[พิภพเทพ] ตำหนักเทพประมุข

[คัดลอกลิงก์]


ตำหนักเทพประมุข


{ พิภพเทพ }









【 ตำหนักเทพประมุข 】

ตำหนักโอ่อ่า หรูหรา บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของผู้เป็นเทพประมุขซ่างกู่ 
ผู้เป็นดั่งเทพสูงสุดของพิภพเทพ และ โลกใบนี้
เป็นสถานที่เหล่าสัจเทพและเทพบนพิภพเทพจะมาแลกเปลี่ยน
หรือร่วมประชุมปรึกษากันยามที่มีเรื่องต้องตัดสินใจ

และยังเป็นจุดหมายแรกที่คุณถูกดึงมาหลังตายในโลกดั้งเดิม








【 เทพประมุข 】
『 เทพซ่างกู่ 』
『 หากมนุษย์เรียกจะเรียกนาม สัจเทพอี๋เหอ』



เป็นหนึ่งในสัจจเทพทั้งสี่และมีฐานะเป็นเทพประมุขแห่งสามพิภพ
นอกจากนี้นางยังเป็นผู้สืบทอดพลังแห่งหุ้นตุ้น นางเลือกที่จะทิ้งความรักที่มีต่อไป๋เจวี๋ย และยอมเสียสละตัวเองเพื่อที่จะหยุดมหัตยภัยร้ายที่จะสร้างความวุ่นวายไปทั้งสามพิภพ
หลังสิ้นสุดมหันตภัยหุ้นตุ้น นางก็ได้สะสางโลกใหม่ 
แต่ด้วยภัยเงียบครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลาน เป็นสิ่งที่นางไม่อาจแทรกแซงหรือหยุดยั้งได้
จึงได้เลือกคนที่ตายในโลกดั้งเดิมเพื่อมาเกิดในโลกใบนี้
เพราะมีเพียงผู้คนในโลกดั้งเดิมที่จะเข้าถึงและซึมซับลมปราณที่กระจัดกระจายในโลก






18

กระทู้

224

ตอบกลับ

1954

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
2
ตำลึงทอง
79
ตำลึงเงิน
1510
เหรียญอู่จู
37192
STR
53+7
INT
70+0
LUK
6+2
POW
74+5
CHA
97+27
VIT
25+7
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
9940
ความชั่ว
655
ความโหด
5097
โพสต์ 2024-7-8 04:55:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-7-9 15:29





ทางเลือกของผู้วายชนม์

เธอค้นพบว่าวาระสุดท้ายไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คิด , สาวน้อยวัย 22 ปี ผู้เสียชีวิตด้วยการผลัดตกจากที่สูงกำลังนั่งยอง ๆ มองร่างที่บิดเบี้ยวจนผิดรูปหลังจากตกกระแทกพื้น เธออยู่แบบนี้มาสิบนาทีได้แล้ว ตลอดช่วงห้านาทีแรกที่พึ่งจะได้เห็นสภาพตัวเอง รสาทั้งกรีดร้อง ทึ้งหัว และพยายามต่อยกำแพง แน่นอนว่าทั้งหมดเปล่าประโยชน์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง สมแล้วกับที่ผู้คนมักกล่าวกันว่าโลกหลังความตายว่างเปล่าและโดดเดี่ยวที่สุด

ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอนกายลงนอนกับพื้นข้าง ๆ ร่างที่ไร้วิญญาณของตัวเองพลางยกมือขึ้นฟ้า เก็บนิ้วลงทีละนิ้วจนเหลือแต่นิ้วกลาง และตะโกนว่า “ ฟั— *ปึก* โอ๊ย !!! ” แผ่นจารึกหินขนาดย่อมชิ้นหนึ่งร่วงลงทับจมูกเธอเข้าอย่างจัง ความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หายไปนานแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว

“ แกมาจากไหนเนี่ย.. ” มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบปลายจมูก อีกข้างก็หยิบเจ้าแผ่นจารึกหินขึ้นมาอ่าน

‘ บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่แน่นอน ไม่มีใครล่วงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ความตายจะมาเยือนโดยไม่อาจรู้ล่วงหน้า และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังประสบพบเจออยู่ ถ้าคุณกำลังอ่านศิลาจารึกแผ่นนี้อยู่ล่ะก็ ย่อมแสดงว่าคุณได้ตายไปจากโลกแล้ว สวัสดี อีเมลตักเตือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้คุณระมัดระวังตัวขึ้นเลยสินะ? แต่ก็ช่างเถอะ ความตายนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตอย่างที่คุณเคยรู้หรือรับรู้มา เพราะสำหรับบางคนที่มีความเชื่อในศาสนาก็ต้องเชื่อว่ามีโลกหลังความตาย

สำหรับบางคน ความตายอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตที่ท้าทายยิ่งกว่า และนั่นคือสิ่งที่คุณกำลังจะได้เผชิญพบเจอต่อจากนี้ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ก็เท่ากับว่าการเตรียมการนั้นเรียบร้อยแล้ว คุณจะค่อย ๆ รู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิวราวขนนก และอีกไม่นานก็จะถูกแสงสว่างบางอย่างดึงตัวคุณมายังที่สุดแสนจะงดงาม ใช่แล้ว ยินดีต้อนรับ , ยินดีต้อนรับสู่ทางเลือกเพื่อชีวิตใหม่ ’

เหมือนแผ่นโฆษณาชวนเชื่อสุด ๆ ..

รสาถอนหายใจ เธอโยนแผ่นจารึกไปอีกทางอย่างขอไปที่ แต่ใครจะไปนึก.. ทันทีที่แผ่นจารึกปลิวไปไกล ร่างกายก็เริ่มที่จะเบาหวิว ทีละน้อย ตัวของเธอเริ่มลอยขึ้นต่อหน้าเส้นแสงปริศนาที่ปรากฏอย่างลี้ลับ แสงนั้นสว่างขึ้นทีละน้อย ก่อนจะดูดกลืนตัวของเธอเข้าไป



พื้นคอนกรีตเย็นเฉียบเปลี่ยนมาเป็นพื้นหินอ่อนสีขาวสะอาดตา จากค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงดาวกลางมาเป็นพื้นที่งามวิจิตรของตำหนักโบราณที่คล้ายว่าจะเคยเห็นอยู่แค่ในซีรี่ย์เทพเซียน รสากะพริบตาปริบ ๆ อยู่ทีสองที ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นจากพื้นในขณะที่หันมองซ้ายมองขวาจนคอแทบเคล็ด ที่นี่ดูคล้ายกับโถงประมุขสวรรค์ที่ประกอบไปด้วยลานกว้างสำหรับให้ผู้ที่มีชนชั้นต่ำต้อยได้มารายงานตัว ส่วนอีกขั้นที่สูงขึ้นไปหน่อยก็เป็นพระที่นั่งของเทพชั้นรอง และสุดท้าย .. ใจกลางสายตา เหนือสุดของตำแหน่งที่นั่ง ที่ตรงนั้นคือบัลลังก์สำหรับประมุขเทพแด่เพียงผู้เดียว

“ บ้าไปแล้ว.. ”

สายตาของเธอหลักลอยด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นตำหนักพระที่นั่งอันงดงาม กลิ่นอายบริสุทธิ์ราวกับได้อยู่บนสรวงสวรรค์ หรือแม้แต่ทะเลเมฆาเร้นลับที่เคลื่อนไหวราวคลื่นน้ำ ทั้งหมดล้วนเป็นความสวยงามที่ถึงจะมองนาน ๆ ก็ยังอยากที่มนุษย์จะทำใจยอมรับได้

“ ฉันดูซีรี่ย์เยอะไปแน่ ๆ นี่เป็นภาพหลอนหลังตายเหรอ? ” เธอขมวดคิ้ว

“ ไม่ใช่คำถามที่ว่า.. ‘นี่คือสวรรค์?’ แต่เป็น ‘ภาพหลอนหลังสิ้นใจ’ อย่างนั้นหรือ.. ”

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนที่เรียบลื่นน่าฟังดังขึ้นจากด้านหลัง ทั่วทั้งตัวของรสาชาวาบ เธอค่อย ๆ หันหน้ากลับไปทีละน้อยคล้ายกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบเข้ามาวิ่งเล่นในที่ ๆ ไม่ควร ผู้ที่ยืนอยู่นั้นคือสุภาพสตรีในชุดโบราณสีขาวปักดิ้นทองดูระยิบระยับน่ามอง แต่ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูแปลกตาและเป็นที่น่าสนใจ ทว่าสิ่งที่เรียกได้ว่าดึงดูดสายตากลับเป็นใบหน้าสงบเงียบที่กำลังเผยรอยยิ้มบาง ๆ เพื่อต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด

“ คุณ.. เอ่อ ท่าน ? อา.. ค คุณเป็นใครคะ ? ”

คำถามของเธอทำให้ตัวตนปริศนานี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ เจ้า.. คิดว่าข้าคืออะไรล่ะ? ” ตัวตนนั้นถามกลับพร้อมด้วยท่าทางจรรโลงเป็นอย่างยิ่ง ตัวตนปริศนาผู้นี้ขยับสองมือไขว่หลัง เบี่ยงกายเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เธอเดินตามไป

ไม่ใช่ว่าเป็นใคร.. แต่คืออะไร.. ??

รสาติดอยู่กับความรู้สึกประหลาดที่ติดอยู่ในใจ เหมือนกับว่ามันมีบางสิ่งที่เธอพลาดไป แต่ในขณะเดียวกันนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ ทว่าในระหว่างที่คิด ๆ อยู่นั้น เพื่อไม่ให้ถูกสายตารอคอยของตัวตนปริศนาทิ่มแทง เธอก็เลือกที่จะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะไม่แสดงความกระโตกกระตากในใจออกมา

“ นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบหน้ามนุษย์ ทว่าที่นานยิ่งกว่ากลับเป็นการได้พบผู้ที่มั่นคงมิตื้นเขิน.. ดูท่านี่คงเป็นโชคดีของข้า ” บนใบหน้าเรียบนิ่งนั้นแฝงแววอ่อนล้าระคนเศร้าสร้อย เช่นเดียวกับเสียงพูดเนิบนาบแต่ก็ชัดถ้อยชัดคำราวกับต้องการสลักทุกคำลงในจิตใจของผู้ฟัง

“ คุณคือพระเจ้าเหรอ? ”

คำถามของรสาทำให้ตัวตนปริศนาหยุดนิ่ง หญิงสาวลึกลับหันหน้ากลับมามองพลางส่งยิ้มให้อย่างแช่มช้า ราวกับมีลมสายหนึ่งพัดผ่านจนต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้า รู้อีกทีเงาร่างสีขาวก็ปรากฏอยู่บนแท่นสูงที่กล่าวได้ว่าเป็นบัลลังก์ของทวยเทพ

“ ข้าคือสัจจเทพอี๋เหอ ผู้เป็นประมุขแห่งสามพิภพ ”

“ แม้จะหาใช่ ‘พระเจ้า’ ที่มนุษย์โดยมากนับถือ แต่เมื่อเทียบดูแล้ว ข้าย่อมนับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่เจ้าสามารถกล่าวว่าเป็น ‘พระเจ้า’ ได้เช่นกัน ” รัศมีเจิดจรัสของผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นเทพเจิดจ้าเทียบเคียงตะวัน ประมุขแห่งสามพิภพปรายตาลงมองมนุษย์ที่ถูกเลือกด้วยแววตาใคร่ควร

“ เดิมทีเจ้าคงทราบดีอยู่แล้ว แต่ข้าจำต้องยืนยันสิ่งนี้อีกครั้ง ”

“ รสา เจ้าได้ตายไปแล้ว ตายอย่างไม่เป็นธรรม ” ในมือของสัจจเทพปรากฏก้อนกลมสีเข้มที่มีภาพเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน “ ส่วนมากแล้ว ผู้ที่สิ้นใจจากอุบัติเหตุล้วนแต่มาจากวาระเวลาที่สมควรประสบ แต่ในกรณีเจ้า.. นับว่าเป็นอุบัติเหตุที่แม้แต่ทวยเทพก็ไม่ทันได้คาดคิด ”

“ พูดง่าย ๆ คือ เรายังไม่สมควรที่จะตาย ถูกไหมคะ ? ”

“ ถูกต้อง ”

ประเสริฐมาก

รสายกมือขึ้นลูบใบหน้าเพื่อกดระดับความขุ่นเคืองให้เบาลง

“ ข้าเข้าใจว่าหากเลือกได้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงอยากกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ทว่าชื่อของเจ้าได้ถูกสลักลงบนทำเนียบผู้วายชนม์แล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงกายเนื้อที่บุบสลาย ” สัจจเทพกำมือหนึ่งครั้ง ก้อนกลมพิศวงที่บรรจุภาพเหตุการณ์ตายของวิญญาณมนุษย์ตรงหน้าก็เลือนหายราวกับว่าไม่เคยมีอยู่ “ เห็นแก่ที่เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าจึงอาศัยพลังลักลอบดึงวิญญาณของเจ้ามายังที่แห่งนี้เพื่อจะมอบโอกาสให้แก่เจ้า ”

คำว่า ‘โอกาส’ ทำให้สาวสมัยใหม่เลิกคิ้วขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าตอนนี้เรื่องมันกำลังดำเนินมาจนถึงจุดที่พระเจ้ายื่นขอเสนอให้เกิดใหม่ในนิยายหรือต่างโลกตามที่เธอเคยอ่านเจอหรอกเหรอ? เมื่อคิดได้แบบนี้ แววตาของสาวน้อยก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี เธอเป็นสาวกนิยายมาก็หลายเรื่อง ในที่สุดก็ถึงวันที่เป็นวันของเธอ

วันที่เราจะได้ไปเริ่มชีวิตใหม่ในต่างโลก!!

สัจจเทพอี๋เหอปรายตามองผู้ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ในใจด้วยสายตาว่างเปล่า นางกระแอ่มหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติของผู้ฟังให้กลับมาจดจ่อกับเนื้อหาสำคัญที่อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจรับ ‘โอกาส’ ดังกล่าว

“ โลกที่เจ้าเคยใช้ชีวิตอยู่ หาใช่โลกใบเดียวในจักรวาลนี้ ”

เพื่อประกอบการอธิบายให้เห็นภาพ สองมือเรียวของประมุขแห่งสามพิภพประกบกันพลางกรีดนิ้วตามลำดับท่ามุทรา ก่อให้เกิดกระแสละอองสีทองอ่อนเคลื่อนตัวเข้าหากันเป็นรูปร่างของโลกและจักรวาลที่มีมากนับอนันต์

“ เพื่อหลบเลี่ยงโชคชะตาจากโลกเดิม ข้านำพาเจ้าไปยังโลกอีกใบ ที่แห่งนั้นกล่าวได้ว่าคล้ายคลึงกับยุคสมัยจีนโบราณในโลกที่เจ้าเคยอยู่เป็นอย่างมาก ”

ดูเอาจากเสื้อผ้าหน้าผมเจ้ หนูว่าหนูก็รู้แล้วค่ะว่าเจ้ดูแลโลกธีมไหน รสาลอบยิ้มแหยอยู่ในใจ ก่อนจะพยักเพยิดไปกับคำพูดของฝ่ายที่เป็นเทพ

“ ถึงจะกล่าวว่าคล้าย.. แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะเหมือนกัน ที่โลกแห่งนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ลมปราณ’ และน้อยคนนักที่จะสามารถดูดซับหรือสืบทอดลมปราณเหล่านั้นได้ ผิดกันกับเจ้า ”

“ หากเจ้าตอบตกลงรับโอกาสใช้ชีวิตครั้งที่สองนี้ แม้จะแลกมากับการที่ต้องลืมเลือนอดีตชาติและใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชนทั่วไป แต่เจ้าก็ยังมีโอกาสที่จะรื้อฟื้นความทรงจำในอดีตกลับมาได้ และยังมีความสามารถที่สายเลือดแท้แห่งโลกใบนั้นไม่อาจทำได้โดยง่าย.. นั่นก็คือการดูดซับลมปราณ ”

ทิวทัศน์จักรวาลกว้างใหญ่เปลี่ยนมาเป็นทิวทัศน์ของใต้หล้างามวิจิตรที่ซุกซ่อนความอัศจรรย์เอาไว้มากมาย

“ มีคำถามค่ะ ”

“ ถ้าสุดท้ายก็ต้องลืมความทรงจำทั้งหมดนี้ไปก่อนแล้วค่อยรื้อฟื้นกลับมาได้ ส่วนลมปราณ ท่านไม่ได้บอกว่าสายเลือดแท้ ‘ทำไม่ได้’ แต่บอกว่า ‘ไม่อาจทำได้โดยง่าย’ เท่ากับมีโอกาสถึงจะไม่มากแต่ก็ยังถือว่ามี งั้นมันจะต่างอะไรไปจากการเกิดใหม่ธรรมดา ๆ ในแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาการชักนำของท่านล่ะ ? ” เงื่อนไขสำคัญอย่างความทรงจำถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าเดิมทีรสาจะไม่ใช่คนยึดติดในอดีต รวมไปถึงลึก ๆ แล้วก็ค่อนข้างที่จะเข้าใจวงจรเวียนว่ายตายเกินเป็นอย่างดี แต่เพราะข้อเสนอนี้ก็ดูไม่ได้เย้ายวนใจอะไร หากว่าคนที่ฟังไม่ใช่พวกคอนิยายหรือซีรี่ย์แฟนตาซี

“ ต่างสิ ” สัจจเทพอี๋เหอกล่าวพลางยิ้มเย็น “ หากไม่ตอบรับข้อเสนอนี้เจ้าก็แค่ต้องลงไปชดใช้กรรมอยู่ในปรโลกจนกว่าจะถึงวาระที่ได้เกิดใหม่ .. อีกทั้ง เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง เจ้าจะไม่มีทางได้จดจำเรื่องราวเมื่อเก่าก่อน และตลอดชีวิตนั้นก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสืบทอดขุมพลังได้ตามที่ใจอยาก ”

พูดแบบภาษาชาวบ้านคือ ถ้าไม่รับก็ไปลงนรกซะ

รสาหัวเราะแห้งออกมาเบา ๆ ถือเป็นการตอบรับที่ใครเห็นก็อดเวทนาแทนมิได้ แม้แต่กับเทพชั้นสูงเช่นสัจจเทพอี๋เหอก็เช่นกัน “ เจ้านั่งก่อนเถิด ” คำชักชวนไร้ที่มาทำเอาคนฟังงงเป็นไก่ตาแตก ในระหว่างที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดด้วยความจนใจว่า ‘ไม่มีที่ให้นั่ง’ ประมุขแห่งสามพิภพก็พลันโบกมือหนึ่งครั้ง เผยให้เห็นโต๊ะหินและเก้าอี้สองตัว พร้อมด้วยของว่างและน้ำชาตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางตำหนักเทพประมุข

รสา “ …. ”

“ ที่โลกเดิมของเจ้า.. เจ้าชำนาญประวัติศาสตร์หรือไม่? ” องค์เทพเอ่ยถามในขณะที่ก้าวเดินลงมาจากแท่น เทพประมุขใช้สายตามองไปทางเก้าอี้หินตัวหนึ่งเชิงบอกกล่าวให้สาวน้อยหลงยุคได้นั่งลงซึมซับกับบรรยากาศสวรรค์อันจรรโลงใจ

จรรโลงใจคู่กับคนที่ปกครองสวรรค์ พับผ่าสิ !

“ ก็เคยอ่านมาบ้าง ” คนอย่างรสาไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าตัวเองเป็นผู้ชำนาญการ คำตอบที่ว่าอ่านมาบ้างก็คืออ่านมาบ้างจริง ๆ ก่อนหน้าที่จะหันไปจริงจังกับการเรียนสายสุขภาพจิต เธอเคยเป็นนักเรียนดีเด่นของวิชาประวัติศาสตร์ที่คลั่งไคล้ในการหาข้อมูลถึงขนาดคิดอยากสอบเข้าคณะโบราณคดี แต่สุดท้ายก็เป็นอันต้องพับแผนการทิ้งไปเพราะรู้ดีว่ามันคงยากต่อการหางานในอนาคต แต่ถ้ารู้แบบนี้ .. บางทีเธอคงจะเลือกเรียนตามที่ใจอยากไปซะตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อคิดมาถึงจุดนี้รอยยิ้มบนใบหน้าก็กลายมาเป็นร่องรอยแห่งความขมขื่น สาวยุคสองพันทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หิน หลุบตามองถ้วยชาและป้านน้ำชาเล็กน้อย

ดูแล้วคงต้องบริการตัวเอง สองมือขาวขยับเข้าจับป้านชา ยกขึ้นและรินชาลึกลับกลิ่นหอมกรุ่นลงบนถ้วยของสัจจเทพอี๋เหออย่างระมัดระวัง กระทั่งรินให้ตัวเองจนเสร็จ เธอถึงได้สังเกตว่าผู้ร่วมโต๊ะอย่างเทพประมุขกำลังมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ

“ ฉัน.. ทำอะไรผิดเหรอคะ ?? ”

“ เปล่า ข้าก็แค่… ”

“ คิดว่าหากเป็นเจ้า การปรับตัวเข้ากับโลกใหม่คงไม่ใช่เรื่องยาก ”

แว่วเสียงช่วงปลายแผ่วเบาราวกับว่าวางใจ องค์เทพยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่ออย่างเป็นธรรมชาติ “ ที่แห่งนั้นปัจจุบันยังคงอยู่ในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้.. โอรสมังกรผู้โดดเด่นเช่นนั้นย่อมเป็นจักรพรรดิที่ดีเยี่ยม ด้านความสงบสุขของบ้านเมือง.. หากได้เป็นคนของต้าฮั่น เช่นนั้นก็คงวางใจได้อยู่บ้าง ส่วนที่นอกบริเวณต้าฮั่น ในตอนนี้ยังคงเป็นเพียงพื้นที่รกร้าง สำหรับชนเผ่าชาวป่ามากมายที่มีทั้งมิตรและศัตรู ทว่า.. ที่อันตรายต่อมนุษย์ก็คงจะมีเพียงดินแดนทมิฬของฟากฝั่งตะวันตกที่ได้รับการปกครองและอยู่อาศัยโดยปีศาจ ” ระหว่างที่พูด สัจจเทพองค์นี้ก็พยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้ฟังเป็นอย่างดี จนได้พบเห็น ‘ความตื่นเต้น’ ในแววตานั้นเข้าอย่างจัง

“ เจ้าคง.. ”

ตกลงสินะ

“ มันก็ไม่ใช่ข้อเสนอที่แย่อะไรนี่คะ ” รสาหัวเราะเบา ๆ “ ไม่มีใครอยากตายโดยเปล่าประโยชน์อยู่แล้ว.. ถึงฉันจะยังไม่เข้าใจว่าท่านต้องการอะไรจากข้อเสนอนี้— อย่ามองแบบนั้นสิคะ แต่ไหนแต่ไรมาเทพก็ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ การที่อยู่ ๆ โผล่มาแบบนี้ ต่อให้ตายไปแล้ว ฉันว่ามันก็ต้องมีอะไรสักอย่างอยู่ดี ”

ถ้วยน้ำชาในมือเธอถูกคลึงไปมาเบา ๆ พร้อมด้วยใบหน้าที่ใช้ความคิด แต่สุดท้ายสิ่งที่ปรากฏออกมากลับเป็นรอยยิ้มจนใจ “ ไม่ต้องบอกหรอกค่ะ ยังไม่ถึงเวลา? อะไรแบบนี้ใช่ไหมล่ะ.. เอาเถอะ ยังไงการได้ไปใช้ชีวิตในโลกที่น่าสนุกแบบนั้นก็คุ้มค่าพอแล้ว เดิมทีฉันไม่ใช่คนเรื่องมาก เพราะฉะนั้นสบายใจเถอะค่ะ ” คำพูดของมนุษย์น้อยคล้ายจะทำให้เทพประมุขประหลาดใจอยู่มากทีเดียว สัจจเทพหญิงนิ่งเงียบไปหลายอึดใจถึงได้ผ่อนลมหายใจออกผ่านริมฝีปากอย่างเชื่องช้า

“ ข้าจะให้พรเจ้า ” การตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ของสัจจเทพจบลงที่ตรงนี้ ผู้ปกครองสามพิภพวางถ้วยชาลงพลางระบายยิ้มอันแสนอ่อนโยน “ อยากจะเป็นผู้ฉลาดเฉลียวเช่นจอมปราชญ์ ไร้พ่ายเช่นเทพสงคราม งดงามดั่งยอดพธู หรือจะโชคลาภมากล้ำเช่นดาวนำโชค.. เจ้าเลือกมาสิ ”

“ ฉันไม่ใช่พวกที่ชอบใช้แรงโดยเปล่าประโยชน์มาแต่แรกแล้ว เทพสงครามคงไม่เหมาะ ส่วนความเฉลียวฉลาด อืม.. ฉันคงเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ”

แต่เมื่อกี้นี้เจ้าพึ่ง .. สัจจเทพอี๋เหอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับมามีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม

“ ฉันไม่ใช่พวกที่เชื่อเรื่องโชคด้วย ดูเอาจากที่พึ่งตายมาเพราะความซวยสุด ๆ ” ดังนั้นจะเหลือก็แต่ยอดพธู หญิงสาวจากยุคสองพันกลืนน้ำลายลงคออย่างช้า ๆ ในโลกยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน เรื่องของความงามถือเป็นสิ่งอันตรายอันดับต้น ๆ อีกอย่างตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอก็เจอประสบการณ์ ‘ดี ๆ’ เพราะหน้าตาที่โดดเด่นของตัวเองมาก็เยอะไม่ใช่น้อย แต่..

“ ให้ฉันได้งดงามเหมือนกับยอดพธูก็แล้วกันค่ะ ”

“ ข้านึกว่าเจ้าจะเข็ดขยาดกับความงามแล้วเสียอีก ” เทพประมุขถามเสียงเบาด้วยความไม่เข้าใจนัก คราวเคราะห์ของเด็กสาวตรงหน้าส่วนมากล้วนมาจากหน้าตาทั้งนั้น เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายยินดีกระโดดลงไปในเส้นทางเดิม ทั้งที่ดูจะอันตรายขึ้น ในฐานะที่ต่อจากนี้ยังต้องพึ่งพาอีกฝ่ายจะให้หลับหูหลับตาให้พรไปเลยก็ใช่เรื่อง

“ จะว่าเข็ดมันก็ใช่นั่นแหละค่ะ แต่อีกใจหนึ่งมันก็มีความคิดประหลาด ๆ อยู่เหมือนกัน ” ทีละน้อย บรรยากาศรอบกายที่เคยว่าง่ายก็เริ่มกลายเป็นคุกกรุ่น “ เพราะฉะนั้น.. ท่านสัจจเทพคะ ”

“ ที่ผ่านมาที่ชีวิตฉันวุ่นวายได้ขนาดนั้นคงเป็นเพราะฉันสวยไม่พอแน่ ๆ ดังนั้นชาตินี้ขอให้ความงามของฉัน เฉิดฉันยิ่งกว่าจันทราเหนือป่าหยก เป็นโฉมงามเลิศล้ำในต่ำใต้ แม้แต่เทพเซียนเมื่อได้เห็นก็ยังยินยอมเผชิญหน้าเคราะห์กรรมเพื่อฉัน จะต๋าจีก็ดี สี่ยอดพธูก็ช่าง หรือแม้แต่ยิ้มพันตำลึงทอง ทั้งหมดนั้น ต่อจากนี้ หน้าตาของฉันต้องเป็นที่หนึ่ง ! เอาถึงขนาดที่ชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้ก็ไม่มีใครกล้าขัด ”

“ … ”

เสียง ‘ออ’ เบา ๆ ดังออกมาจากปากของผู้มอบพร สัจจเทพอี๋เหอเข้าใจแล้ว ที่แท้ยัยหนูคนนี้ก็นึกว่าตัวเองสวยไม่พอที่จะใช้หน้าตาสยบทุกอย่างถึงได้เลือกขอให้ตัวเองกลับไปเป็นคนสวยก็เพื่อหาวิธีใช้สิ่งเหล่านั้นให้คุ้มค่านี่เอง “ เข้าใจแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้เป็นผู้งดงามถึงขนาดใครก็ไม่กล้าคัดค้าน อยากได้อะไร ต้องการสิ่งไหนก็ขอให้สมปรารถนา.. ข้อดีที่เปรียบเสมือนดาบสองคมนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้งานมันได้อย่างชาญฉลาด ”

เมื่อกล่าวจบ ลมวูบใหญ่ก็พัดเอากลิ่นหอมของเหมยฮวาเข้ามาภายในตำหนักที่แสนสงบ สัจจเทพอี๋เหอเฝ้ามองเงาร่างของมนุษย์ตัวน้อยให้เต็มตาอีกครั้งก่อนที่จะร่ำลา

ใบหน้าเรียวที่เปี่ยมไปด้วยองค์ประกอบของคนงาม.. แต่ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้ อาศัยแค่ความงามนี้คงไม่มากพอที่จะตรึงใจผู้คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการชักนำที่คล้ายกับกระชากจิตวิญญาณให้คล้อยตาม “ อย่าห่วงไปเลย.. เราจะยังได้พบกันอีกแน่ ” สิ้นคำ กระแสลมรุนแรงก็หอบเอาดวงจิตของผู้วายชนม์ให้ลอยขึ้น

“ สักวันหนึ่ง เราคงได้พบกันอีก แต่อย่ากลับมาที่นี่ไวเกินไปนักล่ะ จงใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี ดั่งเช่นที่เจ้าปรารถนา … ”

“ ลาก่อนเด็กน้อย ”







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 45259 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-7-8 04:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณจิ้งจอกสวรรค์(ไม้)
เสน่ห์ฟ้าประทาน
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x1
x1
x10
x15
x4
x1
x1
x1
x3
x1
x2
x6
x5
x2
x4
x8
x2
x4
x1
x11
x10
x3
x4
x16
x3
x5
x4
x1
x7
x6
x4
x11
x4
x1
โพสต์ 2024-7-9 22:27:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeijiaLianhua เมื่อ 2024-7-9 22:53


ยามเหลียนฮวาเบ่งบาน




  ลกใบนี้ช่างเส็งเคร็ง…รอบที่สอง

   ร่างกายแสนหวิว ดวงจิตแสนสงบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ราวกับล่องไปในลำน้ำใสในบ้านนอก ความผ่อนคลายที่โหยหานี้ไม่ทันที่ไป๋ฮวาจะโอบรับรัตติกาลแสนสงบกลับถูกดึงให้จมลงสู่ก้นบึ้งและร่วงลงราวกับหยาดฝน…ทว่านี่คือร่างของเธอ ไม่ใช่หยดน้ำโง่ ๆ แต่อย่างใด แม้ว่าร่างกายจะไม่เจ็บปวดแต่เมื่อภาพทัศน์ที่เธอรับรู้คือการดิ่งพสุธาลงพื้นใสและดวงดาว มือบางก็ไม่วายจะลูบคลำสำรวจหาจุดที่ฟกช้ำดำเขียว

   ราวกับแสงอาทิตย์พุ่งขึ้นโอบกาย ทันใดนั้นเองดวงตาเมล็ดซิ่งก็ได้รับทราบถึงความงดงามของทัศนะตรงหน้า ทั้งแดนล่องนภาเหนือเมฆาทอง พฤกษาใบหยกเปล่งประกาย ทั้งหมดนี้ช่างไม่ต่างจากเธอหลุดเข้าไปในซีรีส์สักเรื่อง หญิงสาวตัดความคิดรายการโทรทัศน์ซ่อนกล้องใด ๆ ออกไปทันที เพราะนี่ไม่ใช่ซีจีปั้นแต่งราคาหลักล้าน แต่นี่คือของจริง

   หรือว่าเราตายไปเกิดใหม่เป็นเซียนสาวเหมือนตามม่านฮวา ?

   ขอถอนคำพูดของเธอที่คิดภายในใจเมื่อครู่นี้ว่าโลกใบนี้ช่างเส็งเคร็ง นี่คือสวัสดิการหลังความตายของคนคนนึงที่อย่างน้อยก็ประกอบอาชีพสะสมแต้มบุญหรือ ? นัยน์ตาน้ำตาลไหม้สอดส่ายสายตาเมียงมองรอบกายอย่างตั้งอกตั้งใจ นึกอยากทราบขึ้นมาทันใดว่าที่แห่งนี้มีบริการเช่าชุดฮั่นฝูหรือไม่

   “มิต้องเปลืองตำลึงใด ๆ ทั้งสิ้น ไป๋ฮวา เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เจ้าจักได้สวมอาภารณ์ที่เจ้าปรารถนาจนระอาเชียว”

   แว่วเสียงหวานทว่าทรงอำนาจดังก้องในดวงจิต ใบหน้าสวยที่มองไปทั่วทิศทั่วแดนต้องหันมองตามทิศที่คาดว่าเป็นแหล่งกำเนิดเสียงโดยพลัน จากเรือนกลางเวหาว่างเปล่าบัดนี้ได้ปรากฎสตรีงามงดในอาภรณ์ผ้าไหมปักลาย ท่วงท่าสูงส่งงามสง่า ประดุจสรรพสิ่งรอบด้านล้วนดำรงอยู่เพื่อเจ้าหล่อน ด้วยประสบการณ์ของติ่งซีรีส์จีนล้วนต้องฟันธงในใจแล้วเป็นแน่ว่าคนตรงหน้าต้องเป็นเทพเซียนสักองค์

   “นับว่าดวงตาเจ้ามิได้ไร้แวว” ราวกับย่างก้าวสุดขุนเขา พริบตาเท่านั้นเซียนหญิงได้มาปรากฎตรงหน้าไม่ห่างไกล “บ่วงพันธะไม่มีวันขาด วังวนวัฐสงสารเวียนว่ายบรรจบ ดวงจิตผู้น่าสงสารสิ้นลมซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยอาภัพใจ”

   มือเรียวผ่องใสยกขึ้นลูบศีรษะเล็กราวกับมารดาของไป๋ฮวาผู้ล่วงลับครั้นเยาว์วัย หากมารดายังมีลมหายใจคงรู้สึกอบอุ่นในอกเฉกเช่นนี้เป็นแน่ “ไป๋ฮวาเอ๋ย ไป๋ฮวา ข้าผู้เฝ้ามองสรรพชีวิตทุกหย่อมหญ้ามีสิ่งหนึ่งจักประทานให้แก่เจ้า เพื่อประโยชน์ในอนาคตเจ้าจักได้ถือกำเนิดพร้อมกับความทรงจำชาตินี้ หากแต่การโยกย้ายวิญญาณที่มากด้วยความทรงจำเช่นนี้จะทำให้ดวงจิตของเจ้าแบกรับมวลความคิดมากเกินรับไหว ดวงจิตโลกาเองก็จักมองดวงจิตมากด้วยสะสารนี้เป็นสิ่งแปลกปลอม เช่นนั้นแล้วข้าจักกระจายเสี้ยววิญญาณของเจ้าตามสถานที่ที่เจ้าจักได้ไป แฝงห้วงคำนึงต่างภพชาติไว้ทุกย่างก้าวที่เจ้าเดิน สักวันเจ้าจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ และข้าหวังว่าเจ้าจักมีความสุขสักครั้ง เสี่ยวฮวา”

   ไป๋ฮวาที่รับฟังสิ่งเหล่านี้ก็อึ้งกิมกี่นิ่งค้างราวกับถูกหยุดเวลา เธอพยายามทำความเข้าใจสิ่งน่าเหลือเชื่อทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ “นั่นหมายถึง ฉันจะได้ไปเกิดใหม่แบบไม่ต้องยกซดน้ำแกงยายเมิ่งหรือ—...เจ้าคะ ?”

   “หากเจ้ายินยอม แทนที่จักดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ข้าจักให้เจ้ารับพรสักสิ่งจากทั้งหมดนี้ที่ข้าตระเตรียมไว้”

   สิ้นคำถามของหญิงสาวชาวมณฑลฉางอันยุคสองพันโดยกำเนิดเทพเซียนหญิงผู้นี้ก็แย้มยิ้มขบขันก่อนจะเสนอบางสิ่งที่เป็นดั่งลูกกลอนสี่สี สตรีผู้นี้อธิบายว่า หนึ่งคือดวงตากว้างไกลปัญญาเลิศล้ำ สองคือพละกำลังและความแข็งแกร่งดุจขุนเขา สามคือความงามพริ้งเพราไร้ที่ติ สี่คือโชคลาภจงสถิต ณ กายา หนึ่งโอกาสตัดสิ้นทั้งชีวิต ไป๋ฮวาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตระหนักได้ถึงสิ่งที่ถีบส่งตนมาเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะดวงใจไม่รักดี เช่นนั้นแล้วเธอก็มีคำตอบสำหรับตัวเลือกนี้เรียบร้อยฃ

   “ปัญญา ฉันเลือกปัญญาค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมหยิบลูกกลอนอันแรก “จะได้ไม่โง่งมหลงผิดจนตัวตายเช่นนี้อีก”

   สิ้นวาจาแม่นมั่น ลูกกลอนในมือเรียวก็ถูกโยนเข้าปากกลืนลงท้อง ภายในกายพลันอุ่นวาบพร้อมกับรอยยิ้มเปรยประดับของเทพเซียนหญิง เธอคนนั้นสะบัดชายแขนเสื้อเพียงแผ่วเบา กลับเกิดลมหวนตีโอบกายใสของไป๋ฮวาจนปลิวหล่นจากแดนเหนือเมฆา

   และกลายเป็นดวงจิต จุติลง ณ เรือนเจ้ากรมโยธาธิการแห่งต้าฮั่นอันยิ่งใหญ๋


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 13330 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-7-9 22:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x7
x70
x50
x10
x1
x40
x12
x33
x5
x42
x9
x40
x43
x1
x269
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x1
x11
x6
x1
x21
x33
x12
x2
x1
x19
x10
x5
x6
x3
x20
x4
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x247
x10
x4
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x105
x67
x33
x152
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2024-7-10 22:44:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ศิลา ผู้วิวัฒน์กลายเป็นทอง


เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้

"นี่ผมยังไม่ตายเหรอ" ศิลาลืมตาตื่นขึ้นมายังที่ๆเขาไม่รู้จัก

"ทำไมร่างกายผมเบาลงล่ะ รู้สึกเหมือนร่างกายกลับมาเด็กลงเลย" เขาลองขยับร่างกายดูมันช่างเบาสบาย

"เพราะเจ้าตายแล้วยังไงล่ะ" หญิงสาวนางนึง ค่อยๆลอยตัวลงมา


"เหวออ เดี้ยวๆ บ้าไปแล้วโลกนี้จะมีคนลอยตัวลงมาได้ไง หรือผมหลับเพลินจนตอนนี้พัฒนา โฮเวอร์เทคโนโลยีสำเร็จแล้ว" ศิลาทำท่าเลิ่กลั่ก รู้สึกสติแตก

หญิงสาวนางนั้นเหลือบมองไปที่ศิลา "เจ้าตายแล้วจริงๆ" นางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ

"แต่ถึงขั้นสร้างกายเนื้อได้ในมิตินี้เชียวรึ จิตตานุภาพเจ้านี่ ไม่อยากตายขนาดนั้นงั้นรึ" นางกล่าว

"ใครมันจะไปอยากตายล่ะครับ แล้วตาย จิตตานุภาพ ผมงงไปหมดแล้ว" ชายหนุ่มเริ่มตั้งสติและกล่าวถาม

"เจ้า ณ อยากได้โอกาสอีกครั้งรึไม่ โอกาสที่จะได้ใช้ชีวิต โอกาสที่จะได้ถูกรัก โอกาสที่เจ้าจะได้รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง" หญิงสาวจ้องไปที่ตาของชายหนุ่ม

"ตัวข้า สัจจเทพ ผู้ปกครองเหนือสามโลก จักให้โอกาสเจ้า เจ้าจักรับมันไหม แลกกับการที่เจ้าจักต้องทำภารกิจที่ข้ามอบให้" หญิงสาวกล่าวทบ

"แน่นอน ถ้ามีโอกาสให้ผมแก้ไขผมจะไม่ผิดพลาดแบบเดิม" ศิลากล่าวรับคำนั้น

"ดี ข้าจะประธานพรให้แก่เจ้า ร่างกาย ปัญญา เสน่ห์ และ โชค เลือกมา" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"โชค!แน่นอนผมเอาโชค! ร่างกาย ผมสามารถออกกำลังกาย ปัญญาผมสามารถหาความรู้ได้ยิ่งถ้าผมได้ไปแบบมีความทรงจำตอนนี้ละก็ ผมจบ MIT เลยยังได้ เสน่ห์...มีไปก็ไม่ทำให้ใครรักผมหรอก" ชายหนุุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

หญิงสาวจรดปลายนิ้วไปที่อากาศก่อนที่จะชี้ไปที่ทางศรีษะของชายหนุ่ม

"โอ๊ะ ข้าลืมบอกไปซินะว่าเจ้าจะได้ไปยังโลกที่ไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกับเจ้าหรอกนะ ข้อมูลพื้นฐานของโลกนั้น และ พร ข้ายัดใส่หัวเจ้าแล้ว ขอให้โชคดีสมดังใจปราถนา ยินดีต้อนรับสู้โลกของข้า" หญิงสาวยิ้มบางๆ

ศิลาค่อยๆซึมซับความรู้และพรที่เข้ามาในหัวก่อนที่เขาจะไปเกิดใหม่.... ในโลกที่ไม่ใช่ใบเดิม

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4861 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-7-10 22:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-7-11 22:27:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย FuMi เมื่อ 2024-7-11 22:36








ปิติทำนองแด่นางผู้ขับขาน



นาวาชีวิต ฝ่ามรสุมไม่สิ้น อันว่าโชคดีนั้นเรียกขานได้ว่า ข้ามอุปสรรคพันหมื่นหน ร่างตนยังมิได้แหลกเหลว


          ข้ามผ่านอนธกาลความมืดมิดไร้ก้นบึ้งเมื่อร่างดำดิ่งลงไปและแสงประกายสุดท้ายวูบลับในแววตา เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภาระบีบคั้นบนบ่าทั้งสองถูกปลดออก ความเหน็บหนาวที่เคยเกาะกุมร่างจนถึงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเบาสบาย เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้งห้วงน้ำใต้ธารเย็นเยียบรอบกายก็แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่สว่างสไวเรืองรอง


          ‘ที่นี่.. ที่ไหนกันนะ’ ไม่คล้ายคลึงกับโรงพยาบาล รอบด้านมีทิวเมฆหลากสีและกลุ่มอาคารโบราณล่องลอยกลางอากาศเหมือนฉากยอดฮิตในซีรี่ย์แนวเทพเซียน 


          จะร้ายดีมิเคล่าเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบันใบหน้าสะคราญฉายแววสับสน ก่อนที่ความว่างเปล่าเบื้องหน้าจะปรากฎภาพฉายให้เห็นถึงร่างของหญิงสาวผมบลอนด์เงินในชุดกระโปรงการแสดงสีขาวลอยเคว้งอยู่ใจกลางทะเลสาบ ใบหน้าของเธอสงบนิ่งราวดวงตาปิดสนิทราวกับเจ้าหญิงผู้นิทราใต้ผืนน้ำแข็ง ไม่ต้องถามเลยว่านี่คือ ‘อุบัติเหตุ’ ที่พึ่งคร่าชีวิตเธอ สองมือยกขึ้นบดเบือนบังภาพเบื้องหน้ามิเคล่าหวังว่าตนเองจะยอมรับได้เมื่อเวลาผ่านไป..


          สุดท้ายแล้ว เวลาจะช่วยอะไรได้? ในเมื่อบาดแผลมันอยู่ที่ใจไม่ใช่นาฬิกา


          “ชะตากรรมผันแปรไม่สิ้นสุด บางคนถึงคราวกลับรอดพ้น บางรายที่ควรอยู่กลับต้องตาย”


          เสียงของสตรีดังขึ้นในโสตสำนึกทำหญิงสาวหันมองไปรอบๆ จนพบว่าตนกำลังล่องลอยอยู่เบื้องหน้าบังลังก์ขนาดใหญ่บนนั้นคือร่างของสตรีชุดขาวในอาภรณ์โบราณปราณีต เส้นสายบนใบหน้าสง่างามและเปี่ยมเมตตายามสายเนตรสบผ่านค่อยได้รับรอยยิ้มแทนคำทักทาย 


          ‘คุณคือยมฑูต? หรือว่าที่นี่คือดินแดนหลังความตาย.. ช่วยส่งหนูกลับไปได้ไหมคะ แค่สิบนาทีรึช่วงสั้นๆ ก็ได้.. ยังไม่มีโอกาสได้บอกลากันเลย..’ ครอบครัวของเธอ เพื่อนที่มีเพียงหยิบมือ.. เธอหายไปปุบปับแบบนี้พวกเขาคงเศร้าใจ น่าแปลกที่แค่คิดถ้อยคำเหล่านั้นอีกฝ่ายกลับได้ยินและเข้าใจ


          “เด็กน้อย อย่าได้เศร้าเสียใจไปเลยการที่ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อแจ้งว่า.. ชะตาของเจ้ายังไม่ถึงคราวสิ้นสุดทว่าด้วยกฎเกณฑ์ของโลกเก่าช่างน่าเสียดายนัก.. กายเนื้อบอบช้ำจนเกินไปข้าพิทักษ์ได้เพียงจิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้น” 


          ฟื้นคืนชีพไม่ได้.. นั่นคือสิ่งที่สตรีแปลกหน้าผู้เปี่ยมความสง่าหมายใจจะสื่อ


          “...........” มิเคล่ายังคงเงียบงันเธอพยายามทำความเข้าใจกับความเป็นจริงตรงหน้าช้าๆ ไม่ได้กรีดร้อง โวยวาย หรือแม้แต่หลั่งน้ำตา.. สมกับที่การหล่อหลอมเลี้ยงดูเจ้าหญิงน้ำแข็งผู้สลักเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ข้างใน มีเพียงประกายดวงตาที่สั่นไหวบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของหัวใจดวงน้อยกำลังรับมือมรสุมทางอารมณ์อย่างยากลำบาก


          “ข้าเลือกเจ้ามาเพื่อมอบโอกาสให้ ฟังให้ดีข้อเสนอมีเพียงครั้งเดียว.. หืม มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง…”


          สัจจเทพอี๋เหอปรายลงมองยังข้อแขนขาวของวิญญาณผู้ผ่านทางสายประคำโบราณที่ควรเป็นสีขาวสะอาด กลับมีถึงห้าเม็ดติดกันที่เจือด้วยสีดำสนิท! สิ่งนี้สื่อถึงสิ่งใดจึงทำให้เส้นสายพลังงานของเทพประมุขอ่อนโยนลงถึงเจ็ดส่วน นางส่ายหน้าเบาๆ รำพันกับความเวทนาสงสารดวงจิตตรงหน้า  


          “ลูกปัดทมิฬ.. ดูเหมือนนี่มิใช่ครั้งแรกที่เจ้าต้องตายอย่างอยุติธรรม” ชายอาภรณ์ยาวปัดขึ้นคราหนึ่ง ภาพสสถานการณ์ภพเก่าก่อนทั้งห้าก็เริ่มโลดแล่น 


          ชาติแรกเกิดในตระกูลสูงศักดิ์สุดท้ายถูกคู่หมั้นทรยศทำลายทุกสิ่งจนวอดวาย

          ชาติที่สองเป็นถึงนักวิชาการอัจฉริยะผู้อยู่ผิดยุคสมัยจนโดนกลุ่มคลั่งศาสนาทำร้ายจนตาย

          ชาติที่สามแม้ได้สวมมงกุฎกลับโดนขุนนางใช้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิดไม่พ้นถูกบีบให้กลืนยาพิษ..

          ชาติที่สี่.. ห้า… ต่างเป็นการตายโดยไร้ความเป็นธรรม ไม่ถูกกระทำจนพินาศก็สละตนเองเพื่อผู้อื่น 


          “เด็กน้อยเคยคิดแค้นพวกเขารึไม่ ? คนที่ทำร้ายเจ้า บีบคั้นเจ้า.. กระทั่งพรากลมหายใจของเจ้าไป”


          มิเคล่ามองภาพเบื้องหน้าชีวิตหลากหลายของตนเองเห็นแล้วไม่ต่างจากภาพฉายวนซ้ำ เป็นคนอื่นคงฟูมฟายกับโชคชะตาบัดซบอย่างน้อยสบถสักคำแทนการระบายความอัดอั้น ทว่าจิตวิญญาณอันโปร่งประกายกลับส่ายหน้าเบาๆ ประดับรอยยิ้มอ่อนใจ คำถามนี้ตอบไปแล้วจะได้อะไร สภาพเธอไม่ต่างจากอากาศคงรูปร่างยังทำอะไรใครได้อีก


          ‘คุณบอกว่าโชคชะตาคือสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ผู้คนต่างความเชื่อ ไม่มีใครไม่ดิ้นรนพยายามบนหนทางของตนอย่างไม่ย่อท้อ บางทีหนูอาจเป็นแค่คนโชคร้ายที่บังเอิญไปอยู่ตรงนั้นก็เท่านั้นเอง’  


          “โลกมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลสและความโลภต่างป่ายปีนขึ้นสูงแม้ต้องเหยียบย่ำผู้อื่นต่างขั้นบันใด ต่อให้เจ้าไม่ล่วงเกินใคร ก็เป็นพวกเขาที่ล่วงเกินเจ้าอยู่ดีไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง การสู้เพื่อปกป้องตนเองมิใช่วิถีที่ผิดบาปเลยเด็กน้อย” ยิ่งกว่าบททดสอบคือถ้อยคำแนะนำโดยเทพสูงสุด 


          ‘แค่ไม่ต้องการ..เป็นเหมือนพวกเขา’


          “หมายถึงการเข้มแข็ง ?”


          ‘ทำร้ายคน.. เพื่อตนเอง’ 


          สัจจเทพอี๋เหอปิดเปลือกตาลงจะกล่าวว่าอีกฝ่ายเดียงสาเกินไปจนถูกคนเอารัดเอาเปรียบ ถ้อยคำประโยคหลังของดวงจิตที่กำลังประหม่าทำอะไรไม่ถูกก็ชัดเจนแล้วว่าบางคนรู้อยู่เต็มอกว่าถูกกระทำแต่ก็เลือกที่จะไม่อาฆาตพยาบาทเบียดเบียนใคร นับว่าคราวนี้พบเข้ากับ ‘ดวงจิตบริสุทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง’ หากขัดเกลาให้ดีไม่แน่ว่าเด็กผู้นี้จะเป็นกำลังที่ยอดเยี่ยมในการต่อกรภัยร้ายในอนาคต 


          “เจ้าเป็นเด็กคนแรกที่ยังคงยิ้มแย้มเบิ้งหน้าข้าได้แบบนี้หลังจากที่รู้ว่าตนเองตาย.. มานี่สิ”


          ด้วยเหตุผลบางประการ อาจเพราะดวงจิตที่ยังคงสั่นกลัวสับสนทำให้นางเวทนาอาทร รึเป็นเพราะลูกปัดทมิฬห้าเม็ดบนข้อแขนเล็ก เทพอี๋เหอสละเวลาอันมีค่าเรียกให้เด็กน้อยติดตามตนไปยังพิภพเทพ บอกเล่าเรื่องราวของ ‘โลกเก่า’ ที่ผู้คนคลั่งใคล้ในวัตถุนิยมก่อนเธอตายเป็นแบบไหน หลังเธอจากไปมันก็จะยังคงเป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลงตราบเท่าที่ความขุ่นมัวในจิตใจมนุษย์ยังเติมเต้มด้วยกิเลศ รวมไปถึงการบอกเล่าถึงโลกใหม่เนรมิตรภาพผ่านคันฉ่องเซียน นั่นคือดินแดนที่ยังคงบริสุทธิ์ ขุนเขาและสายน้ำงดงามด้วยธรรมชาติรังสรรค์คล้ายกับยุคสมัยจีนโบราณในโลกเก่า ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับคำนั้น


          ‘มนุษย์ เทพเซียน ปีศาจ.. และเผ่ามาร เป็นดินแดนแฟนตาซีที่เคยอ่านในนิยายนี่นา’


          “แบบนั้นข้าคงไม่ต้องบอกเล่าสิ่งใดมากนอกเสียจากคำว่าภัยร้ายและอันตรายยังคงมีอยู่จริง มนุษย์ในแดนฮั่นไม่สามารถรวบรวมแก่นปราณแท้ได้ดีเท่าผู้ข้ามภพมาจากโลกอื่น เช่นพวกเจ้า.. เด็กน้อย นั่นจึงเป้นสาเหตุให้ข้ารวบรวมดวงจิตเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมข้ามมาฝากฝั่งนี้” ผ่านคำอธิบายน้ำเสียงสุขุมของสัจจเทพราวกับห้วงเวลาหวนบรรจบนับพันหมื่นหน สตรีทัง้สองฐานะสนทนาเรื่องราวบอกเล่าถึงสิ่งกังวลและคำปลอบใจ ราวกับว่าทำความรู้จักสหายใหม่ ในขณะเดียวกันก็เป็นถ้วยคำเดียวกับที่พร้อมอำลาสหายเก่า 


          ‘ภัยร้ายที่ท่านพูดถึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่ต้องรวบรวมดวงจิตนอกภพนี่เอง เหมือนว่าจะมีเพียงท่านที่ทำสิ่งนี้โดยลำพังเป็นงานที่หนักหน่วงเหลือเกิน… เหนื่อยรึเปล่าคะ?’


          “ข้าทำเพื่อสามภพ เพื่อช่วยผู้คนทั้งหมดหาใช่เพื่อตนเองจึงไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย”


          'พวกเขามีท่านช่วยแล้ว.. แต่ใครกันล่ะที่จะช่วยเหลือท่าน'


          “.........” คำถามนี้นำความเงียบมาสู่ผู้เป็นประมุขสูงสุด บัลลังก์เทพอ้างว้างผู้แบกรับหน้าที่ต่อสามโลกจำต้องเสียสละ นางสละทุกสิ่งเพื่อปกครองสามภพ ทุกสิ่ง.. ที่หมายถึงแม้ความเป็นไปได้ที่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่รักยิ่ง


          “เวลาล่วงเลยมามากแล้วเด็กน้อย.. อย่างน้อยในตอนนี้เจ้ายังคงมีหนทางที่เลือกได้ด้วยตนเอง หนทางแรกไปยังสัมปรายภพเสียแต่ตอนนี้การพบกันของเรานับว่าไม่เคยเกิดขึ้น ได้เวียนว่ายในโลกใบเดิมเหมือนที่ผ่านมา หนทางที่สอง.. ใช้ชีวิตครั้งใหม่ในฐานะผู้ข้ามภพ เจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนนี้หากแข็งแกร่งกว่าด้วยมีจิตแท้สามารถรวบรวมปราณได้ เจ้าจะได้ใช้ชีวิตโลดแล่นในดินแดนที่ชาวเราปกปักษ์ด้วยทุกสิ่งที่มี” 


          มิเคล่ายังคงไม่ตัดสินใจเธอรู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาเปลี่ยนเรื่องและเทพผู้สูงส่งคงมีเวลาให้กับดวงวิญญษณร่อนแร่อย่างตนอีกไม่มากนัก ลึกๆ แล้วเข้าใจได้ทั้งหมดแต่ส่วนหนึ่งในอกยากจะยอมรับว่าตลอดการสนทนากับเทพสตรีผู้นี้.. เธอรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว


          ‘แล้ว..จะได้เจอกับคุณอีกไหมคะ ?’ หลุดคำถามออกไปก่อนจะก้มหน้างุดชวนเอ็นดู


          “...เมื่อวาสนาต้องกัน และเพื่อให้ดวงจิตผู้ข้ามภพสามารถปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ความทรงจำของเจ้าจะถูกผนึกไว้ นอกเสียจากได้รับเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ในโลกจึงคืนกลับมาทีละน้อย”


          ‘หนูจะไม่ลืมคุณ! เทพสีขาว.. ถ้าการไปเกิดในดินแดนนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคุณได้.. หนูจะไป’ หญิงสาวคิดอย่างหนักแน่นเป็นเสียงผ่านจิตที่มั่นคงที่สุดราวกับเจ้าตัวสามารถจำได้จริงๆ  


          เทพอี๋เหอหยักรอยยิ้มแทนคำตอบไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมมากคำ ไม่จำเป็นต้องยื่นข้อต่อรอง แม้แต่คำปลอบโยนใดใดล้วนไร้ผลเมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ดวงจิตผู้พิสุทธิ์’ นางเชื่อว่าคนตรงหน้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่รอดในดินแดนที่ตนเฝ้าปกป้องได้อย่างแน่นอน  


          “ข้าปรารถนาพบกับผู้ที่ไปเกิดใหม่อย่างสง่างามมานานแล้ว… นี่คือของขวัญจากข้าพรสวรรค์หนึ่งในนี้จะติดตัวเจ้าไปตั้งแต่เกิด”


          ท่ามกลางอากาศปรากฎพลังเทพก่อกำเนิดปราณมงคลหลากสีหมุนวนปลายนิ้วเทพประมุข กลายเป็นถุงแพรสี่สี ด้านบนถุงประดับอักษรสื่อถึงสิ่งที่อยู่ด้านใน ถุงทั้งสี่ลอยเข้ามาใกล้ดวงจิตหญิงสาวต่างภพหมุนวนราวกับเร่งเร้าให้เธอเลือก 


          ‘งดงาม’ ‘เฉลียวฉลาด’ ‘แข็งแกร่ง’ ‘โชคลาภ’ 


          อนิจจา… มิเคล่าอ่านภาษาจีนโบราณไม่ออก เธอหลับตาลงแล้วใช้ใจสัมผัสเธอได้กลิ่นดอกไม้ขาวที่ตนชอบออกมาจากถุงหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลินำมือคู่น้อยไปคว้าโชคชะตาที่ตนเลือกก่อนที่แสงสีทองจะโบยบินดุจผีเสื้อรอบกายแล้วประทับเข้ากลางหน้าผากเนียน


          “วาสนาเซียน.. เด็กน้อย เจ้าทำให้ข้าพิศวงได้ตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ” 


          ‘เทพสีขาว แบบนี้เหมือนว่าเราจะได้พบกันอีก ?’ มิเคล่ายิ้มกว้างในทันที


          “เมื่อเวลานั้นมาถึง… รอจนถึงวันนั้นข้าจะอวยพรให้เจ้ามีชีวิตอย่างงดงามสมกับความอดทนในอดีตที่เจ้าข้ามผ่านมาได้”


           ‘ครั้งนี้.. หนูอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นจัง…’ อยู่ๆ เธอก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาเสียดื้อๆ


          “ขอให้เจ้าสมดั่งปรารถนา” และมากกว่าที่หวัง พวกเขาจะรักและถนอมเจ้า


           ‘หนู.. อยากพูดได้’ ตอนที่เป็นใบ้ลำบากมากๆ ดวงตาทั้งสองปิดลงหยาดน้ำใสกลิ้งหล่นเหนือฝ่ามือสัจจเทพ 


           “ด้วยเสียงของเจ้าจะช่วยเปลี่ยนแปลงจิตใจผู้คนในใต้หล้า” โชคชะตาจะมอบทุกสิ่งแก่ผู้ที่ควรค่า


           “ขอบ..คุณ…เทพสีขาว..” 


           “เป็นตัวข้า.. ที่ต้องพูดว่าขอบใจเจ้ามากเด็กน้อย…”


           ชายอาภรณ์ขาวเลือนลางท่ามกลางปราณมงคลหลากสี เทพประมุขโบกหัตถ์คราเดียวร่างวิญญาณของหฺญิงสาวก็คืนสภาพสู่ดวงจิตผ่องแสงนวลตาก่อนจะลัดเป็นพรายแสงดาวตกลงไปยังภพมนุษย์ คำอำลาแท้จริงไร้คำพูดมีเพียงรอยยิ้มและการมองส่งเธอผู้นั้นจนสุดสายตา 


           “ไว้พบกันใหม่..”

 












แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 75289 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2024-7-11 22:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
พู่กันคัดอักษร
แหวนดาราจรัส(D)
ชุดฉิงโหรว(เจียยวี่)
กระบี่คู่สลักจันทรา
ลาภลอย
หน้ากากอำพรางภูต
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x20
x20
x3
x90
x110
x2
x2
x120
x10
x1
x1
x1
x1
x30
x4
x20
x5
x5
x2
x13
x1
x4
x2
x2
x4
x29
x7
x1
x30
x5
x22
x8
x3
x2
x5
x6
x1
x1

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2314
ความชั่ว
1069
ความโหด
2532
โพสต์ 2024-7-14 21:08:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด


TWIST OF FATE





“ผี…ผี…ผีผู้ชายชุดแดง”

นิ้วเล็กๆ สั่นเทาของเด็กวัยหกขวบในอ้อมแขนของร่างไร้วิญญาณชี้ไปที่มุมหนึ่ง เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้งในหมู่ไทยมุง ปิ่นโกสุมที่เนื้อตัวเบาหวิวจนผุดออกมาจากกายหยาบช็อกอยู่หลายนาที กว่าจะจับใจความเสียงเล่าลือได้ว่า

เธอประสบอุบัติเหตุตายเพราะผีพ่อม่าย

หมายถึงไอ้ตัวแดงๆ ที่อยู่อีกฟากของถนนน่ะเหรอ

ปิ่นโกสุมถลึงตามองฝั่งตรงข้าม ผีต่อผี วิญญาณต่อวิญญาณ ถ้าผีเชี่ยนี่สันดานแย่จนพาลทำเธอตายจริงก็ปรับความเข้าใจกันหน่อยไหม?

ทว่า…ขณะที่หญิงสาวย่างสามขุมดุ่มๆ ไปฝั่งตรงข้าม ร่างวิญญาณของปิ่นโกสุมคล้ายถูกบีบอัดอย่างแรงก่อนจะเคลื่อนไปด้านหนึ่งด้วยความรู้สึกของการเบียดผ่านอุโมงค์แคบๆ ปิ่นโกสุมทรงตัวไม่อยู่เกือบล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนแผ่นพื้นแข็ง และ…ภาพแรกที่เธอมองเห็นคือแผ่นหินจารึกขนาดใหญ่

“บางครั้งชีวิตคนเราก็ไม่แน่นอน ไม่มีใครล่วงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ความตายอาจมาเยือนโดยไม่อาจรู้ล่วงหน้า และนั่นคือสิ่งที่เจ้ากำลังประสบพบเจออยู่ ถ้าเจ้ากำลังอ่านศิลาจารึกแผ่นนี้อยู่ล่ะก็ ย่อมแสดงว่าได้ตายไปจากโลกแล้ว แต่ความตายย่อมไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตอย่างที่เจ้าเคยรู้หรือรับรู้มา แต่สำหรับบางคนที่มีความเชื่อในศาสนาย่อมเชื่อว่ามีโลกหลังความตาย

การเดินทางของบางคน ความตายอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตที่ท้าทายยิ่งกว่า นั่นคือสิ่งที่เจ้ากำลังจะได้เผชิญพบเจอต่อจากนี้”

ปิ่นโกสุมอ่านของความบนแผ่นจารึกด้วยอารมณ์ที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก สรุปความตามความเข้าใจก็คือ เวลานี้เธอตายไปแล้ว และกำลังจะมีชีวิตใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม โลกหลังความตายเองก็กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่งั้นเหรอ เขียนข้อความต้อนรับได้พิลึกจริงๆ

เดี๋ยวนะ…? ถ้านี่คือโลกหลังความตาย แล้วผีชุดแดงตะกี้ล่ะ?

ปิ่นโกสุมมองซ้ายขวาหน้าหลัง สงสัยว่าจากนี้จะเอายังไงต่อ ในจังหวะที่ฝืดเฝื่อนที่สุดนั้นแผ่นหินในตอนแรกก็ค่อยๆ ปริแยก แสงสว่างสีขาวลอยผ่านรอยนั้นสาดแยงนัยน์ตาของเธอจนแสบพร่า ร่างกายของปิ่นโกสุมบางเบาลงเรื่อยๆ คล้ายวิญญาณถูกปรับคลื่นความถี่ให้เข้ากับเครื่องส่งสัญญาณด้านใน

โดยที่ไม่รู้ตัวร่างกายของเธอกลับยืนอยู่ในโถงอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแห่งหนึ่ง

ไม่รู้ว่าเป็นเธอที่ปรากฏตัวขึ้นกลางโถง หรือโถงแห่งนี้ก่อรูปขึ้นรอบตัวเธอกันแน่

‘จิตวิญญาณอันกล้าหาญ เจ้าผู้ไม่ไหวหวั่นต่อเส้นแบ่งเขตความเป็นและความตาย’

เสียงแว่วหวานราวกับนกในวรรณคดีกรีดร้อง

ที่สุดแล้ว ที่แห่งนี้ก็แสดงตัวผู้เป็นเจ้าของ

เบื้องสูงที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า รัศมีเจิดจรัสราวกับแสงของดวงอาทิตย์ที่แผดเผาและลุกโชน จุดกำเนิดเสียงอยู่ตรงนั้น

‘วิญญูชนที่ยอมสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่นยากนักจะพานพบ’

ลักษณ์รูปอันสูงส่งค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาในลักษณะหญิงสาว ใบหน้าของหล่อนสงบนิ่ง ดวงตาทอดต่ำลงมาโดยเปี่ยมเมตตา สวมชุดสีขาวสวยงาม ที่คนเคยดูซีรีส์จีนเดาได้เลยว่าดีไซน์ของ ‘เทพ?’ ตนนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมไหน

เธอเองก็ไม่ใช่จีนแท้ด้วยซิ เทพในโซนสวรรค์และนรกของจีนในหัวมีไม่กี่องค์ แต่องค์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็ไม่มีใครจะมีรูปร่างภายนอกแบบนี้

ปิ่นโกสุมส่งเสียงกระแอมพลางยกมือขึ้นดันแว่นตาด้วยความเคยชิน แต่ตอนนี้กลับไม่มีแว่นอยู่บนดั้ง ความเก้อกระดากเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า

“...อันที่จริงก็ไม่ขนาดนั้น”

ระดับเธอจะกล้าเอาอะไรไปเทียบวัดกับคอนเซ็ปต์ความกล้าหาญในแบบของนักผจญเพลิงล่ะ

ความรู้สึกของปิ่นโกสุมเวลานี้ คล้ายกับการมาท่องเที่ยว จากนั้นก็หลงทางและเจอประชาสัมพันธ์

ก็แค่ประชาสัมพันธ์พูดอะไรยากเกินความเข้าใจของเธอไปบ้าง

‘สรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหวตามเหตุและปัจจัย การกระทำของเจ้าดุจโยนศิลากระทบสายธาร พลิกผันชีวิตผู้อื่นถึงสามครา’

ปิ่นคล้ายเห็นเส้นเรื่องเดิมฉายซ้ำอีกครั้งในห้วงลึกของจิต เด็กคนนั้นเจอคุณครูที่หน้าโรงเรียนจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

ส่วนรถยนต์คันนั้นเร่งความเร็วในจังหวะไฟเหลืองเลยแฉลบอย่างไวมาในจังหวะนั้น อันที่จริงรถที่เสียหลักคันนี้ สามารถหักหลบพ้นตัวเด็กได้ในวินาทีสุดท้าย

.

.

.

เด็กที่ความจริงแล้วจะวิ่งผ่านไป โดยที่รถแล่นไปชนโครมกับต้นไม้ข้างทางโดยไม่ข้องเกี่ยวกัน กลับต้องมามีบ่วงพันธะ มองปิ่นเป็นผู้มีพระคุณ เป็นจุดด่างพร้อยทางอารมณ์ที่ว่าครั้งหนึ่งมีคนตายเพื่อเขา อีกทั้งครอบครัวเด็กยังต้องแบกรับภาระทางใจที่ถูกกล่าวหาว่า ปิ่นโกสุมตายเพราะเด็กซนจนเป็นเรื่อง และยังต้องชดเชยบุญคุณของปิ่นโกสุมให้กับครอบครัว

การตำหนิเด็กเกิดขึ้นอย่างร้ายกาจในโซเชียล รุนแรงจนคนจิตใจบอบบางอาจคิดหนักจนตัวตายได้เลย

โชคยังดี ที่มี ‘ผีพ่อม่าย’ ตำนานเมืองที่ชาวบ้านโทษว่าเป็นสาเหตุการตายของเธอ มีน้ำหนักในใจเด็กมากพอที่จะโยนความผิดบาปทั้งหมดไปให้ได้

.

.

.

และคนขับรถ

จากการถูกตั้งข้อหา ‘ขับรถโดยประมาท’ กลับกลายเป็น ‘ขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต’ ต้องแบกรับตราบาปฆ่าคนไปชั่วชีวิต

ปิ่นโกสุมชาวาบไปทั่วศีรษะ บางทีหากเธอยอมทนใส่แว่นหรือคอนแท็กเลนส์สักหน่อยเรื่องราวอาจจะไม่จบลงในลักษณะนี้

‘ฟ้าดินมิอาจตัดสินโทษ’

เธออับอายกับสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนไม่กล้าสู้หน้าประชาสัมพันธ์เทพแล้ว!

“...เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว! จะให้ทำยังไงละคะ!? ฉันเองก็ตายไปแล้วด้วย!”

ปิ่นโกสุมเสยผม มาลองคิดว่าใช่เธอจะรู้ผลลัพธ์คู่ขนานนั่นเสียหน่อย ถ้าอยากจะนำเสนอเรื่องราวให้ออกมาในลักษณะที่ว่า ผลลัพธ์นี้คือความผิดบาปของเธอ ก็ต้องชูนิ้วกลางให้กันหน่อยแล้ว

‘...’

เสียงของทวยเทพเงียบสงัดไปเนิ่นนาน จนคล้ายปิ่นโกสุมยืนอยู่ในที่เวิ้งว้างคนเดียว

“คุณ…คุณเทพคะ”

‘สงบอารมณ์เถิด...ดวงวิญญาณของเจ้าในเวลานี้ยังไม่สิ้นอายุขัย เห็นแก่หัวใจที่ไร้มลทินของเจ้า ข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง’

“แต่ฉัน…ตายไปแล้วนะคะ”

รูปลักษณ์อันสง่างามหลุบสายตาเล็กน้อย พร้อมเสียง ‘อืม’ รางๆ

‘ร่างกายเจ้าเสื่อมทรามจนไม่อาจย้อนคืน’

‘ดังนั้นโอกาสครั้งนี้…ข้าจะมอบ ชีวิตที่สอง แก่เจ้าแทน’

ปิ่นโกสุมขมวดคิ้ว “หมายถึง…เกิดใหม่เหรอคะ?”

‘ถูกแล้ว’

‘หากว่าดินแดนแห่งนั้นหาใช่ภัทรกัปป์ที่เจ้าอาศัย’

สุรเสียงเอ่ยดังพร้อมภาพเนรมิตปรากฏในดวงจิตของปิ่นโกสุม เธอมองเห็นดินแดนอันรุ่งเรืองเกรียงไกรในยุคสมัยอาณาจักรแรกเริ่มของมนุษย์ แผ่นดินที่เรียกว่าต้าฮั่นเป็นใหญ่ในพื้นที่แห่งนั้น ปิ่นโกสุมขมวดคิ้วให้กับระดับความเก่าแก่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ติดลบ

ว่ากันว่า ยุคสมัยของเธอคนธรรมดาอยู่อย่างสุขสบายยิ่งเสียกว่าเจ้าแผ่นดินในอดีตซะอีก

เธอจะทนลำบากลำบนขนาดนั้นไหวไหมเถอะ

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลที่สุด ดินแดนแห่งนี้ยังมีโคตรอุปสรรคความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินอยู่อีกอย่าง นั่นคือ ‘เผ่าปีศาจ’ เหมือนว่าอาณาจักรมนุษย์อะไรนั่นเกิดขึ้นมาเพราะมีคนฆ่าปีศาจสำเร็จนะ

และคนที่ฆ่าปีศาจนั่น ‘หลิวปัง!’ นั่นนายในโลกคู่ขนาดเหรอ!? ปิ่นโกสุมทำงานแปลข้อมูลเกมจีนมาสารพัน ชื่อนี้เธอไม่พลาดแน่ แม้แต่ตอนนี้เนื้อความ ‘ฉู่ฮั่นห้ำหั่นเข้าชิงดินแดนบัลลังก์ เรื่องราวเคยเล่าขานไว้เช่นใดใครคือราชา’ ยังหมุนอยู่ในหัว แถมค่าจ้างงานแปลรอบนี้ยังไม่ออกอีก

แม่งเอ๊ย หลอนกว่าอีผีพ่อม่ายก็งานนี่แหละ!

จากข้อมูลโบรชัวร์ฉบับประชาสัมพันธ์เทพ ‘หลิวปัง’ ก็คือมนุษย์กลายพันธุ์ดีๆ นี่เอง เป็นคนส่วนน้อยที่สามารถซึมซับสิ่งที่เรียกว่า ‘ลมปราณ’ ได้ ซึ่งในโลกที่เทพเสนอให้เธอไปมีคนประเภทนี้อยู่น้อยมากๆ และบังเอิญจนเหมือนจงใจ ที่คลื่นความถี่จิตวิญญาณจากภัทรกัปป์อย่างเธอคนนี้ดันสามารถซึมซับพลังปราณได้ด้วย

คิดในแง่ที่คลาสสิคที่สุด คงไม่ใช่ว่านังหลิวปังนั่น เป็นจิตวิญญาณต่างโลกที่ซิ้มป์หลิวปังเข้าเส้นเลือด เลยเอามาตั้งเป็นชื่อของตัวเองก่อนจะกลายเป็นตำนานหรอกนะ

‘จิตวิญญาณจากต่างภพภูมิล้วนเป็นแนวทางที่ผิดแปลก เพื่อให้เจ้าปรับตัวเข้ากับภพแห่งนี้ได้โดยง่าย ข้าจะโปรยเศษเสี้ยวความทรงจำของเจ้าลงบนผืนพิภพ’

เทพเอ่ยต่อ…ดึงปิ่นโกสุมออกจากห้วงความคิดของตน

‘ต่อเมื่อเจ้าเก็บรวบรวมเศษเสี้ยวนั้นในการเดินทางชั่วชีวิต ตัวตนในภพภูมิเดิมของเจ้าจึงจะหวนกลับคืน’

“แล้วจะ…เอากลับมาทำไหมคะ” พูดตามจริง ในการเกิดใหม่ต่างโลก ความทรงจำจากโลกเดิมในแง่ของ ‘ตัวตน’ แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย จุดสำคัญที่ทำให้เนื้อเรื่องไปต่อได้คือองค์ความรู้เท่านั้น ปิ่นโกสุมขมวดคิ้ว

‘ย่อมเป็นเพราะมีประโยชน์ต่อตัวเจ้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม’

‘ดวงวิญญาณน้อย… ภูมิความรู้ของเจ้ามิอาจสถิตโดยไร้ความทรงจำเป็นฐาน’

ปิ่นโกสุมขมวดคิ้วกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆ คลายลง ‘ความรู้ที่ไร้ความทรงจำ’ ฟังดูคล้ายกับปัญญาประดิษฐ์จริงๆ หญิงสาวทำมือเป็นเครื่องหมาย OK อย่างจนใจ

“เข้าใจแล้วค่ะ…แล้วฉันจะต้องไปเกิดใหม่เมื่อไหร่”

‘เร่งร้อนเกินไปไม่ใช่เรื่องดี’ เสียงนั้นดังขึ้นอย่างอ่อนโยน ‘การเลือกเดินเส้นทางต่างภพภูมิมิอาจหลีกพ้นประสบเรื่องเหนือความคาดหมาย ดังนั้น ข้าจะมอบพรแก่เจ้า…’

‘ชะตามนุษย์พลิกผันด้วยสี่สิ่ง’

เบื้องหน้าปิ่นโกสุมปรากฏเส้นทางสี่สาย

เส้นทางแรก ผู้ใฝ่รู้ ปลายทางเส้นทางสายนี้สิ้นสุดลงที่ ‘จอมปราชญ์’

ว่ากันว่า นักปกครองมักอายุสั้น ถึงจะมีความรู้มากมายก็ยังตายไวอยู่ดี ยิ่งในสมัยโบราณนวัตกรรมทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า หากสมองโอเวอร์ลิมิตต่อเนื่องกันเพราะคิดมาก กลายเป็นโรคเส้นเลือดในสมอง ใครจะรักษาเธอ

เส้นทางที่สอง คนแข็งแรง ปลายทางเส้นทางสายนี้สิ้นสุดลงที่ ‘เทพสงคราม’

สุขภาพดีคือบ่อเกิดของชีวิตที่มีความสุข ก็แค่คำว่า ‘เทพสงคราม’ ฟังดูปักธงตายไปหน่อย อาชีพนักรบส่วนใหญ่อายุไม่ค่อยยืนยาว

เส้นทางที่สาม น่ารัก ปลายทางเส้นทางสายนี้สิ้นสุดลงที่ ‘ยอดพธู’

สิ่งที่สร้างเรื่องได้ง่ายที่สุด ‘โลกใบนี้มีเหตุเภทภัยเพียงเพราะโฉมงามและตัวร้าย’ อีกอย่างเรื่องของคนสวยใครๆ ก็ชอบ ทั้งหาเรื่องจับผิด มองหาจุดบกพร่อง ชีวิตคนสวยก็เหมือนชีวิตของเน็ตไอดอล มีแต่คนขี้เผือกเหมือนเป็นคนสาธารณะโดยไม่เต็มใจ เส้นทางนี้น่าเหนื่อยใจจริงๆ

เส้นทางที่สี่ ลาภลอย ปลายทางเส้นทางสายนี้สิ้นสุดลงที่ ‘ดาวนำโชค’

เป็นเส้นทางที่ยั่วยวนที่สุด เหมือนสถิติการบอกหวยถูกของเจ้าที่แต่ละศาล ผิดแต่ว่าเรทกาชานี้ไม่บอกเปอร์เซ็นต์ แถมไม่มีอะไรรับประกันผลลัพท์อย่างแน่นอน หรือที่เรียกว่า ‘การันตี’ เป็นชิ้นเป็นอัน คิดดูแล้วเส้นทางสายนี้โคตรจะน่ากำหมัด

เอาละ…ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีความสุข

ชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่ปราศจากโรคภัย ร่างกายแข็งแรงไว้ก่อนดีที่สุด ขอแค่ไม่ซ่าท้าความตาย ชีวิตก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรแล้ว

จวนตัวจริงๆ ก็น่าจะต่อยกับปีศาจได้ ไฟว์กันตัวต่อตัวแล้วจบในนัดเดียว

“ฉันเลือก ‘เทพสงคราม’ ค่ะ”

ปิ่นโกสุมได้แต่สวดในใจว่าเธอขอเป็นเทพสงครามที่มีสมองให้มากหน่อย

‘เจ้าจะสมดั่งหวัง’

จุดสิ้นสุดคล้ายใกล้มาถึง แสงสว่างอันอบอุ่นอาบย้อมไปทั่วร่าง ดวงวิญญาณของปิ่นโกสุมคล้ายรับรู้ได้ถึงการจากลา แต่การถามตอบของเธอไม่มีลำดับขั้นตอนแบบแผนที่เหมาะสม ความรู้สึกสงสัยในประเด็นเล็กน้อยจึงยังมีอีกมาก

“นี่… เมื่อกี้คุณบอกว่า ทางเลือก ใช่ไหม? ถ้าฉันเลือกไม่ไปเกิดใหม่ ทางเลือกอื่นคืออะไรนะคะ?”

‘ปรภพ’

อ้าว… นี่… ที่นี่ไม่ใช่ปรภพงั้นเหรอ

‘ที่แห่งนี้คือพิภพแห่งเทพ ปรภพจึงจะเป็นที่อยู่ของวิญญาณโดยแท้จริง’

“แล้วคุณ..เอ่อ… ท่าน! ท่านคือใครคะ”

เผื่อลงไปเกิดใหม่แล้วจำเรื่องราวได้จะได้เลือกศาสนาถูก

แสงสีขาวอาบไล้จนนัยน์ตาของปิ่นโกสุมพร่ามัว เสียงกังวานที่ฟังดูไกลห่างยิ่งขึ้นแว่วตอบกลับ

‘ข้าคือ สัจจเทพอี๋เหอ ประมุขแห่งเทพ’



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35295 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-7-14 21:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x18
x3
x3
x7
x8
x2
x3
x4
x4
x1
x2
x3
x5
x1
x3
x18
x1
x5
x3
x1
x1
x5

1

กระทู้

14

ตอบกลับ

202

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
92
ตำลึงทอง
49
ตำลึงเงิน
54
เหรียญอู่จู
4648
STR
5+3
INT
1+0
LUK
0+0
POW
2+0
CHA
0+0
VIT
2+2
คุณธรรม
0
ความชั่ว
0
ความโหด
0
โพสต์ 2024-8-8 23:03:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด





ทุกอย่างผ่านไปราวกับความฝัน เมื่อลืมตาขึ้นมาสถานที่เปลี่ยนไป พื้นที่นอนอยู่กลับเป็นหญ้านุ่มๆในหัวมีแต่ความงุนงง




"ลุกขึ้นมาได้แล้วเด็กน้อย" เสียงที่ไพเราะส่งเข้ามาในหัวเมื่อเงยขึ้นไปตามหาต้นตอของเสียงก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ภูเขาสูงใหญ่ที่มีหมอกปกคลุมจางๆดูเก่าแก่และงดงามบนยอดเขามีตำหนักหยกที่ทั้งดูสวยงามและลึกลับตรงตีนเขามีผู้หญิงแต่งกายด้วยชุดโบราณมีกลิ่นไอที่น่าเกรงขามและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เขาตกตะลึงจนพูดไปออก เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นก็ยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะทำให้เขาได้สติก่อนจะรีบสำรวมกริยาทั้งหมด



"เจ้าปรับตัวได้ไวชั่งน่าชื่นชม แค่สีหน้าเจ้าข้าก็รู้ว่าเจ้าจะถามอะไรข้าจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง" นางค่อยๆเดินมาหาเขาอย่างช้าๆก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าพร้อมยื่นมือมาวางไว้บนหัวของเขาเบาๆ ภาพในหัวทุกอย่างหมุ่นเปลี่ยน มันบอกเล่าเรื่องราวการตายของเขาและก็มีโลกที่คล้ายกับที่เขาจากมา แต่กลับมีการนำนิยายเข้ามาผสม ทั้งปีศาจ หรือพลังวิเศษที่ไม่ควรมีอยู่จริงกลับถูกนำมาใส่ไว้บนโลกนี้ เขารู้สสึกตัวอีกทีก็เหมือนกับที่อย่างเป็นฝัน



"เจ้าคงเข้าใจแล้ว" นางค่อยๆเก็บมือกลับมาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน



"แล้วท่านต้องการอะไรจากข้า" เขาถามด้วยความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวอะไรกับตน



"ตอนนี้ที่โลกนั้นเกิดเรื่องที่ข้าไม่สารามถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ข้าต้องการให้เจ้าไปเกิดใหม่เพื่อไปจัดการเเก้ไขปัญหานั้น"



"หากผมไม่ต้องการละ" เขาตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวล เรื่องที่แม้แต่เทพเซียนยังยุ่งไม่ได้ตนจะทำไรได้



"ข้ารู้ว่าเจ้าหวาดกลัวอะไร แต่เจ้าก็ไม่มีที่ให้ไปแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่โหดร้ายกับเจ้าขนาดนั้นหรอกถ้าเจ้าตอบรับข้อเสนอถ้าจะให้พรติดตัวเจ้าไปหนึ่งอย่าง เจ้าต้องการอะไรละ พละกำลัง ความรู้ ความงาม โชคลาภ"



เมื่อเทพเซียนรัวคำพูดใส่เขาขนาดนี้คงไม่มีทางให้ถอยแล้วและเขาก็ไม่มีที่ให้ไปจริงๆ



"ผมตกลง ผมจะลงไปเกิดส่วนเรื่องพรในเมื่อท่านบอกว่ามันเป็นโลกที่มีแต่การต่อสู้ข้าขอเลือกความแข็งแกร่งติดตัวไป"



"เจ้าเลือกได้ดี" เมื่อนางพูดจบภาพตรงหน้าก็มืดลงทันที

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7137 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-8-8 23:03
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
คนแข็งแรง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x18

1

กระทู้

39

ตอบกลับ

5166

เครดิต

เสาหลักพวกพ้อง

พลังน้ำใจ
4927
ตำลึงทอง
45
ตำลึงเงิน
477
เหรียญอู่จู
11886
STR
25+15
INT
30+0
LUK
30+20
POW
20+0
CHA
0+0
VIT
15+12
คุณธรรม
878
ความชั่ว
0
ความโหด
542
โพสต์ 2024-8-12 10:02:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด






หากย้อนเรื่องราว ข้อความโชคชะตา

สังเวย  วิญญาณ รอยน้ำตา นิรันดร์ กักขัง 

ความลับที่มันช่างแสนโสมม 

อาจคืนย้อนวันไม่อาจหวนทุกสิ่ง 

ภาพจำอันว่างเปล่า

เหลือไว้แค่เพียงร่องรอยร่างกาย

ผู้เป็นนิรันดร์



ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากให้มันเกิดขึ้น


ภาพจำทุกฉากทุกตอน ร้อยเรียงราวภาพถ่ายฉายซ้ำไปซ้ำมา ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นไม่มีอีกแล้ว ไซลัส หลง รู้สึกได้ถึงความสบาย ร่างกายราวกับถูกห่อหุ้มด้วยปุยนุ่นนวลจันทร์


ที่นี่คือที่แห่งใด


ปรโลกอย่างนั้นหรอกหรือ ?


สถานที่สวยงามเสมือนฝัน ดินแดนที่เคยปกคลุมม่านหมอกค่อย ๆ ปรากฏจากความเลือนลาง แต่งแต้มสีจนเข้มขึ้นในนัยน์ตาของชายหนุ่ม เผยความงดงามของตำหนักโอ่อ่า ไซลัสหยิกแขนตัวแรง ๆ จนสะดุ้ง นี่มันเหมือนกับการเซตฉากซีรีย์พีเรียดโบราณ


“นี่ฉันตายไปแล้ว หรือยังไม่ตาย” มีกล้องแอบซ่อนอยู่แถวนี้ใช่ไหม แล้วที่เขาถูกแฟนคลับโรคจิตคนนั้นยิงล่ะ 


อันไหนคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกันแน่


“เจ้าน่ะได้ตายไปแล้ว” สุ้มเสียงรื่นหูดุจดังสายน้ำไหลริน ปรากฏกายหนึ่งในสัจจเทพทั้งสี่ เทพซ่างกู่ “ข้ามีนามว่าสัจจเทพอี๋เหอ ผู้เป็นประมุขแห่งสามพิภพ”


“ตายไปแล้ว….. เงินเก็บสะสมทั้งหมดของผมยังใช้ไม่หมดเลย แล้วไหนจะยังเป็นหนุ่มโสดวัยสามสิบปลาย ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน” ยังมีหลายเรื่องที่ค้างคา 


ชีวิตของเขาสิ้นสุดวัฏจักรแห่งการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย


เทพประมุขผู้สูงส่งปรายตามอง “ไซลัส หลง ชีวิตของเจ้ายังไม่ถึงฆาต หากนับตามอายุขัยชีวิตเจ้านั้นยังไม่สมควรตาย”


“ถ้าผมยังไม่สมควรตายคุณจะช่วยย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้หรือเปล่า” เอ่ยถามอย่างมีความหวัง


“เรื่องนั้นข้าช่วยเจ้าไม่ได้”


“นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ผมตายฟรีนะครับ”


“อย่าเพิ่งร้อนใจไปนักไซลัส ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า” เพียงพริบตาเดียวเทพซ่างกู่ไปนั่งบนบัลลังก์ น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์กล่าวยื่นข้อเสนอแด่ดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาต “ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า 2 ข้อ ไปยังปรโลก ณ ตอนนี้ หรือ อยากได้ชีวิตที่สอง”


“ก็ต้องอยากได้ชีวิตที่สองแน่นอนอยู่แล้วครับ”


“เพียงแต่ชีวิตที่สองของเจ้า จะได้ไปเกิดที่โลกที่มีความคล้ายคลึงกันกับยุคสมัยจีนโบราณในโลกของเจ้า”


“ผมขอทราบรายละเอียดมากกว่านี้ โบราณยังไง มีความคล้ายคลึงกับราชวงศ์ใด”


“โลกใบนั้นอยู่ในยุคราชวงศ์ฮั่น ดินแดนที่ก่อตั้งโดยปฐมกษัตริย์ฮั่นเกาจู่ เป็นผู้บุกเบิกและสร้างอาณาจักรมนุษย์ปกครองทวีปตะวันออก” สัจจเทพอี๋เหอพูดต่อ “ยุคที่เจ้าจะเกิด เป็นช่วงรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ เอาล่ะ ถ้าเจ้าคิดว่าตกลง ข้าจะประทานความแข็งแกร่งให้เจ้า 1 อย่าง เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าตอบรับในการเกิดโลกใบนั้น”


เป็นยุคสมัยที่ความสะดวกสบายยังเข้าไม่ถึง เขาเป็นถึงนักเขียนคนดังที่แต่งนิยายแนวสยองขวัญมามากมาย ยกเว้นสยองขวัญกึ่งพีเรียด ไซลัสขมวดคิ้ว ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ต้องการไหมก็ไม่…


เพื่อที่จะมีชีวิตรอดและต่อชีวิตให้ยาวยิ่งขึ้น ก็ได้เป็นคนดวงดีชีวิตถึงจะเจออุปสรรคก็จะผ่านพ้นมันไปได้อย่างหวุดหวิด ด้วยลัคกี้ดวงแห่งการนำโชค 


“ผมอยากเป็นคนดวงดี”


“ย่อมได้เช่นนั้นพรสวรรค์ทุกตัวเจ้าแต่กำเนิด จักได้เป็นลาภลอย และอีกหนึ่งสิ่งที่ข้าต้องบอกเจ้า เพื่อให้จิตวิญญาณสามารถปรับตัวเข้ากับภพนี้เจ้าจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวในชาติภพก่อนได้ เว้นเสียแต่ได้รับเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจายกลับคืนมาทีละส่วน”









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 30071 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-8-12 10:02
โพสต์ 30,071 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-8-12 10:02
โพสต์ 30,071 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันขนแพะ  โพสต์ 2024-8-12 10:02
โพสต์ 30,071 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-8-12 10:02
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ผู้มีบุญ
มีดแล่เนื้อ
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ง้าวปีศาจปลา
หมวกไผ่ผ้าคลุม
พัดคุณชาย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x16
x1
x4
x2
x4
x2
x17
x54
x5

1

กระทู้

9

ตอบกลับ

280

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
203
ตำลึงทอง
30
ตำลึงเงิน
56
เหรียญอู่จู
7376
STR
1+5
INT
5+0
LUK
2+0
POW
2+7
CHA
3+0
VIT
2+5
คุณธรรม
0
ความชั่ว
0
ความโหด
0
โพสต์ 2024-8-18 22:54:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ใครจะไปคิด...






"มันจะเป็นยังไงนะ ถ้าวันพรุ่งนี้ฉันไม่ตื่นขึ้นมาอีก"
....
"อาจจะเป็นเรื่องดีก็เป็นได้"
....
"ทุกๆอย่างที่ฉันทำ ทุกๆอย่างจะต้องเผชิญ จะได้สิ้นสุดเสียที"
.....
"ถ้าเป็นเช่นนั้นได้.. มันก็คงจะ.."
.....
"จะ.. จะอะไร?"
เสียงๆหนึ่งดังในหัวของวิญญาณนั้น เกิดความฉงนสงสัยที่ความสงบ.. เริ่มไม่สงบ และเหมือนกับว่า มันแตกต่าง..

*เฮือก!!*

ด้วยความตกใจ เปลือกตาของเขาเลิกเปิดออก และด้วยความสงสัยในเจ้าของเสียง และสะดุ้งตื่นเมื่อเห็นว่าที่ที่เขานอนอยู่นั้น ไม่ได้เป็นห้องนอนในบ้านของเขา.. 

เสียงร้องเหวอดังลั่น ตามมาด้วยเสียงสะท้อนของตัวที่ดังไปอย่างเป็นทอดๆ 

(นี่ฉัน.. ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?)

ชายหนุ่มคิดในใจ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่มีผู้ที่ล่วงรู้ความคิดของเขาอยู่ และเสียงนั้นดังอยู่ด้านหลัง..

"เจ้าตายแล้ว และฟ้าก็ส่งเจ้าให้กำลังจะไปเกิดในร่างใหม่ ชีวิตใหม่ อือฮึ.. เข้าใจตรงกันนะ.. ในยุคเจ้าคนเข้าพูดกันแบบนี้ใช่มั้ยเวลาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ"

"ช.. ใช่.. "

ชายหนุ่มอึ้งไปพักก่อนที่จะตอบกลับ เบื้องหน้าบัลลังค์สง่างามราวปราสาทวิมานบนสวรรค์.. ซึ่ง.. มันก็ใช่ ล่ะมั้ง 

"แล้ว.. ทำไมถึงมาอยู่ตรงเนี่ย?"

ชายหนุ่มถามห้วนๆ

"อืมม.. ไม่รู้สิ เจ้าได้ตายไปแล้ว และได้รับโอกาสที่สอง ประมาณ ได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งล่ะมั้ง? เจ้าเข้าใจใช่มั้ย?"

เจ้าของเสียงก็ตอบกลับในสำเนียงและท่าทีที่ใกล้เคียงกัน

"..-ิท"

ชายหนุ่มสบถหนักด้วยชีวิตของตนนั้นเกิดการเปลี่ยแปลงครั้งใหญ่.. ใหญ่เกินกว่าที่เขานั้นจะคิด..

"มีอะไรต้องการจะถามมั้ย?"

เทพธิดาตรงหน้าเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังยินตะลึงงัน ซึ่งในใจของเขานั้นมีเพียงความคิดอยู่ความคิดเดียวคือ.. ในเมื่อเขาได้รับโอกาสได้ไปเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ไปเกิดเลยได้มั้ย ไม่อยากเสียเวลากับที่ๆตนนั้นไม่รู้จัก

"เอาสิ ไปเกิดสะ ในเมื่อไม่มีอะไรถาม หรือสงสัยอะไร ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะถามเจ้าเช่นเดียวกันงั้น.. ไปจุติอย่างมีความสุข.." 

จากนั้นสภาพของชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนร่วงลงจากพื้นที่เมื่อก่อนหน้านี้แข็งดั่งหินผา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นความว่างเปล่า.. และ

...ลงไปเกิด...

แสดงความคิดเห็น

วงล้อแห่งโ๙คชะตา สัจเทพอี๋เหอได้ใส่ ปราณหมาป่าเหมันต์  โพสต์ 2024-8-18 23:26
รบกวนสุ่มเลือกให้หน่อยครับ...  โพสต์ 2024-8-18 23:11
ถ้ายืนยันไม่เอาพรสวรรค์ สัจเทพอี๋เหอจะสุ่มปราณในโลกแห่งฮั่น 1 ปราณแฝงไปในตัวคุณ !!!  โพสต์ 2024-8-18 22:58
กลับมาก่อนนน ลืมเลือกพรสวรรค์ไปเกิด !!!  โพสต์ 2024-8-18 22:57
โพสต์ 15262 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-8-18 22:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณหมาป่าเหมันต์
หุ่นเชิดกู้เยวี่ย
หมวกถังเจียน
โพสต์ 2024-8-20 23:13:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด






ชีวิตที่สอง



แรงดูดบางอย่างดึงร่างของหมิงเจ๋อข้างถนนไปอย่างรวดเร็วรู้ตัวอีกทีเขาก็ลืมตาขึ้นในสถานที่ที่เขาไม่รู้จักมาก่อน บรรยากาศเหมือนกับเวลาดูซีรีส์แนวเทพเซียน หรือพวกเกมออนไลน์ยังไงอย่างงั้น ต้องยอมรับว่าที่นี่สวยงามจนทำให้เขาตาค้างไปหลายนาทีกว่าจะดึงสติตัวเองกลับมาได้

“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย?”

“ที่นี่คือตำหนักเทพประมุข”

น้ำเสียงอันสุขุมของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้น เมื่อหันไปตามเสียงหมิงเจ๋อก็พบเข้ากับสตรีที่สวมอาภรณ์แสนงดงาม รู้สึกเหมือนว่ามีออร่าบางอย่างเปล่งประกายโดยไม่ต้องพึ่งกลูต้าใด ๆ 

“สวยซะด้วย…” เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตามสไตล์หนุ่มเจ้าชู้

“ข้าขอเตือนเจ้าให้ระวังคำพูดเสียหน่อย หนนี้ข้าจะไม่ถือสาเพราะเจ้าคงไม่คุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้เท่าไหร่”

“ขอโทษครับ ว่าแต่กล้องอยู่ตรงไหน นี่ต้องเป็นรายการอำกันแน่ ๆ ฉากทำสมจริงมากที่เดียว ขอปรบมือให้กับโปรดักชั่นสุดอลังการเลย ออนแอร์ช่องทางไหนครับไว้ผมจะไปเปิดดู” เขาปรบมือให้กับบรรยากาศสวยงามโดยรอบเพราะยังคงเชื่อว่านี่ต้องเป็นการล้อกันเล่น

“ข้าต้องแสดงความเสียใจกับเจ้าด้วยเพราะนี่คือเรื่องจริง”

“หมายความว่า…”

“เจ้าได้ตายจากโลกของเจ้าไปแล้ว”

“เป็นไปได้ยังไง ผมจำได้ว่ารถยนตร์นั่นหักหลบได้ทัน ผมไม่ได้โดนรถชนเสียหน่อย”

“ถึงรถคันนั้นไม่ได้ชนเจ้าแต่เสาไฟก็สังหารเจ้าอยู่ดี”

แฟลชแบ็คตอนที่รถหักเลี้ยวชนเข้ากับเสาไฟปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของหมิงเจ๋อทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเสาไฟที่สังหารเขามาจากที่ใด สีหน้าของเขายังคงช็อกเขาเอามือทั้งสองขยี้หัวของตัวเองไปมา

“มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย ชีวิตของผมทำไมมันสั้นขนาดนี้บัคเก็ตลิสท์ยังทำไม่ครบเลยด้วยซ้ำ”

แค่คิดว่าต้องตายไปง่าย ๆ แบบนี้เขาก็รู้สึกเสียดายช่วงเวลาตอนที่มีชีวิตอยู่ ถ้ารู้ว่าต้องตายเร็วขนาดนี้เขาคงจะรีบหาความสุขให้กับตัวเองมากกว่านี้เพื่อที่จะได้จากไปแบบไม่ค้างคาเช่นนี้ แม้ตอนนี้จะมีข้อดีนิดหน่อยตรงที่หลีกหนีจากเหตุการณ์รถไฟชนกันได้ก็ตามที

“เดี๋ยวนะถ้าผมตายแล้วแสดงว่าผมต้องขึ้นสวรรค์ไม่ก็ตกนรกอเวจีปอยเปตน่ะสิ!” อยู่ดี ๆ เขาก็ก้มลงคาราวะท่านเทพเบื้องหน้าก่อนที่จะพูดอ้อนวอนสาธยายถึงคุณงามความดีที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต “ได้โปรดอย่าส่งผมไปลงนรกเลยนะครับ ผมจ่ายภาษีตรงเวลาทุกปีไม่เคยขาดแม้แต่หยวนเดียว บริษัทของผมมีโครงการ CSR ช่วยเหลือสังคม วันเกิดของผมเลี้ยงข้าวบ้านเด็กกำพร้าทุกปี ผมให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาสวย ๆ ทุกคนที่ผมคบเป็นการสนับสนุนด้านการศึกษา แถมยังช่วยผ่อนค่าคอนโดด้วย ตลอดทั้งชีวิตผมเป็นผู้ให้มาโดยตลอดเพราะฉะนั้นท่านคงไม่ส่งผมไปลงนรกหรอกใช่ไหมครับ…”

“ข้าบอกเจ้าแล้วหรือว่าจะส่งเจ้าไปปรโลก”

“เอ่อ…ก็จริง” เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“ที่จริงแล้วเจ้ายังไม่ถึงฆาต แต่การตายของเจ้าเกิดจากอุบัติเหตุ”

“หมายความว่าที่จริงแล้วผมต้องไม่ตายงั้นเหรอครับ?”

“ถ้านับจากอายุขัยของเจ้าแล้ว เจ้าก็ยังไม่ควรที่จะตายตอนนี้ ฉะนั้นข้ามีข้อเสนอให้เจ้า”

หูผึ่ง…

“ข้อเสนออะไรเหรอครับ” หมิงเจ๋อตาเบิกกว้างหรือนี่จะเป็นโอกาสให้เขาได้คัมแบ็ค

“ข้าจะมอบโอกาสในการมีชีวิตอีกครั้งกับเจ้าแต่ไม่ใช่โลกที่เจ้าจากมา หากแต่เป็นโลกใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน ข้าจะให้เจ้าไปเกิดในยุคจีนโบราณซึ่งเป็นรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ และเพื่อให้จิตวิญญาณของเจ้าสามารถปรับตัวเข้ากับภพนี้ได้เจ้าจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวในชาติภพก่อนได้ เว้นเสียแต่ได้รับเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจายกลับคืนมาทีละส่วน ”

“ฟังแล้วเหมือนหนังจีนชัด ๆ แต่ก็เสนอก็ไม่เลว”

“หากเจ้าตกลงเจ้าจะได้โอกาสในการไปเกิด แต่ถ้าเจ้าไม่รับข้อเสนอข้าก็จะส่งเจ้าไปปรโลก สองทางเลือกนี้เจ้าสามารถเลือกได้ด้วยตัวของเจ้าเอง”

“ต้องเลือกไปเกิดอยู่แล้ว!...” ตอบแบบไม่ต้องคิด ใครจะอยากไปปรโลกตอนนี้ยิ่งพอได้ยินว่าตัวเองยังไม่ถึงฆาตหมิงเจ๋อยิ่งคิดว่าเขาควรจะรับโอกาสนี้ไว้แล้วไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกให้หล่อเท่กว่าเดิม แค่จินตนาการว่าตนเองได้สวมชุดฮั่นฝูเป็นคุณชายหน้าหยกผมยาวสลวยท่ามกลางฟูเหรินและอนุทั้งหลายแบบไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมในสมัยนั้น ฟังยังไงมันก็แจ่มไม่น้อย แต่แล้วคำพูดหนึ่งก็ดังก้องเข้ามาในหัวของเขา…
.
.

ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้แกไม่มีไอ้จ้อน!

.
.
.

“เฮ้ย! แบบนั้นไม่ได้” เขากุมเป้าของตัวเองแล้วเงยหน้าไปหน้าท่านเทพอีกครั้ง “ก่อนตายแฟนของผมแช่งผมไว้ ผมจะเกิดเป็นชายที่ไม่มีเจ้าโลกไม่ได้หรอกนะ มันเสียศักดิ์ศรีความเป็นชาย อย่าให้ผมเกิดมาเป็นชายเช่นนั้นเลยนะครับ”

“อย่าได้ห่วงเรื่องนั้นเจ้าจะไม่ได้เกิดเป็นบุรุษเช่นนั้นแน่ แต่จะเป็นอย่างไรต่อไปอยู่ที่ชะตาของเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้ารับข้อเสนอที่จะไปเกิด ข้าก็จะมอบพรให้เจ้าหนึ่งข้อ เจ้าอยากได้อะไร ความงาม ความแข็งแกร่ง ความเฉลียวฉลาด หรือ โชคลาภ?”

ฟังแล้วก็รู้สึกโล่งอก หมิงเจ๋อไม่ยอมที่จะสูญเสียน้องชายสุดที่รักของเขาไปแน่…

“ขอบคุณท่านที่เมตตา ผมเลือกความแข็งแกร่ง มันจะต้องแข็งแรงบึกบึนในโลกหน้า…” เขาพูดในขณะก้มลงมองหว่างขาของตัวเอง

“ถ้าเจ้าได้เลือกแล้วก็ขอให้มีความสุขกับโลกใหม่ของเจ้า”

สิ้นเสียงแสงสว่างวาบก็บังเกิดพร้อมกับร่างของหมิงเจอที่หายไปเพื่อถือกำเนิดใหม่ เหลือแค่เพียงเทพประมุขที่ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์

“อย่าห่วงเลย เจ้าจะไม่ได้เกิดเป็นบุรุษเช่นนั้นแน่ เพราะเจ้าจะได้เกิดเป็นดรุณีสาว… ขอให้เจ้าโชคดีหมิงเจ๋อ…”







แสดงความคิดเห็น

เรียบร้อยค่ะ  โพสต์ 2024-8-20 23:30
อย่าลืมเปิดใช้งาน My Bag สำหรับครั้งแรก  โพสต์ 2024-8-20 23:25
โพสต์ 21916 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-8-20 23:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้