แม้จะเป็นวันพิธีใหญ่แต่โดยรวมแล้วกิจวัตรก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เหล่าสนมยังต้องออกมาร่วมถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงเหมือนเคย ร่วมจิบชาทานของว่างในระหว่างที่ฝ่าบาทออกไปประชุมในช่วงเช้าและเพิ่มมาแค่การติดตามเซียวจื่อไท่โฮ่วไปสักการะศาลบรรพชนก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดแจงของขวัญ หรือทำธุระส่วนตัวเพื่อรองานเลี้ยงในช่วงค่ำที่จัดขึ้นผ่านการดูแลของเว่ยเจียเสียนอี๋ที่ขณะประกาศแต่งตั้งผู้ดำเนินการ อีกฝ่ายที่มียศใหญ่กว่าใครเลยได้รับหน้าที่สำคัญไปดูแล
ซึ่งก็สมกับเป็นงานที่นางเฝ้าจัดอย่างใส่ใจ
“ พระสนมลู่เจาอี๋เสด็จ ”
สิ้นเสียงประกาศกร้าว ผู้ที่ก้าวขาเยื้องย่างเข้ามาก็สร้างระลอกความตื่นตาให้กับคนทั่วท้องพระโรง
เทพธิดานางหนึ่งปรากฏตัวอวดโฉมภายใต้อาภรณ์สีครามชาดกระชับเข้ารูปร่างที่ผืนผ้าบรรจงทอแซมใยเงินให้มีลูกเล่นพราวแสงระยิบระยับทุกครั้งที่กระโปรงสะบัดพริ้ว ต่างหูหยกสลักเป็นรูปจันทร์ดั้นเมฆแกว่งไกวตามการเคลื่อนไหวดูลื่นไหลเพลินตา รับกับดวงหน้าของหยาดฟ้าที่ประกอบด้วยสองคิ้วเรียวยาว ดวงตาหงส์สุกสกาวราวมณีลี้ลับตัดกับผิวขาวผุดผาดพร้อมด้วยการปัดแป้งชาดเบาบางที่ทำให้สองพวงแก้มเปล่งปลั่ง
เรือนผมดำขลับที่เคยสยายออก ยามนี้ถูกรวบขึ้นเป็นมวยสูงอย่างทรงล่องสวรรค์พร้อมตกแต่งด้วยชุดปิ่นทองบุปผาที่แทรกพลอยม่วงเม็ดงามบ่งบอกราคาสูงลิ่วที่ใครเห็นยังต้องอิจฉา ราวนางอัปสรที่ใครก็ไม่อาจคัดค้านได้มาเผยตัวอยู่ตรงหน้า จะรูปลักษณ์หรือกิริยาล้วนถูกลงความเห็นว่าเป็นความงดงามอันสมบูรณ์แบบอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ ลู่เจาอี๋ ”
“ เปิ่นกงมิทราบว่าลำดับขั้นตอนภายในงานที่เว่ยเจียเสียนอี๋จัดนั้นเป็นอย่างไรบ้าง รบกวนช่วยแนะนำด้วย ” สายตาของนงคราญไม่สับสนหรือตื่นตระหนกในความสนใจที่มุ่งเข้ามาเลยแม้แต่น้อย ไป๋หรั่นระบายยิ้มบางอย่างมีมารยาทให้กับขันทีที่ก้าวขึ้นมารับหน้าดูแล นึกไม่ถึงว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้จะทำให้เขาหยุดชะงักไปได้ราว ๆ สามลมหายใจถึงจะค่อยดึงสติกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อได้
“ เชิญพระสนมตามกระหม่อมมาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ ”
พระสนมเอกพยักหน้าอย่างแช่มช้า ก่อนจะก้าวตามการนำทางไปเพื่อทำตามพิธีที่สหายร่วมเรียนของตนจัดทำขึ้นอย่างตั้งใจ “ ขั้นแรก พระสนมสามารถเลือกได้ว่าทรงต้องการเขียนคำอวยพรร่วมกระดาษกับเหล่าผู้ร่วมงานท่านอื่น หรือจะเขียนลงป้ายที่ถูกทำขึ้นเพื่อแขวนไม้มงคลที่อยู่ด้านหน้าพ่ะย่ะค่ะ ”
“ หืม.. ” ไป๋หรั่นรู้สึกประหลาดใจมาก.. นางทราบดีว่าเว่ยเจียผู้นั้นฉลาดเฉลียวเพียงไหน แต่ก็มินึกเลยว่าจะทำออกมาได้น่าสนใจถึงเพียงนี้ นงคราญหยกผินหน้ามองต้นไม้มงคลด้านนอกที่มีป้ายแขวนประดับไว้บ้างประปรายก็พลันหยักยิ้มอ่อนละมุน “ แขวนเป็นป้ายนั้นเด่นเกินไป.. แค่ได้มีพื้นที่เขียนเล็ก ๆ ตรงมุมกระดาษเปิ่นกงก็พอใจแล้ว ”
คำตอบของนางสร้างความรู้สึกที่หลากหลายทิ้งเอาไว้ให้ผู้คน บ้างก็ว่านางถ่อมตนนัก บ้างก็ว่านางสำรวมอ่อนหวาน หรือไม่ก็หาว่าดัดจริต ใบหน้างามแฝงความตั้งใจไว้ราว ๆ เจ็ดส่วนเมื่อมือบางได้สัมผัสกับพู่กัน นางเลือกมุมกระดาษที่ไร้คนแตะต้อง เขียนอักษรลงไปอย่างเรียบง่ายจริงใจ ‘ สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไร้ทุกข์โศกโรคภัย พานพบเพียงสุข อยู่เป็นดวงใจของไพร่ฟ้าเนิ่นนานสืบต่อไป ’
นางไม่กำกับชื่อผู้เขียนเอาไว้ด้วยซ้ำ ทว่ารูปลักษณ์อักษรข่ายซูที่วิจิตรชดช้อยมีหรือคนจะมองไม่ออก
“ ตอนนี้พระสนมสำเร็จขั้นตอนสำคัญของงานเลี้ยงแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะนำท่านไปยังโต๊ะที่ถูกเตรียมไว้ให้ ”
เพราะนางไม่ใช่สนมขั้นสูงเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ถึงจะยังไม่อาจเทียบได้กับอัครชายาเอกแต่ก็เป็นสนมเอกที่มีหน้ามีตา ดังนั้นจึงต้องได้รับการจัดที่นั่งไว้ใกล้กับเหล่าเชื้อพระวงศ์มากเป็นพิเศษ “ ยามนี้มีผู้ใดมาร่วมงานบ้างแล้ว? ” ในระหว่างทางที่เดินไป ลู่เจาอี๋เอ่ยถามเสียงเรียบเพื่อทบทวนว่ามีใครบ้างที่สมควรไปทักทายด้วยตัวเอง
“ เหล่าขุนนางตั้งแต่ระดับจิ่วชิงลงไปล้วนมากันครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้านเชื้อพระวงศ์ บัดนี้หวยหนานหวางและฉานซาเซียนหวางก็ได้เสด็จมาถึงแล้วเช่นกัน ” ขันทีหนุ่มตอบกลับฉะฉานพร้อมผายมือเชิญนางเมื่อถึงโต๊ะ ดูท่าคงเป็นสวรรค์เป็นใจช่วยส่งเสริมให้นางได้พบปะคนใหม่ ๆ เพราะผู้ที่ครองโต๊ะตรงข้ามนางกลับเป็นสองหวางที่พึ่งถูกกล่าวถึงไปเมื่อครู่
“ เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก ”
บรรดาจิ่วชิงไม่ใช่ปัญหา พวกเขาต้องวนขึ้นมาคารวะเชื้อพระวงศ์อยู่แล้ว เอาไว้ค่อยหาโอกาสเข้าไปทักทายอีกครั้ง แต่สองหวางนี่สิ นางควรทำอย่างไร “ หลี่กู่กู คิดว่าอย่างไร พอมีโอกาสหรือไม่ ” นางเอนไปกระซิบถามนางกำนัลคนสนิทที่ก่อนหน้านี้หารือกันมาแล้วว่าคงต้องช่วยกันสอดส่องดูความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ทักทายใครได้ก็ทัก สานสัมพันธ์ใครได้ก็สาน งานนี้เป็นตัวเปิดทางโอกาสรอดของนาง เสียก็แต่ไร้เงาผิงหยางกงจู่ที่อาจช่วยเหลือได้
“ บ่าวเห็นว่ามักมีนางกำนัลเวียนนำของว่างหรืออาหารมาถวายเป็นระยะเพคะ ”
สื่อสารกันเท่านี้ก็เข้าใจถึงจุดประสงค์แล้ว บางครั้งนางก็นึกกลัวในความเข้ากันได้ของนางและผู่เยว่ที่ทำให้ต่างฝ่ายรู้ใจกันเป็นอย่างดี ทว่าอีกฝ่ายจะคิดไปในแบบเดียวกันกับนางไหมนั่นก็อีกเรื่อง “ ให้บ่าวไปนำถาดสำรับจากนางกำนัลมาดีหรือไม่เพคะ พระสนมจะได้นำไปถวายแทน ”
“ โจ่งแจ้งเกินไป ไม่ดี ”
พูดไปก็ระบายยิ้มคล้ายว่าไม่ได้วางแผนหรือหารือกับคนใกล้ตัว แต่แค่พึมพัมไร้สาระขณะมองไปรอบงาน จวบจนหันกลับไปมองตรงที่สองหวางซึ่งกำลังยกโต๊ะหมากขึ้นมาตั้ง “ … มีวิธีแล้ว ”
คราวหลังก็อย่าริอาจนำแมวมาไว้กับจิ้งจอกอีกเล่า
…
“ ผ่านมาไม่กี่ปี วิถีหมากดูจะซับซ้อนขึ้นมากนะเจ้าหลานชาย ”
“ พระปิตุลากล่าวเกินไป หลานยังด้อยประสบการณ์หากเทียบกับท่าน ”
หลิวอันไม่คิดอย่างนั้น ดวงตาราวพยัคฆ์ของผู้ผ่านศึกสงครามมามากจับจ้องหลานชายที่มีสีหน้าปลอดโปร่งแต่กลับมีแววตาเย็นเหยียบ หลิวชุ่นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ฉลาดเฉลียวมากความสามารถ เคยไขว่คว้ามาซึ่งอำนาจในสิ่งที่ต้องการ แต่กลับถูกความบ้าคลั่งของราชสำนักหล่อหลอมให้กลายมาเป็นผู้ซ่อนเขี้ยวเล็บที่อันตรายยิ่งกว่าใครก็เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด ทั้งหมดที่อีกฝ่ายเป็นแสดงออกมาผ่านกลหมากที่อีกฝ่ายเลือกใช้กับเขา
วางตัดทุกความเป็นไปได้ ตะล่อมหลอกอย่างเชื่องช้าจนต้องหมดหวัง
หากไม่ใช่ว่าผู้ที่กำลังต่อกรนั้นคือผู้ครองเขี้ยวของอสุราเชื่อว่าปานนี้คงรู้แพ้รู้ชนะกันไปนานแล้ว
“ หวางเย่ ขออนุญาตถวายชาเพคะ ” เป็นปกติที่จะมีนางกำนัลเวียนมาคอยดูแลสำรับและเครื่องดื่มบนโต๊ะของพวกเขา ทั้งหลิวอันและหลิวชุ่นจึงไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ปล่อยให้นางกำนัลได้นำป้านชาใหม่มาวางและรินลงจอก หวยหนานหวางที่กำลังใช้ความคิดเมื่อได้ยินเสียงชาก็ตัดสินใจยกจอกขึ้นจิบหวังบรรเทาความคิดฟุ้งซ่านแม้ว่ามันจะเป็นเพียงชาบุปผาหอมอ่อน ๆ
แต่เมื่อได้ลิ้มรส กระทั่งมือที่คลึงเม็ดหมากยังหยุดไปจนคนที่รบรากันมายังสังเกตเห็น
“ มีอะไรหรือไม่พระปิตุลา ”
“ เป็นชาหลงจิ่ง ”
“ …? ”
“ เดิมเคยเป็นชาบุปผา ยามนี้กลับเป็นหลงจิ่งแล้ว ”
ต่อให้เป็นงานระดับวังหลวงแต่การเบิกของมีค่ามากมายก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ดังนั้นมาตราฐานของชาจึงเป็นประเภทกลางมาโดยตลอด จนหวยหนานหวางที่อยู่ ๆ ได้ลิ้มรสหลงจิ่งเลิศล้ำนึกประหลาดใจ แน่นอนว่าความประหลาดใจแกมสงสัยนี้ส่งต่อกันได้ไวนัก ฉานซานเซียนหวางที่อยู่ตรงข้ามก็ยกจอกของตัวเองขึ้นรับกลิ่นใสกระจ่างที่แปลกไป
“ ของหลานเป็นไป๋หาวอิ๋นเจิน ”
ได้รับคำตอบอย่างนี้ทั้งหวางใหญ่หวางน้อยหันขวับไปยังนางกำนัลที่ยกยิ้มพึงพอใจอยู่ข้าง ๆ ในทันที ไม่ต้องรอให้ทั้งสองได้เอ่ยปากถาม นางก็กราบเรียนสิ่งที่ถูกไว้วานมาอย่างฉะฉาน “ ทั้งหมดเป็นบรรณาการจากลู่เจาอี๋ที่วานให้บ่าวนำส่ง ทั้งหมดได้รับการตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว จึงได้นำขึ้นถวายเพคะ ”
หวยหนานหวางไม่สนใจสถานการณ์ของฝ่ายในมานานแล้ว เมื่อได้ยินชื่อนี้ทีแรกจึงยังนึกไม่ออกว่าคือผู้ใด ผิดกับฉานซานเซียนหวางที่เงียบไปพักหนึ่งพลางปรายตามองโต๊ะตรงข้ามที่เขาสังเกตมาได้พักใหญ่แล้วว่าเป็นโต๊ะนั่งของนาง
“ มีคนขึ้นเป็นฉือผินนอกจากเสียนอี๋แล้วรึ ”
เนตรคมของหวางแห่งฉานซานตวัดมองกายงามด้วยแววพิจารณาแม้ว่าเสี้ยววินาทีหนึ่งจะมีความปวดร้าวบาง ๆ ในยามที่ได้ยินคำว่าเสียนอี๋ แต่มันก็เผยออกมาได้ไม่นานนัก เมื่อผู้ที่ไม่ควรรู้ตัวว่าอยู่ในบทสนทนาของสองบุรุษได้หันกลับมาสบตาราวกับจงใจให้เป็นอย่างนั้น ฉับพลันมุมปากของพระอนุชาในองค์จักรพรรดิฮั่นอู่ก็ยกขึ้น
“ เห็นว่าเป็นคนน่าสนใจนัก พระปิตุลาคงคุ้นชินกับนางในนามลู่เหม่ยเหรินหรือลู่เจี๋ยยวี่เสียมากกว่า ”
ถึงจะพอนึกออกแล้วว่าเป็นใคร ทว่าเมื่อหลิวอันเห็นว่าหลานชายมองไปที่ฝั่งอื่นมาพักใหญ่ สุดท้ายตัวเองก็ได้แต่หันตามไปเพื่อดูว่าสิ่งใดที่เรียกสายตาอีกฝ่ายได้นานถึงเพียงนี้ กระทั่งได้พบกับสาวงามผู้หนึ่งที่คล้ายจะรอการหันมาของเขาอยู่ก่อนแล้วจึงได้เผลอเลิกคิ้วขึ้นอย่างพิจารณาไม่ต่างอะไรจากหลานชาย
เชื้อพระวงศ์ล้วนมีความหวาดระแวงอยู่ในสายเลือด
สาวงามผู้นั้นก้มศีรษะลงเป็นการทักทายพวกเขา นางไม่หน้าซีดกระโตกกระตากยามเจอสายตาเฉียบคมทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ทั้งยังไม่ผลีผลามทำเป็นลุกขึ้นอย่างที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกประจบประแจง นับว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้.. ฉลาดคิดไม่น้อย
“ หน้าตาไม่เลว เพราะแบบนี้เขาถึงได้โปรดนัก ” หลิวอันคลึงจอกชาหลงจิ่งในมือ ส่วนหลิวชุ่นก็เพียงแค่ผงกศีรษะรับเล็กน้อยพร้อมกล่าวทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากร่างนั้น
“ กล่าวกันว่าสตรียิ่งงดงาม.. ก็ยิ่งอันตราย ”
“ อันตรายหรือไม่ก็ดูเอาเถิดหลานชาย ” เสียงทุ้มต่ำเจือแหบพร่าคล้ายคำรามของหลิวอันแทรกไว้ด้วยความเรียบเฉยพร้อมกับละสายตาออกจากร่างอรชรที่กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกตน “ อย่างไรนางก็ลุกขึ้นมาทักทายตามที่เจ้าต้องการแล้ว ”
“ คนของพระเชษฐา ตรวจสอบได้ ย่อมต้องตรวจสอบ ”
“ ถวายบังคมหวยหนานหวาง ฉานซานเซียนหวาง ” เมื่อมาถึงคำแรกที่นางกล่าวก็ต้องเป็นการทำความเคารพอยู่แล้ว ไป๋หรั่นย่อกายลงด้วยท่าทางคำนับอย่างสุภาพจนเรียกว่าทั้งหมดล้วนแต่ครบถ้วนกระบวนการไร้จุดให้ตำหนิ
“ ได้ยินเรื่องเจ้ามานาน ไม่ต้องเกรงใจ ” แม้จะเป็นหวางทัดเทียมกันแต่ผู้ที่อาวุโสกว่ายังคงเป็นหวยหนานหวางอยู่ดี ฉะนั้นคำอนุญาตของเขาก็เปรียบได้กับคำอนุญาตของคนสองคน ไป๋หรั่นค่อย ๆ กลับมายืนปกติอีกครั้ง โดยหนนี้นางได้เห็นรอยยิ้มแสนสุภาพของฉานซานเซียนหวางแล้วหลังจากที่เห็นแววเย่อหยิ่งของเขามานาน
“ มอบชาดีอย่างนี้นับว่าพระสนมใส่ใจไม่น้อย แต่การสลับชา..ทรงเจตนาอย่างไรถึงได้ใช้วิธีนี้ ”
เปิดมาฉากแรกนางก็ถูกเสือหน้ายิ้มตะปบใส่ซะแล้ว หวยหนานหวางคล้ายว่าจะยกรอบให้เป็นหน้าที่ของหลานชาย แต่ไหนแต่ไรมาเขาพูดน้อยไม่เข้าสังคมกล่าวอะไรก็มีแต่ทำให้คนนอกตื่นกลัว เขาที่ผันตัวมาเป็นผู้ฟังยังอดเลิกคิ้วให้ไม่ได้ โจ่งแจ้งจริง ๆ หลานชาย
“ ปัญญาชนล้วนทราบ ขัดศึกหมากล้อมนับว่าเสียมารสาทได้สี่ส่วน หม่อมฉันไม่เคยพบทั้งสองหากผลีผลามเข้าทักทายกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท ” ศรมาทิศใด นางก็จับพลืกปากลับทิศเดิม เป็นที่ทราบโดยทั่วอยู่แล้วว่าการขัดรอบประชันหมากถือเป็นเรื่องเสียมารยาท ลู่เจาอี๋ทำอย่างนี้เท่ากับนางไม่จำเป็นต้องนำตัวเองมาหยุดกระดานให้โดนกล่าวหา แต่กลับเป็นพวกเขาเองที่หยุดมือแล้วหันไปสนใจนาง
ริ้วความเคร่งเครียดฉายบนพักตร์งามของหวางรุ่นเยาว์ ผิดกับผู้ชรากว่าที่ลอบหัวเราะออกมาเบา ๆ เจ้าหลิวชุ่นเคยชินกับเล่ห์เหลี่ยมปะทะเล่ห์เหลี่ยม ไหนเลยจะเคยเจอเล่ห์กลของผู้ที่หยิบความจริงออกมาตีแผ่โดยไม่อายปาก ฉลาดนัก.. ชิงสารภาพปรับความเข้าใจก่อนต่อให้ผู้ฟังจะมาสัมผัสได้ทีหลังว่าไม่มีอะไรจนกระอักกระอ่วนก็ไม่อาจโทษลงที่นางได้
“ เจ้าเด็กคนนี้ระแวดระวังไปทั่ว ลู่เจาอี๋อย่าถือสา ”
“ หวยหนานหวางกล่าวเกินไปแล้ว ”
หลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกในช่วงปีที่ฉานซานเซียนหวางคิ้วกระตุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ทีแรกมากับเขา นึกไม่ถึงว่าพระปิตุลาจะทิ้งเรือเดินไปร่วมทางกับหลานสะใภ้ตีวัวกระทบคราดเสียอย่างนั้น “ ขออภัยที่เสียมารยาทกับพระสนมด้วย เปิ่นหวางมิมีโอกาสได้พบวิธีการเช่นนี้บ่อยนัก ”
“ ระวังความปลอดภัยของตัวเองเดิมก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว หม่อมฉันคิดน้อยเกินไป ทำให้ทั้งสองต้องลำบากใจ ” สาวงามในรอบหลายพันปีระบายยิ้มอ่อนหวาน ก่อนที่จะหันไปทางนางกำนัลคนสนิทที่ถือถาดซิ่งเหรินโต้ฟูรออยู่ก่อนแล้ว “ ชาดีก็ต้องทานคู่กับของว่าง หากหวางเย่ทั้งสองไม่รังเกียจ ก็โปรดรับน้ำใจนี้ได้ด้วยเถิดเพคะ ”
ลู่เจาอี๋รับถาดซิ่งเหรินโต้ฟูทั้งสองจานมามอบให้แก่หวยหนานหวางและฉานซานเซียนหวาง แน่นอนว่าหากปฏิเสธไมตรีก็คงจะดูใจร้ายใจดำกับสนมเอกของญาติไปเสียหน่อย พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น สองหวางรับของว่างไปแต่โดยดี ทว่าในขณะที่กำลังจะอ้าปากชวนให้อยู่สนทนาต่ออีกสักหน่อยเพื่อซักถาม(?)ก็กลับมีนางกำนัลในงานเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ ขออภัยที่ต้องขัดจังหวะเพคะ ”
“ ว่าอย่างไร ”
“ ใต้เท้าจางต้องการขอเข้าพบเพคะ ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขามา คนเยอะถึงจะสนุก ” หลิวชุ่นหยักยิ้มเบาบางพร้อมกล่าวออกมาอย่างสำราญใจ
แต่ด้านนางกำนัลน้อยที่รับฟังกลับรีบประสานมือโค้งตัวแล้วเอ่ยทั้งที่เสียงสั่น ๆ
“ ค คือ ใต้เท้าจางกล่าวว่า.. ต ต้องการพบลู่เจาอี๋เพคะ… ”
อะไรนะ?
“ เปิ่นกง? ” เมื่อสนทนากับผู้ต่ำศักดิ์กว่า ไป๋หรั่นก็ไม่พลาดที่จะยกตัวเองสูงขึ้นตามฐานะที่นางมีโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้านิ่งค้างของฉานซานเซียนหวางและร่องรอยความขบขันของหวยหนานหวาง คนเฒ่าเมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของหญิงงามก็รู้แต่แรกแล้วว่านางมิได้ตกใจกับการขอเข้าพบนี้แม้แต่น้อย เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่นางรอ นางไม่รู้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะดำเนินตามความต้องการเมื่อไหร่ แต่นางเชื่อว่ามันต้องมาแน่ ฉะนั้นจึงรออย่างเงียบเฉียบและประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด
“ ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถอะ เปิ่นหวางรั้งตัวพระสนมไว้นานก็ไม่ใช่เรื่องดี ” ดวงตาคมของพยัคฆ์ผู้ผ่านศึกเหลือบมองหลานชายเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการพิจมองผิวของน้ำชา “ วันหน้าคงได้พบกันอีก ”
นงคราญหยกยอบกายลงเล็กน้อยเพื่ออำลา ก่อนจะหันกายปลีกตัวจากไปทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายเบาบาง
…
“ นางกำนัลแจ้งว่าพระสนมต้องการพบกระหม่อม ” ใต้เท้าจาง จางถิงเว่ยยังดุดันเหมือนอย่างเคย ผู้รักษากฏบ้านกฏเมืองยิ่งชีพปรายตามองสตรีสูงศักดิ์ที่เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ ครั้งหนึ่งคนตรงหน้านี้เคยเป็นเหม่ยเหรินที่ดูหลงทางแต่ก็ยึดมั่นในตัวเอง ยามนี้นางดูคล้ายคนที่จับทิศจับทางของตัวเองได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เริ่มเดินเสียทีเดียว “ ทรงใช้กระหม่อมเป็นข้ออ้างปลีกตัวจากหวยหนานหวางและฉานซานเซียนหวางหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
“ ก็แค่ยืมชื่อยืมตัวเล็กน้อย ใต้เท้าจางคงไม่ถือสา ” อยู่ตรงนั้นนางเป็นคนเอ่ยปากว่าไม่ถือสา อยู่ตรงนี้นางกลับเป็นคนขอว่าอย่าได้ถือสา— ไป๋หรั่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะกดศีรษะลงทักทายถิงเว่ยคนดีคนเดิมที่คุ้นหน้ากันมานาน “ นับเสียว่าเป็นการทดแทนที่ครั้งหนึ่งท่านทำให้ชื่อเสียงของเปิ่นกงต้องด่างพร้อย ”
“ คดีจบแล้ว มลทินก็ล้างแล้ว นับว่าเราไม่มีเรื่องติดค้างต่อกัน ” จางทังชำเลืองตามองผ่านไหล่ของพระสนมเอกไปก็พบกับสายตาสอดส่องหนึ่งคู่ของฉานซานเซียนหวางที่เหมือนจะติดใจอะไรบางสิ่ง ในเมื่อสายตาของสองบุรุษสบกัน จะให้ทำเป็นมองผ่านก็คงน่าสงสัยเกินไป ถิงเว่ยหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ
“ ถ้าอย่างนั้นตลอดทางที่อุทยานเม่าหลินล่ะ? ”
“ พระสนมดูแลตามหน้าที่ ไม่นับ ”
“ … ” ไป๋หรั่นไม่ได้อ้าปากตอบโต้กับเขา แต่นางกลับมองเขาอย่างเงียบงันพร้อมยกยิ้มขึ้นทีละน้อย
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขามองนางพลาดไปอีกแล้ว
“ อย่าเคร่งเครียดถึงปานนั้น ยืมชื่อครั้งนี้ย่อมมีราคาของมัน ท่านรับสิ่งนี้ไว้เถอะ ” มันคือชุดของว่างเข้าคู่กับน้ำชา ไป๋หรั่นมิใช่คนหน้าเลือดที่หาทางเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียว นางคือหนึ่งในผู้ที่มีความใส่ใจอย่างยิ่งยวด มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเข้าตาฝ่าบาทมาอย่างราบรื่นได้จนถึงทุกวันนี้
“ ถิงเว่ย? ลู่เจาอี๋? ” ในขณะที่จางทังกำลังตัดสินใจผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ก็คือคนแซ่จางแต่ละคนนามอย่างจางเชียนผู้ครองตำแหน่งต้าหงหลู “ บัวลอยนี้น่าทานนัก.. ข้าควรไปแนะนำขบวนทูตเสียหน่อยว่าของรสเลิศเหล่านี้จะพลาดไม่ได้ ”
เว่ยเจียเสียนอี๋เสด็จ
โอ๊ย สารพัดเรื่องรุมล้อมนัก เสี้ยววินาทีหนึ่งในแววตาของลู่เจาอี๋แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าเต็มประดา นางสมควรไปนั่งพักเป็นไม้ประดับงานมากกว่ามาตะลอนเดินสนทนา ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจรวบรัดตัดตอนโดยอาศัยต้าหงหลูเป็นมือสำคัญ “ บัวลอยนี้เปิ่นกงกำชับให้คนนำมาหลายชุด ต้าหงหลูโปรดรับไว้เถิด ถิงเว่ยเองก็มีชุดหนึ่ง ของอร่อยอย่างนี้สมควรให้หลายคนลิ้มลองเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว อย่าได้ไปคิดมากกับมันนัก เปิ่นกงคงต้องกลับไปที่โต๊ะแล้วขอให้ทุกท่านสุขสำราญกับงานเลี้ยง ” ว่าจบนางก็หันกายเดินมุ่งไปทางส่วนที่นั่งของเหล่าสนมโดยไม่แม้แต่จะหยุดฟังเสียงทัดทานที่มาจากความมึนงงของถิงเว่ยหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
..
“ หวงตี้ และ ไท่โฮวเสด็จ !!!!! ”
เสียงประกาศการมาถึงของสองผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินผลักให้ทุกชีวิตภายในท้องพระโรงลุกขึ้นทำความเคารพจนราวกับทุกสรรพชีวิตได้ถูกปั้นให้คงอยู่ในท่วงท่าเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน หลายชีวิตต่างก็รอให้เสียงฝีเท้าหลายคู่ของเหล่าเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ได้เงียบลงจนมีสังเกตกระแสหนึ่งที่เหล่าข้าราชบริพารทราบกันอย่างดีปล่อยออกมา เมื่อนั้นทุกชีวิตก็กล่าวสรรเสริญอย่างเป็นระเบียบ
“ ถวายพระพรหวงตี้ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี ”
“ ถวายพระพรไท่โฮ่ว ขอทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ”
“ อ้ายเจียปิติใจยิ่งที่ได้แลเห็นผู้คนมากมายมาร่วมอวยพรให้อ้ายเจียผู้นี้ ก่อนจะสนทนากันก็— เอ้า นั่งลงเสีย อย่าได้มากพิธีนัก ”
“ขอบพระทัยองค์ไท่โฮ่ว” ถัดจากนี้แน่นอนว่าต้องเป็นการกล่าวถึงบรรยากาศภายในงานจัดเลี้ยงที่สร้างขึ้นโดยเว่ยเจียเสียนอี๋ บทสนทนาของหนึ่งนางหงส์ผู้ให้กำเนิดมังกร กับปักษาน้อยที่อนาคตอาจได้เป็นเช่นนางทำให้คนรอบข้างสนใจจนตาลุกวาว บ้างก็ชื่นชมในความคิดความกล้าที่กระทำสิ่งแปลกใหม่ บ้างก็บอกว่านางนั้นคืออัจฉริยะที่เพียบพร้อมสมควรดึงไว้เข้าฝ่ายตน
แค่ฟังก็สัมผัสได้ถึงความวุ่นวายแล้ว.. ดูท่าช่วงนี้คงจะเป็นวาระรุ่งเรืองของแซ่เว่ยเจียจริง ๆ
หลังจากสนทนาพอให้ทราบถึงที่มา และปิดท้ายด้วยการตกรางวัล ย่อมเป็นเวลาของการทยอยกันนำของขวัญขึ้นถวาย เริ่มต้นจะต้องเป็นเหล่าหวางขึ้นถวายก่อน ต่อมาก็เป็นขุนนางยศใหญ่ทั้งหลาย ตามด้วยราชทูต และค่อยกลับมาที่ขุนนางชั้นผู้น้อย จากนั้นค่อยวนมาถึงคราวของสนม ไป๋หรั่นไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ของขวัญแต่ละชิ้นมีที่มามาก พื้นที่ในการให้พูดก็มีมาก ดังนั้นหลายคนจึงพยายามนำเสนอตนเองอย่างสุดความสามารถ
“ ลู่เจาอี๋ ลำดับมอบของขวัญคือ .. ”
“ ให้เสียนอี๋ถวายก่อนเถิด ”
หากพูดกันตามตรง พวกนางนับว่ามียศเท่ากันก็จริงแต่ลำดับของเจาอี๋ถูกยกให้ขึ้นนำในการจำแนกรายชื่อแต่ละยศ ฉะนั้นหากนางจะขึ้นถวายก่อนก็ย่อมได้ แต่ว่า.. ตัวเอกของงานครั้งนี้ไม่ควรเป็นนาง ในเหล่าสนมให้เว่ยเจียเหลียนฮวาทูลถวายเป็นผู้แรกนั้นปลอดภัยกว่า แน่นอนว่าน้องสาวผู้นั้นก็ไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ไป๋หรั่นระบายยิ้มเบาบาง ภาพวาดเฟยฉีสวยสดสมฝีมือ แฝงมาด้วยความหมายดีเลิศไม่ธรรมดา
“ ต่อไป .. ของขวัญจากพระสนมลู่เจาอี๋ ”
หากจะกล่าวว่าฉือผินคือแหล่งรวมของสตรีที่น่าจับตามองก็คงไม่ผิดนักเพราะปัจจุบันที่ครองศักดิ์นี้ก็มีเพียงสอง นั่นเท่ากับว่ากว่าจะขึ้นมาถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ลู่เจาอี๋ที่ถูกกล่าวถึงก้าวออกมาจากที่นั่งของตนเองพร้อมนางกำลังคนสนิทที่ประคองถาดกระเบื้องขาวลายครามรูปเมฆเคลื่อนคล้อย
“ เมื่อครั้งยังเยาว์ หม่อมฉันเคยได้ฟังนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งบอกเล่าถึงการเดินทางยาวนานไม่รู้จบของบัณฑิตยากไร้ ยามนั้นแม้ว่ามันจะเป็นภาพฝันไม่จีรังที่ใครต่างก็ใคร่ปรารถนาจะมีชีวิตคู่ชูชื่น แต่บัดนี้ หม่อมฉันเชื่อว่านิทานนั้นบอกเล่าถึงสิ่งลึกซึ้งยิ่งกว่า.. จากบ้านมาล่วงชราจึงคืนถิ่น สำเนียงยินแปลกผสมจอนผมร่วง เด็กน้อยไม่รู้จักจึงทักท้วง ยิ้มอิ่มทรวงแล้วถามว่ามาแต่ใด หม่อมฉันเขียนกวีนี้ลงบนพัดด้ามหนึ่ง ที่วาดลายต้นหลิวไว้คล้ายกับทิวทัศน์ของศาลบรรพชนที่ครั้งหนึ่งพระองค์เคยเมตตาพาหม่อมฉันไปเยือน ” ก้านนิ้วขาวคลี่พัดพับให้กางออก เผยเป็นภาพต้นหลิวใกล้ริมสระศาลพร้อมด้วยอักษรข่ายซูงามวิจิตรสี่บรรทัด “ โดยหม่อมฉันหวังเพียงว่าพัดนี้จะช่วยให้พระองค์ได้เกษมสำราญกับกาลเวลาทั้งที่ผ่านมา และในยามนี้.. เช่นอย่างตอบจบของนิทานที่ให้บัณฑิตผู้นั้นอยู่พร้อมหน้ากับลูกหลาน ”
“ แต่กระนั้นเรื่องสุขภาพ และลาภทรัพย์มงคลก็เป็นเรื่องสำคัญ ” ไป๋หรั่นเก็บพัดลงบนถาด ก่อนจะหยิบอีกหนึ่งสิ่งเล็กจ้อย ทว่าดูแปลกตานัก “ ชาวลั่วหยางเรามีธรรมเนียมหนึ่งตกทอดมานาน ถึงการนำรวงข้าวมามัดช่อ พร้อมผ่านการสวดภาวนาโดยแม่ชีหรือนักบวชในวัดหลักประจำเมือง เพื่อให้ช่อข้าวนี้เป็นช่อเมล็ดข้าวมงคล เหมาะแก่การมอบเป็นของขวัญช่วยอวยพรให้ผู้รับเปี่ยมไปด้วยความสมบูรณ์พูนผล เงินทองมั่งคั่งมากมายเหมือนเมล็ดข้าวทองอร่าม ทว่าทั้งหมดนี้เป็นหม่อมฉันที่ทำเอง มันอาจ.. มิได้เรียบร้อยหรือสวยสดนัก ”
“ ในฐานะหญิงสาวที่มีโอกาสได้ดูแลรับใช้พระองค์ชั่วขณะหนึ่ง .. รวมไปถึงในฐานะลูกสะใภ้ หม่อมฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะทรงสุขภาพแข็งแรง เปี่ยมด้วยความสุข และอยู่เป็นขวัญแก่ลูกหลานไปอีกนานสืบนาน ” ทั้งหมดถูกวางลงบนถาดอีกครั้ง ส่วนร่างของผู้ที่กล่าวมาอย่างยาวนานก็โค้งลงอย่างนอบน้อมเชิงว่าไร้ซึ่งคำพูดใดที่จะกล่าวต่อ เปิดช่วงให้เซียวจื่อไท่โฮ่วที่วันนี้ทรงสุขสำราญใจได้หัวเราะเบา ๆ
“ เด็กพวกนี้ขยันทำให้อ้ายเจียได้เปิดหูเปิดตานัก ” คนหนึ่งให้ภาพวาดฝีมือ อีกคนให้พัดงานฝีมือพร้อมกับของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชวนให้อุ่นใจคล้ายว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการรวมตัวญาติพี่น้องที่หาได้มีเรื่องของยศฐาเข้ามาเกี่ยวข้อง ลู่เจาอี๋ไม่ใช้เวลาของตัวเองในการเกริ่นว่าเหตุใดถึงได้นำสิ่งของเรียบง่ายมาถวาย อันที่จริงก็นับว่าเปิดโอกาสให้ผู้คนโจมตี ทว่าทั้งเหตุผลหรือการที่นางกล่าวว่าทำด้วยตนเอง.. ก็เพียงพอแล้วที่จะปิดปากคนไปจำนวนมาก
“ ลู่เจาอี๋ นำมันขึ้นมาใกล้ ๆ อ้ายเจียเสียสิ ”
ไป๋หรั่นวางสายตาไว้ที่ฐานของพระที่นั่งเหนือผู้คนทำให้ไม่คล้ายการมองบนหรือมองต่ำจนเกินไป นางย่อลงรับคำของไท่โฮ่วเล็กน้อยก่อนจะหันไปรับถาดของขวัญพร้อมก้าวเท้านำสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปให้อีกฝ่ายได้ทอดพระเนตร
“ มิได้เรียบร้อยหรือสวยสดรึ? เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว อ้ายเจียคิดว่างามนัก ใช่หรือไม่ฝ่าบาท ” ประโยคเดียวทำเอาคนทั่วทั้งท้องพระโรงใจกระตุก พร้อมเบิกตากันอย่างไม่เชื่อสายตา เซียวจื่อไท่โฮ่วทรงกำลังขอความเห็นจากฝ่าบาทที่ปกติแล้วทรงไม่โปรดการแสดงความเห็นกับเรื่องเล็กน้อยหรือนี่?!
แม้จะไร้ซึ่งคำพูด.. แต่ก็พอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่บ้าง
ฮั่นอู่ตี้ปรายตามองเจาอี๋ที่ก้าวขึ้นมาใกล้พวกตนหนึ่งระดับด้วยสายตาเรียบ ๆ พลางหวนนึกไปถึงความพยายามตลอดหลายวันของนางที่ตนเห็นมากับตา ผนวกกับภาพรวมของตรงหน้าก็มิได้ย่ำแย่ สมควรกล่าวว่าทำได้ดีมาก .. และเพื่อแสดงออกอย่างนั้น หลิวเช่อไม่ได้กล่าว แต่เพียงพยักหน้า เท่านั้นก็พอจะทำให้คนเบื้องล่างตาถลนกันได้หมดแล้ว
“ ฮึ แม้แต่ฝ่าบาทยังเห็นด้วยกับอ้ายเจีย เจาอี๋.. เจ้าทำได้ดีมาก วางใจเสียเถิด ”
“ ทำให้พระองค์พึงพอใจได้ นับเป็นเกียรติของหม่อมฉัน ขอบพระทัยในความเมตตาเพคะ ” สาวงามผุดผาดระบายยิ้มหวานฉ่ำชวนให้คนรักใคร่เอ็นดูเป็นหนสุดท้ายก่อนที่จะต้องยอบกายอำลาเพื่อกลับไปประจำตำแหน่งโดยปล่อยให้กาลเวลาหมุนผ่านไปเพื่อดำเนินไปตามพิธีรื่นเริงที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างครบคัน