
วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ขบวนคหบดีลู่ (พบ เถียนเฟิง)
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนแรงของยามเว่ย ขบวนคหบดีลู่ตั้งเรียงรายริมถนนสิบลี้อย่างสง่างาม ผืนผ้าชั้นดีจากแดนใต้ประดับลายหงส์ทองสะท้อนแสงแดดวาววับ กลิ่นเครื่องหอม ผงสมุนไพร และพัดด้ามงามประดับไข่มุกวางเรียงในตะกร้าหวายแยกตามหมวดหมู่ แว่วเสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องขายสินค้าดังระคนกับเสียงฝีเท้าคนเดินย่ำบนหินทางเดินอย่างไม่ขาดช่วง หลินหยาที่แต่งกายเรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน เดินทอดน่องมาท่ามกลางผู้คนอย่างมีจริตตามธรรมชาติเธอ ดวงตาคมหวานกวาดมองไปตามขบวนสินค้าอย่างไม่รีบร้อน แม้นางจะมาเดินเล่นแต่เป้าหมายจริง ๆ กลับไม่ได้อยู่ที่ผ้าหรือหยกใด ๆ
นางรู้ว่าท่านเถียนเฟิงอยู่ที่นี่
และเมื่อสายตากวาดไปถึงตอนกลางของขบวน หนุ่มในชุดตัดเรียบสีหม่นผู้หนึ่งก็กำลังยืนสนทนาอยู่กับพ่อค้าใหญ่น้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังดูสุภาพ ข้างตัวมีบ่าวติดตามและพวกผู้ติดตามบางคนอยู่ด้วย…ไม่ผิดแน่ ท่านเถียนเฟิง
หลินหยาเดินตรงเข้าไปเงียบ ๆ พลางหยุดยืนอยู่ห่างออกมาสองก้าวครึ่ง มือเรียวไพล่หลัง พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วแต่เบาพอให้ได้ยินชัด “ใต้เท้าเถียนเฟิง…” ชายหนุ่มที่เพิ่งวางกระดาษบัญชีในมือลงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันขวับมาช้า ๆ แววตานิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยการประมวลผลชั่ววูบ เขาจำเสียงนี้ได้ เมื่อเห็นว่าเป็นหลินหยา ใบหน้าคมก็สั่นไหวบาง ๆ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสมควรทำหน้าแบบไหนดี น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูเรียบแต่แฝงความระวังตัวอย่างยิ่ง
“แม่นางหลิน…เจ้ามาที่นี่…?”
“มาเดินดูวัตถุดิบเจ้าค่ะ” นางตอบยิ้มแย้ม ดวงตาทอประกายระยับราวไม่มีเรื่องใดค้างในใจ “เห็นคนบอกว่าขบวนคหบดีลู่เอาของแปลกจากต่างเมืองมาก็เลยอยากมาเดินดู แล้วก็…” เธอก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว แล้วหยุดลงพร้อมยิ้มเบา ๆ และเอียงหน้าเหมือนจะพูดให้ได้ยินแค่สองคน “…อยากมาบอกให้ท่านรู้ด้วยว่า ข้าหายดีแล้วนะ” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเหมือนลังเลจะพูดอะไรบางอย่าง “ท่านยังไม่ต้องพูดอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่…กลัวว่าท่านจะยังรู้สึกผิดอยู่น่ะสิ” หลินหยายิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยขณะที่มือจับชายเสื้อของตัวเองแน่นไว้ราวกับแอบเกร็งอยู่บ้าง “ถ้าท่านยังรู้สึกผิดอยู่ตอนนี้...งั้นให้ข้าซื้อเนื้อกับชาตรงนั้นได้ไหม? แบบไม่ต้องต่อราคา?”
เถียนเฟิงหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบชายเสื้อเหมือนปัดความกระอักกระอ่วนออกไปชั่วขณะ “ตกลง…ข้าจะซื้อให้เจ้าเอง”
“ว้า ข้าไม่ได้จะหลอกท่านให้ซื้อให้นะ”
“แต่เจ้าก็ไม่ได้ห้าม”
“แหม ท่านก็~” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พร้อมเบ้หน้าอย่างขำขัน ภาพของชายหนุ่มผู้มากบารมีในชุดเรียบขรึมที่ยืนอยู่เคียงข้างสาวใช้ในคราบแม่ค้าที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ง่าย ๆ กลับกลายเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาผู้คนในขบวนอย่างยิ่ง แต่ทั้งสองกลับยืนคุยกันเหมือนไม่ใส่ใจโลก ทั้ง ๆ ที่คนหนึ่งเคยแทบฟันอีกคนขาด และอีกคนหนึ่งก็แทบจะร้องไห้ด้วยความกลัวเมื่อคืนก่อน บางที…ระยะห่างของสองคนนี้ อาจไม่ได้ถูกวัดด้วยแผล หรือความผิดพลาด แต่เป็นด้วยคำพูดธรรมดา ๆ ที่ว่าข้าหายดีแล้วนะไม่ต้องห่วงอีกแล้ว…ตกลงไหม?
เสียงเหล็กกระทบกันเบา ๆ ดังแว่วมาจากด้านในสุดของขบวนลึกเข้าไปตรงโซนที่ไม่ค่อยมีคนแวะเวียน บริเวณที่ตั้งกรงสัตว์สำหรับขายพวกหมาแมว นก และสัตว์แปลกหายากจากแดนไกล เสียงนั้นฟังดูไม่รุนแรง แต่กลับแฝงความสั่นไหวของบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ราวกับแรงสุดท้ายของชีวิตกำลังดิ้นรนเพื่อแสดงออกถึงการมีตัวตน หลินหยาเหลือบตาไปตามเสียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อหางตาแลไปเห็นบางสิ่งในกรงเหล็กนั้นเธอก้าวเท้าอยู่กลับหยุดลงโดยไม่รู้ตัว
เถียนเฟิงที่เดินเคียงข้างรู้สึกถึงจังหวะฝีเท้าที่สะดุด จึงหันมองตามสายตาของนางก่อนที่คิ้วเรียวยาวจะขมวดเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ในกรงไม้เก่า ๆ ท่ามกลางฝุ่นและเศษอาหารแห้งกรัง มีหมาน้อยตัวหนึ่งนอนหมอบนิ่ง ร่างกายของมันผอมจนเห็นซี่โครงชัดเจน ขนสีดำน้ำตาลอ่อนกระจายยุ่งเหยิงทั่วตัว ดวงตาทั้งคู่หม่นเศร้าราวกับไม่มีแรงแม้แต่จะหลับ มันไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะกระดิกหางหรือแสดงความกลัวต่อผู้คนรอบข้าง หลินหยายืนนิ่ง ไม่ก้าวเข้าไปใกล้ แต่ดวงตาเริ่มขุ่นมัวอย่างอธิบายไม่ถูก ริมฝีปากขบแน่นราวกับกำลังต้านบางอย่างในอก สายตาของนาง…ไม่ได้หวาดกลัวไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นแววตาที่สะท้อนความรู้สึก ‘เหมือนบางอย่างเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง’ เธอจำไม่ได้ว่าที่ไหนหรือเมื่อใด แต่หัวใจกลับรู้สึกเหมือนเจ็บปวดด้วยเหตุผลที่ไร้ที่มา
“แม่นางหลิน…เจ้า…” เถียนเฟิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ เสียงของเขาฟังดูสงสัยแต่ไม่กดดัน “เจ้ากลัวสุนักไม่ใช่หรือ”
หลินหยาขยับริมฝีปากเหมือนจะตอบแต่ไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกมาทันที เธอก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ เสียงราวกระซิบว่า “…ก็ใช่เจ้าค่ะ ข้ากลัวสุนัก…โดยเฉพาะหมาจร เสียงเห่าก็ทำให้ข้าขาสั่นได้แล้ว…” ดวงตาของเธอสั่นไหวเหมือนคนกำลังต้านอารมณ์บางอย่างในอก แต่กลับจ้องไปยังเจ้าตัวเล็กในกรงที่เงียบสงบไม่มีแม้เสียงเห่า “แต่ตัวนั้น…มันไม่เห่าเลย…ไม่แม้แต่จะร้อง ไม่แม้แต่จะขยับหนี…” หลินหยากลืนน้ำลายคล้ายกลืนก้อนสะอื้นที่ไม่มีเสียงลงคอ ก่อนจะหันไปสบตากับเถียนเฟิง “ท่านเคยเห็นบางสิ่งที่กำลังจะตายไหมเจ้าคะ…แต่ไม่มีใครแม้แต่จะมองมัน…เหมือนมันกำลังร้องขอโดยไม่มีเสียงเลยน่ะ…นั่นแหละ”
เถียนเฟิงมองดวงตาของหลินหยาไม่ใช่แค่หวาดกลัวอีกต่อไป แต่มันคือการ ‘รู้สึก’ อย่างแท้จริง รู้สึกในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองแต่เจ็บแทบขาดใจราวกับเป็นตัวเองเสียเอง เถียนเฟิงไม่พูดอะไร เขากลับหันไปมองบ่าวข้างกายแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไปเรียกเจ้าของสัตว์นั้นมานี้หน่อย”
“…ใต้เท้า?”
“ข้าจะซื้อสุนักตัวนั้น” เสียงของเขาราบเรียบแต่นิ่งแน่ว หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่แน่ใจว่าเธอได้ยินถูกหรือไม่ “…ท่านจะซื้อ…?”
“เจ้าไม่ต้องจับมัน ข้าจะให้คนดูแลให้…แต่ถ้ามันทำให้เจ้าหยุดมองแบบนั้นไม่ได้ ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยมันไว้ตรงนั้นเหมือนกัน” คำพูดนั้นไม่ได้เปล่งด้วยความสงสารสุนักตัวน้อย แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นหลินหยามองใครด้วยแววตาแบบนั้นอีก...แม้แต่สัตว์ตัวเล็กก็ตาม
เถียนเฟิงยื่นเหรียญเงินจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของร้าน พร้อมเอ่ยอย่างสุภาพแต่ไร้เยื่อใยว่า "ข้าเอาตัวนี้" ก่อนจะหันกลับมาทางกรงไม้ที่บรรจุชีวิตอันร่วงโรยไว้อย่างเงียบงัน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการตอบสนองใด ๆ จากมัน อย่างน้อยที่สุด เขาคิดว่าคงต้องให้บ่าวมาช่วยจัดการพามันกลับไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาและแม้แต่หลินหยาจะคาดคิดได้เลย
เสียงเปิดกรงไม้ดังแกร๊กเบา ๆ เจ้าของขบวนเพียงแค่ขยับเปิดประตูกรงด้วยมือข้างหนึ่ง แต่แทบไม่ทันจะถอยมือกลับ หมาน้อยตัวนั้นที่ดูเหมือนอ่อนแรงใกล้ตายอยู่เมื่อครู่กลับกระโจนพรวดออกมาด้วยพละกำลังราวกับฝืนแรงโลก! มันพุ่งผ่านขาเถียนเฟิงอย่างรวดเร็วโดยที่เขายังไม่ทันจะขยับหันตัว หลินหยาเองที่ยืนมองอยู่ก็ยังไม่ทันจะเอ่ยถามว่าจะเอาไปไว้ที่ไหนแต่เจ้าหมาตัวน้อยกลับพุ่งเข้ามาที่เธออย่างเต็มแรง
“อ๊ะ!”
เสียงหลุดร้องหลุดจากริมฝีปากหลินหยาทันทีที่ร่างเล็กของมันกระโจนเข้าใส่ แรงของมันแม้จะไม่ถึงกับมากแต่พอทำให้หญิงสาวเซถอยหลังก้าวหนึ่ง ต้องกางแขนรับไว้ตามสัญชาตญาณ และในวินาทีนั้น มันก็ซุกตัวเข้าหาเธอทันทีอย่างไม่ลังเล ร่างที่เมื่อครู่ยังดูเหมือนจะสิ้นใจกลับสั่นเล็กน้อยในอ้อมแขนของนาง ราวกับมีบางสิ่งที่หลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการ...มันไม่เห่า ไม่ร้อง ไม่แม้แต่จะครางเสียงเบา ๆ มีเพียงแค่แรงลมหายใจถี่เล็กน้อยตรงอกและแรงสั่นน้อย ๆ จากร่างกายผอมโซนั่นเท่านั้นที่บอกว่ามันยังมีชีวิตอยู่
หลินหยายืนนิ่งงัน ดวงตาเบิกโพลงในตอนแรกด้วยความตกใจ...แต่เพียงชั่วครู่เธอก็ลดมือลงอย่างช้า ๆ ประคองเจ้าหมาตัวนั้นไว้แนบอกคล้ายกับกลัวว่ามันจะหายไปอีก "...เจ้ากำลังกลัว...อยู่ใช่ไหม..." เสียงกระซิบเบา ๆ เล็ดลอดจากริมฝีปากหล่อน น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและโอบอ้อม เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่กระเพื่อมอยู่ภายใน
เถียนเฟิงที่หันกลับมาเห็นภาพนั้นเข้าพอดี กะพริบตาช้า ๆ อย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองหญิงสาวตรงหน้าในชุดสีอ่อนที่ประคองหมาน้อยไว้แนบอกอย่างอ่อนโยน แววตาของนางนั้นอ่อนลงอย่างน่าแปลกยิ่งกว่าเมื่อครู่…แต่ก็ไม่ใช่แค่กับสุนัขตรงหน้า "ข้าเพิ่งเคยเห็นเจ้ารับสุนักตัวน้อยเข้ามาในอก…ทั้งที่เจ้ากลัวมันนักหนา" เสียงของเขาเอ่ยขึ้นอย่างเรียบ ๆ แต่ก็มากพอจะดึงความสนใจของหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนคล้ายจะเถียงแบบไม่รู้จะเถียงอย่างไรดี "ก็...ก็เพราะมันไม่เห่านี่นาเจ้าคะ แล้วก็เล็กนิดเดียวเอง..." แล้วก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
เถียนเฟิงเลิกคิ้ว มุมปากกระตุกเบา ๆ "เจ้ากลัวมันน้อยกว่าที่กลัวข้าเมื่อคืนก่อนหรืออย่างไร"
"หุบปากไปเลยเถอะท่านนี้นะ..." นางพึมพำเบา ๆ ก้มหน้าลงแนบกับเจ้าหมาตัวน้อยที่ยังคงซุกอยู่ในอ้อมแขนของนาง เถียนเฟิงมองภาพตรงหน้าอยู่นาน ก่อนจะหลุบตาลงช้า ๆ
เขาหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้บ่าวข้างกาย "หาผ้าห่มเล็ก ๆ กับตะกร้านุ่ม ๆ มาสำหรับมันที…ตั้งแต่นี้ไป เจ้าตัวนี่จะเป็นของแม่นางหลิน" เสียงทุ้มเรียบกล่าวโดยไม่ถามความเห็นใด ๆ จากนางเลยแม้แต่น้อยและหลินหยาก็ไม่เอ่ยปฏิเสธใด ๆ เช่นกัน เถียนเฟิงที่เพิ่งออกคำสั่งให้หาตะกร้าสำหรับเจ้าหมาตัวน้อยนั้นหันกลับมา ก็พบเข้ากับแววตาขบขันของหลินหยาที่ฉายชัดบนดวงหน้า แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวเล็กน้อยจากแผลเมื่อวันก่อน แต่มุมปากของนางกลับยกยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
"ต่อไปนี้เจ้าตัวเล็กนี้เป็นของข้าแล้วหรือเจ้าคะ?" เสียงนางนุ่มนวลเอ่ยพลางเหลือบตาลงมองเจ้าหมาตัวน้อยที่ยังซุกอยู่ในอ้อมแขน แล้วจึงเงยขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง "ท่านซื้อสุนักมาให้ข้าเป็นของตอบแทนที่จิ้มกระบี่ใส่ต้นแขนข้างซ้ายข้าหรือ?" น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีเค้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย มีเพียงความเย้าแหย่บางเบาที่ทำเอาเถียนเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างอดกลั้น
"หึ เจ้านี่ปากไวเสียจริงนะ" เขาว่าอย่างเยือกเย็น แต่สายตากลับอ่อนลงอย่างชัดเจน เขาขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิด ใช้สายตามองสำรวจใบหน้านางราวกับต้องการเช็กว่าไม่มีอาการเจ็บใดหลงเหลือ แล้วจู่ ๆ มือข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นขึ้นหมายจะยืดแก้มของนางเล่นตามนิสัยที่เขาแอบชอบยั่วโมโหนางเล็ก ๆ "ถ้ายังกล้าพูดจาไม่เข้าหูอีกละก็ ข้าจะ…"
งับ!
"อ๊ะ!" เสียงเขาร้องเบา ๆ อย่างตกใจเล็กน้อย ขณะที่มือข้างที่กำลังจะเอื้อมไปถึงแก้มนุ่ม ๆ ของหลินหยากลับถูกเจ้าหมาตัวน้อยที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนนางขบเข้าอย่างแม่นยำ “เฮอะ…” เถียนเฟิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาจริง ๆ ในที่สุด พลางมองเจ้าหมาตัวเล็กด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรือประชดกันแน่ “…กล้าดีนี่นะเจ้าตัวเล็ก"
หลินหยาหัวเราะคิกออกมาทันทีที่เห็นภาพนั้น นางก้มลงลูบหัวเจ้าหมาตัวน้อยอย่างอ่อนโยน “ข้าคิดว่าเจ้าหมานี่ฉลาดใช้ได้เลยละเจ้าค่ะ เห็นชัดว่าใครเป็นเจ้านายมัน” นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มยั่วเขาเล็กน้อยอย่างผู้ชนะ
เถียนเฟิงปรายตามองสตรีตรงหน้า ทั้งรอยยิ้มยั่ว ทั้งแววตาเจ้าเล่ห์ เห็นแล้วก็ยิ่งอยากยืดแก้มยิ่งกว่าเดิม…แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองเจ้าหมาตัวน้อยที่แม้จะแค่ขบเบา ๆ แต่ก็ทำให้ปลายนิ้วของเขารู้สึกได้ถึงแรงกัดที่ไม่ใช่เพราะศัตรูหากเป็นเพราะมันกำลังปกป้องหลินหยา “มันรู้ดีว่าเจ้าเป็นของมัน…” เขาเอ่ยเสียงเบาลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาสบตานาง "...เช่นเดียวกับที่มันรู้ว่าข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อเจ้า" หลินหยาไม่ตอบอะไร นางเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าลงลูบเจ้าหมาตัวน้อยต่อไปเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ใบหูที่แดงเรื่อและดวงตาที่หลุบต่ำกลับบอกชัดว่าได้ยินทุกคำ…และทุกถ้อยความนั้น กำลังซึมซับลงในใจของนางอย่างช้า ๆ
"งั้น...ตั้งชื่อให้มันดีกว่าเนอะ" หลินหยาพูดเสียงใส มือหนึ่งยังลูบขนเจ้าเจ้าหมาตัวน้อยที่ซุกอยู่ในอ้อมแขน “ข้าคิดไว้อย่างนึงแล้ว...เฉาก๊วยดีไหม?” นางเอียงคอเล็กน้อย เตรียมจะโน้มหน้าลงไปกระซิบชื่อใหม่นี้ใกล้ ๆ ใบหูหมาน้อย ทว่า…ปุ่บ! อุ้งเท้ากลมนิ่มสีเทาดำปิดปากนางแน่น หลินหยาเบิกตากว้าง มองหมาน้อยที่กำลังใช้หน้าเหวอ ๆ ของมันเองจ้องกลับมาราวกับจะพูดว่า ‘หยุดเลยนะ! อย่าได้เอ่ยคำนั้นออกมาเชียว!’
"เอ๊ะ เจ้า..." นางทำท่าจะดันอุ้งเท้าลง พูดใหม่อีกรอบ "ก็ข้าว่าเฉาก๊ว—"
ปุ่บ! อุ้งเท้ากลมเดิมคราวนี้เปลี่ยนมุมบังปากเธออีกครั้งอย่างแม่นยำกว่าเดิม! "ปะ...ปิดอีกแล้วเรอะ!" หลินหยาเริ่มมีเสียงหัวเราะปะปนอย่างอดไม่ได้ขณะพยายามดันอุ้งนุ่ม ๆ นั้นออก "เจ้าหมานี่! ทำเหมือนรู้ภาษาคนเลยนะ!"
“ฮึ…” เสียงต่ำ ๆ อย่างคนที่กลั้นขำเอาไว้สุดชีวิตดังขึ้นไม่ห่างนัก หลินหยาหันขวับไปมองใต้เท้าเถียนเฟิงที่ยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง สีหน้าดูสุภาพเรียบเฉยดั่งทุกวัน…แต่หัวไหล่กลับกระตุกเบา ๆ คล้ายจะระเบิดหัวเราะได้ทุกเมื่อ "ท่านอย่าขำนะ!" นางว่าพลางแยกเขี้ยวใส่ รู้สึกเหมือนโดนทั้งหมาและคนรุมกลั่นแกล้งทางอ้อมอย่างสมบูรณ์แบบ "เจ้าหมาตัวนี้มัน! มัน...หยิ่ง!"
“เปล่า” เถียนเฟิงว่าเสียงเรียบแต่สายตานั้น...เจือแววขำเจ็บ ๆ ราวกับกำลังสนุกอยู่เงียบ ๆ “มันเพียงแต่รู้รสนิยมในการตั้งชื่อของเจ้า…ควรห้ามเอาไว้ตั้งแต่ต้น”
หลินหยาทำตาโตใส่แล้วรีบกอดเจ้าหมาน้อยแน่นปานกับกลัวมันจะหนีหายไป “เฉาก๊วยก็น่ารักดีออก! ดำ ๆ เย็น ๆ นิ่ม ๆ เหมาะกับมันจะตาย!” เจ้าหมาตัวน้อยที่ยังคงซุกตัวเงียบในอ้อมแขนนางเหมือนจะถอนหายใจเงียบ ๆ...ถ้าหมามีเสียงถอนหายใจได้น่ะนะ เถียนเฟิงกระแอมในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงแววอ่อนโยนเจือขันเล็กน้อย “ถ้ามันไม่พอใจ เจ้าก็ลองหาชื่อใหม่ให้มันอีกหน่อยเถอะ...จะได้ไม่ต้องโดนอุ้งเท้าปิดปากอีกรอบ”
"หึ…ข้าจะตั้งชื่อให้มันจนกว่าจะพอใจเลยคอยดูสิ" หลินหยาเชิดหน้าขึ้นอย่างมาดมั่น แต่เมื่อก้มลงสบตาหมาน้อยอีกครั้งก็ทำเสียงเบาลงเป็นกระซิบ "แต่ข้าก็ยังชอบเฉาก๊วยอยู่นะ..." คราวนี้ เจ้าหมาตัวน้อยหลับตาลงเหมือนยอมแพ้โดยสิ้นเชิง “งั้น…” หลินหยาทำหน้าจริงจัง แต่ดวงตาเป็นประกายแสนซน เธอก้มหน้ามองเจ้าหมาน้อยที่ยังคงพิงอยู่กับอกของเธอ นุ่มฟู อ้อนเหมือนก้อนขนสดใสผู้มีจิตวิญญาณสูงส่งและรสนิยมเหนือสัตว์ทั้งปวง “ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นเฉาก๊วย ข้าจะให้ชื่อใหม่แก่เจ้า…เซียนเฉ่า! เซียนเฉ่าชากังราว!” เธอพูดพลางดีดนิ้วลงบนปลายจมูกเจ้าหมาเบา ๆ อย่างภาคภูมิใจ “เป็นไงเล่า ชื่อใหม่มีระดับขึ้นใช่ไหมล่ะ? แปลว่าอะไรน่ะเหรอ? ก็...ของดีจากสวรรค์ยังไงล่ะ!”
เจ้าหมาตัวน้อยกระพริบตาสองที พอหลินหยาพูดว่า “เซียนเฉ่า” มันกลับไม่ยกอุ้งเท้าขึ้นมาปิดปากเธออีกเหมือนครั้งก่อน ดูเหมือนมันจะยอมรับชื่อใหม่นี้แล้วจริง ๆ “อ้าว…แปลว่าเจ้ายอมรับแล้วใช่ไหม?” หลินหยาหัวเราะยิ้มแป้น พลางลูบหัวมันเบา ๆ อย่างเอ็นดูเต็มกลั้น “เซียนเฉ่าของข้า~” แต่ในขณะที่นางกำลังหัวเราะชอบใจอยู่ เถียนเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาคมที่เคยดูสุขุมกะพริบช้า ๆ
“...เซียนเฉ่า?” เขาทวนชื่อนั้นออกมาเสียงต่ำ ดวงตาเริ่มเหลือบขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าเหมือนจะกลั้นอะไรบางอย่างไว้ “…เจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘เซียนเฉ่า’ มันแปลว่าอะไรจริง ๆ น่ะ?” หลินหยาเอียงคอ “ก็...ของวิเศษแห่งหุบเขา หรือ...ใบชาทิพย์ไร้อายุไง ข้าเคยอ่านในหนังสือ...นะ” เสียงเธอเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของใต้เท้าเถียนเฟิงที่เริ่มสั่น...ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่มันคือ…ใบหน้าของชายที่พยายาม ‘กลั้นหัวเราะอย่างสิ้นหวัง’
เถียนเฟิงหันหน้าไปทางอื่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดริมฝีปาก ดวงตาสั่นระริก ท่าทางสง่างามเหมือนยอดขุนนางหายไปหมดสิ้นเมื่อเขาก้มไหล่ลงเล็กน้อย ขำจนตัวโยน “เซียนเฉ่า...แปลว่าเฉาก๊วยอยู่ดี…” เสียงนั้นต่ำ แต่เต็มไปด้วยความขบขันจากก้นบึ้ง เขาหันมามองเจ้าหมาที่ตอนนี้ยังคงนอนตาพริ้มอยู่บนตักหลินหยาด้วยสีหน้าที่...ดูฉลาดนิดหน่อยแต่โง่นิดใหญ่ “เจ้าเป็นสุนักที่ทำลายความพยายามของตนเองได้อย่างมีชั้นเชิงเหลือเกิน…” เถียนเฟิงพูดเสียงพร่า ปากยังสั่น ๆ อย่างกลั้นหัวเราะไม่ได้เต็มที่ “ไม่ยอมให้เรียกเฉาก๊วย...แต่ยอมให้เรียกเซียนเฉ่า”
“ท่านห้ามขำนะ!!” หลินหยาหันขวับมา หน้าแดงอย่างแรง “นี่เป็นชื่อที่ฟังดูไฮคลาสกว่าเยอะ! เจ้าหมานี่ไม่ยอมชื่อแบบโลโซ ๆ มันเลยยอมให้ตั้งชื่อภาษาวังหลังหน่อย ๆ!”
“เซียนเฉ่า…ภาษาวังหลัง…” เถียนเฟิงพึมพำก่อนจะหลุดขำพรืดออกมาเสียงดังที่สุดเท่าที่หลินหยาเคยได้ยินจากปากของเขา เสียงหัวเราะนั้นไม่ใช่แค่ขำธรรมดา มันคือขำแบบพังทลาย ความสง่างามที่เขาเคยมีล้วนละลายหายไปในอากาศ เถียนเฟิงขำตัวงอมือเท้าเข่าอีกข้างกัดฟันแน่นพยายามไม่ให้เสียงลอดออกมามากไปกว่านี้ “ข้าจะจำวันนี้ไว้…สุนักที่ฉลาดแต่ก็ไม่ฉลาดเหมือนเจ้านายมันน่ะ...หาได้ยากยิ่งนัก”
หลินหยาหันไปเบะปากแล้วหยิกแก้มตัวเองเหมือนจะบอกว่าอยากจะเอาแก้มตัวเองฟาดหน้าผู้ชายคนนี้แทนคำพูด “จะขำอะไรนักหนา! ท่านเถียนเฟิง!”
“ข้าขอโทษ...แต่มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฮ่า…” เสียงหัวเราะก้องท่ามกลางถนนสิบลี้ ในขณะที่เจ้า ‘เซียนเฉ่า’ ขดตัวหลับอยู่เงียบ ๆ บนตักหญิงสาวเหมือนไม่รับรู้ว่า...เจ้ามนุษย์สองคนนี้ ตลกพอ ๆ กันแต่แล้วในขณะที่เสียงหัวเราะของเถียนเฟิงยังจางอยู่ในอากาศ และหลินหยายังเอานิ้วจิ้มแก้มตนเองพลางทำหน้าคว่ำใส่เขา เจ้าหมาน้อยบนตักของนางกลับกระพริบตาขึ้นอีกครั้ง…และคราวนี้สายตาของมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่ใช่แววตาเปล่งประกายใสซื่อของลูกหมาหลงทางทั่วไป หากแต่เป็นแววตาที่ "นิ่ง" จนน่าขนลุก ชั่วขณะแวบนั้นหลินหยารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน กลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่ลอยคลุ้งอยู่รอบขบวนคหบดีเมื่อครู่กลับกลายเป็นกลิ่นดินเปียกและหมอกขาว เหมือนเธอกำลังจ้องเข้าสู่โพรงลึกที่ทอดไปไม่สิ้นสุด แล้วก็เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีร่างของนางสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนมีอะไรบางอย่างหลุดออกจากจิต ดวงตาหลินหยาพร่าเบลอไปชั่วครู่ ความอุ่นในกายคล้ายถูกดูดหายจากกลางอก แล้วไหลปราดเข้าไปยังร่างของเจ้าหมาเงียบ ๆ โดยที่นางไม่ทันรู้ตัว
เถียนเฟิงซึ่งกำลังหัวเราะอยู่ก็พลันนิ่งเงียบ ดวงตาสีเข้มของเขาหลุบต่ำลงจ้องเจ้าหมาน้อยไม่วางตา ร่างกายของเขาชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจ แต่สำหรับยอดขุนนางผู้ฝึกปราณขั้นสูง เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน จังหวะพลังจิตหนึ่งของหญิงสาวข้างกายเหมือน ‘หายวับ’ ไปดื้อ ๆ "…เมื่อครู่เจ้ารู้สึกอะไรแปลกไปหรือไม่?" เขาถามเสียงต่ำ จ้องเจ้าหมาน้อยที่ยังนอนแนบอกหลินหยาด้วยแววตาไม่วางใจ
"หืม?" หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “ไม่...นะ ข้าก็ยังโอเคอยู่ เจ้าเซียนเฉ่าดูอารมณ์ดีขึ้นด้วยล่ะ เห็นไหม หน้ามันอิ่มหนำเลยนะ” เธอยิ้มอย่างไร้เดียงสา พลางลูบหัวหมาเบา ๆ ขณะที่มันกระพริบตาช้า ๆ มองเถียนเฟิงกลับด้วยสายตา...อย่างหมาไม่มีพิษภัย แต่แววตานั้นกลับล้ำลึกเกินกว่าลูกหมาตัวเล็กควรมี
เถียนเฟิงไม่ได้ตอบ เขาแค่มองสลับระหว่างหญิงสาวตรงหน้ากับเจ้าหมาน้อย…ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันเล็กน้อย...ไม่ใช่หมาทั่วไปแน่ สัมผัสของมัน...ไม่ใช่สัตว์สามัญและที่น่าประหลาดกว่านั้นคือ ตัวของหลินหยา ไม่ใช่แค่พร่าเลือน มันถูกรับเข้าไปในร่างของมันราวกับเป็นพิธีกรรมบางอย่างโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ "ข้าว่า..." เถียนเฟิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางก้าวเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงข้างหลินหยา ดวงตาเงียบเย็นแต่เจือด้วยความระแวดระวัง "เจ้านี่น่ะ อาจจะเป็นตัวอะไรที่มากกว่าแค่สุนักจรข้างถนน..."
"ท่านย่าดูถูกเซียนเฉ่าสิ!" หลินหยาหันมาทำหน้าเอาเรื่องทันที “มันอาจจะเคยเป็นหมาเซียน...แบบหมาประจำอารามเต๋าก็ได้นะ! ดูสิหน้ามันตอนนี้ สงบเยือกเย็นอย่างกับนักพรตเลย”
"นั่นแหละที่ข้ากำลังพูด..." เขาตอบเสียงแผ่วเหมือนคนคิดไม่ตก “มันอาจจะ...เป็นสัตว์เซียนจริง ๆ ก็ได้ แต่มิใช่ในความหมายของเจ้า” เขาเหลือบมองกรงไม้ที่มันเคยถูกขังอยู่ แผ่นไม้หนาถูกงับกระจายราวกับไม่มีค่า ดูจากแรงกัดไม่ใช่หมาปกติแน่ เถียนเฟิงเงียบไปอีกครั้ง ดวงตาเขานิ่งสนิท แต่ลึกข้างในเริ่มร้อนรุ่มด้วยคำถามในใจ...หรือว่า??
"หา?" หลินหยาหันมาขมวดคิ้ว แต่ก่อนจะได้ถามอะไรเพิ่ม เจ้าหมาน้อยกลับขยับตัวเล็กน้อย เอาหน้าถูเสื้อนางเบา ๆ ดูเหมือนจะอ้อนแต่ในดวงตาของมันวาบแสงบางอย่าง...ที่แม้แผ่วบาง ทว่าเถียนเฟิงก็เห็นมันชัดเจน...มันไม่ใช่หมาปกติแน่ ๆ และหลินหยาที่นั่งลูบหัวมันอยู่ ยังไม่รู้เลยสักนิด ว่าตนเองได้ผูกพันธะบางอย่าง...กับสิ่งที่ถูกผนึกมาเนิ่นนานแล้วโดยไม่รู้ตัว
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่ อื่น ๆ:
ตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยง Level ผู้ตั้งชื่อให้ 100 ใช้ตบะ 200 หน่วย : +20 Level ทันที
ซื้อ ใบชาไป๋หาวอิ๋นเจิน ราคา 1 ตำลึงเงิน 649 เหรียญอู่จู จำนวน 40 ชิ้น รวม 40 ตำลึงเงิน 25960 เหรียญอู่จู ซื้อ เนื้อสัตว์ ราคา 31 เหรียญอู่จู จำนวน 100 ชิ้น รวม 3100 เหรียญอู่จู
ตามกฎการซื้อ ทุกครั้งที่ทำการซื้อสินค้าจะต้อง +10% ภาษีการค้าแก่ขบวนคหบดีลู่ ต้องจ่ายเงินให้แก่ขบวนคหบดีลู่ (แปลงเป็นเงินเหรียญอู่จูเพื่อความสะดวกในการคำนวณ)
ใบชาไป๋หาวอิ๋นเจิน จำนวน 40 ชิ้น ราคารวม 41960 เหรียญอู่จู เนื้อสัตว์ จำนวน 100 ชิ้น ราคารวม 3100 เหรียญอู่จู รวมยอดสินค้าก่อนภาษี 41960 + 3100 = 45060 เหรียญอู่จู ภาษีการค้า 10% เท่ากับ 4,506 เหรียญอู่จู
รวมโอน 49566 เหรียญอู่จู หรือ แปลงค่าเงินคือ 123 ตำลึงเงิน 366 เหรียญอู่จู
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
|