
บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
เริ่มต้น ยามโฉ่ว เวลา 01.00 น. เป็นต้นไป โรงเตี๊ยมซิงหมิง นอกเมืองฉางอัน จักรวรรดิต้าฮั่น

ยามโฉ่ว…ลมหนาวพัดผ่านกระเบื้องหลังคาเสียงดังกรอบแกรบ เหมือนเสียงกระซิบของปีศาจที่กำลังไล่ตามวิญญาณหลงทาง พระจันทร์กลมโตลอยต่ำเหนือโรงเตี๊ยมซิงหมิง แสงสีเงินไหลผ่านกระจกกระดานเก่า สาดเข้ามาในห้องพักผีเสื้อสุริยันวสันต์ ซึ่งหลินหยาจองไว้เพียงคืนเดียว ข้างเตียงมีขลุ่ยประจำตัววางพาดอยู่บนหมอนกลีบท้อ กลิ่นดอกชากับกลิ่นกฤษณาเจือจางในอากาศ เสียงฝนตกพรำที่หลังคาทำให้บรรยากาศเหมือนโลกหยุดนิ่ง หญิงสาวใต้ผ้าห่มขาวยังคงหลับนิ่งแต่ลมหายใจของเธอกลับไม่สม่ำเสมออย่างคนหลับลึก ความจริงแล้วเธอไม่ได้หลับเลยตั้งแต่หัวค่ำ
เสียงบางอย่างดังเบาๆ จากหน้าต่าง เสียงเหล็กขูดไม้และเสียงผ้ากระทบเบาๆ ทำให้แมวที่นอนขดอยู่ข้างเตียงสะดุ้งเงยหน้าก่อนจะหลบใต้โต๊ะในทันที เงาดำแทรกผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอย่างเงียบกริบ ร่างชายสวมชุดดำทั้งตัว หน้ากากปิดครึ่งใบ มีดสั้นเย็นเฉียบในมือสะท้อนแสงจันทร์วาววับ เขาเคลื่อนไหวอย่างผู้ชำนาญการลอบสังหารไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า
มือข้างหนึ่งของนักฆ่าค่อยๆ ยกมีดขึ้นเหนือร่างหญิงสาวที่ดูเหมือนหลับสนิท แต่ก่อนที่คมมีดจะสัมผัสผิว เงาในเตียงกลับขยับราวกับวิญญาณรู้ล่วงหน้า หลินหยาคว้าหมอนขึ้นมารับคมมีดเต็มแรง เสียง “ฉับ!” ดังในความเงียบก่อนที่หมอนจะแตกขาด ขนในหมอนปลิวว่อนเหมือนหิมะโปรยในราตรี เธอพลิกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ขลุ่ยไม้ในมือสะบัดฟาดเข้าเต็มขมับของชายชุดดำจนเกิดเสียงดังโป๊ก
เขาถอยหลังสองก้าวแต่ยังไม่ล้ม ทว่าหลินหยาไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้สูญเปล่า ร่างของนางเคลื่อนไหวพลิ้วราวผีเสื้อแต่แรงปะทะกลับหนักเหมือนเหล็กนิล หมัดแรกอัดเข้าท้อง หมัดที่สองฟาดเข้าชายโครง เสียงกระดูกดังกรอบแกรบ ก่อนจะตามด้วยหมัดที่สามถึงสิบเก้าอย่างต่อเนื่องเร็วเกินตามสายตาคนทั่วไปได้ทัน จังหวะสุดท้ายหลินหยาเหวี่ยงเท้าหมุน 360 องศา เตะเข้ากรามอีกฝ่ายเต็มแรงจนร่างนักฆ่าหงายหลังฟาดพื้นดังสนั่น
ฝนด้านนอกยังไม่หยุดตก แต่ตอนนี้เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงลมหายใจของหญิงสาว เธอหอบเบาๆ ผมหลุดรุ่ยเล็กน้อย ขลุ่ยไม้ในมือมีรอยแตกตรงปลาย เธอก้มลงดูร่างนักฆ่าที่หมดสติไปแล้วด้วยสีหน้าทั้งตกใจและหงุดหงิด
“เฮ้อ...หนักมือไปหน่อยสินะ” เธอพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบกลืนไปกับฝน “ใครกันแน่ที่ส่งเจ้ามา จะมาปล้นหรือมาฆ่า...” เธอกระตุกผ้าคลุมหน้าของชายชุดดำออกเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีด มีรอยสักรูปประหลาดแต่คุ้นเคยตรงต้นคอ หลินหยาขมวดคิ้ว “...เฮ้อ งั้นก็พวกมันอีกสินะ” ที่บอกเช่นนั้นเพราะหลังจากที่นางเปิดความสัมพันธ์กับจางกงกง ก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกับนาง
นางเดินไปจุดตะเกียงไฟเพิ่มจนห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย แสงสะท้อนบนมีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้น เธอเก็บมันขึ้นมาพลิกดูกลิ่นโลหะเย็นเฉียบยังติดปลายคม
หลินหยาหันไปมองหน้าต่างที่เปิดอ้า ลมฝนสาดเข้ามาจนพื้นเปียก เธอเดินไปปิดช้าๆ ดวงตาเป็นประกายระวังระไว เธอรู้ดีว่าในโลกของผู้คนที่มีอำนาจ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยเฉพาะการถูกลอบสังหารกลางยามโฉ่วเช่นนี้ และที่สำคัญ…จางกงกงอยู่ที่ฉางอัน ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้เรื่องนี้แน่
ยามโฉ่วที่ลมหอบฝนยังเกาะชายคาห้องพัก “ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูสองครั้งดังแน่นคมราวปลายเข็มกระทบไม้ ก่อนเงาเท้าคู่หนึ่งจะถอยหายไปจากระเบียงอย่างไร้ร่องรอย ซองจดหมายสีงาช้างถูกสอดใต้ธรณีบานประตูเรียบร้อยประหนึ่งมือที่ทำงานนี้ชำนาญกว่าพ่อครัวหั่นผัก หลินหยาเงยหน้าเล็กน้อยจากการตรวจบาดแผลเสี้ยนไม้ที่ปลายนิ้ว รับซองนั้นขึ้นมาโดยใช้ปลายนิ้วก้อยเสยขอบมัน เป็นนิสัยของคนที่ไม่ยอมทิ้งรอยนิ้วไว้ให้ใครอ่าน แม้จะอยู่เพียงในโรงเตี๊ยมนอกเมืองก็ต้องระวังเมื่อนางต้องคอยเคียงกายคนอันตราย
นางปลดครั่งพลับพลึงเห็นเส้นหมึกสีดำสนิทและลายมือคมกริบที่รู้จัก น้ำหมึกหอมจาง ๆ ของกฤษณาชั้นดีลอยขึ้นแตะแก้ม จางกงกงเรียกชื่อเธอสั้นกระชับไม่เสียคำ จากนั้นมีเพียงคำสั่งปลายเปิดว่าให้ไปพบที่ศาลาจื่อเถิงฮวาอย่างเร่งด่วน ท้ายจดหมายแนบแผ่นหยกเย็นเยียบเมื่อแตะผิว ขอบถูกเกลาเนียน ประทับตราเข้าสู่ตำหนักจงฉางชื่อชัดเจน ไม่มีช่องให้ทักท้วงตามธรรมเนียมราชสำนักสำหรับคนข้างนอก
“ท่าทางจะเรื่องใหญ่…แต่ข้ารู้ว่าการเคียงท่านไม่ใช่เรื่องง่าย” คิ้วเรียวของหลินหยาขมวดน้อย ๆ ก่อนคลายลงพร้อมลมหายใจสั้น เธอรู้กติกาดี…คนอย่างนางเข้าเขตวังหลวงไม่ได้ด้วยคำพูด แต่แผ่นหยกชิ้นนี้คือกุญแจที่ทำให้ประตูซึ่งชอบปิดใส่หน้าโลกภายนอกยอมขยับ นั่นแปลว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริงไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย
นางเก็บจดหมายและแผ่นหยกเสียบซองผ้าด้านอก ใส่ผ่านอกซ้ายให้แนบหัวใจให้จำที่อยู่ จากนั้นคุกเข่าข้างเตียง ดึงหีบไม้เตี้ย ๆ ออกมาเปิดเพียงครึ่งฝา หยิบชุดสีน้ำแข็งสะอาดที่ตัดบางเบาแต่ซ้อนชั้นพอดี ใส่รวดเดียวแล้วรูดเชือกคาดเอวไหมให้แน่นพอจะวิ่งและต่อสู้ได้โดยไม่สะดุด ชายแขนเสื้อถูกพับครึ่งฝ่ามือเพื่อไม่ให้เปียกฝน ผมสีดำถูกรวบขึ้นด้วยปิ่นเงินเรียบ ติดดอกปั้นเซรามิกเล็กสีฟ้าจางคู่เดียวพอให้แสงจันทร์สะท้อน เลือกสร้อยคอเส้นบางห้อยหยกรูปหยดน้ำที่เบามือ แล้วหยิบขลุ่ยไม้กลิ่นหอมประจำตัวสอดแนบหลังเอวในมุมที่ชักไวที่สุด
นางกวาดตาไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว ตรวจหน้าต่างที่ถูกงัดทิ้งไว้เมื่อครู่ ปิดกลอนและเสียบลิ่มไม้ใหม่อีกชั้นเพื่อไม่ให้ใครย้อนมาเช็คผลงาน กล่องยาน้ำมันรักษาแผลถูกโยนเข้าถุงผ้าข้างเอว ขณะที่ปลายรองเท้าหนังอ่อนแตะแผ่นพื้นครั้งสุดท้ายก่อนก้าวออกสู่โรงเตี๊ยม ลมหายใจกลางคืนเย็นจัดแตะปลายจมูกให้ตื่นเต็มตา
“เยวี่ยเหยียนเรามีเรื่องแล้ว ขอโทษที่ต้องปลุกนะ” เสียงของหลินหยาเอ่ยเมื่อนางลงมาถึงที่พักม้าของโรงเตี๊ยม ใต้ชายคาของที่พักม้าเยวี่ยเหยียน ปีศาจม้าดำทมิฬกำลังยืนเงียบราวส่วนหนึ่งของความมืด ดวงตากลมลึกของมันมีประกายสว่างบาง ๆ คล้ายถ่านไฟที่กำลังจะคุ นางแตะสันคอมันเบา ๆ "ไปทำงานกันเจ้าม้าหนุ่ม" คำพูดของหลินหยาเอ่ย เยวี่ยเหยียนย่อขาหน้าให้เจ้าของขึ้นคร่อมโดยไม่ต้องใช้บังเหียน หลินหยาประสานเข่ารับสันหลังม้า ก้มตัวให้ต่ำยามลมฝนพัดเฉียง แล้วกดส้นเท้าแตะซี่โครงสองครั้งเป็นสัญญาณออกตัว
พื้นลูกรังหน้าลานโรงเตี๊ยมเปียกลื่นแต่เกือกเหล็กของเยวี่ยเหยียนกัดพื้นอย่างมั่นคง ทำนองเกือกเท้ากระแทกถนนกลายเป็นจังหวะเร่งเร้า ตึก ตึก ตึก พาร่างทั้งคู่พุ่งออกจากแผงเรือนมุงฟางสู่เส้นทางหลักมุ่งฉางอัน ไอฝนบาง ๆ ตีใบหน้าเหมือนผ้าแพรเย็น หลินหยากดตัวตามแรงลมเพื่อหลบสาดน้ำจากล้อเกี้ยวของคนเดินทางยามวิกาลที่หลงเหลือ สองข้างทางเป็นทิวต้นหญ้าปากทางทุ่งที่โน้มศีรษะรับฝนจนหนักไหล่ เหนือศีรษะเมฆแตกบางจุดเผยดวงจันทร์สีเงินซีดเหมือนเสี้ยวมีดที่ลับมาดี
เมื่อเข้าใกล้ตัวเมืองเธอก็มุ่งหน้าสู่วังหลวง ไฟคบเพลิงแนวกำแพงเริ่มเรียงเป็นสว่างวับวาวตามซอกประตูและป้อมเวร สายน้ำฝนไหลจากปูนปั้นสู่ร่องหินเป็นทาง เสียงสังข์เวรยามไกล ๆ ลอยมาเป็นระยะคล้ายคนกระซิบชี้ทิศ หลินหยาเอื้อมแตะแผ่นหยกที่อกแนบเสื้ออีกครั้ง ให้ความเย็นของมันเตือนสติว่าคืนนี้เธอไม่ได้ขี่ม้าเข้าไปด้วยชื่อของตน แต่ด้วยน้ำหนักของตราที่เปิดประตูทั้งหลายให้คลายกลอน
“หยุดก่อน” เมื่อถึงเชิงประตูวังหลวงชั้นนอก นางดึงเยวี่ยเหยียนชะลอเป็นจังหวะก้าวพอดีให้สายตายามเวรจับโครงร่าง เธอไม่เอ่ยคำ พลิกฝ่ามือยกแผ่นหยกให้แสงคบไฟเล่นเงาตราอย่างชัดเจน ท่าทางนิ่ง เรียบ และไม่ขอความกรุณา แค่นั้นก็พอสำหรับคนที่อ่านภาษาแห่งอำนาจออก ยามเฝ้าประตูแลกเปลี่ยนสายตากันวูบเดียวก่อนขยับหอกหลีกทาง โซ่เหล็กประตูยกขึ้นช้า ๆ เสียงครืดคราดดังก้องเข้าไปถึงช่องอก
เยวี่ยเหยียนก้าวผ่านธรณีหินที่ชื้นด้วยฝน หลินหยาไม่หันซ้ายขวาเกินจำเป็น สายตาชี้ไปตามถนนหลวงที่ทอดยาวสู่เงากำแพงชั้นใน สายน้ำฝนเริ่มเบาบางจนเหลือเพียงละอองเยือก เธอกดตัวต่ำลงอีกครั้ง เสียงกระซิบเบาเท่าใจคิดลอดไรฟัน "ไป" แล้วปีศาจม้าดำก็พุ่งต่อไปในจังหวะที่มั่นคง เร็วพอจะไปให้ถึงประตูวังหลวงโดยไม่เสียเวลา แม่นยำพอให้ทุกลมหายใจระหว่างทางเป็นดั่งหัวลูกศรตรงสู่เป้าหมายเดียว
ฝนบางเบาที่โปรยอยู่เหนือฉางอันเริ่มซาลงเมื่อหลินหยาขี่เยวี่ยเหยียนมาถึงหน้าประตูวังหลวง เสาไฟเรียงรายส่องแสงเหลืองสลัวคล้ายตาเฝ้ายามนับสิบจ้องมองผู้มาเยือนอย่างระแวดระวัง นางชะลอม้าให้หยุดตรงหน้าทหารเวร แล้วกระโดดลงอย่างเบา มือหนึ่งลูบแผงคอปีศาจม้าดำทมิฬเบา ๆ ก่อนฝากมันไว้กับคนเลี้ยงม้าประจำประตูพร้อมเหรียญเงินปิดปาก พอลมหายใจเย็นเฉียบปะทะปลายจมูก หลินหยาก็รวบชายแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เดินตรงไปยังนายทหารเวรที่ยืนถือหอกยามอยู่ใกล้ซุ้มทางเข้า
“หยุดก่อนแม่นาง” เสียงเข้มดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวพ้นระยะสองก้าว “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีธรรมดาจะเข้ามาได้ ยามวิกาลเช่นนี้ยิ่งไม่มีข้อยกเว้น” หลินหยาหยุดนิ่ง ตีหน้าซื่อขึ้นทันควัน ดวงตากลมโตของนางฉายประกายเหมือนเด็กสาวที่หลงเข้ามาในที่ไม่ควร
“ข้ามาพบท่านจงฉางชื่อเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม “ได้ยินว่ามีการสอบคัดเลือกนางกำนัลรุ่นใหม่ด่วนให้รีบมาลงทะเขียน จึงเดินทางมาเพื่อเข้าทดสอบ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนไม่เร่งเร้า แต่แฝงจังหวะที่คนฟังไม่อาจปฏิเสธได้ง่าย ๆ
นายทหารเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ หลินหยาก็ยื่นสิ่งของในมือขึ้นมา แผ่นป้ายหยกของจงฉางชื่อที่มีตราประทับเข้าวังอย่างเป็นทางการ ดวงตาของเขาเบิกเล็กน้อย ก่อนยกมือรับด้วยความระมัดระวัง พลิกดูด้านหลังแล้วรีบโค้งศีรษะ “อ้อ...ที่แท้เป็นคนของท่านจงฉางชื่อเอง ข้าขออภัยที่เสียมารยาท เชิญด้านในได้เลย—ไม่สิ ขออภัย ข้าน้อยหมายถึง...แม่นางน้อย” เสียงฝีเท้าขันทีคู่หนึ่งดังขึ้นจากด้านใน นายทหารผายมือเรียกพวกนั้นไว้ “นำแม่นางผู้นี้ไปส่งยังตำหนักจงฉางชื่อ” เขาหันกลับมามองหลินหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพแบบงงงวย
ขันทีวัยกลางคนยกพัดไม้ไผ่ขึ้นคำนับ หลินหยาพยักหน้ารับบาง ๆ ก่อนเดินตามเขาเข้าไปอย่างสงบ ท่ามกลางความเงียบของยามราตรีที่มีเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นหิน ทางเดินเข้าสู่ตำหนักด้านในทอดยาว มีสระบัวข้างทางสะท้อนแสงคบเพลิงบนผิวน้ำ นางมองเงาตัวเองสะท้อนพลางกลั้นยิ้มบาง นางกำนัลใหม่งั้นหรือ... คำโกหกนี้ออกจากปากได้อย่างราบรื่นเกินคาด แต่ถ้าไม่โกหก นางก็ไม่มีทางได้เข้าไปในวังหลวงอีก
ตั้งแต่วันที่นาง เผลอ ต่อยหน้าจางกงกงจนเลือดซิบ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็กลายเป็นสิ่งที่ใครแตะไม่ได้ เหมือนสายพิณที่ขึงแน่นจนพร้อมขาด ทว่ายิ่งนานไป ความโกรธในวันนั้นกลับกลายเป็นบางสิ่งที่นางไม่กล้าเรียกชื่อเต็มเสียง มันไม่ใช่เพียงความแค้น หากแต่เป็นบาดแผลที่เมื่อแตะเมื่อไรก็ยังอุ่นเหมือนเปลวไฟ…และหอมหวานเกินจะต้านทาน
หลินหยาเดินผ่านประตูชั้นในไปโดยไม่แสดงพิรุธ มือที่ถือป้ายหยกยังนิ่งสนิท สายตาหลุบต่ำในท่าทางของนางกำนัลที่ถูกฝึกมาอย่างดี ทั้งที่ความจริงแล้วนางเคยเป็นนางกำนัลเพียง 20 ชั่วโมง เท่านั้น 20 ชั่วโมงที่ทำให้นางได้เห็นความโหดร้าย ความลับ และความอ่อนแอในหัวใจของคนที่ทั้งรักและเกลียดในคราวเดียวกัน
ขันทีนำทางเหลียวกลับมาเห็นนางเงียบผิดปกติ จึงเอ่ยเตือนเบา ๆ “แม่นาง โปรดระวังพื้นเปียก”
หลินหยายกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ยิ้มบางตอบ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เพราะนี่คือทางเดิมที่นางเคยเดิน ทางที่เริ่มจากความแค้น และกำลังจะพาเธอกลับไปหาผู้ชายคนเดียวกันอีกครั้ง...ในฐานะที่ต่างออกไป เป็นผู้ถูกเรียกตัวแทนที่จะเป็นผู้หนีหนีเช่นดังเคย
ค่ำคืนสงบจนแม้แต่เสียงแมลงก็เหมือนกลืนหายไปในลมหายใจของวังหลวง เมื่อหลินหยาเดินตามขันทีที่ถือโคมเข้ามาในเขตตำหนักจงฉางชื่อ ความเงียบรอบตัวช่างหนักราวกับหมื่นสายตากำลังจับจ้องอยู่หลังม่าน ทุกย่างเท้าที่ก้าวไปบนพื้นหินเย็นชื้นเต็มไปด้วยกลิ่นกฤษณาเจือจางและความระแวดระวัง ศาลาจื่อเถิงฮวาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมสระน้ำ ด้านหลังเป็นแนวไม้พุดขาวที่ปลูกเรียงอย่างประณีต ดอกที่ร่วงเกลื่อนพื้นกลายเป็นภาพเงาของหิมะในรัตติกาล ขันทีผู้นำทางหยุดยืนแล้วก้มศีรษะ “ถึงแล้วขอรับ” เขาถอยไปเงียบ ๆ ราวเงาเลือน หลินหยามองขึ้นไปเห็นเงาร่างหนึ่งในชุดสีแดงเข้มยืนอยู่ใต้แสงโคมกระดาษ ร่างสูงโปร่งของจางกงกงดวงตาคมกริบสะท้อนเงาจันทร์ มือข้างหนึ่งถือพัดขาวอีกข้างวางแนบหลัง ดวงหน้าเรียบนิ่งราวรูปแกะสลักแต่แฝงความกดดันที่จับต้องได้
นางก้าวขึ้นบันไดศาลาช้า ๆ ก้มคำนับพลางระบายยิ้มบาง “คำนับท่านจางกงกงเจ้าค่ะ” เสียงหลินหยานั้นนุ่มแต่มั่นคง เป็นจังหวะที่รอยยิ้มมุมปากของเขาขยับน้อยนิด “เสี่ยวหยา เข้ามาง่ายหรือไม่ หรือมีอะไรให้ลำบาก?” น้ำเสียงเหมือนถามเล่น แต่แววตากลับสอดแทรกการสำรวจละเอียดลึกยิ่งกว่าคำพูด
หลินหยาตอบด้วยแววตาขบขัน “ข้าบอกพวกทหารว่าจะมาสอบเป็นนางกำนัลน่ะเจ้าค่ะ เขาก็ให้ผ่านง่ายเสียจนข้าเองยังแปลกใจ” จางกงกงหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำละมุนแต่ชวนให้ขนลุกตั้งชัน “ฮึ ตอนนั้นข้านำพาให้เป็นจริง ๆ ก็ไม่ยอมเป็น”
หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาเธอเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์ดังเช่นแม่แมวป่าที่ไม่เคยอยู่นิ่งให้จับตัว “หากข้าเป็นนางกำนัล คงได้เคียงกายองค์ชาย... แต่หากข้าไม่เป็น ข้าได้เคียงกายท่านไม่ดีกว่าหรือ?”
เขาชะงักไปชั่ววินาที ก่อนมุมปากจะยกขึ้น “เสี่ยวหยาเจ้าร้ายนัก” คำว่าร้ายของเขาไม่ใช่ตำหนิ หากแต่แฝงความเอ็นดูและยอมจำนนในเวลาเดียวกัน ทว่ารอยยิ้มนั้นค่อย ๆ จางหายกลายเป็นเงาหนักบนใบหน้าขาวซีด ดวงตาเรียวยาวของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “เจ้าถูกลอบทำร้าย...กี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่วันเกิดนั่น” หลินหยาหรี่ตาลงกับคำถาม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “สองครั้งเจ้าค่ะ คืนนี้เป็นครั้งที่สอง”
จางกงกงพยักช้า ๆ แล้วเดินไปยังโต๊ะหินกลางศาลา วางพัดลงก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “ข้าเดาว่าเป็นฝีมือพวกเดียวกันกับคนที่ขโมยเอกสารของข้าไป”
คำพูดนั้นทำให้หลินหยานิ่งไปทันที “เอกสาร?”
จางกงกงพยักหน้าเบา ๆ “เอกสารลับเกี่ยวกับงานของข้า เป็นบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวของขุนนางกังฉินทั้งในและนอกวัง รวมถึงรายชื่อคนที่มีเอี่ยวกับศัตรูของฝ่าบาท… เอกสารนั้นคือกุญแจสำคัญที่ฮ่องเต้ทรงใช้ควบคุมสมดุลในราชสำนัก” เสียงเขาแผ่วลงแต่มั่นคงทุกถ้อยคำ “ข้ากำลังนึกสงสัยว่าใครกันที่ได้ไป ที่ข้าคิดมีหลายคนนัักและในนั้น...มีชื่อของจางทังด้วย” ชื่อที่หลุดออกมาทำให้หลินหยาชะงักทันที ความทรงจำอันเลือนรางแล่นกลับมา รอยยิ้มของจางทังวันที่เขาหายไปแ และคำถามที่นางมักจะถามจางกงกงแต่กลับไม่เคยได้รับคำตอบ มีเพียงความสงสัย ความขัดแย้ง ความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับคำตอบ เธอขมวดคิ้ว “ท่านจางทังหรือเจ้าคะ?...เกี่ยวข้องด้วยอย่างไร ท่านเคยบอกว่าไม่ชอบเขา ไม่ใช่หรือ?”
“ข้าไม่เคยชอบเขา” จางกงกงตอบเรียบแต่กลับแฝงบางสิ่งเอาไว้ในคำ “แต่ข้าไม่เคยต้องการให้เขาตาย...ถ้าจะทรมารสักนิดก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร” เขาเหลือบมองออกไปนอกศาลา แสงจันทร์สะท้อนผ่านม่านฝนที่ยังโปรยบาง ๆ “วันนั้น...ที่เขาหายตัว ข้าต้องปกปิดเรื่องไว้เพราะข้าไม่อยากให้เจ้ามายุ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยเชื่อคำข้า”
หลินหยายืนนิ่งมือแนบข้างลำตัวแน่น “ก็ท่านมันไม่น่าไว้ใจนี้เจ้าคะ…ท่านพูดเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของท่าน”
“มันไม่ใช่” เขาหันกลับมามองเธอตรง ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น “ตอนนั้นข้าปิดความไว้เพราะมันเกี่ยวพันกับขุนนางกลุ่มหนึ่งที่ต้องการโค่นฝ่าบาท และตอนนี้พวกมันกลับมาอีกครั้ง...พร้อมเอกสารนั้น” สายลมยามค่ำพัดเข้ามาในศาลา เสียงผ้าคลุมของเขาไหวเบา ๆ หลินหยามองแววตาเขาแล้วรู้ทันทีว่าครั้งนี้เขาพูดจริง
“หากเอกสารนั้นรั่วไหล...” เขาเอ่ยต่อ น้ำเสียงต่ำลงจนแทบเป็นกระซิบ “มันจะไม่เพียงแต่ทำลายข้าหรือฝ่าบาท...แต่มันจะลากเจ้าลงไปด้วย”
“ข้า?” หลินหยาเบิกตาเล็กน้อย “เกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“เพราะเจ้าคือคนเดียวที่พวกมันรู้ว่าเป็นจุดอ่อนของข้าอย่างไม่มีข้อสงสัย” จางกงกงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “และนั่นคือเหตุผลที่มันจะไล่ล่าเจ้า ก่อนที่ข้าจะมีโอกาสปกป้อง” เขาก้าวเข้ามาใกล้หลินหยาหนึ่งก้าว ห่างเพียงระยะลมหายใจ ปลายนิ้วเรียวของจางกงกงแตะหลังมือเธอแผ่วเบา “เสี่ยวหยา ข้าต้องการให้เจ้าช่วย” เธอมองเขาอย่างระแวดระวังแต่ก็แฝงความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง “ช่วย...อย่างไรเจ้าคะ”
“ช่วยข้าตามล่าเอกสารนั้นกลับมา” เสียงของเขาสงบนิ่งแต่หนักแน่นราวคำสาบาน “เจ้ามีอิสระมากกว่าข้าเสี่ยวหยา การที่ข้าขยับตัวในตอนนี้อาจทำให้จางทังเป็นอันตราย ข้าจำเป็นต้องเชื่อใจใครบางคน และข้าเลือกเจ้า”
แววตาหลินหยาสั่นระริกชั่วขณะ นางรู้ดีว่าคำว่าเชื่อใจจากปากจางกงกงไม่ได้พูดง่าย ๆ เขาเป็นคนที่ไม่ไว้ใจแม้แต่เงาตัวเอง แต่กลับยอมพูดคำนี้กับนาง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยเบา ๆ “ข้าจะช่วย...แต่ขอให้ท่านสัญญาอะไรบางอย่างได้หรือไม่เจ้าคะ”
เขาเลิกคิ้ว “สัญญา?”
“ว่านี่จะไม่ใช่แผนอีกอันที่ข้าไม่รู้” เธอมองเขาตรง “และว่าท่านจะไม่ปิดบังข้าอีก”
รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปากซีดของจางกงกง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความอ่อนล้าแต่แฝงความอบอุ่นอันน่าหวั่น “ข้าสัญญา...ในแบบของข้า” หลินหยาสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปแตะข้อมือเขาเบา ๆ “งั้นก็บอกมาเถิดเจ้าค่ะ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อยู่ที่ไหนกันแน่”
แสงโคมสั่นไหวบนผิวพรรณซีดจัดของจางกงกงจนดูคล้ายเคลือบด้วยน้ำค้าง เขาพยักหน้าช้า ดวงตาคมกริบเหมือนคมมีดที่เพิ่งลับใหม่ “ข้าจะส่งคนของข้าไปประกบ เจ้าเริ่มจากหอจิวหลิ่งอิน ระวังให้ดี ในนั้นอาจมีไส้ศึกซ่อนอยู่ ปล่อยให้ข้าจัดการส่วนที่ต้องเปื้อนมือ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้…อย่าได้กังวลไป” น้ำเสียงนุ่ม แต่ในนวลนั้นตึงแน่นด้วยอำนาจที่คุมสนามให้เงียบลงทั้งศาลา
หลินหยาพยักหน้ารับ แววตาโค้งเป็นรอยยิ้มวาววับ “ข้าจะไปเมื่อฟ้าสางเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าดูแลตัวเองได้ ท่านเองก็เหมือนกันอย่าทำให้ข้าต้องกลับมาปรามท่านนะเจ้าคะ” นางขยับเข้าใกล้แค่ระยะลมหายใจ แตะปลายนิ้วกับขอบพัดในมือเขาราวกับสะกิดเส้นประสาทให้ตื่น “หากที่นี่ไม่ใช่ตำหนักในวัง ข้ากอดท่านไปแล้ว…ข้าคิดถึงท่านนะเจ้าคะ”
รอยยิ้มของจางกงกงกระตุกขึ้นทีละเสี้ยว ดวงตายาวเรียวทอประกายอันตรายปนอบอุ่น มือเขาเลื่อนจากสันพัดลงมาเหมือนจะประคองกรอบหน้าของนางขึ้นจูบอย่างไม่สนหน้าอินหน้าพรม ท่วงท่าอ่อนช้อยแต่แฝงแรงครอบครองที่คมชัดกว่ามีดพิธี หน้าผากเขาโน้มลงเพียงคืบ ไหล่ผ้าสีแดงปักดิ้นทองไหววาบสะท้อนแสงโคมเหมือนไฟจะติด ทว่าหลินหยาหลับยกมือแตะอกเขาเบา ๆ ดันไว้พอดีองศา “ห้ามทำเจ้าค่ะ” นางเชิดคางน้อย ๆ แววตากึ่งล้อกึ่งเตือน “ไว้รอบหน้า ถ้าท่านทำตัวดีข้าจะให้ทำ” ปลายเสียงหวานจัดจนกัดลิ้น แล้วนางก็ถอยฉากอย่างแมวที่ชำนาญหลังคา ทิ้งระยะให้เขาคิดถึงโดยเจตนา
จางกงกงหัวเราะในลำคอแผ่วต่ำ “กล้าต่อรองกับข้าเช่นนี้ มีเพียงเจ้า เสี่ยวหยา” พัดในมือเขาหุบแนบข้างลำตัว ดวงตายังไม่ยอมปล่อยร่างนางจากกรอบสายตา “ตอนเช้าจะมีคนตามเจ้าไว้ เจ้าไม่ต้องกังวนเมื่อเจ้าเห็นแล้วจะรู้เอง” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย เสียงทุ้มหยุดที่คำสุดท้ายเหมือนตราประทับ “และหลินหยา อย่าลืมว่าเจ้าคือของข้า”
หลินหยายิ้มแสนหวานจนความหวานนั้นกลายเป็นหนามยอกใจจงฉางชื่อ “ของตัวเองก่อนเถิดท่าน แล้วค่อยอ้างสิทธิ์คนอื่น” นางค้อมศีรษะพองาม รับคำสั่งโดยไม่แสดงท่าทีว่าจะยอมให้ใครคุมมากกว่าที่ควร “พบกันคราวหน้าเจ้าค่ะ ท่านจงฉางชื่อ” นางหมุนกาย ผ้าสีน้ำแข็งเคลื่อนไหวเหมือนคลื่นในชามหยก ก้าวลงบันไดศาลาด้วยฝีเท้านิ่งและเร็วพอดี ลมกลางคืนพัดพาเอากลิ่นกฤษณาจาง ๆ ของนางให้ย้อนกลับไปหาคนที่ยืนมองอยู่ จางกงกงยืนนิ่ง ปลายนิ้วของเขาที่ถูกปฏิเสธเมื่อครู่ยังคงอุ่นด้วยความปรารถนาที่ถูกหยุดครึ่งทาง ดวงตาคมกริบยิ้มไม่หมดแต่ขอบมุมปากตั้งใจแน่วแน่กว่าเดิม
ก่อนพ้นแนวเสา จางกงกงนั้นแล้วเฝ้ามองแผ่นหลังบางเฉียบลับเข้าเงาทางเดิน ราตรียังคงนิ่ง แต่ลมหายใจของศาลาจื่อเถิงฮวากลับอุ่นขึ้นหนึ่งจังหวะ พอให้รู้ว่าศึกใหญ่เริ่มนับเวลา และคนสองคนที่รักกันอย่างดื้อรั้นต่างเก็บความคิดถึงไว้อย่างมีระบบ เพื่อเอาแรงไปแทงกลางหัวใจศัตรูในยามเช้าที่กำลังจะมาถึง





โพสต์ 



