หอดาราเฟยเทียน

[คัดลอกลิงก์]







หอดาราเฟยเทียน

{ ถนนสิบลี้ }









【 หอดาราเฟยเทียน 】

ภิรมย์ชมแสงจันทร์ เต็มดวงทั่วหย่อมหญ้า

หอสูงตั้งตระหง่านเด่นอยู่ท่ามกลางร้านรวงที่ตั้งอยู่ในระนาบเดียวกัน หอดาราแห่งนี้จัดว่าเป็นที่นัดหมายยอดนิยมของหนุ่มสาวที่ชื่นชอบในความสุนทรีอีกทั้งยังคึกคักและเปี่ยมไปด้วยแสงโคมประทีปสาดส่อง เบื้องล่างนอกจากพื้นที่นัดพบยังมีลานระบำฟ้าดินที่เปิดทำการแสดงทุกคืนจันทร์เต็มดวงเพื่อมอบความรื่นเริงให้กับชาวเมือง แต่หากท่านได้ไม่ชมชอบความวุ่นวายก็สามารถแวะขึ้นไปเยือนยอดหอสูงที่สงบเงียบราวกับผ่านประตูข้ามพิภพอย่างไรอย่างนั้น







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 5479 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-18 15:57
โพสต์ 2024-8-5 17:56:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 2 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  19.00 น หอดาราเยี่ยเฟย




จอมยุทธ์หญิงเว่ย


หลังจากที่โจวจินฝึกสมาธิกับพี่หมานเสร็จโจวจินก็คิดว่าวันนี้ไหนๆ ก็ไม่มีภารกิจและอะไรให้ทำแล้ว เขาจึงออกเดินทางมายังจุดพักผ่อนเพื่อที่จำชมวิวทิวทัศน์ของเมืองฉางอัน เขาได้ยินมาว่า หอดาราเฟยเทียนนั้น ยิ่งหอสูง ขึ้นไปวิวสวย แถมเหมือนกับหอข้ามพิภพเสียนี่กระไร เขาจึงเดินทางมาที่นี่


"อ่ะ แม่นางเว่ย ท่านก็มาพักผ่อนหย่อนใจงั้นเหรอ"โจวจินที่บังเอิญมาเจอแม่นางเว่ยก็กล่าวทักทาย นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่โจวจินได้เจอแม่นางเว่ยในเมืองไม่ใช่ยุทธภพ


"ใช่แล้วปกติข้ามาสงบจิต สงบใจในที่แห่งนี้น่ะ" แม่น่างเว่ยกล่าวตอบโจวจิน


"เจ้าล่ะ ปกติเห็นวิ่งออกลาปีศาจ ทำไมวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาพักล่ะเนีย" แม่นางเว่ยกล่าวเเซว


"บางทีข้าก็คิดว่าข้าล่ามากเกินไปจนมีจิตสั่งหาติดตัวน่ะ ข้าเลยอยากพักผ่อนหย่อนใจ ยิ่งพอข้าล่าปีศาจมาก็ได้เจอเจ้าตัวเล็กเนี่ย" โจวจินอุ้มไก่ดำที่เดินตามโจวจินต้อยๆ ให้แม่นางเว่ยดู


"บางทีพอพวกปีศาจล่ะตบะ และ ไอแค้นได้ พวกมันก็น่ารัก เชื่อฟังคนไม่หยอก" โจวจินพูดหน้าตา


"เจ้านี่ ตลกจริงๆ คิกๆ" แม่นางเว่ยขำที่โจวจินอุ้มไก่มาโชว์


"เอาล่ะ ไหนๆ เจ้ามาครั้งแรกเดี้ยวข้าจะนำเจ้าเที่ยวที่นี่เอง เจ้าไม่ติดอะไรใช่ไหม" หญิงสาวกล่าวถามโจวจิน


"เชิญเลยขอรับแม่หญิงเว่ย" โจวจินก็เล่นด้วย รับลูกคู่


หลังจากนั้นเเม่นางเว่ยก็พาโจวจินชมหอเฟยเทียนเต็มไปด้วยลานแสดง โคมประทีป และอื่นๆ อีกมากมาย โจวจินเห็นแม่นางเว่ยนำเขาเที่ยว จึงซื้อถังหูลู่เลี้ยงแม่นางเว่ยไป ทั้งคู่ก็ได้เที่ยวจนทั่วจนมาถึงจุดๆนึงแม่นางเว่ยก็พาโจวจินขึ้นมาที่หอสูง


"ว้าวที่นี่วิวสวยจัง ขอบคุณท่านมากนะแม่นางเว่ย ที่นี่สนุกมากเลย" โจวจินยิ้มและกล่าวขอบคุณแม่นางเว่ย


"ไม่เป็นไร นานๆทีได้เที่ยวกับสหายบ้างก็ดี" แม่นางเว่ยกล่าวตอบ


ทั้งคู่ก็ยืนซึมซับบรรยากาศที่หอสูงด้วยกันซักพัก เวลาก็มืดค่ำแล้ว จึงแยกย้ายกันเพื่อกลับไปพักผ่อน


----------------------------------


-ถังหูลู่ 1 เลี้ยงแม่นางเว่ย


-โพสขอปลดล็อคความสัมพันธ์ 4 ดาว แม่นางเว่ย [NPC-06] เว่ย จื่อฟู


@Admin เปิดใช้งานพรสวรรค์ผู้มีบุญครับ



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 10547 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-8-5 17:56
โพสต์ 10,547 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2024-8-5 17:56
โพสต์ 10,547 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2024-8-5 17:56
โพสต์ 10,547 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม +1 ความชั่ว +4 ความโหด จาก กระบี่  โพสต์ 2024-8-5 17:56
โพสต์ 10,547 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-8-5 17:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-8-6 19:32:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 3 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  23.00 น หอดาราเฟยเทียน



โจวจินหลังจากทำเควส ศิลาเทพได้ ก็รู้สึกเหนื่อย จึงเผลอหลับยาวหลังจากตื่น ชายหนุ่มก็นอนไม่หลับ ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจมาที่หอดาราเฟยเทียน ขึ้้นไปยังจุดสูงสุดเพื่อชมวิวที่ราวกับจะข้ามโลก โจวจินนั้นรู้สึกสับสนกับความทรงจำเเปลกๆที่ถูกยัดเยียดเข้ามา


"อ่ะ สวัสดีผู้มาใหม่... อ่ะ เจ้าเองเหรอโจวจิน" พี่หมานหันหน้ามาทักทายโจวจิน



"สวัสดีขอรับพี่หมาน วันนี้ผมแค่รู้สึกมีอะไรแปลกๆ เหมือนกับข้าไม่ใช่ตัวของตัวเอง" โจวจินพูดเสียงสั่น หลังจากรับความทรงจำเเปลกๆ โจวจินก็ดูเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง


"บางที ตอนนี้ผมแค่อยากหาที่พักผ่อนหย่อนใจน่ะขอรับ" โจวจินกล่าวเสริม


พี่หมานมองโจวจินและยิ้มรับ


"เจ้าเชื่อในชะตาชีวิตคนหรือไม่ กลุ่มดาวบนท้องฟ้าคือชะตาแต่ละคน ก่อนตงฟางซั่วจะชี้ไปยังดาวสีทองสุกสกาวบนฟากฟ้าที่อยู่เหนือกลุ่มดาวอื่น ๆ แสงสีทองระยิบระยับและเจิดจ้าสุด ยิ่งกว่าดวงจันทร์ เขาบอกนั่นคือดาวจักรพรรดิ บ่งบอกถึงยุคสมัยที่รุ่งโรจน์และจักรพรรดิเกรียงไกร ส่วนดาวของเจ้าอยู่ในกลุ่มดาวทางฟากนั้น " พี่หมานชี้ไปยังกลุ่มดาวกลุ่มนึง


"เหมือนเจ้าจะเป็นคนมาจากโลกอื่นสินะ" ตงฟางซั่วพูดขึ้นชี้ไปยังดาวแสงจาง ๆ แต่ยังพอมีแสงสีขาวนวล เพียงดาวดวงเดียวก็บอกสถานะคุณต่ออีกฝ่ายอย่างแจ่มชัด

"ผมไม่แน่ใจขอรับ วันนี้ข้าไปที่ศิลาเซียน และไปทำภารกิจจัดการปีศาจ หลังจากที่ข้ากลับมา เซียนที่อยู่ตรงนั้น ก็บอกว่าให้ข้ารับรางวัล หลังจากนั้นข้าก็เหมือนได้ความทรงจำประหลาดมา บางทีข้าอาจจะเป็นคนจากต่างโลกจริงๆก็ได้" โจวจินกล่าวระบายยาว


"แต่ข้าก็เกิดที่นี้ โตที่นี่ข้ามีพ่อมีแม่ ข้ามีพี่ชาย แต่ข้าก็มีความทรงจำประหลาด หรือข้าจะเป็นคนต่างโลกข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ข้าคือข้าโจวจินที่แค่อาจจะมีความทรงจำประหลาดจากต่างโลกเฉยๆ" โจวจินกล่าวตอบพี่หมานด้วยความแน่วแน่ราวกับว่าเขาจะตัดสินใจไปแล้ว


ตงฟางมองโจวจินนิ่งๆ


"เป็นตัวของตัวเองถูกต้องแล้วน้องชาย เอาเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว เรามาพักผ่อนเงียบๆ มองดูดาวเถอะ มา ข้าจะสอนเจ้าดูดาว


พี่หมานใช้เวลาซักพัก สอนโจวจิน เกี่ยวกับกลุ่มดาว 12 ราศี การมองดูดามต่างๆ จนโจวจิน สงบลง


"ขอบคุณพี่หมานมากนะขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าข้าจะเป็นคนจากต่างโลกหรือไม่ตอนนี้ข้าเป็นโจวจิว บุตรชายของโจวต้าจินและโจวไป๋ และข้ามีพี่ชายชื่อโจวไค่" โจวจินตัดสินใจ ต่อให้เขาได้รับความทรงจำเพิ่มเติมมาแค่ไหน แต่ชีวิตที่เขาเกิดที่นี่และใช้ชีวิตมา 16 ปี นั้นเป็นของแท้แน่นอน


หลังจากนั้นโจวจินกับพี่หมานก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน


-------------------------------------------


@Admin โพสปลดล็อคความสัมพันธ์ ตงฟางซั่ว NPC-007 เปิดใช้งานพรสวรรค์ผู้มีบุญด้วยครับ



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7995 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-8-6 19:32
โพสต์ 7,995 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +1 ความโหด จาก ง้าวปีศาจปลา  โพสต์ 2024-8-6 19:32
โพสต์ 7,995 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2024-8-6 19:32
โพสต์ 7,995 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2024-8-6 19:32
โพสต์ 7,995 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2024-8-6 19:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-8-8 03:29:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ยามเหลียนฮวาเบ่งบาน
วันที่หก ปาเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบ
ปลายยามซวี (20.30 น.)




     จากวังหลวงสู่ภายนอกวังที่นางไม่ทราบว่าตอนนี้ตัวนางเองอยู่ที่ใดจนกระทั่งรถม้าได้หยุดลง จ้าวหนิงเฟยที่ต้องตามประกบด้วยหน้าที่ก้าวลงไปก่อน ก่อนที่จะมีเสียงทุ้มเอ่ยตามมาแจ้งแก่นางผู้ยังรั้งรอบนรถม้าให้นางลงได้ เหลียนฮวาในไม่รอช้าลุกขึ้นเดินออกจากรถม้าเพื่อลงไปตามที่เสียงทุ่มเอ่ย ทว่าไม่ทันจะก้าวลงบันไดไม้ที่เสริมสำหรับผู้สูงศักดิ์เดินลงมาดีเท้าเจ้ากรรมก็เหยียบชายกระโปรงจนเสียสมดุลไม่อาจทรงตัวได้ ฉางซานเซียนหวางแลเห็นเช่นนี้ก็รวบกายบางให้ล้มลงมาในอ้อมแขนแกร่งเพื่อไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ นับว่าโชคดีนักที่เขาให้นางสวมหมวกบดบังใบหน้าเอาไว้

   “ขอบพระทัยเพคะหวางเย่—”

   ไม่ทันจะเร่งผละกายออกมายอบกายขอบพระทัย มือหนาก็ต้องกลับมาประคองกายบางเอาไว้เพราะดูเหมือนว่าตอนที่ล้มลงนี้จะเกิดข้อเท้าพลิกไม่อาจลงน้ำหนักได้จนหวิดจะหัวคว่ำไปอีกสักรอบ

   “ไม่เป็นไร เราไปกันเถิด”

   ฉางซานเซียนหวางเอ่ยก่อนที่จะประคองสตรีข้างกายแทนจ้าวหนิงเฟยที่ดูเหมือนว่าจะก้าวมาช้ากว่าความเร็วของบุรุษผู้ฝึกฝนร่างกาย เขาพานางเดินเข้าไปภายในสถานที่หนึ่งที่เมื่อลองมองลอดผ่านผ้าคลุมไหมโปร่งนี้ก็แลเห็นว่าเป็นหอดาราเฟยเทียนนั่นเอง เมื่อเดินไปแลเห็นว่าจำต้องเดินขึ้นบันไดนางก็คิดว่าใช้เวลานี้เองไปหาอะไรสักหน่อยเพื่อเสริมบรรยาการพักผ่อน

   “จ้าวกู่กู เปิ่นกงหิวเสียแล้ว ไปซื้อกระไรสักหน่อยสิ”

  “รับทราบเพคะ”

   สิ้นเสียงนางกำนัลส่วนตัวเอ่ยขานไม่ทันไร เสียงทุ้มก็เร่งเอ่ยขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าจ้าวกู่กูได้รับคำสั่งออกไปซื้อของ เขาเอ่ยสั่งให้ซื้อผ้าพันข้อเท้าจากโรงหมอในเมืองไม่ไกลจากที่นี่นักก่อนที่จ้าวกู่กูจะเอ่ยรับเรื่องอีกคราและเดินออกไปจากหอดาราเฟยเทียน ต่อไปก็ถึงเวลาที่นางจะต้องเดินขึ้นบันไดไปข้างบนเสียแล้ว เหลียนฮวาผู้มีพระอนุชาในองค์จักรพรรดิคอยประคองค่อย ๆ ก้าวเดินทีละคั่นโดยพยายามเร่งให้ตนเองเดินขึ้นให้ไวเท่าที่จะไวได้จนถูกเอ็ดให้ช้าลงหน่อยเพื่อความปลอดภัยของตัวนางและไม่ให้เท้าบวมไปมากกว่านี้

   “กว่าหม่อมฉันจะเดินขึ้นเดินลงคงมืดค่ำเกินควรแล้วกระมังเพคะ”

   ด้วยสตรีเอ่ยตัดพ้อ ประโยคต่อมาของร่างสูงคือคำว่า “เช่นนั้นแล้วเปิ่นหวางขอเสียมารยาทแล้ว” ก่อนที่จะเปลี่ยนจากการประคองขึ้นบันไดทีละขั้นเป็นการถือวิสาสะโอบอุ้มนางขึ้นมาแล้วก้าวเดินไปยังจุดสูงสุดของหอดาราเฟยเทียนด้วยความรวดเร็ว

   เหลียนฮวาผู้ไม่คาดคิดว่าเขาจะกระทำเช่นนี้ นางเพียงตัดพ้อกับตนเองและหวังลึก ๆ ว่าเขาจะไปที่อื่นที่ไม่ต้องขึ้นบันไดจึงค่อนข้างตกใจสามส่วน ประหลาดใจหกส่วน ส่วนอีกส่วนที่เหลือกลับเป็นความวูบไหวในอกอย่างน่าประหลาดที่นางรู้สึกได้เพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะหายไปเมื่อนางถูกวางลงนั่งที่ตั่งนั่ง ถอดหมวกไผ่ผ้าคลุมเรียบร้อยพร้อมกับการกลับมาเพิ่มเป็นราว ๆ สามส่วนเมื่อแลเห็นเขาก้มลงตรวจสอบข้อเท้าขวาของนางว่าบวมหรือไม่โดยมีกระแสความห่วงใยปรากฎขึ้นให้แลเห็นอยู่บ้าง

   “เปิ่นหวางว่า คงต้องพันไว้ไม่ให้เท้าพระสนมขยับก่อนมันจะบวมไปมากกว่านี้ กลับตำหนักก็แช่เท่าด้วยน้ำอุ่นสั่งเหนื่อยคลายเมื่อยกับปล่อยให้เลือดลมไหลเวียนดี บวมลดลง”

   เมื่อฉางซานเซียนหวางประเมินเสร็จไม่นานจ้าวกู่กูก็เดินมาพร้อมอุปกรณ์และของกินพอแกล้มให้เข้ากับบรรยากาศก่อนที่จะขอตัวไปยืนไกลกว่าเดินเสียหน่อยให้ความเป็นส่วนตัวต่อเจ้านายทั้งสอง มือหนาหยิบผ้ามาพันข้อเท้าให้อย่างบรรจง ในช่วงเวลานี้เองนางก็หยิบถ้วยซิ่งเหรินโต้ฟูมาตักก่อนจะกะจังหวะที่อีกคนเงยใบหน้าคมคายขึ้นมาเพื่อจ่อช้อนไปที่ริมฝีปากหนา

   “ตอบแทนที่พระองค์ช่วยดูแลเพคะ”

   ฉับพลันนั้นดวงตากลมโตดุจดอกเหมยเบ่งบานงดงามอยู่ภายในกับดวงตาคมดั่งหมาป่ากลางเหมันต์พลันสบกันอย่างไม่อาจหลีกหนีได้ ในขณะที่บุรุษผู้คุกเข่าตรงหน้าจดจ้องไม่วาง ริมฝีปากหนาก็ค่อย ๆ อ้าขึ้นเพื่อเสวยเต้าหู้นิ่มกลิ่นซิ่งเหรินหอมหวานจาง ๆ ตามที่นางตักให้เขา

   “หวานดีนะ”

   น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นมาทำดวงใจน้อยสั่นไหวเกินหักห้าม ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยสีชาดระบายทั่วแก้มใสทันใดราวกับว่า ‘กินเต้าหู้’ ที่เขากระทำอยู่นั้นมันช่างหลากหลายความหมาย นางผลักถ้วยขนมถ้วยโปรดไปให้เขาก่อนจะหันไปหยิบถ้วยชามาให้พร้อมอย่างรีบเร่งราวกับว่าต้องการหาอย่างอื่นทำไม่ให้เขาแลเห็นสิ่งใดได้

   ซึ่งมันช่างไร้ประโยชน์เสียจริงเมื่อทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายพระเนตรแห่งองค์หวางเย่อยู่ตลอดเวลา

   “พระองค์จะนั่งพื้นอีกนานไหมเพคะ หากผู้ใดมาแลเห็นคงคิดว่าหม่อมฉันกำลังทารุณกรรมพระองค์เป็นแน่”

  “ก็ดี เช่นนั้นแล้วเปิ่นหวางจะได้ไปฟ้องเสด็จพี่สั่งให้พระสนมรับผิดชอบ”

   “ —!?! ”


   บุรุษน่าตีให้ตายผู้นี้แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่อาจต่อปากต่อคำชนะอยู่แล้ว ยิ่งในเวลาเช่นนี้อีกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองจะพ่ายแพ้ขึ้นทุกวันจนนึกเจ็บใจอยู่ในที เว่ยเจียเหลียนฮวาไม่รู้จะทำอย่างไรก็ดึงแขนแกร่งให้ลุกขึ้นนั่งข้าง ๆ เสียทีก่อนที่จะเป็นไปดั่งคำกล่าวหยอกเอินจริง ๆ

  “พระองค์พาหม่อมฉันมาที่นี่เพื่ออะไรหรือเพคะ”

   “พักผ่อนอย่างไรเล่า” ฉางซานเซียนหวางเอ่ยทันทีที่นางถาม “ในเมื่อพระสนมทรงงานหนักถึงเพียงนั้นแล้วไหนเลยจะปล่อยวางได้ เปิ่นหวางเลยพามาชมดาวมองท้องฟ้าให้คลายขมับเสียหน่อย” มือหนาตักซิ่งเหรินโต้ฟูขึ้นทานเพิ่มอีกคำก่อนจะวางถ้วยขนมลง จิบชาเล็กน้อยและเริ่มกระทำในสิ่งที่เขามักจะทำอยู่บ่อย ๆ “ในช่วงคิมหันต์เช่นนั้นมักจะแลเห็นกลุ่มดาวราชสีห์ อยู่ตรงนั้น”

            มือหนาชี้ไปบนท้องฟ้าพลางลากรูปร่างต่อกันให้เป็นรูปลักษณ์ของราชสีห์งดงามบนท้องนภายามราตรี นางมองหาอยู่ไม่นานก็พบและสิ่งที่ได้เจออีกอย่างคงจะเป็นความสนุกที่นางได้แลเห็นรูปร่างมากมายจากดวงดาวกระมัง ช่วงเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ การพิศมองดวงดาราพร้อมสนทนาอย่างออกรสดำเนินไปราว ๆ เกือบชั่วยามก่อนที่ทั้งสองจะตัดสินใจกลับวัง


   ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าจะนางจะไม่หวนรำลึกทุกครั้งเมื่อเมียงมองดวงดาว





[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)

@Admin

เฮ้อ รักแท้นี่มันรักแท้จริง ๆ

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] หลิว ชุ่น เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2024-8-8 09:45
โพสต์ 18880 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-8-8 03:29
โพสต์ 18,880 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 คุณธรรม +7 ความโหด จาก ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)  โพสต์ 2024-8-8 03:29
โพสต์ 18,880 ไบต์และได้รับ +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-8-8 03:29
โพสต์ 18,880 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-8-8 03:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x7
x70
x50
x10
x1
x40
x12
x33
x5
x42
x9
x40
x43
x1
x269
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x1
x11
x6
x1
x21
x33
x12
x2
x1
x19
x10
x5
x6
x3
x20
x4
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x247
x10
x4
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x105
x67
x33
x152
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2024-8-15 06:24:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ยามเหลียนฮวาเบ่งบานชั่วราตรี
วันที่สิบสอง ปาเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบ
กลางยามเหม่า (20.00 น.)




   อาศัยราตรีกาลไร้แสงกระจ่าง เพียงจันทราฉายพอทัศนะ เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้รู้สึกว่าจิตใจของนางในยามนี้ช่างน่าประหลาด ไม่คล้ายว่างเปล่า ไม่คล้ายปั่นป่วน มือเรียวที่กอบกุมด้ามพู่กันตวัดคัดอักษรได้หนึ่งคำ


(ความรัก)

   อักษรงามดั่งบทประพันธ์แสนหวาน ภาพของผู้กระซิบแผ่วเบา ( 欠 ) เอ่ยพร่ำแก่ดวงใจ ( 心 ) ร้องขอการโอบกอดและถนอมความรู้สึกให้มั่น เป็นการประดิษฐ์อักษรภาพที่มากล้นด้วยความหมายและความรู้สึกที่นางร่ำเรียนมาทั้งชีวิตทว่ากลับมีบางสิ่งสัมผัสแผ่วเบาขึ้นมาก็ในยามนี้ ดวงตาหวานไล่พิศพิจารณาทีละเส้น การตวัดปลายพู่กันที่ยังคงความลังเลในอักษรนี้ ทำเอานางรู้สึกได้ว่าตนเองไร้ซึ่งสติจะนั่งเทียนเขียนอักษรใด ๆ

   บัดนั้นเมื่อเปลวเทียนวูบไหว แสงจันทร์จาง ๆ ฉายลาดผ่านหน้าต่าง ใบหน้างามดาษดื่นพิศขึ้นลากสายตามองท้องฟ้าไกล หมู่ดาวหลายสิบพันมากมายประดับงดงามอยู่บนนั้น ทว่ากลับมีหนึ่งหมู่ดาวที่เพียงลากผ่านกลับแลเห็นชัดไม่จางหาย

   “เหตุใดเจ้าจึงเด่นชัดเช่นนั้นเล่า พ่อราชสีห์”

   แล้วสุดท้ายจากสตรีนั่งโต๊ะฟุ้งซ่านก็แอบออกจากตำหนักนั่งรถม้าออกมายามวิกาลเพื่อไปเยือนที่ที่หนึ่งที่นางมั่นใจว่านางจะสามารถชื่นชมหมู่ดาวพวกนี้ได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือหอดาราเทียนเฟย สองเท้าเหยียบยืนจุดสูงสุดของหอดูดารา สองมือถอดหมวกไผ่ผ้าไหมโปร่งคลุมใบหน้าหย่อนกายลงประทับตั่งนั่งดั่งวันวาน ทิ้งให้จิตใจล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

   ความรักคือสิ่งใด ความรู้สึกเป็นเช่นไร

   เกิดมาเป็นน้อยนับว่าต้อยต่ำหนึ่งขั้น เกิดมามิได้งามพิลาศนับว่าดาษดื่น ใช้ชีวิตอยู่กับสติปัญญาและกองม้วนตำรา ไหนเลยจะรู้จักช่วยเวลาเบ่งบานในดวงใจ สิ่งเดียวที่นางกระทำได้คือการหยิบม้วนตำรานวนิยายประโลมโลกมากางอ่านบทพรรณาความวูบไหวในอกของสตรีตัวเอกในบทประพันธ์

   “เปลี่ยนสถานที่อ่านนวนิยายหรือพระสนมเว่ยเจียเสียนอี๋”

   เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นข้างใบหู ลมหายใจที่ปะทะแผ่วเบาทำเอาร่างเล็กสะดุ้งโหยง ดวงหน้ากลมเร่งหันไปหวังพิศมองต้นเสียงว่าใช่บุรุษผู้นั้นหรือไม่ บัดนั้นราวกับเปลวไฟจุดประกายในอก เมื่อแก้มใสที่หันไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะไหวกายออกห่างทำให้เกิดแนบสัมผัสนุ่มห่างมุมริมผีปากไปเพียงไม่ถึงสองชุ่น คนตัวเล็กพลันนิ่งค้างราวกับสติหล่นหายไปเสียแล้ว ร่างสูงตั้งสติก้าวออกห่างทำให้เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นพิศพลันสบดวงเนตรคมประสานสายตาอย่างไม่อาจหักห้าม

   ราวกับบทประพันธ์ความรู้สึกของสตรีตัวเอกในนวนิยายประโลมโลกแว่วผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ดวงใจที่เงียบหายดังลั่นขึ้นอย่างไม่อาจหักห้าม ใบหน้าที่เห่อร้อนราวกับจะเป็นไข้เสียมันตอนนี้ แม้มีอาการแปลกประหลาดมากเพียงใดทว่ากลับไม่อาจละดวงตาออกไปได้

   เพราะนางที่มาชมดาวยามนี้ ได้แลเห็นประกายดวงดารางดงามผ่านนัยน์เนตรสีนิลดั่งห้วงราตรี

  “ไม่— อ่า— ใช่— เดี๋ยวก่อน ไม่ เอ่อ—... ข้าไปแล้ว”

   เมื่อไม่อาจทานทนสนทนาใด ๆ ได้อีกต่อไป การเดินออกมาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วในยามนี้ เว่ยเจียเหลียนฮวาเร่งลุกขึ้นก้าวฉับ ๆ ออกมาโดยไม่ตรวจทานว่ามีสิ่งใดติดมือหรือเก็บคืนมาได้บ้าง ครั้นรู้ตัวก็อยู่บนรถม้าเสียแล้ว ทิ้งม้วนตำรานวนิยายประโลมโลก ถ้วยชาดอกเบญจมาศและปิ่นโตใส่ซิ่งเหรินโต้ฟูไว้เป็นของฝากกลาย ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจให้บุรุษผู้ฝากสัมผัสอุ่นไม่จางบนแก้มใสที่แต้มริ้วสีชาดไม่คลาย

   ดวงใจสั่นไหวได้เพียงพบหน้า ราวกับถานฮวาเบ่งบานชั่วข้ามคืน





[สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)]

[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
++20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + (+5) ชาอะไรก็ได้ 

ตอนแรกว่าจะแท็กขออีเว้นเพิ่ม  แต่ว่าตอนนี้น่าจะไม่ต้องละ 5555555555555555555
@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] หลิว ชุ่น เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-8-15 07:18
หากไม่สนใจ ไม่ต้องตอบอะไรปล่อยทิ้งไว้ในสายลม  โพสต์ 2024-8-15 07:18
++ ท่านสนใจรับความทรงจำ 1 ความทรงจำ ของพันปีก่อนในโลกนี้หรือไม่ หากสนใจสตอรี่ พันปีก่อน กด Y   โพสต์ 2024-8-15 07:17
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2024-8-15 07:16
โพสต์ 12472 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-8-15 06:24
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x7
x70
x50
x10
x1
x40
x12
x33
x5
x42
x9
x40
x43
x1
x269
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x1
x11
x6
x1
x21
x33
x12
x2
x1
x19
x10
x5
x6
x3
x20
x4
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x247
x10
x4
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x105
x67
x33
x152
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2024-9-8 23:55:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันที่ 5 จิ่วเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 10 
เวลา 21.30 น.


ยามไฮ่มาถึงซิ่วอิงเดินทางออกจากค่ายพยัคฆ์แต่งกายด้วยอาภรณ์แบบปกติทั่วไปมุ่งหน้าเข้าเมือง ใช้เวลาเดินทางอยู่พักใหญ่ก็มาถึงตัวเมือง นางเคยได้ยินเรื่องหอดาราแห่งนี้มาบ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ย่างก้าวเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ด้านล่างเหมือนจะเป็นจุดนัดพบทั้งยังมีลานระบำ นางเลือกจะเดินผ่านไปเนื่องด้วยจุดหมายปลายทางคือยอดหอชั้นบนสุด


เสียงฝีเท้าของคุณหนูตระกูลหรงดังพอที่จะทำให้บุรุษผู้ยืนเอามือไขว้หลังมองดวงดาวอยู่ก่อนหน้านี้รับรู้ถึงการมาเยือนของแขก เขาหันมาตามทิศทางของเสียงจึงได้พบว่าซิ่วอิงได้ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว


“มาแล้วหรือแม่นางหรง” เขาเผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า


ซิ่วอิงพยักหน้าเบา ๆ “เหตุใดคุณชายตงฟางจึงนัดข้ามาที่นี่หรือเจ้าคะ?”


“ค่ำคืนนี้ฟ้าโปร่ง เหมาะแก่การดูดาว” คุณชายพูดพร้อมหันไปเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี


ซิ่วอิงเงยหน้ามองบนฟ้าท้องฟ้าเปิดโล่งมองเห็นหมู่มวลดาราได้ชัดเจน ตาของนางเป็นประกายเมื่อเห็นความสวยงามของนภายามค่ำคืน ซิ่วอิงค่อย ๆ เดินมาเกาะขอบระเบียงหอดาราด้วยความตื่นเต้น 


“งามมากเลยเจ้าค่ะ” นางยังคงไม่ละสายตาจากหมู่มวลดาราบนฟากฟ้า


“แม่นางชอบหรือไม่?” คุณชายตงฟางเดินมายืนข้างนางก่อนที่จะหันมาถาม


“เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงหันมาตอบ ก่อนจะยืนนับดาวบนท้องฟ้าอย่างสนอกสนใจ


“เห็นดาวดวงนั้นหรือไม่?” 


คุณชายตงฟางชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้าที่ดูแปลกตายิ่งกว่าดาวดวงใด ประกายดาวส่องแสงสักพักก็เปลี่ยนเป็นริบหรี่และกลับมาส่องแสงอีกครั้งเป็นเช่นนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ ซิ่วอิงมองดูแล้วก็ได้แต่แปลกใจ 


“ดวงดาวนั้นเดี๋ยวริบหรี่เดี๋ยวส่องแสง ช่างดูประหลาดยิ่งเจ้าค่ะ” 


“นั่นคือดาวประจำตัวของผิงหยางกงจู่” 


“วีรสตรีนักรบน่ะหรือเจ้าคะ?”


ซิ่วอิงเคยได้ยินเรื่องผิงหยางกงจู่มาบ้าง เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบที่นางนับถือยิ่งในความเก่งกล้าสามารถ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพ เนื่องจากอยากสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับได้อย่างเช่นองค์หญิงใหญ่แห่งต้าฮั่นผู้นี้


“ถูกต้องแล้ว…ดูเหมือนพระองค์จะพบเจอเรื่องยุ่งยากบางอย่าง ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”


“เรื่องไม่ดีหรือเจ้าคะ?”


“ไม่ได้หนักหนามากนัก อีกไม่นานคงมีจอมยุทธ์ผู้กล้าจากต่างโลกปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเป็นกำลังให้กงจู่อีกแรง” คุณชายตงฟางยังคงแกะคำทำนายจากการมองดวงดาวนั้น


“ต่างโลก? ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ”


“จักรวาลนี้ช่างกว้างใหญ่นัก โลกที่เราอยู่หาใช่โลกใบเดียวไม่ หากแต่ยังมีอีกมากมายเกินกว่าที่มนุษย์จะหยั่งรู้ได้”


คุณชายตงฟางยังคงทำให้ซิ่วอิงรู้สึกแปลกใจได้เสมอ ความสามารถของเขาเกินกว่าที่นางจะคาดเดา ไม่เพียงแต่เป็นคนที่มีปัญญาเฉียบแหลมยังเป็นคนที่เก่งรอบด้านอีกด้วย


“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชายมีความสามารถด้านโหราศาสตร์ด้วย”


“ข้าพอมีความรู้อยู่บ้าง ไม่ได้เก่งกาจอะไร” คุณชายตงฟางตอบอย่างถ่อมตัว


“ถ้าเช่นนั้นคุณชายพอจะบอกข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าดาวดวงไหนเป็นดาวประจำตัวของข้า?” 


ซิ่วอิงถามด้วยความสนใจ ความรู้ด้านการทำนายดวงดาวของคุณชายตงฟางกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนางได้เป็นอย่างดี บางทีดวงชะตาของนางอาจจะได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตแบบคนอื่นเขาบ้างก็ได้…คุณชายตงฟางหันไปมองบนท้องฟ้าแล้วชี้ไปที่ดาวดวงน้อยดวงหนึ่งบนนั้น


“ดวงนั้น”


“เล็กจังเลยเจ้าค่ะ” 


ซิ่วอิงมองตามทิศทางที่คุณชายชี้ไป ก่อนจะชะเง้อมองยื่นตัวออกนอกระเบียงเพื่อให้เห็นดวงดาวชัด ๆ จนคุณชายตงฟาเห็นท่าไม่ดีต้องใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบกายของนางแล้วดึงกลับเข้ามาด้านในระเบียง จากนั้นจึงรีบปล่อยมือเพื่อไม่ให้นางตกใจเช่นคราวก่อน


“ระวังด้วย เดี๋ยวตกอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเงยหน้าไปมองดาวบนฟ้าอีกครั้ง


“เจ้าค่ะ…” นางก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนคนสำนึกผิด


“ดูเหมือนแม่นางจะมีที่มาไม่ธรรมดาเลยนะ…” คุณชายตงฟางมองดาวประจำตัวซิ่วอิงแล้วเอ่ยขึ้น


“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” ซิ่วอิงหันมาถามคุณชายเมื่อเห็นเขาอ่านดวงดาวของนาง


คุณชายเพียงแค่ยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้คุณหนูแห่งตระกูลหรงได้แต่ตั้งคำถามในหัวว่าคุณชายตงฟางผู้นี้มองเห็นอะไรในดาวดวงนั้นกันแน่ อย่างน้อยนางก็หวังว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดี…



อีเว้นท์ปลดล็อกหัวใจ 2 ดวง (2)
จบ



หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+10


@@Admin 





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว เพิ่มขึ้น 10 โพสต์ 2024-9-9 01:11
โพสต์ 30959 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-9-8 23:55
โพสต์ 30,959 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2024-9-8 23:55
โพสต์ 30,959 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความชั่ว +15 ความโหด จาก คนกำยำ  โพสต์ 2024-9-8 23:55
โพสต์ 30,959 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2024-9-8 23:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7
โพสต์ 2025-6-8 03:03:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-8 14:41


วันที่ แปด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น.

         ยามเช้ามืดหรือยามเหม่าปรากฎตัวขึ้น ฟ้าเริ่มประกายสีทองอ่อน เริ่มเห็นเผยแสงแรกของวันอย่างเงียบงัน สีส้มหม่นเจือกลิ่นหอมของหมอกอวลละมุนในอากาศลอยคลอเคลียตัวเรือนเงางามที่เงียบงันของหอดาราเฟยเทียนที่สูงเสียดฟ้าในสายตาของคนอื่น ๆ ราวกับจะจารึกเป็นบทกวีอันเล่าขานไว้บนแผ่นฟ้าทางทิศตะวันออก..ยามนี้ยังไม่ใช่ช่วงที่มีผู้คนพลุกพล่านของตลาดโดยรอบ แต่แสงโคมไฟนั้นยังมิได้ดับสนิทในยามราตรีที่ผันผ่าน มันยังกระพริบแสงริบหรี่วูบวาบอยู่เส้นเหนือเส้นทางสายหัตถศิลป์ด้านล้าง ป้ายฟ้าสีแดงพลิ้วไหวงดงามตามสายลมช่วงเช้าท่ากลางเสียงใบไม้ร่วงเล็กน้อยจากสายลมของฤดูร้อนที่ตอนนี้ยังไม่ร้อนมาก..

         ตัวหอเฟยเทียนนั้นดูแปลกตาแต่งดงามปลูกขึ้นด้วยไม้สนที่งดงามชั้นดีหลายต่อหลายต้น ฐานหอประกอบด้วยลักษณะแปดเหลี่ยมเรียงซ้อนกันสู่ยอดแหลมที่ประดับประดาไปด้วยกระดิ่งสีทองคำงามเล็ก ๆ จนได้ยินเสียงของพวกมันกระทบกันเบา ๆ ทุกครั้งที่สายลมพัดผ่านมันอย่างงดงาม ตรงฐานมีหอลานกว้างแล้วก็ร้านค้ามากมาย ล้วนแต่เปิดให้บริการในยามเช้า แต่ตอนนี้ยังไม่ครื้นเครงและคนก็ยังไม่เยอะ… ด้านบนที่หญิงสาวคนหนึ่งอยู่ตอนนี้เงียบเชียบราวกับหลุดออกมาจากมิติลับ ลมเย็นเฉียบแต่กลับไม่เกรี้ยวหราดแต่อย่างใด ทิวทัศน์ภายนอกของเมืองฉางอันยามเช้ารุ่งสางเมื่ออาทิตย์กำลังขึ้นขอบฟ้าค่อย ๆ แย้มออกมาทีละน้อยจากม่านหนอกเบาบางงดงาม..

         หากผู้ใดมาที่นี่ในยามนี้คงจะได้สัมผัสกับความสงบไม่ต่างจากเธอที่จ้องมองมัน นี้คือการหลุดพ้นจากเสียงของความวุ่นวายในช่วงเวลาทุกครั้ง เป็นห้วงเวลาที่เหมาะสมแก่การนั่งพิจารณาดวงดาวที่พึ่งลาลัยและแสงอรุ่นรุ่งที่กำลังผลิบานในทุกครั้ง

         หลินหยา …นางอยู่ในชุดอาภรณ์สีชมพูอ่อนละมุนใหม่ ราวกับเงาของกลีบดอกไม้ดอกเหมยในยามแรกแย้มงาม เรือนผมสีดำขลับของนางถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย ประดับด้วยดอกไม้เล็กน้อยที่แต่งไว้อย่างปราณีตงดงาม กลีบเล็กสีขาวปนชมพูนั้นแผ่ซ่านรับกับผิวนวลเปล่งพลั่งที่แทบจะไม่ต้องพึ่งแสงตะวันให้ช่วยการเรืองรอง ดวงตาที่แสนอ่อนหวานของเธอมองสิ่งที่อยู่ในมืองของตนเอง..

         “....” หอบผ้า..

         นางอยู่ในชุดผ้าฝ้ายเนื้อบางเบาที่ปลิวไหวได้เพียงเพราะสายลมยามเช้านั้นรำไรชะโลมเลียทั้งร่างกาย เธอไม่ดูเหมือนใครเลย ไม่เหมือนสาวตระกูลขุนนาง ไม่เหมือนนักเดินทาง ไม่เหมือนนักเดินทางพเนจรที่พึ่งหนีหมาปีนต้นไม้เมื่อวันก่อน ๆ หรือที่ผ่าน ๆ มา..ตอนนี้เธอเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ออกมาจากภาพวาด ชวนให้คิดฝันว่าหากนางหลับตาลงเพียงหนึ่งลมหายใจ นางอาจจะสลายหายไปเป็นดอกไม้ที่ถูกทอขึ้นจากเสียงของซุนหรือขลุ่ยไม้ที่ก้องกังวาล

         หอบผ้านั้นเต็มไปด้วยเหรียญตำลึงแล้วก็เสื้อผ้าและของกินบ้างส่วน..เครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ …และขลุ่ยไม้ไผ่..ที่ท่านพ่อและท่านแม่จากกว่างโจวส่งมาให้เธอพร้อมกับกระดาษโน๊ตที่เขียนด้วยลายมือ

         ‘หยาเอ๋อร์..พ่อกับแม่ส่งของมาให้ จงอย่าลำบากมากนัก หากต้องการสิ่งใดก็ส่งจดหมายบอกเรา ใช้ชีวิตให้มีความสุข พ่อกับแม่คิดถึงลูกเสมอ’

         แม้ว่าตอนนี้จะมีเงินมากมายอยู่ในอุ้มมือของตนเอง แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าอกข้างหนึ่งของเธอมันโหวงว่างอย่างโล่งราวกับไร้ดวงใจ..เธอจ้องมองด้านบนสุดที่เป็นระเบียงชมดาวที่สร้างอย่างปราณีต ไม้เก่าถูกเคลือบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้มันเงางามท่ามกลางแสงโชม จุดชมฟ้ากว้างขวางทั่วฉางอัน…เธอหันหน้าไปทางทิศใต้ ทิศบ้านเกิดของเธอ

        กว่างโจว..

         มือบางขยับวางห่อผ้าไว้ข้างตัวเบา ๆ ก่อนที่จะยกมือแนบอกของตัวเอง ดวงตากลมใสจ้องมองไปยังดวงดาวดวงหนึ่งที่ยังคงส่องประกายท่ามกลางม่านของฟ้าก่อนถึงช่วงเวลาเช้า ตรงั้น..คงเป็นที่บ้านก็คงจะมองเห็นเหมือนกันใช่ไหม? …

         “ท่านพ่อท่านแม่..ท่านปู่..น้องเล็ก…ต้นท้อที่จวนยังอยู่ดีหรือไม่นะ? หรือต้นเหมยข้างกำแพงยังอยู่ดีใช่ไหม?...แมวที่หลังครัวโตหรือยัง?...เหล้าข้าได้ที่หรือยัง..ท่านปู่แอบเอาไปดื่มอีกแล้วหรือไม่..” นางพึมพำกับตัวเอง หลินหยาไม่ได้ร่ำไฟ้ แต่แววตานั้นเหมือนกับเปียกชื้นอย่างเงียบงัน เงาของหญิงสาวปรากฎซ้อนกับท้องฟ้ายามนี้ และดวงน้อยใหญ่ที่ยังส่องอยู่เหนือปลายหอ เธอเหมือนอยากยกมือไปบนท้องฟ้า แล้ววาดเส้นเชื่อมดวงดาวตรงนั้นเหมือนสมัยยังคงเป็นเด็ก..

         ….สายลมยามเช้าพัดผ่านมาจากทางทิศใต้..กลิ่นอ่อน ๆ ของไม้กฤษณาดังขึ้นในความทรงจำที่ชัดเจน..เสียงโคมกระดาษและกระดิ่งปลิวชนกันจนทำให้มีเสียงอยู่ภายหลัง เมืองหลวงที่เริ่มตื่น มีทั้งความฝันความวุ่นวาย และตอนนี้ ณ หอดารา..มีเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้รำพึง ไม่ได้คร่ำคราญ..แต่ในใจของนางยังคงมีเสียงจากบ้านเกิดกระซิบอย่างแผ่วเบาเสมอมา..

         ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ฟ้าเดียวกันก็จะมีดาวดวงนั้นเสมอ

         หอคอยดาราเฟยเทียนสูงเสียดฟ้าราวกับจะทะลุผ่านเมฆสีทองอำพันงามยามรุ่งอรุณ กลางระเบียงชมฟ้าชั้นบนสุดยังคงเปลี่ยวเปล่าและว่างเว่นราวกับโลกที่หยุดนิ่ง มีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านเส้นไหมของผ้าคลุมเบา ๆ หลินหยายังคงยืนเงียบราวกับรูปวาด เธอจับห่อผ้าเหมือนเดิม ดั่งกลัวว่ามันจะร่วงไปกับความคิดถึงที่ค้างคาในใจของนางถึงบ้านเกิดที่กว่างโจว ถึงดวงดาวของทิศใต้ ถึงเสียงของท่านพ่อและท่านแม่ เสียงของครอบครัวพร้อมกับความหวังที่ว่าบุตรสาวของพวกเขาจะก้าวต่อไป..

         และแล้ว…

         เสียงฝีเท้าของผู้ที่มาเยือนอีกคนก็เบาเสียจนเหมือนไม่มีอยู่จริง แต่มันก็พอที่จะทำให้หลินหยารับรู้ได้ เธอเหลือบดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวมามองเพียงนิดเดียวเท่านั้น ไม่ตั้งใจและหัวใจของเธอก็แทบสะดุดจากปลายของเศษเสี้ยวของความทรงจำ เขา..ชายผู้นั้น ที่เปรียวดั่งหิมะยามเหมันต์ที่ไร้การละลาย..ผู้หนึ่งที่เคยโผล่ขึ้นมาช่วยเหลือเธอยามไร้ทิศทางตาม้าตาเรือหน้าศาลเจ้าสัจจเทพอี้เหอ ในตอนนั้นเธอเหมือนกับเด็กวัดกลางฝุ่นดินกับความวุ่นวายของโลกภายนอกที่ไม่อาจเอาตัวรอดได้

         แต่ในวันนี้เธอคือเด็กสาวในชุดขาวชมพูสะอาดละเอียดละออ เงียบขรึมและมีแววตาในสีน้ำตาลมะพร้าวของนาง..แม้เธอจะเปลี่ยนไป แต่เขายังคงเหมือนเดิม ชายหนุ่มที่มีใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาเยือกเย็นไร้ระลอกคลื่น ที่ภายในนั้นมีน้ำเสียงที่เรียบยิ่งกว่าสายลมและกลิ่นอายของความเหงาที่แฝงเร้นราวกับวิญญาณที่ส่องลอยไม่ยอมจางหาย..

         เขานั่งลงใต้เสาไม้แล้วไม่หันมองนางด้วยซ้ำ ราวกับไม่มีความจำเป็น ไม่แสดงความรู้สึกใดให้มากเกินจำเป็นมือของเขาถือขยับมือหยิบจอกแล้วก็เทน้ำสีใสลงแล้วดื่มมันราวกับแค่ถือถ่วงน้ำหนักเวลา ริมฝีปากนิ่งสนิทราวกับจะแช่โลกทั้งใบไว้ให้กลายเป็นน้ำแข็ง หลินหยามองเขาผ่านหางตาของนาง ก่อนที่เมื่อเสี้ยววินาทีเท่านั้น เธอก็เบนสายตาลงไป ไม่ใช่เพราะว่าเธอกลัว แต่่เพราะเธอเรียนรู้ว่าความเงียบของใครบางคน คงจะศักดิ์สิทธิ์พอ ๆ กับเสียงของเขาในวันแรกที่พบหน้ากัน..แม้ไร้ชื่อ..

         แม้เขาจะไม่พูดอะไร แม้ดวงตาคู่นั้นจะดูเหมือนไร้ชีวิต แต่สิ่งที่สะท้อนจากแววตานั้นกลับเป็น…..คนที่กำลังอ่อนแออยู่ เขาคง เขาคงคิดว่าเธออ่อนแอเกินไป แต่ตอนนี้เธอดูเริ่มค่อย ๆ เข้มแข็งขึ้นไม่จำเป็นต้องให้ใครมายื่นมือแม้แต่น้อย

         ภายใต้แสงดาวยามย่ำรุ่ง ความเงียบและความคิดที่พัวพัน หลินหยายืนนิ่งตรงระเบียง ลมยามเช้าไล้ผ้าคลุมบางของนางเบา ๆ แม้ว่าแสงฟ้าจะเริ่มจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก หญิงสาวก็ยังคงไม่ได้นอนแม้แต่น้อยจากเมื่อคืนวาน..แน่นอนว่ามันเห็นได้จากขอบตาที่คล่ำลงเพียงเล็กน้อยของสตรีใบหน้าราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ความคิดถึงบ้านยังคงวนเวียนในอกตรม เสียงกระซิบของความเดียวดายยังคงแนบเนียนกับลมหายใจงาม และในช่วงเวลาที่เงียบงันเกินไป..ก็อยู่ด้านหลังของเธอ

         ชายหนุ่มที่เธอไม่อาจรู้ชื่อ และไม่เคยคิดถาม เขาอยู่ในชุดสีเข้มที่มีแววของความเหนื่อยล้าในดวงตา แม้ว่าเขาจะไร้ซึ่งการแสดงออก แต่ท่าทางที่พิงเสาและจอกในมือก็บอกแล้วว่าเขามาอยู่ด้วยตนเอง ไม่ใช่มาเฝ้าเธอ มันคือความบังเอิญพบกันอีกครั้งหลังจากเมื่อวันก่อนได้พบกันเป็นครั้งแรก ไม่มีคำใดเอ่ยทัก ไม่มีประโยคเปิดบทสนทนา มีเพียงท่านชายที่ยกถ้วยดื่มจิบเงียบ ๆ แล้วทอดสายตาของตนเองไปยังปลายฟ้าราวกับทะลุผ่านร่างของหลินหยาไปเลย

         เด็กสาวยืนนิ่งตรงนั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่าน คนคนนี้น่ากลัวจริง น่าจะเหมือน..เหมือนอะไรก็ไม่รู้..ตอนนี้เขาดูเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่พูดไม่ได้..นางเลยกุมมือนิดหน่อยแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนกับพูดกับลม “นอนไม่กลับเหมือนกันหรือเจ้าคะ?..” นางถามผ่านสายลมให้ส่งไปถึงเขาโดยไม่ได้หันกลับมาหรือสบตาแม้เพียงแต่น้อย เสียงนางค่อยเหมือนลมที่ปลิ้วไหว เขาไม่ตอบในทันที มีเพียงดื่มสิ่งที่อยู่ในมือ

         “ข้าหลับยากมาโดยตลอด” เขาตอบในที่สุด เป็นเสียงเย็น ดิ่ง ลึก แล้วก็ไม่แข็งกร้าวขนาดนั้น.. ส่วนหลินหยาเธอก็พยักหน้านิดหน่อยเพราะหากผ่านสายลมไป เขาจะตอบเธอ “แล้วทำไมท่านถึงขั้นมาที่นี่ล่ะเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามอีกครั้งและคิดว่าจะไม่ถามมากกว่านี้..

         “ด้านล่างมันเสียงดัง” เขาตอบกลางมองไปที่ดวงดาวหนึ่งที่กำลังจะเลือนหายไปกับแสงอรุณแห่งนี้ ส่วนเธอ เด็กสาวที่อายุน่าจะน้อยกว่าบุตรสาวของเขาเสียอีกก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับจะยื่นส่งมันให้เลือนหายไปในสายตาของนาง.. หลินหยาเหมือนคิดอะไรสักอย่างเธอเงียบไป..

       “ท่านชายรู้จักดวบดาวไหม..ถ้ามองทางทิศใต้ ตรงนั้นคือดาวบ้านเกิดของข้า..อยู่ใต้ดาวดวงนั้น”

         เขาไม่ได้พูดอะไรต่อและเธอเองก็เหมือนกัน ทำเพียงขยับดวงตามองไปก่อนที่มันจะคต่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับความคิดถึงที่ค่อย ๆ สิ้นสุดลง.. เธอเงียบจนกระทั่งหนึ่งเค่อ แล้วหลินหยาก็เหลือบมองเขาอีกครั้งเธอขยับมืออุ้มหอบผ้าไว้ “เช่นนั้นข้าขอตัวท่านชาย..ขอให้ท่านสำราญ” เธอไม่เอ่ยแนะนำตัว เขาก็ไม่เอ่ยชื่อของตนเอง มันคือความรู้จักที่ไม่สนิท ความรู้จัก ที่ไม่รู้จัก กันและกัน






พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-8 22:44
โพสต์ 27067 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-8 03:03
โพสต์ 27,067 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-8 03:03
โพสต์ 27,067 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-8 03:03
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-7-2 22:16:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 02 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี เวลา 19.00 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอดาราเฟยเทียน


หอดาราเฟยเทียน...ยามซวีราตรีที่ฟ้าเปิดต้อนรับเงาจันทร์เต็มวง สาดแสงสีเงินล้อมด้วยประกายดาวโรยพร่างบนฟากฟ้าดุจเส้นไหมฟ้า หลินหยาสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายบางเบาเดินตัดฝูงชนอย่างแผ่วเบา ฝ่ากลิ่นเครื่องหอมจากแผงเร่ กลิ่นยำสมุนไพรที่ลอยมาจากด้านล่างกับเสียงหัวเราะคิกคักของสาวน้อยหนุ่มน้อยที่นัดพบกันหน้าลานระบำฟ้าดิน แต่สำหรับหลินหยา...สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ดึงดูดนางด้วยเสียงดนตรีหรือแสงสีเร้าใจ หากแต่เป็นความเงียบสงบที่สูงขึ้นไป...สูงพอจะหลีกเร้นจากเสียงหัวใจคนอื่น และปล่อยให้เสียงของตัวเองกระซิบอยู่ในอก


เธอก้าวขึ้นบันไดไม้ทีละขั้นอย่างมั่นคง ดวงตากลมหวานทอดมองบันไดเวียนที่ยาวราวจะหมุนขึ้นสวรรค์ เมื่อมาถึงชั้นบนสุด ประตูไม้เลื่อนเปิดออกสู่อากาศเย็นสบาย แสงจันทร์กระทบระเบียงหินสลัก ด้านหน้าไม่มีแม้เงาคนใด หลินหยายืนอยู่ท่ามกลางยอดหอที่เงียบสงบเหนือความวุ่นวายรอบล่าง ผมยาวเพียงไหล่ของเธอมีส่วนที่หลุดออกมาจากที่เกล้าจนปลิวไสวตามสายลม ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ทางบ้านเกิดของนาง เมืองผานอวี้ เขตเจียวจื่อ ดินแดนใต้ฝนที่เธอจากมาไกลจนแทบจดจำกลิ่นดินกลิ่นหญ้าไม่แม่นนักแล้ว


“ท่านพ่อ..หากท่านรู้ว่าข้าโดนจับเข้าวัง..โดนจับเข้าคุก โดนข่มขู่และมีพิษในร่างกาย..เดินทางตามเมืองใหญ่..ท่านคง…”  หลินหยาก้มหน้า หยาดน้ำค้างหล่นจากเปลือกไม้เหนือศีรษะ ร่วงลงบนหลังมือที่ขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดบางเบา เสียงลมหายใจสั่นพร่าอย่างคนที่ไม่อาจข่มความรู้สึกใด ๆ ไว้ได้อีกต่อไป "ข้าเป็นบุตรสาวที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ...ท่านพ่อท่านแม่..." เสียงขาดหายเมื่อจู่ ๆ รู้สึกถึงความร้อนแปลบที่ข้างจมูก...มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะปลายริมฝีปากอย่างไร้สติ และแล้วรอยสีเข้มก็ปรากฏบนปลายนิ้วนั้นเลือด...เลือดที่ไหลช้า ๆ จากจมูก


“อีกแล้วเหรอ...” นางกระซิบ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยืนนิ่ง ดั่งยอมรับมันอย่างไม่มีทางเลือก พิษในกายเริ่มแสดงอาการถี่ขึ้นจากที่เคยสัญญาณเลือนรางกลับกลายเป็นคมชัด มันกัดกินชีพจรภายในอย่างเงียบงัน บางคราวเหมือนฝันร้าย บางคราวก็เป็นแค่เลือดหยดหนึ่ง...แต่หลินหยาเองรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่แค่อีกครั้งหากแต่เป็นสัญญาณว่าครั้งต่อไปจะย่ำยีเธอมากกว่านี้ มืออีกข้างคว้าขอบระเบียงแน่น เธอยืนนิ่ง ร่างกายโอนเอนเหมือนจะทรุด ทว่ากลับยันไว้จนไม่ล้ม


เธอยังไม่ตาย ไม่ได้เจอคนที่ควรเจอ ยังไม่ได้ส่งยิ้มให้ใครบางคน ยังไม่ได้บอกว่าขอบใจ ยังไม่ได้แม้แต่บอกใครเลยว่าเธอกลัวแค่ไหน...เธอหลับตาลงช้า ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ไล้ผิวซีดของเธอเบา ๆ ราวกับจะปลอบโยนหญิงสาว หลินหยาเช็ดคราบเลือดที่ริมจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างเบามือ ไม่ใช่เพราะกลัวเลอะหรือแคร์ความงาม หากแต่เป็นเพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นโดยเฉพาะคนที่เธอรัก


แสงจันทร์คลี่ม่านลงบนปลายขลุ่ยไม้ไผ่ที่เธอหยิบขึ้นแนบริมฝีปาก ลมค่ำพัดผ่านพุ่มสนและยอดไม้เบื้องล่างพาเสียงขลุ่ยลอยล่องไปอย่างแผ่วเบา ท่วงทำนองช้า เรียบ เรียงราวกับบันทึกความคิดถึงละมุนละไม ความเหงาที่มิได้เศร้าหมอง แต่สุกใสเหมือนดวงตาของใครคนหนึ่งที่กำลังเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ หรงเล่อยืนอยู่ในเงาของเสาไม้แกะสลักด้านหลังหลินหยา ใบหน้าเรียบนิ่ง แสงจันทร์ต้องใบหน้างามที่สงบเย็นโดยไม่ต้องประดับรอยยิ้มใด นางฟังเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียง ไม่ขัดจังหวะขลุ่ย ไม่แม้แต่จะขยับเท้าให้พื้นไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด จนกระทั่งเสียงขลุ่ยสุดท้ายลอยผ่านปลายโน้ตแล้วแผ่วหายไปกับลม

 

“มาอยู่ตรงนี้เอง..หลินหยา” เสียงของหรงเล่อเอ่ยขึ้นช้า ๆ พร้อมกับก้าวออกจากเงาไม้ เดินเข้าหาเพื่อนรักที่ยังยืนอยู่หน้าแนวระเบียง “ข้าเดินหาทั่วบ้านเล็กของท่านพ่อ คิดว่าเจ้ากลับไปนอนแล้วเสียอีก” หรงเล่อหยุดยืนห่างไปเพียงสองก้าว สีหน้าท่าทีไม่ได้ตำหนิ แต่ก็มีร่องรอยของความห่วงใยชัดเจนในแววตา


หลินหยาหันกลับมา ยิ้มบางคล้ายจะขอโทษ ดวงตากลมหวานทอประกายวาววับเล็กน้อย “ข้าแค่ออกมาดูดาวน่ะ คิดถึงบ้านเฉย ๆ…เลยแวะมาที่นี่ก่อน” นางเงยหน้าขึ้นก่อนจะชี้นิ้วเรียวไปยังจุดหนึ่งในฟากฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มดาวไม่เด่นนัก แต่กลับเปล่งแสงคงที่ท่ามกลางกลุ่มดาวที่แย่งกันระยิบระยับ “เห็นไหม? ดวงดาวดวงนั้นน่ะมันอยู่ทางทิศใต้บ้านเกิดข้า เมืองผานอวี้…บางที ท่านพ่อข้าอาจกำลังมองดวงดาวดวงนี้อยู่เช่นกัน”


หรงเล่อเงยหน้ามองตาม ท่ามกลางลมเย็นและความเงียบสงบที่รายล้อม ขณะเดียวกันเงาม่านในดวงตานางก็คล้ายจะสั่นไหว นางพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ถ้าเช่นนั้น...เราจะมองดาวดวงนั้นด้วยกัน ดีหรือไม่?” หลินหยายิ้ม ดวงตาทอแววอบอุ่นจนเหมือนจะกลบความเจ็บป่วยที่เธอปกปิดไว้จากโลกทั้งใบ เธอไม่พูดอะไร เพียงเดินไปหยุดข้างหรงเล่อแล้วพิงระเบียงเบา ๆ เงียบไปครู่ใหญ่ มีเพียงลมเย็นกับแสงโคมกระดาษที่ลอยขึ้นช้า ๆ 


ใต้แสงจันทร์ที่กลั่นออกจากฟากฟ้าเยี่ยงหยดน้ำค้าง ห่อหุ้มยอดหอดาราเฟยเทียนราวกับม่านบางของห้วงฝัน หลินหยายืนอยู่ตรงนั้นไร้เสียง ไร้ท่าทีจะเอ่ยวาจาออกมา ดวงตาคู่โตทอประกายวาวเย็นสลับสั่นไหว ใบหน้าสวยที่เคยมีรอยยิ้มแฝงความขี้เล่นยามพบผู้คน ตอนนี้กลับสงบเสียจนแทบไม่หลงเหลือเงาความขบขันอยู่เลยแม้สักนิดเดียวหลินหยามองดาว...ดวงเดียว ดวงนั้นไม่ใช่ดาวที่สว่างที่สุดในฟ้า ไม่ใช่ดาวนำทางหรือดาวประจำดินแดนใด หากแต่เป็นดาวที่เธอเชื่อว่าพ่อของเธอที่เมืองผานอวี้...อาจมองขึ้นมาเจอดวงเดียวกัน


เธอสูดลมหายใจเงียบ ๆ แล้วปล่อยออกมาเชื่องช้า แต่ลมหายใจนั้นกลับสั่นเครือในช่วงท้าย น้ำตาไม่หลั่งลงมาทันที หากแต่คลอค้างอยู่ในตาอย่างดื้อรั้น...ราวกับว่าแม้แต่น้ำตาเองก็ยังไม่กล้าร่วงลงสู่แก้มของหญิงสาวผู้ไม่เคยยอมให้ใครเห็นความอ่อนแอ


หรงเล่อเห็นแล้วก็เงียบอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะขยับเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ นางไม่พูดอะไร ไม่เอ่ยถาม ไม่ร้องเรียกชื่อ เพียงยกแขนโอบร่างของหลินหยาไว้หลวม ๆ จากด้านข้าง แล้วจึงขยับให้กลายเป็นอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลมหายใจของนางแนบอยู่ใกล้ใบหูของอีกฝ่าย มือหนึ่งลูบหลังเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอและมั่นคง "เจ้ายังตัวเล็กอยู่เลย..." หรงเล่อกระซิบอย่างอ่อนโยน เสียงนั้นเหมือนพี่สาวที่ไม่ได้พูดปลอบ แต่แค่รับรู้...และพร้อมจะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดหรือเงียบก็ตาม หลินหยามิใช่เด็กน้อยที่ต้องการคำปลอบใจ หรือเสียงหวานพร่ำปลุกขวัญ เธอคือคนที่ต่อให้บาดเจ็บแทบล้มตายก็ยังหยิบขนมให้คนอื่นกินก่อน คือเด็กสาวที่อดทนแบกบางอย่างไว้อย่างเงียบงันตั้งแต่วันที่นางได้พบกันแต่ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด หลินหยาก็ยังเด็กกว่าเธอสองปี ยังเป็นน้องน้อยของหรงเล่ออยู่ดี


"หากเจ้าคิดถึงบ้าน...ก็ไม่เป็นไรที่จะคิดถึง" เสียงของหรงเล่อค่อย ๆ ลูบความเงียบให้ราบเรียบ "หากเจ้ารู้สึกเหนื่อย...ก็ไม่เป็นไรที่จะพักคืนนี้ข้าอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน" อ้อมแขนของหรงเล่อกระชับแน่นขึ้นเพียงเล็กน้อย ลมหายใจของนางยังคงอุ่นอยู่ใกล้แก้มของหลินหยา หลินหยาไม่เอ่ยตอบคำใด ริมฝีปากของเธอสั่นน้อย ๆ ดวงตาที่มองดาวเริ่มพร่ามัวจนมองไม่เห็นขอบฟ้าอีกต่อไป เธอไม่พูด ไม่ร้องไห้เป็นสาย ไม่สะอึกสะอื้น แต่เธอซบหน้าลงกับไหล่ของหรงเล่ออย่างเงียบ ๆ และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำว่าร้องไห้ในแบบของหลินหยา



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ

รางวัล: - 


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-7-2 23:24
โพสต์ 29091 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-2 22:16
โพสต์ 29,091 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-2 22:16
โพสต์ 29,091 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-2 22:16
โพสต์ 29,091 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-2 22:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-7-28 15:30:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 28 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามอู่ เวลา 11.00 - 12.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันออก หอดาราเฟยเทียน

อีเว้นท์ ภารกิจ “ผูกด้ายแดงผิดคู่” ตอน สืบหาความจริง


ท้องฟ้ายามสายส่องแสงเจิดจ้าลงมาบนหอสูงของหอดาราเฟยเทียน อาคารทรงสูงทำด้วยศิลาและไม้เรียงอย่างประณีตตั้งตระหง่านกลางถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันออก หลินหยาเข้ามาในห้องทำการของเหล่านักปราญช์ที่ดูดาว ภายในประดับด้วยกลไกจักรกลและเครื่องมือสังเกตดาวที่งดงามราวกับงานศิลป์ เสียงฟันเฟืองขยับและลูกเหล็กหมุนเป็นจังหวะดังเบา ๆ หลินหยาก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง สายตากวาดมองรอบด้านด้วยความตื่นตา ก่อนจะเรียกหานักดาราศาสตร์ด้วยเสียงใส 


“สวัสดีเจ้าค่ะ มีผู้ใดอยู่หรือไม่ ข้ามีเรื่องรบกวนสอบถามเจ้าค่ะ”


ชายวัยกลางคนในชุดยาวสีน้ำเงินเข้มที่มีกลิ่นหมึกจาง ๆ เดินออกมาจากด้านใน เขามีเคราสั้นที่ดูเรียบร้อยและดวงตาคมที่เหมือนจะมองทะลุฟากฟ้าได้ หลินหยารีบโค้งคำนับแล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านนักดาราศาสตร์ ข้ามีเรื่องรบกวนสอบถาม ข้าอยากรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อ…ความรัก”


ชายผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาแฝงรอยขำจาง ๆ “ความรักรึ? แม่นางตัวน้อย ความรักมิใช่สิ่งที่จะถูกควบคุมด้วยดวงดาวได้ง่ายดายเช่นนั้นหรอก แต่…” เขาเดินไปหมุนแผงกลไกแสดงตำแหน่งดวงดาวที่หมุนรอบ ๆ โดม เสียงกลไกดังแกร๊ก ๆ จนหลินหยาต้องยืดคอมอง “หากแม่นางอยากรู้จริง ช่วงนี้มีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ดาวคู่เสน่ห์ดาราคู่ที่เกี่ยวพันกับแรงดึงดูดของหัวใจมันโคจรผิดปกติ ช่วงนี้เส้นทางมันบิดเบี้ยวจากที่เคยเป็น”


  “โคจรผิดปกติ? แล้วมันส่งผลต่อสิ่งใดหรือเจ้าคะ” หลินหยาขมวดคิ้ว สายตาเปล่งประกายด้วยความสนใจ


นักดาราศาสตร์เงยหน้ามองฟากฟ้าผ่านช่องเปิดขนาดใหญ่บนเพดาน “เมื่อดาวคู่เสน่ห์ผิดตำแหน่ง พลังที่ควรจะเชื่อมความรักให้ตรงกันกลับทำให้เกิดความสับสน เส้นทางของหัวใจมนุษย์อาจไขว้กัน เกิดความเข้าใจผิด หรือความรักที่ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น” เขาหันมามองนางด้วยแววตาจริงจัง “ในช่วงเวลานี้ คู่รักบางคู่จะคลาดกัน บางคู่จะพบกันโดยไม่คาดคิด และบางคู่…จะถูกผูกไว้กับชะตาที่บิดเบี้ยว”


คำพูดนั้นทำให้หัวใจของหลินหยาสั่นไหว นางเม้มปากแน่น ความคิดมากมายแล่นผ่านหัว ดาวคู่เสน่ห์โคจรผิดปกติ…นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ด้ายแดงบางเส้นถูกผูกผิดคู่ในศาลเจ้าท่านเยว่เหล่า!


“ถ้าเช่นนั้น…ไม่ได้มีแค่ความผิดพลาดของมือใคร แต่เป็นฟ้าลิขิตที่กำลังสั่นคลอน?” นางพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง


นักดาราศาสตร์เพียงยิ้มบาง ๆ “ฟ้าย่อมเคลื่อนไหวไปตามครรลอง แต่หัวใจมนุษย์ต่างหาก ที่จะเป็นผู้กำหนดว่าจะเดินตามฟ้าหรือฝืนมัน”


หลินหยาก้มศีรษะอย่างเคารพ “ข้าซาบซึ้งในคำสอนของท่านยิ่งนัก” ก่อนจะหันหลังเดินออกจากหอดารา ดวงตาส่องประกายมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม ถ้าดาวเล่นตลกกับชะตาความรัก…ข้าจะหาทางแก้มันเอง!


เมื่อหลินหยาก้าวถึงประตูไม้แกะสลักลวดลายดาวดวง เธอกำลังจะก้าวเท้าออกไปจากหอดาราเฟยเทียน แต่แล้วเสียงเรียกนุ่มทุ้มกลับดังขึ้นจากด้านหลัง “แม่นางน้อย…” นางชะงักเล็กน้อยหันกลับไปมอง เห็นบัณฑิตนักดาราศาสตร์คนเดิมเดินออกมาจากเงามืดของเครื่องกลไก เขาถือหนังสือปกสีน้ำเงินเข้มที่มีกลิ่นหมึกจาง ๆ และร่องรอยการใช้มานานแรมปีในมือ “ตำรานี้…” เขาก้าวเข้ามาใกล้ยื่นหนังสือมาให้นาง ดวงตาสีเข้มคู่นั้นทอแสงบางอย่างราวกับแฝงความลึกลับ “เป็นตำราโหราศาสตร์เบื้องต้น แม่นางลองศึกษาไว้เถิด อาจช่วยให้เจ้ามองเห็นสิ่งที่ดวงดาวกำลังบอกได้บ้าง”


“มะ…ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าแค่สอบถามชั่วคราวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้อง—” หลินหยาถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความประหม่า ยกมือขึ้นโบกปฏิเสธ


แต่ไม่ทันให้นางพูดจบ ชายผู้นั้นกลับก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว ยัดตำรานั้นลงในมือเล็ก ๆ ของนางอย่างเด็ดขาด รอยยิ้มมุมปากของเขาฉายแววลึกลับยิ่งกว่าเมื่อครู่ “รับไว้เถิด แม่นาง ข้าให้โดยไม่คิดสิ่งตอบแทน หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจ…เจ้ามาหาข้าได้เสมอ”


สายตาของเขาขณะพูดแฝงความลึกล้ำ คล้ายมีอะไรซ่อนอยู่ลึกเกินกว่าจะอ่านได้ง่าย ๆ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องหลินหยาจนหัวใจนางเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ ความเย็นวาบแล่นไปตามแผ่นหลัง ขนลุกเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ นี่เขาตาหวานใส่ข้าใช่ไหมเนี่ย? นางพยายามไม่มองสบตาตรง ๆ รีบก้มศีรษะแล้วพึมพำขอบคุณ 


“ขอบคุณท่านนักดาราศาสตร์…ข้าจะ…พยายามศึกษาเจ้าค่ะ” ชายผู้นั้นเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนพอใจ ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในเงามืดของโดมอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้บรรยากาศรอบตัวนางคล้ายมีบางสิ่งจับจ้องอยู่ตลอดเวลา


หลินหยากอดตำราแนบอกแล้วรีบก้าวเท้าออกมาจากหอดาราอย่างรวดเร็ว เมื่อพ้นประตู นางก็พ่นลมหายใจยาวอย่างโล่งอก “โอ๊ย…ขนลุกชะมัด รู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่เลย…” แต่ถึงจะพูดแบบนั้น มือของนางกลับกำตำรานั้นแน่น ราวกับรู้ดีว่าภายในเล่มนี้อาจซ่อนคำตอบของปริศนาหลายอย่างที่กำลังรอให้เธอไขมันออกมา




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ:  เมื่อพรสวรรค์บอกว่าคุณจะเจอคนแปลก ๆ ก็เจอซะเลย

รางวัล: ตำราโหราศาสตร์เบื้องต้น (เล็กน้อย)


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-7-28 15:40
โพสต์ 28496 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-28 15:30
โพสต์ 28,496 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-7-28 15:30
โพสต์ 28,496 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-7-28 15:30
โพสต์ 28,496 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-7-28 15:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-29 18:25:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 29 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หอดาราเฟยเทียน

อีเว้นท์ ภารกิจ “เคล็ดลับขนมหวานและความลับขันที: แผนการพิชิตใจจงฉางชื่อ”


หอสูงเฟยเทียนในยามบ่ายคล้อยทอดเงายาวลงบนถนนสิบลี้ที่กำลังคึกคักด้านล่าง แต่บนยอดหอแห่งนี้กลับเงียบสงบ ราวกับแยกขาดจากความวุ่นวายของโลกเบื้องล่าง หลินหยาก้าวขึ้นบันไดวนอย่างระมัดระวัง ปลายผ้าฮั่นฝูสีอ่อนสะบัดเบา ๆ ไปตามแรงลมที่พัดลอดเข้ามาจากหน้าต่างสูง เมื่อก้าวถึงชั้นบนสุด างก็เห็นร่างของเสี่ยวจ้าวจื่อยืนพิงราวไม้สีเข้ม ดวงตาของเขาเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ไกลสุดสายตา ใบหน้าสงบแต่กลับแฝงเงาเศร้าและความกังวลลึก


“เสี่ยวจ้าวจื่อ…” หลินหยาเรียกเสียงแผ่ว นางก้าวเข้าไปใกล้ก่อนเอียงหน้ามองเขาอย่างห่วงใย “เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมเจ้าดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้?”


เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนาง ราวกับเพิ่งรู้สึกตัวจากภวังค์ พอหันมามองก็เห็นแววตาใสซื่อของหลินหยาที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความห่วงใย ใบหน้าเขาแดงเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาอึกอักตอบ “มิ…มิได้มีสิ่งใดดอกขอรับ เพียงแค่บางครั้ง…ข้าก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ในวัง เรื่องที่ข้าเองก็ไม่อาจเล่าให้ผู้ใดฟังได้ง่าย ๆ” หลินหยาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาหวานฉายแววจริงจัง นางก้าวเข้ามาใกล้จนแทบอยู่ในรัศมีเดียวกับลมหายใจ “ถ้าเจ้าลำบากใจจะเล่าก็ไม่เป็นไร…แต่ข้าเป็นห่วงเจ้านะเสี่ยวจ้าวจื่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงคนอื่นง่าย ๆ ข้าขี้เป็นห่วงจะให้ข้านิ่งเฉยได้อย่างไร?…ข้ามิอาจนิ่งเฉยได้หรอก”


คำพูดนั้นทำให้เสี่ยวจ้าวจื่อเบิกตากว้างเล็กน้อย เขาไม่เคยชินกับการที่ใครแสดงความห่วงใยให้กับตนเองตรง ๆ เช่นนี้ เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนแทบจะกลบเสียงลมพัด เขาก้มศีรษะลงหลบสายตานาง “แม่นางหลิน…ท่าน…เป็นคนแรกที่เอ่ยกับข้าเช่นนี้ นอกจากอาจารย์กับไม่กี่คนในห้องเครื่องแล้ว…ก็ไม่เคยมีผู้ใดแสดงความใส่ใจต่อข้าเช่นนี้เลยขอรับ”


หลินหยายิ้มอ่อน ดวงตาเป็นประกายอบอุ่น นางยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะไหล่เขาเบา ๆ “ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด เจ้าก็คือเสี่ยวจ้าวจื่อสหายของข้า ข้าเห็นความจริงใจและความพยายามในตัวเจ้าเสมอ ต่อให้เจ้าไม่บอกอะไรข้าก็ยังคงอยู่ตรงนี้…เพื่อเจ้านะ” คำปลอบโยนและความจริงใจนั้น ทำให้เงาเศร้าที่เกาะกุมหัวใจของเสี่ยวจ้าวจื่อค่อย ๆ คลายลงไปทีละน้อย แทนที่ด้วยความรู้สึกอุ่นวาบที่ก่อตัวขึ้นภายในอก เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินหยาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปสายตาของคนที่เริ่มเชื่อว่าตนเองอาจจะไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป


เสี่ยวจ้าวจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาเขาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าสีอ่อนที่ยังไม่ถึงยามค่ำ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าสืบมาได้อย่างหนึ่ง…ว่าท่านจางกงกง มักจะมาที่หอเฟยเทียนแห่งนี้ในคืนเดือนดับขอรับ เห็นว่าเขาจะขึ้นมาที่ชั้นบนสุดเพื่อชมดวงดาวเพียงลำพัง”


หลินหยาเลิกคิ้วขมวดคิ้วเข้าหากันน้อย ๆ ความประหลาดใจผุดขึ้นในใจ นางกระซิบถามเสียงเบา “จางกงกง…มาที่นี่ในคืนเดือนดับงั้นหรือ? เหตุใดเล่าจึงต้องเป็นคืนเดือนดับ? เพื่อดูดาวให้ชัดกว่าปกติหรือ?” น้ำเสียงของนางแฝงทั้งความสงสัยและความสั่นไหวเล็กน้อย เพราะนางไม่เคยรู้มาก่อนเลย


เสี่ยวจ้าวจื่อส่ายศีรษะช้า ๆ สีหน้าของเขาแฝงความเศร้าและความลังเล “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักขอรับ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าคิดได้คือ…มันอาจจะเกี่ยวข้องกับอดีตของเขา” ดวงตาของเขาสั่นสะท้อนราวกับย้อนนึกถึงเรื่องราวที่สืบมาได้ “มีข่าวลือแพร่สะพัดในวังมานาน ว่าเมื่อครั้งท่านจางกงกงยังเป็นเพียงขันทีน้อย เขาเคยถูกดูถูกเหยียดหยามและทรมานอย่างน่าสมเพชจนแทบสิ้นหวัง… หากมิใช่เพราะองค์ฮ่องเต้ยุคปัจจุบันสมัยยังเป็นเพียงไท่จื่อยื่นพระหัตถ์ช่วยเหลือไว้ เขาอาจจะไม่รอดมาถึงวันนี้ก็เป็นได้ขอรับ”


หลินหยาเบิกตากว้างเล็กน้อยแม้นางจะรู้เรื่องราวนี้มาก่อนอยู่แล้วแต่การได้ยินจากปากของเสี่ยวจ้าวจื่อกลับทำให้หัวใจของนางบีบรัดแน่นขึ้น นางเผลอกำชายเสื้อแน่นความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามา ทั้งเวทนา ทั้งโกรธแค้นแทน ทั้งปวดร้าวที่ชายผู้นั้นต้องเผชิญกับความมืดมนในอดีตมาตลอดอย่างโหดร้าย… “เขา…” หลินหยาพึมพำเสียงเบา ดวงตาหวานทอดลงต่ำราวกับกลัวว่าแม้แต่ดวงดาวบนฟ้าก็จะเห็นความอ่อนแอที่เผยออกมา “นั่นสินะ…จางกงกงถึงได้มองดาวในคืนที่มืดมิด มันอาจเป็นเพียงคืนที่เขาจะได้เห็นแสงดาวชัดที่สุด… หรืออาจเป็นคืนที่เตือนให้เขาจำได้ว่า ต่อให้มืดมิดเพียงใด สักวันก็ยังมีดาวที่ส่องสว่าง…”


เสี่ยวจ้าวจื่อมองนางสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเข้าใจ เขาเอ่ยเสียงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย “แม่นางหลิน…บางทีท่านอาจจะเป็นดวงดาวของเขาก็เป็นได้ขอรับ ดวงดาวที่เขามองหาในยามมืดมน” ทันทีที่ได้ยินคำนั้นหัวใจหลินหยาสะท้านไหวทันที แก้มเนียนแดงซ่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คำพูดนั้นทำให้นางนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันแทงใจดำของความรู้สึกที่เก็บซ่อนมาตลอด


หลินหยากัดริมฝีปากน้อย ๆ ดวงตาหวานสั่นไหวเมื่อเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ก็…พยายามอยู่นะ แต่เขาน่ะ…หึงข้ามากจริง ๆ เป็นคนขี้หึง ขี้หวงเหลือเกิน เหมือนกลัวตลอดเวลาว่าจะเสียข้าไป…” แก้มของนางค่อย ๆ แดงก่ำขึ้นทีละน้อย ขณะสารภาพออกมาตรง ๆ โดยไม่เสแสร้งใด ๆ คำพูดและท่าทางนั้นทำให้เสี่ยวจ้าวจื่อมองนางด้วยความประหลาดใจปนอบอุ่นในใจ เขาเห็นได้ชัดว่าความรู้สึกที่แม่นางหลินหยามีต่อจางกงกงนั้นเป็นของจริงแท้ ไม่ใช่เพียงความลุ่มหลงชั่วครู่ แต่มันคือความผูกพันที่ฝังลึกแม้ชายผู้นั้นจะเป็นขันทีผู้ที่ไม่อาจมีบุตรสืบสกุลได้ แต่หญิงสาวกลับรักและมั่นในเขาโดยไม่หวั่นเกรงสายตาคนทั้งโลก


เสี่ยวจ้าวจื่อหลุบตาลง หัวใจของเขาสะท้อนวาบด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย “น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ขอรับ…” เขาพึมพำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาแฝงความหม่นเศร้า “บางที…เขาอาจมีฝันบางอย่างก็เป็นได้…ความฝันที่แม้จะเป็นขันทีก็ยังอยากมีชีวิตที่ไม่ต่างจากคนอื่น” น้ำเสียงนั้นทำให้หลินหยาหันไปมองเขา ใบหน้าน้อยฉายชัดด้วยความสงสัยและเอ็นดูในเวลาเดียวกัน เสี่ยวจ้าวจื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหากเต็มไปด้วยความจริงใจ


“ข้าเอง…ก็เคยมีความฝันเหมือนกันนะขอรับ” เขายกยิ้มจาง ๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่กดทับไว้ “ตั้งแต่เด็ก…ข้าอยากเป็นนักดาราศาสตร์ อยากศึกษาดวงดาว อยากรู้ว่าบนฟากฟ้านั้นมีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก ข้าเข้าวังตั้งแต่อายุหกขวบ…หลังครอบครัวยากจนในชนบทตัดสินใจมอบข้าให้วังหลวงเพื่อแลกเพียงข้าวสารหนึ่งถุงกับเงินอู่จูไม่กี่เหรียญเท่านั้นเองขอรับ” เขาหัวเราะเบา ๆ แต่หัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น “ตั้งแต่นั้น ข้าก็ไม่เคยได้เงยหน้ามองดาวอย่างใครเขาอีกเลย…มีเพียงคืนที่ต้องทำงานหนักในห้องครัว ล้างหม้อ ฟืนไฟสุมอยู่ตรงหน้าแทนที่จะได้เฝ้ามองฟากฟ้า”


หลินหยานิ่งฟัง ความสงสารแล่นพล่านในใจ นางเห็นได้ชัดว่าความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ของเสี่ยวจ้าวจื่อยังไม่เคยหายไป เพียงถูกซุกซ่อนไว้ใต้ชะตากรรมอันโหดร้ายและในแววตาอ่อนโยนที่หลงเหลืออยู่นั้น มีบางสิ่งที่ทำให้นางอยากบอกเขาว่าไม่ว่าวันนี้เขาจะเป็นใครความฝันวันวานก็มิได้สูญเปล่า


และหลังจากนั้นไม่ชั่วนาทีเสี่ยวจ้าวจื่อตกตะลึงเมื่ออยู่ ๆ หลินหยาก็ขยับเข้ามาใกล้ เขาเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อมือเล็กอุ่นนุ่มนั้นเอื้อมมาจับมือเขาแน่นอย่างไม่ลังเล หญิงสาวดึงเขาเข้ามา ซบศีรษะของเขาลงบนไหล่บางของตนเอง ราวกับพี่สาวผู้โอบอุ้มปลอบโยนโลกทั้งใบให้เด็กชายที่เคยถูกทอดทิ้งมาแสนนาน “จางกงกงคงไม่ว่าหากข้าทำเช่นนี้…” หลินหยากระซิบเบา ๆ น้ำเสียงสั่นไหวแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นแห่งความจริงใจ “ข้าทำเพื่อบอกเจ้าให้รู้ว่าข้าก็จริงใจกับเจ้า…ไม่ต่างจากกับเขาเลย”


เสี่ยวจ้าวจื่อตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบเจ็บอก ความอบอุ่นที่ไม่คุ้นเคยค่อย ๆ ไหลผ่านร่างกาย เขาได้แต่ปล่อยให้ไหล่ของหญิงสาวซับความสั่นไหวในใจไว้เงียบ ๆ


หลินหยายกมือลูบเบา ๆ ที่หลังมือของเขาแล้วเอ่ยต่อด้วยถ้อยคำที่ทำให้ชายหนุ่มผู้เคยเผชิญแต่ความเดียวดายแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “อย่างน้อย….เจ้า…ก็ยังโชคดีที่ได้พบกับอาจารย์เติ้ง ที่คอยสอนเจ้าเรื่องอาหาร ได้พบเจอข้าที่พร้อมจะเป็นเพื่อนเจ้า หากเจ้าต้องการครอบครัวที่จริงใจ ข้าคนนี้…จะเป็นพี่สาวหรือน้องสาวให้เจ้าเองก็ได้” น้ำเสียงอ่อนโยนสั่นสะท้านแต่ทว่าแน่วแน่ “เจ้ามิได้อยู่ตัวคนเดียว…เดินหน้าต่อไปได้ หากเมื่อใดเหนื่อยล้าจงมาพักกับข้า ข้าจะทำอาหารหรือกระทั่งบรรเลงดนตรีเพราะ ๆ ให้เจ้าฟังเสมอ และหากวันใดเจ้าตัดสินใจจะออกจากวังหลวง…ข้าจะเก็บเงินไว้สร้างบ้าน ต้อนรับน้องชายคนนี้อย่างเต็มใจ”


เสี่ยวจ้าวจื่อเม้มปากแน่น ดวงตาสั่นระริก ความอุ่นร้อนคลอหน่วยตา หัวใจที่เคยคิดว่าถูกปิดตายค่อย ๆ ถูกเปิดออกด้วยถ้อยคำและสัมผัสจากสตรีที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อาจพูดอะไรได้ทันที นอกจากปล่อยให้น้ำตาหยดใสไหลซึมช้า ๆ ลงบนไหล่ของหลินหยา พร้อมเสียงกระซิบสั่นเครือว่า


“แม่นางหลิน…ขอบคุณจริง ๆ ขอรับ ข้า…ไม่รู้เลยว่าตลอดมาข้ารอคอยคำพูดเหล่านี้อยู่…”


สายลมอ่อนพัดไหวปลายแขนเสื้อของหลินหยาเมื่อทั้งสองผละออกจากกัน สตรีน้อยขยับมือเล็กเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มเสี่ยวจ้าวจื่ออย่างเบามือ รอยยิ้มละมุนแฝงด้วยความห่วงใยทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นในพริบตา “ข้าอยู่ตรงนี้…เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น” หลินหยากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างจริงใจ “เราจะช่วยเหลือกันเสมอ หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย เถ้าแก่ร้านในตลาดตะวันออกอย่างข้า…จะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ หากจางกงกงหึงข้ากับเจ้าอีกข้าจะไปเอ็ดเขาให้เอง เจ้าไม่ต้องกังวล”


เสี่ยวจ้าวจื่อที่ยังคงมีร่องรอยความเศร้าบนดวงหน้าเงยขึ้นมองหญิงสาว ก่อนที่มุมปากจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ดวงตาเขาฉายประกายดีใจและอบอุ่น ความโดดเดี่ยวที่กดทับมานานคลายลงในชั่วขณะ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยเหมือนเกรงใจ แต่ก็ไม่อาจซ่อนความปลื้มปริ่มนั้นได้ “แม่นางหลิน…ข้าจะจดจำคำพูดนี้ไว้ให้ขึ้นใจเลยขอรับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ แววตาสั่นระริกไปด้วยความซาบซึ้ง


จากนั้นเขาเปลี่ยนท่าที ยกยิ้มบางขึ้นคล้ายจะคืนความร่าเริงกลับคืน “งั้นเราไปสถานที่ต่อไปกันดีกว่าเถอะขอรับ ข้าเชื่อว่าแม่นางหลิน…จะต้องแปลกใจกับสิ่งที่ข้าจะบอกหลังจากนี้”


หลินหยาที่ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยทั้งความสงสัยและความตื่นเต้น เธอผงกศีรษะรับคำ ไม่ซักไซ้อะไรเพิ่มเติมในตอนนี้ ปล่อยให้เขาได้เก็บงำความลับเล็ก ๆ นั้นไว้ก่อน ทั้งสองจึงก้าวออกจากหอดาราเฟยเทียนลงสู่ถนนอีกครั้ง ท่ามกลางแสงอาทิตย์บ่ายที่ทาบเงายาวไปตามพื้นหินกรวด และก้าวเท้าตรงไปยังฝั่งตะวันตกของถนนสิบลี้ ปลายทางใหม่ที่รอคอยจะเผยความลับอันแปลกใจให้กับหลินหยาในไม่ช้า




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ:  ผมชอบท่อนนี้มากง่า คือหมายถึงโรลนี้ กินใจผมมาก

รางวัล: ผ้าเช็ดหน้าลายดวงดาว (ไอเท็มประกอบฉาก)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 43246 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-29 18:25
โพสต์ 43,246 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-29 18:25
โพสต์ 43,246 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-29 18:25
โพสต์ 43,246 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-29 18:25
โพสต์ 43,246 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-29 18:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้