1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

[เทือกเขาฉินหลิง]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-9-3 22:41:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2024-9-3 23:02






วันที่ 2 จิ่วเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 10 
เวลา 15.30 น.



พ้นช่วงเวลาฝึกซ้อมก็พอจะมีเวลาปลีกตัวออกด้านนอกค่ายได้อีกประมาณ 1 ชั่วยาม ซิ่วอิงพกอาหารใส่ห่อผ้าแล้วเดินทางออกจากค่ายพยัคฆ์ มุ่งหน้าสู่เทือกเขาฉินหลิงการบริหารเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ยิ่งหากอนาคตได้สังกัดในกองทหารจริงนางจำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์ของกองทัพในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำให้เวลาส่วนตัวเสียด้วยเช่นกัน

เป็นไปตามคาดซิ่วอิงเริ่มรู้สึกว่าตนเองพอจะจับทางเดาช่วงเวลาของคุณชายตงฟางได้ถูกแล้วว่าเขาจะแวะมา ณ ที่แห่งนี้เมื่อใด พอมาคำนวณดูกับเวลาพักของกองทัพก็ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาก่อนเข้าเวรยามพอดิบพอดี ต่อไปในอนาคตคงไม่สามารถมาเจอคุณชายเพื่อเป็นคู่เดินหมากที่ศาลาจื่อเถิงฮวาได้อีกแล้วเพราะดันตรงกับเวลาเฝ้าเวรในค่ายของนาง ซิ่วอิงค่อย ๆ ย่องไปจากด้านหลังกะว่าจะแกล้งทำให้คุณชายตกใจเสียหน่อย อยากเห็นจริง ๆ ว่าคนมาดนิ่ง ๆ เวลาสมาธิแตกซ่านมันเป็นเช่นไร

“ข้ารู้ว่าแม่นางอยู่ข้างหลังข้า” ตงฟางซั่วพูดขึ้นขณะที่เขายังหลับตานั่งสมาธิอยู่

มีตาทิพย์หรือไงกัน!

“โธ่! ไม่สนุกเลยคุณชาย!” ซิ่วอิงเบะปากแบบเซ็งสุด ๆ ที่โดนจับได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ขนาดนี้ นางเดินไปด้านหน้าของคุณชาย ไม่นานคุณชายตงฟางก็ค่อย ๆ ลืมตาออกจากการนั่งสมาธิของเขา

“เล่นเป็นเด็กไปได้” 

“คุณชายต้องรู้จักเล่นสนุกบ้างนะเจ้าคะ ชีวิตจะได้มีสีสัน”

ทันทีที่คุณชายตงฟางลืมตาขึ้นมาหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นซิ่วอิงที่อยู่เบื้องหน้า เขามองนางหัวจรดเท้าอย่างพิจารณา ซิ่วอิงถึงกับตัวแข็งเมื่อเห็นสายตาคู่นั้นเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้อง

“แม่นางไม่สบายหรือ? ทำไมหน้าซีดแบบนั้น” ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง…

“หน้าข้าคงโทรมมากจริง ๆ สินะเจ้าคะ มีแต่คนทัก” ซิ่วอิงลูบ ๆ ที่ใบหน้าของตน ช่วงนี้มีคนทักแบบนี้บ่อยเกินไปจนนางเริ่มเสียความมั่นใจอย่างไรก็ไม่รู้ อยู่ในค่ายไม่ได้แต่งหน้าเสียด้วย ที่มาเจอคุณชายในวันนี้ก็คือสภาพหน้าสดที่ผ่านความสมบุกสมบันมาอย่างโชกโชนจากการฝึกทหารใหม่

“ทำไมตามตัวของแม่นางจึงมีรอยช้ำ รอยถลอกเช่นนี้ ถูกนายจ้างทำร้ายมาหรือ?”

“ข้าไม่ได้ถูกผู้ใดทำร้ายเจ้าค่ะ แต่เกิดจากการฝึกฝน”

“ฝึกฝน?” คิ้วของคุณชายผูกกันเป็นปมด้วยความสงสัย

“ช่วงนี้ข้ากำลังถูกที่ทำงานของข้าทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายเจ้าค่ะ” 

“งานที่แม่นางบอกข้าเมื่อคราวก่อน คือประเภทใช้แรงงานหรือ?” ในหัวของคุณชายตงฟางตอนนี้คงจินตนาการไปไกลถึงสภาพของซิ่วอิงกำลังแบกกระสอบข้าวสารอยู่กระมัง…

“จะว่าใช้แรงก็ใช่เจ้าค่ะ” ก็เป็นทหารนี่เนอะ…

“งั้นแม่นางต้องดูแลสุขภาพตัวเองดี ๆ งานใช้แรงงานเป็นงานที่หนัก เกิดล้มป่วยขึ้นมาจะแย่”

“ขอบคุณ คุณชายตงฟางที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” 

“วันนี้แม่นางมาหาข้ามีเรื่องอันใด?” 

“ต้องมีเหตุถึงจะมาได้หรือเจ้าคะ?” 

“ก็ไม่ขนาดนั้น” 

“ข้าเคยบอกคุณชายว่าข้าจะหาของอร่อยมาฝากคุณชาย ก็เลยมาทำตามสัญญาที่ว่าไว้”

ซิ่วอิงกล่าวก่อนจะนำห่อผ้าที่เตรียมมาวางไว้บนผืนหญ้าแล้วจัดแจงแกะห่อผ้านั้นออก ด้านในประกอบด้วยขนมบัวหิมะและชาหลงจิ่งที่บรรจุอยู่ในน้ำเต้า นางยื่นขนมไปให้คุณชายชิ้นหนึ่ง

“ลองชิมดูเจ้าค่ะ”

คุณชายตงฟางรับเอาขนมนั้นมาชิม…

“รสชาติดี แม่นางช่างมีฝีมือในการทำครัว”

“หาใช่ฝีมือของข้าเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงรีบปฏิเสธในทันใด

“อ้าว?” คุณชายตงฟางชะงักไปเล็กน้อย

“อันนี้ข้าไปสั่งซื้อมาเจ้าค่ะ หากคุณชายได้ลองอาหารที่ข้าทำเกรงว่าคุณชายจะต้องร้องขอชีวิต”

“แย่ขนาดนั้นเลยหรือ?” เขาถามนางออกไป

“แย่กว่าที่ท่านคิดแน่เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยังคงยืนยัน นางไม่อยากทำร้ายมิตรเพียงไม่กี่คนที่นางมีในเมืองนี้หรอก

“ไว้คราวหน้าข้าต้องลองด้วยตนเองเสียแล้วจะได้รู้ว่าแย่แค่ไหน”

“อย่าเลยเจ้าค่ะ” นางรีบตัดบทเพราะไม่อยากให้คุณชายได้ลอง แล้วหันมารินชาจากน้ำเต้าใส่ถ้วยให้คุณชายแทน

“แต่อันนี้ฝีมือข้าแน่นอนเจ้าค่ะ” ความภาคภูมิใจในวิถีสตรีไม่กี่สิ่งที่ซิ่วอิงทำได้ดี ต้องนำเสนอ!

คุณชายรับน้ำชามาดื่มด้วยท่าทีที่สุภาพ คนอะไรไม่ว่าจะท่วงท่ากิริยาอะไรก็ดูสง่าไปเสียหมด เมื่อดื่มเสร็จเขาก็ล้วงเอาขวดบางอย่างยื่นมาให้ซิ่วอิง นางรับมาดูก็พบว่าเป็นขวดยา

“เอาไปใส่แผลเสีย ถือว่าตอบแทนค่าขนมและน้ำชา” 

“ยานี่คงจะแพงน่าดู ข้าคงรับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยื่นขวดยากลับไปให้คุณชาย ของดีเช่นนี้ปราชญ์พเนจรอย่างเขาคงมีไม่มาก สู้ให้เขาเก็บไว้รักษาตัวยามบาดเจ็บเองจะดีกว่า

“จะรับยาไปใส่หรือจะให้ข้าใส่ยาให้เองตรงนี้?” คุณชายพูดเสียงเข้มพร้อมยื่นยากลับไปให้ซิ่วอิงอีกครั้งด้วยความหวังดีแกมบังคับเล็ก ๆ 

“อ่ะ อ่ะ อ่ะ! ข้ารับไว้ก็ได้เจ้าค่ะ” 

ซิ่วอิงหยิบขวดยามาจากมือคุณชายก่อนจะนำมาใส่ตามแผลถลอกที่ได้จากการฝึกและการประลองกับผู้คุม พร้อมหันไปมองคุณชายตงฟางด้วยสีหน้าประมาณว่า ‘พอใจหรือยัง?’ ความรู้สึกของนางตอนนี้เหมือนอยู่กับพ่อไม่มีผิด จะไม่เหมือนก็ตรงที่ปกติซิ่วอิงนั้นดื้อรั้นจนท่านพ่อยังเอาไม่ค่อยจะอยู่ แต่ไม่รู้ด้วยความเกรงใจหรือออร่าอะไรบางอย่างของคุณชายตงฟางทำให้นางไม่ค่อยกล้าหือสักเท่าไหร่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ม้าพยศอย่างหรงซิ่วอิงคงได้โดนปราบเข้าให้สักวัน…





[NPC-07] มอบขนมบัวหิมะ และ ชาหลงจิ่ง ให้ ตงฟาง ซั่ว

+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+10

พรสวรรค์: คนกำยำ
สกิลพิเศษติดตัว: ฝึกฝนยุทธ์ (สกิลที่จะใช้งานเพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง +2 Point)
LV.19


@@Admin 





แสดงความคิดเห็น

ความสัมพันธ์กับตงฟางซั่วถึงลิมิตแล้ว  โพสต์ 2024-9-3 23:48
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2024-9-3 23:48
โพสต์ 21866 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-9-3 22:41
โพสต์ 21,866 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2024-9-3 22:41
โพสต์ 21,866 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความชั่ว +15 ความโหด จาก คนกำยำ  โพสต์ 2024-9-3 22:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
ง้าวปีศาจปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x33
x1
x51
x44
x58
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x18
x148
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x172
x38
x2
x2
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x84
x4
x4
โพสต์ 2024-9-5 12:20:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  10.00



หลังจากการล่าปีศาจปลาเสร็จ ชายหนุ่มก็อยากกินเนื้อสัตว์ จึงเดินทางไปที่เทือกเขาฉินหลิงเพื่อทำการหาสัตว์ล่า


"เจ้าหมา ป่ะ หาไก่กินกัน" ชายหนุ่มบอกให้เจ้าหมานำทาง


"โฮ๋งๆ" เจ้าหมานำทางด้วยความดีใจน้ำลายไหลแฮ่กๆประนึ่งจะได้กินเนื้อเเย้ว เย้


ใช้เวลาไม่นานเจ้าไก่ก็เจอฝูงไก้่อยู่ฝูงนึง


"กระต๊าก" ฝูงไก่ที่เห็น 1 คน 1 หมาโผล่มาก็มีสีหน้าตกใจ จะกระโดดหนี


แต่อนิจจา ขาไก่หรือจะสู้ขาคน ชายหนุ่มกับเจ้าหมาวิ่งตามทัน ชักกระบี่ฟันคอ และหมาป่าขย้ำเจ้าไก่ซะเละ


เอาล่ะ มาๆ ให้ข้าเเล่เนื้อก่อนแล้วเจ้าค่อยกินดีๆ


เด็กหนุ่มใช้เวลาและความพยายามไม่นานในการเเล่เนื้อไก่ออกมา


'เอามาทำได้หลายเมนูเลยนะเนี่ยเด็กหนุ่มคิดในใจ'



---------------------------



https://han.mooorp.com/plugin.ph ... e:fight&aid=353 ไก่เลเวล 5



https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=352 ไก่เลเวล 10




ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ):

เนื้อสัตว์ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)

ซี่โครงไก่ (เลขไบต์รองสุดท้าย = จำนวนได้)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 6046 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-5 12:20
โพสต์ 6,046 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-9-5 12:20
โพสต์ 6,046 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2024-9-5 12:20
โพสต์ 6,046 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-9-5 12:20
โพสต์ 6,046 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +1 ความชั่ว +2 ความโหด จาก กระบี่  โพสต์ 2024-9-5 12:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-5 18:58:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 17 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  12.00




หลังจากทีล่าไก่เสร็จ เด็กหนุ่มกับเจ้าหมาก็ออกเดินเล่นต่อในเทือกเขา


ปุกี้ๆ


ทันใดนั้น 1 คน 1 หมาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ โผล่ขึ้นมาในป่าเขา


เด็กหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุก และไล่ตามเสียงนั้นไป


เขาผมกับปีศาจ ? ตัวนึง ใช่น่าจะเป็นปีศาจ กำลังทำท่าแปลกๆเหมือนกับกำลังย่อยอาหาร


เด็กหนุ่มไม่รอช้า


"เจ้าปีศาจลิ้มรสกระบี่ข้าซะ" เด็กหนุ่มกล่าว จากการเรียนรู้เกี่ยวกับปีศาจ เขาพอรุ้มาบ้างว่าเจ้าปีศาจมันม่วงนั้น ชอบดูดซับตบะของเด็กๆทำให้เด็กหนุ่มไม่มีความปราณีให้พวกมันเเม้เพียงเล็กน้อย


ร่างกายที่กลมดิ๊กนั้นเหมาะแก่การเป็นเป้าซ้อมกระบี่เป็นอย่างยิ่ง


ฉึกๆ


ใช้เวลาไม่นานเจ้าปีศาจก็สิ้นล้ม เด็กหนุ่มทาบมือไปที่ร่างกายของมันและเริ่มดูดซับตบะ และสิ่งของก่อนที่จะเดินทางกลับเมือง


------------------------------




https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=355 ปีศาจมันม่วงเลเวล 5



ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ตบะ 10 หน่วย

เนื้อเทศ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)

โบนัส: พรสวรรค์ ระดับผู้มีบุญ: x2 ทรัพยากรที่ดรอป



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 3502 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-5 18:58
โพสต์ 3,502 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-5 18:58

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +10 ย่อ เหตุผล
Admin + 10

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-8 10:38:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 22 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  5.00-12.00

เช้าวันใหม่เป็นอีกวันที่ เด็กหนุ่มและเจ้าหมาออกล่าอีกครั้ง โดยครั้งนี้เด็กหนุ่มและเจ้าหมาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนที่บ้าง จากบึงเป็นป่า เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ต้องต่อสู้ได้ในทุกสถานการณ์

ครั้งนี้พวกเข้ามาที่ป่าไผ่ เขาได้ยินมาว่าที่นี่มีปีศาจมันม่วง อีกทั้งยังมีไก่ตัวอ้วนพีที่ดูโอชารส พอพูดถึงเจ้าไก่ เจ้าหมาก็น้ำลายสอ

“เจ้าอยากกินไก่ขนาดนั้นเชียว” เด็กหนุ่มกล่าวกับเจ้าหมา

เจ้าหมาพยักหน้าหงึกๆ พลางกลืนน้ำลาย และสายหางกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ ดูน่ารัก

“เอาเถอะ ถ้างั้นไปล่ากัน เริ่มจากไก่แล้วค่อยปีศาจ เจ้าจะได้อิ่มท้องก่อนโอเคไหม” เด็กหนุ่มกล่าวกับเจ้าหมา

เจ้าหมาเห่ารับ และออกดมกลิ่นด้วยความรวดเร็ว และวิ่งนำเด็กหนุ่มไป

เด็กหนุ่มไมรอช้า เจ้าไก่วิ่งนำไปแล้ว เขาก็ต้องรีบวิ่งตามเจ้าหมาไป อีกทั้งยังพยายามสังเกตุถึงเส้นทางที่วิ่งตาม มีรอยตีนไก่ แล้วมีจุดดินที่ถูกคุ้ยแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของพวกไก่ที่ขุดดินกินแมลง

วิ่งอยู่หลายนาที เด็กหนุ่มและเจ้าหมาก็เจอกลุ่มไก่อยู่ 2 ตัว ทั้ง1 คน 1 หมามองหน้ากันและพยักหน้า

เจ้าหมาวิ่งอ้อมไปด้านหลัง และเห่าเสียงดังเพื่อที่จะทำให้ไก่ตกใจวิ่งมาทางเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มก็เตรียมกระบี่ไว้พร้อม รอตีไก่ที่วิ่งออกมา

“โฮ่งๆ “ เจ้าหมาเห่าเสียงดัง

ไก่ที่ได้ยินเสียงหมาเห่าก็ตกใจรีบวิ่งหนีมาทางเด็กหนุ่ม

อนิจจา เจ้าไก่ที่นางสงสารไม่รู้เลยว่าทิศทางที่พวกมันวิ่งมานั้น มีเพชรฆาตหนุ่มดดักรอพวกมันอยู่

วิ่งนาทีที่พวกมันวิ่งผ่านเด็กหนุ่ม ตัวแรกก็ถูกเชือดคออย่างรวดเร็วปราศจากความเจ็บปวดสิ้นใจตายไป 1 ตัว

“กะต๊ากๆ” ไก่อีกตัวที่เห็นเพื่อนตายไป ก็ร้องลั่น พลางวิ่งหนีไปอีกทาง ก็เจอเจ้าหมาที่ค่อยๆย่างสามขุมเข้ามา

“กะต๊ากกก” เจ้าไก่ที่เห็นว่าไม่รอดแน่จึงตัดสินใจสู้ตายและ กระโดดจิกเด็กหนุ่ม

แต่อนิจจาไก่หรือจะสู้คน เด็กหนุ่มจับไก่ขึ้นมาหักคอดังเปราะ เป็นการปลิดชีวิตที่รวดเร็วแต่ไร้ความปราณี

“เอาล่ะเจ้าหมาพวกเราได้มื้อเช้ากันแล้ว” เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้เจ้าหมาและเตรียมตัวทำอาหาร

“ฮ่งๆ” เจ้าหมาดีใจเห่าเสียงดัง วิ่งวนรอบตัวเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มค่อยๆ จัดการแล่เนื้อไก่ที่ได้มาอย่างพิถีพิถีน และนำเนื้อบางส่วนที่ได้มาจากการเเล่ปรุงเป็นอาหารเช้าของพวกเขาและย่างเนื้อเเสนอร่อยให้เจ้าหมากิน

1 คน 1 หมากินและนั่งพักกันอย่างเอร็ดอร่อย

“เอาล่ะ เจ้าหมา เราพัก แล้ว กินอิ่มมามากพอแล้ว ได้เวลาเริ่มอาหารจากหลัก เจ้ายังจำปีศาจมันม่วงได้ไหมที่ข้าจัดการไปวันนี้เราจะมาล่าพวกมันกัน” เด็กหนุ่มกล่าวกับเจ้าหมา

“ฮ่ง?” สีหน้าเจ้าหมาทำหน้างง ว่าทำไมถึงต้องล่าพวกมันตัว พวกมันเป็นเนื้อมันเทศกินไปก็ไม่อร่อยหรอกนะเจ้านาย

“พวกมันอาศัยรูปร่างที่ดูน่ารัก หลอกล่อเด็กๆ ให้มาเล่นกับพวกมัน โดยอาศัยดูดกลืนตบะของพวกเด็กๆ ที่มาเล่นเป้นค่าตอบแทน แต่พวกมันไม่รู้เลยว่า ร่างกายเล็กๆของพวกเด็กๆที่มันดูดซับจะมีตบะอยู่เท่าไร ทุกครั้งที่พวกมันดูดซึมตบะของพวกเด็กๆ นั่นก็หมายความว่าพวกมันดูดซึมพลังชีวิตของพวกเด็กๆ เฮ้อ บาปกรรมๆ” เด็กหนุ่มกล่าวยาว

“เพราะงั้นเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงล่าพวกมัน” เด็กหนุ่มกล่าว

“ฮ่ง” เจ้าหมาพยักหน้า และเตรียมนำทางเด็กหนุุ่มไปตีมัน

การเดินทางของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้น เริ่มแรกก็เดินกันอย่างสะเป๊ะสะปะเพราะเจ้าหมาแยกกลิ่นมันม่วงไม่ค่อยออก

แต่พอเดินกันไปได้ซักพัก เขาก็เจอรอยเท้า? ขนาดใหญ่ลากไป เขาคิดได้เลยว่าต้องเป็นรอยของพวกมันแน่ๆ เพราะเจ้าพวกนี้นั้นตัวอ้วนกลมเวลาเดินก็จะลากตัว อืดๆ เดินไป

พวกเขาตามรอยนั้นไปอย่างไม่ลดละก็เจอกับปีศาจมันม่วง 2 ตัว กำลังย่อยตบะที่ได้กินจากพวกเด็กๆ ไป

‘การกระทำของพวกมันนั้นผิด แต่จิตใจของพวกมันก็ไม่ได้สกปรกเหมือนพวกปีศาจปลา เพราะงั้น จัดการให้มันไปเกิดใหม่อย่างสงบ ไม่ต้องทรมารมันเหมือนพวกปีศาจปลา’ เด็กหนุ่มคิดในใจพลางเตรียมตัวสู้

เด็กหนุ่มชักกระบี่วิ่งไปฟันพวกมันอย่างรวดเร็ว

“อย่าถือโทษโกรธข้าเลยนะ โกรธที่เจ้าเป็นปีศาจแต่ดันดูดซับตบะ และกลืนกินพลังชีวิตของพวกเด็กๆเถอะ ทั้งๆที่ถ้าเจอมีฝีมือเจ้าสามารถดูดซับตบะของสัตว์ป่า หรือแม่กระทั่งปีศาจด้วยกันเองเเท้ๆ” เด็กหนุ่มกล่าวยาวให้ปีศาจมันม่วง ก่อนที่จะลงกระบี่จัดการพวกมัน

เนื่องจ่ากพวกมันตัวกลมโตขาดความคล่องแคล่ว

ทำให้เด็กหนุ่มออกกระบี่และหลบหลีกอย่างง่ายดาย

ใช้่เวลาไม่นานปีศาจมันม่วงทั้ง 2 ตัวก็ตายคากระบี่เด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มไม่รอช้า เอามือทาบไปที่ร่างของปีศาจแล้วรีบดูดซับตบะ ก่อนที่ตบะจะหายไป

ฟึบ

ปีศาจมันม่วงได้กลับเป็นมันม่วง

“เอาล่ะเจ้าหมากลับบ้านกัน” เด็กหนุ่มค่อยๆ ลูบหัวเจ้าหมาก่อนที่จะเดินทางกลับไปพักผ่อนที่ตัวเมือง

ใช่เขาต้องพักผ่อนหย่อนใจหลายวันที่ผ่านมากระบี่ของเขาเปื้อนเลือดมากเกินไปแล้ว ตอนนี้เข้าต้องพักผ่อน และจัดการ ขัด และดูแลกระบี่ให้ดี

----------------------------

ไก่เพศเมีย
ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ):
เนื้อสัตว์ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)
ซี่โครงไก่ (เลขไบต์รองสุดท้าย = จำนวนได้)

ปีศาจมันม่วง
https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=411 ปีศาจมันม่วงเลเวล 5
https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=412 ปีศาจมันม่วงเลเวล 12

ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ตบะ 10 หน่วย
เนื้อเทศ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15540 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-8 10:38
โพสต์ 15,540 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ช่อเมล็ดข้าวมงคล  โพสต์ 2024-9-8 10:38
โพสต์ 15,540 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-9-8 10:38
โพสต์ 15,540 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2024-9-8 10:38
โพสต์ 15,540 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-9-8 10:38

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +20 ย่อ เหตุผล
Admin + 20

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-9 13:30:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 23 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  5.00-12.00



หลังจากที่เด็กหนุ่มเสร็จสิ้นการล่าเมื่อวานเขารู้สึกว่าเขาล่าปีศาจมากเกินไปวันนี้จึงมาล่าสัตว์ป่าธรรมดาบ้าง


"อยากกินไก่ใช่ไหมเจ้าหมา" เด็กหนุ่มลูบหัวเจ้าหมา พลางชวนเจ้าหมาออกไปล่าไก่


"โฮ๋งๆ" เจ้าหมาเห่าตอบรับ


เด็กหนุ่มกับเจ้าหมาจึงออกเดินทางมาที่เทือกเขาฉินหลิงเพื่อทำการล่าสัตว์ป่า และอาจจะมีปีศาจบ้างถ้าเจอ


เดินไปไม่น่าเด็กหนุ่มกับเจ้าหมาก็เจอไก่ตัวนึง จิกหนอนกินอยู่พวกเขาไม่รอช้าวางแผนกัน เจ้าหมาไปต้อนไก่มาจากข้างหลัง เด็กหนุ่มดักรอเชือดอยู่ข้างหน้า


เนื่องจากแผนที่ดีแล้วฝีมือที่ดีเจ้าไก่สิ้นลมในกระบี่เดียว แบบศพสวนพร้อมแล่


เด็กหนุ่มควักมีดแล่เนื้อขึ้นมาเพื่อแล่เนื้อไก่อย่างราณีตและให้เจ้าหมากินส่วนเนื้อติดกระดูก


เจ้าหมาก็กินอย่างเอร็ดอร่อย


หลังจากนั้นระหว่างทางเดินกลับเด็กหนุ่มก็ได้เจอปีศาจมันม่วง 2 ตัว


ถึงแม้วันนี้จะอยากล่าแค่สัตว์แต่ไหนๆ ก็เจอปีศาจแล้ว เลยจัดการฆ่าพวกมันทิ้งซะ แล้วดูดซับตบะมันมาให้หมดแล้วก็กลับเมืองไปพักผ่อน






---------------------


https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=429 ไก่เลเวล 5



https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=428 ไก่เลเวล 10



ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ):
เนื้อสัตว์ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)
ซี่โครงไก่ (เลขไบต์รองสุดท้าย = จำนวนได้)


https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=432 ปีศาจมันม่วงเลเวล 5



https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=433 ปีศาจมันม่วงเลเวล 12



ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ตบะ 10 หน่วย
เนื้อเทศ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 8173 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-9 13:30
โพสต์ 8,173 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ช่อเมล็ดข้าวมงคล  โพสต์ 2024-9-9 13:30
โพสต์ 8,173 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-9-9 13:30
โพสต์ 8,173 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2024-9-9 13:30
โพสต์ 8,173 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-9-9 13:30

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +20 ย่อ เหตุผล
Admin + 20

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-10 13:23:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 24 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  6.00




หลังจากส่งภารกิจเด็กหนุ่มก็ออกเดินทางมาที่เทือกเขาฉินหลิง


"เอาล่ะเจ้าหมา วันนี้เราออกมาผจญภัยกันดีกว่า ไม่ต้องแคร์ว่าจะเจอ อะไรตีพวกมัน และจัดการพวกมันให้หมด" เด็กหนุ่มกล่าวเเละลูบหัวเจ้าหมา


"โฮ่งๆ" เจ้าหมาเห่า และเดินนำทาง


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มและเจ้าหมา ก็ออกเดินทาง


เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปในป่าเขาเดินได้ซักพักก็เดินเจอกับไก่ป่า


ไม่รอช้า เด็กหนุ่มก็ชักกระบี่ฟาดไก่จนตาย


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็แล่เนื้่อไก่ และโยนเนื้อไก่ทั้งหมดให้เจ้าหมากิน


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ออกเดินทางต่อ


เขาพบกับปีศาจมันม่วงกำลังเล่นกับพวกเด็กๆอยู่ พวกเด็กๆนั้นดูเล่นสนุก แต่ก็มีสีหน้าที่อิดโรยดูเหนื่อย


'ยังจัดการตอนนี้ไม่ได้รอเที่ยงๆ ให้พวกเด็กๆกลับบ้านไปก่อนละกัน' เด็กหนุ่มคิดในใจ


หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินลึกเข้าไปในเทือกเขา


ครั้งนี้เขาพบกับผู้คนที่เข้ามาเก็บของป่า กับกลุ่มปีศาจลิงกำลังขโมยของ คนที่เข้ามาเก็บของป่า จนคนที่เข้ามาเก็บของป่าต้องรีบวิ่งหนีออกไปเก็บของที่อื่น


เด็กหนุ่มไม่รอช้า วิ่งเข้าไปสั่งสอนพวกปีศาจลิงทันที


พวกปีศาจลิงนั้นฉลาด พวกลิงนั้นฉลาด กระโดดหลบกระบี่ของเด็กหนุ่ม และก้มลง ชกหมัดสวนเด็กหนุ่ม


ใช้เวลาซักพักนึง เด็กหนุ่มก็ใช้สันกระบี่ ฟาดกลุ่มปีศาจลิงจนสลบ


หลังจากฟาดปีศาจลิง เสร็จก็มีลิงอีกตัวโผล่เข้ามา เด็กหนุ่มก็ไม่รอช้า จัดการฟาดจนสลบไปอีกตัว


เด็กหนุ่มดูดซับตบะ แล้วก็ปล่อยพวกลิงที่กลับเป็นร่างลิงปกติไป พร้อมทั้งเอาลูกท้อของมันมา (เผื่อได้เสี้ยววิญญาณด้วย)


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็กลับมาที่ ที่ปีศาจมันม่วงอยู่


'พวกเด็กๆไปแล้วได้เวลาจัดการ' เด็กหนุ่มคิดในใจ ก่อนที่จะสะบัดกระบี่เตรียมตัวพุ่งเข้าไปสู้


"ปีศาจมันม่วงผู้ชอบล่อลวงเด็กๆ" เด็กหนุ่มเดินออกมาและกล่าวกับพวกมัน


"เจ้าเตรียมตัวตายเถอะ" เด็กหนุ่มกล่าวและพุ่งเข้าไปจัดการปีศาจมันม่วง


ใช้เวลาไม่นาน เด็กหนุ่มก็จัดการปีศาจมันม่วงจนเสร็จ หลังจากนั้นก็ดูดซับตบะพวกมัน


"เจ้าหมาได้เวลากลับเมืองไปพักผ่อนแล้ว" เด็กหนุ่มลูบหัวเจ้าหมาก่อนที่จะกลับเมืองไปพักผ่อนกัน








----------------------------------
https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=438 ไก่เพศเมียเลเวล 10



ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ):
เนื้อสัตว์ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้) (เอาให้หมากินไม่รับของ)
ซี่โครงไก่ (เลขไบต์รองสุดท้าย = จำนวนได้) (เอาให้หมากินไม่รับของ)


https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=443 ปีศาจมันม่วงเลเวล 12

https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=388 ปีศาจมันม่วงเลเวล 15

ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ตบะ 10 หน่วย
เนื้อเทศ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)





https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=376 ปีศาจวานรเลเวล 20



https://han.mooorp.com/plugin.php?id=dzs_npccomrade:fight&aid=377 ปีศาจวานรเลเวล 20

ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ)

สู้ชนะ แต่ไม่ฆ่าเลือกดูดซับปราณ

จนกลับเป็นลิงธรรมดาแทน

: ตบะ 10 หน่วย

ลูกท้อ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)

อัตราดรอป: เศษเสี้ยววานร 1 ชิ้น (เลขไบต์ 7 และ 9)









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19071 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-10 13:23
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ช่อเมล็ดข้าวมงคล  โพสต์ 2024-9-10 13:23
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-9-10 13:23
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2024-9-10 13:23
โพสต์ 19,071 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-9-10 13:23

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2025-6-14 22:12:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซินถึงยามโหย่ว  เวลา 16.00 - 20.00 น. (ปลดหัวใจ 2 ดวง หลิวอัน)


         แสงแดดยามเซินล่วงเลยทอดเงายาวลงบนผืนป่าอันเขียนชอุ่นของเทือกเขาฉินหลิง ต้นไม้ใหญ่สูงชะลูดตระกง่านเรียงรายกันเป็นแนวยาว ลำต้นแต่ละต้นมีเปลือหยาบหนาปกคลุมไปด้วยเถาวัยล์น้อยใหญ่ที่สอดผ่านกันไปมาอย่างซับซ้อนเหมือนเคือข่ายลมหายใจของแผ่นดินใหญ่ สายลมเย็นเฉียบปะทะกับแผ่วหมอนเบา ๆ ลอยคลุมยอดหญ้า กลิ่นสดชื่นของป่าไม้นั้นแทรกเข้าจมูกและผิวหนังในยาม่ี่หญิงสาวก้าวลงจากรถม้าหลังจากการเดินทางมายาวหนาน

         หลินหยามองไปรอบ ๆ จับชายเสื้อคลุมแน่น มืออีกข้างแตะพวงมาลัยไม้หอมที่แขวนไว้กับคันรถเพื่อคลายใจชนิดหนึ่ง รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งมึนจากการเดินทางที่ยังไม่จาง แต่ความสงสัยในจุดหมายปลายทางนั้นมีมากกว่าแบบเท่าทวีคูณ เส้นทางลูกรักที่ทอดผ่านเนินเขาอันลาดชั้นไม่ใช่ถนนที่ใครเขานิยมมาพบกันนักโดยเฉพาะกับบุรุษแบบคุณชายอันเล่อ..ถึงจะเรียกคุณชายแต่ในสายตาของหลินหยาเขาก็แค่พ่อค้าเต้าหู้เพราะเธอไม่รู้จักสถานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แค่ท่าทางเหมือนคุณชายเลยเรียกฉายาไปอย่างงั้น

         “แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่กันนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนนั้นกวาดมองไปรอบบริเวณแห่งนี้ พบรอยเท้าสัตว์ป่า พบร่องรอยเหวียนแล้วก็เส้นทางเหมือนเพิ่งถูกใ้ชไปไม่นานนัก ร่มไม้เบื้องหน้านั้นกั้นแสงแดดให้พอรำไร ราวกับว่าโลกทั้งใบนั้นถูกห่อหุ่มด้วยม่านหมอกของความเงียบสงบเสียอย่างงั้น และความลึกลับด้วย ขอให้ไม่เจอผีป่าไม้ สาธุ ๆ

         นี้ไม่ใช่เมืองหลวงอย่างฉางอันที่มีคนพลุกพล่าน ไม่ใช่ร้านค้าหรือจวนเจ้านายใด ๆ ที่เธอเคยชิน แต่มันกลับเต็มไปด้วยเสียงของธรรมชาติที่ชัดเจนยิ่งกว่าเสียงของตลอดหรือเสียงจากดนตรีในหอนางรำอย่างหอว่านหงเหรินเสียอีก เสียงใบไม้กระทบกันอย่างเบา ๆ เสียงนกร้องจากยอดไม้ หรือเสียงฝีเท้าของสัตว์ที่วิ่งผ่านพงหญ้า ทว่าท่ามกลางเสียงเหล่านั้นกลับไร้วี่แววของบุรุษที่เป็นผู้เชิญเธอมา หลินหยาถอรหายใจ เธอขยับมือรวบเส้นผมขึ้นอย่างลวก ๆ แล้วเดินไปตามทางที่รอยเท้าของคนไถไปมา ร่องรอยของการเดินทางที่ไม่ประสงค์ว่าควรจะมีคนติดตาม เธอคิดแบบนั้นนะั ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น

         “โอ้ย…เลือกมาไกลขนาดนี้คือไม่อยากให้คนเห็นหรอ? หรือมีเรื่องอะไรที่พูดกับในเมืองไม่ได้กันนะ” หลินหยาบ่นนิดหน่อยเธอกรอกตาไปกับอากาศแล้วดวงตาก็มองพื้นเบื้องหน้าอย่างระวังขณะที่ขยับเท้าเข้าสู่แนวไม้หนาทึบ เมื่อเข้าสู่หุบเขาตื้นเบื้องหน้าแวงตะวันเริ่มเหลืองอร่ามคล้ายสีของน้ำผึ้ง ส่องผ่านยอดไม้ลงมากระทบกับแอ่งน้ำตื้น ๆ ข้างทางจนเกิดเงาสะท้อนระยิบระยับ มวลหมอกเริ่มคลี่คลุมยอดเขาทางตะวันตก บอกว่าเวลายามโหย่วกำลังจะมาเยือนแล้ว เสียงฝีัเท้าของหลินหยานั้นแผ่วเบา ทว่าหัวใจกลับยเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอะไรน่ะหรอ..

         กลัวหลง แค่นั้นแหละ..

         หลินหยาเหมือนรู้สึกว่ากำลังเดินเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามของใครบางคนเลยก็ไม่รู้ ไม่ใช่เพราะที่นี่เงียบหรือเปลี่ยวอะไร แต่เป็นเพราะเธอไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองจะรับมือกับบทสนทนาที่อาจจะกำลังจะเกิดเขึ้นระหว่างเธอกับบุรุษพ่อลูกหนึ่งผู้แสนเยือกเย็นคนนั้นได้อย่างไร หากนี้คือกับดัก เขาจะดักเธอมาฆ่าหรือเปล่าวะเนี้ย

         และแล้วมันก็มาถึง เงาของต้นสนใหญ่ใกล้โขกหินนั้น เงาของใครบางคนที่ยืนหันหลังให้กับแสงตะวันกำลังรอคอยด้วยท่าทีที่เงียบงัน แต่หนักแน่นจนเจตนาเกินกว่าที่จะเรียกคำว่าบังเอิญจริง ๆ ด้านข้างนั้นมีศาลาไม้หลังน้อยตั้งอยู่ริมชะง่อนผาบนระดับตื้นของเทือกเขาฉินหลิงหลังแนวโขดหินต่ำ โครงสร้างเรียบง่ายประดับด้วยลายแกะสลับเก่าแต่ละเอียด แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของคนสร้าง ทั้งศาลานั้นไร้ผู้คนราวกับหลุดออกมาจากห้วงเวลาของยุคโบราณ เพียงยืนมองก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ทางสายตาออกไปเห็นทะเลหมอกที่ปกคลุมยอดไม้และสันเบาเบื้องล่างได้กว่างสุดสายตาแล้ว เป้นสถานที่ที่ไม่ใช่จะหาพบกันง่าย ๆ แล้วก็ไม่ใช่สถานที่ ที่ทุกคนคิดจะพามาที่นี่ด้วย

         หลินหยาหยุดยืนใต้เงาไม้เบื้องหน้าศาลา ฝีเท้าของนางค่อย ๆ เบาบางลงจนเกือบไร้เสียง ร่างกายเหมือนกับหัวใจเต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง เหมือนเตรียมรับบางอย่างโดยไม่รู้ตัว ดวงตางามของนางประสบเข้ากับร่างขชองบุรุษในชุดสีน้ำหมึกเข้มยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งวางอยู่หลังเอว มืออีกข้างเหมือนกุมอะไรสักอย่าง เอียงหัวเล็กน้อยเหมือนชายที่กำลังคิดอะไรบางอยางระหว่างชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม

         “ท่านชาย…” หลินหยาเอ่ยเรียกเขาออกไป ยังไม่ทันจะได้เรียกชื่อเขาก็หันมาพอดี

         สายลมยามโหย่วพัดผ่านมาในวินาทีนั้นพาเส้นผมยาวของชายหนุ่มปลิวเบา ๆ ไปด้านข้าง ชายเสื้อคลุมสะบัดเพียงนิด ทว่าร่างสูงนั้นยังคงตั้งตรงสงบนิ่งเช่นเดิม ดวงตาสีเข้มของเขามองตรงมาโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อมันเป็นแววตาของการจดจำไม่ใช่แบบที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนครั้งที่พบกันครั้งแรก หากแต่มันลึกลงไปยิ่งกว่านั้นเสียอีก อาจจะเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบไม้และยางไม้ที่ติดเสื้อหญิงสาว หรือเสียงฝีเท้าของเธอหรือความเงียบหลังลมหายใจแรกสุดที่ลอดจากริมฝีปากทำให้เขารู้ว่าเธอมาถึงแล้ว

         “มาเสียที..” เสียงของคุณชายอันเล่อหรือหลิวอันนิ่ง เรียบเย็นเฉกเช่นเคย ทว่าก็แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากการทักทายของบุคคลทั่วไป เขาไม่ได้บอกว่าเขารออยู่ หรือ เธอมาถึงแล้ว แต่เป็นคำนั้น ราวกับมั่นใจว่าเธอจะมา และเขาก็รออย่างสงบโดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกใครเลยด้วยซ้ำ

         หลินหยาเงียบไปครู่เท่านั้น เธอเหมือนกับอยากจะกลืนน้ำลายลงคอแบบไม่รู้ตัว รู้สึกได้ถึงแรงกดดันแปลก ๆ ที่ปรากฎ มันประหลาดไปจากเดิมแต่เขาไม่เคยมีอะไรที่ไม่ประหลาด ท่าทางนิ่งเฉยของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ขยับเข้ามาหา ไม่ได้ยิ้มไม่ได้ทำสิ่งใดยอกจากยืนอยูาตรงนั้นโดยไม่ละสายตาไปจากเธอ เป็นบุรุษที่มีแต่ความนิ่งเฉยและแผ่รังศีกดทับอากาศรอบตัวได้อย่างน่าแปลกประหลาดจริง ๆ

         “ข้า..เอ่อ..ข้ามาถูกที่หรือไม่เจ้าคะ?”

         นางเอ่ยถามเสียงฟังดูอ่อนลงกว่าปกติ เหมือนมีอะไรบางอย่างสะกดให้เธอนั้นไม่อยากแกล้งเขาเล่นหรือล้อเล่นยามพูดคุยเหมือนคุยกับคนอื่นหรือกระทั่งหรงเล่อได้

         “ไม่ผิด” เขาตอบทันที ไม่มีแม้แต่คำว่าลังเล แล้วขยับของในจมือเล่น ๆ แล้วหมุนตัวไปยังทางศาลาตรงนั้น “มาเถอะ” แม้ท่าทีของเขาจะไม่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พบ แต่หลินหยารับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของเธอและเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ หรือแค่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับคนป่วย หรือว่าอย่างอื่น แต่เป็นคนสองคนที่เหมือนจะ..อาจจะพัฒนาไปเป็นคำว่า คนรู้จัก แล้วก็ได้นะ?

         ศาลาริมหน้าผาเบื้อบนของเทือกเขาฉินหลิงนั้นยังคงสงบเย็น เงาร่มไม้ใหญ่พลิ้วไหวตามแรงลมบางเบาในยามเย็น ขับกลิ่นของหญ้าป่าและดินเปียกจาง ๆ คละคลุ้งอยู่ทั่วอาหาศ หลินหยาเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียน จนกระทั่งอีกฝ่ายผ่ายมือเล็กน้อยเชื้อเชิญเธอให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะนั้นอย่างดี แล้วเริ่มจัดเรียงน้ำชาและขนมกับถ้วยกระเบื้องอย่างปราณีตนัก…

         แหม่..แค่ประชดว่าเป็นคุณชาย แต่เขาเหมือน คุณชาย จริง ๆ เลยนะ จากความคุ้นเคยและไม่รู้อะไรยิ่งกว่านั้น ไม่ได้พูดอะไรหลังจากเชิญนั่ง เพียงแค่ใช้กิริยามารยาทอันสงบเรียบร้อยและแม่นยำในการรินน้ำชาให้เธอก่อนหนึ่งถ้วย จากนั้นก็รินให้ตัวเองโดยไม่มีท่าทีจะลนลานหรือโอ้อวดเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาเหมือนเกิดขึ้นมาเป็นคุณชายที่เกิดและเติบโตมาในจวนหรูหรือตระกูลสูงศักดิ์ มีข้ารับใช้มากมายรายล้อมตัว แต่ในสายตาของหลิยหยา เขาก็แค่พ่อค้าเต้าหู้อ่า

         หลินหยาหยิบถ้วยชาขึ้นประคองระหว่างฝ่ามือเธอ แล้วดมกลิ่นใบหน้าที่หอมแห้งจากคล้ายคลึ่งดอกไม้หรืออะไรสักอย่างจากจวนสกุลเล่อ ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด “ท่านชาย..เหตุใดจึงเรียกข้ามาที่นี่หรือเจ้าคะ? ไม่สิ..คือที่นี่ไม่ใช่ในเมือง ไม่ใช่ร้านท่าน แต่กลับเป็นเทือกเขาแทน?” เธอไม่ได้กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอะไรเท่ารไร แต่ก็เป็นความสะท้อนของความสงสัยที่บริสุทธิ์จากใจของเธอมากกว่าอะไรทั้งหมดเลยล่ะ ทว่ากลับกลายเป็นฝ่ายชายเสียเองที่ไม่ตอบในทันทีที่ต้องตอบ เขาทำเพียงยกถ้วยชาขึ้นแนบปาก แล้วลิ้มรสความขมจางของยอดใบอ่อนที่ยังอุ่นร้อนก่อนที่จะวางลงอย่างนิ่งบสงบ แล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่หนักแน่นตามที่เขาชอบทำตามปกติ

         “เพราะเจ้าดูจะไม่เคยเห็นท้องฟ้า เวลาที่ไมใ่มีหลังคาบ้านหรือชายเรือนค้ำไว้เลยตั้งแต่มาถึงฉางอัน”

         ประโยึนั้นเหมือนจะไม่มีเหตุถผลเท่าไร แต่กลับทำให้หลินหยานิ่งไปเสียเฉย ๆ นางกระพริบตาปริบ ๆ ช้า ๆ แล้วมองสนบดวงตาของเขาที่นิ่งลึกในตอนนี้กำลังทอดมองออกไปยังฝืนท้องผ้าเหมือนหมู่ไม้ซึ่งยามนี้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มทองเพราะแสงจากอาทิตย์ที่กำลังคล่อยต่ำลงไปเลย

         “เจ้าทำแต่งาน” เขาเอ่ยอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องให้เธอยืนยันเลยสักนิด “ข้าเคยเห็นเจ้าบรรเลงขลุ่ย ฟังออกว่าแม้จะไพเราะแต่หัวใจเจ้าเหนื่อยล้า เจ้าพูดเสมอว่ามีงานต้องกลับไป มีที่ต้องไปทำ แต่ที่ข้าเห็น เจ้ามีเพียงร่างกายที่ไปที่นั้น ส่วนวิญญาณนั้นอยู่ที่ใดข้าไม่อาจรู้”

         หลินหยาที่ได้ยินคำนั้นหลุบดวงตาของตนเองมองถ้วยชาในมือ แล้วระบายยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ รอยยิ้มนั้นไม่ได้อ่อนหวานหรือล้อเล่น แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูจะติดขมนิดหน่อยเพราะดันต้องยอมรับว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นถูกต้องอย่างไม่น่าเชื่อเสียเหลือเกิน แต่อีตาหมอนี้มันไปแอบฟังเธอเป่าขลุ่นตอนไหนวะ “ข้าไม่ยักกะจะรู้ว่าท่านชายสังเกตข้าได้มากถึงเพียงนั้น” เสียงของหลินหยาเบาลงอย่างประหลาด มีแววตาของความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว “แต่ข้าก็ต้องทำงานเจ้าค่ะ เอาตรง ๆ ข้าไม่มีที่พักถาวรด้วยซ้ำไป หากหยุดแม้แต้วันเดียวข้าอาจจะไม่มีที่นอนในอีกสองวันถัดไปเลยก็ได้ ข้าชินกับมันแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เธอเ่ยบอกเขาไปแบบนั้นแล้วหันมองหมอกจาง ๆ ที่เริ่มลอยขึ้นจากป่าด้านล่างที่เหมือนผ้าม่านโปร่งบางในห้องร่านรำของหอว่านหงเหริน ก่อนที่จะเ่อยเสียงอ่อน

         “แต่ก็ขอบคุณท่านนะเจ้าคะ ที่เลือกพาข้ามาที่นี่ แม้มันจะแลดูไม่เกี่ยวกับสิ่งใดเลยก็ตคามที แต่ข้าก็ไม่เคยได้พบความสงบเช่นนี้เลย ตั้งแต่เหนียบเท้าเข้ามาที่เมืองฉางอัน”

         เขาไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณนั้นโดยตรง ทำเพียงแค่หันมามองเธออีกครั้งหนึ่งแววตานั้นไม่ได้นุ่มลงเลยสักนิด ไม่ได้เข้าหาแบบอ่อนโยน แต่ก็ไม่เย็นชาเหมือนกับครั้งแรกที่พบอีกเช่นกัน มันเป็นแววตาที่เธอไม่นึกว่าจะได้พบแบบนี้เลยสักครั้ง มันฟังโดยที่ไม่ต้องพูดคำตอบออกมาแม้เพียงสักนิด สายลมนั้นโบกไล่พัดเส้นผมของหลินหยาให้ปลิวไปตามแสงสายบลม มือเรียวของเธอยกถ้วยขึ้นจิบชา ทิ้งความเงียบไประหว่างกันสักครู่ ส่วนคุณชายอันเล่อหรือหลิวอันก็จิบชาของเขาเงียบ ๆ เหมือนกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้ามามองหลินหยาอย่างที่เหมือนกับใคร่ครวญด้วยซ้ำ ใบหน้าของเขาดูสงบนิ่งราวกับหินหยกที่ไม่แสดงอารมณ์มากนัก แต่ในน้ำเสียงแฝงบางอย่างที่หลินหยาอ่านไม่ออก

         “อาการแพ้ของเจ้า ยังมีหลงเหลือบ้างหรือไม่?” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วสบตากับหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามใต้ร่มของศารลา คล้ายกับตั้งใจสังเกตมาตลอด “ข้ายังไม่เห็นเจ้าแตะขนมแม้สักชิ้น”

         หลินหยาเห็นแบบนั้นเธอก็หัวเราะเบา ๆ .. “เอ่อ..ข้าสบายใจเจ้าค่ะ แต่นั่งรถม้ามาที่นี้ท้องเลยยังอึน ๆ อยู่บ้าง” เธอบอกความจริง เขาทำเพียงรับคำในลำคอเท่านั้น ดวงตารเรียวลึกละสายตาไปจากเธอเพียงครู่หนึ่งแล้วมองลงไปยังแนวเขาเขียวขจีนั้นของป่าฉินหลิงที่แดดยามโพล้เพล่เริ่มละเอียนดไล่กับยอดไม้งามกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว

         “แล้วช่วงนี้ยังเหนื่อยอยู่หรือไม่” ถ้วยคำที่ไม่มากความแต่เริ่มเป็นการถามหาสารทุกข์สุขดิบเสียแล้วในแบบของคนที่ไม่เคยชินกับการเอ่ยถามใครเช่นนั้นนัก เสียงของเขชาฟังดูดื้อดึงลงอย่างเงียบ ๆ

         “เหนื่อยน้อยลงมากเจ้าค่ะ ตอนนี้กลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว แม้จะต้องเลือกกินมากขึ้นก็ตาม” เธอตอบเขาไปแบบนั้น ส่วนคุณชายอันเล่อหรือหลิวอันก็ทำเพียง อืม ขึ้นอีกคำ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งแล้ววางถ้วยชาลงคล้ายจะเริ่มพูดเรื่องสำคัญแบบเข้าเรื่องเข้าเสียที

         “แม่นางหลินหยา” เขาเอ่ยเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “เจ้าเดินทางมาจากกว่างโจว มาอยู่ที่ฉางอันเพียงลำพังใช่หรือไม่” เขาเหมือนกับจะถามเพื่อย้ำความแน่ใจจากสิ่งที่เธอเคยเล่าให้บุตรสาวของเขาฟัง หลินหยาเลยพยักหน้าตอบเบา ๆ ก็ไม่แปลกใจเท่าไรที่เขาจะเอ่ยถามในตอนนี้ ดูจากที่คำพูดไม่กี่คำก่อนหน้านี้ เธอก็บอกด้วยว่าเธอเป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองกว่างโจวทั้งบอกหรงเล่อ และบอกเขาด้วยเช่นเดียวกันน เธอสบตากับคุณชายตรงหน้าแล้วเหมือนอยากจตะถอนหายใจเบา ๆ เป็นการรำพุึงรำพันกับตัวเองมากกว่าที่จะทำอย่างอื่น

         “ข้าเป็นเพียงเถ้าแก่ร้านเต้าหู้เล็ก ๆ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มียศศักดิ์ ไม่มีอะไรเทียมเท่าได้กับคนเช่นเจ้า การที่ข้าทำให้บุตรสาวเจ้าเมืองกว่างโจวล้มป่วยลง นับเป็นความผิดของข้าที่ใหญ่หลวงนัก หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าคงไม่มีปัญญาชดใช้ได้เลยแม้แต่น้อย” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เหนียมอายปากหากแต่พูดอย่างที่คิด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโกหกหริือเปล่า แต่ท่าทีของเขาไม่ใช่การแสดงความอ่อนน้อมแต่เป็นการบอกความจริงแบบที่เขาทำเสมอ เพราะหลินหยาไม่อาจรู้ความจริงอะไรได้เลยสักนิด..

         หลินหยาถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ ขณะที่ยกมือขึ้นเหมือนกับพยายามกลั้นขำ แล้วส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่เจ้าค่ะ ไม่ ๆ ไม่เลยสักนิด อย่าพูดเช่นนั้นเลยท่านชาย ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ข้าต่างหากที่หาเรื่องใส่ตัวเอง ข้ารู้ดีว่าตัวเองแพ้ถั่วเหลือง แต่ข้าก็ยังยอมกินมันเข้าไปเพราะคิดว่าเต้าหู้งาดำนั้นดูน่ากินมากจนเผลอลืมคิดเสียงั้น” นางเอ่ยขึ้นแล้วมองเขาด้วยแววตาจริงใจและอ่อนโยนแย้มอยู่ใบหน้าที่เหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่มีสีเลือดฝาดงามสดใสนั้น

         “ท่านไม่ต้องชดใช้สิ่งใดเลย ไม่ต้องกังวนนะเจ้าคะ ข้ารอดมาได้ก็เพราะท่านต่า่งหาก แค่นี้ข้าก็ชดใช้ท่านไม่ไหวแล้ว” คำพูดของหลินหยาฟังดูเรียบง่ายจแต่กลับหนักแน่นไปด้วยความสัตว์จริงของเธอ และยังกล้ารับผิดชอบในแบบของหลินหยาที่ไม่คิดโทษอีกฝ่ายหรือผู้ใดในชะตากรรามของตนเองแม้ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม คุณชายอันเล่อไม่กล่าวอะไรออกมาทันที เขาเพียงแต่นิ่งเงียบลงไปอีกครั้งสบตาหญิงสาวตรงหน้าเหมือนกับกำลังทบทวนอยู่เงียบ ๆ กับตนเอง ดวงตาของหลินหยามองเขาด้วยแววตาใส หากเป็นบุรุษคนอื่นอาจรู้สึกว่านางกำลังท้าทาย

         แต่สำหรับหลิวอันแล้ว สายตานั้นไม่ต่างอะไรกับกระจกใสที่สะท้อนตัวตนของนางให้ชัดเจนมากไปกว่านี้ ไม่ก้มหน้า ไม่หลบตา และไม่อธิบายเกินจำเป็น นางพูดแค่สิ่งที่จำเป็นต้องพูดเสียงไม่สั่นไหว ไม่ได้ขอร้อง ไม่ร้องรอแต่นิ่งสงบ เหมือนยอมรับว่าทุกอย่างเป็นเพราะการเลือกอันไร้ขอบคิดของตัวเองเสมอ

         “หากแม่นางอยากกลับกว่างโจว ข้าจะจ้างคนคุ้มกันไปส่ง” เขาเอ่ยต่อบอกแบบนั้นหลินหยาเลิกคิ้วก่อนที่จะระบายยิ้มแล้วพูดต่ออีก

         “ข้าไม่มีแผนที่จะกลับกว่างโจวเร็ว ๆ นี้เจ้าค่ะ ข้ายังอยากอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้อยู่เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกเขาหลังจากนั้นเธอก็เหมือนกับคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้นแบบตรงไปตรงมากับเขา

         “ท่านชายรู้ใช่ไหมว่าข้าทำงานเป็นนักดนตรีฝึกหัดที่หอว่านหงเหริน ในตอนนี้ข้าอยากให้ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้ หากพบท่านพ่อหรืออะไร ได้โปรดอย่าบอกได้หรือไม่เจ้าคะ?” นางเอ่ยถามและอ้อนวอนขอกับอีกฝ่าย อันเล่อวางถ้วยชาลงอย่างเงียบงัน ข้อนิ้วเรียวของเขายังแตะอยู่ขอบถ้วยนิ่ง ๆ ดวงตาคมลึกของเขามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจ ริมฝีปากบางขยับน้อย ๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจจนแทบจะไม่ได้ยิน

         “ข้าจะยังไม่บอกใคร” น้ำเสียงของเขานิ่งสงบ ไม่แสดงความรู้สึกออกมาชัดเจนนัก แต่ในน้ำเสียงนั้นไม่มีเสี้ยวของการดูแคลนแม้สักนิด “แต่แม่นางโปรดรู้ว่าว่าหากข้าไม่พูด คนอื่นก็อาจพูดได้เช่นเดียวกัน..หอว่านหงเหรินมิใช่ที่ที่สามารถอยู่เงียบ ๆ แล้วไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโทนเรียบชัดเหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น ไม่ใช่การตำหนิหรือเตือนห้วน ๆ อย่างที่ผู้ใหญ่ถืออำนาจเหนือกว่าจำทำ คล้ายกับเขาอยากให้เธอนั้นเข้าใจในสิ่งที่เธอเลือกและสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ หลินหยาเห็นจึงพยักหน้ารับ แววตาของเธอยังคงเดิมเสมอไม่มีเปลี่ยน

         “รู้แล้วยังเลือกเช่นนั้นหรือ?” เขาถามขึ้น

        เจ้าค่ะ…ข้าไม่ได้เข้าไปในฐานะอื่น ข้าเป็นนักดนตรี ไม่ได้ขายเรือนร่างกาย ข้ามีเพียงความสามารถของตัวเองที่แลกค่าตแบแทน ไม่ได้ละอายกับสิ่งที่ข้าทำ มีัเพียงคนที่มองภายนอกเท่านั้นที่ละอายให้แทน”

         ท่านชายอันเล่อหรือหลิวอันนั้นเหมือนกับพึมพำชื่อหอว่านหงเหริน พลางปรายตามองเธออย่างคุ่นคิดราวกับพึ่งฉุกคิดอะไรบา่งอย่างได้ในใจของตนเอง “ช่างเลือกที่ทำงานได้น่าแปลกใจนัก” คึำพูดนั้นแฝงความขบขันบางเบา ไม่ได้ตั้งใจเยาะเย้ยหรือล้อเลียน เพียงแต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่สถานที่ธรรมดาของบุตรสาวขุนนางถึงจะไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่และเป็นขุนนางท้องถิ่นก็ตาม

         “หากข้าได้ยินชื่อเจ้าจากใครอื่นก่อนหน้านี้ ข้าคงคิดและเข้าใจว่าเจ้าคือหญิงที่แอบซ่อนความทะเยอทะยานเอาไว้ แต่เมื่อรู้จักเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่แอบซ่อนอะไรไว้เลยเสียมากกว่า” เขาเหมือนอยากจะยิ้มออกมาแต่แววตานิ่งสนิท

         “เจ้ามันดื้อเงียบ”

         หลินหยาเหมือนจะสะดุ้งนิดหน่อยแล้วมองหน้าอีกคนอย่างทำหน้ามุ่ยใส่แต่ยังไม่สนิทกันมากพอเลยไม่ได้ทำอะไร.. “ข้าน่ะ..ไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ..ข้าถือคติบางอย่าง ซึ่งหากท่านเป็นบุรุษ ท่านอาจจะไม่ชอบ..” หลินหยาเอ่ยก่อนที่จะมองหน้าอีกคน เพราะมันเป็นสิ่งที่คนอื่นอาจจะต่อต้านได้ง่ายเลยล่ะ อีกอย่างสำหรับคนที่อยุ่หอว่านหงเหรินแล้ว ก็เหมือนจะรอตัวโดนซื้อตัวไปเป็นอนุของคนอื่นนั้นแหละ

         “ข้าไม่ขอเป็นนางผู้กล้า และไม่ฝันจะเป็นเมียดีเด่นเจ้าค่ะ”

         หลิวอันที่ได้ยินเช่นนั้นก็นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับจะปล่อยให้ลมภูเขายามใกล้ค่ำที่พัดผ่านผ้าแพรบางของชายคลุมที่สวมไว้ เส้นผมสีดำที่ถูกรวบขึ้นด้านหลังปลิวเบา ๆ อย่างสงบสายตาของเขาไม่ได้หลบเลี่้ยงหรือแสดงอารมณ์อะไรออกมาแต่เขาเหมือนมองหลินหยาเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง สายตาคู่นั้นไม่ใช่เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งเช่นเคย หากแต่เหมือนเป็นสายตาที่กำลังไล่จับบางอย่างในใจของคนพูด

         “นางผู้กล้า?...เมียดีเด่น?” เขาทวนคำของนางช้า ๆ เหมือนกับลิ้มรสถ้อยคำที่แปลกประหลาดบางอย่างในใจตน “คติของเจ้ากล้าหาญดี ข้าไม่รู้ว่าบุรุษคนอื่นจะคิดเช่นไร แต่สำหรับข้า..” เขาหยุดเพียงแค่คำว่า สำหรับข้า เหมือนจะตามมาด้วยประโยคถัดไป แต่กลัยบไม่มีสิ่งใดเอ่ยออกมา มีเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเล็ก ๆ จนไม่รู้ว่าเป็นการเยาะเย้ยหรือพึงใจเล็ก ๆ มือข้างหนึ่งของเขายกมือเล็ก ๆ ในท่าทางสบาย ๆ ที่แฝงความมั่นใจของชายที่ไม่ต้องแสดงอำนาจออกมามากนักแต่มีอำนาจที่พอทำให้คนเบื้องหน้ารู้สึกถึงระยะห่างอันน่าเคารพ..

        “เจ้าดื้อเงียบจริง ๆ อย่างที่ข้าคิด”

         ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่มีคำหวาน หรือคำหยิบยื่นความช่วยเหลือ ไม่มีความห่วงใยในฐายนะมิตรสหายที่เปิดเผยแต่ทุกถ้อยคำมันเหมือนระยะห่างระหว่างเธอกับเขามันเริ่มใกล้ขึ้นแม้จะห่างไกลกันมากก็ตาม หลิวอันยังคงเงียบราวกับจะปล่อยให้คำพูดสุดท้ายของตนเองซึุมลึกลงในใจขของหลินหยาไม่ต้องเร่งรัด ไม่แสดงความรู้สึกอย่างไร




@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


รางวัล: ปลดหัวใจ 2 ดวง (คนรู้จัก) หลิวอัน
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
(ไม่รู้ว่าได้ไหม แต่ใส่ไว้ค่ะ 555+)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-14 22:22
โพสต์ 53165 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-14 22:12
โพสต์ 53,165 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-14 22:12
โพสต์ 53,165 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-14 22:12
โพสต์ 53,165 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-14 22:12
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
โพสต์ 2025-6-26 19:28:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-26 19:53


วันที่ 26 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ นอกฉางอัน เทือกเขาฉินหลิง


            ท้องฟ้ายามค่ำทอดร่มเงาดำครึ้มเหนือสันเขาฉินหลิง ดวงจันทร์กลมเปล่งแสงสีเงินบางเบาทอประกายเหนือยอดสนโอนเอนลู่ลม ความเงียบสงบแห่งธรรมชาติเหมือนตัดขาดที่นี่ออกจากโลกมนุษย์เบื้องล่าง มีเพียงเสียงของแมลงค่ำคืนและสายลมเย็นที่พัดเอากลิ่นหอมของสนและกลิ่นควันจากหม้อร้อนบางอย่างลอยเอื่อยไปทั่วบริเวณนี้

            โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมถูกจัดวางใต้ต้นหลิวเก่าแก่ บนโต๊ะนั้นมีอาหารร้อนจัดวางเรียงราวภาพในความฝัน กลิ่นหอมของเนื้ออบซีอิ๊ว ต้มไก่เปื่อยซุปใส กล้วยไม้ทอดราดซอสขิงและถ้วยข้าวสวยร้อนที่ยังระอุควันลอยอ่อน ทุกสิ่งถูกเตรียมพร้อมอย่างพิถีพิถัร ราวกับเจ้าภาพรู้ดีว่าผู้มาเยือนคือใคร..และเขา ผู้นั่งอยู่ที่นั้น คือชายหนุ่มผู้มีแววตานิ่งลึก เสมือนพยัคฆ์ยืนเด่นอยู่ในม่านสนหนา

            จางทัง..ขุนนางผู้ครองตำแหน่งถิงเว่ย รัฐมนตรีกรมยุติธรรม เขายังคงสงบนิ่งดั่งหินผา เขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงในชุดทางการตัดเย็บเนียบ สะท้อนเงาจันทร์บนสาบผ้าของตน มือซ้ายวางราบเหนือเข่า อีกข้างวางบนถ้วยสุราอย่างสุภาพ ริมฝีปากบางสีซีดขยับเมื่อเห็นร่างของแม่นางผู้นั้นปรากฎในม่านหมอก “มาช้ากว่าที่คิด..แต่ข้าก็เฝ้ารออยู่” น้ำเสียงของเขานิ่งและเรียบเหมือนทุกครั้ง ดวงตาคมหลุบต่ำชั่วครู่ ก่อนที่จะผายมือเชิญเงียบ ๆ ไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม

            หลินหยาในชุดแบบสบาย ๆ เดินเข้ามา แววตาของนางสั่นระริกเล็กน้อย แล้วหยุดอยู่ตรงที่นั่ง ใบหน้างดงามที่เคยเจ้าเล่ห์ขี้เล่น บัดนี้ยังคงดูสงบนิ่งและเหนื่อยล้าจากพิษที่กำลังกัดกินร่างกายเข้าไปทุกที ราวกับต้องผ่านการตัดสินใจนับร้อยในเวลาอันสั้น นางนั่งลงโดยไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมเป็นเวลานาน ให้แววเสียงของชายตรงหน้าดังขึ้นก่อน

            "อาหารพวกนี้…ข้าเตรียมไว้เผื่อท่านจะอยากรับไว้เป็นมื้ออำลา" เขาหยิบถ้วยสุราขึ้นกรอกเข้าปากหนึ่งคำ ก่อนวางมันลงช้า ๆ แล้วทอดสายตามองแม่นางตรงหน้า ราวกับจะจารทุกความรู้สึกไว้ในแววตานั้น “แม่นางหลินหยา ตลอดเวลาที่ข้าได้รู้จักแม่นาง แม่นางเป็นคนจิตใจดี ซื่อตรงต่อความคิดของตนเอง กล้าหาญและอาจจะโง่เสียบ้างในบางเวลา..” เขาเว้นวรรคยาว ดวงตาคมกริบช้อนมองสบตานางโดยตรง “แต่ก็คือ..คนดีคนหนึ่ง”

            “ทว่าตอนนี้..แม่นางได้ทำร้ายขุนนางราชสำนักผู้มีตำแหน่ง แม้ข้าจะไม่เชื่อว่าแม่นางกระทำการนั้นโดยไร้เหตุผล แต่ในฐานะขุนนางแห่งกฎหมาย ข้าย่อมต้องรับฟังคำฟ้องร้องของจงฉางชื่อมาตรวจสอบ” เขาช้อนมือหยิบขึ้นดื่มอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างแม่นางกับเขาลึกเพียงใด..แต่ข้ารู้ว่ามีบางอย่างที่แม่นางมีเหตุผลทำเช่นนั้นลงไป..แต่ข้าให้แม่นางเลือก”

            มืออีกข้างหนึ่งยื่นตะเกียบให้หลินหยา จนหลินหยารับมาแล้วก็กินอาหารราวกับว่านางรู้อยู่แล้วว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้และยังคงกินอาหารเหมือนราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรืออาจจะเตรียมใจจนนางไม่คิดขัดขืนต่างจากเหล่านักโทษทั้งหลาย หรือคนต้องคดีทั่วไปนัก

            “กินอาหารนี้..แล้วจากไป คืนนี้..ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ข้าจะละเลยกฎหมายครั้งหนึ่ง ยอมแลกชื่อเสียงทั้งหมดที่สะสมมาเพื่อปล่อยให้คนที่ข้า…ที่ข้านับถือ ได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่..” เขาเอ่ยเช่นนั้นออกมา หลินหยากลับจ้องมองใบหน้านั้น นางเหมือนจะเบิกตากว้างที่ได้ยินอะไรเช่นนั้นออกมาจากปากของชายตรงหน้ามากกว่าที่ตนจะโดนคดีเสียอีก

            “หรือจะกลับไปพร้อมกับข้า..ในฐานะผู้ต้องสงสัย..ร่วมกันเผชิญหน้าในศาล..แต่แม่นางต้องรู้ไหม ครานี้แม่นางไม่มีหลักฐาน ไม่มีผู้เห็น ไม่มีคำรับรอง ไม่มีผู้ใดปกป้อง” เอาเอ่ยเสียงแผ่วลง แต่แฝงไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่ขัดแย้งกันซ่อนอยู่ใต้ผิวของตนเอง แววตาของจางทังสะท้อนทั้งความหนักแน่นและความเจ็บปวดที่ถูกกลบลึก ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร...เขาก็จะสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ บรรยากาศบนภูเขาเยือกเย็นยิ่งขึ้น ลมค่ำราวกับพัดพาระลอกคลื่นแห่งการตัดสินใจหอบมาถึง

            เสียงลมค่ำยามไห่หวีดหวิวพลิ้วผ่านใบหลิวดั่งเสียงคร่ำครวญจากโลกเบื้องล่าง เงาของจันทร์ทอดลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนราวแสงที่ชี้ชะตาระหว่างคนสองคน และในช่วงเวลาเงียบงันนั้นเอง เสียงของหลินหยาก็ดังขึ้นเบา ๆ… คล้ายจะเอื่อยเฉื่อย แต่ทุกคำกลับกรีดลึกลงกลางอกผู้ฟัง

            “ข้ารู้อยู่แล้วเจ้าค่ะ..” นางระบายยิ้มบางพลางกินอาหารเต็มปากไปเรื่อย ๆ รอยยิ้มแบบเดียวกับที่เคยล้อเล่นกับชาวบ้านที่ร้านบะหมี่ แต่คราวนี้กลับเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่แตกต่าง มันอ่อนโยนอย่างปวดร้าว และเด็ดเดี่ยวในแบบที่คนยิ้มทั้งน้ำตาเท่านั้นที่จะทำได้ “ข้าเห็นตั้งแต่ท่านเชิญให้ข้าร่วมกินอาหารมื้อนี้..บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นดีทั้งหลาย ก็พอเดาได้แล้วล่ะเจ้าค่ะว่าท่านจะพูดอะไร”

            นางวางมือลงบนตักอย่างสุภาพเคี้ยวอาหารให้หมด ท่าทางไม่เหมือนนักโทษ ไม่เหมือนผู้หลบหนี ไม่เหมือนนางกำนัล หากแต่เหือนหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ยอมรับผลของการกระทำของตนเองอย่างสง่างาม “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้วเจ้าค่ะ ตุลาการพยัคฆ์เหล็ก ใช่ไหมเจ้าคะ?” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเอื่อยดั่งสายลมฤดูปลายวสันต์ “หากท่านต้องละเลยกฎหมายเพราะข้า ข้าคงรู้สึกว่าตนเองเลวทรามยิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้” เสียงนางขาดห้วงไปเล็กน้อย หลินหยาก้มมองต้มไก่ที่ยังอุ่นอยู่ แล้วพูดต่อ

            “ข้าไม่หนีไปหรอกเจ้าค่ะท่านชาย..สิ่งที่เกิดขึ้นมันล้วนเป็นผลจากการเลือกของข้า ข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ไปได้ มันเป็นกรรมซึ่งก็คือผลของการกระทำ ไม่ใช่เพราะข้าไม่อยากหนี แต่เพราะข้าไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนที่ต้องทำผิดต่อตนเองเพื่อช่วยคนที่ท่านไม่ควรช่วย” นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรง ๆ ดวงตานั้นยังคงสดใสแม้ว่าจะเปื้อนไปด้วยพลังชีวิตที่อ่อนลงเพราะพิษในสายเลือดก็ตาม

            “ข้าโง่มากใช่ไหม?..” หลินหยาเอ่ยถาม เสียงนางเบาราวกับกระซิบผ่านลม “เอาจริง ๆ ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนั้นเหมือนกันหรอกเจ้าค่ะ..พอรู้ตัว เลือดของเขาก็อยู่บนมือข้าเสียแล้ว..ข้าแค่คนธรรมดาที่อยากมีชีวิตสงบเงียบ อยากมีข้าวกิน อยากหัวเราะกับผู้คน”

            “แต่มันสายไปแล้วเจ้าค่ะ..มันสายไปตั้งแต่วันแรกที่ข้าเล่นดนตรีให้เขาฟัง..และเดินเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างกล้ำกลืนใจ” นางพูดแล้วระบายยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มที่แม้ไม่สดใสเหมือนเคยแต่กลับงามนัก งามจนแม้แต้สายลมก็พลิ้วอ่อนยลงเพื่อรับฟังมัน และตรงข้ามของนางกลับนิ่งเงียบ

            จางทังนั่งฟังทุกคโดยไม่พูดแทรกแม้แต่ถ้อยคำเดียว ดวงตาของเขานิ่งสงบอย่างไร้รอยร้าว หากสังเกตให้ดี ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้นเล็กน้อย มือซ้ายที่เคยถือถ้วยสุรากลับแน่นขึ้น..ไม่ให้เขาทรยศตัวเอง..จางทังเงยหน้าสบตานาง “แม่นางโง่..อย่างที่ตนพูดจริง ๆ” ดวงตาของเขากระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะคลี่ยิ้มบางเฉียบ รอยยิ้มที่เหมือนทั้งเยาะเย้ยและเจ็บช้ำ “ข้าเสนอหนทางให้แม่นางได้เป็นอิสระ..แต่แม่นางกลับเลือกจะเดินเข้าไปในกงจักรของกฎหมายเองโดยที่แทบไม่มีหนทางรอดเช่นนั้นหรือ?” จางทังเอนตัวเล็กน้อยปล่อยจอกเหล้าลงแบบหนักลงเล็กน้อย

            “แม่นางรู้ไหม..ว่าหากแม่นางหนี ข้าจะไม่มีทางตามล่าแม่นางด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำ..แต่ถ้าแม่นางไปกับข้าคืนนี้..ข้าจะต้องพาแม่นางขึ้นศาลในฐานะนักโทษ แล้วพูดทุกถ้อยคำราวกับไม่เคยมีแม่นางคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างข้าที่ร้านบะหมี่เลยแม้แต่นิดเดียว” เขายกถ้วยสุราขึ้นอีกครั้งแล้วกลั้วคอเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและความสิ้นหวังพอ ๆ กัน

            “แม่นางคือสตรี..ที่ซื่อบริสุทธิ์เกินไป..และแม่นางคือผู้ต้องสงสัยที่ข้าต้องตัดสินอย่างเที่ยงธรรมที่สุด”

            หลินหยาเอียงใบหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มของนางยังคงเจืออยู่บนริมฝีปาก แต่แววตาที่ทอดมองบุรุษตรงหน้าเริ่มมีประกายบางอย่าง ประกายของคนที่ปล่อยทุกอย่างให้ไหลไปตามชะตาโดยไม่ฝืนอีกต่อไป คล้ายแอ่งน้ำใสที่ยอมให้กระแสน้ำพัดพาไปไกล...แต่มิใช่เพราะอ่อนแอ ทว่าเพราะเข้าใจในพลังของมันดี

            “ข้าขอให้เขาฆ่าข้า..” นางเอ่ยเสียงเบาราวสายลม “แต่เขาไม่ทำ..คงเพราะเห็นข้าเป็นแค่ผู้หญิงโง่งม ไร้ค่าไม่พอที่แม้แต่จะให้มือของเขาต้องมัวหมอก..บางทีมันอาจจะเป็นความเมตตา หรืออาจจะเป็นเพราะเขายังไม่อยากให้ข้าตายเร็วเกินไปก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ..” เสียงของหลินหยานั้นไม่เศร้า ไม่โกรธเคือง หากแต่นิ่งดุจผิวน้ำยามค่ำคืนที่แม้ไร้แสงแต่ก็ไม่ว่างเปล่า

            หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะที่ไม่ต่างจากตอนที่เธอเคยคุยกับเด็ก ๆ หน้าเตาไฟ เคยพูดจาหยอกล้อกับเถ้าแก่ร้านบะหมี่ แต่ในครั้งนี้มันแฝงแววของสตรีที่ยืนอยู่ปลายขอบเหวมานักต่อนัก แต่ก็เลือกที่จะเล่นดนตรีบนขอมเหวนั้นเสียเอง “แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด..ข้าไม่เสียใจที่ตนเองทำลงไปเจ้าค่ะ” ดวงตากลมโตคู่นั้นมองตรงมาที่จางทังอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยความแน่นแน่ราวกับขีดเส้นที่ไม่มีใครลบได้

            “ต่อให้ผลลัพธ์คือการโดนประหารชีวิต ข้าก็ไม่หวั่นเลยสักนิด เพราะสิ่งที่ข้าทำได้ สิ่งที่ข้าอยากจะทำ ไม่ว่าโลกนี้จะมองข้าเป็นอะไร ข้าก็ยังจะทำมันอยู่ดี และหากความฝันมันไม่มีทางสำเร็จในชาตินี้ งั้นข้าก็จะอธิษฐานไว้ต่อฟ้า ชาติหน้า ให้ข้าได้กลับมาทำมันอีกครั้งให้สำเร็จ”

            จางทังเงียบงันมาตลอดคล้ายหินที่สั่น แต่เขาไม่ขยับแม้ปลายแขนเสื้อ แต่แววตาภายใต้เงานั้นกลับเงียบงันเสียจนแทบได้ยินเสียงคลื่นในอก เขาพยักหน้าเพียวงเล้กน้อยแล้วกล่าวเบา ราวกับลมแทรกต้นสด

            “อย่าหลบตาข้าเมื่อแม่นางอยู่บนแท่นพิพากษา…เพราะถึงข้าจะไม่ได้ทำในตอนนี้..หากชาติหน้าที่แม่นางพูดถึงนั้น ข้าจะรอดูว่าแม่นางจะกล้าพูดประโยคเดิมนี้ต่อหน้าข้าเมื่อนั้นไหม” ชายหนุ่มผู้ผดุงกฎหมายกล่าวเสียงเย็น แต่ในน้ำเสียงเย็นนั้นกลับมีบางสิ่งแปลกประหลาดเกินบรรยาย คล้ายกับสัญญาของปีศาจที่ยอมขังตนอยู่ในนรกเพื่อรอใครบางคนกลับมาอีกครั้งในชาติภพหน้า..และไม่กล้าบอกว่าเขาแค่อยากเห็นแค่แววตาของนางเท่านั้น..และหากมันถึงจุดที่นางต้องคอขาดสะบั้น..เขาแทบคิดไม่ออกว่าจะทนเห็นภาพนั้นได้หรือไม่

            ลมเย็นโชยเฉียดผ่านต้นฉินหลิงที่อยู่รอบข้าง นางสะบัดหน้าเล็กน้อย ความวิงเวียนบางเบาแล่นขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายคลื่นหมอกเคลือบสายตา ก่อนที่ในชั่วขณะหนึ่งนั้นเอง...เสียง ‘หยด’ เล็ก ๆ ก็ดังแผ่วอย่างน่าประหลาด หยาดสีแดงคล้ำหนึ่งหยดตกลงกระทบมือที่วางอยู่บนตัก แล้วอีกหยดก็ตามมา หยดที่สองนั้น...หลินหยาเห็น นางชะงัก ฝ่ามือรีบยกขึ้นแตะที่ใต้จมูกก่อนจะเห็นรอยเลือดสีแดงจางติดปลายนิ้ว

            “...อ๊ะ” หญิงสาวอุทานเบา ๆ ขณะรีบหันหน้าหลบไปทางเงาไม้ ไม่ให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าหันมาเห็น เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนบางที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาซับเร็ว ๆ ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนเบา ๆ “แค่เลือดกำเดาเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรหรอก พอดีข้า...ร่างกายอ่อนแอหน่อยช่วงนี้” น้ำเสียงยังคงนุ่มนวล สดใส เหมือนคนไม่คิดอะไร ทว่าแววตาคู่นั้นกลับฝืนยิ่งกว่าสิ่งใด หลินหยาเบี่ยงตัวนิดหน่อย พอให้ลมหนาวตีกลับมาแตะแก้มหวังจะบรรเทาอาการเวียนศีรษะ เส้นผมสั้นสยายหลุดจากรัดเบา ๆ ปลิวไปตามแรงลม นางพยายามข่มความมึนงงและแรงปวดเล็ก ๆ ที่แล่นจากต้นคอลงไหล่ เหมือนมีบางสิ่งกำลังแล่นลึกเข้าไปในร่าง






@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -

รางวัล: +50 ความหิว
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-09] จาง ทัง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-09] จาง ทัง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-26 19:58
โพสต์ 28145 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-26 19:28
โพสต์ 28,145 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-26 19:28
โพสต์ 28,145 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-26 19:28
โพสต์ 28,145 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-26 19:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
โพสต์ 2025-6-29 02:57:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด




สวรรค์สั่งให้ท่านคายหม้อไฟนั้นมา
-12-


          วันที่ 28 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 — เทือกเขาฉินหลิง 


          อาภรณ์ผ้าฝ้ายหยาบสีเทาเรียบง่ายช่วยอำพรางฐานันดรศักดิ์ของซ่างกวนเหม่ยเหรินได้อย่างมิดชิด กระโปรงยาวเลยเข่าช่วยให้ก้าวเดินคล่องแคล่วยิ่งขึ้น ผมที่เคยถูกมุ่นสูงปักปิ่นหรูหราบัดนี้ถูกรวบเป็นมวยหลวมๆ ซ่อนใต้ผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกัน ยามเคลื่อนไหวย่อมไร้เสียงกระทบจากพวงหยกประดับเอว ดรุณีน้อยในคราบชาวบ้านเดินตามบุรุษชุดคลุมดำสนิทผู้มีผ้าคาดหน้าปิดบังส่วนล่างของใบหน้าอย่างเงียบงันไปทางท้ายตำหนักเว่ยหยาง ในมือถือเพียงถุงผ้าเล็กๆ ซึ่งบรรจุโร่วเจียหมัวนำไปเป้นเสบียงให้โจรลักพาตัว(?) และปิ่นปักผมหยกและหยกดอกท้อที่ใช้ในการประดับเส้นเอ้อร์หูคู่ใจ ใบหน้าใต้หน้ากากทองคำยังคงแฝงแววสับสนเคลือบแฝงความน้อยใจริ้วบาง


          ไม่คิดเลยว่าจะโดนดุใส่เช่นนั้นเพียงเพราะตนเองซุ่มซ่าม ชุดเหลืองใจดำผู้นี้บอกให้ตน “ทิ้ง” ความตั้งใจตลอดสามวันเสียอย่างไม่ไยดี


          ก้าวยาวๆ ของบุรุษร่างสูงพาไปถึงบริเวณซึ่งมีอาชาพ่วงพีเดียวผูกรอไว้ ช่างน่าแปลกใจนัก! เขาจะให้สตรีนางเดียวควบม้าออกนอกวังหรือยามวิกาลเช่นนี้? หรือนางควรจะกังวลว่าตนเองจะถูกลอบสังหารทิ้งเสียที่ใดที่หนึ่งกัน? ทว่าความคิดนี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเขาก้าวขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหันมาส่งสายตาเชิงบังคับให้นางขึ้นตาม ซ่างกวนฝูมี่ลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนจะจำใจปีนขึ้นนั่งด้านหน้าโดยมีแผงอกกว้างเป็นกำแพงกั้น 


          นางกระชับถุงผ้าในมือแน่น ไม่ทันคิดให้ถ้วนถี่ ข้าที่ควรจะเป็นภาระ เหตุใดจึงได้ร่วมทางไปกับเขาด้วยเล่า? แล้วที่เขาว่าเป็นสามีภรรยากัน… นั่นมิใช่คำพูดเล่นกระมัง? ไม่เอา! ใครจะอยากไปเป็นภรรยาเสือร้ายหลุดกรงเช่นนี้


          แรงกระตุ้นจากขาของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังทำให้ม้าออกวิ่ง นางหันไปมองชั่วครู่ เห็นเพียงดวงตาที่คมปลาบในความมืด… ไม่ ไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ ความรู้สึกนี้ ทำให้ความสงสัยเกี่ยวกับตัวเขาผุดขึ้นในใจอย่างห้ามไม่ได้ ไม่เหมือนหลิวเช่อคนที่นางเคยเห็นเลยสักนิด ไม่ว่าจะลักษณะนิสัย หรือแม้กระทั่งดวงตา ความรู้สึกอึดอัดคลุมเครือทำให้บรรยากาศยิ่งเงียบงันลงไปอีก


          ระยะทางจากตำหนักเว่ยหยางไปยังเทือกเขาฉินหลิงในยามที่ม้าฝีเท้าดีควบอย่างไม่เร่งรีบนักใช้เวลาไม่นานนัก ยามนี้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำใกล้ลับเหลี่ยมเขา แสงสีส้มแดงทาบทาผืนฟ้า งดงามน่าเศร้าหมอง ราวกับกำลังร่ำลาโลกในแต่ละวัน อาภรณ์ที่ทรงประทานให้เบาพริ้ว ทำให้ยามลงจากม้าเดินขึ้นเขามิได้ยากลำบากเท่าชุดเหม่ยเหริน ทว่าก้าวย่างของสตรีนางนี้ย่อมช้ากว่าบุรุษอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเขามิได้เหลียวแล สนใจ หรือเอ่ยบทสนทนาอีก 


          ไม่เลย เขาเพียงออกเดินขึ้นสู่ยอดเขาไปอย่างมั่นคง ทิ้งนางไว้เพียงลำพังกับบรรยากาศของธรรมชาติยามพลบค่ำและเสียงลมพัดหวีดหวิวเบาๆ


          โอ๊ย!! อึดอัดใจ!! ลู่เจี่ยเจีย… เว่ยเจี่ยเจี่ยเจีย.. ข้าถูกคนเขารังแกอีกแล้ว!! 


          ความน้อยใจริ้วบางเมื่อครู่พลันขยายตัวขึ้นอีกครั้ง คล้ายเขากำลังบอกว่านางไม่สำคัญ ไม่มีค่าให้ใส่ใจ หรือรอคอย ไม่แม้แต่จะถามไถ่ความรู้สึกจากการกระทำของตน ความเสียใจจากการทำหม้อไฟแปดเซียนที่บรรจงทำสุดกำลังแล้วถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ความหมายยังคงเจ็บปวด หากเพียงเขามองสักนิด ถามสักคำ หรือกระทั่งแตะต้องมัน… แต่ไม่เลย คำเดียวที่ได้ยินคือ “ทิ้งไปเถอะ” ช่างเย็นชาจนแทบแข็งเป็นน้ำแข็ง น้ำเสียงราบเรียบนั้นสะท้อนอยู่ในหูราวกับเสียงสะท้อนจากก้นบ่อลึก ความพยายามทั้งหมด ความหวังที่จะมอบสิ่งดีๆ กลับกลายเป็นขยะในสายตาเขาเสียแล้ว 


          ‘…คงคิดว่าข้าอ่อนแอถึงเพียงนั้น ถึงได้ปฏิบัติด้วยราวกับวัตถุ ไร้ซึ่งหัวใจและความรู้สึก’ คิดพลาง ก้าวเท้าบอบบางขึ้นตามไปช้าๆ มองเห็นร่างบุรุษที่อยู่ห่างออกไปลิบๆ ไม่เร่งเร้าให้ทัน ด้วยทราบดีว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องมีธุระบนนั้นแน่นอน การรั้งรอของตนอาจทำให้นางได้คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นสักพัก ‘เขามิได้ใส่ใจข้าที่ตามมาเลยสักนิด หรือว่าความหมางเมินนี้เพราะเห็นข้าเป็นเพียงสายลมใบหญ้าประดับเทือกเขา?’


          กว่าธิดาเจ้ากรมอากรจะเดินขึ้นไปถึงยอดเขา แสงตะวันลับขอบฟ้าไปจนหมดแล้ว ทั่วทั้งบริเวณถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดและแสงดาวระยิบระยับเหนือศีรษะ ที่นั่น บนโขดหินขนาดใหญ่กลางลานโล่งบนยอดเขา บุรุษชุดดำนั่งขัดสมาธิ หลับตา สองมือวางไว้บนเข่า สัมผัสได้ถึงลมปราณอันแข็งแกร่งที่หมุนวนอยู่รอบกาย แม้ในความมืดสลัวยังเห็นแสงเรืองรองสีทองจางๆ ค่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างเขาราวกับแสงอาทิตย์ที่รวมตัวอยู่ที่นี่ ดวงตาที่มองเห็นพลังปราณและวิญญาณพลันจับจ้อง แสงนั้นแข็งแกร่งทรงพลัง… พลังแห่งจักรพรรดิมังกรอันน่าเกรงขาม ยิ่งเวลาผ่านไป แสงสีทองนั้นยิ่งเจิดจ้าราวกับจะขับไล่ความมืดรอบด้าน แสงสีทองอบอุ่นราวกับอ้อมกอดอันแข็งแกร่งจากเทพมังกรด้วยปราณสวรรค์


          “เจ้า… บรรเลงดนตรีให้ข้าฟัง”


          น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงอำนาจสั่งการดังขึ้น แม้หลับตา นางทราบว่าเขารับรู้ถึงการมาถึงของนางแล้ว ร่างเน่งน้อยพยักหน้าเบาๆ นั่งลงห่างออกไปเล็กน้อย เปิดถุงผ้า หยิบเอ้อร์หูตัวโปรดออกมาบรรจงตั้ง คลึงนิ้วกับเส้นสาย ตรวจสอบความพร้อม ก่อนจะจรดคันชักลงบนสายอย่างแผ่วเบา


          เสียงเอ้อร์หูที่เคยแผ่วหวานดุจเสียงกระซิบของสายลมในสวนดอกไม้ บัดนี้แฝงความเศร้าสร้อย ระคนความอ้างว้าง เสียงลากคันชักแต่ละครั้งเปรียบดังเสียงสะอื้นในใจ ยามใดบรรเลงท่วงทำนองแห่งความผูกพัน คิดถึงครอบครัว คิดถึงผู้คนในเมืองลั่วหยาง เสียงดนตรีจะหวานใสปานหยดน้ำค้างยามอรุณรุ่ง ทว่ายามนี้นางคิดถึงหม้อไฟแปดเซียนที่แตกกระจายบนพื้นหิน คิดถึงสายตาเฉยเมยและคำว่า “ทิ้งไปเถอะ” อีกครั้งหนึ่งในใจพลันจมดิ่งลงสู่ความเศร้า เสียงเอ้อร์หูจึงเต็มไปด้วยความน้อยใจ ความเสียใจ ความเจ็บปวดรวดร้าว… ‘สิ่งที่ข้าตั้งใจมอบให้ท่านกลับไร้ค่าเพียงนี้ ความหวังดีกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจในสายตาของท่านกระนั้นหรือ?’ 


          บทเพลงไหลเรื่อยออกมาไม่ขาดสาย ไม่หวังให้เขาได้ยินถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ เพียงขอให้ได้ระบายความอัดอั้นในใจออกมาผ่านเส้นเสียงเหล่านี้ ยามนี้สายตาพิเศษของนางมองเห็นเพียงแสงสีทองอร่ามจากร่างของเขาและหิ่งห้อยนับร้อยตัวที่เริ่มล่องลอยออกมาจากพุ่มหญ้า เปล่งแสงเรืองรองราวกับดวงดาวบนดิน แสงสีทองของมนุษย์และแสงสีเขียวอมเหลืองของสิ่งมีชีวิตแห่งรัตติกาล เคล้าคลอไปกับเสียงเอ้อร์หูเศร้าๆ


          เพราะความเศร้าทำให้นางไม่ทันเอะใจว่ามนุษย์ทั่วไปควรมีเสาสีทองเรืองแสงออกจากตัวเช่นนี้ด้วยหรือ?

          ฝูมี่ความรู้สึกช้า… นางคล้ายลืมไปแล้วว่าแสงอลังการเบื้องหน้าก็คือรูปแบบเดียวกันกับบุรุษผู้ช่วยชีวิตตนริมหน้าผา


          เวลาผ่านไปเนินนาน… เสียงเอ้อร์หูหยุดลงพร้อมกับการที่แสงสีทองบนร่างบุรุษเริ่มจางหายไป เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาที่เคยคมปลาบกลับดูอ่อนโยนลงกว่ายามแรกที่เห็น เขาผ่อนลมหายใจเบาๆ คล้ายเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจอันหนักหน่วง


          “เจ้าเล่นได้ดี… บทเพลงเมื่อครู่ฟังแล้ววังเวงนัก”


          ‘ในสายตาท่าน ต่อให้ข้าทำอะไรก็ล้วนมีจุดตำหนิสินะ…’ ดรุณีไม่ได้ตอบคำกล่าวชมนั้น ร่องรอยแห่งความอ่อนล้าจากการเดินทางและเรื่องราวที่ค้างคาในใจ ‘ข้ากำลังโกรธเขากระนั้นหรือ? หรือเพียงแค่เศร้าใจ?’ นางมองไปที่หิ่งห้อยที่กำลังร่ายรำอย่างงดงามเหนือกองหญ้า แสงเล็กๆ เหล่านั้นส่องสว่างในความมืดมิด ดุจความดีงามเล็กๆ น้อยๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยความอคติ


          “มีนิทานพื้นบ้านเล่าว่า… ครั้งหนึ่งมีชายใจดีปลูกต้นไม้ดอกอันงดงาม หวังให้ผู้คนเดินผ่านไปมาได้ชื่นชมและเก็บไปประดับเรือน ทว่าผู้คนกลับพากันตำหนิว่าดอกไม้ส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนรบกวนการนอน เขาจึงต้องโค่นทิ้งเสีย… บางคราความหวังดีและความปรารถนาดีก็ไม่อาจสื่อไปถึงผู้รับได้ทั้งหมด กลับกลายเป็นความเข้าใจผิดไป”


          นางเปรียบเปรยเบาๆ ไม่ได้มองใบหน้าของเขา เพียงกวาดสายตามองไปยังทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยแสงหิ่งห้อย นางจะไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าน้อยใจที่เขาทำเช่นไรกับหม้อไฟแปดเซียน จะไม่บอกว่าตนเองเจ็บปวด แต่จะใช้ถ้อยคำเหล่านี้ให้เขาครุ่นคิดเอง


          บุรุษร่างสูงที่นั่งบนโขดหินนิ่งไปชั่วขณะ สายตาที่จับจ้องใบหน้าของนางดูมีแววลึกซึ้งบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เดิมทีเข้าใจว่าสตรีเช่นนี้เพียงสงบเสงี่ยมอยุ่นิ่งๆต่อให้ไม่พอใจสิ่งใดก็ยังไม่พูดออกมา ที่แท้ลูกกระต่ายก็ยังขุ่นใจเป็นด้วย? หรืออาจจะเป็นเพียงความเหนื่อยล้าที่ทำให้นัยน์ตาเขาเปลี่ยนไป “เรื่องหม้อไฟ… เจิ้นเพียงเกรงว่าเน่ยตานปีศาจนั้นจะปนเปื้อน” เขาอธิบายเสียงเรียบ แต่แววตาไหววูบเล็กน้อย “ไม่ได้มีเจตนา… ทำร้ายความรู้สึกเจ้า”


          คำพูดที่นางรอคอย แม้จะไม่ใช่คำขอโทษตรงๆ แต่ก็ทำให้จิตใจที่บอบช้ำของนางคลายลงเล็กน้อยอย่างน่าประหลาด ‘เขารู้สึกเสียใจหรือ? หรือเพียงพูดไปตามมารยาท? ผู้ที่อยู่เหนือชนนับหมื่นที่แท้.. ก็สำนึกเป็น’


“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ” นางรับคำสั้นๆ พร้อมยิ้มบางๆ ตามปกติ “บางครั้งผู้มองเห็นความดีงามเล็กๆ กลับเป็นผู้อยู่ห่างไกลมิใช่เจ้าของสิ่งที่พยายามรักษามันไว้ นางกล่าวเสริมอีกประโยคเบาๆ หมายถึงเน่ยตานปีศาจที่ตนเองสัมผัสถึงพลังได้ และจักรพรรดิ์หลิวเช่อผู้ที่มิอาจมองเห็นได้


          “ถ้าชอบทำอาหาร… คราวหน้าก็นำมาให้เจิ้น” เขาเอ่ยปากอีกครั้ง พร้อมยื่นมือออกมาคล้ายต้องการให้นางรับอะไรบางอย่าง ซ่างกวน ฝูมี่เงยหน้าขึ้นสบตา ทราบในทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีสิ่งใดจะมอบให้ นอกเสียจากต้องการให้นางรับน้ำใจจากเขาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป นางคลี่ยิ้มบางๆ และพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับแต่จะลงมือทำด้วยใจแบบรอบก่อนไหมนั่นอีกเรื่อง… นั่นเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและสะดวกที่สุดยามนี้นอกเสียจากจะเอ่ยปากใดใดอีก


          ฝูมี่ก็เป็นเช่นนี้.. คนในจวนซ่างกวนรู้ดีว่านางไม่เคยทำสิ่งที่สูญคุณค่าเปล่าถึงสองครั้ง


          ค่ำคืนล่วงเข้ามา ความเงียบกลับคืนสู่เทือกเขาแห่งนี้อีกครั้ง มีเพียงเสียงหิ่งห้อยกระซิบแผ่วเบาในพุ่มหญ้า และแสงดาวที่เจิดจรัสเหนือท้องฟ้า บุรุษและสตรีคู่นั้นลงจากยอดเขาช้าๆ เดินไปยังจุดที่ม้าผูกอยู่ จักรพรรดิ์หลิวเช่อขึ้นม้าก่อนและส่งมือให้นางขึ้นตามไปเช่นเดียวกับคราแรก ซ่างกวน ฝูมี่นั่งอยู่ด้านหน้า สองมือประสานไว้ที่ตัก ดวงตาจับจ้องไปยังทางเบื้องหน้า คล้ายจะบอกกับตนเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน


          ม้าฝีเท้าดีออกวิ่งอีกครั้ง พาคนทั้งสองกลับคืนสู่เส้นทางสู่เมืองฉางอัน ในยามค่ำคืนเช่นนี้คงต้องเดินทางอีกพักใหญ่… สตรีชุดพื้นเมืองเอนหลังพิงแผงอกกว้าง ค่อยๆ ปล่อยกายให้ผ่อนคลาย ปล่อยใจให้ไหลไปตามจังหวะการวิ่งของม้า ขอให้การเดินทางยามวิกาลนี้จงพัดพาความขุ่นข้องหมองใจไปเสียให้สิ้น


          “คราวหน้า.. โปรดให้หม่อมฉันได้ขี่ม้าด้วยตัวเองนะเพคะ” ขี่ช้าไม่ทันใจเลย..


          อีกไม่นาน คงได้กลับไปพักผ่อนแล้ว….





          วันที่ยี่สิบสี่ เดือนแปด รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่สิบ — พระตำหนักเว่ยหยาง


          วสันต์ฤดูยังคงคลอเคลีย กลิ่นดอกไม้แรกแย้มพลิ้วผ่านหน้าต่างไม้แกะสลัก หลังการกลับจากค่ำคืนบนขุนเขาฉินหลิงเพียงไม่กี่วัน ราชโองการเลื่อนขั้นได้ร่อนมาถึง สตรีผู้เคยถูกเรียกขานว่าซ่างกวนเหม่ยเหรินบัดนี้มีฐานันดรศักดิ์สูงขึ้นเป็นซ่างกวนเจียอวี้ แม้จะขึ้นมาเป็นถึงตำแหน่งพระสนมขั้นสาม หากหน้าที่ในพระตำหนักเว่ยหยางอันเป็นที่ประทับของหวงช่างยังคงไม่แปรเปลี่ยน 


          นางยังคงเป็นเช่นเดิม... เป็นผู้ที่ต้องคอยถวายงานรับใช้เบื้องพระบาทเฉกเช่นนางสนองพระโอษฐ์ผู้ภักดี  ‘ฐานะสูงขึ้นก็มิได้แปลว่าใจจะสบายขึ้นยังคงต้องทำงานอยู่ดี’


          นางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่ในตำหนักปีกที่ประทานให้ มิได้ออกไปคลุกคลีกับภายนอกมากนัก หากมีเพียงหน้าที่อบรมสั่งสอนนางกำนัลน้อยใหญ่ที่อยู่ใต้การดูแล ให้พวกเธอเป็นผู้มีระเบียบวินัย งดงามตามวิถีสตรีในวังหลวง ราวกับพยายามปั้นแต่งโลกเล็กๆ ภายในให้สงบงัน ไร้มลทิน ท่ามกลางคลื่นลมทางการเมืองที่ไม่เคยสงบลง มือเล็กบรรจงปักผ้าไหมด้วยเข็มเล่มเล็ก ฝีมือที่เคยเป็นเพียงงานอดิเรกในวัยเยาว์บัดนี้เข้าขั้นอาจารย์ ลายปักของนางอ่อนช้อยงดงามราวภาพวาด มักสอดแทรกกลิ่นอายแห่งธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ป่า นกกระเรียนที่กำลังโบยบิน หรือสายน้ำที่กำลังไหลริน งานปักแต่ละชิ้นเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ถึงกับมีเหล่าขันทีและนางในนำไปลักลอบประมูลกันอย่างเงียบๆ 


          บางครั้งลมก็พัดพาข่าวสารจากภายนอกเข้ามาสู่กรงทองนี้ นางได้ยินเรื่องราวการเลื่อนขั้นของลู่ไป๋หรั่นที่บัดนี้เป็นลู่เจี๋ยอวี้ หรือเว่ยเจียเหลียนฮวาที่กำลังได้รับการจับตามอง 


          ‘…ยินดีด้วยนะ พี่สาวลู่ พี่สาวเว่ยเจีย ขอให้ท่านทั้งสองปลอดภัยในวังวนนี้’ รู้สึกยินดีกับสหายที่เธอรักเหมือนพี่สาวร่วมอุทร แม้จะห่างไกล ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเจอ หรือพูดคุยปรับทุกข์ดังเช่นวันวานที่เมืองลั่วหยาง ‘…วังหลวงใหญ่เพียงนี้ ใกล้กันเพียงนี้ เหตุใดยังรู้สึกห่างไกลกันนักนะ?’


          เวลาล่วงไปราวหนึ่งเดือนนับตั้งแต่คืนบนเทือกเขา ราตรีอันมืดมิดเริ่มกลายเป็นห้วงเวลาที่ทรมานสำหรับ ซ่างกวนเจียอวี้ เมื่อใดที่นางต้องก้าวออกไปนอกวังหลวง ความรู้สึกหวาดหวั่นจากสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็นก็เข้าครอบงำ หลอกหลอนในความฝันจนไม่สามารถหลับตาลงได้อย่างสงบ แรกเริ่มเป็นเพียงอาการสะดุ้งตื่นยามดึก หากเนิ่นนานเข้า ความเหน็ดเหนื่อยจากการไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริงก็เริ่มกัดกินร่างกายนาง อาการเลวร้ายลงเรื่อยๆ 


          จนกระทั่งวันหนึ่ง… ซ่างกวน เจียอวี้ ก็ล้มป่วยลงอย่างกะทันหันด้วยอาการที่ไร้คำอธิบาย


          ข่าวนางสนมซ่างกวนเจียอวี้ ป่วยด้วยโรคลึกลับ แพร่สะพัดไปทั่วบริเวณพระตำหนักเว่ยหยางอย่างรวดเร็ว ร่างบอบบางหลับใหลไร้การเคลื่อนไหวบนเตียง นางนิ่งสนิทประดุจรูปปั้นหยก แม้ใครจะพยายามปลุกเท่าใดก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง หวงช่างทรงเป็นห่วงได้มีพระบัญชาให้หมอหลวงเข้าตรวจดูอาการ พวกหมอหลวงต่างระดมความรู้ ใช้สรรพวิชาทั้งหมดที่มี แต่ก็จนปัญญา หาสาเหตุแห่งอาการหลับใหลนี้มิได้ 


          ราวกับว่าวิญญาณยังอยู่ หากแต่ถูกกักขังไว้ในที่แห่งหนไหน ร่างคนหายใจรวยริน ทว่าไม่มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้น


          ข่าวความป่วยไข้ของบุตรีสุดที่รักไปถึงจวนของตระกูลซ่างกวน ซ่างกวน ซีโหลว และไป๋หลี่ เสวียนอี พยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ราชเลขาซีเยี่ยนทุ่มงบประมาณในการตามหาหมอมากฝีมือมารักษาน้องสาวด้วยอำนาจและการเส้นสายของตระกูลอันยิ่งใหญ่ หากแต่ไม่มีสิ่งใดสามารถกระตุ้นให้ร่างที่แน่นิ่งตื่นจากนิทราได้เลย 


          ความห่วงใยจากผู้ใกล้ชิดและผู้ห่างไกลหลั่งไหลเข้ามา ทว่าไร้ซึ่งความหมายใดๆ ต่อร่างที่ไร้การรับรู้


ความกังวลแผ่ขยายไปถึงพระกรรณของไทเฮา ผู้ซึ่งทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับมารดาของฝูมี่ ด้วยความสงสารและห่วงใยหลานสาวของสหาย จึงมีพระเสาวนีย์ให้ประทานโลงแก้วอันงดงามซึ่งใช้สำหรับรักษาอุณหภูมิร่างกายเผื่อว่าเมื่อใดที่ ซ่างกวนเจียอวี้ ฟื้นคืนสติร่างกายจะได้ไม่บอบช้ำอ่อนแรงจนเกินไป 


          นี่คือโลงศพของข้าในอีกรูปแบบหนึ่งหรือไร…??


          ภายใต้ความห่วงหาอาทรและบรรยากาศอันอึมครึม ฝูมี่ยังคงหลับใหล... ลึกลงไปในห้วงแห่งฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด นางนอนนิ่งอยู่ในโลงแก้วประดุจดรุณีนิทราท่ามกลางวังวนความวุ่นวายในราชสำนัก ลมหายใจแผ่วเบา ยังคงมีกระแสของชีวิต หากแต่ดวงตาที่เคยเปี่ยมประกายงดงามบัดนี้ยังคงปิดสนิท… ไม่มีใครทราบได้ว่านางจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด หรือสิ่งใดที่กำลังพันธนาการวิญญาณของนางไว้เช่นนี้ 


          ‘…วังหลวงแห่งนี้ กำลังกลืนกินข้าไปอย่างช้าๆ ใช่หรือไม่?’ 


          และแล้วก็ได้พักนอนเป็นผักสมใจ





[NPC-01]

+20 ความสัมพันธ์จากค่าชื่อเสียง หัวดี

+5 ความสัมพันธ์ พูดคุยประจำวัน

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


+ ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ สีซอให้เต้ฟัง +15 บารมี

+ ปลอมตัวเที่ยวฉางอันกับหวงตี้ 1 วันเต็ม +30 บารมี

+ ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์หัวใจหวงตี้หรือไท่โฮ่วเพิ่มขึ้น 1 ดวง +50 บารมี

+ 1 ปรนนิบัติเฝ้าเต้ฝึกวิชา


เอฟเฟคพรสวรรค์ลาภลอย : มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

สถานะ : เงื่อนไขครบเลื่อนฐานะ เจี๋ยยวี๋


@Admin 

        








แสดงความคิดเห็น

((ลืมส่งชุดเหม่ยเหรินคืนกรม))  โพสต์ 2025-6-29 10:41
คุณได้รับ +95 คุณธรรม โพสต์ 2025-6-29 10:38
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 10 โพสต์ 2025-6-29 10:38
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-6-29 10:35
โพสต์ 73756 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-29 02:57

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +1 ย่อ เหตุผล
Admin + 1

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดฉิงโหรว(เจียยวี่)
มีดแล่เนื้อ
เอ้อหู
ลาภลอย
หน้ากากอำพรางภูต
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x5
x5
x2
x15
x5
x1
x4
x2
x2
x3
x18
x7
x1
x30
x5
x22
x7
x3
x2
x5
x6
x1
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 15:56:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ นอกจางอัน เทือกเขาฉินหลิง


เสียงฝีเท้าเบาบางเคลื่อนตัวผ่านหมู่ไม้บางเฉียบของแนวป่าเหนือสันเขา ขับเน้นท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงสายลมยามบ่ายพัดลอดยอดสนโบกไหวเป็นระลอก ร่มเงาเคลื่อนไหวบนพื้นหินสลับเงาแดดราวบทเพลงของเทพยดาที่กำลังบรรเลงอย่างเงียบเชียบ ร่างของหญิงสาวในชุดเรียบง่ายก้าวอย่างระมัดระวังจนมาถึงเชิงหน้าผา สถานที่สูงชันที่สุดของเทือกเขาฉินหลิง...และเป็นครั้งแรกที่หลินหยาได้เหยียบยืนที่นี่ด้วยหัวใจเต้นถี่ ร่างสูงในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มยืนหันหลังให้เธออยู่ริมขอบผา ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยตามสไตล์บุรุษสูงศักดิ์ ด้านหลังนั้นเปล่งรัศมีสงบนิ่ง หากไม่ทราบมาก่อน หลินหยาคงคิดว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงขุนนางผู้เงียบขรึมผู้หนึ่ง...หาใช่จางกงกงไม่


เสียงฝีเท้าแผ่วเบาไม่ได้ทำให้เขาหันกลับ หากแต่ริมฝีปากภายใต้หน้ากากกลับขยับเอ่ยอย่างเชื่องช้า “แม่นางมาแล้วหรือ” ส่วนหลินหยาได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนตอบรับ “เจ้าค่ะ มาแล้วเจ้าค่ะ…ท่านชายห่าวหมิงมานานแล้วสินะเจ้าคะ” เอ่ยพลางเดินไปหาเขาเหมือนตามปกติเพราะนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนด้านข้างคือชายที่นางไม่อาจอยากพบหน้าในตอนนี้


“มองสิ” เสียงของเขาราบเรียบ แต่แฝงด้วยแรงสั่นสะท้านแปลกประหลาด ราวกับกำลังพยายามสะกดบางสิ่งในตัวเองไว้ เขายังคงหันหลังให้ ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปช้า ๆ ปลายนิ้วชี้ไปยังเบื้องล่าง “จากตรงนี้...เจ้าจะเห็นเมืองฉางอันทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่จวนโอวหยาง ศาลาว่าการ โรงอุปรากร…หรือแม้แต่หอว่านหงเหรินข้ารู้ว่าข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยเสียงวุ่นวาย ทั้งคำด่าทอ ความเกลียดชัง ความโง่เขลา...แต่พออยู่ตรงนี้ ทุกอย่างกลับ...ดูเงียบลงเสียหมด”


ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ปลายผ้าคลุมของเขาปลิวสะบัดเบา ๆ และในขณะเดียวกัน ดวงตาของเขาที่หลุบต่ำลงใต้หน้ากากก็ฉายแววที่ไม่อาจอธิบายได้ แววตาที่เฝ้ามองแม่นางผู้นั้นมาแต่ไกล ผ่านม่านฝน ผ่านความโกลาหล ผ่านภาพจำมากมายทั้งยามที่เธอหัวเราะ ร้องไห้ หรือล้มลงสู้ชีวิตจนมือเปื้อนเลือดของตัวเอง "แม่นางหลินหยา..." เสียงทุ้มต่ำแผ่วออกมา ขณะที่เขายังคงมองฉางอันเบื้องล่าง “เจ้ากลัวความสูงหรือไม่”


หลินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ยกมือกอดอกเบา ๆ "ก็ไม่ค่อยเท่าไรเจ้าค่ะ...แต่ถ้าให้วิ่งเล่นบนขอบผาคงไม่ไหว"


“อืม...น่าเสียดาย” เขากล่าวอย่างเรียบเย็น ราวกับกล่าวเรื่องการเดินเล่นในสวนหิน ก่อนที่จะแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย “เพราะหากเจ้าตกลงไปตอนนี้ คงไม่มีใครรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ...หรือความตั้งใจ” คำพูดนั้นลอยในอากาศอย่างแผ่วเบา ราวกับลมพัดผ่านหูโดยไม่ทิ้งร่องรอย หากแต่น้ำเสียงของเขากลับไม่ได้เจือเย้าแหย่ แต่เป็นความจริงอันเรียบนิ่งที่แฝงความคลุ้มคลั่งลึก ๆ อยู่เบื้องล่าง


ใบหน้าคมดุในยามนิ่งขรึมใต้หน้ากากยิ่งขับให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าเมตตาแต่ก็ไม่ใช่ความเกลียดเขามองหลินหยาอย่างพินิจ ราวกับกำลังจำใบหน้านี้ให้แม่นยำมากยิ่งขึ้นอีก แม่นยำพอที่จะหากนางหายไปจากโลกนี้ เขาก็ยังสามารถปั้นภาพขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่ตกหล่นแม้แต่รอยแผลบนริมฝีปาก “ข้าอยากให้เจ้ามาที่นี่…เพื่อจะได้เห็นความงามของฉางอันจากที่ที่ไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงเจ้าได้” เขาเดินเข้าไปช้า ๆ ยืนข้างนางไม่ไกลนัก แล้วก้มลงเล็กน้อย จ้องดวงตาของหลินหยา 


ความบิดเบี้ยวเช่นนั้น...มันอยู่ในแววตาของจางกงกงเสมอและหลินหยาที่หายใจลึกพลางสบตาเขาอย่างไม่ลดละในตอนนี้...อาจรู้...หรืออาจยังไม่รู้ ว่านางกำลังยืนอยู่บนปลายดาบของใคร สายลมเย็นเฉียบยามย่ำบ่ายกรีดผ่านผิวกาย คล้ายพัดไล้เส้นผมดำขลับของทั้งสองที่ยืนอยู่บนขอบผาเบื้องสูง ท้องฟ้าเหนือเทือกเขาฉินหลิงในยามนี้มิได้สดใส แต่กลับขุ่นมัวราวกลั้นพายุไว้ในครรลอง "เจ้าว่าทิวทัศน์ที่นี่งดงามหรือไม่?" น้ำเสียงเขาเรียบแต่ไม่ไร้อารมณ์ ชวนให้รู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังคืบคลานอยู่ภายใต้รอยยิ้มที่มองไม่เห็น


หลินหยากะพริบตาช้า ๆ เงยหน้าขึ้นสบสายตาของอีกฝ่ายครึ่งวินาที ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกล่าวตอบเสียงนุ่ม “เจ้าค่ะมันงดงามมาก...เหมือนเห็นฉางอันทั้งหมดด้วยสองดวงตาเดียวเลยเจ้าค่ะ”


ดวงตาของจางกงกงเบื้องหลังหน้ากากครึ่งหน้ายิ่งจับจ้องภาพนั้นด้วยความกระหาย ริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มเพียงเสี้ยว แทบไม่เห็น หากแต่สัมผัสได้ว่ามันกำลังแปรเปลี่ยนจากความเยือกเย็นไปสู่ความทะเยอทะยานอันไม่อาจควบคุม “ในรัชสมัยต่อไป...เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่..ว่าข้าจะเป็นผู้ที่ยืนเหนือผู้คนทั้งปวง ไม่ใช่แค่เหนือพวกที่เคยเหยียบย่ำข้าเหนือหัวมันทุกคนที่เคยมองข้าอย่างขบขันในวัยเด็กที่เปื้อนเลือดเหนือบรรดาขุนนางจะขันทีหรืออะไรก็ตาม”


หลินหยาชะงักเล็กน้อย นิ้วมือที่ประสานกันตรงหน้าท้องแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางไม่ได้กล่าวอะไรทันที เพียงแต่มองเขาด้วยแววตาครุ่นคิดเล็กน้อย แม้ดวงตาเธอจะยังคงความอ่อนโยน หากแต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังที่เริ่มเผยเค้าลางทีละเส้นบาง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตของชายผู้นี้ หากแต่ประโยคที่เขาเอ่ยคล้ายเสียงของคนที่ถูกเหยียบย่ำมาเนิ่นนาน...คนที่แบกรับอดีตของเลือดและคราบน้ำตาไว้ลึกจนเน่าเปื่อยกลายเป็นสิ่งอื่นที่หล่อเลี้ยงเขามาถึงตอนนี้ จับใจหลินหยาที่รับรู้ได้ถึงความปวดร้าวของท่านชายห่าวหมิงจากคำพูดนั้น พลันความคิดบางอย่างก็ดังขึ้นในหัวสมองของนางอย่างไม่อาจห้ามได้เลยสักเสียน้อย..


“เสมือนฉางอัน...ที่อยู่ใต้เท้าเราสองคนในยามนี้” เขาเอ่ยต่อเน้นเสียงหนักแน่นราวกับกำลังสะกดดินฟ้าหรือกล่าวคำสาปดินน้ำลมไฟออกมาในคราเดียว หลินหยายืนนิ่งลมหายใจเบาเสียจนแทบไม่มีเสียง ใจของนางพลันเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความกลัวหรือเป็นเพราะรู้สึกถึงแรงปะทะของบางอย่างที่มิใช่แค่ลมบนหน้าผา แต่เป็นแรงกดดันที่แผ่ซ่านจากบุรุษข้างตัว...เหมือนจะคล้ายพายุใหญ่ที่รอคุกคามในเงามืด


"ท่าน...โดนดูถูกจากคนมากมายหรือเจ้าคะ?" หลินหยาเอ่ยเบา ๆ ไม่ใช่คำถามที่จริงจังเท่าใดนัก ทว่าเสียงของเธอเหมือนปลายนิ้วที่แตะลงกลางตาข่ายใยแมงมุมเงียบงัน


จางกงกงไม่ตอบทันที แต่แค่แค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ "เจ้าว่ามันเป็นเพราะข้าเกิดเป็นใครล่ะ?...เกิดมาเพื่ออะไร.." เขาเอ่ยเบาเสียจนเกือบเป็นเสียงกระซิบริมข้างหูของปีศาจ "...เครื่องมือ? สิ่งของ? ที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้น่ารังเกียจ...แม้แต่เงายังไม่อยากอยู่ร่วม" เขาหันไปสบตานางตรง ๆ ขณะเดินเข้าใกล้เพียงครึ่งก้าว ดวงตาคมดั่งอสรพิษยามพินิจเหยื่อ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของหลินหยาที่กำลังนิ่งงันไม่ปริปากตอบกลับ "แต่หากข้าอยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินเสียตอนนั้น...เจ้าคิดว่าพวกมันจะยังกล้าหัวเราะหรือไม่?" เขาไม่ถามเพื่อต้องการคำตอบ เขาเพียงต้องการให้นางได้ฟัง


สายลมบนยอดเขาฉินหลิงยังคงเย็นเฉียบพัดผ่านทิวสนสูงและไอหมอกเบาบางราวม่านบางที่โอบห่มขอบผาทอดยาวเบื้องหน้า แต่ในชั่วขณะนั้น ทั้งเสียงลมและความสูงกลับถูกกลบกลืนด้วยถ้อยคำอ่อนโยนของหลินหยาแต่ดวงตาของนางกลับเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์บ่าย “ข้าไม่อยากเหยียบใครไว้ใต้ฝ่าเท้าตัวเองหรอกเจ้าค่ะ…ข้าไม่อยากทำ” น้ำเสียงเธอเบา ไม่ต้านทานแต่มั่นคงพอจะห่อหุ้มวิญญาณใครคนหนึ่งที่แตกร้าว “แต่หากท่านเจ็บปวดเพราะผู้คน…ข้าจะไม่ห้าม”


รอยยิ้มของหลินหยาปรากฏขึ้นแผ่วเบา ทว่าในรอยยิ้มนั้นไม่ใช่ความยินดีหากเป็นความจริงใจที่ไม่มีราคีของความหวาดหวั่นต่อสิ่งใด..ใสซื่อบริสุทธิ์จนแทบจะทำให้ความดำมืดที่เคยเปื้อนนางหายไปเป็นปลิดทิ้งจิตใจนางยังคงเดิมไม่อาจเปลี่ยนแปลง..หนักแน่นจนแทบหายใจไม่ออก “แค่ข้าอยากให้ท่านรู้ไว้เจ้าค่ะ…รู้ไว้ว่า…ข้าอยู่ตรงนี้” เธอหลุบตามองพื้นผา เหมือนเกรงว่าการสบตาตรง ๆ อาจทำให้คำพูดของตนหนักแน่นเกินไป “ข้าอาจไม่อาจช่วยเหลือท่านได้เลย ข้าไม่รู้อดีตของท่านแม้แต่น้อย…แต่หากวันหนึ่งท่านเหนื่อยล้าอยากได้รับอ้อมกอดหรือคำปลอบโยนจากข้า...ก็แค่เอื้อมมือมาหาข้าหรือเพียงจ้องหน้าข้าจะเดินเข้าไปหาท่านเองเจ้าค่ะ”


มันไม่ใช่ถ้อยคำของคนใสซื่อที่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าหรือคำใสซื่อของสตรีที่มองโลกในแง่ดีจนเกินไปหากแต่เป็นของหญิงสาวที่ผ่านร้อนหนาว ผ่านการถูกตบตีย่ำยีและยังไม่ลืมหยัดยืนในที่ของตน จางกงกงหรือ 'ห่าวหมิง' ฟังแล้วหัวใจพลันกระตุกสั่น เขาเงียบงันไปพักใหญ่ดวงตาที่ยากคาดเดาไหวไหลตามใบหน้าของหลินหยาที่เงยขึ้นสบสายตาเขาอย่างไม่หลบ "...ข้าล่ะเสียดาย" เขากล่าวเบา ๆ นัยเสียงนั้นมิใช่ประชดหรือเหยียดหยาม หากแฝงด้วยความเสียดายจริง ๆ เสียดายที่สตรีตรงหน้าเลือกจะไม่ไขว่คว้าสิ่งที่เขาเห็นดี “หากเจ้าดื้อรั้นน้อยลงกว่านี้อีกสักหน่อย หากเจ้าทำงานให้ข้าต่อไป..ไม่แน่ว่าความสำเร็จของข้าก็อาจเป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน” เสียงเขาเย็นเฉียบ เรียบและนิ่ง แต่มีร่องรอยของแผนการณ์มากมายที่ไหลวนในใจราวกับโลกเบื้องหลังแววตานั้นไม่เคยหยุดหมุน


ขณะถ้อยคำสุดท้ายเล็ดลอดจากริมฝีปากของเขา เขากลับเหมือนลืมตัว มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อหนาแทรกออกมาช้า ๆ ปลายนิ้วเย็นชืดแตะลงข้างแก้มนวลของหลินหยาราวลูบไล้บางเบาก่อนจะลากไล้แผ่วช้าไปยังแนวคางเล็กเรียวนุ่มละมุน...จนเกินเหตุ สัมผัสของเขาไม่หยาบคาย...แต่กลับไม่ใช่ความอ่อนโยนที่ควรเป็น มันแฝงด้วยเจตนา...บางอย่างที่ลึกกว่าเพียงความห่วงใย


หลินหยาชะงักเล็กน้อย ใบหน้าที่แดงเพราะลมหนาวกลับกลายเป็นสีแดงระเรื่อยิ่งขึ้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ปนเปกันระหว่างความแปลกใจและลังเลเพราะเขาไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน..จนหลินหยาชะงักแล้วเหมือนจะถอยหลังไปครึ่งก้าว "ข้า..." เขาเหมือนเพิ่งรู้ตัว รีบดึงมือลงช้า ๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังขอบผาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิด แต่เพราะเขาไม่ชอบให้นางเห็น 'ความจริง' ในนัยน์ตาของเขาในวินาทีนั้น


สายลมบนยอดเขาฉินหลิงพัดแรงขึ้นในบัดดลราวสัญญาณเตือนบางอย่างที่เงียบงัน กลิ่นสนและกลิ่นหมอกปะปนกลบเร้นทุกสิ่งใต้ผืนฟ้า แต่ไม่อาจกลบเร้นความกระเพื่อมในจิตใจใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางความสงัดนั้นได้แม้แต่น้อย พัดลายเมฆคล้อยในมือเขาถูกคลี่ออกด้วยแรงมือที่แน่นกว่าปกติเสียงผ้าพลิ้วในลมหอบคล้ายมีจังหวะบรรเทาใจ บรรเทาความรุ่มร้อนหรืออาจบรรเทาความคลั่งบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นช้า ๆ ใต้ผิวน้ำใจอันเรียบเฉยของจางกงกง


"เสี่ยวหยา…" เสียงเขาเรียกเบา ๆ ในจังหวะที่พัดไม้โบกครั้งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่คำสั่งหรือความเหน็บแนมดังทุกที ทว่าหนักแน่น…และจริงจัง “เจ้าจะไม่เปลี่ยนใจมาร่วมกับข้าจริงหรือ?” เขาหยุดพัดชั่วคราวดวงตาที่เคยมองดูทั้งโลกด้วยแววเย็นชากลับทอประกายวาววับที่ชวนขนลุกจนร่างสั่น “ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเจ้าน่ะ…เป็นไม้ตายที่ทรงพลังนักเชียว ข้าไม่เคยเห็นสิ่งใดเป็นเช่นนี้” เขากระตุกยิ้มมุมปาก มองเธอราวกับมองอาวุธลับเล่มหนึ่งที่ล้ำค่าและอันตราย "เจ้าสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้เลย หากเจ้าร่วมมือกับข้า" เสียงเขาเยือกเย็นแต่แนบชิดดั่งกระซิบข้างหูแม้ลมจะกรรโชกอยู่โดยรอบ


แต่หลินหยากลับเอียงคอเล็กน้อย สีหน้าแฝงความสงสัยและไร้เดียงสาตามธรรมชาติ “จุดสูงสุดหรือเจ้าคะ?...” นางขมวดคิ้วน้อย ๆ มองใบหน้าที่เคยนิ่งดุเย็นเยียบของอีกฝ่ายที่วันนี้เหมือนมีไฟเร้นลึกแฝงอยู่บางอย่าง จนเธอรู้สึกว่าท่านชายห่าวหมิงในวันนี้…ดูแปลกตา นางเงียบไปเพียงครู่ นางจึงขยับมือน้อย ๆ ที่ยังชื้นจากสายลมหมอกเยือกเย็นนั้น แล้วกล่าวเสียงแผ่วแต่ชัดเจนในถ้อยคำและแววตา


"ท่านชายเจ้าคะ..." เธอหลุบตาลงเล็กน้อย ราวนึกไตร่ตรองแล้วก่อนเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ใช่รอยยิ้มเอาใจ หากเป็นรอยยิ้มที่คนนิ่งเฉยเยี่ยงเขา…ไม่มีทางลืมได้ “ข้าน่ะ..มีคนคนหนึ่งที่เขาอยากจะหลอกใช้ความใสซื่อของข้าเพื่อหลอกคนอื่น..ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเธอไม่หวาดหวั่น แต่กลับเรียบ นุ่ม และสงบจนเกินจะหาในหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวรุนแรงได้เช่นนี้


ประโยคนั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าเข็มทิศชี้ไปยังทิศเหนือยามหลงป่า เขาเงียบไปไม่เอ่ยแทรกแม้ครึ่งคำ…เพราะเขารู้ดีว่าใครคือคนที่นางหมายถึง..มันจะเป็นใครได้นอกจากเขา..จางกงกง


“ท่านชาย..ท่านอย่าหลอกใช้ข้าเลยเจ้าค่ะ..หรือท่านอย่าให้ข้าทำสิ่งใดเลย..ให้ข้าอยู่ตรงนี้นะเจ้าคะ ข้างท่านในฐานะสหายตัวเล็ก ๆ ก็เพียงพอแล้ว” นางชั่งใจอยู่นานแต่แล้วหลินหยาก็ทำบางอย่างที่จางกงกงไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจริง มือบางที่เคยกำขลุ่ยแล้วเป่าหรือบรรเลงดนตรีขยับขึ้นจับมือของเขา มือที่ใหญ่นิ่งและเคยสั่งฆ่าคนโดยไม่สะทกสะท้านนั้นถูกนางจับไว้ด้วยแรงเบา ๆ เหมือนจะกลัวมันหายไปแล้ว เธอแนบมือเขาเข้ากับแก้มของตัวเอง…


แก้มอุ่นนวลละเอียดที่แตะลงบนฝ่ามือเย็นดั่งน้ำแข็งของขันทีจอมวางแผน…ทำให้บางสิ่งในอกของเขาสะท้านจนเจ็บวาบ หลินหยาไม่เคยทำเช่นนี้ไม่แม้แต่จะเข้าใกล้บุรุษคนไหนไม่เคยสัมผัส ไม่เคยเปิดช่องว่างเช่นนี้ให้ใครแต่เธอกลับยกมือเขาขึ้นมาแนบแก้มราวกับเป็น…คนที่นางอยากให้สัมผัสมากที่สุด


จางกงกงยืนนิ่ง ร่างแข็งค้างอยู่ชั่วครู่ ปลายนิ้วขยับไม่ได้แม้แต่น้อย ใจที่เคยควบคุมตนเองได้ดุจเหล็กกล้า…กลับสะท้านหนักหน่วงยิ่งกว่าตอนแทงดาบใส่ศัตรูพันนาย “ข้า…?” เขาพึมพำคำหนึ่ง ลมหายใจที่พ่นออกมากลับหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ขณะจ้องมองหญิงสาวที่เคยดื้อรั้น เคยกล้าท้าทายเขา เคยต่อยหน้าจนเขาเลือดกลบปาก…ในเวลานี้เธอกลับมอบใจที่เปราะบางที่สุดให้เขาเงียบ ๆ โดยไม่ขออะไรตอบแทน เขาอยากจะบีบมือเธอแน่นอยากจะผลักออกอยากจะดึงมากอดอยากจะบีบคอนาง..อยากทำหลายสิ่งพร้อมกันแต่ที่สุดแล้ว จางกงกงเพียงแค่ปล่อยให้มือของเขาแนบอยู่ตรงนั้นปล่อยให้ความอ่อนโยนที่เขาเคยเหยียดหยัน กลายเป็นเปลวไฟโลมเลียใจ


"ข้าขอโทษที่เผลอจับท่านเจ้าค่ะ..." น้ำเสียงนั้นสั่นน้อย ๆ เหมือนละอองฝนแรกเมื่อลมร้อนสงบลง หลินหยาเบือนสายตาลงน้อย ๆ เหมือนพยายามหลบเลี่ยงแววตาของเขา "แต่บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจตัวเอง...ว่าทำไมถึงยอมให้ท่านจับ" เสียงของนาง...นุ่มนวล แต่อัดแน่นด้วยบางอย่างที่แม้แต่คนเชี่ยวชาญในการจับอารมณ์ผู้อื่นเยี่ยงเขาก็ยังไม่อาจวิเคราะห์ได้หมดสิ้น ฝ่ามือเย็นเฉียบของจางกงกงยังคงแนบอยู่ข้างแก้มเนียนละมุนของหลินหยาราวกับถูกตรึงไว้ด้วยคำเพียงไม่กี่ประโยคของนาง…เขามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ไม่ยิ้ม ไม่พูด แต่สายตานั้นกลับคุกรุ่นราวกับกำลังอดกลั้นพายุบางอย่างที่อาจกลืนกินทุกสิ่งได้ในชั่วพริบตา


เพียงคำว่า ยอม’ ก็พอแล้วที่จะปลุกบางอย่างให้ตื่นขึ้นอีกคราในจิตใจเขา คำที่ไม่มีใครเคยมอบให้เขาโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่มีแผน ไม่มีคำสั่ง ไม่มีเงื่อนไข


หลินหยาหลุบตาต่ำลง ดวงหน้าสะท้อนความลังเลแต่ก็มีบางสิ่งในแววตานั้นที่หนักแน่นขึ้นอย่างประหลาด "ข้ามีบางอย่างในใจตอนนี้..." นางสารภาพแผ่วเบา "...แต่ตอนนี้ ข้ายังไม่แน่ใจเจ้าค่ะท่านรอข้าสักหน่อยได้ไหม? ให้ข้าแน่ใจก่อน..." นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สบตาเขา ดวงตาคู่นั้นที่เคยเต็มไปด้วยความดื้อดึง กลับสั่นระริกด้วยความรู้สึกจริงใจอันยากจะหลอกลวง "แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง..ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับท่านแน่นอน" เธอเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยเอ่ยกับเขา "แต่มัน...จะไม่ใช่การที่ข้าต้องไปหลอกใช้ใครคนอื่น"


พริบตานั้นดวงตาของจางกงกงหรี่ลงแสงในแววตาแปรเปลี่ยนราวกับถูกกระแทกเข้าด้วยถ้อยคำเดียว หลินหยารู้ว่าเขาเคยคิดจะใช้เธอเหมือนหมากหนึ่งในกระดานแต่เธอก็ยังอยู่ตรงนี้จับมือเขาไว้แล้วพูดเช่นนี้...ด้วยน้ำเสียงที่ไม่กล่าวโทษ


"ข้าหวังว่า..." เสียงของนางเบาเหมือนลมหายใจ “หากมาถึงวันนั้น…ท่านจะยังอยู่กับข้าตรงนี้” ไม่มีคำสัญญา ไม่มีเงื่อนไข มีเพียงความหวังจาง ๆ ที่พูดออกมาโดยไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยินดีรับไว้หรือไม่ ฝ่ามือของเขาที่แนบแก้มนางค้างอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ เหมือนคนไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว มันร้อนขึ้นเล็กน้อย ราวกับโลหิตที่เคยเย็นเฉียบพลันหลั่งไหลกลับเข้าสู่ฝ่ามือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี


จางกงกงเงียบ…เขาเงียบไปนานมาก และเมื่อหลินหยาขยับมือปล่อยฝ่ามือของเขา…เขาทำเพียงค่อย ๆ ชักมือกลับแต่ไม่รวดเร็วไม่กระชากไม่ผลักไส ทว่าเหมือนค่อย ๆ เก็บมือกลับไปราวกับกลัวทำร้ายความนุ่มนวลนั้นด้วยแรงใจของตนเอง “เจ้า…” เขาพูดช้า ๆ ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย “…เป็นผู้หญิงที่อันตรายกว่าข้าเคยคาดไว้มาก…” เมื่อพูดจบชายสวมหน้ากากก็หันไปทางปลายหน้าผาอีกครั้ง ลมแรงขึ้นจนชายเสื้อคลุมของเขาบานออกพริ้วกลางอากาศ...ท่ามกลางเงาหมอกและแสงอาทิตย์บ่ายคล้อยเหนือฉางอันที่เหมือนอยู่ต่ำลงใต้เท้าทั้งคู่


เขาอาจเป็นปีศาจ..แต่นางอาจกำลังจะเป็นเพียงแม่นางน้อยคนเดียวที่ปีศาจตนนั้นเต็มใจให้จับมือไว้โดยไม่ถามว่า...นางจะพาเขาไปไหน



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ:  ชอบหนูสักทีเถอะพี่ หนูจะโดนพิษพี่ฆ่าตายแระเนี้ย


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-4 16:02
โพสต์ 66005 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 15:56
โพสต์ 66,005 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 15:56
โพสต์ 66,005 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 15:56
โพสต์ 66,005 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 15:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
1234
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้