วันที่ยี่สิบสาม ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด
เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเช้าสุดท้ายของการเดินทางแสนยาวนาน ต้องยอมรับเลยว่ากรเดินทางนี้เริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุดอย่างนิมิตรแห่งเซียน ทว่ากลับเป้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือเกินกว่าจะหยั่งถึง ทั้งปีศาจเจี๋ยฮว่า ฝูงชาวบ้านที่กลายเป็นผีร้าย มารทั้งหลายระหว่างทาง ทั้งหมดนี้ใครจะไปคิดว่าสตรีผู้เป้นพระสนมจะต้องมาเจออะไรเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะข้าเลือกด้วยตนเองด้วย…
แต่สิ่งที่ข้าไม่ขอปิดบังเลยคือความรู้สึกของอิสรภาพ การเดินทางจากตะวันออกสู่ตะวันตก จากเหนือลงใต้ ดินแดนที่ไม่เคยพบ ตำราที่ไม่เคยเห็น เป็นเช่นนี้สินะผู้คนถึงได้ชมชอบสิ่งที่เรียกว่าโลกยุทธภพ ข้าที่เป็นสตรีในห้องหอได้สัมผัสการเดินทางแสนอิสระคราแรก ทว่ามันคงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของข้าด้วย เมื่อกลับไปเหยียบรั้วสีชาดควไม่อาจหวนคืนสู่โลกภายนอกได้โดยง่ายเป็นแน่
บางคราข้าก็คิดนะ ว่าหรือข้าจะหนีออกไปที่ไหนทักที่ ไปยังสถานที่ที่พ้นเอื้อมมือของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ไปเป็นเพียงสตรีเพศผู้เรียนรู้สรรพสิ่งใต้หล้า ทว่าความปรารถนาของข้ามิใช่สิ่งที่เรียบง่าย
อย่างน้อยข้าก็ต้องได้ก้มหน้ายลโฉมนางตัวดียามคุกเข่าใต้ฝ่าเท้าของข้า
วันนี้เป็นวันที่คณะเดินทางต่างนอนไม่หลับกันเป้นส่วนใหญ่ ทั้งบรรยากาศน่าหวาดระแวง ทั้งความรู้สึกกังวลที่ถาโถม เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นนับรุ่งอรุณเบิกฟ้าต่อจากนี้จะเป็นตำนานในใจของเหล่าคณะเดินทางสืบต่อไป
เว่ยเจียเหลียนฮวาตื่นเช้ามาในยามเฉินอันทะมึนทึม ท้องฟ้ามืดดั่งเมฆฝนครึ้ม ทว่าแท้จริงแล้วมันคือม่านหมกที่กั้นหนานเจ้าจากโลกภายนอก ภาพของสถานที่ที่เป็นซากเพิ่งพังได้ไม่นาน นี่ไม่ใช่การพังทลายด้วยอายุและกาลเวลา มันคือภัยพิบัติอย่างแท้จริง นี่ขนาดว่าพวกนางอยู่นอกเมืองต้าหลี่เท่านั้น ยังสัมผัสได้ถึงปีศาจมากมาย
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าขอตำราฝังไปพร้อมข้าด้วย”
ท่ามกลางความเงียบที่นางตระหนักรู้ได้ถึงสหายทั้งผองอยู่ด้วยกันและเตรียมจะเดินทางต่อไปในยามนี้ คำพูดปลุกใจนั้นไม่อาจเป็นตัวตนที่นางจะสามารถเอ่ยออกมาได้ สิ่งที่ออกมาจึงกลายเป้นการฝากฝังเรื่องสุดท้ายอย่างตลกร้ายเสียมากกว่า
“ข้าต้องสั่งเสียต่อหรือไม่”
หากถามว่าผู้ใดกันที่กล้าต่อปากต่อคำกับพระสนมในยามนี้ก็มีเพียงผู้เดียวก็คือโจวจินผู้เป็นสหายคนสนิทของนางเอง ครั้งเมื่อวาจาหยอกล้อได้เอ่ยออกมา ทุกคนก็พลันหัวเราะได้อย่างสบายใจ
สบายใจเพราะว่ามีกันและกันอยู่เคียงข้าง แต้ทางข้างหน้าเป็นขวากหนามก็พร้อมจะฟันฝ่าและก้าวเดิน
คณะเดินทางได้เดินทางจากนอกเมืองเข้ามาในตัวเมือง ต้องยอมรับเลยว่าหากต้องปะทะกับปีศาจทั้งหลายเกรงว่าคงจะเหนื่อยจนภารกิจล่มไปเสียก่อน คณะเดินทางจึงต้องเดินทางฝ่าเมืองรกร้างให้เงียบที่สุด ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด จนกระทั่งเดินทางมายังใจกลางเมืองต้าหลี่อันเป็นที่ตั้งของวิหารหนี่วา
“ที่นั่นสินะที่เจ้าต้องเข้าไปน่ะ ชิงหลี”
“ใช่”
“ไปกันเถิด”
ทว่า เพียงก้าวเดียวที่เหยียบลงบันไดหินอ่อนเท่านั้น พลันได้ยินเสียงหยดน้ำสะท้อนก้องในหัวราวกับการมาของพวกนางคือหยดน้ำที่หยดลงวารีไร้คลื่น ร่างของผู้คนทั้งหลายที่บาดเจ็บล้มตายค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปมิใช่การที่พวกเขากลายเป็นผีร้าย หากแต่ความมืดมิดแผ่ล้นออกจากร่าง ผิดกายที่มอดไหม้ดั่งเถ้าถ่าน มันกลายเป็นปีศาจเพลิงทมิฬไปกันหมดแล้ว พร้อมกับ ณ ทวารธรณีแห่งวิหารหนี่วา ร่างของมารปีศาจปลาที่คุ้นเคยได้ปรากฎกายขึ้นเป็นดั่งจ้าวแห่งมารทั้งปวง ณ ที่แห่งนี้
“เหอะ ! ทายาทแห่งหนี่วาเอ๋ย รนหาที่ตายถึงเพียงนี้เลยรึ วันนี้จะเป็นวันตายของพวกเจ้า”
“โอหังสิ้นดี ! ปีศาจปลา แน่จริงก็เข้ามาเสีย”
ไม่อาจทานทนได้ต่อการต่อปากต่อคำนัก เว่ยเจียเหลียนฮวาเอ่ยออกไปตอบโต้มารปีศาจปลาอย่างทันควันราวกับว่ามันคือบทพูดที่นางจะไม่ปล่อยให้มันจางไปแค่รับฟังคำกล่าวเสนียดใบหูอย่างเดียวเป็นแน่
ราวกับมีคนตบลูกขนไก่มา นางก็ต้องโต้กลับ…
เมื่อได้ยินเสียงสตรีที่มันคุ้นเคยก็เริ่มเพ่งมองคณะเดินทางที่มาร่วมกันกับทายาทหนี่วา สองในสามเป็นมนุษย์ที่ทำให้มันรู้สึกอับอายและสมเพชจนเคืองแค้นมานานนับปี ไฟในการเข็นฆ่าเดือดพล่าย จิตสังหารกำจายไปทั่วอาณาบริเวณ เมื่อนั้นมนุษย์มารต่างคลุ้มคลั่ง
“เจ้ามนุษย์น่ารังเกียจ ดี ดียิ่ง วันนี้ต่อให้ข้าต้องตายด้วยน้ำมือของทายาทหนี่วาส ทว่าข้าก็จะเด็ดหัวเจ้าสองคนให้ได้”
สองคนที่ไม่ใช่ทายาทหนี่วา ???
บัดนั้นเว่ยเจียเหลียนฮวากับโจวจินก็มองหน้ากันโดยพลัน อย่าบอกนะว่าเจ้านี่คือปีศาจปลากามราคะที่เกือบจะลวนลามนางใต้วังบาดาลนั่น เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสืบว่าเหตุใดต่อให้จื่อเซวียนหนีออกไปได้พวกนางก็จะต้องจมใต้เท้ามัน จื่อเซวียนชิงหลีกับฉางซานเซียนหวางก็มองสองคนนี้อย่างสงสัย
“โจวจิน เหมือนเราจะต้องมาชดใช้กรรมแล้วหรือ”
“ก่อนใช้กรรมก็สู้ก่อนเถิด ชีวิตเจ้ายังไม่สิ้นจำต้องดิ้นต่อไป”
แล้วการต่อสู้พลันเปิดฉากขึ้น ฉางซานเซียนหวางและโจวจินเป็นฝ่ายนำทัพรับมือกับมนุษย์มารที่เข้ามาใกล้ จื่อเซวียนชิงหลีแปลงร่างเป็นครึ่งอสรพิษเพื่อเพิ่มแรงทางกายภาพปะทะเข้ากับมนุษย์มารทั้งหลายแม้จะต้องเจ็บปวดเพราะว่าพวกเขาเนื้อในคือไพร่ฟ้าของนางเองก็ตาม เว่ยเจียเหลียนฮวาหยิบเกาทัณฑ์ไม้จันทน์ขึ้นมายิงเพื่อหวังปลิดชีพทีละตัวอย่างแม่นยำ การเดินทางนี้ทำให้นางได้รู้ว่าพวกมันแพ้ลูกศรจากมือของนางขนาดไหน
ปีศาจปลาเห็นพวกนางโรมรันฟันแทงกับลูกน้องก็ผายมือขอหากแหลมจากลูกน้องเพื่อปามาเสริมกำลังและหวังดับสิ้นลมหายใจมนุษย์อ่อนแอพวกนี้เสีย การต่อสู้ที่ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ช่างกินพลังกายเหลือคณานับนัก
มือเล็กของจื่อเซวียนชิงหลีพลันกำแน่นแล้วความคับแค้นในอก ที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของนาง สถานที่ของนาง ประเทศของนาง นางไม่อาจคุกเขา่ให้ผู้ใด นางไม่อาจยอมแพ้ให้มารปีศาจทั้งหลายได้
บัดนั้นที่ความืดมิดโหมกระหน่ำจนอ่อนล้า มุกวารีพลันเปล่งประกายต่อปณิธานแห่งทายาทผุ้ปกป้องดินแดนสายเลือดหนี่วา มุกวารีที่ถักเชือกเป็นสร้อยคอมิให้ผู้ใดแตะต้องได้พลันสว่างทะลุเส้นเชือกที่บดบัง ล่องลอยตรงหน้าทายาทเพื่อส่องสว่างชำระล้างทั่วอาณาบริเวณใกล้เคียง
จอมมารผู้สัมผัสได้ถึงพลังและกระแสคลื่นที่แปรทิศก็ร้อนใจจนปาหอกลงมาทีเดียวถึงสองเล่ม โจวจินและฉางซานเวียนหวางเร่งพุ่งเข้ามาตวักกระบี่เบี่ยงทิศให้ออกไปจากสตรีทั้งสอง เว่ยเจียเหลียนฮวามือมองน้อย ๆ ของนางแล้วก็ได้แต่คิดว่านางจะทำได้หรือไม่
ไม่ใช่ว่าทำได้หรือไม่ ทว่านางต้องทำให้ได้ต่างหาก
“ชิงหลี ได้โปรดมอบพลังให้ข้าที”
สตรีผู้สูงศักดิ์ก้าวขึ้นมา ณ สนามรบ มือเล็กง้างเกาทัณฑ์ขึงสายจนตึง ลูกศรแหลมเตรียมพร้อมโจนทะยานปลิดดวงวิญญาณแห่งความมืดมิด พลังของหนี่วาที่ตอบรับได้โอบล้อมกายบางจนเกิดกระสมพัดโบก นัยน์ตายสีเปลือกไม้พลันวาวโรจน์เรืองเรืองสีอำพันงดงาม
ในชั่วขณะที่สูดลมหายใจจนเต็มปวด ชั่นพริบตาที่กลั้นลมหายใจเพื่อเพ่งสมาธิ บัดนั้นศรสีขาวประกายพุ่งออกไปด้วยแรงมหาศาลเกินกว่าที่สตรีตัวเล็ก ๆ จะทำได้ ศรแห่งหนี่วาโจนทะพานไปด้วยความเร็วเหนือสายฟ้าฟาดหวังแทงทะลุขั้วหัวใจ
ทว่ามันยังไม่เร็วมากพอ และยังอ่อนกำลังนัก สิ่งที่ดวงตาสีอำพันพิศเห็นคือภาพของปีศาจที่หลบกายจนบาดเจ็บเพียงแค่แขนซ้ายมันขาดวิ่น โลหิตสีชาดทะลักออกมาก่อนที่มันจะกุมบาดแผลและเร้นกายหายไป มนุษย์มารทั้งหลายที่เหลืออยู่พลันลงไปนอนกองเป้นซากเถ่าสีทมิฬ
“มันยังไม่ตาย…”
เมื่อพลังนี้มาพร้อมกับแรงสะท้อน นางผู้ไม่เคยใช้พลังเหนือธรรมชาติใด ๆ ก็กระอักเลือดออกมาเล็กน้อย ร่างเล็กถูกประคองแล้วร่างสูงของฉางซานเซียนหวางผู้บาดเจ็บสาหัสนัก ต้องบอกว่าสภาพของคณะเดินทางก็ไม่ได้ดูดีกันเท่าไหร่เลย
“ถึงเวลาแล้ว ชิงหลี เข้าไปกันเถิด”
แม้จะเจ็บใจที่ไม่อาจสังหารมันได้จนสิ้นซาก ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือการกอบกู้บ้านเมือง จื่อเซวียนนำมุกวารีไปยังใจกลางวิหารหนี่วา แท่นหินอ่อนกลางวงวารีอันว่างเปล่าเป็นสถานที่ประทับของมุกวารีเป็นแน่ ภาพของความทรงจำในถ้ำพลันกระจ่างชัดขึ้น สถานที่ที่นางคุ้นเคยนี้ได้รับรู้แล้วว่าคุ้นเคยจากแห่งหนใดกัน
มือเล็กของทายาทหนี่วากำมุกวารีสีขาวนวลก่อนจะค่อย ๆ วางมันลงไปบนแท่นประดิษฐานแห่งมุกวารี บัดนั้นอัญมณีเม็ดงามพลันเปล่งประกายออกมา ส่งพลังพุ่งขึ้นทะเลเพดานวิหารไปยังเหนือฟากฟ้า สร้างเป้นกำแพงป้องกันและขับไล่ไอปีศาจจนหายไปจากหนานเจ้า
“สำเร็จแล้ว”
จื่อเซวียนชิงหลีเอ่ยพร้อมกับกระโจนข้ามากอดเว่ยเจียเหลียนฮวาที่อยู่ข้างกาย เป็นความรู้สึกที่มีความสุขจนล้นในอกไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้นอกจากน้ำตาแห่งความปิติ มือเล็กของเว่ยเจียเหลียนฮวายกขึ้นโอบกอดร่างเล้กตรงหน้า ในช่วงเวลาที่แสนสำคัญ ขอบคุณนางเช่นกันที่แบ่งปันร่วมกัน
ช่วงเวลาที่แสนยินดีนี้ผ่านไปไม่นานก็ได้เวลากลับมาสู่สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้
“
ชิงหลี แล้วต่อจากนี้เจ้าจะเอาเยี่ยงไรเล่า”
“ก่อนอื่นเลย ข้าต้องขอบคุณพวกท่านมาก”นางผละออกจากอ้อมอกของสหายที่รักที่สุดของหัวใจในตอนนี้
“สงครามนี้ทำให้หนานเจ้าสูญเสียอย่างหนัก หากต้องบูรณะทุกสิ่ง ข้าต้องเป็นผู้นำแห่งหนานเจ้า ข้าจะขึ้นเป็นกษัตรีย์”
ราวกับไข่มุกวารีได้เลือกผู้เป็นนาย ณ ช่วงชีวิตหนึ่งนี้ คลื่นชำระล้างแผ่ขยายอีกคราพร้อมกับวิหารที่ค่อย ๆ ฟื้นฟู ความเจ็บปวดที่ได้รับจากการต่อสู้พลันมลายจนสิ้น เปิดหน้าศักราชใหม่แห่งหนานเจ้าในบรรดล
ช่วงเวลาหลังจากกอบกู้เอกราชจากมารปีศาจ ทั่วทั้งหนานเจ้าก็ปรากฎผู้รอดชีวิตทีละนิด ทีละหน่อย ใช้เวลาช่วยเหลือจื่อเซวียนชิงหลีอยู่สักพักใหญ่ ทั้งต้องพักรักษาตัวด้วยแล้ว การกลับฉางอันคงจะเป็นเรื่องที่ปล่อยให้ตัวนางในอนาคตเป็นตริตรองเองกระมัง ?
จบบันทึกการเดินทางสีคราม
+200 พลังใจ , +1500 ตำลึงเงิน , หินตีบวกกับหินอัปเกรดอย่างละ 20 ก้อน , หินเซียนคนละ 1 ก้อน ที่ทายาทหนี่วากลั่นออกมาตอนชำระล้างหมู่บ้านชิวปี้ , +1 Level up