12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

[ขบวนคหบดีลู่]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-5 20:32:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 05 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 14.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ขบวนคหบดีลู่ (พบ เถียน เฟิง)


ยามเว่ยแสงอาทิตย์บ่ายคล้อยทอแสงอ่อนทอดผ่านผืนฟ้าสีฟ้าขุ่นเหนือถนนสิบลี้ เสียงล้อเกวียนบดกับพื้นดินดังระคนกลิ่นฝุ่นและกลิ่นหอมจากสินค้านานาชนิดของขบวนคหบดีลู่ที่ตั้งเรียงรายต้อนรับผู้มีเงินและแรงต่อรอง… แต่ในสายตาของใต้เท้าเถียนเฟิงซึ่งเดินตรวจตราอย่างเงียบขรึมในอาภรณ์เรียบหรู กลับมีสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจเขาได้มากกว่าสินค้าใดในขบวน ร่างของหญิงสาวในชุดเรียบง่ายแต่ตัดเย็บดีเดินตรงมา เธอไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่ได้เฉื่อยชา แก้มแดงจางจากไอแดด กลับขับผิวขาวจัดจนดูซีดไปกว่าเดิมและเมื่อเธอขยับใกล้เข้ามาเงียบ ๆ เขาก็เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้อยู่ในสภาพดีนัก


"แม่นางหลิน…" น้ำเสียงต่ำของเถียนเฟิงเอ่ยขึ้นก่อนจะแค่นขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยจางของเลือดกำเดาที่ยังเลอะกรอบปากบาง หลินหยายกมือขึ้นยิ้มบางโบกให้เบา ๆ เพราะเห็นอีกคนทีสนิทกัน “สวัสดีเจ้าค่ะ วันนี้ข้ามาดูว่ามีของอะไรน่าสนใจอีก… ท่านยังมาตรวจงานที่นี่อยู่เรื่อยเลยนะเจ้าคะ” ดวงตาของนางสั่นระริกน้อย ๆ ก่อนเบนหลบในจังหวะที่เห็นอีกฝ่ายมองมาไม่วางตา น้ำเสียงพยายามทำให้สดใสแต่ใบหน้าซีดเผือดของนางกลับไม่อาจซ่อนสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้


“เจ้าเลือดกำเดาไหลอีกแล้วหรือ?” เขาเอ่ยโดยไม่อ้อมค้อม ดวงตาทั้งคู่ของเขาจับจ้องสีหน้าของหลินหยาอย่างเฉียบคมก่อนจะเคลื่อนสายตาลงที่คอเสื้อซึ่งแม้เช็ดแล้วก็ยังเห็นรอยแดงจาง ๆ หญิงสาวหลบตา ยิ้มกลบเกลื่อนแบบคนรู้ตัวว่าปิดไม่มิด “นิดเดียวเจ้าค่ะ…ไม่เป็นไร ข้ารู้ตัวดีว่าต้องพักแต่ก็อดออกมาเดินไม่ได้…” 


เถียนเฟิงถอนหายใจเบา ๆ ไม่ดังพอให้หลินหยาได้ยินแต่เพียงพอให้คนสนิทข้างเขารู้ว่าอย่าเพิ่งเอาเรื่องงานมาพูดให้เจ้านายอารมณ์เสีย “ออกมาตากแดดทั้งที่ร่างกายยังไม่ดี นี่เจ้าจะหาเรื่องล้มหมอนนอนเสื่ออีกแล้วหรือ?” น้ำเสียงของเขาเรียบเย็น แต่ในแววตากลับมีร่องรอยของความห่วงใยที่ไม่ปิดบัง


หลินหยาหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางทำหน้ายู่ “ท่านหมอก็พูดแบบนั้น ข้าว่าตอนนี้ท่านเริ่มพูดเหมือนหมอมากกว่าขุนนางแล้วนะเจ้าคะ” ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้มบางที่แฝงความเหนื่อยล้า “แต่ข้าอยากเห็นของใหม่ ๆ บ้าง เจอท่านก็ดีเลยเจ้าค่ะอย่างน้อยก็มีคนคุย…ตอนมาดูสินค้า”


เขานิ่งครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคัดกรองถ้อยคำอย่างระมัดระวังก่อนจะตอบ “ถ้าเจ้าอยากเดินเล่นจริง พรุ่งนี้ข้าจะให้คนพาไปตลาดตะวันออกแสงแดดนุ่มกว่าฝุ่นน้อยกว่า และไม่มีใครเดินชนเจ้าหรือมีความเครียดมากเกินจนเลือดไหลอีก” ตอนที่หลินหยาได้ยินหญิงสาวชะงัก หัวเราะขึ้นเล็กน้อยทั้งที่น้ำเสียงยังแผ่วเบา “ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่ข้ารับไว้แค่พิจารณานะเจ้าคะ…แต่ตอนนี้ข้าขอเดินดูใบชาหน่อยเถอะอยากหากลิ่นที่สดกว่าของที่มีอยู่…”


เขาเงียบแต่เดินตามห่าง ๆ ไม่พูดอะไรอีก ให้พื้นที่แก่หลินหยาได้เดินอย่างตามใจ แต่ในมือเขาที่ถือพัดขนนกกลับกางออกเบา ๆ ราวกับซ่อนเงาทะมึนของใครบางคนที่เอาแต่ใจและพร้อมจะลากแมวน้อยกลับรังเมื่อไหร่ก็ตามที่มันไม่รู้จักดูแลตัวเอง…


ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทางห่างจากเสียงเร่ขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้าในขบวนคหบดีลู่เล็กน้อย ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งพักเหนื่อยอย่างอ่อนแรง ชุดสีอ่อนเรียบง่ายของนางตัดกับความวุ่นวายรอบข้างราวกับภาพในอีกโลกหนึ่ง หลินหยาเอียงหน้าหลบแดด ทิ้งตัวพิงต้นไม้ พลางหยิบพัดไม้ไผ่เล็กที่เพิ่งซื้อจากร้านริมทางมาพัดใบหน้าเบา ๆ เสียงลมจากพัดปะทะแก้มนวลเบา ๆ แต่ไม่อาจกลบไอร้อนของฤดูร้อนได้ "ร้อนชะมัด…" นางบ่นเบา ๆ ให้ตัวเองแล้วเหม่อมองกลีบไม้ที่ปลิวหล่นลงบนชายผ้าตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง มือข้างหนึ่งยันพื้น อีกข้างยังกวัดแกว่งพัดแบบไม่มีแรงจนดูเหมือนแมวป่วยมากกว่าจะเป็นแม่ค้าที่เพิ่งเดินสำรวจตลาดมา


ทว่าขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังใกล้เข้ามา ร่างสูงในชุดขุนนางเต็มยศแต่ไร้เครื่องแบบประจำพิธีการเดินมาอย่างสงบแต่ชัดเจนเถียนเฟิงเพิ่งตรวจตราขบวนการค้าของคาราวานลู่เสร็จ ดวงตาเรียวคมของเขาไล่มองไปตามแผงค้าด้านข้างที่กำลังถูกรื้อเก็บก่อนจะหยุดลงที่ภาพของหญิงสาวใต้ต้นไม้ "เจ้าเลือกที่พักได้สมกับเป็นบุตรสาวเจ้าเมืองท่านัก" น้ำเสียงนิ่งเรียบดังขึ้นข้างตัวหลินหยาทันทีที่เขาเข้ามาใกล้ เถียนเฟิงยืนใกล้ ๆ ก่อนมองหญิงสาวที่นั่งพัดหน้าตัวเองอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน


หลินหยาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ยกยิ้มทั้งที่ยังดูอ่อนเพลีย "ท่านเสร็จงานแล้วหรือเจ้าคะ… ข้าหาที่หลบแดดอยู่พอดี ร้อนอ่ะ..กลางฤดูร้อน..ถึงฉางอันจะหนาวกว่าบ้านข้าก็เถอะ" พูดพลางใช้พัดพัดเอาลมเข้าหน้าตัวเองเพื่อทำให้เหงื่อหายไป


เถียนเฟิงก้มมองนางอย่างพินิจช่วงเวลานี้ไร้ผู้คนแวดล้อมมากนัก แม้จะอยู่ในตลาดทว่าสถานที่ตรงนี้กลับสงบจนน่าแปลก "เจ้าจะเป็นแม่ค้าที่หอบตัวเองไปตากแดดเดินหาของไม่หยุด หรือจะเป็นแม่แมวที่นอนพักใต้ร่มไม้ไม่รู้จักขยับตัว?"


"ข้าเป็นแมวที่พยายามทำตัวเหมือนคนไม่อยากตายด้วยโรคขาดเงินน่ะเจ้าค่ะ" หลินหยาเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม ดวงตาสีเข้มเป็นประกายแม้จะซ่อนอยู่ใต้เงาไม้


เถียนเฟิงแค่นเสียงเบา ๆ ในลำคอ มือเรียวหยิบพัดขนนกของตนเองออกมากางคลี่ออกช้า ๆ ให้ลมเย็นพัดผ่าน “เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าเวลาป่วย เจ้าพูดจาน่าถีบกว่าเวลาปกติ”


“โว๊ะ..ท่านนี้ ถ้าข้าสุภาพไป ท่านจะเป็นห่วงไหมล่ะเจ้าคะ” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ลุกขึ้นนั่งหลังตรงแม้จะยังดูอ่อนแรงเจ้าคนนี้ยิ่งสนิทกันมันยิ่งเล่นหัวกันเว้ย ไอ้ตาหมอนี้ เขามองนางนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเบนหน้ามองไปทางแผงค้าซึ่งกำลังเริ่มทยอยเก็บของ “ก็ไม่แน่… บางทีข้าอาจจะต้องส่งแม่นางคนนี้กลับบ้านด้วยมือข้าอีกวันหนึ่ง”


“ขอแสดงความเสียใจด้วยเจ้าค่ะ..หึ…วันนี้ไม่ต้องหามเจ้าค่ะ ข้ายังเดินไหว” หลินหยาเงยหน้าขึ้นพึมพำดวงตาสบกับเขาเพียงครู่เดียวแล้วเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง “แต่ถ้าอยากเลี้ยงน้ำสักอย่าง… ข้าก็ไม่ขัดนะเจ้าคะ” น้ำเสียงติดหยอกน้อย ๆ แต่รอยยิ้มกลับปรากฏชัดอยู่บนริมฝีปากเล็ก


หลินหยาเหลือบตาแลเขาแวบหนึ่ง รอยยิ้มอ่อนระเรื่อบนใบหน้านั้นช่างดูแสบซ่าในความสงบ “เอาตรง ๆ นะเจ้าคะ มันก็ไม่ได้ต่างจากบ้านข้ามากเท่าไรนัก เมืองผานอวี้น่ะ…ก็เป็นเมืองท่า คนพลุกพล่าน สินค้ามีครบ ของกินอร่อยพอกัน ถึงจะกลิ่นทะเลแรงไปหน่อยก็เถอะ” นางพึมพำเรื่อยเปื่อยเหมือนพูดลอย ๆ ให้ลมฟังเสียมากกว่า แต่กลับมีบางจังหวะที่คำพูดถูกจงใจส่งออกมาหาเขาโดยตรง เถียนเฟิงยืนพัดเบา ๆ อยู่ข้างหลินหยาในเงาร่มไม้ ใบหน้าคมคายไม่แสดงอารมณ์มากนัก มีเพียงปลายตาที่โค้งบางนั่นที่ไหวแผ่วคล้ายรอยยิ้มไม่เต็มใบให้พอคาดเดาอารมณ์ได้ยาก เขาไม่ได้เร่งเร้าไม่ได้พูดแทรกใด ๆ เมื่อหญิงสาวข้างตัวเริ่มเปล่งเสียงเล็ก ๆ ของตนออกมา


สียงพัดในมือของเถียนเฟิงยังคงเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งกอดเข่าพิงต้นไม้ใบหน้านวลนั้นร้อนระเรื่อเหมือนเพิ่งโดนแดดเผามาจากการเดินตลาดเสียครึ่งวัน ทว่าสายตาและน้ำเสียง…ไม่ได้เหนื่อยเลยสักนิด กลับจะเจ้าเล่ห์ยียวนเสียมากกว่า “ก็คิดถึงบ้านอยู่หรอกเจ้าค่ะ” หลินหยาว่าต่อเสียงเบาลงเล็กน้อยเหมือนยอมรับอย่างเสียไม่ได้ “แต่ก็ไม่ได้อยากกลับตอนนี้หรอกนะ…”


“…ก็แหม” หลินหยาหันมามองหน้าเขานิด ๆ แววตาแพรวพราว “มีคนให้กวนตีนอยู่ทุกวัน มันก็สนุกดีออก” เอ่ยอย่างหน้าตาเฉย


ปลายพัดในมือเถียนเฟิงกระตุกเบา ๆ ก่อนเขาจะคลี่ยิ้มมุมปาก...รอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ใช่รอยยิ้มเสียทีเดียว หากแต่คือเงาของความขบขันซ่อนเร้นมากกว่า “เจ้าก็พูดเสียตรงนัก…แล้วก็หยาบนักด้วย” เสียงเขานั้นแผ่ว แต่กระทบใจคนฟังได้เต็ม “ถ้าข้าต้องการหาคนกวนอวัยวะเบื้องล่างอย่างที่เจ้าว่า ข้าคงไม่มองหาในตลาด...แต่บางทีข้าอาจจะพอใจแล้วที่ได้พบแม่นางหลินหยาผู้กล้าพูดจายียวนกับมหาเสนาบดีแห่งแผ่นดินตรงนี้ทุกวี่วัน”


หลินหยาทำหน้าเหมือนอยากกลอกตาให้สุดลูกนัยน์ “โอ๊ย…เมื่อกี้ตัวเองเริ่มก่อนแท้ ๆ …อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ มันฟังดูเหมือนท่านกำลังสารภาพอะไรบางอย่างเลยนะเจ้าคะใต้เท้า” 


เถียนเฟิงไม่ตอบกลับทันที กลับเพียงใช้พัดในมือสะบัดเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงราบ “ถ้าข้าเงียบ…เจ้าจะคิดว่าสารภาพใช่หรือไม่ใช่ล่ะ?”


“เหอะ ๆ …ข้าจะคิดว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะข้าไม่เคยเห็นท่านพูดตรง ๆ กับข้าเลยสักทีน่ะสิ เอาแต่พูดหมกเม็ด ใบ้ปริศนา เหมือนพวกนักเลงตลาดที่ไม่ยอมลดราคาแต่ชอบแถมของแปลกให้แทน”


เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เหมือนพอใจกับคำเปรียบเทียบนั้นอย่างประหลาด สุดท้ายจึงก้าวเข้ามายืนตรงหน้าเธอแล้วเหยียดมือออกไปช้า ๆ “ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะแถมเจ้าอีกของหนึ่ง ให้เจ้าเดินหลบแดดใต้เงาข้าไปตลอดยามบ่ายนี้ ไม่คิดราคา” หลินหยาเลิกคิ้วมองมือที่ยื่นมา แล้วมองหน้าเขาอีกทีอย่างครุ่นคิดแล้วก็เอื้อมมือไปจับแล้วลุกขึ้นยืน เถียนเฟิงยังยืนอยู่ใต้เงาไม้แล้วขยับมือประสานหลังหลังเป็นฐานให้หลินหยาลุกขึ้นเสร็จ พลางมองหลินหยาที่ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นบนชายกระโปรงอย่างเบิกบาน สายตาของเขาไล่ตามจังหวะการขยับของนางอย่างสงบ นัยน์ตาคมยังคงเก็บงำรอยยิ้มไว้ใต้ขนตา


"ข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับท่านละเจ้าค่ะ" หลินหยาว่าขึ้นเสียงสดใส เอี้ยวตัวกลับมาแลอย่างทะเล้นหนึ่งที "ข้าเบื่อแล้ว เดี๋ยวจะเสียบุญเสียกรรมเปล่า ๆ ข้าไปเดินเล่นนอกเมืองฉางอันสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อยดีกว่า นั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวจะได้กลิ่นอสรพิษแทนกลิ่นดอกไม้" น้ำเสียงกึ่งหยอกกึ่งประชดอย่างรู้กัน


ใต้เท้าเถียนเฟิงปรายหางตาขึ้นมาเล็กน้อย ยิ้มมุมปากไม่กล่าวอะไรต่อ ราวกับรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการคำตอบนัก แต่หลินหยาก็ยังไม่หยุดนางหยิบพัดขึ้นมาชี้ไปทางประตูออกนอกเมือง "แล้วก็จะไปหาเพื่อนข้า...ที่หน้าตาดีมาก ๆ ด้วย" คำว่า มาก ๆ ถูกเน้นย้ำอย่างเปิดเผยในแบบฉบับของนาง ก่อนที่นางจะก้าวผ่านเขาไปหนึ่งก้าวแล้วเอียงหน้าเกือบแนบไหล่ ทำตาวิ้ง ๆ กระซิบด้วยเสียงขบขันว่า “เขาหล่อมากเลยล่ะ…” เสียงหัวเราะของหลินหยาในวินาทีนั้นดังใส ราวกับหยอกโลกทั้งใบในขณะที่เธอเดินผละไปพร้อมพัดในมือ


เถียนเฟิงเหลือบมองหลังของนางครู่หนึ่ง ไม่ไล่ตาม ไม่พูดสวน ไม่สะกิดด้วยคำเตือนอย่างที่มักจะทำ เขาเพียงยืนนิ่ง ราวกับเสียงหัวเราะใส ๆ นั้นยังดังก้องอยู่ในหู…เหนื่อยกับสหายตัวเล็กจริง ๆ …




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

เถียนเฟิงหัวใจตันแล้ว  โพสต์ 2025-7-5 21:29
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 45 โพสต์ 2025-7-5 21:29
โพสต์ 47491 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-5 20:32
โพสต์ 47,491 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-5 20:32
โพสต์ 47,491 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-5 20:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-7 16:15:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 07 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 14.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ขบวนคหบดีลู่ (พบ เถียน เฟิง)


แสงแดดยามเว่ยส่องทะลุผืนฟ้าใสร้อนแรงลงมาต้องพื้นหินแห่งถนนสิบลี้ พ่อค้าแม่ขายในคาราวานของคหบดีลู่ยังคงเปิดแผงเรียงราย ไม่เว้นแม้แต่ขบวนสินค้าชั้นเลิศที่นำมาเพื่อเรียกน้ำลายคนมีเงิน แต่วันนี้...กลับเหมือนมีบางสิ่งขาดหาย หลินหยาสาวเท้าเข้ามาในเขตคาราวานด้วยท่วงท่ารื่นเริง ผ้าคลุมสีอ่อนพลิ้วไหวตามจังหวะการเดินพลางพัดเล็กในมือก็โบกไปมาให้คลายร้อน ริมฝีปากยังมีรอยยิ้มชัดเจน แต่...หลังจากเดินวนอยู่สองรอบ หน้าตาสดใสของนางกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเบะปากน้อย ๆ คิ้วสวยขมวดแน่นเข้า


“บ้าไปแล้ว...” เสียงพึมพำเบา ๆ หลุดออกมาพร้อมร่างเล็กที่ยืนงอแงกลางแดด “ไม่มีของอะไรให้น่าซื้อเลยยยย นี่มันตลาดอะไรกันเนี่ยขบวนใหญ่โตแต่ของงั้น ๆ เหรอ ข้าเสียใจนะ ข้าคาดหวังกับพวกเจ้ามากเลยนะ...” ท่าทางน้อยใจประหนึ่งสาวน้อยถูกลืมวันเกิดนั้นเองที่เตะตาใครบางคนเข้าให้แล้วตอนนี้


“ก็เพราะเจ้าไม่ตั้งใจหาขไงล่ะ” เสียงทุ้มเรียบเจือหัวเราะดังขึ้นทางด้านหลัง


หลินหยาหันควับคนที่พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากใต้เท้าเถียนเฟิงในชุดขุนนางพลเรือนอย่างเรียบหรู มือซ้ายถือพัดพับ มือขวารองไว้ด้านหลัง ท่วงท่าสุภาพสง่าดวงตาใต้แพขนตาคมเจือความขบขันอย่างมิดชิดขณะก้าวมาหยุดตรงหน้าเธอ


หลินหยากะพริบตาปริบก่อนจะย่นจมูกใส่ “ใต้เท้าเถียนเฟิงท่านนี่นะ มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย เดี๋ยวข้าก็ตกใจตายคาตลาดหรอกเจ้าค่ะ”


“เห็นเจ้าหน้างอพอ ๆ กับปิ้งปลามาแต่ไกลจะไม่ให้ข้าเดินมาได้อย่างไร?” เถียนเฟิงปรายตามองแล้วระบายยิ้มบาง ก่อนกระซิบเจ้าเล่ห์ “ว่าแต่...เมื่อครู่ข้าว่าเจ้าคงต้องพูดให้ถูกหน่อย ไม่ใช่ ‘ไม่มีของให้ซื้อ’ แต่ต้องว่า ‘ไม่มีของให้กิน’ มากกว่า…” ใบหน้าของหลินหยาขึ้นสีเล็กน้อยตอนที่ได้ยินที่อีกคนพูดแทงใจดำเธอขนาดนั้นแต่ยังคงตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่เกี่ยวไม่สนอยู่แบบนั้น “หา? ข้าไม่เคยบอกนะว่าหิวข้าก็มาดูของทั่วไปเฉย ๆ อย่ามาใส่ร้ายกันนะเจ้าคะ!”


“เหรอ?” เถียนเฟิงเลิกคิ้ว “แต่ข้าเห็นเจ้าดูของกินก่อนอย่างอื่นเสมอ...ดูเหมือนจะเป็นนิสัยมากกว่าความบังเอิญแล้วล่ะ” พอได้ยินแบบนั้นก็ถึงขั้นกับสะอึกเพราะมันกลับเป็นเรื่องจริงแทนอ่ะดิ โดนแทงใจดำอีกละอีตาหมอนี้..แทงเก่งงง “ขะ...ข้าก็แค่...” หลินหยาว่าพลางเม้มปากน้อย ๆ แล้วเบือนหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย “ก็แค่เห็นของกินมันสดใสดีกว่าไง...ก็เลย...เออ...ก็เลยมองก่อนน่ะ!”


เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ พัดในมือลูบผ่านริมฝีปากราวกับปิดเสียงหัวเราะ “งั้นหากไม่มีของถูกใจ ไยไม่ให้ข้าพาไปหาอะไรอร่อย ๆ กินแทนล่ะ? หรือเจ้าจะงอนตลาดต่ออีกหน่อยก่อน?” หลินหยาเลิกคิ้วตอนได้ยินอีกคนเสนอพลางเอียงคอน้อย ๆ ทำหน้าคิดหนักก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “แล้วท่านจะเลี้ยงข้าหรือเจ้าคะ?”


“เจ้ามีเงินหรือไง?” เถียนเฟิงย้อน


“ไม่มี” หลินหยาตอบทันควันแต่นางกลับหลินหยาชายเสื้อเบา ๆ แล้วแอ่นอกอย่างภาคภูมิทั้งที่ไม่ค่อยจะมีหน้าอกหน้าใจอยู่แล้วขณะยืนอยู่กลางแดดเปรี้ยงของยามเว่ย ใบหน้าเปื้อนเหงื่อของนางกลับไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามดวงตาเธอเป็นประกายวาววิบวับอย่างเห็นได้ชัดบ่งบอกถึงความ คึก เกิน ขีด จำ กัด


“หึ..ไม่ไปกินอะไรตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ!” นางประกาศก้อง พลางหมุนตัวหนึ่งรอบแล้วหยิบพัดขึ้นมาปิดหน้าอย่างนางเอกอุปรากร “ข้ามีนัดกับป่าเขาลำเนาไพรและฝูงปลานอกฉางอัน! วันนี้ข้าจะไปผจญภัย ไปขุดเหมือลหรือล่าปลาแล้วเอามาแล่กินเองสด ๆ ซี้ดซ๊าดให้หายอยาก!”


“ล่าปลา?” เสียงทุ้มของเถียนเฟิงดังขึ้นพลางขมวดคิ้วขณะมองหญิงสาวตรงหน้า “วันนี้เจ้าอาการดีขึ้นถึงขนาดจะวิ่งไล่จับปลากลางแดดร้อน ๆ แบบนี้เชียว?”


“แน่นอนเจ้าค่ะ!” หลินหยายักคิ้ว แล้วยกผลั่วขึ้นประหนึ่งเป็นกระบี่เทพ “อาการป่วยหายวับไปแล้ววันนี้..เฉพาะวันนี้นะ…ท่านหมอบอกข้าห้ามเครียด ข้าก็เลยไม่เครียดเลยแม้แต่นิดเดียว! ดูสิ ๆ ข้าสดใสเหมือนกระต่ายหนุ่มในฤดูผสมพันธุ์!” แต่เถียนเฟิงเหมือนจะเหนื่อยใจแต่กลับกระตุกยิ้มถามต่อปรายตามองอย่างจับผิด 


“วันนี้เจ้าไปโดนตัวไหนมา?”


“ปล่าวพี้ยาป่ะ!” หลินหยาเบ้ปาก หรี่ตาใส่เขาแล้วชี้หน้าพลางย่นจมูก “เอ๊ะ..!! ท่านนี้อย่ามาปรักปรำกันนะใต้เท้าเถียนเฟิง ข้าออกจะเป็นกุลสตรีผู้มีจริยธรรมสูงส่ง(?) พอเห็นแดดแล้วก็อยากกระโดดลงน้ำเฉย ๆ! ไม่ได้เสพอะไรทั้งนั้น!”


“แปลว่าแดดอาจจะเสพได้…” เถียนเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ แต่มุมปากยังยกขึ้นเล็กน้อย


หลินหยายักไหล่แบบไม่แคร์โลก “แดดดี อากาศดี มีคนแซวให้กวนตีนเล่นบ้าง ชีวิตมันก็มีสีสันขึ้นเยอะข้าก็เลยคึกขึ้นมาหน่อย” หลินหยาพูดแล้วขำเล็กน้อยท่าทางการอยู่กับเถียนเฟิงจะชอบกวนตีนอีกคนจนชินแล้วล่ะ..เถียนเฟิงชิน..กับยัยตัวแสบตรงหน้า “นั่นสินะ...” เถียนเฟิงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะลูบพัดผ่านริมฝีปากตนเบา ๆ แล้วว่า “แต่หากเจ้าทำหน้าแบบนี้กับคนอื่น เขาอาจไม่รับมุกเจ้าแล้วเอาหอกแทงเอานะขอบใจที่ยังไว้หน้าข้าเป็นคนสนิทเจ้าบ้างล่ะกัน”


หลินหยาหัวเราะเสียงใส หันมาแลบลิ้นให้เขาแบบไม่มีจริตใด ๆ “เพราะท่านเป็นคนเดียวที่แทงข้าแล้วข้ายังอยู่ไงล่ะ” พูดแบบขำ ๆ แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันสองแง่สองง่าม


“หืม?”


“แทงด้วยคำพูดน่ะ!! คำพูด!! อย่าทำหน้าแบบนั้นนะ!” เสียงหัวเราะของเธอดังลั่นขณะที่เถียนเฟิงส่ายหน้ายิ้ม ๆ ดวงตาคมเรียบเหมือนว่างเปล่าแต่กลับมีบางอย่างอุ่น ๆ แฝงอยู่...เขายืนมองแผ่นหลังเล็กที่หมุนตัวกลับ เตรียมจะออกไปผจญภัยนอกกำแพงเมืองอย่างห้าวหาญมือหนึ่งถือมีดแล่ปลา อีกมือถือผลั่วอย่างกับแม่ครัวสายบู้และปากก็ยังฮัมเพลงปลอม ๆ ไปตลอดทาง


เถียนเฟิงไม่ห้ามไม่เอ่ยคำติงสักคำเขาแค่...เฝ้ามองเงาหลังของเธอเท่านั้นเองเพราะในเงาที่ตีกลับพื้นนั้น มีบางอย่างที่แม้แต่เงาอสูรเช่นเขาก็ไม่อาจล่วงเกิน … ไม่ล่วงหรอก รายนั้น..เวลาร่าเริงก็ร่าเริงจนเกินเหตุ เดาอารมณ์ไม่เคยได้…คิดอะไรแปลก ๆ ..เพราะงั้น ปล่อยนางไปตามยถากรรม




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาตีกับเขาเพื่อไปปลดหัวใจ งงมาก เลิฟยูมายเฟรนที่กวนตีนได้

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 32302 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 16:15
โพสต์ 32,302 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-7 16:15
โพสต์ 32,302 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-7 16:15
โพสต์ 32,302 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-7 16:15
โพสต์ 32,302 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-7 16:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 17:16:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ขบวนคหบดีลู่ (พบ เถียนเฟิง)


ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนแรงของยามเว่ย ขบวนคหบดีลู่ตั้งเรียงรายริมถนนสิบลี้อย่างสง่างาม ผืนผ้าชั้นดีจากแดนใต้ประดับลายหงส์ทองสะท้อนแสงแดดวาววับ กลิ่นเครื่องหอม ผงสมุนไพร และพัดด้ามงามประดับไข่มุกวางเรียงในตะกร้าหวายแยกตามหมวดหมู่ แว่วเสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องขายสินค้าดังระคนกับเสียงฝีเท้าคนเดินย่ำบนหินทางเดินอย่างไม่ขาดช่วง หลินหยาที่แต่งกายเรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน เดินทอดน่องมาท่ามกลางผู้คนอย่างมีจริตตามธรรมชาติเธอ ดวงตาคมหวานกวาดมองไปตามขบวนสินค้าอย่างไม่รีบร้อน แม้นางจะมาเดินเล่นแต่เป้าหมายจริง ๆ กลับไม่ได้อยู่ที่ผ้าหรือหยกใด ๆ


นางรู้ว่าท่านเถียนเฟิงอยู่ที่นี่


และเมื่อสายตากวาดไปถึงตอนกลางของขบวน หนุ่มในชุดตัดเรียบสีหม่นผู้หนึ่งก็กำลังยืนสนทนาอยู่กับพ่อค้าใหญ่น้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังดูสุภาพ ข้างตัวมีบ่าวติดตามและพวกผู้ติดตามบางคนอยู่ด้วย…ไม่ผิดแน่ ท่านเถียนเฟิง


หลินหยาเดินตรงเข้าไปเงียบ ๆ พลางหยุดยืนอยู่ห่างออกมาสองก้าวครึ่ง มือเรียวไพล่หลัง พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วแต่เบาพอให้ได้ยินชัด “ใต้เท้าเถียนเฟิง…” ชายหนุ่มที่เพิ่งวางกระดาษบัญชีในมือลงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันขวับมาช้า ๆ แววตานิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยการประมวลผลชั่ววูบ เขาจำเสียงนี้ได้ เมื่อเห็นว่าเป็นหลินหยา ใบหน้าคมก็สั่นไหวบาง ๆ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสมควรทำหน้าแบบไหนดี น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูเรียบแต่แฝงความระวังตัวอย่างยิ่ง


“แม่นางหลิน…เจ้ามาที่นี่…?”


“มาเดินดูวัตถุดิบเจ้าค่ะ” นางตอบยิ้มแย้ม ดวงตาทอประกายระยับราวไม่มีเรื่องใดค้างในใจ “เห็นคนบอกว่าขบวนคหบดีลู่เอาของแปลกจากต่างเมืองมาก็เลยอยากมาเดินดู แล้วก็…” เธอก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว แล้วหยุดลงพร้อมยิ้มเบา ๆ และเอียงหน้าเหมือนจะพูดให้ได้ยินแค่สองคน “…อยากมาบอกให้ท่านรู้ด้วยว่า ข้าหายดีแล้วนะ” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเหมือนลังเลจะพูดอะไรบางอย่าง “ท่านยังไม่ต้องพูดอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่…กลัวว่าท่านจะยังรู้สึกผิดอยู่น่ะสิ” หลินหยายิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยขณะที่มือจับชายเสื้อของตัวเองแน่นไว้ราวกับแอบเกร็งอยู่บ้าง “ถ้าท่านยังรู้สึกผิดอยู่ตอนนี้...งั้นให้ข้าซื้อเนื้อกับชาตรงนั้นได้ไหม? แบบไม่ต้องต่อราคา?”


เถียนเฟิงหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบชายเสื้อเหมือนปัดความกระอักกระอ่วนออกไปชั่วขณะ “ตกลง…ข้าจะซื้อให้เจ้าเอง”


“ว้า ข้าไม่ได้จะหลอกท่านให้ซื้อให้นะ”


“แต่เจ้าก็ไม่ได้ห้าม”


“แหม ท่านก็~” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พร้อมเบ้หน้าอย่างขำขัน ภาพของชายหนุ่มผู้มากบารมีในชุดเรียบขรึมที่ยืนอยู่เคียงข้างสาวใช้ในคราบแม่ค้าที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ง่าย ๆ กลับกลายเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาผู้คนในขบวนอย่างยิ่ง แต่ทั้งสองกลับยืนคุยกันเหมือนไม่ใส่ใจโลก ทั้ง ๆ ที่คนหนึ่งเคยแทบฟันอีกคนขาด และอีกคนหนึ่งก็แทบจะร้องไห้ด้วยความกลัวเมื่อคืนก่อน บางที…ระยะห่างของสองคนนี้ อาจไม่ได้ถูกวัดด้วยแผล หรือความผิดพลาด แต่เป็นด้วยคำพูดธรรมดา ๆ ที่ว่าข้าหายดีแล้วนะไม่ต้องห่วงอีกแล้ว…ตกลงไหม?


เสียงเหล็กกระทบกันเบา ๆ ดังแว่วมาจากด้านในสุดของขบวนลึกเข้าไปตรงโซนที่ไม่ค่อยมีคนแวะเวียน บริเวณที่ตั้งกรงสัตว์สำหรับขายพวกหมาแมว นก และสัตว์แปลกหายากจากแดนไกล เสียงนั้นฟังดูไม่รุนแรง แต่กลับแฝงความสั่นไหวของบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ราวกับแรงสุดท้ายของชีวิตกำลังดิ้นรนเพื่อแสดงออกถึงการมีตัวตน หลินหยาเหลือบตาไปตามเสียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อหางตาแลไปเห็นบางสิ่งในกรงเหล็กนั้นเธอก้าวเท้าอยู่กลับหยุดลงโดยไม่รู้ตัว


เถียนเฟิงที่เดินเคียงข้างรู้สึกถึงจังหวะฝีเท้าที่สะดุด จึงหันมองตามสายตาของนางก่อนที่คิ้วเรียวยาวจะขมวดเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ในกรงไม้เก่า ๆ ท่ามกลางฝุ่นและเศษอาหารแห้งกรัง มีหมาน้อยตัวหนึ่งนอนหมอบนิ่ง ร่างกายของมันผอมจนเห็นซี่โครงชัดเจน ขนสีดำน้ำตาลอ่อนกระจายยุ่งเหยิงทั่วตัว ดวงตาทั้งคู่หม่นเศร้าราวกับไม่มีแรงแม้แต่จะหลับ มันไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะกระดิกหางหรือแสดงความกลัวต่อผู้คนรอบข้าง หลินหยายืนนิ่ง ไม่ก้าวเข้าไปใกล้ แต่ดวงตาเริ่มขุ่นมัวอย่างอธิบายไม่ถูก ริมฝีปากขบแน่นราวกับกำลังต้านบางอย่างในอก สายตาของนาง…ไม่ได้หวาดกลัวไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นแววตาที่สะท้อนความรู้สึก ‘เหมือนบางอย่างเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง’ เธอจำไม่ได้ว่าที่ไหนหรือเมื่อใด แต่หัวใจกลับรู้สึกเหมือนเจ็บปวดด้วยเหตุผลที่ไร้ที่มา


“แม่นางหลิน…เจ้า…” เถียนเฟิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ เสียงของเขาฟังดูสงสัยแต่ไม่กดดัน “เจ้ากลัวสุนักไม่ใช่หรือ”


  หลินหยาขยับริมฝีปากเหมือนจะตอบแต่ไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมาทันที เธอก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ เสียงราวกระซิบว่า “…ก็ใช่เจ้าค่ะ ข้ากลัวสุนัก…โดยเฉพาะหมาจร เสียงเห่าก็ทำให้ข้าขาสั่นได้แล้ว…” ดวงตาของเธอสั่นไหวเหมือนคนกำลังต้านอารมณ์บางอย่างในอก แต่กลับจ้องไปยังเจ้าตัวเล็กในกรงที่เงียบสงบไม่มีแม้เสียงเห่า “แต่ตัวนั้น…มันไม่เห่าเลย…ไม่แม้แต่จะร้อง ไม่แม้แต่จะขยับหนี…” หลินหยากลืนน้ำลายคล้ายกลืนก้อนสะอื้นที่ไม่มีเสียงลงคอ ก่อนจะหันไปสบตากับเถียนเฟิง “ท่านเคยเห็นบางสิ่งที่กำลังจะตายไหมเจ้าคะ…แต่ไม่มีใครแม้แต่จะมองมัน…เหมือนมันกำลังร้องขอโดยไม่มีเสียงเลยน่ะ…นั่นแหละ”


เถียนเฟิงมองดวงตาของหลินหยาไม่ใช่แค่หวาดกลัวอีกต่อไป แต่มันคือการ ‘รู้สึก’ อย่างแท้จริง รู้สึกในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองแต่เจ็บแทบขาดใจราวกับเป็นตัวเองเสียเอง เถียนเฟิงไม่พูดอะไร เขากลับหันไปมองบ่าวข้างกายแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไปเรียกเจ้าของสัตว์นั้นมานี้หน่อย”


“…ใต้เท้า?”


“ข้าจะซื้อสุนักตัวนั้น” เสียงของเขาราบเรียบแต่นิ่งแน่ว หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่แน่ใจว่าเธอได้ยินถูกหรือไม่ “…ท่านจะซื้อ…?”


“เจ้าไม่ต้องจับมัน ข้าจะให้คนดูแลให้…แต่ถ้ามันทำให้เจ้าหยุดมองแบบนั้นไม่ได้ ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยมันไว้ตรงนั้นเหมือนกัน” คำพูดนั้นไม่ได้เปล่งด้วยความสงสารสุนักตัวน้อย แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นหลินหยามองใครด้วยแววตาแบบนั้นอีก...แม้แต่สัตว์ตัวเล็กก็ตาม


เถียนเฟิงยื่นเหรียญเงินจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของร้าน พร้อมเอ่ยอย่างสุภาพแต่ไร้เยื่อใยว่า "ข้าเอาตัวนี้" ก่อนจะหันกลับมาทางกรงไม้ที่บรรจุชีวิตอันร่วงโรยไว้อย่างเงียบงัน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการตอบสนองใด ๆ จากมัน อย่างน้อยที่สุด เขาคิดว่าคงต้องให้บ่าวมาช่วยจัดการพามันกลับไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาและแม้แต่หลินหยาจะคาดคิดได้เลย 


เสียงเปิดกรงไม้ดังแกร๊กเบา ๆ เจ้าของขบวนเพียงแค่ขยับเปิดประตูกรงด้วยมือข้างหนึ่ง แต่แทบไม่ทันจะถอยมือกลับ หมาน้อยตัวนั้นที่ดูเหมือนอ่อนแรงใกล้ตายอยู่เมื่อครู่กลับกระโจนพรวดออกมาด้วยพละกำลังราวกับฝืนแรงโลก! มันพุ่งผ่านขาเถียนเฟิงอย่างรวดเร็วโดยที่เขายังไม่ทันจะขยับหันตัว หลินหยาเองที่ยืนมองอยู่ก็ยังไม่ทันจะเอ่ยถามว่าจะเอาไปไว้ที่ไหนแต่เจ้าหมาตัวน้อยกลับพุ่งเข้ามาที่เธออย่างเต็มแรง


“อ๊ะ!”


เสียงหลุดร้องหลุดจากริมฝีปากหลินหยาทันทีที่ร่างเล็กของมันกระโจนเข้าใส่ แรงของมันแม้จะไม่ถึงกับมากแต่พอทำให้หญิงสาวเซถอยหลังก้าวหนึ่ง ต้องกางแขนรับไว้ตามสัญชาตญาณ และในวินาทีนั้น มันก็ซุกตัวเข้าหาเธอทันทีอย่างไม่ลังเล ร่างที่เมื่อครู่ยังดูเหมือนจะสิ้นใจกลับสั่นเล็กน้อยในอ้อมแขนของนาง ราวกับมีบางสิ่งที่หลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการ...มันไม่เห่า ไม่ร้อง ไม่แม้แต่จะครางเสียงเบา ๆ มีเพียงแค่แรงลมหายใจถี่เล็กน้อยตรงอกและแรงสั่นน้อย ๆ จากร่างกายผอมโซนั่นเท่านั้นที่บอกว่ามันยังมีชีวิตอยู่


หลินหยายืนนิ่งงัน ดวงตาเบิกโพลงในตอนแรกด้วยความตกใจ...แต่เพียงชั่วครู่เธอก็ลดมือลงอย่างช้า ๆ ประคองเจ้าหมาตัวนั้นไว้แนบอกคล้ายกับกลัวว่ามันจะหายไปอีก "...เจ้ากำลังกลัว...อยู่ใช่ไหม..." เสียงกระซิบเบา ๆ เล็ดลอดจากริมฝีปากหล่อน น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและโอบอ้อม เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่กระเพื่อมอยู่ภายใน


เถียนเฟิงที่หันกลับมาเห็นภาพนั้นเข้าพอดี กะพริบตาช้า ๆ อย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองหญิงสาวตรงหน้าในชุดสีอ่อนที่ประคองหมาน้อยไว้แนบอกอย่างอ่อนโยน แววตาของนางนั้นอ่อนลงอย่างน่าแปลกยิ่งกว่าเมื่อครู่…แต่ก็ไม่ใช่แค่กับสุนัขตรงหน้า "ข้าเพิ่งเคยเห็นเจ้ารับสุนักตัวน้อยเข้ามาในอก…ทั้งที่เจ้ากลัวมันนักหนา" เสียงของเขาเอ่ยขึ้นอย่างเรียบ ๆ แต่ก็มากพอจะดึงความสนใจของหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง


หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนคล้ายจะเถียงแบบไม่รู้จะเถียงอย่างไรดี "ก็...ก็เพราะมันไม่เห่านี่นาเจ้าคะ แล้วก็เล็กนิดเดียวเอง..." แล้วก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว


เถียนเฟิงเลิกคิ้ว มุมปากกระตุกเบา ๆ "เจ้ากลัวมันน้อยกว่าที่กลัวข้าเมื่อคืนก่อนหรืออย่างไร"


"หุบปากไปเลยเถอะท่านนี้นะ..." นางพึมพำเบา ๆ ก้มหน้าลงแนบกับเจ้าหมาตัวน้อยที่ยังคงซุกอยู่ในอ้อมแขนของนาง เถียนเฟิงมองภาพตรงหน้าอยู่นาน ก่อนจะหลุบตาลงช้า ๆ 


เขาหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้บ่าวข้างกาย "หาผ้าห่มเล็ก ๆ กับตะกร้านุ่ม ๆ มาสำหรับมันที…ตั้งแต่นี้ไป เจ้าตัวนี่จะเป็นของแม่นางหลิน" เสียงทุ้มเรียบกล่าวโดยไม่ถามความเห็นใด ๆ จากนางเลยแม้แต่น้อยและหลินหยาก็ไม่เอ่ยปฏิเสธใด ๆ เช่นกัน เถียนเฟิงที่เพิ่งออกคำสั่งให้หาตะกร้าสำหรับเจ้าหมาตัวน้อยนั้นหันกลับมา ก็พบเข้ากับแววตาขบขันของหลินหยาที่ฉายชัดบนดวงหน้า แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเล็กน้อยจากแผลเมื่อวันก่อน แต่มุมปากของนางกลับยกยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง


"ต่อไปนี้เจ้าตัวเล็กนี้เป็นของข้าแล้วหรือเจ้าคะ?" เสียงนางนุ่มนวลเอ่ยพลางเหลือบตาลงมองเจ้าหมาตัวน้อยที่ยังซุกอยู่ในอ้อมแขน แล้วจึงเงยขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง "ท่านซื้อสุนักมาให้ข้าเป็นของตอบแทนที่จิ้มกระบี่ใส่ต้นแขนข้างซ้ายข้าหรือ?" น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีเค้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย มีเพียงความเย้าแหย่บางเบาที่ทำเอาเถียนเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างอดกลั้น


"หึ เจ้านี่ปากไวเสียจริงนะ" เขาว่าอย่างเยือกเย็น แต่สายตากลับอ่อนลงอย่างชัดเจน เขาขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิด ใช้สายตามองสำรวจใบหน้านางราวกับต้องการเช็กว่าไม่มีอาการเจ็บใดหลงเหลือ แล้วจู่ ๆ มือข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นขึ้นหมายจะยืดแก้มของนางเล่นตามนิสัยที่เขาแอบชอบยั่วโมโหนางเล็ก ๆ "ถ้ายังกล้าพูดจาไม่เข้าหูอีกละก็ ข้าจะ…"


งับ!


"อ๊ะ!" เสียงเขาร้องเบา ๆ อย่างตกใจเล็กน้อย ขณะที่มือข้างที่กำลังจะเอื้อมไปถึงแก้มนุ่ม ๆ ของหลินหยากลับถูกเจ้าหมาตัวน้อยที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนนางขบเข้าอย่างแม่นยำ “เฮอะ…” เถียนเฟิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาจริง ๆ ในที่สุด พลางมองเจ้าหมาตัวเล็กด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรือประชดกันแน่ “…กล้าดีนี่นะเจ้าตัวเล็ก"


หลินหยาหัวเราะคิกออกมาทันทีที่เห็นภาพนั้น นางก้มลงลูบหัวเจ้าหมาตัวน้อยอย่างอ่อนโยน “ข้าคิดว่าเจ้าหมานี่ฉลาดใช้ได้เลยละเจ้าค่ะ เห็นชัดว่าใครเป็นเจ้านายมัน” นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มยั่วเขาเล็กน้อยอย่างผู้ชนะ


เถียนเฟิงปรายตามองสตรีตรงหน้า ทั้งรอยยิ้มยั่ว ทั้งแววตาเจ้าเล่ห์ เห็นแล้วก็ยิ่งอยากยืดแก้มยิ่งกว่าเดิม…แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองเจ้าหมาตัวน้อยที่แม้จะแค่ขบเบา ๆ แต่ก็ทำให้ปลายนิ้วของเขารู้สึกได้ถึงแรงกัดที่ไม่ใช่เพราะศัตรูหากเป็นเพราะมันกำลังปกป้องหลินหยา “มันรู้ดีว่าเจ้าเป็นของมัน…” เขาเอ่ยเสียงเบาลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาสบตานาง "...เช่นเดียวกับที่มันรู้ว่าข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อเจ้า" หลินหยาไม่ตอบอะไร นางเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าลงลูบเจ้าหมาตัวน้อยต่อไปเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ใบหูที่แดงเรื่อและดวงตาที่หลุบต่ำกลับบอกชัดว่าได้ยินทุกคำ…และทุกถ้อยความนั้น กำลังซึมซับลงในใจของนางอย่างช้า ๆ


"งั้น...ตั้งชื่อให้มันดีกว่าเนอะ" หลินหยาพูดเสียงใส มือหนึ่งยังลูบขนเจ้าเจ้าหมาตัวน้อยที่ซุกอยู่ในอ้อมแขน “ข้าคิดไว้อย่างนึงแล้ว...เฉาก๊วยดีไหม?” นางเอียงคอเล็กน้อย เตรียมจะโน้มหน้าลงไปกระซิบชื่อใหม่นี้ใกล้ ๆ ใบหูหมาน้อย ทว่า…ปุ่บ! อุ้งเท้ากลมนิ่มสีเทาดำปิดปากนางแน่น หลินหยาเบิกตากว้าง มองหมาน้อยที่กำลังใช้หน้าเหวอ ๆ ของมันเองจ้องกลับมาราวกับจะพูดว่า ‘หยุดเลยนะ! อย่าได้เอ่ยคำนั้นออกมาเชียว!’


"เอ๊ะ เจ้า..." นางทำท่าจะดันอุ้งเท้าลง พูดใหม่อีกรอบ "ก็ข้าว่าเฉาก๊ว—"


ปุ่บ! อุ้งเท้ากลมเดิมคราวนี้เปลี่ยนมุมบังปากเธออีกครั้งอย่างแม่นยำกว่าเดิม! "ปะ...ปิดอีกแล้วเรอะ!" หลินหยาเริ่มมีเสียงหัวเราะปะปนอย่างอดไม่ได้ขณะพยายามดันอุ้งนุ่ม ๆ นั้นออก "เจ้าหมานี่! ทำเหมือนรู้ภาษาคนเลยนะ!"


“ฮึ…” เสียงต่ำ ๆ อย่างคนที่กลั้นขำเอาไว้สุดชีวิตดังขึ้นไม่ห่างนัก หลินหยาหันขวับไปมองใต้เท้าเถียนเฟิงที่ยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง สีหน้าดูสุภาพเรียบเฉยดั่งทุกวัน…แต่หัวไหล่กลับกระตุกเบา ๆ คล้ายจะระเบิดหัวเราะได้ทุกเมื่อ "ท่านอย่าขำนะ!" นางว่าพลางแยกเขี้ยวใส่ รู้สึกเหมือนโดนทั้งหมาและคนรุมกลั่นแกล้งทางอ้อมอย่างสมบูรณ์แบบ "เจ้าหมาตัวนี้มัน! มัน...หยิ่ง!"


“เปล่า” เถียนเฟิงว่าเสียงเรียบแต่สายตานั้น...เจือแววขำเจ็บ ๆ ราวกับกำลังสนุกอยู่เงียบ ๆ “มันเพียงแต่รู้รสนิยมในการตั้งชื่อของเจ้า…ควรห้ามเอาไว้ตั้งแต่ต้น”


หลินหยาทำตาโตใส่แล้วรีบกอดเจ้าหมาน้อยแน่นปานกับกลัวมันจะหนีหายไป “เฉาก๊วยก็น่ารักดีออก! ดำ ๆ เย็น ๆ นิ่ม ๆ เหมาะกับมันจะตาย!” เจ้าหมาตัวน้อยที่ยังคงซุกตัวเงียบในอ้อมแขนนางเหมือนจะถอนหายใจเงียบ ๆ...ถ้าหมามีเสียงถอนหายใจได้น่ะนะ เถียนเฟิงกระแอมในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงแววอ่อนโยนเจือขันเล็กน้อย “ถ้ามันไม่พอใจ เจ้าก็ลองหาชื่อใหม่ให้มันอีกหน่อยเถอะ...จะได้ไม่ต้องโดนอุ้งเท้าปิดปากอีกรอบ”


"หึ…ข้าจะตั้งชื่อให้มันจนกว่าจะพอใจเลยคอยดูสิ" หลินหยาเชิดหน้าขึ้นอย่างมาดมั่น แต่เมื่อก้มลงสบตาหมาน้อยอีกครั้งก็ทำเสียงเบาลงเป็นกระซิบ "แต่ข้าก็ยังชอบเฉาก๊วยอยู่นะ..." คราวนี้ เจ้าหมาตัวน้อยหลับตาลงเหมือนยอมแพ้โดยสิ้นเชิง “งั้น…” หลินหยาทำหน้าจริงจัง แต่ดวงตาเป็นประกายแสนซน เธอก้มหน้ามองเจ้าหมาน้อยที่ยังคงพิงอยู่กับอกของเธอ นุ่มฟู อ้อนเหมือนก้อนขนสดใสผู้มีจิตวิญญาณสูงส่งและรสนิยมเหนือสัตว์ทั้งปวง “ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นเฉาก๊วย ข้าจะให้ชื่อใหม่แก่เจ้า…เซียนเฉ่า! เซียนเฉ่าชากังราว!” เธอพูดพลางดีดนิ้วลงบนปลายจมูกเจ้าหมาเบา ๆ อย่างภาคภูมิใจ “เป็นไงเล่า ชื่อใหม่มีระดับขึ้นใช่ไหมล่ะ? แปลว่าอะไรน่ะเหรอ? ก็...ของดีจากสวรรค์ยังไงล่ะ!”


เจ้าหมาตัวน้อยกระพริบตาสองที พอหลินหยาพูดว่า “เซียนเฉ่า” มันกลับไม่ยกอุ้งเท้าขึ้นมาปิดปากเธออีกเหมือนครั้งก่อน ดูเหมือนมันจะยอมรับชื่อใหม่นี้แล้วจริง ๆ “อ้าว…แปลว่าเจ้ายอมรับแล้วใช่ไหม?” หลินหยาหัวเราะยิ้มแป้น พลางลูบหัวมันเบา ๆ อย่างเอ็นดูเต็มกลั้น “เซียนเฉ่าของข้า~” แต่ในขณะที่นางกำลังหัวเราะชอบใจอยู่ เถียนเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาคมที่เคยดูสุขุมกะพริบช้า ๆ


“...เซียนเฉ่า?” เขาทวนชื่อนั้นออกมาเสียงต่ำ ดวงตาเริ่มเหลือบขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าเหมือนจะกลั้นอะไรบางอย่างไว้ “…เจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘เซียนเฉ่า’ มันแปลว่าอะไรจริง ๆ น่ะ?” หลินหยาเอียงคอ “ก็...ของวิเศษแห่งหุบเขา หรือ...ใบชาทิพย์ไร้อายุไง ข้าเคยอ่านในหนังสือ...นะ” เสียงเธอเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของใต้เท้าเถียนเฟิงที่เริ่มสั่น...ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่มันคือ…ใบหน้าของชายที่พยายาม ‘กลั้นหัวเราะอย่างสิ้นหวัง’


เถียนเฟิงหันหน้าไปทางอื่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดริมฝีปาก ดวงตาสั่นระริก ท่าทางสง่างามเหมือนยอดขุนนางหายไปหมดสิ้นเมื่อเขาก้มไหล่ลงเล็กน้อย ขำจนตัวโยน “เซียนเฉ่า...แปลว่าเฉาก๊วยอยู่ดี…” เสียงนั้นต่ำ แต่เต็มไปด้วยความขบขันจากก้นบึ้ง เขาหันมามองเจ้าหมาที่ตอนนี้ยังคงนอนตาพริ้มอยู่บนตักหลินหยาด้วยสีหน้าที่...ดูฉลาดนิดหน่อยแต่โง่นิดใหญ่ “เจ้าเป็นสุนักที่ทำลายความพยายามของตนเองได้อย่างมีชั้นเชิงเหลือเกิน…” เถียนเฟิงพูดเสียงพร่า ปากยังสั่น ๆ อย่างกลั้นหัวเราะไม่ได้เต็มที่ “ไม่ยอมให้เรียกเฉาก๊วย...แต่ยอมให้เรียกเซียนเฉ่า”


“ท่านห้ามขำนะ!!” หลินหยาหันขวับมา หน้าแดงอย่างแรง “นี่เป็นชื่อที่ฟังดูไฮคลาสกว่าเยอะ! เจ้าหมานี่ไม่ยอมชื่อแบบโลโซ ๆ มันเลยยอมให้ตั้งชื่อภาษาวังหลังหน่อย ๆ!”


“เซียนเฉ่า…ภาษาวังหลัง…” เถียนเฟิงพึมพำก่อนจะหลุดขำพรืดออกมาเสียงดังที่สุดเท่าที่หลินหยาเคยได้ยินจากปากของเขา เสียงหัวเราะนั้นไม่ใช่แค่ขำธรรมดา มันคือขำแบบพังทลาย ความสง่างามที่เขาเคยมีล้วนละลายหายไปในอากาศ เถียนเฟิงขำตัวงอมือเท้าเข่าอีกข้างกัดฟันแน่นพยายามไม่ให้เสียงลอดออกมามากไปกว่านี้ “ข้าจะจำวันนี้ไว้…สุนักที่ฉลาดแต่ก็ไม่ฉลาดเหมือนเจ้านายมันน่ะ...หาได้ยากยิ่งนัก”


หลินหยาหันไปเบะปากแล้วหยิกแก้มตัวเองเหมือนจะบอกว่าอยากจะเอาแก้มตัวเองฟาดหน้าผู้ชายคนนี้แทนคำพูด “จะขำอะไรนักหนา! ท่านเถียนเฟิง!”


“ข้าขอโทษ...แต่มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฮ่า…” เสียงหัวเราะก้องท่ามกลางถนนสิบลี้ ในขณะที่เจ้า ‘เซียนเฉ่า’ ขดตัวหลับอยู่เงียบ ๆ บนตักหญิงสาวเหมือนไม่รับรู้ว่า...เจ้ามนุษย์สองคนนี้ ตลกพอ ๆ กันแต่แล้วในขณะที่เสียงหัวเราะของเถียนเฟิงยังจางอยู่ในอากาศ และหลินหยายังเอานิ้วจิ้มแก้มตนเองพลางทำหน้าคว่ำใส่เขา เจ้าหมาน้อยบนตักของนางกลับกระพริบตาขึ้นอีกครั้ง…และคราวนี้สายตาของมันไม่เหมือนเดิม


มันไม่ใช่แววตาเปล่งประกายใสซื่อของลูกหมาหลงทางทั่วไป หากแต่เป็นแววตาที่ "นิ่ง" จนน่าขนลุก ชั่วขณะแวบนั้นหลินหยารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน กลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่ลอยคลุ้งอยู่รอบขบวนคหบดีเมื่อครู่กลับกลายเป็นกลิ่นดินเปียกและหมอกขาว เหมือนเธอกำลังจ้องเข้าสู่โพรงลึกที่ทอดไปไม่สิ้นสุด แล้วก็เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีร่างของนางสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนมีอะไรบางอย่างหลุดออกจากจิต ดวงตาหลินหยาพร่าเบลอไปชั่วครู่ ความอุ่นในกายคล้ายถูกดูดหายจากกลางอก แล้วไหลปราดเข้าไปยังร่างของเจ้าหมาเงียบ ๆ โดยที่นางไม่ทันรู้ตัว


เถียนเฟิงซึ่งกำลังหัวเราะอยู่ก็พลันนิ่งเงียบ ดวงตาสีเข้มของเขาหลุบต่ำลงจ้องเจ้าหมาน้อยไม่วางตา ร่างกายของเขาชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจ แต่สำหรับยอดขุนนางผู้ฝึกปราณขั้นสูง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน จังหวะพลังจิตหนึ่งของหญิงสาวข้างกายเหมือน ‘หายวับ’ ไปดื้อ ๆ "…เมื่อครู่เจ้ารู้สึกอะไรแปลกไปหรือไม่?" เขาถามเสียงต่ำ จ้องเจ้าหมาน้อยที่ยังนอนแนบอกหลินหยาด้วยแววตาไม่วางใจ


"หืม?" หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ไม่...นะ ข้าก็ยังโอเคอยู่ เจ้าเซียนเฉ่าดูอารมณ์ดีขึ้นด้วยล่ะ เห็นไหม หน้ามันอิ่มหนำเลยนะ” เธอยิ้มอย่างไร้เดียงสา พลางลูบหัวหมาเบา ๆ ขณะที่มันกระพริบตาช้า ๆ มองเถียนเฟิงกลับด้วยสายตา...อย่างหมาไม่มีพิษภัย แต่แววตานั้นกลับล้ำลึกเกินกว่าลูกหมาตัวเล็กควรมี


เถียนเฟิงไม่ได้ตอบ เขาแค่มองสลับระหว่างหญิงสาวตรงหน้ากับเจ้าหมาน้อย…ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันเล็กน้อย...ไม่ใช่หมาทั่วไปแน่ สัมผัสของมัน...ไม่ใช่สัตว์สามัญและที่น่าประหลาดกว่านั้นคือ ตัวของหลินหยา ไม่ใช่แค่พร่าเลือน มันถูกรับเข้าไปในร่างของมันราวกับเป็นพิธีกรรมบางอย่างโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ "ข้าว่า..." เถียนเฟิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางก้าวเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงข้างหลินหยา ดวงตาเงียบเย็นแต่เจือด้วยความระแวดระวัง "เจ้านี่น่ะ อาจจะเป็นตัวอะไรที่มากกว่าแค่สุนักจรข้างถนน..."


"ท่านย่าดูถูกเซียนเฉ่าสิ!" หลินหยาหันมาทำหน้าเอาเรื่องทันที “มันอาจจะเคยเป็นหมาเซียน...แบบหมาประจำอารามเต๋าก็ได้นะ! ดูสิหน้ามันตอนนี้ สงบเยือกเย็นอย่างกับนักพรตเลย”


"นั่นแหละที่ข้ากำลังพูด..." เขาตอบเสียงแผ่วเหมือนคนคิดไม่ตก “มันอาจจะ...เป็นสัตว์เซียนจริง ๆ ก็ได้ แต่มิใช่ในความหมายของเจ้า” เขาเหลือบมองกรงไม้ที่มันเคยถูกขังอยู่ แผ่นไม้หนาถูกงับกระจายราวกับไม่มีค่า ดูจากแรงกัดไม่ใช่หมาปกติแน่ เถียนเฟิงเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาเขานิ่งสนิท แต่ลึกข้างในเริ่มร้อนรุ่มด้วยคำถามในใจ...หรือว่า??


"หา?" หลินหยาหันมาขมวดคิ้ว แต่ก่อนจะได้ถามอะไรเพิ่ม เจ้าหมาน้อยกลับขยับตัวเล็กน้อย เอาหน้าถูเสื้อนางเบา ๆ ดูเหมือนจะอ้อนแต่ในดวงตาของมันวาบแสงบางอย่าง...ที่แม้แผ่วบาง ทว่าเถียนเฟิงก็เห็นมันชัดเจน...มันไม่ใช่หมาปกติแน่ ๆ  และหลินหยาที่นั่งลูบหัวมันอยู่ ยังไม่รู้เลยสักนิด ว่าตนเองได้ผูกพันธะบางอย่าง...กับสิ่งที่ถูกผนึกมาเนิ่นนานแล้วโดยไม่รู้ตัว



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: 


ตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยง

Level ผู้ตั้งชื่อให้ 100

ใช้ตบะ 200 หน่วย : +20 Level ทันที


ซื้อ ใบชาไป๋หาวอิ๋นเจิน ราคา 1 ตำลึงเงิน 649 เหรียญอู่จู

จำนวน 40 ชิ้น รวม 40 ตำลึงเงิน 25960 เหรียญอู่จู

ซื้อ เนื้อสัตว์ ราคา 31 เหรียญอู่จู

จำนวน 100 ชิ้น รวม 3100 เหรียญอู่จู


ตามกฎการซื้อ ทุกครั้งที่ทำการซื้อสินค้าจะต้อง +10% ภาษีการค้าแก่ขบวนคหบดีลู่

ต้องจ่ายเงินให้แก่ขบวนคหบดีลู่ (แปลงเป็นเงินเหรียญอู่จูเพื่อความสะดวกในการคำนวณ)


ใบชาไป๋หาวอิ๋นเจิน จำนวน 40 ชิ้น ราคารวม 41960 เหรียญอู่จู

เนื้อสัตว์ จำนวน 100 ชิ้น ราคารวม 3100 เหรียญอู่จู

รวมยอดสินค้าก่อนภาษี 41960 + 3100 = 45060 เหรียญอู่จู

ภาษีการค้า 10% เท่ากับ 4,506 เหรียญอู่จู


วมโอน 49566 เหรียญอู่จู หรือ แปลงค่าเงินคือ 123 ตำลึงเงิน 366 เหรียญอู่จู



รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

สุนัขสามหัวพัฒนาการสู่เผ่าปีศาจแล้ว  โพสต์ 2025-7-20 19:03
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-20 18:58
โพสต์ 89383 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 17:16
โพสต์ 89,383 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 17:16
โพสต์ 89,383 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 17:16

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน -200 ย่อ เหตุผล
Admin -200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 20 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามเว่ย (เวลา 13.00 - 15.00 น.)



ในยามเว่ยที่แสงแดดยามบ่ายเริ่มอ่อนแรงลง อากาศยามบ่ายคล้อยในฉางอันยังคงอบอ้าว ซูเหยาในชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนที่แม้จะเรียบง่ายแต่ก็สะอาดสะอ้าน มุ่งหน้าผ่านถนนอันคร่าคร่ำไปด้วยผู้คน ด้วยคำแนะนำของผู้ดูแลร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ที่แนะนำให้นางลองไปหาสมุนไพรที่ตลาดตะวันตก นางจึงตั้งใจจะไปสำรวจดู ทว่าก่อนจะถึงจุดหมาย นางเหลือบไปเห็นความวุ่นวายเบื้องหน้าเสียก่อน ขบวนพ่อค้าขนาดใหญ่ที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบอยู่กลางถนน มิได้เป็นเพียงขบวนเกวียนธรรมดา หากแต่เป็นขบวนที่ดูโอ่อ่า มีธงผืนใหญ่ปักโดดเด่นสะบัดพลิ้วไสว ต้องลมยามบ่าย


ด้วยความที่ซูเหยาเพิ่งย้ายมาพำนักในฉางอันได้ไม่นานนัก นางยังไม่คุ้นชินกับธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่าง จึงมิได้รู้เลยว่าขบวนพ่อค้าเช่นนี้มักจะค้าขายส่งให้กับเหล่าพ่อค้าแม่ค้าด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้เปิดรับลูกค้าทั่วไป นางก้าวเข้าไปใกล้ แผงไม้ถูกกางออกอย่างรวดเร็ว สินค้ามากมายถูกจัดวางเรียงราย โดยเฉพาะสมุนไพรแห้งหลากชนิดที่ส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวอบอวลไปทั่วบริเวณ


ซูเหยาเห็นดังนั้นก็ตาเป็นประกาย นางตรงเข้าไปสอบถามพ่อค้าผู้หนึ่งที่กำลังจัดเรียงสินค้าอย่างขะมักเขม้น 


"ท่านลุงเจ้าคะ สมุนไพรเหล่านี้ราคาเท่าใดบ้างเจ้าคะ?"


พ่อค้าเงยหน้าขึ้นมองนางช้า ๆ พลางปัดมือที่เลอะผงยาออก 


"แม่นางน้อย ขบวนของเราค้าส่งเท่านั้น ไม่ได้ขายปลีกให้คนทั่วไป"


ซูเหยาหน้าเจื่อนเล็กน้อย แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาสมุนไพรและยามาปรุงรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวบ้านผู้ยากไร้ นางจึงพยายามอีกครั้ง 


"แต่ข้าอยากได้ยาบางตัวจริง ๆ เจ้าค่ะ หากท่านพอจะแบ่งให้ได้บ้าง จักเป็นพระคุณยิ่ง"


พ่อค้าส่ายหน้าอย่างสุภาพ 


“ต้องขออภัยแม่นางด้วยจริง ๆ พ่อค้าอย่างเรามีข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากเราขายปลีกให้คนทั่วไป จะถือว่าผิดกฎของสมาคมการค้า อาจโดนลงโทษถึงขั้นถูกตัดสิทธิ์จากการค้าขายในฉางอันเลยทีเดียว” เขากล่าวพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย แสดงออกถึงความไม่เต็มใจที่จะปฏิเสธ “เราก็อยากช่วยเหลือนะ แต่เรื่องนี้มิอาจทำได้จริง ๆ”


ซูเหยาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นางรับรู้ว่าพ่อค้าเองก็มีข้อจำกัดที่ต้องปฏิบัติตาม นางจึงเปลี่ยนคำถาม 


“เช่นนั้นข้าขอสอบถามราคาสมุนไพรบางชนิดได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าเพียงอยากรู้ราคาเฉลี่ยเท่านั้น”


“ช่วงนี้สมุนไพรทุกชนิดราคาปรับขึ้นมากนักแม่นาง อย่างสมุนไพรพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไปก็แพงกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว ยิ่งสมุนไพรหายากแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง” พ่อค้าอธิบายคร่าว ๆ ถึงราคา


ซูเหยาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าราคาคงสูงขึ้นบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะสูงได้ถึงเพียงนี้ ด้วยราคาเช่นนี้ การจะนำไปปรุงยาช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้คงเป็นไปได้ยากยิ่งนัก เพราะแม้แต่สมุนไพรพื้นฐานก็ยังมีราคาสูงลิบลิ่ว


ขณะที่ซูเหยากำลังยืนสนทนากับพ่อค้าด้วยสีหน้าเป็นกังวลอยู่นั้น เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นก็ดังขึ้นใกล้เข้ามา ใต้เท้าเถียนได้เดินทางมาถึงพอดี โดยปกติแล้วเขาจะแวะเวียนมาตรวจตราและสังเกตการณ์ระบบเศรษฐกิจของฉางอันอยู่เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าการค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีการกักตุนสินค้าหรือค้ากำไรเกินควร


ใต้เท้าเถียนสังเกตเห็นซูเหยาที่กำลังยืนอยู่หน้าแผงสมุนไพร และจำได้ว่านางคือหมอหญิงซูเหยาที่เขาพบที่หอหอว่านหงเหริน เขาเดินตรงเข้ามาหานางพร้อมเอ่ยทักทาย 


“อ้าว หมอหญิงซูเหยา ไม่คาดคิดว่าจะมาพบเจ้าที่นี่ มาหาซื้อสมุนไพรด้วยตนเองเชียวหรือ?”


ซูเหยาหันไปโค้งคำนับให้ใต้เท้าเถียน 


“เรียนใต้เท้าเถียนเจ้าค่ะ ข้ากำลังมองหาสมุนไพรเพื่อนำไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ป่วยไข้ แต่ดูเหมือนว่าราคาสมุนไพรช่วงนี้จะพุ่งสูงขึ้นมากเหลือเกิน ทำให้ข้าค่อนข้างกังวลใจเจ้าค่ะ”


ใต้เท้าเถียนพยักหน้า สีหน้าของท่านดูครุ่นคิด 


“ใช่แล้ว ข้าเองก็กำลังสืบหาสาเหตุของเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาสมุนไพรทั่วฉางอันล้วนปรับตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต่างได้รับผลกระทบ และที่สำคัญคือชาวบ้านผู้ยากไร้ที่ไม่สามารถเข้าถึงยาได้ดังเดิม”


เขามองไปรอบ ๆ ขบวนสินค้าของพ่อค้าใหญ่ ก่อนจะหันมากล่าวกับซูเหยาต่อ 


“ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องการกักตุนสินค้าและการควบคุมราคาจากคนบางกลุ่ม ซึ่งหากเป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมาก” ใต้เท้าเถียนขมวดคิ้วแน่น “ข้ากำลังรวบรวมข้อมูลและหลักฐานอยู่ หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง จะต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อรักษาระบบการค้าให้เป็นธรรมและปกป้องประชาชน หมอหญิงซูคงลำบากไม่น้อยในช่วงนี้ หากเจ้ามีข้อมูลหรือเบาะแสใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถแจ้งให้ข้าทราบได้เสมอ ข้าพร้อมจะรับฟังและพิจารณาอย่างเต็มที่”


“ขอบพระคุณใต้เท้าเถียนที่ให้ความกรุณาเจ้าค่ะ หากข้ามีเบาะแสใด ๆ จะรีบแจ้งให้ใต้เท้าทราบในทันที” ซูเหยากล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ การที่ใต้เท้าเถียนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทำให้นางรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง แม้สถานการณ์จะยังดูมืดมิดอยู่ก็ตาม


“ช่วงนี้เจ้าก็ระมัดระวังตัวด้วย มีข่าวลือแปลก ๆ หนาหูนัก” ท่านกล่าวพลางเหลือบมองไปทางขบวนพ่อค้าอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความกังวล “ข้าคงต้องไปตรวจตราที่อื่นต่อแล้ว”


“เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะใต้เท้า” ซูเหยากล่าวส่ง 


แม้จะผิดหวังกับการที่ขบวนพ่อค้าไม่ขายปลีกและราคาสมุนไพรที่พุ่งสูงลิ่ว แต่ซูเหยาก็ไม่ยอมแพ้ นางรู้ดีว่าการช่วยเหลือชาวบ้านเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้


“เห็นทีคงต้องไปตลาดตะวันตกเสียแล้ว” ซูเหยาพึมพำกับตัวเอง นางตัดสินใจเดินหน้าต่อไปตามคำแนะนำของผู้ดูแลร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ แม้จะรู้ว่าอาจต้องเผชิญกับราคาที่สูงไม่ต่างกัน แต่ก็ยังหวังว่าจะเจอสมุนไพรบางชนิดที่พอจะหาซื้อได้บ้างที่นั่น



เควสปลดหัวใจ: สัจธรรมแห่งการเยียวยา (2.5)


[NPC-08] เถียน เฟิง

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 18,725 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 18,725 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 18,725 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 18,725 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ เมื่อวานซืน 21:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-27 21:23


วันที่ 27 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 14.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ขบวนคหบดีลู่ 


เสียงราวกับสายลมยามปลายฤดูร้อนแผ่วผ่านเมื่อหลินหยาก้าวเข้าสู่ขบวนคหบดีลู่ แผงพ่อค้าใหญ่รายล้อมด้วยสินค้าล้ำค่า หรูหราและหายากจนสายตาของคนทั่วไปแทบไม่กล้าเหลือบมองนานเกินควร กลิ่นเครื่องหอมจาง ๆ ผสมกับกลิ่นไม้กฤษณาราคาแพง ทำให้บรรยากาศดูทั้งขลังและน่าเกรงขาม หญิงสาวก้าวอย่างมั่นใจ ฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า แต่เด็ดขาด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งหมายทำให้ผู้คนที่เดินผ่านหันไปมองอย่างสนใจ เจ้าหน้าที่ตรวจตราใบตราพ่อค้าสกุลลู่ที่นางยื่นให้อย่างไม่รีรอ ดวงตาของพวกเขากวาดมองใบตราแล้วรีบพยักหน้าถอยไปเปิดทาง “เชิญแม่นาง” เสียงทุ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเกรงใจ


หลินหยายกปลายคางเล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านไป ราวกับเป็นเรื่องปกติสำหรับนางที่เคยชินกับสายตาของคนทั้งหลายที่มองมาอย่างคาดเดาไม่ได้ จนกระทั่งนางหยุดยืนหน้าร้านหนึ่งแผงที่ตั้งโชว์ “หินดาวเคราะห์อัปเกรด” บนแท่นกำมะหยี่สีดำสนิท แสงสะท้อนจากหินทำให้มันเปล่งประกายราวกับกลืนกินแสงรอบตัว ชื่อลายทองสลักไว้ข้างกล่องบ่งบอกถึงอาคมโบราณที่หายาก

 

เจ้าของแผงเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและประเมินค่า แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยถาม หลินหยาก็ชี้ไปยังหินดาวเคราะห์ด้วยท่าทีสงบ หากน้ำเสียงกลับแฝงแรงกดดันที่ไม่อาจปฏิเสธ


“ข้าเหมาสามชิ้น” เสียงของนางชัดเจนจนผู้คนรอบ ๆ หันมามองด้วยความตกตะลึง พ่อค้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างโลภน้อย ๆ “สามชิ้น... แม่นางน้อยกล่าวเล่นหรือไม่?” หลินหยาเพียงเลิกคิ้ว ดวงตาวาวระยับคล้ายแสงดาบที่เฉือนความลังเลในใจอีกฝ่าย เธอเอ่ยสั้น ๆ แต่หนักแน่น “ข้า...พูดจริง”


ถุงเงินที่นางยกขึ้นวางบนโต๊ะทำให้เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจนราวกับสัญญาณชัยชนะ พ่อค้าหยิบมันขึ้นมาตรวจแล้วหัวเราะชื่นมื่น ก่อนจะเรียกคนงานให้รีบจัดหินดาวเคราะห์สามชิ้นอย่างรวดเร็ว ในจังหวะนั้น หลินหยากอดอก ยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความพึงใจครั้งหนึ่งนางเคยได้แต่ฝันถึง วันนี้นางกลับทำให้ฝันนั้นเป็นจริงด้วยสองมือของตนเอง




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: 


ซื้อ หินดาวเคราะห์(อัปเกรด) ราคา 86 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน

จำนวน 3 ชิ้น รวม 258 ตำลึงทอง 21 ตำลึงเงิน


ตามกฎการซื้อ ทุกครั้งที่ทำการซื้อสินค้าจะต้อง +10% ภาษีการค้าแก่ขบวนคหบดีลู่

ต้องจ่ายเงินให้แก่ขบวนคหบดีลู่ (แปลงเป็นเงินเหรียญอู่จูเพื่อความสะดวกในการคำนวณ)


รวมยอดสินค้าก่อนภาษี 1,040,400 เหรียญอู่จู

ภาษีการค้า 10% เท่ากับ 104,040 เหรียญอู่จู


รวมโอน 1,144,440 เหรียญอู่จู่ หรือ แปลงค่าเงินคือ 286 ตำลึงทอง 440 เหรียญอู่จู


รางวัล: ไม่มีค่ะ มาละลายทรัพย์…


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point




แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ เมื่อวานซืน 21:53
โพสต์ 16895 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ เมื่อวานซืน 21:20
โพสต์ 16,895 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ เมื่อวานซืน 21:20
โพสต์ 16,895 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ เมื่อวานซืน 21:20
โพสต์ 16,895 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ เมื่อวานซืน 21:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้