นางกัดฟันในใจอย่างสะใจนิด ๆ ตกใจล่ะสิ ท่านคิดว่าแกล้งคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียวเหรอ ไอ้เจ้าคนบ้ากามลามก!’ 


จางกงกงตอนนี้ไม่ได้แค่เงียบเขาเหมือนหลุดจากบทตอนที่เชยคางของหลินหยาให้มองเขาคิ้วขมวดนิด ๆ ดวงตาคมปลาบคู่นั้นแม้จะยังจ้องมานิ่งไม่ไหวติงแต่ในหัวของเขาคล้ายระเบิดลูกเล็ก ๆ พุ่งเข้ามาเป็นระลอก เขาคิดว่านางจะตีอกชกลมคิดว่านางจะเขินแล้วเบือนหน้าหนี คิดว่านางจะโวยวาย ด่าเขา หรือตบเขาสักฉาด…แต่ไม่มีบทไหนในสมองเขาเลยที่จะคิดว่านางจะ จูบคอเขา 


คอ…บริเวณที่ใกล้เคียงกับเส้นเลือดใหญ่ พื้นที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับคนที่ควบคุมได้ทุกอย่างแต่กลับกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ในเสี้ยววินาทีที่ผ่านมา ‘เจ้ากล้าเล่นกลับแบบนี้เล่นหรือเสี่ยวหยา’ เขารู้สึกถึงบางอย่างแล่นวาบลงจากท้ายทอยถึงสันหลัง ไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความอึดอัด แต่คือความพึงใจ


…อย่างที่สุด


ริมฝีปากที่จางกงกงเม้มแน่นนั่นเริ่มคลายช้า ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างควบคุมไม่ได้ เขาขยับตัวเข้าไปยืนข้างหญิงสาวในที่สุด ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันของศาลาจื่อเถิงฮวา แล้วเขาก็พูดออกมาช้า ๆ เสียงพร่าต่ำจนเหมือนจะขยี้ใบหูของนางด้วยถ้อยคำเหมือนจะหวานแต่น่าหวาดหวั่น "รู้มั้ย…เจ้าไม่ควรเริ่มก่อน"


หลินหยาเบือนหน้าหนีไม่มองเขาอย่างเช่นเคยทั้งที่หัวใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุผนังอกแต่นางยังคงปั้นหน้าเฉยไว้ได้อย่างน่าชื่นชม "ข้าก็แค่จ่ายค่ามัดจำตามที่ท่านขอ ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย…" แต่เพราะพูดไปเสียงก็ดันเบาเองเหมือนกันจนเหมือนสารภาพผิดให้เขาฟังอีกต่างหาก


จางกงกงหรี่ตามอง ก่อนกระซิบอีกคำข้างหูเบา ๆ จนนางขนลุกวาบ "ถ้าค่ามัดจำจะร้อนแรงขนาดนี้…ข้าคงต้องเร่งทำภารกิจให้เสร็จไว ๆ แล้วกลับมาเก็บ ‘รางวัลที่เหลือ’ ให้ทันที…เสี่ยวหยา" และตอนนั้นแหละ หลินหยาผู้แข็งใจไม่แพ้ใครก็แทบกัดลิ้นตัวเองไม่ให้หลุดเสียงกรี๊ดออกไป




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออ ไอ้เรามันก็สายคอมมาดี้ด้วยสิ เขินจัง

จางทังอาจจะกำหมัดบอกมาตามหาผมทีค้าบเลิกหวานค้าบ


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-19 15:14
โพสต์ 132642 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-19 04:49
โพสต์ 132,642 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-19 04:49
โพสต์ 132,642 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-19 04:49
โพสต์ 132,642 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-19 04:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 00:15:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 17 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ นอกฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา


ยามไห่จวนจะปลายคืน ลมเย็นยิ่งนัก… ดวงจันทร์ขาวซีดฉายแสงลอดหมอกเบาบางเหนือศาลาจื่อเถิงฮวาที่ตั้งอยู่เงียบงันริมเชิงเขากลีบดอกเถาวัลย์ม่วงที่พันเกี่ยวเสาทรงกลมเอนไหวแผ่วในสายลม ราวกับรับรู้ถึงการมาถึงของใครบางคนที่คุ้นกลิ่นนักในช่วงนี้ของฤดูกาลเสียงฝีเท้าของหญิงสาวดังกึกก้องเบา ๆ บนพื้นหินกรวด หลินหยาหยุดยืนตรงทางเดินไปหน้าศาลา เอียงหน้ามองไปด้านข้างก่อนจะถอนหายใจยาวหนึ่งคราอย่างคนที่อดแขวะไม่ได้ "ศาลาจื่อเถิงฮวาอีกแล้ว..." นางพึมพำเสียงเบาแต่ความเหนื่อยใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงจนชัด "นี่มันจะกลายเป็นที่นัดพบประจำของชาวเมืองฉางอันแล้วหรือไรนะ…หรือมันมีเสน่ห์อะไรที่ข้าดูไม่ออกกันแน่ จางกงกงก็นัดข้าที่นี่ จางทังก็มาที่นี่ ใต้เท้าเถียนเฟิงก็ยังจะพามานี่อีก…ตอนนี้ก็เจ้าเสี่ยวจ้าวจื่อ?" 


"ช่างเถอะ…" เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มแผ่วเมื่อเห็นแสงตะเกียงน้ำมันดวงเล็กส่องอยู่ข้างใน "อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรซับซ้อนเห็นว่ามอบของขวัญให้สหายใหม่หรอกนะ?" น้ำเสียงของนางออกจะขบขันนิด ๆ เพราะในใจนึกถึงใบหน้าเสี่ยวจ้าวจื่อเวลาทำหน้าจริงจังขึ้นมาทีไรก็ดูเก้อ ๆ ตลกดี ราวกับเด็กชายที่พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่แต่ดวงตากลับยังไม่รู้จะหลบไปทางไหน 


หลินหยาย่างเท้าเข้าเขตในศาลาเงียบ ๆ ดวงตากลมโค้งมองหาร่างของเขาที่อาจจะหลบอยู่มุมใดมุมหนึ่ง “ข้าเห็นไฟแล้วนะ อย่าบอกนะว่าให้ข้ามารับของขวัญถึงที่ แล้วเจ้ากลับเขินจนไปแอบอยู่หลังเสาอีก?” เธอพูดพลางหัวเราะเบา ๆ…ใช่สิ ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ แค่นึกเอ็นดูขึ้นมาเฉย ๆ ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะมอบอะไรให้เป็นของขวัญสำหรับคำว่า "สหายใหม่" ในคืนที่ดอกเถาวัลย์ม่วงผลิบานเต็มศาลาอย่างคืนนี้กันแน่...


เมื่อหลินหยาก้าวเข้าสู่ศาลาอย่างเต็มตัว เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของนางดังสะท้อนในพื้นที่ว่างเปล่ากึ่งเงียบสงบ กลิ่นหอมจางของเถาวัลย์ม่วงผสมกับกลิ่นอาหารอุ่น ๆ ที่ลอยมาแต่ไกลทำให้ดวงตาของนางที่เคยระแวดระวังเปลี่ยนเป็นกลมโตด้วยความแปลกใจ กลางศาลาใต้แสงตะเกียงลานดวงน้อย เสี่ยวจ้าวจื่อในชุดขันทีเรียบง่ายกำลังนั่งตัวตรงหลังตรงพอดี หน้าหวานของเขาขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยเมื่อนางมาถึงปิ่นโตไม้ไผ่สีเรียบวางอยู่ข้างตัวเขาอย่างเรียบร้อย ราวกับผ่านการจัดวางมานานแล้ว ข้าง ๆ ยังมีถ้วยไม้สองใบและตะเกียบที่วางคู่กันเป็นระเบียบราวกับเฝ้ารอใครสักคนอย่างมีจุดหมาย


"อ่า...แม่นางหลินหยา" เขาเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นนางเดินเข้ามาใบหน้าขึ้นสีทันทีอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาเรียวเล็กหลบเลี่ยงนิด ๆ อย่างคนไม่ชินกับการต้องเป็นจุดสนใจ


"ข้ามาถึงก่อน...เพราะกลัวท่านต้องรอขอรับ ข้าจัดอาหารเอาไว้เล็กน้อยเป็นของขวัญที่อยากมอบให้...ในฐานะสหาย" เขายกปิ่นโตขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วเปิดฝาเถาไม้ชั้นแรกอย่างทะนุถนอม กลิ่นหอมอ่อนของปลาเปรี้ยวหวานคลุ้งออกมาในทันที เนื้อปลาทอดกรอบชุ่มซอสราดสีส้มทองที่แต่งหน้าด้วยต้นหอมซอยและเม็ดเกาลัด ส่วนอีกชั้นเมื่อเปิดออก เผยให้เห็นลูกชิ้นหัวสิงห์เนื้อละเอียดราดน้ำซุปที่เคี่ยวจนข้นวาววับบนเนื้อลูกชิ้นแต่งด้วยผักกาดขาวนึ่งอ่อนนุ่มอย่างพอดิบพอดี


"นี่คือ...ปลาเปรี้ยวหวานกับลูกชิ้นหัวสิงห์ขอรับ" เขาเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ก่อนหลบตาลงพลางพูดต่อ "เป็นของขวัญ...ขอรับ สำหรับการพบกันของเรา และ...เป็นการขอบคุณที่แม่นางเคยแบ่งน้ำเต้าหู้ให้ข้าหลายครั้ง" เขายิ้มจาง ๆ อย่างอาย ๆ ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ขอบปิ่นโตนั้นราวกับเกร็งอยู่เล็กน้อยไม่กล้าชะเง้อมองนางนานนัก ช่างตรงข้ามกับท่าทีเอาแต่ใจแสนสนุกกับการแหย่ของหลินหยาที่ตอนนี้ยืนมองเขาอย่างอึ้งไปนิด ๆ กับภาพตรงหน้า


หลินหยายืนมือไพล่หลัง ขมวดคิ้วอย่างคนที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือระบายยิ้มดี ริมฝีปากโค้งขึ้นทีละน้อยด้วยความเอ็นดูปะปนความรู้สึกอบอุ่นอธิบายไม่ถูก "หืม...ของขวัญตั้งสองอย่างเชียวหรือเจ้าคะ?" นางกล่าวเสียงใสอย่างคนช่างเย้าแต่แววตาที่มองเขากลับอบอุ่นจนเด็กหนุ่มทำท่าจะเกาหลังหัวด้วยความประหม่าแต่ก็ไม่กล้า "ท่านช่างจำเรื่องเล็ก ๆ แบบนั้นได้ด้วยนะ ข้าให้น้ำเต้าหู้ไปตั้งหลายรอบ ท่านก็ยัง..." เธอหยุดพูด แล้วยิ้มบางขณะย่อตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเขา หยิบตะเกียบในถ้วยขึ้นมาอย่างเงียบงัน สายลมพัดกลีบเถาวัลย์ม่วงโปรยลงตรงมุมศาลาอย่างนุ่มนวล เหมือนบรรยากาศรอบข้างก็ผ่อนคลายตามรอยยิ้มของนางไปด้วย


"งั้น…ข้าจะรับของขวัญไว้ด้วยความยินดียิ่งเจ้าค่ะ แล้วจะชิมให้ท่านดูเลยว่าท่านทำอาหารเก่งขนาดไหนจริงไหม เด็กฝึกงานแห่งโรงครัวหลวง?" น้ำเสียงหลินหยาเจือขี้แกล้ง แต่แววตานั้นกลับสะท้อนแสงตะเกียงอย่างอ่อนโยน ราวกับในยามค่ำคืนที่ศาลาจื่อเถิงฮวาแห่งนี้…หัวใจของใครบางคนอาจได้เริ่มผูกมิตรไมตรีใหม่ ๆ เอาไว้โดยไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้...


ขณะที่อาหารคำแรกแตะปลายลิ้นความเงียบในศาลาจื่อเถิงฮวาก็พลันแปรเปลี่ยนไม่ใช่ด้วยเสียง แต่ด้วยประกายตาที่เบิกกว้างของหลินหยา นางชะงักนิดหนึ่งเมื่อลิ้นรับรสซอสเปรี้ยวหวานที่มีความกลมกล่อมอย่างน่าประหลาด ไม่หวานเลี่ยน ไม่เปรี้ยวแสบเกินไป แต่เหมือนทุกอย่างถูกปรุงอย่างรู้จังหวะ รู้ใจ รู้ว่าคนตรงหน้านี้จะชอบมันมากแค่ไหน “โห…อะไรเนี้ย…ตายจริง...” นางเอ่ยเบา ๆ ระหว่างที่วางตะเกียบลงแล้วมองหน้าอีกคน “มันอร่อยมากเลยนะ อร่อยสุด ๆ ไปเลย…” คำชมนั้นเปล่งออกมาด้วยความรู้สึกจริงใจอย่างที่หลินหยามักมีให้ใครง่าย ๆ ใบหน้าของนางแดงระเรื่อเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความเขินอาย แต่เพราะความสุขที่ไหลทะลักผ่านอาหารตรงหน้า ราวกับบางส่วนของหัวใจที่แห้งแล้งมานานได้รับน้ำหล่อเลี้ยงทีละหยด


“ท่านรู้ไหมว่า...” นางกล่าวขณะใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นหัวสิงห์อีกคำ “ทุกอย่างที่ท่านทำมันมี ‘รสชาติ’ ที่ควรเป็น แต่กลับแปลกใหม่เหลือเกินเหมือนข้าไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” แววตานั้นฉายแววตะลึงปนประทับใจ เธอหันไปมองหน้าเสี่ยวจ้าวจื่อที่นั่งเงียบงันแต่สีหน้าก็แดงจัด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตานางตรง ๆ สักที จนทำให้หลินหยาคิดได้ “หากตอนข้าอยู่ในวัง…ข้าบังเอิญได้พบท่านเร็วกว่านี้ล่ะก็…” น้ำเสียงของหลินหยานุ่มลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แฝงความเศร้าและอบอุ่นในคราวเดียว “…บางที ข้าอาจจะรู้สึกดีกับที่นั่นมากกว่านี้ก็ได้นะเจ้าคะ”


นางระบายยิ้มจาง ๆ ไม่ได้เย้า ไม่ได้แกล้ง เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากความรู้สึกในใจที่แท้จริงอาจเพราะเสี่ยวจ้าวจื่อเป็นคนเดียวที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำแพง ไม่แม้แต่จะตั้งใจจะเข้ามาเปลี่ยนอะไรในชีวิตนาง แต่อาหารของเขา กลับเปลี่ยนบางสิ่งในใจของหลินหยาไปทีละน้อย ศาลาจื่อเถิงฮวาเงียบลงอีกครา…แต่เป็นความเงียบที่อบอุ่น ไม่อึดอัด ไม่อ้างว้าง…เหมือนทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าบางคำไม่ต้องพูดออกมาก็ส่งถึงกันได้แล้ว ผ่านรสชาติอาหาร ผ่านสายตา ผ่านใจที่ยังไม่เคยเจอความอ่อนโยนเช่นนี้ในกำแพงวังหลวงมาก่อนเลย…


เสี่ยวจ้าวจื่อที่เงยหน้ามองขึ้นหลังได้ยินคำพูดของหลินหยา สีหน้าเขาดูเก้อเขินเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจห้ามสายตาตนที่จ้องมองเธอด้วยความรู้สึกบางอย่างได้ ดวงตาของหลินหยาแม้นางจะยิ้ม แม้เสียงพูดจะสดใสเหมือนเคย แต่ในแววตานั้นกลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่แตกร้าว เหมือนแผลที่สมานแล้วแต่ยังทิ้งรอยไว้ในใจ เขาพยายามจะไม่พูดอะไร แต่ริมฝีปากก็เผลอขยับ “แม่นาง...สายตาท่าน...ดูเหมือนเจ็บอยู่เลยนะขอรับ...”


แต่หลินหยากลับส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาสีหน้าดูอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าผ่านมันมาได้แล้ว เดี๋ยวก็หาย” เสียงนางนุ่มแต่ไม่เศร้าเหมือนพูดกับตัวเองให้แน่ใจว่ามันจะเป็นจริง นางเอนหลังเล็กน้อยพิงเสาไม้ของศาลาจื่อเถิงฮวา ลมเย็น ๆ ยามค่ำพัดชายเสื้อของนางเบา ๆ ก่อนที่หลินหยาจะหันมามองใบหน้าของเสี่ยวจ้าวจื่ออย่างจริงจังขึ้นนิดหนึ่ง


“ว่าแต่...เสี่ยวจ้าวจื่อท่านอายุเท่าไรแล้วหรือ?”


อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม “ขอรับ...ข้าอายุสิบห้าปีพอดีในปีนี้”


“หา?!” หลินหยาเบิกตากว้างแทบจะทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าที่ปกติแสดงความมั่นใจตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่เพิ่งพบความจริงบางอย่าง “งั้นก็แปลว่า...ท่านโตกว่าข้าน่ะสิ ข้าเพิ่งสิบสี่เอง!” เธอเอามือทาบอก ทำหน้าช็อก ๆ ปนระอาก่อนจะโอดครวญเสียงสูงอย่างไม่จริงจังนัก “อ๊าค...ไม่จริง ข้าเป็นเด็กกว่างั้นหรือ...บัดซบ!” แล้วก็หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่อาย แม้สายตาผู้คนทั่วไปคงว่าหญิงสาวในชุดงดงามตรงหน้าไม่น่าจะมาพูดจาเช่นนี้ แต่เสี่ยวจ้าวจื่อกลับกลั้นยิ้มไม่ไหวจริง ๆ สีหน้าของเขานั้นแดงระเรื่อแต่แววตาก็เปล่งประกายอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นท่าทีที่เป็นธรรมชาติของหลินหยา


หลินหยาขยับตัวมองหน้าเขาแล้วกระซิบเบา ๆ พลางทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ว่า “แต่ท่านต้องไม่บอกใครนะว่าข้าเด็กกว่านะถ้ามีคนถามก็บอกไม่รู้ไปก็ได้ ไม่งั้นข้าจะเสียหน้าหมดเลย ข้าคิดว่าท่านเด็กกว่าด้วยซ้ำบ้าบอ!” แล้วเธอก็ทำหน้าเคร่งขรึมใส่หนึ่งที


เสี่ยวจ้าวจื่อยิ้มเจื่อนแต่ก็รีบพยักหน้ารัว ๆ พร้อมตอบอย่างจริงจัง “ขอรับ...ข้าจะไม่บอกใครแน่นอน...สัญญาขอรับ” ท่ามกลางบรรยากาศของศาลาในยามค่ำที่มีเพียงเสียงใบไม้ไหวกับแสงจันทร์สีอ่อน เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเด็กหนุ่มสาวสองคนแทรกซึมเข้ามาอย่างเงียบงัน เป็นค่ำคืนที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีชาติกำเนิด ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น มีเพียงมิตรภาพเล็ก ๆ ที่กำลังแตกหน่ออย่างเงียบงันในหัวใจของทั้งสองฝ่ายเท่านั้นเอง...


หลังจากนั้นหลินหยากับเสี่ยวจ้าวจื่อก็คุยไปเรื่อยไปเปื่อย หลินหยาบอกว่านางมาจากเมืองผานอวี้อยู่หนานไห่โน้นแหละ เสี่ยวจ้าวจื่อทำตาโตนิดหน่อยเมื่อได้ยินชื่อเมืองผานอวี้ ดวงตาที่ปกติหลุบต่ำเสมอกลับลุกวาวขึ้นมาในความเงียบสงบของยามค่ำ เสียงกระซิบของสายลมพัดกลีบดอกวิสทีเรียจากหลังคาศาลาร่วงลงมากระทบพื้นอย่างแผ่วเบา ขณะที่หลินหยาทอดสายตามองขึ้นฟ้าด้วยท่าทีสบายใจ พอเธอบอกว่าเธอมาจากหนานไห่เสี่ยวจ้าวจื่อก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ไกลมากเลยขอรับ… ข้า…ไม่เคยไปไหนไกลจากกำแพงวังหลวงเลยแม้แต่ก้าวเดียว…”


เสียงนั้นไม่มีความเศร้าไม่มีความอิจฉา มีแต่ความสงบของคนที่เคยชินกับกรงทองจนลืมไปแล้วว่าฟ้าภายนอกเป็นเช่นไร หลินหยาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะระบายยิ้มจาง ๆ แล้วตอบกลับพลางยกถ้วยน้ำชาในศาลาขึ้นจิบช้า ๆ “ข้าก็เป็นแค่ลูกสาวเจ้าเมืองน่ะเจ้าคะ ขุนนางตัวเล็กตัวน้อย ไม่น่าตื่นเต้นนักหรอก… แต่อย่างน้อยข้าก็โชคดีที่ได้เกิดมาใต้ท้องฟ้าเมืองผานอวี้ มีสายลมกลิ่นทะเล กับต้นท้อผลไม้ขึ้นเต็มเขา…” นางวางถ้วยเบา ๆ ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปกอบกลีบดอกไม้ที่ร่วงลงมาบนฝ่ามือ ดวงตาสีน้ำตาลไหม้สุกสกาวมองกลีบดอกไม้อย่างแผ่วเบาแล้วพลิกมามองขันทีน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้าม


“ท่านรู้ไหม เมืองข้ากับเมืองนี้ต่างกันมากเลย ที่โน่นไม่ใช่ภูเขาสูงหรือแม่น้ำใหญ่แต่เป็นทางน้ำทะเลที่ทอดยาว มีสะพานไม้ยาวจนสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสเสมอ และที่สำคัญมีขนมเยอะมากเลย!” หลินหยาเน้นคำว่า ขนม ด้วยท่าทีที่ดูตื่นเต้นอย่างน่ารักจนเสี่ยวจ้าวจื่อต้องหลุดยิ้ม “โดยเฉพาะซาลาเปาไส้ถั่วแดงที่ทอดจนกรอบนอกนุ่มในกับขนมอบใบเหมยที่ราดน้ำตาลทรายแดงร้อน ๆ โอ๊ย แค่คิดก็อยากกลับไปกินอีกแล้ว…” นางทำท่ากอดอกแล้วเอนหลังกับเสาศาลาอย่างงอแงเล่น ๆ ดวงหน้าแดงเรื่อเพราะความตื่นเต้นของความทรงจำ ขณะที่เสี่ยวจ้าวจื่อเองก็นิ่งฟังตาเป็นประกายราวกับได้แอบเดินทางไปถึงผานอวี้ผ่านคำเล่าของเธอ


“หากท่านทำอาหารเก่งขนาดนี้วันหนึ่งหากท่านมีโอกาสออกจากวัง… ข้าจะพาท่านไปกินขนมที่ผานอวี้เอง!” หลินหยาเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ แม้จะรู้ว่ามันเป็นคำพูดเล่น ๆ แต่เสียงที่ออกมาจากใจของนางกลับไม่ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย


ขันทีน้อยชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ สีหน้าเขาดูเหมือนจะยิ้ม แต่ในดวงตากลับมีบางอย่างที่นิ่งสงบเกินเด็กอายุสิบห้า “หากวันนั้นมาถึงจริง… ข้าจะรอขอรับ…” เสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นประหนึ่งคำสัญญาระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญมีชะตาไขว้ผ่านกันในศาลาไม้เก่า ๆ กลางค่ำคืนหนึ่ง…


ภายใต้เงาจันทร์ที่สาดแสงสีเงินบางเบาทอดลงบนพื้นศาลาจื่อเถิงฮวา เสียงหัวเราะเบา ๆ ของหลินหยาและคำพูดสุภาพปนประหม่าของเสี่ยวจ้าวจื่อยังคงดังสลับกันไปมา ทั้งสองนั่งพิงเสาไม้ฟังเสียงจิ้งหรีดร้องประสานกับลมที่ไล้ผ่านผืนผ้าม่านบางเบารอบศาลา ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงค่ำคืนนี้ที่ไม่ต้องรีบเร่งหรือกังวลสิ่งใด จนกระทั่งหลินหยาหาวหนึ่งที มือเรียวยกขึ้นป้องปากก่อนดวงตาคู่งามจะหรี่ลงเล็กน้อยอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ตัวนางเหลือบมองน้ำมันในตะเกียงที่พร่องลงเกือบหมด ก่อนจะรีบลุกพรวดแล้วโอดครวญออกมาเสียงเบา


“โอยยย...เลยมาสองชั่วยามแล้ว! แขนข้ายังไม่หายดีด้วยสิ หากบวมขึ้นมาอีกทีเห็นทีจะโดนท่านหลิวอันเอาไม้เรียวตีแน่เลย...” น้ำเสียงติดจะล้อเล่นแต่ก็แฝงความลำบากใจนิด ๆ เสี่ยวจ้าวจื่อที่กำลังจะเก็บปิ่นโตรีบเงยหน้ามองด้วยสีหน้าตกใจทันที “ขอรับ! เช่นนั้นเรากลับเข้าฉางอันกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะเดินไปส่งท่านเอง” เขาพูดอย่างไม่ลังเล สีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อยราวกับรับหน้าที่เฝ้ายามยิ่งใหญ่


“ท่านแน่ใจนะ? ไม่ต้องก็ได้นี่ มันดึกแล้ว...” หลินหยาว่าแบบนั้นแต่สุดท้ายก็ยิ้ม “...แต่ก็เอาเถอะ เจ้าตัวเล็กข้าจะถือว่ท่านมีน้ำใจละกัน”


สองเท้าเดินเคียงกันบนถนนที่เงียบสงบยามราตรี แสงโคมไฟบนกำแพงเมืองฉางอันสะท้อนประกายตาของหลินหยาเป็นจุดเล็ก ๆ ดั่งกลุ่มดาว พวกเขาเดินช้า ๆ ผ่านทุ่งหญ้าและสะพานหิน ดวงจันทร์ตามพวกเขาไปไม่ห่างเหมือนเทพผู้เป็นพยานแห่งมิตรภาพ เสี่ยวจ้าวจื่อไม่พูดอะไรมากนักตลอดทาง เดินอยู่ข้างหลินหยาเงียบ ๆ เว้นเพียงคำเตือนเวลามีรากไม้ หรือก้อนหินใต้เท้าด้านหน้า เขาคล้ายมีความสุขที่ได้เดินเงียบ ๆ อย่างนี้ ไม่มีใครเรียกใช้ ไม่มีเสียงสั่งจากขันทีผู้ใหญ่ ไม่มีเสียงกระทะกระทบกันหลังครัวหลวง มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขากับนางที่สอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันบนถนนคืนเดือนหงาย


เมื่อมาถึงหน้าบ้านหลังเล็กของคุณชายอันเล่อ เสี่ยวจ้าวจื่อหยุดยืนห่างออกไปหนึ่งช่วงตัวก่อนจะก้มหัวให้อย่างนอบน้อม “คืนนี้ข้าขอตัวเท่านี้ขอรับ แม่นางหลินหยากลับเข้าบ้านปลอดภัยแล้ว ข้าก็วางใจ…” หลินหยาหันกลับมาหาเขาพลางชะงัก ดวงตาสบกันเงียบ ๆ ใต้แสงโคม เธอจ้องเขานิดหนึ่งก่อนจะยิ้มเอ่ยเบา ๆ อย่างจริงใจ “คืนนี้ขอบคุณท่านมากนะ ข้ารู้สึกดีใจที่ได้รู้จักท่านจริง ๆ...” 


เสี่ยวจ้าวจื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีเรื่อรางก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่เอ่ยคำลา ดั่งคนที่รู้ว่ามิตรภาพไม่จำเป็นต้องพูดให้มาก แค่มีอยู่…ก็อบอุ่นเพียงพอแล้ว และในเงามืดของตรอกที่เขาค่อย ๆ ลับหายไป เสียงหัวใจของหลินหยายังคงเต้นเป็นจังหวะ…ไม่ต่างจากค่ำคืนแรกที่เมืองฉางอันส่งใครสักคนมาให้เธอพบเจอโดยมิได้นัดหมายเลยสักนิด



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล:+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

เอาปลาเปรี้ยวหวานและลูกชิ้นหัวสิงค์มาอย่างละ 1 จาน (แบมือ)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-22] เสี่ยวจ้าวจื่อ เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-20 01:12
โพสต์ 58253 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 00:15
โพสต์ 58,253 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 00:15
โพสต์ 58,253 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 00:15
โพสต์ 58,253 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 00:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 08:36:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-20 13:33


วันที่ 18 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


แดดยามเซินทอดผ่านร่มเงาเถาวัลย์ม่วงที่เลื้อยพาดชายหลังคาศาลา เงาไม้แกว่งไกวตามแรงลมราวกับบรรเลงบทกล่อมจากธรรมชาติให้จิตใจเหนื่อยล้าของหญิงสาวคลี่คลายลงทีละน้อย หลินหยาเดินเข้ามาในศาลาจื่อเถิงฮวาด้วยฝีเท้าอ้อยอิ่ง ไม่ใช่เพราะช้าโดยเจตนาแต่เพราะหัวใจมันไม่ได้เร่งเร้าให้นางรีบไปที่ใดอีกต่อไป สายลมพัดเส้นผมของนางกระจายเบา ๆ ดวงตาเรียวยาวทอดมองไกลออกไปยังทะเลทุ่งหญ้าเบื้องหน้า ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ไม่มีนัดไม่มีบุรุษสวมหน้ากากคนเดิม ไม่มีคนที่ชอบเล่นลิ้น ชอบพูดจาน่ากระชากคอเสื้อหรือแม้แต่คนที่ชอบขยับเข้ามาใกล้เกินไปเสมอในทุกบทสนทนา…


"บ้าเอ๊ย..." นางพึมพำกับตนเองเบา ๆ อย่างเหนื่อยล้า แล้วปล่อยตัวลงนั่งพิงเสาหนึ่งของศาลา มือข้างหนึ่งกอดอกอีกข้างหนึ่งโยนห่อขนมในอ้อมแขนลงข้างกายโดยไม่สนใจมันอีก ริมฝีปากน้อย ๆ เงียบงันหยุดพูดแม้แต่คำเดียว นางไม่รู้หรอกว่าทำไมเท้าถึงพามาที่นี่หรือทำไมใจถึงยังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่ในที่เดิมเวลาซ้ำ ๆ เหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแล้วก็ไม่ปาน


วันนี้เขาคงไม่มา


แน่นอนสิ…นางเป็นคนขอเขาให้ไปทำภารกิจเองกับปากจำได้ดีด้วยซ้ำว่ายกนิ้วเกี่ยวสัญญาไว้ ไม่รู้ว่าคนโรคจิตอย่างเขาจะทำจริงหรือไม่ แต่...ถ้าจะมาตามสัญญา เขาก็ไม่น่าจะมานั่งเล่นอยู่นี่กับนางเหมือนทุกวันเป็นแน่ คิดแล้วก็น่าขำเล็ก ๆ ที่ใจมันเงียบเหงาขึ้นมาเฉย ๆ เพราะขาดเสียงกวนประสาทประจำวันไปหนึ่งคน "จะมานอนเล่นเฉย ๆ ก็คงไม่มีใครว่าใช่ไหม..." นางพึมพำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เอนตัวลงบนพื้นไม้ของศาลา ลมเอื่อย ๆ พัดผ้าคลุมไหล่ไหวพลิ้วเสียงใบไม้เสียดสีกันบนยอดไม้ไกล ๆ กลายเป็นเสียงกล่อมหลับจากธรรมชาติอย่างอ่อนโยน


กลิ่นกฤษณาบางจางลอยแทรกเข้ามาเมื่อหอบลมจากด้านทิศใต้พัดขึ้นมายังศาลา หลินหยาปล่อยแขนปล่อยขาอย่างหมดแรงนางนอนหงาย แหงนหน้ามองเพดานไม้ของศาลาด้วยแววตาว่างเปล่า


วันนี้เงียบดีจังแฮะ…


คิดได้เช่นนั้น ดวงตางามก็ปิดลงอย่างไม่รู้ตัว นางหลับ...ในศาลาเดิมยามเดิม...ภายใต้เถาวัลย์ม่วง...โดยไม่รู้เลยว่าเพียงครู่หนึ่งหลังจากนั้น เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางทางเดินเงียบสงบ เสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินผ่านแนวไม้แถวหลังศาลาราวกับไร้น้ำหนัก ผ้าไหมสีทึบปลิวไหวเล็กน้อย ดวงตาคมที่คุ้นเคยของบุรุษสวมหน้ากากครึ่งหน้าเหลือบมองร่างเล็กบนศาลาไม้ด้วยสายตาลึกล้ำ เขาไม่ได้เดินเข้ามาในทันที เขาเพียงยืนนิ่งมองอยู่นาน…นานมากพอจะสังเกตลมหายใจของนางที่สม่ำเสมอและเรียบสงบ…


"...ดูเหมือนไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่ติดนิสัยมาที่นี่..." เสียงทุ้มต่ำพึมพำเบา ๆ จางหายไปในลม ทว่าแววตาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้น กลับอ่อนลงราวกับคลี่เงาเมฆออกจากแสงอาทิตย์กลางฤดูหนาวที่แสนเยียบเย็น และเขาก็เดินเข้าไป...อย่างเงียบงันใกล้เข้ามาทีละก้าว...เพื่อมองให้ชัดว่านางหลับไปจริงหรือเปล่าเพราะถึงแม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ ที่หลุดจากริมฝีปากของเขาในขณะนั้น แต่หัวใจของเขากำลังพูด… ‘วันนี้ ข้าต่างหาก...ที่รอเจ้า’


ภายใต้ร่มเงาของเถาวัลย์ม่วงที่เอนไหวตามแรงลมยามเซินร่างในชุดสีเข้มของบุรุษผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้ายืนนิ่งอยู่ข้างพ้นไม้ไม้สายตาคมปลาบทอดมองร่างบางที่นอนเหยียดยาวอยู่ในท่าทางที่แสนไร้การป้องกัน หลินหยาหลับสนิทจริง ๆ แก้มนวลขึ้นสีอ่อน ๆ เพราะไอแดด เส้นผมปล่อยยาวกระจายอย่างไม่ตั้งใจพาดบนพื้นและบ่าบาง หยาดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงขมับจากความอุ่นของยามบ่าย เสียงหายใจแผ่วเบาระบายออกจากปลายจมูกขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ


สายตาของจางกงกง...แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย


เขาเอียงคอช้า ๆ เหมือนครุ่นคิด บางสิ่งในใจของเขาไหววูบ รอยยิ้มผุดขึ้นใต้หน้ากากอย่างเงียบงัน รอยยิ้มที่ไม่อาจเรียกได้ว่าอ่อนโยนหรือเมตตามันกลับคล้ายกับรอยยิ้มของใครบางคนที่กำลังครอบครองบางสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง และนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นอย่างราบเรียบและเบิกบานแปลกประหลาด มือเรียวขาวสะอาดยกขึ้นอย่างไร้เสียง...ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ลงบนแก้มนวลของหญิงสาว...เกลี่ยแผ่วราวกับกลัวนางจะตื่นแต่ก็ไม่หยุดยั้งเลยสักนิด


จากข้างแก้มลูบขึ้นขมับลากกลับลงมาปลายกราม แล้วแตะเบา ๆ ตรงมุมปากนั้น มุมปากที่เคยกล้าหาญเถียงเขามุมปากที่เคยกัดฟันด่าเขาในศาล มุมปากที่เคย...จุมพิตต้นคอเขาอย่างบ้าบิ่นในวันก่อน “...ช่างหลับได้อย่างไม่ระวังเช่นนี้...เจ้าไว้ใจข้าแล้วหรือยัง?” เสียงทุ้มต่ำกระซิบเบา ๆ ใกล้ใบหูข้างหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้นไม่ขยับไปมากกว่านั้น แต่สายตาของเขากลับยิ่งดำมืดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองใบหน้าเล็กตรงหน้า


นิ้วเรียวแตะสันจมูกของหลินหยาแล้วเลื่อนกลับมาเกลี่ยที่แก้มอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง...เหมือนเด็กเล่นกับตุ๊กตาในความครอบครองของตนเองหรือไม่...ก็เหมือนอสูรร้ายกำลังชื่นชมซากเหยื่อที่ยังอุ่นอยู่ในเงามืดของตน


“ข้าจะทำให้เจ้าจำได้...ว่าผู้เดียวที่ล่วงเกินเจ้าได้คือข้า” เสียงกระซิบต่ำลอดริมฝีปากใต้หน้ากาก น้ำเสียงไม่ใช่คำขู่…แต่มันเหมือนคำสัญญา แล้วเขาก็ยังคงลูบแก้มเนียนนุ่มนั้นต่อไป...อย่างเงียบ ๆ ราวกับเวลาหยุดหมุนอยู่เพียงลมหายใจของหญิงสาวผู้ไม่รู้เลยว่ากำลังโดนคนที่นางเกลียดทำสิ่งใด คนนั้นคือใครบางคนที่เป็นเจ้าของความลับใต้หน้ากากนั้นไม่ใช่เพียงบุรุษในนามห่าวหมิง แต่คือจางกงกง...จงฉางชื่อผู้วางแผนซ้อนแผน


ผู้ไม่เคยยอมให้ใครขโมยสายตาของคนที่เขาปรารถนาไปได้แม้จะเป็นแค่การนอนหลับอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ก็ตาม


เสียงลมยามเซินพัดเอื่อยเอนเถาวัลย์ม่วงเบื้องศาลา...กลีบดอกสีอ่อนปลิวลงแตะปลายผมของหญิงสาวที่ยังหลับพริ้มอยู่บนพื้นไม้ ดวงหน้าขาวผ่องนั้นช่างนิ่งงันเสียจนดูราวกับภาพวาดโบราณหนึ่งในภาพที่หากเขามีก็จะไม่ยอมให้ใครเห็นอีกตลอดชีวิตและนั่นเอง...ที่ความต้องการบางอย่างแปรเปลี่ยนในหัวใจของเขาอย่างเงียบงัน


มือของเขาหยุดนิ่งที่แก้มนวลของสตรีตรงหน้าก่อนจะขยับเปลี่ยนตำแหน่งช้า ๆ ราวกับต้องต่อสู้กับตนเองแม้มันไม่เคยชนะ นิ้วเรียวลูบต่ำลงไปที่ซอกคอขาวลูบผ่านไหปลาร้าใต้สาบเสื้อเบา ๆ ปลายนิ้วที่เย็นนั้นแนบลงกับผิวที่ยังอุ่นร้อนจากแดดยามบ่าย มันช่างขัดกัน...จนเขาเผลอสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ กลั้นแรงกระเพื่อมในอกของตนเอง ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นขยับเล็กน้อย เขาโน้มตัวลงไปใกล้อีกนิดเงาของหน้ากากบดบังลมหายใจที่อุ่นระอุซึ่งรินรดข้างแก้มของหลินหยา


เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเริ่มจากเมื่อไรหรือบางที…เขาไม่อยากรู้ เพียงแต่วินาทีนั้นเขาอยากทำบางอย่างกับนาง…อยากจะก้มลงจุมพิตปลายแก้มนวลนั้นเบา ๆ อยากจะชิม...เพียงเสี้ยวเดียวของหญิงสาวที่ไม่เคยยอมอ่อนให้เขาง่าย ๆ สักครา


“...ข้าไม่ควร...” เขาพึมพำเสียงแผ่วดวงตานั้นกระพริบช้าเหมือนลังเล แต่แล้วเขาก็ขยับใกล้ขึ้นอีก ริมฝีปากที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเกือบจะแตะผิวนวลนั้นแทบจะแตะอยู่แล้ว......ถ้าไม่ใช่เพราะเงาของใบไม้ที่พลันพริ้วผ่านบ่าของเขา พร้อมเสียงกระซิบของลมที่เหมือนจะกระตุกสติอสูรในคราบบุรุษผู้ดีให้หวนคืน


เขาชะงัก ถอนหายใจเบา ๆ พลางยกมือขึ้นแตะหน้ากากตนเองราวกับจะเตือนตน “เจ้าคงไม่รู้...ว่าข้าใช้แรงทั้งหมดที่มี เพื่อไม่ทำมากกว่านี้...” เขาพึมพำให้เธอฟัง...แม้นางจะหลับอยู่ก็ตาม เพราะหลินหยาคือบาดแผลเดียวที่เขาไม่อยากรักษาคือยาพิษเดียวที่เขาเสพติด และหากเขาก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว...เขาอาจไม่ได้อยู่ในใจนางเลย


เขาหันหน้าหนีจากใบหน้างามนั้นเพียงนิด สูดหายใจอย่างควบคุม แล้วนั่งลงข้างเธอด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นแต่ในใจกลับเผาไหม้...เหมือนพยัคฆ์ที่กอดซากเหยื่อไว้แน่นแต่ไม่อาจกัดกิน เขาหลับตาเงียบ ๆ ข้างเธอ ไม่ได้แตะต้องอีกแต่เพียงมือหนึ่ง...ยังวางไว้ที่ปลายนิ้วของเธอ และยามที่นางตื่นขึ้นมาเขาจะยิ้มแบบเดิม แล้วแกล้งเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นเลย


ปลายสายลมวังเวงแห่งยามเซิน…แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนตัวลงเหนือศาลาจื่อเถิงฮวาแต่แววตาของชายผู้สวมหน้ากากกลับฉายแสงอำมหิตอันเยียบเย็นราวพญางูเฝ้าถ้ำ เขานั่งนิ่งมือเรียวยังวางแนบอยู่กับปลายนิ้วของหญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างเขา แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนยิ่งกว่าสายน้ำใต้ธารน้ำแข็ง เมื่อคืนคนของเขารายงานว่าหลินหยาเข้ามาที่ศาลาจื่อเถิงฮวาแห่งนี้ในยามไห่ พบกับ ขันทีฝ่ายแรงงาน คนหนึ่ง…ที่เขาเองไม่คิดว่าจะต้องจำชื่อมันด้วยซ้ำ แต่เพราะ…นางนั่งอยู่กับมันถึง สองชั่วยาม เขาจึงจำมันขึ้นใจทันที


สองชั่วยาม? นั่นมันไม่ใช่แค่การทักทายด้วยน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วร่ำลากันไป นั่นมัน…ความสนิทชิดใกล้ที่เขาไม่ได้รับ


จางกงกงบีบมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วสวมแหวนหยกขาวสะท้อนแสงเย็นวับ มุมปากภายใต้หน้ากากยกขึ้นนิดหนึ่ง…ยกในแบบที่ไม่มีใครกล้าบรรยายว่ารอยยิ้ม "เจ้าเริ่มชินกับเสรีภาพที่ข้ามอบให้งั้นหรือ?" เขาพึมพำราวกระซิบเย็นยะเยือก "หืม…หรือเจ้าคิดว่าที่นี่คือสวนหลังบ้านเจ้าหรืออย่างไร?" สายตาเขาลอบเหลือบมองหญิงสาวที่นอนพริ้มในแสงบ่ายอีกครั้งหนึ่ง "เจ้าอยากเป็นนกน้อยที่บินหนีจากกรงทอง? ได้…แต่จงรู้ไว้ว่าปีกของเจ้าก็ติดกลิ่นของข้าเสียแล้ว"


หากนางรู้…ว่านอกจากนางที่สะกดรอยแล้วคนที่นางพบเมื่อคืนถูกลอบสะกดรอยตามโดยคนของเขา หากนางรู้…ว่าเพียงที่นางเผลอหัวเราะให้ชายอื่น เขาก็มีชื่อของมันไว้ในบัญชีคนที่ ‘ควรเฝ้าดู’ เขาไม่ได้โง่พอจะปล่อยให้แมวน้อยตัวนี้หลุดจากมืออีกเป็นครั้งที่สองแต่เขาก็ไม่ได้โหดร้ายพอ…ที่จะฆ่าแมวที่ตนหลงใหลเพียงเพราะนางไปเล่นกับคนอื่น


อย่างน้อย…ก็ยังไม่ถึงตอนนั้น


จางกงกงโน้มตัวลงมาอีกครั้งเส้นผมยาวของเขาร่วงลงปลายคางหญิงสาวที่ยังไม่รู้ตัว มือหนึ่งเขาแตะเบา ๆ ที่ปลายคางนางอย่างอ่อนโยนเกินกว่าจะเป็นความรักแท้และมากเกินกว่าจะเป็นเพียงมิตรสหาย "หากเจ้ารู้ความจริงเข้า…" เขาพึมพำแผ่วราวกระซิบใส่ผิวเนื้อของคนที่นอนอยู่ "เจ้าจะยังยอมให้ข้าอยู่ใกล้เช่นนี้อีกหรือเปล่านะ?"


ดวงตาใต้หน้ากากนั้นไม่ได้ยิ้ม...แต่กลับแฝงแสงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ราวกับความรู้สึกอยากจะกอดนางไว้แน่น ๆ พร้อมทั้งฉีกปีกของนางเองด้วยมือเปล่า บางที...เขาก็อยากเห็นว่า ถ้านางโกรธเขาจริง ๆ ขึ้นมา...จะกัดเขาแรงแค่ไหนกันแน่ในตอนที่ใจนางมีเขาอยู่ภายในนั้นหรือบางทีนางจะยอมให้เขากัดก่อนกันนะ?


ทว่าตอนนี้จางกงกงนิ่งค้างเงียบเสียยิ่งกว่าเงาไม้ที่ทอดแนบลงบนพื้นศาลาในยามบ่าย ใบหน้าของเขาโน้มลงมาเสียจนสามารถสัมผัสลมหายใจอ่อน ๆ ของหลินหยาได้ทุกครั้งที่นางหายใจเข้าออก แม้ดวงตาของนางยังหลับพริ้มแต่ผิวแก้มแดงระเรื่อนั้นกลับยิ่งกระตุ้นบางสิ่งในอกเขาให้ร้อนวูบขึ้น นิ้วเรียวที่แตะอยู่ปลายคางนางนั้นตอนนี้เกร็งแน่นขึ้นเล็กน้อย จางกงกงรู้…รู้ดีว่าเขาควรถอยแต่หัวใจกลับเฆี่ยนตีอย่างบ้าคลั่งราวปีศาจที่ถูกขังมานานกำลังร้องเรียกให้ปลดปล่อย


หนึ่งคืบ…ริมฝีปากของเขาห่างจากนางเพียงแค่หนึ่งคืบ หนึ่งคืบของหายนะ ของสิ่งที่ไม่ควร หนึ่งคืบของสิ่งที่เขา ห้ามทำ หากยังอยากมี ‘หลินหยา’ อยู่ข้างกายต่อไป แต่แล้วแววตาใต้หน้ากากกลับสั่นระริก ความรู้สึกโหวงวาบที่ก่อเกิดขึ้นในอกไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด


แต่เพราะมัน ตื่นเต้น


“เจ้า...ไม่รู้เลยหรือว่าทำกับข้าไว้อย่างไรบ้าง…” เสียงกระซิบที่พ้นออกจากริมฝีปากของเขานั้นต่ำเกินกว่าจะเป็นเสียงของคนที่ควรพูดกับสตรีในยามหลับ เสียงที่ทั้งแผ่วเบา...ทั้งเยียบเย็น ทั้งคล้ายคำวิงวอนและคำสาปแช่งในคราเดียวกัน “เจ้าจูบข้าก่อน…เจ้าทำให้ข้าเฝ้าคิดถึงรอยจูบแผ่ว ๆ ที่ต้นคอในยามหลับตา และตอนนี้เจ้าหลับอยู่ตรงหน้า…เหมือนบอกข้าว่า ข้าทำอะไรกับเจ้าก็ได้…ใช่หรือไม่?” เสียงขบกรามเบา ๆ ดังขึ้นในลำคอ แววตาเขาแดงวาบขึ้นวูบหนึ่งจากแรงอารมณ์ที่เกือบเอ่อล้น


มือข้างที่ยังวางอยู่ที่ปลายคางของหลินหยา…ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นแตะริมฝีปากนางด้วยปลายนิ้วแผ่วเบา เย็นเฉียบและสั่นน้อย ๆ ราวจะระงับความรู้สึกที่เริ่มเกินควบคุม ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น เขาอยากแตะมันด้วยปากของตัวเอง แต่…เขายังห้ามตัวเองได้ "แค่จูบเดียว...แค่จูบเดียว...เจ้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำ" แต่เสียงในหัวอีกด้านกลับกระซิบว่า ‘หรือเจ้าจะให้ตื่นขึ้นมาทันทีที่สัมผัส...ให้ดวงตาคู่นั้นจ้องข้าตอนที่ข้ากำลังทำผิดต่อนางอยู่เต็มสองตา’


จางกงกงสะบัดหน้าเล็กน้อยราวจะดึงตัวเองจากห้วงดำมืด ก่อนที่มือที่แตะริมฝีปากของหลินหยาจะผละออกอย่างรวดเร็วราวกับมันร้อนจัด แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนพิงเสาศาลาหันหลังให้เธอทั้งที่ยังได้ยินเสียงลมหายใจนุ่ม ๆ ของนางอยู่ข้างหลัง ดวงตาใต้หน้ากากนั้นหลุบต่ำเสียงหัวใจในอกยังเต้นไม่หยุด 


“อย่าให้ข้าหลงใหลเจ้าไปมากกว่านี้เลย หลินหยา…” เขาพึมพำ “เพราะหากข้าหลงใหลมากกว่านี้…มันอาจไม่ใช่ความรักเลยก็ได้”


ในยามบ่ายที่ลมร้อนกรุ่นกรายจากทุ่งข้างทางทอดตัวมาสู่ศาลาจื่อเถิงฮวา เงาเถาวัลย์ม่วงพลิ้วไหวเบาบางไม่อาจกันแสงแดดได้ทั้งหมด แสงอ่อนจึงกระทบผิวหน้าของหลินหยาที่หลับใหลอยู่กลางศาลา…ขับให้ใบหน้านวลนั้นขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อยราวดอกท้อที่กำลังจะผลิบาน หญิงสาวพลิกตัวเล็กน้อย มือเรียวเลื่อนขึ้นปัดบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนคล้ายไล่ความร้อนพลางส่งเสียงครางแผ่วเบาราวแมวกำลังงอแง หลับก็ไม่สนิท ตื่นก็ไม่ตื่น เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดที่ขมับด้านขวา


จางกงกงที่พิงเสาศาลาอยู่ก่อนแล้วขยับตัวอย่างเชื่องช้า เงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่รุกล้ำเข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยสีหน้าแปลกประหลาดก่อนที่สายตาจะวกกลับมามองหลินหยาอีกครั้ง "...ร้อนหรือ" เขาพึมพำกับตัวเอง ไม่ได้ถามให้นางตอบแต่เหมือนทดสอบบางอย่างในจิตใจของตน แล้วก็หัวเราะจมูกเบา ๆ “ช่างเถอะ ร้อนก็ให้ร้อนสิ เจ้าเคยเผาใจข้าให้ลุกเป็นไฟยังไง ตอนนี้ก็แค่เจอเพลิงแดดเสียบ้าง...เจ้าจะหนีไปไหนได้”


แม้จะกล่าววาจาเย้ยหยันเช่นนั้นแต่ท่าทางกลับไม่สอดคล้องแม้แต่น้อย มือของเขาขยับช้า ๆ ไปที่แขนเสื้อด้านใน พลิกข้อมือหยิบพัดผ้าไหมสีมืดลายมังกรล่องเมฆเล่มบางออกมา แล้วเขาก็นั่งลงใกล้ร่างที่ยังหลับพริ้มอยู่ตรงหน้า เสียง “ฟึ่บ” เบา ๆ ของพัดกระทบอากาศดังขึ้นช้า ๆ สม่ำเสมอในจังหวะที่น่าหงุดหงิดไม่ใช่เพราะลมมันแรงหรือน้อยเกิน แต่เป็นเพราะ…มันกำลังถูกพัดวีให้กับ นาง


มือเรียวเยือกเย็นของเขานั้นขยับอย่างคล่องแคล่วแต่ ไม่เต็มใจนัก บางครั้งก็หยุดกลางคันคล้ายจะถอนใจ บางครั้งก็หยุดวีไปเสียดื้อ ๆ แล้วมองนางตาขวาง แต่สุดท้ายก็กลับมาวีใหม่ด้วยท่าที เหมือนประชดตัวเอง


"เจ้าไม่ควรจะได้อะไรแบบนี้หรอกนะ...แต่เจ้าได้เสี่ยวหยา" เสียงเขาเบาราวคำสาปหรือบทกลอนแช่งเงียบ ๆ ที่จบลงด้วยสายตาที่ทอดมองผิวนวลที่ยังมีหยาดเหงื่อซึมเบา ๆ จางกงกงยกพัดขึ้นช้า ๆ แล้วก้มลงกระซิบเบาใกล้ใบหูของหลินหยา เสียงเขาช่างอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดแต่หากฟังให้ลึกกลับชวนให้รู้สึกวาบวาบไม่ไว้ใจ “เจ้านี่มัน...เป็นนางปีศาจจริง ๆ …ให้ข้าแตะเจ้าไม่ได้แต่กลับทำให้ข้าอยากทำมากขึ้นทุกที”


แล้วเขาก็ถอนหายใจเหมือนแพ้ เหมือนโมโหตัวเองแต่พัดก็ยังเคลื่อนไหวในมือเขาต่อไปช้า ๆ เนิบ ๆ อย่างอดทน...อย่าง คนที่กำลังกล้ำกลืน ว่าแม้จะรำคาญแค่ไหน ก็เลิกไม่ได้อยู่ดี


เสียงพัดผ้าไหมที่โบกวนเวียนเหนือร่างของหลินหยานั้นทั้งนุ่มนวลและสม่ำเสมอ…เย็นพอให้สบายแต่ไม่แรงจนสะดุ้ง มือของจางกงกงขยับขึ้นลงอย่างมีจังหวะ นัยน์ตาหลังหน้ากากยังจับจ้องใบหน้าของนางไม่ลดละราวกับใช้สายตาสลักลายเส้นทุกเส้นบนใบหน้านั้นลงบนสมองของตน และแล้ว...ในจังหวะที่เงียบสงัดที่สุดของศาลา ขนตาหนาฟูยาวงอนงามสีดำสนิทของหลินหยาก็ขยับกระพริบเล็กน้อย แล้วดวงตาหวานคู่นั้นก็ปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางแสงบ่ายรำไรและลมพัดอ่อน ใบหน้าเธอแดงระเรื่อจากไอแดดและการนอนม้วนตัวอย่างสบาย มือเรียวยกขึ้นปัดไรผมก่อนที่จะมองเห็นภาพตรงหน้าอย่างเลือนราง


ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้า กำลังนั่งเอียงตัวพัดให้นาง ใบหน้าครึ่งล่างของเขาเปื้อนรอยยิ้มแผ่วที่อ่านไม่ออกว่าเยาะหยันเจ้าเล่ห์ หรือกลืนอารมณ์อื่นใดเอาไว้กันแน่ แต่แววตาหลังหน้ากากนั้น…มันจ้องนางแน่นิ่ง จ้องเสียจนเหมือนเขาจะหลุดออกจากโลกใบนี้ไปแล้วและผู้หญิงตรงหน้าคือสิ่งเดียวที่ยังรั้งเขาไว้


"...หืม…อืม?" หลินหยาครางเบา ๆ ขณะกระพริบตาอีกสองสามที เสียงนั้นนุ่มลึกหวานละมุนจากการเพิ่งตื่นนอน ริมฝีปากแดงน้อย ๆ แห้งติดกันแล้วเผยอออกน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว สีหน้าเธอยังงุนงง ดวงตาเปียกฉ่ำแววระยับด้วยละอองน้ำที่ยังไม่มลาย มือข้างหนึ่งยันพื้นขณะที่ผมเผ้าปล่อยยาวหล่นระบายไหล่…เส้นผมบางเส้นแนบแก้ม


ในชั่วพริบตานั้นเอง


มือของจางกงกงหยุดนิ่งพัดในมือร่วงลงกระแทกพื้นศาลาอย่างเงียบงัน ดวงตาใต้หน้ากากของเขาขยายขึ้นนิดหนึ่ง เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกไปชั่วขณะ หลินหยาในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่หญิงสาวที่ดื้อรั้นเฉลียวฉลาดหรือปากกล้าระรานเขาเสมอไป แต่ตอนนี้เธอคือภาพลวงตา…ความฝันซ้อนฝัน…ปีศาจสาวจากตำราโบราณที่มีแต่จะดูดกลืนสติเขาทั้งเป็น 


“...อา...ดูท่าจะเป็นเอามาก” เสียงกระซิบต่ำแทบไม่ออกจากลำคอเขาริมฝีปากหยักยกขึ้นเพียงเล็กน้อย “ตื่นแล้วหรือ เจ้าปีศาจในร่างแม่นางน้อยเสี่ยวหยา” เขานั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีจะถอย หนำซ้ำยังโน้มกายลงมาเล็กน้อย ใช้หลังนิ้วข้างหนึ่งลากจากแนวไรผมที่ห้อยลงริมแก้มจนถึงปลายคางที่เพิ่งเคยวางมือนิ่ง ๆ ไม่กี่อึดใจเมื่อครู่ น้ำเสียงของเขาทั้งเบาและหนาวเย็นราวจะสะกดใจ “เจ้ารู้ตัวไหมว่าใบหน้าแบบนี้น่ะ…ฆ่าคนได้เลยนะ” น้ำเสียงเยือกเย็น แต่ดวงตากลับร้อนระอุจนแทบจะแผดเผาทั้งศาลาให้มอดไหม้ไปพร้อมหัวใจของเขา


หลินหยาปรายตามองเขาอย่างงุนงงตอนที่อีกคนบอกแบบนั้น ทั้งที่สมองยังหมุนช้าอยู่จากการเพิ่งตื่น แสงบ่ายอุ่นส่องลอดร่มเงาเถาวัลย์ที่คลุมอยู่เหนือหลังคาศาลา ขับให้ใบหน้าของชายตรงหน้าเธอดูราวกับภาพวาดลึกลับที่มีชีวิตจริงในความฝันซ้อนฝัน หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นพัดผ้าไหมตกอยู่ข้างตัวเธอ ขณะที่อีกฝ่าย...ยังโน้มตัวอยู่ตรงนั้นจ้องเธอไม่วางตา "ท่าน...มาได้ยังไง..." นางเอ่ยเสียงเบาน้ำเสียงแหบพร่าจากการหลับตากแดด แต่ทว่าแฝงความเคลือบแคลงชัดเจน


จางกงกงในคราบห่าวหมิงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขากลับยังคงมองเธออย่างนั้น…มองเหมือนจะถอดผิวหนังของเธอออกมาอ่าน เขานิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่ควบแน่นในดวงตา "ข้าแค่หลับ...แต่ท่านนี่สิ...อยู่ดีไม่ว่าดีมาพัดวีให้ข้าทำไมกัน?" หลินหยาพูดต่อแต่แววตายังเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจ นิ้วมือเรียวขยับเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะยันตัวลุกหรือไม่แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาก่อนหน้ากลับวนเวียนในหัวเธอเสียก่อน


ปีศาจในร่างข้าหรอ…?


“...ท่านนั่นแหละปีศาจ...ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย...” เธอบ่นพึมพำงัวเงียออกมาในขณะที่พยายามยันกายลุกขึ้นจากพื้นศาลา ข้อมือหนึ่งยันพื้นอีกข้างเลื่อนจับผนังเบา ๆ เพื่อพยุงตัว ใบหน้านวลมีรอยยับจากการนอนแต่กลับยิ่งน่ามองในแววตาของชายผู้สวมหน้ากาก ริมฝีปากแดงเรื่อแย้มเล็ก ๆ อย่างไม่รู้ตัวคล้ายคนยังไม่หลุดจากภวังค์ของฝัน 


เสียงการขยับกายของเขาขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เงาของเขาทอดยาวทาบทับร่างของเธออย่างช้า ๆ ขณะที่นางยังทรุดตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งอยู่เช่นนั้น ใบหน้าของเขาโน้มลงมาต่ำกว่าระดับตา ก่อนที่มือหนึ่งจะยื่นมาช่วยประคองอย่างเงียบงันแต่ไม่ขออนุญาตใด ๆ ทั้งสิ้น “พัดให้ก็ผิด...มองก็ผิด...เรียกเจ้าว่าปีศาจก็ยังผิดอีกหรือเสี่ยวหยา?” เขาเอ่ยช้า ๆ คล้ายยั่วล้อแต่แฝงความทึมทึบในน้ำเสียงนั้น ราวกับเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพาตัวเองกลับมาที่นี่...ทั้งที่รู้ว่ามาแล้วก็ยากจะควบคุมใจตัวเอง


หลินหยาหันขวับ ดวงตายังติดง่วงแต่เริ่มชัดขึ้นจากความรู้สึกบางอย่างในคำพูดและน้ำเสียงนั้น “ก็ใช่น่ะสิ! ท่านมัน…ป่วยจิต!” แล้วก็คว้าแขนเสื้อเขาไว้ยันตัวขึ้นจนได้ สายตาของเธอมองเขาอย่างระแวดระวังปนเหนื่อยใจ


แต่แทนที่จะโต้กลับจางกงกงกลับระบายรอยยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มที่เหมือนคนเพิ่งถูกเด็กสาวที่ตนเองแอบหลงรักด่าตรง ๆ ว่า ‘ป่วยจิต’ แล้วยังรู้สึกว่า...เสียงนั้นน่าฟังนัก “ข้าป่วยจิต? ก็ดีสิ...” เขาเอ่ยเสียงเบาแล้วก้มศีรษะลงมาอีกนิด กระซิบที่ข้างหูนางด้วยน้ำเสียงราวกับจะกลืนกินหัวใจให้ละลาย “งั้นเจ้าก็อย่าเผลอทำให้ข้าคลั่ง...เพราะหากจิตของข้ามันไม่คืนรูปอีกต่อไป เจ้าจะหนีไม่รอดแล้วนะ...เสี่ยวหลินหยา” เสียงสุดท้ายนั้นต่ำลึกเสียจนชื่อของเธอแทบแปรเปลี่ยนเป็นคาถาล่ามโซ่หัวใจ


ในคราแรกหลินหยาอยากจะด่าหัวอีกคนเอาเขาสักทีแต่ทว่านางกลับได้รับกลิ่นอะไรบางอย่างเข้าจมูกก่อนเพราะเขาขยับเข้ามาใกล้นางมากในตอนนี้ กลิ่นบางอย่างที่เหมือนกับกลิ่นของสุรารสเลิศและน้ำหอมของอิสตรี..หลินหยาจึงกรอกตาใส่กับชายหนุ่มตรงหน้านาง รู้ดีว่าเขาไปหอว่านหงเหรินก่อนมาที่นี่ในทุกวัน แต่วันนี้เขาคงจะดื่มสุราไปด้วยและนางก็แทบไม่ต้องถามว่ากลิ่นน้ำหอมที่นางได้กลิ่นนั้นมาจากไหน..


“สนุกดีไหมล่ะ? ที่หอว่านหงเหรินนั้นน่ะ”


จางกงกงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลินหยา ดวงตาที่เคยวาววับด้วยความพึงใจฉับพลันแปรเปลี่ยนไปชั่ววูบหนึ่ง สีหน้านั้นดูคล้ายจะหัวเราะแต่ไม่ขำแม้แต่น้อย หลินหยาหรี่ตาใส่อีกคน มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดฝุ่นตามชายเสื้อคลุมของตนเองอย่างจงใจจะไม่สบตา เขาอุตส่าห์ทำเสียงพร่าแหบหลอนขนาดนั้นตอนกระซิบชื่อเธอข้างหู แต่กลิ่นสุราบาง ๆ ที่คลุ้งลอยตามลมหายใจของเขานั่นแหละทำให้นางแทบจะอยากทิ่มเข่าซัดท้องเขาเสียให้จุก "กลิ่นสุรา กับ...กลิ่นดอกเยว่ฮวาเจือมะลิ...หวานเชียวนักล่ะ" เธอพึมพำเสียงเย็น สายตาเลื่อนมองตั้งแต่ปลายผ้าคลุมไหล่เขาขึ้นไปจนถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งซีก "วันนี้นี้...ข้าคงเป็นแค่แขกประจำศาลาเถิงฮวา ส่วนท่านคงไปเป็นแขกประจำหอว่านหงเหรินสินะ?"


นางยิ้มมุมปากให้แต่ไม่มีความขบขันแม้แต่น้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หากเป็นสุราก็คงแรงพอจะเผาใจให้ไหม้ "สนุกดีไหมล่ะ...มีคนใหม่ให้ลองแทนที่ข้าในหอว่านหงเหรินน่ะ? หรือว่านางให้บริการดีกว่าข้าเสียอีก?" คำถามนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบ ดวงตาของหลินหยามีแววประชดเจือความหมางเมินอย่างชัดเจนบ่าของนางขยับขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะถอนหายใจแต่กลั้นไว้ เส้นผมบางส่วนไหลระคนไปกับสายลมยามเย็น หญิงสาวหมุนตัวเล็กน้อยเพื่อจะเดินออกห่าง ท่าทีเยือกเย็นไม่ต่างจากมีดบางที่เชือดช้า ๆ โดยไม่ต้องลงแรงมาก


แต่จางกงกง...หาได้เป็นเช่นเหยื่อเช่นนั้นไม่ เขาก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งจับหลินหยาให้หันเข้ามาหาเขาเช่นเคยแล้วกระชากความนิ่งของอากาศทันที "ที่หอว่านหงเหรินน่ะหรือ?" เสียงของเขาต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียงไม่มีความขอโทษ ไม่มีความเขินอาย มีเพียงความแหลมคมเยือกเย็นจนแทบสะกิดแผลในใจให้หลินหยาสะดุ้ง


"เจ้าหึงหรือ?" คำถามนั้นมาพร้อมกับเงาที่บดบังแสงอาทิตย์บ่ายเต็มศาลา เขาโน้มตัวลงเล็กน้อยอีกครั้ง เจ้าของหน้ากากครึ่งซีกขยับชิดจนแผ่นหลังของหลินหยาแทบจะปะทะกับเสาไม้ศาลาโดยไม่รู้ตัว "แต่นางไม่ใช่เจ้า เสี่ยวหยา" เขาว่าอย่างราบเรียบ ลมหายใจเป่ารดแนวกรามของนางโดยไม่ตั้งใจหรืออาจตั้งใจมากเกินไปก็ได้ "กลิ่นนั้น...ติดมาจากปลายเสื้อข้าเอง ไม่ใช่บนตัวข้า...อยากพิสูจน์ไหมล่ะ?" 


หลินหยาจ้องเขาตาขวางมือเธอกำแน่นจนเส้นเอ็นขึ้น เขาพูดจาเหมือนคนที่ไม่รู้จักคำว่า 'รู้สึกผิด' และไม่มีทีท่าว่าจะคิดแก้ตัวในแบบที่คนทั่วไปควรทำ หากแต่มากกว่านั้น......เขากลับดูจะเพลิดเพลินกับการเห็นนางหึงหวงมากกว่าที่ควรจะเป็น


หลินหยายืนตัวตรงน้ำเสียงห้วนห้าวทั้งที่ยังขมวดคิ้วหน้านิ่งไม่หลบสายตาคนตรงหน้าแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้หึง ท่านคิดอะไรมาก็ผิดหมด ข้าแค่เหม็นกลิ่นสุราไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำว่าท่านไปคลุกคลีกับใครหรืออิสตรีใดมาบ้าง!” นางพูดกระแทกเสียงในช่วงท้าย ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงแต่ก็ไม่วายปรายตากลับราวกับอยากให้คำพูดของตนเจ็บแสบเสียจนอีกฝ่ายหน้าชาไปเลย


จางกงกงยิ้มมุมปากเบา ๆ เมื่อได้ยินราวกับคนที่ไม่ได้สะเทือนอะไรเลยทั้งสิ้น เขาขยับก้าวเข้าหาอีกนิด ชิดเข้ามาอีกหน่อยจนหลินหยารู้สึกถึงแรงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กระทบแก้มบางของตนอีกครา ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกบดบังด้วยหน้ากากสีดำขลับที่ลายขอบทองสะท้อนแสงตะวันยามเย็นพอดิบพอดี


“ไม่หึง?” เขาทวนเสียงนุ่มคล้ายกระซิบติดหู นัยน์ตาที่มองต่ำลงยังกึ่งกลางลำคอของนางฉายแววราวกับนักล่ากำลังเพลินกับการหยอกเหยื่อที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงเล็บตนเอง “แล้วทำไมหน้าเจ้าตึงนักล่ะ แม่นางไม่หึงทั้งที่คนอื่นเขาลูบแขนข้า ลากข้าไปกินเหล้ารำสุรา เอียงตัวกระซิบคำหวานข้างหูไม่หยุด?”


หลินหยาเบะปากทันทีที่ได้ยินยิ่งคิดภาพตามอารมณ์ยิ่งขุ่นมัวกว่าที่เคย "แล้วท่านจะให้ข้าทำอะไรเล่า? จะให้ดมพิสูจน์หรือยังไง? ข้าไม่ใช่หมานะ!" นางตอบทันควัน น้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ขณะที่มือทั้งสองข้างกำแน่นข้างลำตัว ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งต่อต้านก็ยิ่งตกหลุมพรางแสนสนุกของเขาเข้าเต็มประตู ทว่านั่นแหละ...มันคือสิ่งที่จางกงกงรออยู่


เขาโน้มตัวลงอีกนิดแสร้งกระซิบใกล้จนไรผมของหลินหยาสะบัดไหวตามแรงลมหายใจ แล้วกล่าวด้วยเสียงพร่าและเจือกลิ่นเย้าแหย่ตามแบบฉบับของจงฉางชื่อผู้นี้ “เจ้าจะไม่ดมก็ได้...แต่ถ้าอยากพิสูจน์จริง ๆ...ก็ต้องชิมต่างหาก”


“…ชิม?” หลินหยาเลิกคิ้วทันทีดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนใจถาม “ชิมอะไรของท่าน?”


“ริมฝีปากข้า” เขาตอบโดยไม่รีรอแล้วก็หัวเราะเบา ๆ อย่างเป็นสุข ยามเห็นใบหน้าของนางแทบควันขึ้นหู “กลิ่นน้ำหอมมันติดมาจากริมฝีปากใช่หรือไม่เจ้าถึงได้เข้าใจผิดหนักหนาเช่นนี้?” เขาแสร้งถอนหายใจอย่างเวทนา “ถ้าอย่างนั้นก็ชิมเสียหน่อยจะได้รู้ว่าเป็นกลิ่นของใครกันแน่”


“ทะ…ท่านมันบ้า!” หลินหยาแทบจะกระทืบเท้าลงพื้นแต่เพราะตอนนี้เขาอยู่ใกล้เหลือเกิน เธอเลยทำได้เพียงหรี่ตาใส่แล้วหมุนตัวจะเดินหนีทว่าข้อมือของนางกลับถูกคว้าไว้อีกครั้งเหมือนทุกที จางกงกงไม่ได้รั้งแรงนัก...แต่ทำพอให้หลินหยาหันกลับมามองแล้วกระซิบต่อในน้ำเสียงที่ดึงให้หัวใจเต้นดังเหมือนกลองรบ “ไม่ต้องกลัวไปนะ...ข้าไม่เคยให้ใครชิมก่อนถ้าข้าไม่อยากให้ชิม” คำคำนั้นหล่นลงกลางอากาศราวกับตะปูปักกลางอกหลินหยาทันที


"ข้าบอกว่า….!" หลินหยายังไม่ทันได้สะบัดคำต่อให้จบดี มือของนางก็ยังคงถูกรั้งไว้แน่นแนบแน่นอยู่ในอุ้งมือของบุรุษผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้า ริมฝีปากของเขายังคงแตะแนบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายจะล้อเลียนเสียยิ่งกว่าหยอกเย้า...แต่ดวงตาคู่นั้นตาคมวาวที่มองทะลุถึงความวาบหวิวในอกนางกลับยิ่งทิ่มแทง


"เช่นนั้นพรุ่งนี้" จางกงกงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นปนหยอกเย้า ขณะใช้แรงดึงข้อมือนางให้นางถลาเข้ามาใกล้เขาอีกก้าว ใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน “ลองไปพิสูจน์ที่หอว่านหงเหรินด้วยตาตัวเองดีหรือไม่ ว่ามีสตรีใด 'มายุ่งเกี่ยวกับข้า' จริงหรือเปล่า?” หลินหยาเบิกตาเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันตอบ เขาก็พูดต่อเสียแล้ว "อย่ากังวล เถ้าแก่หลิวไค่ไม่แตะต้องเจ้าแน่นอน ไม่ว่าจะหอว่านหงเหรินหรือโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ หากเจ้าจะเดินย่างกรายเข้าไปข้าก็จัดการได้ดั่งลัดนิ้วมือ"


“…จะพูดให้ฟังดูดีทำไม ท่านมันป่วยจิต!” หลินหยาถลึงตาใส่ สะบัดข้อมืออย่างแรง แม้ไม่หลุดออกแต่เธอก็ยังเงื้อมืออีกข้างขึ้นเหมือนจะฟาดมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด “จะลากข้าไปเหวอะไรอีก พรุ่งนี้จะไปหอว่านหงเหรินงั้นเรอะ!? เอาเวลานั้นไปตามหาท่านจางทังดีกว่าไม่ใช่รึ!”


จางกงกงยังคงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาขยับหน้าก้มลงต่ำ กระซิบเบา ๆ ข้างหูของหลินหยาอย่างอ้อยอิ่งเสียงพร่าแหบที่เปื้อนยิ้มราวจะกัดลึกเข้าไปถึงเส้นประสาท "อยากให้ข้าตามหาใคร เจ้าก็ต้อง 'อยู่ให้จับตา' ให้ข้าทำงานสิแม่นางน้อย ข้าจะได้มีแรงใจ...ว่าเจ้าจะไม่หายไปพร้อมชายอื่นที่ไหนอีก" เขาพูดอย่างนั้นก่อนจะปล่อยข้อมือนางลงในที่สุด แต่ไม่ได้ถอยออก เขากลับยื่นมือข้างหนึ่งไล้เบา ๆ ที่แขนเสื้อของหลินหยาราวกับจะลบลายน้ำหอมที่อาจจะติดอยู่จากหอที่ตนเคยเหยียบย่าง ก่อนกระซิบชิดข้างแก้ม "อีกอย่าง...จะไปหอว่านหงเหรินกันทั้งที หากมีแม่นางหลินหยาผู้เคยเป็นขวัญใจของที่นั่นร่วมด้วยข้าว่าน่าสนุกดีมิใช่หรือ?"


"ข้าอยากจะเอาไม้หน้าสามฟาดหัวท่านให้หน้าแหก!" หลินหยาว่าเสียงลอดไรฟัน หน้าขึ้นสีเรื่อระคนโกรธ แต่คนตรงหน้าไม่ได้แสดงอาการเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากเงาสะท้อนของรอยยิ้มรื่นรมย์ในดวงตา...เหมือนผู้ชายโรคจิตที่กำลังสนุกกับการลอบมองแมวตัวน้อยดิ้นกระเส่าในกรงและดูท่าเขา...ก็กำลังอยากขังแมวตัวนี้ไว้ในกรงของเขาเองเสียด้วยสิ


หลินหยากรอกตาใส่อีกฝ่ายช่วงนี้แค่คุยกับเขานางก็อารมณ์ขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าจะอารมณ์ขึ้นแบบดี ๆ นะ อารมณ์ขึ้นแล้วกำหมัดน่ะสิ นางเลยเบ้ปาก "แบล่!" หลินหยาว่าแล้วแลบลิ้นใส่พร้อมกอดอกสะบัดหน้าหนี ริมฝีปากน้อย ๆ นั้นเบ้ปากราวจะบอกว่าแค่ยืนใกล้ก็จะสำลักอากาศเสียให้ได้ “พรุ่งนี้ข้าจะตามไปดูก็เพื่อถามเรื่องท่านจางทังหรอกนะ ไม่ใช่ว่าอยากเจอหน้าเจ้าสักหน่อย อย่า เข้า ใจ ผิด!” หญิงสาวกล่าวเสียงแข็งย้ำทุกคำอย่างคนที่ทั้งโกรธทั้งขัดใจแต่กลับดูเหมือนลูกแมวขู่ฟ่อใส่พญาเสือเสียมากกว่า


ขณะที่เจ้าตัวกำลังจะหันหลังเดินออกไปสีหน้าท่าทางนั้นก็ฉายชัดว่า ‘จะไปให้พ้น ๆ หน้าซะที’ อย่างไม่ปิดบัง แต่ไอ้คนตรงหน้าน่ะสิ คนที่ควรจะสะท้านกลัว...กลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคออีกครั้ง ทั้งที่ยืนพิงเสาศาลาอยู่ตามเดิม ราวกับไม่มีอะไรใดจะทำให้เขาสะเทือนใจได้แม้แต่นิด


"หืม..." จางกงกงในคราบห่าวหมิงขยับปลายนิ้วเกลี่ยพัดที่ยังถืออยู่ช้า ๆ คล้ายกำลังวาดลมตามจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นเร่งจากความบันเทิงมากกว่าความโกรธ “เจ้าจะไปหาจวินจู่หรงเล่อที่จวนหวยหนานหวางงั้นหรือ? หรือรอบนี้จะไปเดินเล่นกันที่ตลาดเหมือนทุกที?” ดวงตาหลังหน้ากากที่เคยสงบเย็นฉ่ำชั่วพริบตากลับสะท้อนแสงวาบไม่ใช่แสงแห่งความหึงหวงอย่างเปิดเผย แต่เป็นความเยือกเย็นราววังน้ำวนที่พร้อมกลืนกินใครก็ตามที่หลินหยาหันหน้าไปหา "ดี" เขาพึมพำตามหลังเสียงเบา “อย่าลืมกลับเร็ว ๆ แล้วกัน ข้าจะได้ฝันถึงเจ้าตอนกลางคืนโดยไม่ต้องค้างคาใจว่าถูกใครแย่งไปทั้งตัว...ทั้งหัวใจ”


คำท้ายพร่าแผ่วแต่หลินหยาที่ได้ยินกลับชะงักเท้าไปครึ่งก้าว หันขวับกลับมาเบิกตาใส่เหมือนจะตะโกนถาม "เมื่อกี้พูดอะไรนะ!" นางเปิดปากและพัดในมือเขาก็ถูกยกขึ้นมากั้นครึ่งล่างใบหน้าไว้เสียแล้ว มีเพียงดวงตาคมใต้หน้ากากที่มองตรงกลับมาอย่างไม่หลบเลี่ยง "เจอกันพรุ่งนี้ แม่นางน้อย" เสียงหัวเราะแผ่วแทรกมาอีกครั้งในลมที่ผ่านระหว่างใบพัด "ข้าเฝ้ารออยู่ที่เดิม...พร้อม ‘คำตอบ’ บางอย่างที่เจ้าควรเตรียมมาให้ข้า" หลินหยาถลึงตาใส่อีกครั้ง ก่อนจะหันหลังสะบัดชายเสื้อจากไป ทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่สะบัดเหมือนจะฟาดอารมณ์ปะทะลมยามเย็น แต่ถึงจะเดินจากไปไกลแค่ไหน เสียงกระซิบสุดท้ายของใครบางคนก็ดูเหมือนจะไล่ตามมาติด ๆ...คล้ายจะกระซิบในใจไม่ยอมให้ลืม


"จะกลับไปหาสหายรักหรือจะหนีข้าไปจากใจเจ้ากันแน่...เสี่ยวหยา"



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อ สุขใจ ผปค สุขใจ


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


(เต็มสักที ปลด 10 ดวงโว้ยยย)


แสดงความคิดเห็น

หัวใจตันกับจางกงกงแล้ว รอยืนยันสิทธิ์ว่าหัวใจสิบดวง ตอนนี้ 9.999  โพสต์ 2025-7-20 13:10
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 45 โพสต์ 2025-7-20 13:09
โพสต์ 126753 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 08:36
โพสต์ 126,753 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 08:36
โพสต์ 126,753 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 08:36
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 22 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


ยามเซินยามนี้ฟ้าฉางอันเริ่มคลี่ม่านสีทองอ่อนอาบแสงอาทิตย์บางเบาทับยอดเถาวัลย์ม่วงที่เลื้อยพันเสาศาลาเงียบสงบแห่งนั้น ลมจากหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือพัดมาช้า ๆ หอบกลิ่นดอกไม้ป่าและไอดินชื้นจาง ๆ มารวมกันที่ศาลาจื่อเถิงฮวา สถานที่ที่คล้ายจะกลายเป็นจุดนัดพบประจำระหว่างแม่นางจอมดื้อกับบุรุษผู้สวมหน้ากากลึกลับ เสียงฝีเท้าของหญิงสาวเบาแต่แน่วแน่ นางเดินมาในชุดผ้าฝ้ายบางเบา สะพายห่อยาผูกเชือกไว้แนบหลัง กวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วลงนั่งตรงมุมศาลาประจำของตนราวกับจะประกาศว่าวันนี้จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าใครคิดจะลากนางเข้าห้องอีกรอบ...คิดใหม่ได้เลย


หลินหยาเอนตัวพิงเสาของศาลา มือข้างหนึ่งจับขวดน้ำชาส่วนอีกข้างแกว่งขาไปมาอย่างคนไม่คิดอะไร แต่ดวงตากลับจับจ้องแนวต้นไม้ฝั่งที่เป็นเส้นทางที่เขามักจะเดินมา...หรือโผล่มาเงียบ ๆ เหมือนภูติผีเสียมากกว่า “อยู่ที่โล่งแบบนี้แหละปลอดภัยกว่าเยอะ!” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แล้วหยิบผลไม้ลูกท้อเปรี้ยวหวานออกจากห่อกระดาษมากัดอย่างอารมณ์ดี แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจว่าตัวเองมาเร็วกว่าที่นัดไว้ครึ่งชั่วยาม


"จะได้ไม่โดนจูบไม่บอกกล่าวอีกน่ารำคาญที่สุด..." เธอบ่นฟึดฟัดเบา ๆ แก้มพองหน่อย ๆ อย่างคนกำลังขัดใจ พร้อมหรี่ตามองไปรอบศาลาอย่างระวัง แต่เธอก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเขา…ไม่ใช่คนที่จะยอมให้เป้าหมายของเขาหนีรอดไปได้ง่าย ๆ ต่อให้จะยกศาลานี้ไปไว้กลางตลาดก็เถอะ ต่อให้จะมีหมื่นคนผ่านไปมาทั้งกลางวันแสก ๆ...เขาก็จะหาวิธี ‘แตะ’ ใจเธอได้เสมอในแบบของเขาเอง


นั่นแหละที่น่ากลัว


แต่ก็…แปลกดีที่เธอยังมาอยู่ตรงนี้อีกแล้ว แม้ปากจะด่าในใจไปพันคำว่าน่ารำคาญ ขี้หึง เอาแต่ใจ ขันทีโรคจิต! แต่สุดท้ายก็นั่งรอเขาอยู่ดีไม่รู้ตัวเลยว่านิ้วตัวเองเผลอแตะเศษผ้าด้านข้างด้วยซ้ำ


เสียงฝีเท้าเงียบเชียบแผ่วเบาแต่เฉียบคม ราวกับเจ้าของนั้นไม่ได้เดิน แต่แค่ปรากฏตัวมาเฉย ๆ และหลินหยาก็รู้ทันทีว่าเขามาแล้ว ไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ได้จากแรงกดดันประหลาดที่แผ่คลุมศาลา ราวกับมีลมหนาวแล่นผ่านกลางฤดูร้อน ท่านชายห่าวหมิงในชุดคลุมดำสนิทดั่งหมึกจีน บ่ากว้างดั่งพยัคฆ์ที่ล้อมกรอบด้วยเส้นแพร และหน้ากากครึ่งหน้าที่บดบังเพียงบางส่วนของใบหน้า มิอาจซ่อนแววตาที่คมราวกระบี่เฉือนแสงแดดในยามบ่ายนั้นได้เลย ดวงตาคู่นั้นตรงเข้าจ้องคนที่นั่งกอดอกพองลมอย่างดื้อรั้น ใต้ม่านผมหล่นระใบหูยังเปียกน้ำเล็กน้อยจากเหงื่อจากการเดินทางมาแมวเปียกน้ำที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตีก้นหรือจะลูบหัวดี


หลินหยาขยับตัวน้อย ๆ สะบัดผ้าคลุมแขนหนาอย่างงอน ๆ พร้อมเสียงพ่นลมหายใจชัดเจนเกินจำเป็น ไม่สบตา ไม่ยกมือไหว้ ไม่เอ่ยทัก ไม่พูดก็เท่ากับด่าเขาแล้ว เสื้อผ้าของนางวันนี้ดูหนากว่าทุกวัน ขลิบคอปิดจนถึงใต้คาง แขนยาวคลุมเลยข้อมือแม้จะร้อนอบอ้าวนัก และหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ารอบคอขาวของนางมีผ้าพันเล็ก ๆ ซ้อนอีกชั้นด้วยราวกับตั้งใจปิดซ่อนบางสิ่งไม่ให้สายตาของโลกได้เห็น


ซึ่งเขารู้ดีว่ามันคืออะไร


ร่องรอยที่เขาทิ้งไว้เมื่อวานรอยครอบครอง รอยอารมณ์ รอยที่นางเบี่ยงหน้าหลบตอนเขาเผลอเลื่อนมือเข้าไปไล้ปลายนิ้วเมื่อวาน “หืม...ชุดใหม่ดูดีนะเสี่ยวหยา” เสียงเขาเอ่ยช้า ๆ ต่ำลึก แต่มีแววหัวเราะราง ๆ ในลำคอ


หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แล้วเลิกคิ้ว กอดอกแน่นกว่าเดิม “ดูดีแน่นอน เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่เว้า ไม่เวิ่น ไม่เผยอะไรที่ไม่ควรเผยให้คนลามกบางคนมองซ้ำ!” เสียงของนางสูงขึ้นนิดหน่อยตอนพูดคำว่า ‘ลามก’ พร้อมเหล่มาแรง ๆ 


จางกงกงเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ดวงตายังคงจ้องนางไม่วาง ยิ่งเห็นสีหน้าบูดบึ้ง กับการพองลมกอดอกแบบนั้นแล้ว มุมปากเขากลับค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโลกปรากฏขึ้น "แล้ววันนี้ไม่ใส่ผ้าคลุมหน้ามาด้วยรึ...น่าชมที่เจ้ากล้าเผชิญหน้าข้าตรง ๆ ทั้งที่ยังโกรธอยู่นัก" เสียงเขานุ่มลงเล็กน้อยแต่เจตนาในคำถามชัดเจน เขากำลังยั่วกำลังทดสอบนาง


“เผชิญหน้าก็แค่เผชิญหน้า ไม่ได้แปลว่าต้อง ‘ใจอ่อน’ สักหน่อยนิ?” หลินหยาตอกกลับพร้อมเบือนหน้าหนี “แล้วก็ไม่ใช่กล้า...แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่มีทางกล้าทำอะไรบ้า ๆ กลางที่แจ้งนี่แน่!”


“...แน่ใจ?”


เสียงทุ้มของเขาลดระดับลงไปอีกนิดราวกับเป็นเสียงกระซิบผ่านสายลม ดวงตาภายใต้หน้ากากกวาดมองไปตามช่วงคอที่มีผ้าคลุมปิดอยู่แผ่ว ๆ สีหน้าเขานิ่ง...แต่นัยน์ตานั้นราวกับจะบอกว่า หากคนที่กล้าทำรอยคือเขาต่อให้ที่นี่เป็นกลางตลาดเขาก็อาจจะ…หลินหยาชะงักสบตาเขาแวบหนึ่งก่อนจะรีบหันไปอีกทาง ใบหน้าขึ้นสีอย่างไม่รู้ตัว เธอกอดอกแน่นกว่าเดิม สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างจะกลืนไฟในใจลงไป


“อย่าทำหน้าแบบนั้น...” เสียงเขาลดลง นุ่มอย่างแปลกประหลาด ราวกับจะปลอบแต่ก็ยังมีบางอย่างลึกลับซ่อนอยู่ “เจ้าทำให้ข้าอยาก ‘ลงโทษ’...ที่เจ้าดื้อเกินไป...นะเสี่ยวหยา”


เงียบ เงียบ และ เงียบ


หลินหยาหยิบผลท้อขึ้นมากัดคำโต พลางพูดทั้งที่ปากเต็มไปด้วยรสเปรี้ยวหวาน “ถ้าท่านทำ...ข้าจะร้องลั่นศาลาให้คนแถบนี้เข้าใจว่าท่านชายห่าวหมิงข่มเหงสตรีในที่แจ้ง!” จางกงกงหลุดหัวเราะน้อย ๆ ดวงตายังไม่คลายประกายคุกกรุ่นแต่ดูจะอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย “ถ้าเช่นนั้น...ข้าคงต้องหาวิธี ‘ลงโทษ’ เจ้าในแบบที่ไม่มีใครได้ยินเสียงแล้วกระมัง...แมวน้อย” เสียงของเขาหวานเย็น และเต็มไปด้วยความตั้งใจร้ายที่ห่มคลุมด้วยเสน่หาและนั่นแหละ...ที่ทำให้หลินหยาเริ่มรู้สึกหนาวแม้แดดกำลังส่องผ่านช่องไม้เถาวัลย์ แมวน้อยของเขา...กำลังจนมุมเข้าไปทุกทีแล้วหรือเปล่า?


"ข้าแหกปากเร็วนะ ดังด้วย" หลินหยาพูดพลางเบิกตาเล็กน้อยมือยกขึ้นกอดอกแน่นกว่าเดิม ริมฝีปากเชิดสูงด้วยท่าทีหยิ่งในแบบแมวน้อยขู่ฟ่อ "ท่านไม่มีทางหาอะไรมายัดปากข้าได้หรอก...ยกเว้นแต่ว่ามันจะเป็นของกินอร่อยน่ะ!" คำพูดนั้นแทนที่จะหยุดรอยยิ้มของจางกงกงกลับยิ่งทำให้ริมฝีปากใต้หน้ากากนั่นแย้มกว้างขึ้น ดวงตาสีเข้มทอแววบางอย่างที่แสนจะ...อันตราย ราวกับเขากำลังเพลิดเพลินกับเกมยั่วเย้าแมวเปียกน้อยตรงหน้า


เขาขยับกายเล็กน้อยท่วงท่าสงบแต่กลับทำให้บรรยากาศรอบศาลาเหมือนจะเย็นลงกะทันหัน ขณะที่เสียงทุ้มหยอกเย้าเอ่ยอย่างเนิบนาบและเจือความเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ "เช่นนั้น...จูบของข้าล่ะ ถือว่าอร่อยไหม?" เสียงของเขาหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อช้า ๆ "เพราะข้าให้เจ้าเท่าไหร่...เจ้าก็ไม่เคยขัดขืนเลยสักครั้ง" พูดพลางโน้มตัวมาข้างหน้าเพียงเล็กน้อย แค่พอให้เงาใบหน้าของเขาทาบทับท่าทีเขินปนโมโหของหญิงสาวตรงหน้าทว่าคำพูดของเขายังไม่ทันจางหายไปดี


ผัวะะะ!


"ไอ้ลามกเอ๊ยยยยย!!!" เสียงหลินหยากรีดร้องพร้อมกับลูกท้อสุกที่เธอคว้าได้จากห่อผ้าตรงหน้าถูกปาเข้าเต็มหน้ากากเขาอย่างแม่นยำชนิดไม่ต้องซ้อม ลูกท้อกระเด็นแล้วหล่นลงพื้นเป็นเสียงตุ้บ พร้อมคราบผลไม้เลอะเปรอะบนหน้ากากของเขาอย่างหมดจด ขณะที่เจ้าตัวแมวเจ้าของมือปานั้นนั่งสะบัดหน้าหนีอย่างงอนง้ำ ปากเบะนิด ๆ แต่อยู่ในระดับที่น่าฟัดมากกว่าน่ากลัว


ส่วนจางกงกงนั้นชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะยกมือขึ้นปาดเนื้อผลไม้ช้า ๆ จากขอบหน้ากากลงปลายนิ้ว เขาเงียบ...เงียบเสียจนรู้สึกว่าท้องฟ้ายามเย็นก็เงียบตาม นิ้วเรียวยกขึ้นแตะปลายลิ้นแผ่วเบาลิ้มรสของลูกท้อที่เปื้อนอยู่ด้วยสีหน้าเหมือนกำลังประเมินรสชาติอย่างจริงจังก่อนจะคลี่ยิ้ม “หวานกว่าที่คิด...” เขาเอ่ยเบา ๆ พร้อมแววตาไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย “...แต่อยากรู้ว่าหวานเท่าเจ้าไหม คงต้องชิมโดยตรงสักหน่อย…”


หลินหยาหันควับ ยกผลไม้ขึ้นทันทีราวกับจะปาทั้งชุดให้เขาใหม่อีกรอบ “ข้าจะตบปากท่านให้คว้ำจะได้เลิกพูดลามก!”


“งั้นข้าควรพูดด้วย ‘ปาก’ อย่างเดียว...หรือใช้ ‘อย่างอื่น’ บอกความรู้สึกดี?” น้ำเสียงเย็นเยียบและเอาแต่ใจเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยแววล้อเลียนและความรื่นรมย์เหมือนคนเพิ่งถูกแมวข่วนหน้าแล้วยังหัวเราะได้ “ตบจริงแน่! ข้าเตือนแล้วนะ!” หลินหยาเริ่มหน้าแดงแต่ไม่ใช่เพราะอาย...เพราะโมโหจนเลือดพุ่งขึ้นหัวแทน! ทว่าแม้เธอจะฟึดฟัดปานใด แต่จางกงกงก็เพียงเอนหลังพิงเสาศาลาเงียบ ๆ พลางมองนางราวกับพึงใจในอารมณ์ฉุนเฉียวของนางมากกว่าทุกสิ่ง เหมือนแมวขู่ที่ขนฟูแล้วน่ากอดยิ่งขึ้นในสายตาคนโรคจิต


และแน่นอน...นี่แค่เริ่มต้นของบ่ายนี้เท่านั้น


หลินหยาที่เห็นอีกคนก็หน้างอใส่ ไม่อยู่แล้วได้ไหม? แต่แล้วจางกงกงเลยถามราวกับเป็นการเริ่มเรื่องที่เขานั้นอยากรู้ หรืออาจจะรู้อยู่แล้ว “วันนี้เจ้าได้ให้ใครแตะกายบ้างไหมเสี่ยวหยา” หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักแล้วหันหน้าหนีหลบตา จางกงกงนิ่งงันไปชั่ววินาทีดวงตาภายใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นทอแสงเยียบเย็นขึ้นมาทันควันเหมือนหมึกดำแผ่คลุมผิวน้ำ ไม่ต้องให้หลินหยาพูดอะไร เขา ‘รู้’ อยู่แล้ว รู้จากสีหน้าที่เบือนหนี รู้จากดวงตาคู่งามที่ไม่กล้าสบตรง ๆ และรู้จากสัญชาตญาณดิบที่พึ่งพาได้ของผู้ซ่อนอารมณ์เก่งเกินมนุษย์


เขาขยับกายเล็กน้อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่แรงกดดันรอบศาลากลับเหมือนถูกบดทับลงด้วยภูผาแกร่งที่เคลื่อนคล้อยเข้าหาแมวตัวน้อย เสียงเย็นเรียบเอ่ยด้วยความมั่นใจอย่างสงบ...แต่น่าหวาดหวั่นถึงขีดสุด "ใครแตะตัวเจ้า?" ไม่ใช่คำถามธรรมดา...มันคือคำขู่ หลินหยายังไม่ตอบเธอกัดปากแน่น ลมหายใจติดขัดคล้ายจะพูดแล้วไม่พูด “แม้แต่คำโกหกเจ้า...ก็อ่อนหัด” เขาว่าช้า ๆ แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้พอให้เสียงทุ้มพร่ากระซิบถึงหลังหู “มีคนลูบหัวเจ้า...ใช่ไหมเสี่ยวหยา?” หลินหยายังเงียบ “จับแก้มเจ้าด้วยหรอ…?” เสียงที่ตามมานั้นนุ่มราวขนนก...แต่เจ็บแสบราวปลายมีดกรีดผิว “เขาแตะต้องเจ้า...ในขณะที่ข้าทนเกือบตายอยู่ตรงนี้งั้นรึ?”


นางจะขยับตัวหนีก็ไม่ทันเพราะข้อมือข้างหนึ่งของเธอถูกเขาคว้าไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่บีบแรง...แต่ความรู้สึกกลับเหมือนโดนตรึงอยู่กับกุญแจมือที่มองไม่เห็น “เหตุผล?” เขาถาม...ทั้งที่รู้


หลินหยาพยายามตั้งสติก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดัง “โอ๊ยย เขาแค่หาข้าวมาให้ข้ากินเพราะเมื่อวานข้าสำรอกยาขมออกมาตอนกินยาบรรเทาอาการพิษเท่านั้นเอง เรื่องลูบหัวก็ลูบหัวเหมือนลูกเท่านั้นแหละน่าท่านก็” จางกงกงไม่ขยับไม่พูดต่อไม่แม้แต่กระพริบตา ราวกับกำลังหักห้ามบางอย่างอยู่ภายใน “อย่าหึงนะ...” หลินหยารีบบอก “มันไม่ใช่แบบนั้นเลยจริง ๆ ข้าก็ยังอยู่ตรงนี้กับท่านไง” ทว่าเขากลับกระซิบเบาเสียยิ่งกว่าเสียงลมหายใจ “แล้ว...เหตุใดจึงไม่ผลักมือมันออก?” 


หลินหยาเริ่มหน้าเจื่อน “ก็ข้า...ข้า...”


“หรือเพราะเจ้ารู้สึกปลอดภัยกับมัน?” เขาถามเสียงเรียบแฝงบางสิ่งที่เหมือนขำแต่ไม่ขำเลยแม้แต่น้อย


“ไม่ใช่แบบนั้น!” หลินหยาลนลาน “ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยจริง ๆ!”


จางกงกงหัวเราะ...เบา...ต่ำ...แต่เหมือนคำรามของอสรพิษในโพรง แล้วเขาก็โน้มตัวเข้ามาจนชิดเสียจนปลายจมูกเกือบแตะแก้มนาง ดวงตาคู่นั้นเรืองแสงวาวในเงาเถาวัลย์ราวกับพญาเสือที่พยายามไม่ขยุ้มเหยื่อของตนทั้งเป็น "เจ้ารู้หรือไม่...ความทรมานของข้าที่ต้องนั่งทำงานอยู่ทั้งคืน...โดยไม่รู้ว่าแมวของข้าถูกใครลูบขนบ้าง?" มือของเขายกขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ นิ้วโป้งไล้ช้า ๆ ราวกับจะลบคราบของผู้อื่นออกไป แม้ในความจริงไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย "ต่อไป...ขอให้จำไว้นะ เสี่ยวหยา" เขากระซิบที่ข้างแก้มด้วยเสียงที่อ่อนโยนอย่างน่าขนลุก “ไม่ว่าผู้อื่นจะแตะเจ้าด้วยเหตุผลใด...ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่...สิ่งนั้นก็เป็นการ ‘ล่วงเกิน’ ข้าแล้วทั้งสิ้น”


หลินหยาขนลุกเกรียวขึ้นทั้งแผ่นหลัง เธอไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของเขา หรือเพราะสัมผัสเย็นชืดที่แล่นผ่านปลายนิ้วของเขาซึ่งยังไม่ยอมผละออกจากแก้มเธอ หลินหยามองอีกคนที่เงียบหลังจากพูดมือยังถูกคว้าแก้มก็โดนลูบอยู่ดวงตาก็โดนมอง กำลังคิดว่าทำยังไงให้คนตรงหน้าไม่อารมณ์ร้อน เธอเข้าใจว่าเขาหวง แต่ก็...โอ้ย...หญิงสาวมองหน้าเขาแล้วยกมือข้างที่ว่างทาบมือเขาที่ที่จับแก้มเธอแทนแล้วจับมันออก แล้วเลือกที่จะทำบางสิ่ง


จางกงกงแทบไม่ได้ตั้งตัวไม่ใช่เพราะหลินหยาดึงมือเขาออก แต่เพราะสิ่งที่เธอทำหลังจากนั้นคือริมฝีปากแดงระเรื่อของนางแตะลงบนปลายนิ้วเรียวยาวของเขาแผ่วเบาราวขนนกปะทะสายลม ขณะมือเล็ก ๆ ของนางประคองปลายนิ้วเขาไว้ในท่าทีที่ไม่ประสาแต่กล้าหาญ มันไม่ใช่จูบของหญิงสาวที่ยั่วยวน ไม่ใช่การท้าทายของสาวเจ้าเล่ห์ แต่มันคือการประนีประนอมของแมวขนฟูตัวน้อยที่กลัวเสือแต่ไม่อยากหนี มันอ่อนโยน ละเมียด และบ้าบอจนเขา...หลุดจากบท


ดวงตาคู่คมหลังหน้ากากนั้นกระตุกวูบจากเยียบเย็นกลายเป็นตกตะลึงในพริบตา มือที่เคยแน่นกลับค่อย ๆ คลายช้า ๆ เหมือนคนชะงักขณะร่ายคาถาแล้วโดนแมวตบหน้าสะบัด เขารู้ว่าตัวเองควรยิ้ม ยิ้มแบบน่ากลัว ยิ้มแบบพอใจ ยิ้มแบบเสือได้ของโปรดแต่ทำไมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นกลับเป็น...อะไรบางอย่างที่อ่อนลงนิดนึง...นิดเดียวก็ยังดี


แล้วเมื่อหลินหยารีบหันหน้าหนี หน้าแดงซ่านยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกแช่พริกแห้ง ราวกับไปกลิ้งอยู่ในครัวของหอว่านหงเหริน เขาก็… “...เจ้านี่...มันน่าจับขังไว้ในห้องข้าสักเดือนนัก” จางกงกงกระซิบเสียงพร่าเย็น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่คำขู่เอาชีวิต...หากเป็นคำขู่...เอาหัวใจ เขายกมือขึ้นอีกข้าง แตะที่ปลายจมูกของแมวน้อยที่พ่นความร้อนออกมาราวหม้อไฟ "ข้าควรจะโมโห" เขาว่าช้า ๆ ดวงตาคมทอดมองเสี้ยวหน้างดงามที่ยังเบือนหลบ “ควรกระชากเจ้าเข้าอกแล้วสั่งสอนเสียให้เข็ด...ใช่สิ” มือเขาวางลงบนไหล่นางช้า ๆ


"แต่ข้า..." เขาชะงักดวงตาเรืองแสงด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ความคลั่ง แต่ใกล้เคียงความหลงละเมอมากกว่า "ข้ากลับอยากกอดเจ้าจนตัวเจ็บไปหมดทั้งอกนี่...เพียงเพราะจูบนั้นของเจ้า" เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับตัวเองกลายเป็นคนโง่ที่สุดในใต้หล้า แมวตัวนี้มันเล่นอะไรของมัน...


จางกงกงเลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีกนิด ดึงหลินหยาให้เอียงตัวกลับมาเผชิญหน้า เสี้ยววินาทีนั้นปลายนิ้วของเขายังรู้สึกร้อนไปหมด...ไม่ใช่เพราะแสงแดดยามเซิน แต่เพราะรอยสัมผัสนั้นยังไม่เลือนหาย “เสี่ยวหยา…” เขากระซิบ “อย่าให้ข้าหลงมากไปกว่านี้เลย” เพราะตอนนี้เขาไม่แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่รู้สึก...มันยังเป็นเพียงความต้องการเป็นเจ้าของหรือมันกำลังกลายเป็นอะไรที่...ร้ายแรงกว่านั้น


หลินหยามองหน้าอีกคนตอนที่ตัวเองดึงกลับ เธอเลยยู่หน้าใส่แล้วถาม “แล้วท่านหายโกรธหรือยัง?” จางกงกงยังคงนั่งเงียบอยู่ตรงนั้นจ้องมองใบหน้าน่ารักที่ยู่ใส่เขาอย่างไม่พอใจแต่แฝงแววประหม่านิด ๆ คำถามที่นางถามนั้นเหมือนแมวตัวน้อยที่ใช้หางสะบัดแก้มเสือแล้วก็มานอนกลิ้งตาแป๋วถามว่า “ไม่กัดนะ?”


"ไม่ทำมากกว่านี้แล้วนะ" ประโยคที่นางเติมท้ายเหมือนคำสัญญาที่ไม่มีใครรับประกันว่าจะทำตามได้ แต่เขากลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะแปล ทว่าแผ่วลึกลงไปในอกจนรู้สึกเย็นวาบ…และร้อนวาบในคราเดียว ดวงตาคมใต้หน้ากากหลุบลงต่ำ พลางไล่สายตาไปยังริมฝีปากของหลินหยา ก่อนจะวกกลับขึ้นมา “หายโกรธหรือยังงั้นหรือ?” เขาทวนคำ คล้ายจะไตร่ตรอง แล้วพลันเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนกำลังตอบคำถาม หากแต่คล้ายพึมพำให้ตัวเองฟัง


"เจ้าทำให้ข้า...ฆ่าคนในหอว่านหงเหรินไปห้าศพ เจ้าทำให้ข้าต้องอดกลั้นทั้งคืน มิอาจหลับ...เพราะกลัวว่าผู้ใดจะแตะกายเจ้าอีก" เขาหยุดประโยคนั้นไว้…ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วขยับกายช้า ๆ เข้ามาใกล้อีกเพียงครึ่งฝ่ามือ จนใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจอุ่น "...แล้วเจ้าคิดว่า...ข้าจะหายโกรธง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?" รอยยิ้มของจางกงกงผุดขึ้นที่มุมปากบางใต้หน้ากาก มันไม่ใช่รอยยิ้มของผู้ให้อภัย มันไม่ใช่รอยยิ้มของคนใจดี มันคือรอยยิ้มของผู้ควบคุมไฟที่กำลังแผดเผาตนเองอย่างสงบ และกำลังตัดสินใจว่าจะปล่อยเปลวเพลิงนั้นออกไปหรือแค่ให้มันกรุ่นอยู่ในอกต่อไป แต่มือของเขากลับเอื้อมขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ข้างแก้มนางอย่างอ่อนโยนผิดกับถ้อยคำที่พูด “ข้าไม่หายโกรธ...แต่ข้าจะไม่เฆี่ยนเจ้าในวันนี้” เขากระซิบเบา ๆ ดวงตาทอดมองตรงราวจะสั่งจำ “เพราะตอนนี้เจ้ากำลังน่ารักเกินกว่าจะลงโทษ”


เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบชิดข้างหูนางด้วยเสียงที่เยียบเย็นปนหวานราวน้ำผึ้งผสมยาพิษ “แต่ครั้งหน้า หากมีใครแตะต้องเจ้าอีกแม้แต่ปลายนิ้ว...ข้าจะตัดมัน แล้วส่งมาให้าเจ้าเก็บไว้ดูต่างหน้า ว่าราคาของการ ‘ไม่รู้จักรักษาตัว’ นั้นสูงเพียงใด” แล้วเขาก็ยกหลังมือขึ้นแตะที่ปลายคางหลินหยาเบา ๆ ก่อนจะดันมันขึ้นเล็กน้อยให้สบตากันตรง ๆ "ข้า...ยังไม่หายโกรธ แต่ข้าจะปล่อยมันไว้...จนกว่าจะถึงเวลาที่เจ้าชดใช้ได้เหมาะสม"


หลินหยาขมวดคิ้วแน่นพลางเบ้ปากแบบคนที่อยากจะระเบิดอารมณ์ออกมาแต่ก็ต้องกลั้นไว้ มือบางคว้ามือหนาแน่นของคนตรงหน้าแล้วบีบแน่นอย่างมีเชิง "ก็บอกแล้วไง...มันห้ามไม่ได้..." นางย้ำเสียงเข้ม ก่อนจะสบตาเขาตรง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เหมือนแมวที่หางพองแต่ยังกล้าแง่งใส่เสืออยู่ดี "...จะให้ข้าเดินไปทุกที่แล้วตะโกนว่า ‘ห้ามแตะตัวข้า ข้าเป็นของไอ้ป่วยจิตตัวหนึ่ง’ รึไง?!" นางขยับหน้าเข้าใกล้เขาอีกนิด ก่อนจะฟึดจมูกใส่แรง ๆ แบบเด็กดื้อ "ข้าก็จะระวังมากขึ้นก็ได้…แต่หากมันแตะไปแล้วโดยไม่ตั้งใจ ท่านจะให้ข้าชดใช้อะไรก็ว่ามาเถอะ! ข้าจะยอมชดใช้ก็ได้!" แม้ปากจะว่า แต่หางตาหลินหยายังจับจ้องการขยับของเขาไม่ละ ร่างกายเกร็งนิด ๆ เหมือนพร้อมจะโดนลากไปตีทุกเมื่อ แต่ก็ไม่ยอมหลบหรือหนี


จางกงกงสบตาเธอเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนรอยยิ้มจะค่อย ๆ คลี่ขึ้นที่มุมปาก…ช้า ๆ เย็นชา…และบิดเบี้ยว "เจ้ากล้าต่อรองกับข้างั้นหรือ...?" เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เอื้อมมืออีกข้างขึ้นลูบหลังมือของหลินหยาที่จับเขาไว้เบา ๆ อย่างเย็นใจ แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้จนลมหายใจแทบปะทะปลายจมูก "เจ้ารู้หรือไม่ว่า…สิ่งที่เจ้าพูดไปเมื่อครู่นั้น มันไม่ใช่ ‘เงื่อนไข’ แต่มันคือ ‘คำสัญญา’..." น้ำเสียงเขานุ่มลึก ราวกับกำลังกล่อมให้นางตกหลุมในถ้ำของเขาอย่างเต็มใจ ทั้งที่หลุมนี้เต็มไปด้วยกับดักซ่อนเร้น 


"เจ้าจะต้องชดใช้...ด้วยรสสัมผัสที่ข้าต้องการ" เขาพูดช้า ๆ ทีละคำ ดวงตาภายใต้หน้ากากจ้องลึกลงในดวงตากลมโตที่เริ่มเบิกขึ้นเล็กน้อย "ด้วยการยอมรับข้า...ทั้งในยามที่ข้าอ่อนโยน และในยามที่ข้าไม่ใช่คนที่เจ้ารัก" มือเขาเลื่อนขึ้นแตะปลายคางนางเบา ๆ ยกขึ้นอีกนิดให้เธอไม่อาจหลบสายตา "ด้วยหัวใจของเจ้า…และด้วยร่างกายของเจ้าทุกส่วนที่เจ้าหวงนัก" เขาหยุดพูดแค่นั้น ไม่ต้องเอ่ยจนครบ เพราะสายตาและรอยยิ้มบนใบหน้าเขา...ได้พูดมันไปหมดแล้ว


แต่แล้ว…หลินหยาก็ทำในสิ่งที่หลินหยาเป็นคนแบบหลินหยา


"ไอ้คนโรคจิต!" นางถลึงตาใส่เขาเต็มแรงหน้าแดงแจ๋ ราวกับลูกตำลึงที่สุกในไฟเผานางฟาดมือที่วางอยู่ตรงมือของเขาเบา ๆ แบบพอเป็นพิธี แล้วเบี่ยงหน้าหนีหันข้างให้เขา แต่ยังคงจับมืออีกฝ่ายแน่นไว้แบบไม่ปล่อย "ท่านอยากทำก็ฝันไปก่อนเถอะ! ชดใช้ก็ชดใช้...แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่!" แมวตัวน้อยหูแดงและขนฟูแล้วตอนนี้และเจ้าของแมว…ก็หัวเราะอย่างพึงใจในลำคอ ดวงตาคมกริบคล้ายเหยี่ยวที่มองเห็นเหยื่อซึ่งยังดิ้น…แต่ดิ้นในกรงของเขาแล้วโดยสมบูรณ์


เขากระซิบข้างใบหูเธอเบา ๆ อีกครั้ง "...ไม่ต้องยอมแพ้หรอกเสี่ยวหยา เพราะข้าจะ ‘ปราบ’ เจ้าให้ยอมทั้งตัวเอง...และหัวใจของเจ้าเอง" จางกงกงมองคนที่ยังหน้ายู่ข้างกายพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่ใช่หัวเราะเยาะ แต่เป็นเสียงหัวเราะของคนที่กำลังเล่นสนุกกับของล้ำค่าที่ไม่เคยมีใครกล้าหยิบจับ เขาไม่พูดอะไรอีก ไม่เร่ง ไม่รุก ไม่ตอกย้ำให้มากกว่านี้ เพราะคนข้างตัวเริ่มเงียบลง เริ่มมีแววเหนื่อยล้าในดวงตาทั้งจากเรื่องเมื่อวาน ทั้งจากอารมณ์ในใจที่ตีกันจนแทบระเบิด


มือใหญ่ค่อย ๆ วางบนศีรษะเล็กของหลินหยา แล้วลูบเบา ๆ เหมือนปลอบเด็กดื้อที่งอแงทั้งวัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำแผ่ว "วันนี้เหนื่อยแล้วสินะ..."


ร่างสูงจึงเปลี่ยนอิริยาบทเป็นเพียงแค่นั่งใกล้ ๆ ให้ไออุ่นของเขาแผ่คลุมไว้ เหมือนเสือที่ยอมกลายร่างเป็นแมวใหญ่ขี้อ้อนชั่วคราวเพื่อปลอบแมวน้อยที่พ่นไฟจนหมดแรง เขานั่งพิงเสาศาลาริมไม้เก่า มองแสงแดดยามบ่ายส่องผ่านม่านเถาวัลย์สีม่วงเรื่อที่พลิ้วไหวตามสายลม กลีบดอกไม้ปลิวเบา ๆ ลงบนตักของหลินหยา นางไม่พูดอะไรอีก แต่ก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน ยังคงนั่งพิงไหล่เขาเหมือนแมวที่ยอมให้อุ้มแล้วหรี่ตากึ่งงีบ


เวลาผ่านไปเงียบ ๆ และถึงจะไม่มีคำพูดเพิ่มเติม แต่ก็ไม่มีความอึดอัดใด ๆ ระหว่างทั้งสอง…มีเพียงจังหวะลมหายใจสม่ำเสมอกับแสงแดดอ่อนที่อาบไล้เงาสองเงาที่ทอดตัวข้างกัน จนเมื่อเงาพาดผ่านพื้นศาลาเริ่มเอนยาวไปทางทิศตะวันตก เสียงกระดิ่งที่ลมพัดเบา ๆ ก็ดังขึ้น จางกงกงขยับตัวช้า ๆ คล้ายไม่อยากปลุกหลินหยาถ้าแมวน้อยในอ้อมแขนเขาจะเผลองีบ เขาก็จะเฝ้าอยู่เงียบ ๆ ให้เธอได้พักบ้างก็ยังดี แต่เขากลับต้องอมยิ้มเมื่อเสียงเล็ก ๆ งึมงำขึ้นก่อนที่เขาจะพูดเสียอีก


"อย่าปลุกนะ…ข้าจะนั่งพักตรงนี้อีกนิด" เสียงงัวเงียที่ยังแอบดื้อในคำขอ


เขาหัวเราะเบา ๆ "ได้…แต่ถ้าข้ากอดเจ้าอีกสักที เจ้าอย่าตีข้าล่ะ"


"ห้ามกอด" เธอตอบทันทีทั้งที่ตายังปิดแน่น


"งั้นขอแค่กุมมือก็พอ…" เขาว่าอย่างอ่อนเสียง แล้วค่อย ๆ ประสานมือกับมือบางที่ยังวางอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีการต่อต้าน...และเขาก็พอใจตอนนี้ นานเท่าที่จะนั่งอยู่ด้วยกันได้ นานเท่าที่เธอจะให้เขาอยู่ในโลกของเธอ...แม้เพียงครึ่งวันภายใต้เงาศาลาที่ทอดแสงสีอำพันลงบนสองเงาที่นั่งแนบข้าง หนึ่งปีศาจผู้เงียบงันและอีกหนึ่งแมวน้อยที่ยังไม่รู้ใจตัวเองดีนักแต่เขารู้ดี…ว่าทุกวินาทีที่ได้อยู่กับเธอคือชัยชนะที่หวานล้ำ




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออออ หวานได้สักกะที

รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 87066 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 87,066 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 87,066 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 87,066 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 87,066 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 5 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 26 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


ลมยามเซินพัดใบเถาวัลย์สีม่วงที่เลื้อยตามศาลาจื่อเถิงฮวาไหวระริก หลินหยาก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง ใบหน้างามแฝงแววกังวล ดวงตาหวานตวัดมองชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าในชุดเรียบหรูที่ยืนหันหลังมองวิวอยู่ราวกับกำลังรอใครบางคน เสียงนุ่มของนางเอ่ยขึ้นอย่างระแวดระวัง “ท่านมาถึงนานหรือยัง…?” จางกงกงในคราบห่าวหมิงหันหน้ามาช้า ๆ ดวงตาคมหลังหน้ากากวาวขึ้นด้วยประกายที่หลินหยาจำได้ดีความพึงใจที่แฝงด้วยความน่ากลัว เขาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว เสียงทุ้มเรียบเย็นเอ่ยตอบ “พอสมควร…ข้ารอเจ้าอยู่” คำพูดแม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ปลายเสียงกลับกดต่ำ ราวกับสอดแทรกความหมายลึกลับบางอย่าง


หลินหยายืนนิ่ง มือกำชายเสื้อแน่นเหมือนจะระงับใจตัวเอง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ข้า…มีเรื่องจะถาม” นางก้าวเข้าไปอีกก้าวเงยหน้ามองเขาอย่างไม่หวั่น แม้ใจจะเต้นแรงก็ตาม “เรื่องซุป…ที่ท่านให้เสี่ยวจ้าวจื่อ”


จางกงกงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่รอยยิ้มใต้หน้ากากจะโค้งขึ้นอย่างเย็นยะเยือก เขาเอื้อมมือยกคางหลินหยาให้เชิดขึ้น ดวงตาคมมองลึกลงไปในดวงตาของนาง “เจ้าเป็นห่วงมันถึงเพียงนั้นงั้นหรือ เสี่ยวหยา…” เสียงของเขาอ่อนโยนในถ้อยคำแต่แฝงพิษในอารมณ์ ราวกับมีเส้นบาง ๆ กั้นระหว่างความรักกับความโกรธเกรี้ยว หญิงสาวสูดลมหายใจ ตั้งสติแล้วตอบกลับอย่างหนักแน่น “ใช่ ข้าเป็นห่วง…เขาเป็นเพื่อนของข้า”


รอยยิ้มของจางกงกงยิ่งคมกริบกว่าเดิม เขาก้มลงกระซิบข้างหูด้วยเสียงแผ่วพร่า “เจ้าไม่ควรเสียเวลาไปห่วงใครอื่น นอกจากข้า…” คำพูดนั้นราวกับโซ่พันธนาการที่มองไม่เห็นหลินหยายืนนิ่ง ใจเต้นแรงแต่สายตายังไม่หลบหนี บรรยากาศรอบศาลากลับเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นชัดเจน นี่คือบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด และแฝงอารมณ์บางอย่างที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าปลายทางจะจบเช่นไร 


หญิงสาวถอนหายใจแล้วยกมือจับมืออีกคนที่ยกคางเธออยู่ตอนนี้แล้วเอาออกแบบเงียบ ๆ จางกงกงปล่อยให้มือของหลินหยาผลักออกโดยไม่ขืน เขามองนางเงียบ ๆ ขณะนางถามเสียงแผ่ว “ท่านไม่ได้ใส่อะไรไปในซุปนั้นใช่ไหม…” คำถามที่ตรงและกล้าหาญในแบบของหลินหยา แต่กลับได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ ดวงตาคมเพียงหรี่ลงเล็กน้อย ราวกับกำลังอ่านความคิดในใจนางอย่างละเอียด เมื่อไม่ได้คำตอบหลินหยาก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างคนที่เหนื่อยล้าเกินจะถามซ้ำ เธอก้าวไปนั่งเคียงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วเอนหัวลงพิงไหล่ของเขา ความอุ่นจากร่างสูงทำให้ใจที่ตึงเครียดคลายลงนิดหนึ่ง แม้จะรู้ว่าอ้อมกอดนี้คือกรงทองที่น่ากลัว แต่มันก็เป็นกรงที่นางเลือกจะอยู่เอง


จางกงกงเหลือบตามองแมวตัวดื้อที่ยอมพิงไหล่เขาอย่างไม่ปิดบัง มุมปากที่ปิดสนิทกระตุกยิ้มแผ่ว ๆ เขาไม่พูดอะไร เพียงยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ ท่าทางคล้ายปลอบโยน แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่หลินหยายอมมอบความไว้ใจให้เขาโดยไม่เรียกร้องคำตอบใด ๆ เสียงของเขาในที่สุดก็ดังขึ้นต่ำ ๆ ใกล้หูของนาง “เจ้ารู้ใช่ไหมเสี่ยวหยา…ต่อให้โลกนี้เผาไหม้ ข้าก็จะปกป้องเจ้าไว้ในเงามืดของข้าเสมอ” น้ำเสียงนั้นช่างอบอุ่นและน่ากลัวไปพร้อมกัน


หลินหยายิ้มบาง พึมพำตอบทั้งที่ยังพิงไหล่เขาอยู่ “ท่านควรหวงก็น้อยลงบ้างก็ได้…แค่นิดเดียว”


จางกงกงหัวเราะในลำคอแผ่ว ๆ “…เรื่องนั้นข้าทำให้ไม่ได้” มือที่ลูบผมของนางบีบเบา ๆ ราวกับจะย้ำว่าไม่ว่านางจะอยากให้เขาเปลี่ยนแค่ไหน ความเป็นเจ้าของในตัวเขาจะไม่ลดน้อยลงเลย


หลินหยานั่งพิงไหล่จางกงกงใต้ศาลาจื่อเถิงฮวา ลมยามบ่ายพัดเบา ๆ พาใบไม้ร่วงโปรยรอบศาลา ดวงตาของนางปรือเล็กน้อยจากความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทั้งวัน เสียงหวานเอื้อนเอ่ยช้า ๆ “วันนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย…” จางกงกงเหลือบตามองทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเขาเย็นนิ่งแต่แฝงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง “เหนื่อยแล้วทำไมไม่ปิดร้าน…ปล่อยให้ข้าดูแลเจ้าแทนสิ”


หญิงสาวหันมามองเขานิดหนึ่ง ยู่หน้าเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจ “ไม่ได้หรอก ข้าต้องยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเอง…ไม่อยากให้ท่านมาเลี้ยงข้าตลอดไป” คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศเงียบลงชั่วครู่ แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไร หลินหยาก็รีบพูดต่อเหมือนกลัวว่าเขาจะตีความผิด “ข้ารู้…ท่านสามารถดูแลข้าได้ ได้ดีมากด้วย” นางส่งรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่อบอุ่นและดื้อรั้นในเวลาเดียวกัน “แต่ข้าเป็นคนที่ชอบทำงาน ข้าไม่อยากมีหนี้สิน ข้าอยากเก็บเงินไว้ด้วยตัวเอง” ระหว่างพูด มือเล็กก็คว้ามือใหญ่ของเขามาบีบเล่นเบา ๆ เหมือนแมวน้อยที่กำลังหยอกของเล่น นางคลึงนิ้วเขาไปมาอย่างไม่รู้ตัว ท่าทีงอแงเล็ก ๆ นั้นกลับทำให้ชายสวมหน้ากากยิ่งจ้องนางลึกขึ้น


จางกงกงก้มลงเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้มที่อ่านไม่ออก “เจ้าช่างดื้อเหลือเกิน…พูดเหมือนอยากหนีกรงของข้า แต่ก็ยังกลับมานั่งเล่นอยู่ในอุ้งมือข้าเช่นนี้” มือหนาของเขากระชับมือหลินหยาแน่นขึ้น ราวกับจะย้ำว่านางไม่มีวันหลุดพ้นไปไหนได้ ขณะที่ดวงตาคมใต้หน้ากากฉายแววทั้งเอ็นดูและครอบครองในเวลาเดียวกัน


หลินหยาหัวเราะคิกอย่างพยายามทำตัวให้ดูไม่คิดอะไร แต่หัวใจกลับเต้นแรงจนน่ารำคาญตัวเอง นางเอนตัวพิงไหล่อีกคนดวงตาใสคมตวัดมองเขาอย่างท้าทายแต่ก็มีแววซ่อนกลัวอยู่ลึก ๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าจะหนีสักหน่อย…แต่ถ้าท่านโหดร้ายกับข้าอีก ข้าอาจจะหนีจริง ๆ ก็ได้”


คำพูดที่เหมือนเล่นกลายเป็นไฟลุกวาบในดวงตาคมใต้หน้ากาก จางกงกงหยุดนิ่งครู่หนึ่งเขาโน้มตัวลง ปลายจมูกเฉียดหน้าผากของนางอย่างจงใจ เสียงทุ้มต่ำลอดออกมาราวกับคำสาป “เจ้าใช้คำว่า หนี กับข้าหรือ…เสี่ยวหยา เจ้าช่างกล้าเกินไปแล้ว” รอยยิ้มมุมปากที่ผุดขึ้นช้า ๆ เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว คล้ายเย็นชาแต่กลับร้อนดั่งไฟ “เจ้าหนีได้…เจ้าก็ลองทำดู แต่จงจำไว้หากเจ้ากล้าหนีแม้เพียงก้าวเดียว ข้าจะเป็นเงาที่ตามหลอกหลอนเจ้า จะปรากฏในทุกลมหายใจ จะทำให้เจ้ากลัวจนหัวใจสั่นไหวและสุดท้ายเจ้าจะรู้ว่าไม่มีที่ไหนในโลกนี้ที่เจ้าจะซ่อนตัวจากข้าได้”


มือหนาไล้ไปตามข้างแก้มนุ่มของนาง ลูบเบา ๆ ก่อนจะบีบแน่นขึ้นราวกับย้ำให้รู้ว่านางอยู่ในกำมือเขา “ข้าจะโหดร้ายเท่าที่เจ้าท้าทาย…และจะอ่อนโยนเท่าที่เจ้าหยุดคิดจะหนีจากข้า” เสียงของเขาแผ่วพร่าแต่หนักแน่นดุจคมมีด หลินหยาเงียบงันหัวใจเต้นแรงแทบทะลุอก นางกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ พยายามควบคุมสีหน้าแต่ก็หลบตาเขาไม่พ้น ในที่สุดนางยอมเอนหัวลงกับอกเขาอย่างหมดแรง ปล่อยให้ความร้อนจากร่างเขาโอบล้อมไปทั้งตัว เสียงลมหายใจของจางกงกงดังอยู่ข้างหู ดั่งสัตว์ร้ายที่กำลังพอใจในการครอบครอง เขากระซิบแผ่ว 


“จำคำข้าไว้…เพราะตั้งแต่แรกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดหนี” ลมยามบ่ายพัดผ่านศาลาเถาวัลย์ เงาของสองร่างทาบทับกันราวกับผูกพันด้วยพันธะที่ไม่มีวันปลดออกได้…


หลินหยาหน้ายู่แก้มพองเหมือนแมวน้อยขู่ฟ่อ เธอกอดอกแล้วเอียงคอมองคนสวมหน้ากากครึ่งหน้า ดวงตาหวานคมจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว "ท่านมันขี้หวง" นางพูดห้วน ๆ เหมือนกำลังงอน แล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่นุ่มลงเล็กน้อย "แล้วช่วงนี้เป็นไงบ้าง ท่านทำงานเหนื่อยไหมในฐานะที่เป็นจงฉางชื่อของวังหลังน่ะ?" เธอขมวดคิ้วนิดหน่อยเหมือนกับกำลังคิดตาม "ข้าแทบไม่รู้เลยว่าท่านทำอะไรบ้าง ไม่เข้าใจเลยว่าวังหลังมันซับซ้อนยังไง" นางบ่นงึมงำ แล้วจ้องหน้าเขาอีกครั้ง พลางยักคิ้วขึ้น "ก็แหม…ตอนข้าโดนบังคับเข้าไป ข้าออกภายใน 24 ชั่วโมงเองนี่ เพราะไปชกหน้าท่านยังไงล่ะ" น้ำเสียงแฝงทั้งความภูมิใจและการแกล้งประชดเล็ก ๆ


หลินหยาเบ้ปากใส่ก่อนจะเอียงหน้ามองเขาแบบกวน ๆ "แล้วทีตอนนั้นนะ บอกเองเลยว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก แต่ดูเอาเถอะ ใครกันนะที่ดันมาเจอหน้าข้าเอง?" นางพูดพลางอมยิ้มมุมปาก เสียงเหมือนล้อเลียน แต่ในดวงตากลับแฝงแววอบอุ่นจาง ๆ ราวกับว่าแม้จะบ่นและประชด แต่ก็ยอมรับอย่างเงียบ ๆ ว่าเธอไม่ได้เกลียดการพบเจอเขาเลยสักนิดในตอนนี้ ดวงตากลมโตจ้องเขาอย่างคาดคั้นรอคำตอบ มือเล็กยังบีบแขนเสื้อเขาเบา ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ เป็นทั้งท่าทางดื้อและอ้อนในเวลาเดียวกัน


จางกงกงนิ่งขณะหลินหยาบ่นพึมพำเหมือนแมวน้อยฟ่อไม่เลิก เขาเพียงแค่มองเธอใต้หน้ากากครึ่งหน้า ดวงตาคมกริบจับทุกท่าทีของนางไม่พลาดแม้แต่น้อยริมฝีปากเขากระตุกยิ้มเย็นเฉียบ ความรู้สึกบางอย่างแล่นวูบผ่านแววตาทั้งความพอใจที่เธอกล้าเอ่ยตรง ๆ และความหวงที่เขาไม่เคยปิดบัง "เหนื่อย? …ในตำแหน่งของข้า ความเหนื่อยไม่เคยมีความหมายหรอกเสี่ยวหยา" เสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงความกดดัน "แต่ข้าคิดว่ามีอย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าเหนื่อย…คือการคอยจัดการคนที่กล้าเข้ามาใกล้เจ้า"


ดวงตาของจางกงกงฉายประกายแปลกประหลาด เขาก้มลงเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วแตะคางของนางเชิดขึ้นเบา ๆ ให้สบตากับเขาโดยไม่อาจหลบได้ "เจ้าภูมิใจกับเรื่องนั้นมากสินะ?" เสียงเขานุ่มลึกแต่เต็มไปด้วยแรงกดที่ทำให้หัวใจเต้นถี่ "ทีตอนนั้นเจ้าออกไปพร้อมคำพูดของข้า…แล้ววันนี้ใครกันที่เดินกลับเข้ามาในโลกของข้าเอง?" รอยยิ้มของเขาไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความอ่อนโยน แต่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่าและเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังเล่นกับเหยื่อที่รักที่สุด จางกงกงยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกจนลมหายใจร้อนกระทบแก้มนาง "เพราะข้าไม่เคยตั้งใจจะปล่อยเจ้าไปตั้งแต่แรก…เสี่ยวหยา"


มือใหญ่ที่เคยแตะคางเลื่อนมาสอดเข้าที่เอว บีบเบา ๆ พอให้นางรู้สึกถึงแรงที่แฝงความครอบครอง เขากระซิบพร่าใกล้หู "เจ้าหนีจากข้าไม่ได้ต่อให้พูดประชดอีกกี่ครั้งก็ตาม" ในขณะที่หลินหยาหน้ายู่เหมือนจะเถียง เขาก็หัวเราะแผ่วต่ำอีกครั้ง คล้ายพอใจกับความดื้อของนาง มือหนาเลื่อนออกช้า ๆ ก่อนจะปล่อยให้เธอยืนในอิสรภาพเพียงนิดเดียว แต่สายตาคมใต้หน้ากากยังตรึงเธออยู่กับที่


หลินหยาจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจแรงราวกับจะระบายทุกความอัดอั้นออกมา ดวงตาคมหวานฉายแววประชดจัดจ้าน นางกอดอกแน่นแล้วเอียงคอถามเสียงเย็น “เช่นนี้ท่านอยากให้ข้าไปยั่วยวนองค์ชายอีกไหม? อยากวางตัวให้เขาตกหลุมรักข้าอีกหรือไม่? เพราะตอนนั้นท่านคิดจะใช้ข้าเป็นหมากล่อให้องค์ชายอยู่ในกำมือของท่านและข้าในเงาของท่านพร้อมกัน” คำพูดของนางแทงใจดำอย่างจงใจ


จางกงกงเงียบไปชั่วขณะดวงตาคมใต้หน้ากากครึ่งหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเฉดมืดดำ ริมฝีปากโค้งขึ้นช้า ๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุข แต่เต็มไปด้วยความเย็นเยือกและความบิดเบี้ยว เงาของเขากลืนร่างเล็กของนางไว้ในอาณาเขตของเขา “เสี่ยวหยา…” น้ำเสียงเรียบแต่แฝงแรงกดดันเย็นเฉียบ “เจ้ากล้าถามเช่นนั้นกับข้า?” เขายกมือขึ้นเชยคางนางอีกครั้งแต่เบามือบังคับให้เงยขึ้นสบตากับเขา ดวงตานั้นเหมือนงูที่พร้อมฉกเหยื่อทุกเมื่อ “ตอนนี้ข้าไม่เคยต้องการแบ่งเจ้าให้ใคร ไม่เคยคิดจะให้เจ้าไปอยู่ในสายตาของบุรุษคนอื่น ต่อให้เป็นองค์ชาย” เสียงของเขานุ่มแต่แฝงความกราดเกรี้ยวลึก ๆ ที่น่าขนลุก


เขาก้มหน้าลงใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้มของนาง รอยยิ้มบิดเบี้ยวคล้ายกับปีศาจที่ซ่อนอยู่ในเงามืด “เจ้าเป็นของข้าเพียงผู้เดียว เสี่ยวหยา…ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ใครแตะต้องเจ้า แม้กระทั่งในฝัน” มือที่เชยคางเลื่อนมาสวมรอบต้นคอของนางอย่างครอบครองโดยไม่ถึงกับบีบ แต่น้ำหนักที่กดลงทำให้นางรับรู้ได้ถึงแรงอารมณ์ของเขา “เจ้าคิดว่าข้าจะส่งเจ้าไปยั่วยวนองค์ชายอีกหรือ? หึ…ข้าหวงเจ้าจะตาย เจ้าไปแม้แต่ก้าวเดียวข้าก็จะลากเจ้ากลับมาด้วยมือข้าเองเป็นแน่”


หลินหยาสบตาเขาอย่างไม่หวั่นเกรง แม้หัวใจจะเต้นแรงนางกอดอกแน่นยิ่งกว่าเดิม “ขี้หึงนักนะท่าน…แล้วถ้าวันหนึ่งข้าอยากเลือกเส้นทางตัวเองเล่า?”


จางกงกงหัวเราะต่ำในลำคอเสียงนั้นพร่าและแฝงความวิปลาส “ถ้าวันนั้นมาถึง…ข้าก็จะทำให้เส้นทางของเจ้ามีแค่ข้าเท่านั้น” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกจนลมหายใจร้อนผ่าวพาดบนแก้มนาง กระซิบช้า ๆ “เสี่ยวหยา…เจ้าไม่มีสิทธิ์หลุดพ้นจากข้า…ไม่ว่าด้วยวิธีใด” คำพูดนั้นหนักแน่น ราวกับตรวนที่พันธนาการนางไว้ทั้งใจและกาย ทำให้หลินหยาต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อยเพื่อซ่อนความสั่นไหวของหัวใจตัวเอง แต่ก็รู้ดีว่าในเกมอันอันตรายนี้…เธอไม่เคยเป็นฝ่ายเหนือกว่าเลย


หลินหยาที่พิงไหล่เขาอยู่นั้นยู่หน้าใส่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงกระซิบเย็นยะเยือกจากอีกคน นางยกมือขึ้นปัดนิ้วที่ลากไล้แก้มออกเบา ๆ แล้วบ่นงึมงำ "ข้าแค่เหนื่อย ไม่ได้ตายเสียหน่อย จะมาพูดเหมือนข้าเป็นของที่ต้องขออนุญาตอะไรทุกอย่างไปได้..." คำพูดนั้นฟังดูเหมือนน้อยใจผสมงอน จางกงกงเฝ้ามองนางอย่างไม่ละสายตา พอเห็นแมวน้อยตรงหน้าขยับทำท่าจะผละออก เขาก็ยื่นมือรั้งข้อมือเล็กไว้ "หึ…เจ้าเหนื่อย แต่ยังกล้าปัดมือข้า" น้ำเสียงเจือแววขำเจ้าเล่ห์ หลินหยายู่หน้าหนักกว่าเดิม "ก็ข้าเหนื่อยจริง ๆ นี่นา อยากพักเงียบ ๆ บ้าง"


หลินหยาขยับไปนั่งฝั่งตรงข้ามพยายามทำเป็นไม่สนใจ มือเล็กหยิบชายแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อบาง ๆ แล้วหันไปถามเสียงแผ่วแต่ตรงไปตรงมา "ทำงานในวังหลังแบบนั้น…ข้าแทบไม่รู้เลยว่าท่านต้องทำอะไรบ้าง" ดวงตานั้นมองเขาอย่างสงสัยจริง ๆ จางกงกงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “เจ้าคงไม่อยากรู้หรอกเสี่ยวหยา…เพราะมันเต็มไปด้วยเล่ห์กลและเลือด” 


บรรยากาศเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่หลินหยาจะถอนหายใจยาวแล้วถาม "วันนี้ท่านอยากให้ข้าทำอะไรไหม? แต่บอกไว้ก่อนนะ ไม่ให้มาจูบนะ วันนี้ข้าเหนื่อยมาก" เสียงนั้นทั้งงอนทั้งอ้อน จางกงกงเพียงยิ้มใต้หน้ากาก ดวงตาแวววาวอย่างคุกคาม "ไม่จูบก็ได้…ข้าแค่จะทำให้เจ้ารู้ว่าถึงเหนื่อยแค่ไหน เจ้าก็หนีข้าไม่พ้น" ว่าเสร็จเขาก็หยิบผลท้อ ผลไม้เปรี้ยวหวานฉ่ำจากตะกร้าที่คนของเขานำติดตัวมาอย่างตั้งใจ พลิกดูในมือแล้วหันกลับมามองนาง “เจ้าบอกว่าเหนื่อยใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้น…กินนี่สิ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่ดวงตากลับฉายแววคุกกรุ่นเหมือนมีบางสิ่งซ่อนอยู่


หลินหยาชำเลืองมองผลไม้ในมือเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้น “จะป้อนอีกแล้วล่ะสิ…”


จางกงกงหัวเราะเบา ๆ เสียงต่ำที่ทำให้หัวใจสั่น “แน่นอนสิ เจ้าไม่ให้ข้าจูบ…ข้าก็ต้องหาวิธีอื่นให้เจ้า ‘จำ’ ว่าข้าอยู่ตรงนี้” จากนั้นเขาก็ปอกเปลือกท้อด้วยนิ้วตัวเองเล็กน้อย ก่อนนำผลไม้มาตรงหน้าให้หลินหยา แววตาจ้องนางอย่างไม่ให้หลบหนี “อ้าปากสิ เสี่ยวหยา…วันนี้ข้าอยากเห็นเจ้ากินจนหมดด้วยมือของข้าเอง”


ความเงียบชั่วขณะปกคลุมรอบศาลา ก่อนที่หลินหยาจะถอนหายใจหน้างอน แต่ยอมอ้าปากกัดคำเล็ก ๆ จางกงกงมองภาพนั้นด้วยแววตาที่ทั้งพอใจและคุกคาม ราวกับแมวตัวใหญ่ที่จับเหยื่อเล็กไว้ในเงื้อมมือ “ดีมาก…” เขาพูดเสียงแผ่วราวคำชื่นชม แต่เต็มไปด้วยการครอบครองที่ชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลินหยาที่หน้างอเล็กน้อยคีบชิ้นลูกท้อฉ่ำหวานขึ้นมา ยกมันจ่อที่ริมฝีปากของชายตรงหน้าโดยไม่พูดสักคำ เพียงแค่จ้องเขาด้วยดวงตากลมโตใส ๆ ราวกับบอกว่า “ท่านก็ต้องกินบ้างนะ” ความเงียบแผ่คลุมอยู่ในศาลาจื่อเถิงฮวา มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้สั่นไหว


จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงเหลือบตามองชิ้นผลไม้ที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบกับนาง ดวงตาใต้หน้ากากครึ่งหน้าแฝงประกายราวกับกำลังหยอกเย้าและทดสอบ เขาโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย ปลายริมฝีปากเฉียดนิ้วเรียวของหลินหยาก่อนงับชิ้นลูกท้อไปช้า ๆ เสียงเคี้ยวเงียบ ๆ กับแววตาคมที่ไม่ละไปจากนางทำให้หลินหยาหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “อร่อย…” เขากล่าวเสียงต่ำ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกระซิบ “แต่ข้ายังชอบเวลาลิ้มรสจากปากเจ้าโดยตรงมากกว่า”


หลินหยาที่ได้ยินรีบชักมือกลับ หน้ายู่ใส่เขา “พูดอะไรก็ไม่รู้!”


จางกงกงหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางคว้ามือเล็กที่หนีไปมาวางบนมือเขาอีกครั้ง “เจ้าป้อนข้าแล้ว…ข้าก็จะป้อนเจ้าต่อ นี่คือกติกา” กล่าวจบเขายื่นลูกท้ออีกชิ้นไปจ่อที่ริมฝีปากของนางอย่างบังคับกลาย ๆ แววตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความหวงแหนและความพึงใจที่เห็นแมวน้อยของเขายอมตามเกมอย่างน่ารัก




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: ขอบคุณที่วันนี้ไม่ติดรหัสนะคะ (ไหว้ย่อ)

รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 62940 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 62,940 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 62,940 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 62,940 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 62,940 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ เมื่อวานซืน 00:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 27 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


เมื่อหลินหยาก้าวเข้ามาในศาลาจื่อเถิงฮวา แสงแดดยามบ่ายส่องลอดชายคาไม้ลงมาเป็นลำ เธอก้าวช้า ๆ พลางพ่นลมหายใจเล็กน้อย ดวงหน้าสวยหวานที่มักสดใสกลับดูอ่อนล้า ดวงตาเหมือนจะง่วงนอนปนล้า ทว่าที่ปลายนิ้วกลับมีคราบหมึกเปื้อนเป็นหลักฐานว่าเธอไม่ได้ใช้เวลาไปกับการพักผ่อน แต่กลับทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดที่สุดเขียนหนังสือ จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มือเรียวเคาะขอบโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ ดวงตาคมหลังหน้ากากครึ่งหน้าเหลือบมองนางที่เข้ามาอย่างเงียบเชียบ เขากวาดสายตาลงไปเห็นคราบหมึกบนมือเล็กทันที ความคมเข้มในแววตาแฝงความสงสัยกับหงุดหงิดจาง ๆ “วันนี้เจ้าดู...เหนื่อย” น้ำเสียงของเขาต่ำเรียบ แต่เต็มไปด้วยความกดดันที่มักทำให้คนตรงหน้ารู้สึกใจสั่น


หลินหยาเพียงยู่หน้าแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างเขาอย่างหมดแรง เอียงตัวพิงเสาไม้ข้างศาลา “ก็...เหนื่อยจริง ๆ นั่นแหละ” เธอยกมือขึ้นโชว์ให้ดูคราบหมึกที่เลอะเป็นจุด ๆ “เขียนหนังสือทั้งวันเลย เหนื่อยกว่าขุดแร่ตั้งเยอะ” น้ำเสียงงอแงปนน้อยใจเล็ก ๆ


จางกงกงเอื้อมมือมาจับมือเธอขึ้นมาดู หมุนมือเล็กไปมาอย่างพิจารณา “เจ้าไม่ถนัด...ยังฝืนทำ” เขากระซิบต่ำ พลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยรอยหมึกออกเบา ๆ ก่อนจะยกขึ้นจุมพิตที่หลังมือเหมือนปราม แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ครอบครอง “อย่าให้ข้าเห็นมือเจ้าสั่นเพราะสิ่งไร้ค่าอีก…ข้าไม่ชอบ” หลินหยามองเขาแล้วเบ้ปาก “ท่านมันขี้หวง…ขี้บงการทุกเรื่องเลยนะข้าไม่ได้ทำอะไรไร้สาระสักหน่อย” ชายสวมหน้ากากหัวเราะแผ่วในลำคอ โน้มตัวเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้มเธอ “เจ้าก็รู้…ข้าเป็นแบบนี้เสมอ เสี่ยวหยา” เสียงนั้นพร่าลึก ชวนให้หัวใจเต้นแรงแม้จะทำเหมือนพูดเล่น ๆ ก็ตาม


ก่อนที่หลินหยาจะหันไปคว้าถุงผ้าในกระเป๋าเจ็ดสมบัติที่พกมาด้วยแล้วดึงหนังสือบัญชีเล่มเล็กยับยู่ยี่ออกมา ยื่นไปตรงหน้าเขาเหมือนเด็กที่อยากอวดคะแนนสอบทั้งที่รู้ว่าเขาจะต้องบ่น “ดูสิ! ข้าไม่ได้ทำสิ่งที่ไร้ค่าอย่างที่ท่านว่าเลยนะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจแต่ก็แฝงความกวน ๆ

จางกงกงขมวดคิ้วภายใต้หน้ากาก รับสมุดนั้นมาลองเปิดดูเพียงหน้าเดียว ดวงตาคมไล่ไปตามตัวอักษรที่บิดเบี้ยวราวกับไก่เมายาบ้ากำลังเต้นรำบนกระดาษ…หากเป็นคนอื่นคงปวดหัวจนอยากขว้างทิ้ง แต่เขากลับอ่านออกทุกตัวอย่างง่ายดาย “หนึ่งล้านสี่แสนสี่หมื่นแปดพันห้าร้อยห้าสิบเหรียญอู่จู…” เขาอ่านช้า ๆ ราวกับกำลังตรวจสอบ ก่อนจะยกมุมปากยิ้มเย็น “สามร้อยหกสิบสองตำลึงทอง หนึ่งตำลึงเงิน และร้อยห้าสิบเหรียญอู่จู”


หลินหยายักคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เห็นไหมล่ะ! ข้าหาเงินเก่งนะ ข้าทำงานหนักจนได้เงินขนาดนี้เลย”


จางกงกงปิดสมุดบัญชีแล้ววางลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัก สายตาใต้หน้ากากกวาดมองเธอจากหัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งชื่นชมทั้งกดดัน “เก่ง…เก่งมาก เสี่ยวหยา ข้าควรจะภูมิใจที่แมวน้อยของข้าสามารถทำเงินได้เยอะขนาดนี้” เขายื่นมือมาเชยคางนางขึ้น มุมปากยกยิ้มบางแต่เต็มไปด้วยความหมาย “แต่จำไว้นะ…ไม่ว่าเงินทองมากแค่ไหน เจ้าก็ยังเป็นของข้า เงินพวกนี้…ข้ายินดีจะให้เจ้ามากกว่านี้เป็นร้อยเท่า”


หลินหยาหน้างอ “ไม่ได้สิ ต้องเป็นเงินที่ข้าหามาเองสิ มันถึงจะภูมิใจ!”


จางกงกงหัวเราะต่ำ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้หูเธอจนลมหายใจร้อนวาบ “เช่นนั้น…ข้าจะถือว่ารางวัลของเจ้าจากการทำงานสัปดาห์นี้…คือการที่ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าสำหรับการทำให้มือสวย ๆ ของเจ้าเลอะหมึก”


“หา!?” หลินหยาทำตาโตทันที แต่ยังไม่ทันได้โวยเขาก็กดจูบเบา ๆ ลงบนหลังมือเธออีกครั้ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าใต้หน้ากาก ขณะเอ่ยด้วยเสียงพร่า “ถือว่าข้าลดโทษให้…แต่คราวหน้ามือเจ้าเลอะ ข้าจะลงโทษหนักกว่านี้” หลินหยาที่ถูกจูบหลังมือนั้นถึงกับชะงักราวกับเวลาหยุดชั่วขณะ แก้มขาวจัดเริ่มระเรื่อแดง ไล่ขึ้นจนปลายหูแดงชัด เธอรีบหันหน้าไปอีกทางพยายามซ่อนสีหน้าที่ตัวเองควบคุมไม่อยู่ พร้อมทำหน้ายู่ใส่เขาอย่างขัดเขิน “ท่านมัน…!” เสียงสั่นเล็กน้อยแต่ยังทำฟึดฟัดกลบเกลื่อนความรู้สึกในอก


จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงก้าวเข้ามาอีกก้าว มองใบหน้าเล็กที่พยายามเบือนหนีเขาแต่กลับยิ่งน่าดึงดูดขึ้นในสายตา เขาก้มศีรษะลงใกล้ไหล่เธอพอให้ลมหายใจร้อนกระทบแก้มเธอแผ่วเบา “เขินอะไร เสี่ยวหยา…ข้าก็แค่จูบมือเจ้า ไม่ได้ทำสิ่งที่เจ้าทนไม่ไหวสักหน่อย” น้ำเสียงต่ำพร่าแฝงรอยยิ้มชั่วร้าย


หลินหยาที่ได้ยินกลับหน้าร้อนยิ่งกว่าเดิม ยู่ปากแล้วตีอกเขาเบา ๆ “ท่านนี้พูดมากนักนะ!” เธอบ่นแต่กลับยิ่งซุกหน้าเข้าหาไหล่เขาเหมือนแมวเขินที่ไม่รู้จะหนีไปไหน จางกงกงยิ้มเย็นใต้หน้ากาก ยกมืออีกข้างโอบรอบเอวเธอหลวม ๆ ราวกับจะบอกว่า หนีไปไหนก็ไม่พ้น เสียงหัวเราะต่ำพร่าเอื้อนเอ่ยที่ข้างหูเธอ “ยิ่งหนีข้ายิ่งอยากตาม…ยิ่งเขินข้ายิ่งอยากทำให้เจ้าเขินกว่านี้” คำพูดนั้นทำให้หัวใจหลินหยาสั่นแรงจนต้องกัดริมฝีปากแน่น แต่แม้จะเขินหนัก เธอก็ยังนั่งนิ่งไม่ผลักไส เพราะรู้ดีว่าต่อให้ดิ้นยังไง…คนตรงหน้านี้ก็จะตามมาจนได้อยู่ดี


ไม่นานเจ้าลูกหมาตัวน้อยขนสีดำมันเงามีขนสีน้ำตาลแซมตามคิ้วและขา เซียนเฉ่าวิ่งปร๋อเข้ามาหาหลินหยาพร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งที่คอ มันกระโดดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงเรียบร้อยแล้วค่อย ๆ ยื่นถุงเงินในปากส่งให้เจ้านายสาวอย่างน่ารัก หลินหยารับถุงเงินพลางลูบหัวมันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิงหรี่ตามองภาพตรงหน้า สายตาคมใต้หน้ากากฉายแววสับสนปนจับผิด “เจ้า…เลี้ยงสุนัข?” เสียงของเขากร้าวต่ำเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ทั้งที่ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวสุนัข…ทำไมถึงเก็บมันไว้”


หลินหยากอดเซียนเฉ่าไว้ในอ้อมแขนแน่น ดวงตาเธอสบกับเขาอย่างมั่นคง “มันชื่อเซียนเฉ่า ข้าช่วยมันไว้จากขบวนคหบดีลู่ มันโดนขายอย่างโหดร้าย ถูกทารุณจนใกล้ตาย ข้าจึงรับมันมาเลี้ยง มันไม่เหมือนสุนัขทั่วไปหรอก” ราวกับจะยืนยันคำพูดของหลินหยา เซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้น สายตาสุขุมเกินกว่าลูกหมาธรรมดา และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วแต่มั่นคง “ขอคารวะท่านชายผู้สูงศักดิ์ขอรับ…ข้าชื่อเซียนเฉ่าเป็นเผ่าปีศาจที่ติดตามคุณหนูหลินขอรับ”


ดวงตาของจางกงกงวาวโรจน์ขึ้นทันที ความเย็นยะเยือกแผ่รอบกาย ราวกับจะสำรวจตัวตนเล็ก ๆ ตรงหน้า “ปีศาจ…” เขากล่าวช้า ๆ เสียงเต็มไปด้วยแรงกดข่มที่น่าหวาดหวั่น “เจ้ากล้าติดตามนาง…แล้วไม่คิดจะทำร้ายนางหรือ” เซียนเฉ่าก้มหัวสุภาพตอบ “ไม่เคยขอรับ…ไม่แม้แต่จะคิด ข้าสาบานด้วยวิญญาณว่ามีเพียงความภักดีกับคุณหนูหลินขอรับ” หลินหยาจับแขนเสื้อของจางกงกงเบา ๆ ส่งสายตาให้เขาหยุดแผ่รังสีอันตรายใส่เจ้าลูกหมา “มันไม่ทำอะไรข้าหรอก…เชื่อข้าเถอะ”


จางกงกงมองนางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือแตะแก้มนางเบา ๆ พลางกระซิบเย็นชืด “ถ้ามันทำให้เจ้าเจ็บแม้เพียงครั้งเดียว…ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้น” หลินหยาถอนหายใจปนยิ้มขำกับความขี้หวงปนป่าเถื่อนของเขา “ท่านนี่มัน…โหดร้ายยันหมาเลยรึ” เซียนเฉ่าเลื่อนสายตาเฉลียวฉลาดไปมองจางกงกงอย่างไม่หวั่นเกรง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “หากวันนั้นมาถึง ข้าจะยอมถูกฉีกโดยไม่โต้แย้งเลยขอรับ…เพราะข้าจะไม่มีวันทำให้คุณหนูหลินต้องเจ็บปวดเด็ดขาดขอรับ” บรรยากาศตรอกศาลาจื่อเถิงฮวาระหว่างปีศาจตัวน้อยกับจงฉางชื่อผู้บ้าคลั่ง จึงเต็มไปด้วยแรงกดดันและความเคร่งขรึมปนเงียบงันที่ทำให้แม้แต่ลมก็แทบหยุดพัด


เซียนเฉ่าเงยหน้ามองจางกงกงที่ยืนสูงสง่าด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับแทงใจดำเจ้าของมันเสียจนหลินหยาหน้าซีดแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง “อ๋อ…บุรุษคนนี้นี่เองหรือขอรับ ที่คุณหนูหลินชอบคิดถึงบ่อย ๆ กลิ่นของท่านชัดเจนยิ่งกว่ากลิ่นท้อสุกเลยนะขอรับ” หลินหยาหันขวับ หน้าแดงวาบร้อนผ่าวทันที “เซียนเฉ่า! เจ้า! หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!!” เธอพุ่งเข้าไปปิดปากหมาน้อยที่ยังทำหน้าซื่อราวกับไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด พลางกระซิบเสียงสั่น “หยุดพูดเดี๋ยวนี้ อย่าแม้แต่จะคิดเล่าอะไรต่อ!”


แต่จางกงกงที่เงียบมาตลอดกลับยืนนิ่งมองภาพนั้น ดวงตาภายใต้หน้ากากครึ่งหน้าส่องประกายวาวโรจน์ ราวกับพายุที่พร้อมจะพัดโหม เขาได้ยินทุกคำชัดเจนเต็มสองหู ใบหน้าที่ปกปิดส่วนหนึ่งนั้นถึงจะนิ่ง แต่เส้นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากบ่งบอกชัดถึงความพึงพอใจปนร้ายลึก เสียงหัวเราะต่ำ ๆ ของเขาดังขึ้นช้า ๆ “หึ…เสี่ยวหยา เจ้าคิดถึงข้าบ่อย ๆ อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบ แต่เต็มไปด้วยความสุขุมที่ปนความอันตรายคล้ายจะบีบหัวใจเธอให้สั่นระริก


“ขะ…ข้าไม่ได้…! มันพูดเองนะ! ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น!” หลินหยาพยายามอธิบาย มือยังปิดปากเซียนเฉ่าแน่น แต่เจ้าลูกหมากลับดิ้นดุกดิกและพยายามพูดต่อด้วยเสียงอู้อี้ จางกงกงก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว จนเงาของเขากลืนกินร่างเล็ก ๆ ของหลินหยา ดวงตาคมดุคู่นั้นก้มมาสบกับดวงตากลมที่เต็มไปด้วยความลนลานของนาง “เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ…ว่าเจ้าแอบทำอะไรลับหลังข้า”


“ไม่มี๊! ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!!” หลินหยาหันหน้าหนี หน้าแดงยิ่งกว่าพริกสุก


จางกงกงยกมือขึ้น ลูบแก้มแดง ๆ ของเธออย่างแผ่วเบา แต่คำพูดกลับแฝงพิษร้าย “หึ…ข้าจะฟังจากเจ้าหรือจากปีศาจตัวน้อยของเจ้าเองดีนะ เสี่ยวหยา” เซียนเฉ่าที่โดนกดไว้ในอ้อมแขนหลินหยายังส่งเสียงครืดคราดพยายามพูดต่อ ขณะที่หลินหยาก็พยายามหันไปจ้องจางกงกงทั้งหน้าแดงทั้งหน้ายู่ “ท่านอย่ามายุ่ง! ข้าไม่เล่า! ไม่ต้องฟังมันด้วย!!” ทว่าดวงตาของจางกงกงกลับฉายแววเจ้าเล่ห์ร้ายลึก ดั่งจะสนุกไปกับการกดดันให้แมวน้อยตรงหน้าสารภาพออกมาเองทุกอย่าง…


เขาก้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาคมใต้หน้ากากครึ่งหน้าจับจ้องแมวน้อยที่กำลังหนีตายด้วยการปิดปากลูกหมาปีศาจของตนเอง แสงในดวงตานั้นเต็มไปด้วยประกายชั่วร้ายปนความสุขที่ได้เล่นกับเหยื่อในกำมือ “หึ...เจ้าเลือกได้สองทาง เสี่ยวหยา” น้ำเสียงนุ่มแต่กดต่ำดุจจะกระซิบให้หลอนในโสตประสาท “พูดเอง...หรือให้เจ้าหมาตัวนี้พูดแทน” หลินหยาสะดุ้งเฮือก หันมาจ้องเขาตาโต “ข้าไม่พูด! มันก็พูดไม่ได้! ท่านห้ามฟังมันนะ!!” น้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูมั่นคงกลับสั่นจนจางกงกงหลุดหัวเราะเบา ๆ


“เจ้าแน่ใจหรือ เสี่ยวหยา ว่ามันพูดไม่ได้?” จางกงกงเงยคางน้อย ๆ ทำสัญญาณคล้ายอนุญาต เซียนเฉ่าที่ถูกปิดปากดิ้นหลุดออกมานิดหนึ่งก็พูดเสียงใส “คุณหนูหลินชอบนอนกอดผ้าคลุมที่มีกลิ่นท่าน! บางครั้งยัง….อุ๊บ!”


“เซียนเฉ่า! หุบปากเดี๋ยวนี้!!” หลินหยาตะโกนหน้าแดงก่ำ รีบคว้าตัวลูกหมามากอดแน่น กลบปากมันซ้ำไปอีก จางกงกงยืนนิ่งอยู่เหนือทั้งคู่ รอยยิ้มเย็น ๆ ที่มุมปากชัดเจนขึ้นทุกที “งั้นเจ้าก็สารภาพมาดี ๆ เถอะเสี่ยวหยา ข้าชอบฟังจากปากเจ้าเองมากกว่าปีศาจตัวเล็กนี่...” หลินหยาหันมาหน้ายู่ ตาแดงเพราะทั้งเขินทั้งโกรธ “ไม่มีอะไรทั้งนั้น!!”


ชายสวมหน้ากากหัวเราะแผ่วในลำคอ ก่อนเอื้อมมือคว้าข้อมือหลินหยาไว้ ลากเธอเข้ามาใกล้จนแทบแนบอก “ไม่ยอมพูด…ก็ดี ข้าจะค่อย ๆ บีบให้เจ้าเอง” เสียงพร่าเล็กน้อยแฝงความบ้าคลั่งเย็นยะเยือก ก่อนจะหันไปมองเซียนเฉ่าที่ทำตาใสซื่อ “หรือไม่...ข้าจะฟังจากมันจนหมดก็ได้”


“ไม่! โอ๊ยย!! บ้าเอ้ย! ข้า…ข้าจะพูดเองก็ได้!!” หลินหยาหลุดเสียงออกมา หน้าแดงราวลูกตำลึงสุก ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย “ก็แค่…ข้าคิดถึงท่าน…พอใจหรือยัง!!” จางกงกงหลับตาลงช้า ๆ รับคำสารภาพนั้นราวกับดื่มน้ำผึ้งชโลมหัวใจ แล้วลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เยือกเย็นแต่พึงใจอย่างที่สุด “ดีมาก เสี่ยวหยา...เจ้ารู้ไหม ว่าคำนี้...จะทำให้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปไหนอีกเลย” หญิงสาวยู่หน้า กอดเซียนเฉ่าแน่น ยอมแพ้กับปีศาจสวมหน้ากากตรงหน้าไปอีกครั้งหนึ่ง…แต่ถึงจะบอกว่าคำนี้แต่หลินหยารู้สึกว่าต่อให้ไม่พูดหรือพูด เขาก็ไม่ปล่อยเธออยู่ดี


หลินหยาเบ้ปาก มองจางกงกงที่ดูพึงพอใจราวกับราชสีห์ที่จับแมวน้อยได้อยู่หมัด นางกอดเซียนเฉ่าแน่นขึ้น พลางเอ่ยเสียงหงุดหงิดปนเขิน "เจ้าอดเมนูอาหารหรูไปเลยนะ! อย่าหวังว่าจะได้กินอะไรดี ๆ จากข้าช่วงนี้เลย!" เซียนเฉ่าครางหงิง ๆ ทำหน้าเหมือนจะประท้วง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร จางกงกงก็หัวเราะต่ำ ๆ ใต้หน้ากากครึ่งหน้า สายตาคมลึกมองมาอย่างยั่วเย้า "ข้าเลี้ยงมันเองก็ได้ เสี่ยวหยา…อาหารในตำหนักจงฉางชื่อของข้า ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เลิศเล่อ แม้แต่สำหรับปีศาจตัวเล็กนี่"


เซียนเฉ่าทำตาเป็นประกายทันที “ฟังดูน่ากินมากเลยขอรับ!” แต่ก่อนที่มันจะพูดอะไรต่อ หลินหยาก็รีบปิดปากมันแล้วหันมาจ้องจางกงกงตาเขียว “ท่านอย่ามาล่อลวงมันนะ! ข้าห้าม! เซียนเฉ่าเป็นสัตว์เลี้ยงของข้านะ!” จางกงกงหัวเราะแผ่ว ราวกับคำประกาศนั้นยิ่งถูกใจเขา “งั้นเจ้าเองก็ควรรู้…ว่าเจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ จนหลินหยาต้องถอยหลังเล็กน้อย มือหนาเอื้อมขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ขณะเสียงพร่าแผ่วลอดออกมา “แล้วเมื่อของของข้าประกาศว่าเป็นของใคร…ข้าย่อมปกป้องมันอย่างดีที่สุด” หลินหยาหน้ายู่เพราะเขาพูดจาเหนือกว่าอีกแล้ว แถมเซียนเฉ่าที่โดนกอดแน่นยังส่งเสียงครางหงิง ๆ ประหนึ่งสนับสนุนจางกงกงเสียด้วย หญิงสาวตีต้นแขนเขาอีกครั้งเบา ๆ ด้วยความเขิน “พูดแบบนี้นี่มันน่าหมั่นไส้จริง ๆ เลยนะ!”


ชายสวมหน้ากากหัวเราะต่ำในลำคอ รับแรงตีเล็ก ๆ นั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมยื่นมือไปลูบหัวเซียนเฉ่าในอ้อมกอดหลินหยาอย่างช้า ๆ “แมวน้อยของข้า…หมาของเจ้าก็จะได้กินอาหารดีที่สุดเช่นกัน” เสียงเขาแฝงความเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังวางกับดักใหม่ให้แมวน้อยตรงหน้าอีกครั้ง…


หลินหยาก้มลงวางเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าลงบนพื้นเบา ๆ พลางลูบหัวมันครั้งสุดท้าย ดวงตากลมใสของนางก้มมองเจ้าตัวเล็กด้วยแววอ่อนโยน "กลับไปที่ร้านก่อนเถอะ วันนี้ข้าต้องอยู่ที่นี่...กับคนใจร้าย" นางหันหน้าขึ้นปรายตาไปทางจางกงกงที่นั่งสงบอยู่ในศาลา น้ำเสียงเหมือนบ่นแฝงประชดเล็กน้อย เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหูเล็กน้อยเหมือนเข้าใจคำพูดของนายสาว มันเหลือบมองบุรุษสวมหน้ากากครึ่งหน้าที่แผ่กลิ่นอายกดดันจาง ๆ แล้วหมุนตัววิ่งหายไปอย่างว่องไว หางฟูสะบัดไปตามแรงวิ่งราวกับบอกลาว่า อย่าให้โดนทำโทษล่ะนะคุณหนู


เมื่อเจ้าหมาน้อยลับสายตา หลินหยาก็ถอนหายใจเบา ๆ ความว่างเปล่าหลังเสียงกรุ๊งกริ๊งหายไปทำให้นางยิ่งรู้สึกอึดอัด หญิงสาวเดินไปยังอ่างน้ำไม้ข้างศาลา ล้างมือที่เพิ่งอุ้มสุนัขมาอย่างตั้งใจ น้ำเย็นชะล้างความเหนียวเหนอะออกไป แต่ไม่อาจล้างความขุ่นใจในอกนางได้เลย หลินหยาสะบัดมือให้แห้งพลางพึมพำกับตัวเอง "อยู่กับคนใจร้ายจริง ๆ นั่นแหละ..." ก่อนจะหันไปทางชายที่ยังคงมองมาด้วยสายตานิ่งแต่ลึกล้ำ จางกงกงเอนตัวเล็กน้อย เหมือนผู้ล่าเฝ้าดูเหยื่อ ดวงตาคมกริบใต้หน้ากากฉายแววที่ทำให้หลินหยาต้องเบือนหน้าหนี ทั้งที่รู้สึกว่าถูกกลืนกินไปทีละน้อย


จางกงกงแสยะยิ้มบาง ๆ เอื้อมมือคว้าข้อมือนางอย่างเนิบช้า ลากให้หญิงสาวที่ยังเช็ดมือไม่เสร็จเซไปใกล้ "เสี่ยวหยา…เจ้าบ่นว่าใจร้าย แล้วเหตุใดถึงยังไม่หนี?" หลินหยาเบือนหน้าเล็กน้อย ยู่ปากขัดใจแต่ก็ไม่ขืนตัว แค่เอ่ยตอบเสียงงอน "ก็เคยหนีแล้วไงแต่เพราะวันนี้ข้าใจดี…ยอมอยู่กับท่านสักพักก็ได้" นางพูดพลางขยับกายลงนั่งข้างเขาโดยไม่สบตา


จางกงกงหัวเราะต่ำในลำคอ เสียงนั้นทั้งเย็นและร้อนในเวลาเดียวกัน มือหนาเลื่อนขึ้นแตะปลายคางนางอย่างแผ่วเบา ดวงตาใต้หน้ากากยังไม่ละไปไหน "ดี...ข้าจะถือว่านั่นเป็นการยอมรับแล้วเสี่ยวหยา" หญิงสาวเม้มปากแน่น พยายามซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อจากทั้งความเขินและความหงุดหงิดอยู่ในที ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก็ไม่ยอมลุกหนีจากวงแขนของเขาแม้แต่น้อย


หลินหยาพ่นลมหายใจแรงกว่าเดิมนิดหน่อย ยกมือปัดมือหนาที่แตะคางนางออกไปอย่างไม่ค่อยแรงนัก แต่แฝงด้วยความหงุดหงิด นางเงยหน้ามองเขา ดวงตาคมหวานหรี่เล็กลงพร้อมน้ำเสียงกระเง้ากระงอด "ไม่ต้องแตะข้าบ่อยนักได้ไหม? เดี๋ยวข้าก็แตะท่านคืนบ้าง จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง!" ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าหัวเราะเบา ๆ เสียงต่ำแผ่วในลำคอแฝงความเย้ยหยันและความพอใจ ดวงตาคมวาวใต้หน้ากากมองนางอย่างจับจ้อง ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยกระซิบใกล้หูนาง "เจ้าจะแตะข้า? เสี่ยวหยา…เจ้าทำไม่ได้หรอก"


หลินหยาขมวดคิ้วทันที "ทำไมจะทำไม่ได้!" นางเชิดคอขึ้นเถียงเสียงห้วน แต่ท่าทางนั่นกลับทำให้เขายิ่งยิ้ม


จางกงกงเลื่อนมือไปลูบเส้นผมนุ่มของนางราวกับกำลังหยอกเล่น ก่อนจะก้มตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น จนปลายจมูกแทบจะชนกัน "เพราะเจ้าตัวเล็กเกินไป…ต้องเงยหน้ามองข้าตลอด ส่วนข้า…ก็ก้มลงมองเจ้าได้ตามใจ" คำพูดนั้นทำให้แก้มหลินหยาร้อนผ่าวนางยกมือเท้าเอวทันทีอย่างกับแมวขู่ "ท่านนี่มัน!" แต่ยังไม่ทันจะด่า จางกงกงก็ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ สายตาวิบวับแฝงความพึงใจเต็มเปี่ยม ทำเอาหญิงสาวชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนจะกัดฟันเมินหน้าหนีอย่างขัดใจ ทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก


หลินหยาถอนหายใจพลางยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนตั้งใจวัดความสูงของเขากับตัวเอง เธอเชิดหน้ามองเขาจากศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะบ่นพึมพำทั้งเสียงและท่าทีที่เต็มไปด้วยความงอนปนอยากรู้อยากเห็น "เพราะท่านสูงเกินไปต่างหากละ... สูงกว่าข้าเกือบ 30 เซนได้เลยนะ ทำไมเป็นขันทีแล้วถึงสูงขนาดนี้กันนะ" คำพูดที่ติดจะบ่นแต่กลับคล้ายคำชมลึก ๆ นั้นทำให้ดวงตาคมใต้หน้ากากกวาดมองเธออย่างล้ำลึก จางกงกงไม่ได้ตอบ มีเพียงรอยยิ้มบางที่ไม่อาจอ่านความหมายได้ปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาเฝ้ามองทุกการกระทำของนางอย่างนิ่งเงียบเงียบเกินไปจนชวนให้รู้สึกเหมือนถูกสายตาของนักล่าจับจ้อง


หลินหยามองต่ำลงเล็กน้อย พลันสายตาหยุดอยู่ที่เอวของเขา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ "เอวก็เล็กเหมือนผู้หญิงอีกต่างหาก..." นางเอื้อมมือขึ้นแตะต้นแขนของเขา บีบเบา ๆ อย่างทดสอบ รู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแรงแม้จะไม่หนาเกินไปนัก ความสงสัยทำให้นางบ่นต่อ "มีกล้ามเนื้อด้วย… หมายความว่าท่านฝึกฝนร่างกายตลอดเวลาเลยสินะ"


มือเล็กที่บีบต้นแขนและสายตาที่จ้องตรวจสอบเขาเหมือนกำลังสำรวจสิ่งของล้ำค่า ทำให้บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่เริ่มร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาของจางกงกงฉายแววอันตรายแฝงความปรารถนาที่บิดเบี้ยว เขาโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย เงาของเขาคลุมทับตัวหลินหยาไว้ทั้งหมด น้ำเสียงต่ำพร่าแต่เยือกเย็นดังขึ้นข้างหูนาง "เสี่ยวหยา…เจ้ารู้หรือไม่ว่ายิ่งเจ้าจับยิ่งเจ้ามองแบบนั้น…ข้ายิ่งอยากทำบางอย่าง" หลินหยาชะงักไป ดวงตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าตนเองเผลอทำอะไรลงไป ความร้อนจากใบหน้าแผ่ลงถึงลำคอ เธอรีบชักมือกลับเหมือนแมวที่ถูกน้ำร้อนลวก แต่ก็สายไปแล้ว เพราะจางกงกงกำลังจ้องเธอด้วยสายตาที่ผสมทั้งความพึงใจและความปรารถนาที่น่าหวาดหวั่น ใบหน้าภายใต้หน้ากากโน้มเข้ามาใกล้จนหลินหยาต้องถอยหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ทว่าเสียงหัวเราะแผ่วเบาของเขากลับดังตามมา ทำให้หัวใจของหลินหยายิ่งเต้นแรงกว่าเดิม


จางกงกงนิ่งเพียงชั่วอึดใจ แต่แรงกดดันรอบตัวกลับถาโถมจนเหมือนอากาศหนักขึ้น เขายกมือขึ้นช้า ๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามแนวเส้นผมของหลินหยาแล้วหยุดที่ท้ายทอย ดึงนางเข้ามาใกล้จนระยะห่างหายวับไปในพริบตา เสียงของเขาเย็นจัดแต่แฝงความสั่นสะเทือนที่มาจากข้างใน “เสี่ยวหยา…เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ากวนใจแล้วเดินหนีไปเฉย ๆ ได้หรือ”


หลินหยาเม้มปากแน่น พยายามรักษาสีหน้าที่ไม่ยอมแพ้ แม้หัวใจจะเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา มือเล็กยกขึ้นดันอกเขาอย่างดื้อ ๆ “ข้าก็ไม่ได้จะหนีสักหน่อย แต่ท่านอย่ามาทำตัวน่ากลัวใส่ข้าแบบนี้สิ” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่ทั้งดื้อ ทั้งท้าทาย และแฝงความเขินระคนในที “ท่านน่ะ…ขี้หวงเกินไปแล้วนะ” 


ดวงตาของจางกงกงใต้หน้ากากวาวโรจน์ขึ้นเหมือนพยัคฆ์ที่ถูกท้าทาย เขาก้มลงมาใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะปลายจมูกของนาง น้ำเสียงต่ำกระซิบ “หวงเจ้ามันผิดตรงไหน…ในเมื่อเจ้าคือของข้า” หลินหยายู่หน้าแล้วกระซิบกลับบ้างน้ำเสียงสั่นนิด ๆ แต่ยังดื้อ “แล้วข้าล่ะ…ไม่มีสิทธิ์หวงตัวเองบ้างหรือไง”


คำพูดนั้นทำให้จางกงกงหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะต่ำลึกเต็มไปด้วยความพึงใจและบ้าคลั่ง เขากดหน้าผากแนบกับหน้าผากของนางชั่วครู่ ก่อนพูดเสียงพร่า “มีสิ…แต่เจ้าจะต้องหวงตัวเองในอ้อมแขนของข้าเท่านั้น” หลินหยาหน้าแดงเถียงไม่ออก หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะระเบิด นางแสร้งหันหน้าหนีแต่ก็ถูกมือหนาประคองแก้มไว้ไม่ให้หลบ สุดท้ายจึงใช้วิธีเดิมยกมือบีบแขนเขาแรง ๆ แทนการตอบโต้ด้วยคำพูด จางกงกงกลับหัวเราะแผ่ว ๆ อีกครั้ง ดึงนางเข้ามากอดแน่นขึ้น ราวกับจะย้ำเตือนให้นางรู้ว่า ต่อให้พยายามหลบแค่ไหนก็ไม่อาจหนีจากเขาได้เลย




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: เห่อ ปิดปากคุณได้ก็จะปิดปากเดี๋ยวคุณรักฝากความรักจากใครรร

รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 82051 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ เมื่อวานซืน 00:10
โพสต์ 82,051 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ เมื่อวานซืน 00:10
โพสต์ 82,051 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ เมื่อวานซืน 00:10
โพสต์ 82,051 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ เมื่อวานซืน 00:10
โพสต์ 82,051 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ เมื่อวานซืน 00:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ เมื่อวานซืน 20:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 28 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน เวลา 16.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)


ท้องฟ้ายามเซินวันนี้ปกคลุมด้วยเมฆหม่น แสงอาทิตย์คล้อยต่ำทอดยาวผ่านศาลาจื่อเถิงฮวา เงาร่มไม้สั่นไหวไปตามแรงลมบางเบา ท่านชายห่าวหมิงผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้าเอนตัวพิงเสาอย่างสงบ ดวงตาคมใต้เงาหน้ากากจับจ้องไปยังทางเดินที่ทอดยาวเข้าสู่ศาลา แววตาเย็นลึกแต่กลับแฝงความคาดหวังในห้วงลึกของจิตใจ แล้วในที่สุด ร่างเล็กของหลินหยาก็ปรากฏขึ้น เธอวิ่งมาด้วยลมหายใจรวยริน ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อเหมือนเพิ่งหลบหนีจากบางสิ่งที่ร้ายกาจนัก ใบหน้าซีดเผือกจนแทบไม่มีสีเลือด ดวงตาที่ปกติจะเจือแววขี้เล่นกลับสั่นระริกด้วยความอ่อนแรงและร่องรอยของความหวาดกลัว มือบางสั่นเทาจับเสาศาลารั้งตัวไว้ไม่ให้ล้มลง


จางกงกงเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาใต้หน้ากากวาวขึ้นเหมือนเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน เขาก้าวเข้ามาหานางรวดเร็วราวกับเสือที่พบเหยื่อ สองมือหนากระชากไหล่เล็กเข้ามาใกล้จนหลินหยาแทบล้มซบอกเขา เสียงเข้มกดต่ำลอดออกมาจากหลังหน้ากาก “เสี่ยวหยา…เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงเย็นเฉียบ แต่ความโกรธแค้นปนห่วงหาแผ่ซ่านออกมาจนบรรยากาศรอบตัวหนาวยะเยือก


ปลายนิ้วของจางกงกงสั่นเล็กน้อย ทว่าดวงตากลับเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง มือที่จับไหล่ของหลินหยาแน่นขึ้นราวกับจะยึดนางไว้กับโลกใบนี้ “ใคร...กล้าทำกับเจ้า” น้ำเสียงก้องต่ำเต็มไปด้วยความอาฆาต เขาโอบเอวนางประคองให้นั่งลงกับเก้าอี้ศาลา ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรวจดูร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว เห็นรอยพิษไล่ตามเส้นเลือดที่ผิวจาง ๆ ใต้ปลายแขน


หลินหยาพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ริมฝีปากสั่นเทา “ไม่ต้องห่วงมากหรอกน่า…ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก” น้ำเสียงแผ่วจนแทบขาด แต่ยังคงดื้อรั้นอย่างที่เธอเป็นเสมอ


จางกงกงกัดฟันกรอด เสียงแผ่วที่ลอดออกมาจากไรฟันคล้ายคำสาปแช่ง “เจ้ากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าข้าอีกหรือ…” เขาดึงนางเข้ามากอดแน่นในอ้อมแขน หัวใจเต้นแรงจนสัมผัสได้ “ใครก็ตามที่แตะต้องเจ้า ข้าจะตามไปลากมันออกมาจากนรกแล้วฉีกเนื้อมันเป็นชิ้น ๆ” แม้หลินหยาจะอ่อนแรงถึงขีดสุด แต่ความร้อนในอกของชายตรงหน้าแผ่ซ่านถึงเธอจนหัวใจสั่นคลอน นางหลับตาลงพิงกับอกกว้างนั้นเหมือนแมวที่เพิ่งหนีจากฝูงสุนัขคลั่ง แล้วปล่อยให้เขาโอบกอดไว้ทั้งตัว โดยไม่รู้เลยว่าในดวงตาของท่านชายห่าวหมิงใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้น เปลวเพลิงแห่งความโกรธและการครอบครองได้ปะทุจนพร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่งที่กล้าทำร้ายหลินหยาให้มอดไหม้ไปกับตนเอง


เมื่อสายตาประสานกับดวงตาคมที่อยู่ใต้หน้ากากครึ่งหน้า หญิงสาวยกมือแตะแผ่นอกตัวเอง หายใจลึกก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว แม้จะพยายามให้มั่นคงแต่ฟังดูสั่นเครือ “ท่านอย่าเลย...มันก็แค่การต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะ” มือเรียวกำชายเสื้อแน่น เล่าต่อด้วยน้ำเสียงเจือความหวาดกลัว “ข้าพบเขา...ไป๋เซียว ปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหาง” ดวงตากลมคู่นั้นไหวระริกเมื่อนึกถึงภาพการต่อสู้ที่เพิ่งผ่าน “ความจริงข้าเคยเจอเขาที่นี่แล้ว ครั้งนั้นเป็นเพียงร่างแยก...ข้าไล่ไปได้ แต่ครั้งนี้เป็นร่างหลักของเขาเป็นเขาตัวจริง แข็งแกร่งเกินกว่าที่ข้าจะรับมือได้”


เธอก้มหน้านิดหน่อย ดวงตาแดงเรื่อก่อนจะบีบมือแน่นราวกับข่มกลั้นอารมณ์ “โชคดีที่องค์เทพเยว่เหล่าอยู่ใกล้ เพราะเป็นในศาลเจ้าของท่าน...ท่านนิมิตกายมาช่วย ไม่อย่างนั้นข้าคง...ไม่รอดมานั่งอยู่ตรงนี้”


หลินหยาเงยหน้ามองเขา ริมฝีปากซีดเซียวเอ่ยต่อแผ่วเบา “ท่านรู้ไหม พิษที่แล่นในกายข้า ไม่ใช่พิษของไป๋เซียว...แต่เป็นพิษมังกร ที่ซึมเข้ามาตั้งแต่เลือดของท่าน...เลือดที่เปื้อนแผลของข้า ในวันที่ข้าสิ้นสติหลังจากชกหน้าท่าน” นางยิ้มจาง ๆ ขมขื่นราวกับยอมรับความจริงที่เจ็บปวด “ข้ารู้...ท่านไม่มีวันถอนมันออกจากร่างกายข้าใช่หรือไม่” จางกงกงนิ่งฟัง สายตาใต้หน้ากากลึกขึ้นราวกับเหวที่ไม่มีวันหยั่งถึง ความเย็นเยือกผสมความคลั่งคุกรุ่นอยู่ในแววตานั้น เขาเอื้อมมือขึ้นแตะคางเธอช้า ๆ ยกให้สบสายตากับเขาเต็ม ๆ ก่อนจะก้มลงพูดด้วยเสียงต่ำพร่า “เสี่ยวหยา...พิษนั้นยังไม่ใช่ตอนนี้”


หลินหยาจ้องเขาดวงตาสั่นระริก “เพราะมันจะทำให้ข้าไม่มีวันหนีไปจากท่าน...ใช่ไหม”


มุมปากของจางกงกงยกยิ้มเย็นที่ทำให้หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ “ใช่...พิษนี้คือพันธะ เป็นโซ่ตรวนที่ผูกเจ้าไว้กับข้า ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน มันจะคอยเตือนว่าเจ้าเป็นของใคร” หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ใจหนึ่งเกลียดนัก อีกใจก็เจ็บแปลบและ...สั่นไหว เธอสบตาเขานิ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแผ่ว 


“ท่านมัน...ปีศาจไม่ต่างจากไป๋เซียวเลย”


จางกงกงหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำแฝงความน่าขนลุกแต่ก็หวานล้ำจนสั่นใจ “ถูกแล้ว...ข้าคือปีศาจของเจ้า ปีศาจที่เจ้าเองก็ไม่มีวันหนีไปได้” เขากระชับอ้อมแขนรัดร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเงียบ ๆ ความอบอุ่นกับกลิ่นกฤษณาของเขาโอบคลุมตัวหลินหยาไว้ในพันธะที่เธอไม่อาจปฏิเสธ ดวงตาของเธอวาววับด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งรัก ทั้งเกลียด ทั้งหวาดกลัวและสุดท้ายก็ยอมพิงอกเขาอย่างเงียบงัน ขณะที่เขาก้มลงกระซิบข้างหูเสียงพร่า “ไม่ต้องหนี...เพราะเจ้าจะไม่มีวันไปจากข้าได้”


สายลมยามบ่ายพัดอ้อยอิ่ง เถาวัลย์ม่วงที่พันรอบศาลาจื่อเถิงฮวาไหวเอื่อยตามแรงลม ลมหายใจของนางยังติดความเหนื่อยล้า ดวงตาเรียวยาวทอดมองไปยังบุรุษที่โอบนางไว้ในอ้อมกอดของตนเอง จางกงกงในคราบท่านชายห่าวหมิง ดวงตาคมใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นยังคงลึกเกินคาดเดา แต่ครั้งนี้หลินหยาตัดสินใจจะพูดในสิ่งที่เธอไม่เคยกล้าบอก นางยกมือเรียวลูบขลุ่ยไม้สีเข้มที่แกะสลักลวดลายเถาวัลย์ม่วงรอบตัวมันที่หลินหยาพกติดกายไว้ตลอด เสียงสัมผัสแผ่วเบาทำให้บรรยากาศรอบกายเหมือนถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด หลินหยายกขลุ่ยขึ้นมาวางบนตัก สายตาเต็มไปด้วยความจริงจังและเศร้าสร้อย “ท่านรู้หรือไม่… ข้าได้มันมาในคืนที่ข้าเมา ในอ้อมกอดของท่าน ในคราบท่านชายห่าวหมิง”


จางกงกงเลิกคิ้วเล็กน้อยใต้หน้ากาก แม้สีหน้าจะไม่แสดงออก แต่แววตานั้นแฝงประกายระแวง เขาเงียบรอให้นางพูดต่อ หลินหยาพ่นลมหายใจแผ่วเหมือนปลดบางสิ่งออกจากอก “วันนั้น… ข้าไม่ได้แค่หลับไป ข้าเห็นภาพ เห็นท่าน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหกขวบจนจรดวันที่ท่านทำลายตระกูลตนเอง ข้าเห็นจวนที่ไฟลุกโชน ท่านยืนอยู่กลางเพลิงเองด้วยมือของท่าน ข้าเห็นความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้ ท่านที่ทุกข์ทรมานเพียงลำพัง...” มือบางกำขลุ่ยแน่นเล็กน้อย น้ำเสียงสั่นเบาจนแทบแหลกสลาย 


“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าต้องเห็น แต่ข้ารู้…ว่าท่านไม่ใช่เพียงปีศาจอย่างที่ปากข้าเอ่ย ท่านคือนรกที่สร้างขึ้นเองเพื่อกักขังตัวเอง” 


คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศขมุกขมัว จางกงกงนั่งนิ่ง ดวงตาลึกล้ำไร้คลื่น แต่ข้างในกลับราวกับพายุที่ถูกกดทับ เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้นางทีละนิด มือหนายกขึ้นแตะแก้มขาวซีด ลากปลายนิ้วแผ่วเบาจนหลินหยาต้องกลั้นหายใจ “เสี่ยวหยา…” เสียงทุ้มพร่าเอ่ยช้า ๆ “เจ้าเห็น…หึ” รอยยิ้มมุมปากนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดปนหลงใหล “เมื่อเจ้ารู้…เจ้าจะไม่มีวันหนีข้าไปได้อีก ต่อให้เจ้าพยายามหนีแค่ไหน เจ้าก็ยังจะเดินกลับมาหาข้า เหมือนในวันนี้”


หลินหยาจ้องเขาดวงตาสั่นระริก นางส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่ได้กลับมาเพราะพิษ ไม่ได้กลับมาเพราะพันธะใด ๆ ข้ากลับมา…เพราะข้าอยากอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเอง” คำตอบนั้นทำให้แววตาคมใต้หน้ากากคลายลงเล็กน้อย แต่ก็แฝงความบ้าคลั่งลึกล้ำ เขาก้มลงกระซิบชิดหูหญิงสาว ราวกับเสียงปีศาจในเงามืด “เจ้าพูดเช่นนี้…ข้ายิ่งจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”


สียงลมพัดผ่านใบไม้ ดอกเถาวัลย์ม่วงร่วงหล่นทีละกลีบ ขลุ่ยในมือนางสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนจะเรียกร้องให้เป่ามัน แต่หลินหยากลับกอดมันไว้แน่น ปล่อยให้เสียงหัวใจที่เต้นแรงแทนที่ท่วงทำนองนั้นในยามนี้


“ท่านคิดว่าตอนนั้นข้าเป็นยังไง…เมื่อข้ารู้ว่าจางกงกงและท่านชายห่าวหมิงคือคนคนเดียวกัน” หลินหยาพูดทั้งที่เสียงสั่น ดวงตาที่คลอมองคนตรงหน้าที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ใต้หน้ากากครึ่งหน้านั้นคือสายตาที่เธอมองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด นางกำขลุ่ยไม้สีเข้มแน่น ลายเถาวัลย์ม่วงบนขลุ่ยนั้นส่องประกายวูบไหวราวกับรับรู้ถึงอารมณ์ของผู้ถือ “ข้าโกรธท่านมาก...มากจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร” น้ำเสียงหลินหยาสั่นพร่าราวกับระบายสิ่งที่เก็บกดมานาน “ท่านสวมหน้ากากมา...ทำราวกับว่าข้าโง่เขลาที่จะไม่รู้ว่าเป็นท่าน ทั้งที่ท่านทำร้ายข้าไว้...ถึงขนาดนั้น”


มือเรียวสั่นเล็กน้อยยกขึ้นจับปลายหน้ากากที่เย็นเฉียบด้วยปลายนิ้ว “อะไร...อะไรที่ทำให้ท่านเลือกสวมหน้ากากนั้น มาหาข้าในคราบของท่านชายห่าวหมิง ชื่อรองที่ฮ่องเต้ประทานให้ท่าน”


จางกงกงเงียบ ริมฝีปากเม้มแน่นชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำเย็นชาแฝงความบิดเบี้ยว “เพราะหากข้ามาหาเจ้าในนามจางกงกง...เจ้าจะหนีข้า” เขาเงยหน้ามองเธอ ดวงตาภายใต้หน้ากากลุกวาบราวกับเปลวเพลิงมืด “ข้าสวมหน้ากาก...เพื่อให้เจ้าเข้ามาใกล้ ข้าต้องการให้เจ้ามองข้าโดยไม่หวาดกลัว โดยไม่เกลียดชัง”


หลินหยากัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอ “แล้วหัวใจของข้าเล่า? ตอนนั้นข้าเจ็บ...เจ็บเจียนตาย ทำไมท่านต้องเล่นกับมันถึงเพียงนี้”


จางกงกงก้าวเข้ามาใกล้ ร่างสูงใหญ่โอบล้อมเธอด้วยเงาของตนเอง นิ้วเรียวยกปลายคางของเธอขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยแรงที่เธอไม่อาจขัดขืน “เพราะหัวใจของเจ้ามันดื้อรั้นเกินไปเสี่ยวหยา...มันไม่เคยยอมศิโรราบต่อใคร และข้า…ข้าก็ไม่เคยยอมให้สิ่งใดที่ข้าอยากได้หลุดลอยไป” เสียงของเขาแผ่วลงแต่กลับบาดลึกกว่าเดิม “ข้าสวมหน้ากากนั้น...เพื่อให้เจ้าเข้ามาในกับดักของข้าโดยเต็มใจ เจ้าโกรธข้า...เกลียดข้า...ได้สิ เสี่ยวหยา แต่จงจำไว้ ข้าไม่เคยเล่นกับหัวใจของเจ้า ข้าแค่ทำให้มันเป็นของข้าเท่านั้น”


“ท่านมัน...โหดร้ายยิ่งกว่าปีศาจทุกตนที่ข้าเคยพบเสียอีก” เธอกำขลุ่ยแน่นจนสั่นไปทั้งตัว 


จางกงกงยกยิ้มเย็นใต้หน้ากาก ดวงตาส่องประกายโรคจิตและหลงใหลในคราวเดียว “ใช่...เพราะข้าเป็นปีศาจของเจ้า ปีศาจที่แม้เจ้าจะเกลียด...เจ้าก็ยังหนีไม่พ้น” คำพูดนั้นกรีดหัวใจหลินหยา เธอพยายามผลักเขาออกแต่กลับถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนแกร่ง เขาก้มกระซิบข้างหูเสียงพร่าลึก “เจ้าเจ็บเพราะข้า และเจ้าจะจำความเจ็บนั้นไปชั่วชีวิต...เพราะมันคือสิ่งที่ผูกเจ้าไว้กับข้า”


เสียงลมยามบ่ายพัดผ่านศาลาจื่อเถิงฮวา เสียงใบไม้เสียดสีกันดังก้องคล้ายเสียงคร่ำครวญ หลินหยายังคงพิงอยู่ในอ้อมแขนของจางกงกง ดวงตาหวานที่เต็มไปด้วยหยาดความเศร้าแฝงความปวดร้าวมองขึ้นไปยังชายสวมหน้ากากครึ่งหน้า ดวงหน้าที่แม้ซ่อนอยู่แต่ก็แผ่รังสีคุกกรุ่นเย็นยะเยือก นางสูดหายใจลึกก่อนปล่อยลมหายใจออกมาช้า ๆ เสียงสั่นพร่าแผ่วเบา “ข้าได้รับหน้ากากนั้นแล้ว...หน้ากากไร้ใจที่หล่อหลอมด้วยความเจ็บปวดของท่าน...ข้ารู้ว่ามันคือเศษใจที่ท่านทิ้งไว้เบื้องหลัง เต็มไปด้วยความแค้น ความผิดหวัง ความเจ็บปวดที่สุมรวมจนกลายเป็นพลังมืดดำในตัวท่าน”


มือของหลินหยาสั่นเล็กน้อยเมื่อกำชายเสื้อของเขาไว้แน่น ความอ่อนแรงในร่างกายไม่ได้ทำให้นางหยุดพูด ความจริงถูกกลั่นออกมาทีละคำ เสียงสั่นสะท้านหัวใจ “ข้ารู้...รู้หมดแล้ว...ว่าท่านมีบาดแผลที่ลึกเพียงใด แต่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือทำไม...ทำไมต้องเอาหัวใจของข้าไปเล่นด้วย ทำไมต้องทำให้ข้าเจ็บ เจียนตายเพราะท่าน...” น้ำเสียงของนางเปลี่ยนเป็นพร่าหวานแตกร้าว ร่างเล็กสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดของเขา


จางกงกงนิ่งเงียบ ความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างเขาเหมือนคลื่นอากาศแผ่ปกคลุมศาลา ดวงตาคมภายใต้หน้ากากจ้องนางอย่างลึกล้ำ แววตานั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่เก็บซ่อน ความบิดเบี้ยว ความรัก ความแค้น ปะปนจนยากแยกออก เขายกมือเรียวขึ้นจับปลายคางเล็กของนางอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น สายตาแน่วแน่เหมือนจะกลืนกินวิญญาณของหลินหยา


“ข้าคิดมาตลอดว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง...ทั้งแค้น ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวด...และทั้ง...ทำไมข้าต้องรู้สึกกับท่านด้วยก็ไม่รู้...มันบ้าบอที่สุด...” เสียงนางสั่นแต่ชัดเจน


จางกงกงกระซิบเสียงต่ำชิดใบหูนางพร่าพูดคำและเย็นจับใจ “เพราะเจ้าคือของข้า เสี่ยวหยา...แม้เจ้าจะเกลียดข้า จะโกรธแค้นข้า...หัวใจเจ้าก็หนีไปจากข้าไม่ได้” เขาขยับใบหน้าใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อนผสมกลิ่นเย็นของเขา เสียงของเขาสั่นคล้ายคำรำพันของปีศาจในคราบชาย 


“ความเจ็บปวดของเจ้าคือเครื่องยืนยันว่าข้ามีอยู่ในเจ้า...และเจ้าก็มีอยู่ในข้า”


อ้อมกอดของเขาแน่นขึ้นทีละน้อย แฝงด้วยความปรารถนาที่บิดเบี้ยว ราวกับกลืนกินนางทั้งร่างทั้งใจ ขณะเดียวกันใบหน้าของหลินหยาซบลงกับอกเขา กลิ่นหอมจาง ๆ ของเขาผสมกับกลิ่นเลือดและพิษที่ซ่อนอยู่ในร่างนาง ทำให้หัวใจของทั้งสองเต้นแรงเจ็บร้าวไปพร้อมกัน ในยามนั้นศาลาจื่อเถิงฮวาราวกับกลายเป็นโลกที่เหลือเพียงสองคน...สองดวงใจที่ทั้งรัก ทั้งเกลียด ทั้งเจ็บปวด และโหยหาอย่างไม่อาจปลดปล่อย


กลิ่นเถาวัลย์ม่วงที่คลอเคลียอยู่รอบเสาก็ปลิวไหวไปตามแรงลม ตอนนี้เธออยู่ในอ้อมแขนนี้แล้วนางก็หันหน้ามองชายสวมหน้ากากครึ่งหน้าอย่างนิ่งสงบ แต่ในดวงตากลับมีแววสั่นไหวที่ปิดไม่มิด นางพ่นลมหายใจยาว ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนทั้งเหนื่อยล้าและประชดประชันเล็กน้อย "ท่านรู้หรือไม่ ข้าโกรธท่านมากแค่ไหน...ที่สวมหน้ากากแล้วมาหาข้าในคราบท่านชายห่าวหมิง ทั้งที่เป็นคนทำร้ายข้าเอง เจ็บแทบตายยังต้องมาเจอท่านในคราบที่แสร้งเป็นคนอื่น"


จางกงกงเงียบ ดวงตาคมที่มองลอดหน้ากากคู่นั้นเฝ้าจับจ้องหญิงสาวตรงหน้าเหมือนจะมองทะลุถึงหัวใจนาง เขาไม่ตอบในทันที เงาร่างสูงบังแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาในศาลาน้ำเสียงเขาเย็นเยียบแต่ก็แฝงแรงสั่นสะเทือนในใจ "ไม่ใช่คนอื่น…ห่าวหมิงก็คือข้า เจ้าไม่เข้าใจหรอก เสี่ยวหยา… หน้ากากนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อหลอกเจ้า แต่เพื่อปกป้องสิ่งที่ข้าเป็นจริง ๆ" เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับใกล้ข้างหูนาง


"ข้า...ไม่รู้จักความรัก แต่ข้ารู้จักการครอบครอง และเจ้า…คือสิ่งที่ข้าไม่ยอมให้ใครแย่งไปได้"


หลินหยาเงยหน้าขึ้นสบสายตาภายใต้หน้ากากนั้น นางหัวเราะเบา ๆ แต่แฝงด้วยความเจ็บลึก "ข้ารู้ดีอยู่แล้วว่าท่านยังไม่เข้าใจความรักหรอกเพราะท่านไม่เคยได้รับมันมาเลยแทบตลอดทั้งชีวิตจนพบองค์ไท่จื่อในตอนนั้น แต่ข้าจะลอง…ลองดูว่าจะทำให้ท่านเข้าใจได้ไหม เพราะข้าเลือกเส้นทางนี้เอง" 


เสียงนางสั่นเมื่อเอ่ยต่อ "คนรอบข้างข้า เพื่อนที่รู้ว่าข้าชอบคนที่โหดร้ายราวกับปีศาจ ทุกคนล้วนแต่คิดว่าข้าบ้า แต่ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ท่านยังเป็นอย่างที่เป็น…และข้าก็ยอมรับมัน"


นางยกมือขึ้นแตะแผ่วเบาที่อกของเขา ตรงหัวใจที่เต้นอย่างหนักแน่น "สำหรับท่าน ข้าอาจจะเป็นแค่สหาย…หรือบางสิ่งที่ไร้ความหมาย แต่ข้าจะบอกไว้ตรงนี้ว่า ข้า…ไม่ได้คิดซื่อกับท่านขนาดนั้น" ดวงตานางเปล่งประกายสั่นไหว ทว่าเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว


คำพูดนั้นทำให้เงาของรอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏที่มุมปากของจางกงกง เขายกมือขึ้นกอบกุมข้อมือบางของนาง "เจ้ากล้าเล่นกับข้าจริง ๆ เสี่ยวหยา… และข้า…จะเผาเจ้าไปทั้งหัวใจ" น้ำเสียงพร่าต่ำคล้ายคำขู่ แต่กลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่ซ่อนเร้น ใบหน้าของเขาโน้มต่ำลงจนหลินหยารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่ปะทะแก้ม เสียงหัวใจของทั้งคู่เต้นดังสอดประสานกันในความเงียบของศาลา จางกงกงจ้องนางราวกับจะสลักภาพนี้ลงไปในวิญญาณที่บิดเบี้ยวของเขาเอง


หลินหยาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่กอดนางแน่น ร่างสูงที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจอันน่าหวาดกลัว บัดนี้กลับดูอ่อนลงเพียงเล็กน้อยยามที่นางยื่นมือปลดหน้ากากออกจากใบหน้าของเขา เสียงโลหะเบา ๆ เมื่อหน้ากากหลุดออก เผยให้เห็นใบหน้าคมคายที่แท้จริง 


ดวงตาคมกริบของจางกงกงมองนางนิ่ง ลึกซึ้งจนคล้ายจะดึงวิญญาณของนางให้ตกลงไปในห้วงมืดนั้น หลินหยาก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด นิ้วเรียวสั่นน้อย ๆ ขึ้นแตะแก้มเย็นเฉียบของเขา ลูบเบา ๆ ราวกับกลัวว่าความจริงนี้จะหายไป นิ้วโป้งของนางเกลี่ยไปตามสันกรามแกร่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว 


“เมื่อสวมหน้ากากท่านคือท่านชายห่าวหมิง…แต่ยามนี้ ท่านคือจางกงกงสินะ เจ้าคนโหดร้าย”


จางกงกงนิ่งริมฝีปากที่เคยโค้งยิ้มเจ้าเล่ห์กลับกระตุกเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เขาโน้มใบหน้าลงต่ำจนลมหายใจร้อนผ่าวกระทบแก้มนาง ดวงตานั้นสั่นวูบวาบระหว่างความโกรธ ความรัก และความบิดเบี้ยวที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ “เสี่ยวหยา…เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่” เสียงทุ้มต่ำพร่าแผ่วดังขึ้น


หลินหยากลับยิ้มจาง ๆ ทั้งที่ดวงตาเอ่อคลอ เธอไม่กลัวไฟที่ว่า มือบางยังคงลูบใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าก็ไม่ได้เล่นนะ แค่ข้าไม่กลัวหรอก…ถึงท่านจะทำร้ายข้าแค่ไหน ข้าก็ยังอยากเห็นหน้าที่แท้จริงของท่านอยู่ดีในตอนนี้…และบางครั้งที่ข้าทำใจได้นะ” จางกงกงยกมือขึ้นจับมือของนางที่แตะแก้มเขาไว้แน่น ดวงตาคมกริบฉายประกายสับสนระคนหลงใหล “เจ้ามันดื้อ…แต่ข้าก็ชอบเจ้าที่ดื้อแบบนี้” เขากระซิบ ก่อนจะกอดนางแน่นกว่าเดิมราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยไปไหนอีกแล้ว


หลินหยามองใบหน้าที่แท้จริงของจางกงกงโดยไร้หน้ากากครึ่งหน้าใด ๆ ปิดบัง ใบหน้าคมสันนั้นยังคงนิ่งสงบ แต่ในดวงตาที่จ้องตอบกลับมามีประกายบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก หญิงสาวพ่นลมหายใจแรง ๆ “เห่อ…อารมณ์ของข้านี้นะ”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ทั้งที่ยังซบพิงไหล่กว้างของอีกคนอยู่ ความเหนื่อยที่กัดกินร่างกายทำให้เสียงหัวเราะนั้นเหมือนเสียงของคนที่กำลังจะร้องไห้มากกว่าหัวเราะจริง ๆ นางกระซิบพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง "อารมณ์มันเหวี่ยงน่ะ...ข้าก็แค่บ่นไปเรื่อย ไม่มีอะไรหรอก" ปลายนิ้วเรียวที่เกาะแขนของจางกงกงขยับเล็กน้อยเหมือนจะหนี แต่กลับหยุดนิ่งเมื่อเขาไม่ปล่อยให้นางขยับหนีไปไหนได้ ดวงตาสีหวานของหลินหยาเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มของเขา 


ก่อนจะหันหนีเหมือนแกล้งปฏิเสธความจริงในใจของตัวเอง เสียงของนางดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม "ข้ารู้...ข้าบ่นจุกจิก แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย...น่าเบื่อจะตายไป" น้ำเสียงปนขื่นขันแต่กลับสั่นไหวอยู่ลึก ๆ “แต่มันก็น่าแปลกใช่ไหม...เพราะแบบนี้แหละ ถึงมีคนอยากเข้ามาใกล้ ทั้งที่ข้าไม่น่าเข้าหาเลยสักนิด”


จางกงกงที่ฟังอยู่เงียบ ๆ ราวกับซึมซับทุกคำพูดของนาง มือหนาเลื่อนมารั้งเอวของหลินหยาแน่นขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกที่เขาส่งผ่านทางสัมผัสนั้นทั้งหวงทั้งแค้น ทั้งหลงทั้งเจ็บปวด ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาเคลื่อนใกล้ใบหูขาวซีดของนาง พลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำที่เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว 


"เพราะแบบนั้นเจ้ายิ่งน่าเข้าหา...ยิ่งน่าเก็บไว้กับตัวข้ามากกว่าใคร"


“ท่านก็พูดไปเถอะ ท่านมันก็แค่คนขี้หวงคนหนึ่งเท่านั้นเอง” 


จางกงกงที่ไม่มีหน้ากากปิดบังอีกแล้วเพียงเลิกคิ้วบาง ๆ ดวงตาคมหันลงมามองคนตัวเล็กที่ยังคงพิงหัวบนไหล่ของเขาอยู่ แม้คำพูดจะเต็มไปด้วยความบ่นพร่ำ แต่เขากลับเห็นรอยยิ้มที่หลบซ่อนในน้ำเสียงนั้น เขาไม่พูดอะไรในทันที เพียงยกมือขึ้นโอบไหล่นางรั้งให้เข้ามาชิดอกมากกว่าเดิม เสียงทุ้มเอ่ยช้า ๆ อย่างเย็นเยียบแต่กลับเต็มไปด้วยความเอ็นดูที่บิดเบี้ยว "เจ้าบ่นได้ตามใจ แต่จงจำไว้ เสี่ยวหยา...ไม่ว่าจะเหวี่ยงหรือแปรปรวนเพียงใด เจ้าก็จะอยู่ในอ้อมกอดของข้าเช่นนี้เสมอ"


หลินหยาได้ยินคำพูดนั้นก็เพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ทั้งที่หน้ายู่แต่กลับไม่ได้ขยับหนีไปไหน นางเอ่ยต่อพลางหลับตาลงราวกับจะพักหายใจ "ข้ารู้หรอกน่าว่าท่านมันบ้าอำนาจ แถมยังหวงจนคนอื่นหนีหมด แต่ข้า..." เสียงนางขาดห้วงไปชั่วครู่ ก่อนจะพึมพำต่อ "...ข้าก็คงหนีไม่รอดหรอก ท่านมันขี้หวง...ขี้หึง...แล้วยังทำให้ข้าปั่นป่วนทุกที" คำพูดนั้นเหมือนคำตำหนิแต่กลับเต็มไปด้วยความยอมรับโดยไม่รู้ตัวของหลินหยา


จางกงกงไม่ได้ตอบเป็นคำพูด เพียงยกมือขึ้นเชยคางนางให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับเขา สายตาคมกริบที่เปล่งประกายบ้าคลั่งและอ่อนโยนปะปนกัน จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนางราวกับจะฝังตรวนลงในวิญญาณ ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบแตะกัน เสียงกระซิบพร่าทุ้มต่ำลอดริมฝีปากออกมา "เจ้าคือของข้า...เสี่ยวหยา ต่อให้เจ้าจะเหวี่ยงใส่ข้าแค่ไหน ข้าก็จะรับมันทั้งหมดไว้เอง"


หลินหยาเม้มปากเงียบ ใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ก่อนที่นางจะพึมพำในอ้อมกอดเขาเสียงเบา “ท่านก็แค่จะหาเรื่องลงโทษข้าล่ะสิ”




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: มางอแงครับ ผมงอแงๆๆๆ

รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 83,092 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:46
โพสต์ 83,092 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:46
โพสต์ 83,092 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:46
โพสต์ 83,092 ไบต์และได้รับ +40 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +35 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:46
โพสต์ 83,092 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้