หลังจากใช้เวลาเดินทางมาจนทั่วทั้งแผ่นฟ้าถูกย้อมเป็นสีดำ ในที่สุดรถม้าแสนสมถะก็เคลื่อนตัวมาจนถึงเขตชานเมืองที่จะว่าเงียบสงบก็เงียบสงบ คึกคักก็คึกคัก มือขาวผ่องขยับเข้าเลิกชายผ้าม่านของหน้าต่างรถม้าขึ้นพลางกวาดสายตาสำรวจรอบด้านที่นานทีปีหนจะได้เห็นด้วยความสนใจโดยมีสายตาของต้าซือคงคอยจับจ้องอยู่อีกทอด “ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนอกเมือง แต่ที่จริงแล้วนอกเมืองฉางอันก็มิต่างอันใดไปจากในเมือง ” เสียงทุ้มของต้าซือคงช่วยกำกับความคิดของนงคราญให้คล้อยตามไปโดยไม่รู้ตัว
จริงอย่างที่เขาว่า โดยปกติแล้วนอกเมืองมักเปลี่ยวมืดร้างผู้คน แต่ดูแล้วคงไม่ใช่กับนอกเมืองฉางอัน บัดนี้เข้าสู่ยามค่ำแล้ว ใครจะไปนึกว่าด้านนอกรั้วเมืองที่ควรเงียบสงัดจะเต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งเซ่ของนักเดินทางรวมไปถึงคนท้องที่ที่ออกมากู่ร้องนำเสนอสินค้า ไม่ก็บริการช่วยนำทาง “ ใช่ว่าจะเหมือนกันไปเสียหมด ท่านดูสิ ที่รอบนอกนี้ไม่มีสักคนที่คล้ายคนกำลังจะกลับบ้าน ทั้งหมดล้วนเหนื่อยล้า แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้อย่างเต็มที่ ”
ในขณะที่ต้าซือคงสนใจความคึกคักของผู้คน สิ่งที่พระชายาหยกมองกลับเป็นสภาพจิตใจของคนเหล่านั้น ทั้งสองล้วนเป็นผู้มีสายตาเฉียบแหลมในการมองคน ทว่ากลับเป็นการมองในคนละด้านโดยสิ้นเชิง เถียนเฟิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความช่างสังเกตของหญิงงามผู้เป็นพระชายาอย่างถูกต้องของสหายตน ‘ นับว่าฝ่าบาทโชคดีที่มีสตรีเช่นนี้คอยอยู่ประคับประคอง ’
ไม่อ่อนแอเกินไปแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนเป็นภัย
ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาแต่ก็ไม่ได้ฉลาดเหลือร้ายจนเกินควร
เหมาะมากกับการเป็นผู้นำฝ่ายใน.. นับว่าเจ้าห่าวหมิงนั่นตาดีนัก “ หากเป็นไปได้กระหม่อมก็อยากให้ท่านได้ชื่นชมความเป็นไปของนอกเมืองกว่านี้ทว่าเรามาถึงกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ” เถียนเฟิงรู้ว่าตนเองมาถึงโรงเตี๊ยมชิงหมิงตั้งแต่ก่อนที่รถม้าจะหยุดลงเสียด้วยซ้ำ นัยน์ตาของเขาสะท้อนกับแสงที่ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างคล้ายการเรืองวาบอย่างเจ้าเล่ห์ หากไม่ใช่ว่ารู้จักกันมาก่อน.. ไป๋หรั่นก็คงต้องทบทวนดูอีกทีแล้วว่าการร่วมทางมาด้วยนี้นับว่าถูกต้องจริงหรือไม่
หนึ่งในสามซานกงก้มศีรษะลงคล้ายว่าขออนุญาตซึ่งนางก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งหมดดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตามพิธีการที่ควร ฝ่ายชายก้าวลงจากรถม้าก่อนเพื่อรอรับหญิงสาวที่จะเดินตามลงมาทีหลัง ต่างไปก็เพียงไม่มีมือที่ยื่นมาประคอง และก็ไม่มีมือที่ขยับหาการประคองด้วยเช่นกัน
“ นายหญิงไม่เคยมาที่โรงเตี๊ยมชิงหมิง เช่นนั้นให้เหวินซานจัดการดีหรือไม่ ” สรรพนามเปลี่ยนไปแต่คนตรงหน้าก็ยังเป็นเช่นเดิม สุภาพชนที่มีรอยยิ้มเบาบางประดับบนใบหน้าชวนให้คนเดินเข้าหา แต่ในขณะเดียวกันก็มีท่าทางไม่เอาใคร ไป๋หรั่นที่กลับมาสวมหมวกไผ่ผ้าคลุมต่อให้อย่างหัวเราะแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับกับคำกล่าวของอีกฝ่ายพลางปล่อยให้ชายร่างสูงเดินนำเข้าไปด้านในโดยมีนางเดินตามหลังเขาไปอีกที
โรงเตี๊ยมชิงหมิงถึงไม่หรูหราโอ่อ่าเท่าโรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองแต่ก็งดงามในแบบเรียบ ๆ ที่ไม่อาจใช้คำว่า ง่าย มากำกับคู่ไปด้วยได้ ของประทับหรือที่ใช้สร้างโรงเตี๊ยมทั้งหมดล้วนถูกสั่งทำมาเป็นอย่างดี ในส่วนของเก่าก็จัดว่าเป็นของล้ำค่าราคาแพงชนิดที่หาได้จากโรงประมูลอันดับต้น ๆ เท่านั้น รสนิยมเรียบหรูแต่ผลาญทรัพย์เหล่านี้หากไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็คงไม่มีใครเอื้อมถึงแล้ว เนตรหงส์ชำเลืองมองแจกันลายโบตั๋นแปดกลีบที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางเข้าสลับกับฉากกั้นยวนยางเหินเวหาแสนแปลกตาที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน
พระชายาหยกหันมองป้ายประกาศงานว่าจ้างที่สมัยนี้ถือเป็นของขาดไม่ได้ภายในโรงเตี๊ยมใหญ่ ๆ ดูเหมือนว่ายามนี้นอกเมืองจะไม่ค่อยสงบ ถึงได้มีประกาศขอความช่วยเหลือมากมายเกินขึ้นทั้งที่ชิงหมิงและชางลั่งถิง ในระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าควรลงนามไว้สักหน่อยดีหรือไม่ เสียงทุ้มของชายที่มาด้วยกันก็เรียกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์เสียก่อน
“ นายหญิง ”
ฝั่งของเถียนเฟิงไม่เหมือนกับไป๋หรั่นที่สามารถมองหรือใช้ความคิดได้เรื่อยเปื่อย ทันทีที่สองเท้าก้าวเข้ามาด้านใน เขาก็ถูกเสี่ยวเอ้อร์คนสนิทของเถ้าแก่ปรี่เข้ามาประชิดตัวโดยทันที หลังจากชี้แจงถึงสาเหตุการมาเยือน ฝ่ายที่ทำงานอยู่ที่นี่ก็รีบผายมือเชิญแขกผู้มีเกียรติให้ตามไปยังห้องรับรองชั้นดี ดังนั้นเขาเลยได้หันกลับไปหมายจะเชิญสตรีของผู้เป็นนายขึ้นไปด้วยกัน แต่แทนที่จะได้เห็นการตอบสนองอย่างทันท่วงที เถียนเฟิงกลับพบว่าพระชายากำลังหันมองไปทางป้ายประกาศโดยไม่พูดไม่จา
“ ขออภัยด้วย เป็นครั้งแรกที่มาเลยไม่ทันได้ตั้งตัว นึกมิถึงเลยว่าโรงเตี๊ยมชิงหมิงจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ ” เพราะไม่มีใครเห็นดวงหน้าที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าแพรขาวทำให้คำพูดเอาตัวรอดนี้สามารถใช้ได้ดีโดยไม่ติดขัด ฝั่งเสี่ยวเอ้อร์ที่นานทีปีหนจะมีสตรีมาพร้อมกับแขกประจำก็นึกอยากสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย เลยออกปากช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ “ ที่โถงกลางยังนับว่าน้อย เมื่อเทียบกับห้องที่ผู้น้อยกำลังจะพาทั้งสองท่านไปเยือน โดยปกติแล้วนับว่าเป็นเรื่องยากกว่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องรับรองนี้ ทว่าคุณชายเถียนที่มากับแม่นางถือเป็นคนสำคัญยิ่—- ”
“ ได้เตรียมสำรับไว้แล้วหรือยัง ” ไม่ใช่ทุกครั้งที่เถียนเฟิงมีอากัปกิริยาตอบสนองกับคำพูดของผู้อื่น ทว่าหนนี้อีกฝ่ายพูดเสียราวกับว่าตรงหน้านี้คือสตรีที่เขากำลังเกี้ยวพา แม้ว่าจะยังมีรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าแต่แววตาของยอดบัณฑิตกลับเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เสี่ยวเอ้อร์เหล่านี้บางทีก็รู้สถานการณ์บางทีก็ไม่รู้ ดูแล้วหากเขานึกอยากเกี้ยวใครขึ้นมา โรงเตี๊ยมชิงหมิงอาจจะต้องเป็นตัวเลือกสุดท้าย หรือไม่ก็ตัวเลือกแรกแค่เฉพาะในบางสถานการณ์เสียแล้ว
เสียงหัวเราะน้อย ๆ ดังขึ้นจากทางพระชายาที่ปิดบังฐานันดร หากมีใครถามเข้าว่าเพราะอะไรถึงได้นึกอยากหัวเราะขึ้นมา ไป๋หรั่นก็คงยินดีบอกเล่าแบ่งปันสถานการณ์ที่น่าตลกนี้ให้ผู้อื่นทราบโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “ เป็นเกียรตินัก ”
“ นายหญิง ” ต้าซือคงกล่าวเสียงอ่อน เสมอมาเขาชินชาอยู่กับการเป็นที่นิยมชมชอบ แต่กลับหาใช่ผู้ที่จะไปนิยมชมชอบใคร ฉะนั้นการถูกมองว่าเป็นอย่างนั้นค่อนข้างทำให้เขากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ทว่าสองคำนี้กลับเป็นตัวช่วยเฉลยฐานะที่ถูกต้องให้คนรอบกายได้ทราบ แม้แต่ต้าซือคงยังกล่าวขานว่า ‘ นายหญิง ’ หรือที่ยืนอยู่นั้นจะเป็นคนสูงศักดิ์ !?
“ อะแฮ่ม สำรับโดยคร่าวตอนนี้มีหมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดมะม่วงหิมพานต์ เต้าหูผัดเสฉวน ปีกไก่เหล้าแดง แล้วก็เป็ดตุ๋นเกาลัดขอรับ หากเท่านี้ยังไม่เพียงพอ คุณชายเถียนสามารถสั่งเพิ่มเติมได้ ” เสี่ยวเอ้อร์รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นสงวนวาจาก้มหน้างุด ๆ ไม่เงยมองใคร ดูแล้วน่าสงสารนักสำหรับชายไม่รู้ประสีประสา แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีโดยการนำทางแขกทั้งสองมาจนถึงห้องรับรองพิเศษบนชั้นสามที่ไร้ผู้คน “ เถ้าแก่กำชับคนงานไว้ก่อนแล้วว่าท่านจะมา ฉะนั้นชั้นนี้คุณชายสามารถใช้พื้นที่ได้ตามต้องการ หากประสงค์สิ่งใดให้แจ้งแก่พวกผู้น้อย อ้อ.. ”
เสี่ยวเอ้อร์ช่างพูดคนนั้นเดินหายไปครู่หนึ่งในระหว่างที่แขกทั้งสองต่างก็ไม่ได้ยืนรั้งรอเขา เถียนเฟิงเชิญพระชายาเข้าไปด้านในอย่างสุภาพและนางก็ไม่มีเหตุให้ต้องปฏิเสธไมตรีของเขา ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันโดยมีโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัวคั่นกลาง ต่อมาเมื่อเสี่ยวเอ้อร์กลับมาอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ในมือเขาก็คือถาดที่วางสุราไหหนึ่งเอาไว้
“ นี่คือสุราดอกท้อตำรับชิงหมิงที่เตรียมไว้ให้ขอรับ ”
ทุกอย่างเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว เสี่ยวเอ้อร์วางไหสุราลงบนโต๊ะก่อนจะเดินถดถอยหลังออกจากห้องรับรองไป
“ อย่างที่ข้าได้แจ้งแก่ท่านแต่แรก สุราชิงหมิงไหนี้ .. ถือเป็นการแสดงความยินดีต่อท่าน ”
ไป๋หรั่นปลดหมวกไผ่ผ้าคลุมออกช้า ๆ ในขณะที่เถียนเฟิงกำลังรินสุราลงจอก นงคราญหยกไม่คุ้นกับการได้รับการปฏิบัติโดยเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่อย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นถึงพระชายาแล้ว หมวกผ้าแพรขาวถูกวางไว้ข้างกาย นางยื่นมือออกไปรับจอกสุรามาคลึงสำรวจ ไม่จำเป็นต้องยกจอกสุราจ่อปลายจมูกก็ยังได้กลิ่นหวานรัญจวน สำหรับผู้ที่ลิ้มลองรสชาติมาหลากหลายเช่นนางยังถึงกับลอบกลืนน้ำลายเมื่อคาดการณ์ถึงฤทธิ์เดชของมัน
“ ผู้หมักเมรัยออกมาสีใสหอมกระจายอย่างนี้ได้.. นับว่ามีความสามารถนัก ”
“ ข้าไม่ทราบมาก่อนเลยว่านายหญิงทรงสนใจในของพรรคนี้ด้วย? ” เถียนเฟิงปรายตามองท่าทางของผู้ชำนาญในการเสพศิลป์ที่หาได้เร่งรัดกระดกน้ำจัณฑ์ด้วยความตื่นเต้นเช่นคนทั่วไป แต่กลับเฝ้าพิจารณาดูกลิ่นสี ความใส และความเหลวผ่านการขยับมือน้อย ๆ เพื่อสร้างระลอกการหมุนวนภายในจอกที่รองรับของเหลวไว้ไม่น้อย
“ เกิดในตระกูลการค้า หัวข้อสำคัญในการเจรจาย่อมเป็นการรับรอง.. สุราดีนับเป็นหนึ่งในตัวชูโรง ฉะนั้นข้าจึงศึกษาไว้เพื่อใช้งานเพียงเท่านั้น ” ไป๋หรั่นไม่ใช่เมรีขี้เมาที่คลั่งไคล้หลงไหลในรสสุรา ตรงกันข้าม.. หลายครั้งนางใช้น้ำเมาเหล่านี้เสมือนยารักษาใจในบางโอกาส ตัวช่วยในการมีชีวิตรอดในบางคราว และเกราะป้องกันความอ่อนแอไม่แน่นอนในใจของตนเอง โฉมสะคราญในรอบหลายพันปีหรี่ตาลงในระหว่างที่ริมฝีปากเหยียดกว้างเป็นความงามจับใจชวนให้คนตะลึง “ ตัวข้าก็นับว่าคอแข็งอยู่ไม่น้อย ถึงกระนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะสุราไหนี้ได้ ”
ความถ่อมตนนี้คล้ายจะสะกิดใจให้คุณชายเถียนหัวเราะขึ้นมาได้ราว ๆ สองถึงสามลมหายใจ “ นับตั้งแต่ข้าเห็นสหายแจกจ่ายสุรานี้ ก็ยังไม่เคยพบผู้ใดต้านฤทธิ์ของมันได้เลย ” เป็นจริงอย่างที่เถียนเฟิงกล่าว สุราแห่งชิงหมิงไหนี้ได้รับการขนานนามอย่างลับ ๆ ว่า ‘ ประตูสวรรค์ ’ ที่เล่นงานผู้คนมามากมาย ครั้งหนึ่งที่มีงานรับรองส่วนตัวของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเมื่อเบิกสุราดอกท้อนี้แจกจ่ายไปตามโต๊ะต่าง ๆ เถียนเฟิงก็ยังจำได้ดีว่าสภาพน่าเวทนาของผู้ที่เห็นภาพหลอนนั้นมีมากแค่ไหน
“ อาจจะฟังดูน่าหวั่น ทว่าครั้งหนึ่งในชีวิต สมควรมีโอกาสได้ลิ้มลองสุราดีเช่นนี้จริง ๆ ” เขาเองก็ยังเคยใช้มันไม่ต่างจากยารักษาใจ ภาพฝันไร้สาระเหล่านั้นบางครั้งก็ช่วยอาบชะโลมไม่ให้ตัวตนแห้งเหี่ยวจนเกินไป เถียนเฟิงพิศมองดูรอยยิ้มสะกดใจพร้อมด้วยท่าทางสบาย ๆ ที่แฝงไว้ซึ่งความถือตัว นับว่าเป็นสตรีที่ฉลาดแสดงออกนัก.. ฉลาดเสียจนนึกอิจฉาที่ดอกฟ้านี้ผ่านการจับจองอยู่ก่อนแล้ว “ สุดคืนนี้ ข้าจะให้รถม้าที่ไว้ใจได้ไปส่งนายหญิงถึงที่พัก ”
“ รบกวนต้าซือคงช่วยจัดการด้วย ” จอกสุรายกขึ้นจรดกลีบปาก นางจิบสุราหนึ่งคำเล็ก ๆ พอให้รับรสชาติ คนงามที่ไม่รีบร้อนกลืนน้ำเมาปล่อยให้ความหวานละมุนลิ้นแผ่กระจายทั่วโพรงปาก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ เป็นรสของสุราดอกท้อที่หวานกว่าปกติแต่ก็ค่อย ๆ จุดประกายความร้อนผาวในขณะที่ปล่อยให้มันไหลสู่ภายในผ่านลำคอ ในทีแรกนางยังไม่รีบร้อนตัดสินว่านี้แท้จริงแล้วเป็นของชั้นเลิศหรือก็แค่ดี.. ไป๋หรั่นลดจอกสุราลงเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้น “ ทางที่ดีส่งคนไปแจ้งให้เตรียมพร้อมไว้ด้วยก็ดี ”
“ ตามที่นายหญิงประสงค์ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย ”
เรื่องที่นางไว้วานไม่ได้ยากเกินความสามารถ เถียนเฟิงพยักหน้ารับคำครั้งสองครั้ง ก่อนจะหันไปรินสุราไผ่เขียวอีกไหที่วางอยู่ไม่ไกลลงในจอกของตัวเอง ดวงตาเรียวของต้าซือคงเหลือบมองอากัปกิริยาของผู้ที่พึ่งจะจิบยอดสุราไปหมาด ๆ สลับกับไก่ขอทานที่พระชายากล่าวว่าทำมาเป็นของฝาก “ รู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ? ”
“ หวานติดปลายลิ้น อมไว้แล้วไม่ฝาดอย่างสุราทั่วไป กลืนแล้วลื่นคอแต่เหมือนจะมีปลายรสเผ็ดร้อน โดยรวมแล้วจัดว่ารสชาติซับซ้อนนัก ” จะให้พูดภาษาชาวบ้านว่าเป็นหนึ่งในของอร่อยก็ได้ แต่สำหรับนางหากจะใช้คำว่ามันก็ไม่เชิง เพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าไป๋หรั่นยกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้งในปริมาณที่มากกว่าครั้งแรก “ หากกล่าวว่าเป็นยอดสุราก็คงไม่มีใครกังขา ”
“ ฟังดูแล้วคล้ายสุราที่สหายของข้าเป็นผู้หมักจริง ๆ ” ถึงพวกเขาจะไม่ได้มีจุดประสงค์มาเพื่อตรวจสอบรสสุราแต่การได้ฟังคำขยายความรสชาติในแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ชวนให้รู้สึกพอใจอยู่บ้าง “ แล้วนอกจากรสชาติ ยามนี้เริ่มเห็นบางสิ่งหรือยัง? ”
“ ก็เหมือนจะ.. ” ตั้งแต่หลังจิบแรก ไป๋หรั่นก็พอจะสัมผัสได้แล้วว่าที่ปลายหางตาเหมือนจะมีบางอย่างผิดไป หลังจากจิบที่สองทีแรกทุกอย่างก็เหมือนจะปกติดี จวบจนตลอดทั้งร่างร้อนผาวขึ้นมาอย่างที่อธิบายได้ยาก ปกติแล้วนางไม่ควรมีอาการตอบสนองต่อของมึนเมาไวเท่านี้ แต่ครั้งนี้มันกลับ..
เสียงเพลงไร้ที่มากับหมอกควันราวม่านเมฆ ไป๋หรั่นชะงักไปเมื่อสัมผัสได้ว่ารอบกายเกิดความเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผนังที่วาดลวดลายเมฆาของห้องรับรองพิเศษยังเริ่มสลายกลายเป็นควันขาวก่อนจะถูกแทนที่ด้วยแผ่นฟ้ารัตติกาลที่ประดับประดาไปด้วยดาวมากมาย แม้แต่แสงสว่างจากโคมไฟยังดูคล้ายแสงดาวขนาดใหญ่กว่าดวงอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายกันไปทั่วบริเวณ
“ ท่านเอาอะไรให้ข้าดื่มกันแน่ ”
คำถามนี้เป็นตัวบอกอย่างดีว่าพระชายากำลังตกอยู่ใต้ฤทธิ์น้ำจัณฑ์ ต้าซือคงที่เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะในลำคออีกครั้ง “ ก็เป็นแค่เพียงสุราไหหนึ่งเท่านั้นเอง ” เขาเคาะโต๊ะเบา ๆ ในระหว่างที่เหล่าเสี่ยวเอ้อร์กำลังยกสำรับเข้ามาจัดวางโดยที่สายตายังทอดลงกับร่างบางที่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง ส่วนหนึ่งซ่อนโฉม ส่วนอีกนัย.. เอาเป็นว่าเขาก็พอจะเข้าใจ
“ ดื่มสุราตอนท้องว่างนับว่าไม่ดี ทานให้พอมีเรี่ยวแรงก่อนเถิด ”
อีกฝ่ายยังดูสำราญใจ ตรงข้ามกับไป๋หรั่นที่ปิดเปลือกตาลงซ่อนความหยาดเยิ้มที่แผ่กระจายโดยไม่รู้ตัว จนถึงตอนนี้นางยังคงได้ยินเสียงเพลงของเหล่านางอัปสรที่ลงมาบรรเลงให้เป็นการพิเศษ ไหนจะภาพสรวงสวรรค์ที่ซ้อนทับอยู่กับความเป็นจริง “ สมควรแล้วที่ท่านจะเลือกดื่มสุราไผ่เขียว ”
นางยังแบ่งสมาธิมาสังเกตเห็นอีกว่าเขาดื่มอะไร? เถียนเฟิงหลุบตาลงมองไหสุราไผ่เขียวข้างกายช้า ๆ ก่อนจะเคลื่อนสายตากลับไปยังคู่สนทนาดังเดิม “ ฉะนั้นนายหญิงย่อมสามารถสำราญกับสุราดอกท้อนั้นได้เต็มที่ ” ต้าซือคงพอจะเห็นอยู่ลาง ๆ ว่ามุมปากบางบนใบหน้างามนั้นยกขึ้นอย่างขบขัน
“ ต้าซือคงทุ่มเทมากจริง ๆ ”
ดวงตาเรียวเบิกขึ้นเล็กน้อย ถึงตอนนี้แล้วเขากลับถูกสตรีคนหนึ่งย้อนนำความเก่ากลับมาหยอกได้อย่างไม่ติดขัด องคมนตรีฝ่ายพลเรือนอย่างเถียนเฟิงยกยิ้มขึ้นตอบกลับความเป็นกันเองนี้โดยไม่นึกจะปฏิเสธ “ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงความยินดีต่อท่าน ”
…
หนึ่งเค่อผ่านมาหลังจากที่ไป๋หรั่นพอจะคีบอาหารหลายอย่างขึ้นมาทานให้มีแรงรับกับภาระทางสุราที่ผลาญสติจนแทบหมดในเวลาสั้น ๆ ในที่สุดสหายของต้าซือคงก็ได้เดินทางมาถึง เสียงประตูเลื่อนเปิดดังครืดคล้ายกับฟ้ายามส่งอัสนีผ่าลงมา นงคราญหยกคิดกับตัวเองอย่างขบขันว่าเมื่อหันไปมองก็คงไม่พ้นพบสายฟ้าสักเส้นพุ่งลงมา ซึ่งมันก็ดันเป็นจริง ที่ด้านหลังของชายหนุ่มในชุดสีรัตติกาลมีสายฟ้าสองสายฟาดลงไขว่กันส่องแสงสว่างวาบช่วยขับเน้น.. ควัน? ขมุกขมัวที่บังใบหน้าของเขาเอาไว้
ชายที่มาใหม่ปรายตามองอีกหนึ่งชีวิตในห้องรับรองก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย กิตติศัพท์ของสตรีงามมีอยู่มากมายแต่ผู้ที่งามแล้วสะกดสายตาได้ถึงเพียงนี้เกรงว่าจะมีอยู่ไม่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใบหน้าที่งามอย่างร้ายกาจนั้นค่อย ๆ หรี่ตาลงคล้ายพิจารณาก็เหมือนจะแฝงความเย้ายวนอยู่หลายส่วน
“ ขออภัยที่มาสาย ” ชายผู้มาใหม่กล่าวสั้น ๆ พลางหลุบสายตามองไหสุราที่วางแบ่งฝั่งกันอย่างเรียบร้อย หนึ่งคือสุราไผ่เขียว อีกหนึ่งคือสุราดอกท้อของเขา.. ชายชุดสีนิลเลิกคิ้วขึ้นภายใต้หมวกไผ่ผ้าคลุมดำ แม้ว่ามันจะไม่ปกติที่ต้องปิดบังหน้าตามาพบสหายแต่ก่อนหน้านี้เขาก็ได้รับรายงานมาจากคนงานว่าเถียนเฟิงไม่ได้มาเพียงลำพัง ฉะนั้นเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน เขาจึงตัดสินใจมาพบในแบบที่ลึกลับขึ้นหน่อยแต่ก็ไม่นึกว่าคนที่มากับอีกฝ่ายจะเป็นสาวงามชนิดหาตัวจับได้ยาก
“ สหาย นางคือพี่สะใภ้เจ้า ” เถียนเฟิงแนะนำหญิงสูงศักดิ์ให้สหายของตนได้ทราบถึงฐานะ ก่อนจะขยับปากพูดบางอย่างเสียงเบาที่พอจะให้สหายของตนเองรับรู้ได้ก็เท่านั้น แต่เมื่อถึงคราวต้องแนะนำสหายของตนให้พระชายาได้ทราบ เขากลับเงียบไปเล็กน้อย “ นายหญิง สหายของกระหม่อมผู้นี้คือ.. ”
“ เถ้าแก่ ข้าเป็นเถ้าแก่แห่งโรงเตี๊ยมชิงหมิง ” ในเมื่อเปิดเผยฐานะกันให้พอทราบแล้ว เถ้าแก่โรงเตี๊ยมทรุดกายลงนั่งบริเวณหัวโต๊ะเพื่อไม่ให้เสียมารยาท สองตาของเขาชำเลืองมองผู้มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ของตนอีกครั้งก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจขึ้นมาได้แล้วว่าเหตุใดปัญหาทั้งหลายถึงได้ซัดสาดเข้าใส่นามของพระชายาเพียงหนึ่งในเวลานี้ “ โดยปกติแล้วข้าไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องครอบครัว หนนี้ถือว่าเป็นเกียรตินักที่ได้พบพี่สะใภ้ เชิญทานกินดื่มตามสบาย ถือเสียว่าเป็นการรับรองที่น้องสามีอย่างข้าไม่เคยแวะไปร่วมแสดงความยินดี ”
จนถึงตอนนี้ไป๋หรั่นก็ยังไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย นางเพ่งแล้วเพ่งอีกเผื่อว่าจะสามารถมองผ่านหมอกควันนั้นได้ แต่ดูแล้วก็คงจะไร้หวัง นงคราญหยกผ่อนลมหายใจออกผ่านริมฝีปากอย่างเชื่องช้าพลางยกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง ในเมื่อภาพหลอนก็หลอนมาแล้ว.. กินดื่มไปให้พอใจเสียก็แล้วกัน “ ข้ามีเวลามาก ส่วนท่านก็มีภาระหน้าที่ของเถ้าแก่ การแสดงความยินดีที่ยุ่งยากนั้นบางครั้งลดลงบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร ”
พี่สะใภ้และน้องสามีดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี เถียนเฟิงลอบสบมองร่างของทั้งสองแล้วก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ในตอนที่ยกจอกสุราไผ่เขียวขึ้นจิบ “ พี่สะใภ้ใจกว้างนัก ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชิงหมิงตอบกลับเป็นหนสุดท้ายก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระดานหมากขึ้นมาวางบนโต๊ะแยกที่ตั้งคั่นระหว่างที่นั่งของเถียนเฟิง และที่นั่งของตนเอง เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนพี่สะใภ้ที่บัดนี้เหมือนจะยังมีคีบสำรับบางส่วนขึ้นมาทานด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเปี่ยมมารยาท
โดยไม่รู้ว่าการกระทำของเขาในสายตาของนงคราญนั้นน่าสะพรึงถึงขนาดไหน
นางพึ่งเห็นคนแปลกหน้าเสกกระดานหมากออกมา ? เนตรหงส์ของไป๋หรั่นทอประกายอ่อนล้า นางตะลึงในภาพเพ้อฝันนี้จนหมดแรงที่จะตกอกตกใจแล้ว สาวงามก้มหน้าลงคีบเห็ดตุ๋นขึ้นมาทานสลับกับสุราในจอกอย่างเชื่องช้า ดูแล้วคล้ายคนที่ใช้เวลาผ่อนคลายเพียงลำพังโดยไม่ได้นึกสนใจผู้ใดนัก
“ ในเมื่อมีคนมาเป็นพยานอย่างนี้ เจ้าคิดอยากชนะข้าเพื่อรักษาหน้าหรือไม่ ”
“ อย่าเหลวไหลไปหน่อยเลย ระหว่างเราต้องมาพูดเรื่องหน้าตาอะไรกันอีก ”
เสียงหัวเราะหึในลำคอดังขึ้นมาจากชายที่เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมหรือก็คือผู้ที่กล่าวว่าเป็นน้องสามีของสาวงาม “ ครั้งนี้เจ้าคงชนะแน่ ” เขาพูดอย่างไม่ยีหระ เช่นเดียวกับเถียนเฟิงที่เหมือนจะประหลาดใจในวาจานี้แต่ก็ไม่ได้นึกใส่ใจกับมันมากมาย เพราะหากใส่ใจ.. เขาก็คงไม่พูดขึ้นมาว่า “ ดูเหมือนเจ้าจะถูกนายหญิงทำให้สับสนแล้ว ”
“ ข้านั่งอยู่อย่างนี้ไม่ดีหรือ? ”
“ ไม่ใช่ ” สองเสียงดังขึ้น หนึ่งทุ้มเข้ม หนึ่งเรียบง่ายแต่สุภาพ และนอกจากถ้อยคำที่เหมือนกันแล้วยังมีการขยับใบหน้าหันมามองในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันที่ทำให้น่าขบขันในสายตาของผู้เฝ้าคอย มือขาวที่คลึงขอบจอกสุรานิ่งไปเล็กน้อย ผิดกับริมฝีปากที่แย้มยิ้มจนสองชายชาตรีต้องเบี่ยงสายตาหลบหลีก
“ เช่นนั้นก็อย่าสนใจข้านักเลย ” นงคราญรินสุราไผ่เขียวลงจอกให้กับทั้งสอง ก่อนจะกระเถิบกายถอยออกมานั่งมองสองอัจฉริยะที่ประชันหน้ากัน ทั้งคู่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก แต่ก็เริ่มขยับมือไปหยิบหมากคนละสีขึ้นมา ครั้งนี้เถ้าแก่ถือหมากขาว ส่วนเถียนเฟิงครองหมากดำ ชวนให้รู้สึกขัดตาเมื่อดูเอาจากการแต่งกายของพวกเขา
“ เชิญลงหมาก ” เสียงทุ้มเข้มลอดออกมาจากปากของต้าซือคงผู้ครองหมากดำหลังจากที่เขาได้ทำการวางหมากเม็ดหนึ่งลงบนกระดานด้วยท่าทางไม่เร่งร้อน เช่นเดียวกับคู่ต่อกรที่ก็ไม่ได้เร่งเร้า แต่ความสงบอย่างนี้จะดำเนินไปได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว .. ?
หลังจากผ่านมาได้หลายกระบวน เถียนเฟิงหลุบตาลงมองกระดานหมากที่บัดนี้มีเม็ดดำและขาววางเรียงรายดูแล้วคล้ายกองทัพที่เตรียมประจันหน้า “ โจมตีเฉียบคมแล้วอย่างไร ลูกไม้นี้ของเจ้า ข้าเตรียมการรับมือมาก่อนแล้ว ” หมากดำในมือเขาถูกวางลงที่บริเวณตรงข้ามกับที่เถ้าแก่หลิวพึ่งจะวาง
การเดินหมากดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเพราะต่างคนต่างก็ต้องใช้ความคิด ส่วนผู้ชมเพียงหนึ่งเดียวที่ไร้คำพูดคำจามาพักใหญ่ ๆ ก็ทำแค่หลุบตาลงมองกระดานด้วยความสนใจ เพราะตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบที่นางเห็นว่าหมากบนกระดานเหล่านั้นเหมือนมีแขนมีขา ลอยไปมาย้ายที่ พลิกฝั่งกันได้ด้วยตัวของมันเอง ‘ สุรานี้ราวกับทำให้ข้าเสียสติมากขึ้นทุกที ทุกที.. ’ มือเล็กยกขึ้นบีบคลึงช่วงสันจมูกของตัวเองน้อย ๆ ในระหว่างที่เปิดประสาทการรับรู้ให้คอยฟังบทสนทนาที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวเงียบของยอดฝีมือทั้งสอง
“ เจ้าวางแผนมากี่ชั้นแล้วล่ะ ”
“ ก็มากอยู่ ”
เมื่อพูดจบ เถียนเฟิงวางหมากดำลงบนกระดานอีกครั้ง เกิดเป็นค่ายกลโจมตีฉบับผูกมัดที่ทำให้ทั้งผู้ชมและผู้ต้านทัพถึงกับขมวดคิ้ว ทุกคนอาจจะสามารถคิดแผนการปิดล้อมขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกรายที่จะทำสำเร็จ จากคนที่คิดจะเร่งระดับเวลาการลงหมากให้ไวขึ้น บัดนี้เถ้าแก่หลิวกลับต้องถอยมาตั้งหลักพิจารณาดูภาพรวมอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
เสียงวางหมากดังขึ้นสลับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเมื่อมาถึงขณะหนึ่ง.. ดวงตาของผู้ชมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ต่อให้ร่างกายจะตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์น้ำจัณฑ์แต่ไหวพริบชาญฉลาดของนางกลับไม่ได้หายไปตามสติสัมปะชัญญะ ด้วยเหตุนี้เองนางจึงสังเกตเห็นส่วนหนึ่ง ส่วนผิดพลาดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นมาได้ด้วยความไม่ตั้งใจภายในหมากของเถียนเฟิง ที่เผอิญว่าเถ้าแก่หลิวก็รอคอยโอกาสนี้มานาน โดยเฉพาะเมื่อยิ่งพบว่ามีคนที่สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกันกับตน
“ ข้าเองก็วางแผนเช่นกัน ”
ทันทีที่หมากขาวเม็ดนี้วางลงบนกระดาน แผนการสลับซับซ้อนที่ปลุกปั้นมาอย่างดีของต้าซือคงก็พังทลายลงในชั่วพริบตา เถียนเฟิงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเคลื่อนสายตาเฉียบคมของตัวเองขึ้นสบมองสหายภายใต้ม่านดำ “ เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ”
ถึงจะถูกกล่าวหา แต่เถ้าแก่หลิวเพียงแค่ยิ้มรับอย่างเชื่องช้า “ หมากที่ดีคือหมากที่ทำให้อีกฝ่ายนึกไปว่าตนมีชัย.. จนไม่ทันได้ตรองดูว่าที่จริงเขาได้พ่ายแพ้มานานแล้ว ” สายลมพัดพรอมแสงจันทร์ที่อาบไล้ลงบนเงานิลกาฬดูเงียบงันน่าเกรงขาม ชั่วขณะที่ทุกสรรพสิ่งล้วนพร้อมใจกันเงียบเพื่อฉลองให้กับชัยชนะของสายเลือดสูงส่ง ผู้ที่นับว่าเป็นแค่ปุถุชนทั้งสองกลับคิดตรงกันโดยทันที
‘ เกิดเป็นคนแซ่หลิวล้วนร้อยเล่ห์แยบยล ’
…
“ พี่สะใภ้เหตุใดไม่อยู่พักที่ชิงหมิงสักคืนก่อน? ”
ในระหว่างที่ร่างบางได้รับการประคับประคองโดยคนงานหญิงให้เดินไปตามโถงทางเดินชั้นล่างเพื่อมุ่งหน้าไปยังรถม้าทว่าถัดไปข้างหลังไม่ถึงหนึ่งก้าวก็ยังมีสองร่างของชายสูงโปร่ง ที่คนหนึ่งสวมหมวกไผ่ผ้าคลุมดำบังหน้าตาเอาไว้ ส่วนอีกคนดูเปิดเผยจริงใจกว่ามาก “ ท่านก็รู้ดีว่ากฏระเบียบในบ้านนั้นเยอะแยะนัก ”
“ ท่านเป็นที่โปรดปรานเพียงนั้น เรื่องนี้อาจไม่เป็นปัญหา ”
“ ตราบใดที่เป็นแค่อาจอย่างไรก็ไม่สามารถชะล้าใจ ”
ถึงจะดูใช้ชีวิตอย่างอิสระแต่ก็ระมัดระวังในทุก ๆ ฝีก้าวจนเรียกได้ว่าน่าชื่นชม เหมาะสมแล้วที่นางจะสามารถอยู่รอดในวังหลวงได้.. เถ้าแก่หลิวดึงสายตากลับมาสบกับสหายข้างกายเล็กน้อย ทั้งสองคบหาฉันมิตรสหายมาตลอดหลายปี ความคิดความอ่านหลาย ๆ อย่างก็คล้ายกัน ฉะนั้นแล้วความรู้สึกที่มีต่อสตรีที่นำอยู่ด้านหน้านี้ เกรงว่าก็คงไม่ได้ต่างไปจากกันและกันเท่าใดนัก รอจนกระทั่งสามารถส่งโฉมสะคราญขึ้นไปนั่งบนรถม้าได้ เถ้าแก่หลิวที่เคลื่อนมายืนอยู่ด้านข้างตัวรถเคาะขอบหน้าต่างเบา ๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้คนข้างในเลิกม่านขึ้น
“ สุราดอกท้อไหนี้พี่สะใภ้ดื่มไปแล้วแต่ยังไม่ทันได้หมด เช่นนั้นก็พกกลับไปด้วยเถิด ”
อย่างไรเขาและนางก็พอจะถูกคอกันอยู่บ้าง หลังจากศึกหมากล้อมที่ตึงเครียดวุ่นวาย เถ้าแก่หลิวมีโอกาสได้เชิญพระชายาผู้เป็นพี่สะใภ้ของตนมาร่วมเดินหมากสนทนาไปพลาง ๆ ซึ่งนางก็นับได้ดีถึงจะไม่เชี่ยวชาญแผนการเช่นสหายเถียนของเขา หรือเด็ดขาดแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงเช่นพี่ชายแต่ก็จัดได้ว่ามีลวดลายการคิดวิเคราะห์ที่ไม่ธรรมดาทั้งที่ตกอยู่ในฤทธิ์น้ำจัณฑ์ ไม่แปลกหากหลิวเช่อจะนึกสนใจในหญิงสาวที่ทั้งงามและไม่มีส่วนไหนขัดตาให้รู้สึกรำคาญใจ
“ สุรานี้เถ้าแก่หมักได้ดีนัก ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยพบสุราใดฤทธิ์รุนแรงเท่านี้มาก่อน ” ไป๋หรั่นยื่นมือออกมารับไหสุราดอกท้อที่ถูกยื่นมาให้และนำมันมาวางบนตักอย่างถนอมในขณะที่ฟังถ้อยคำของเถ้าแก่หลิวไปพลาง ๆ “ ก็แค่อาศัยประสบการณ์ตลอดหลายปีในการท่องยุทธจักรมาเป็นแรงบันดาลใจ ”
“ อาศัยประสบการณ์ตลอดหลายปีในการท่องยุทธจักรมาเป็นแรงบันดาลใจ.. ”
ทีแรกเขายังประหลาดใจว่าเหตุใดน้ำเสียงที่ทวนคำของเขาถึงได้ดูเศร้าสร้อยนัก ในวินาทีที่ลมราตรีพัดจนชายแพรขาวของหมวกไผ่ผ้าคลุมบนหน้าของนวลนางเลิกขึ้นเผยเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าคนงาม เผยเป็นรอยยิ้มขมขื่นที่มาพร้อมกับเสียงแว่วแผ่วเบาว่า “ ช่างโชคดีนัก ” ที่ลอยออกมาและปลิดปลิวหายไปตามสายลมทันทีที่ม่านลดลง และรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว
ทั้งรถและคนเคลื่อนผ่านไปแล้ว แต่คนที่ยังหยุดยืนนิ่งอย่างเถ้าแก่หลิวกลับเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางหัวเราะเสียงเบาในลำคอ ดูท่าเขาคงจะปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าในสักวันหนึ่ง เขาก็หวังว่าตนเองจะมีโอกาสได้พบพี่สะใภ้ในแบบที่ต่างออกไปจากครั้งนี้
“ หวังว่าท่านจะเป็นคนที่คู่ควรแก่การคาดหวังนี้.. พี่สะใภ้ ”