12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: LinYa

[บันทึกการเดินทาง] เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-11-4 18:42:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 27 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเว่ย เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ เมืองลั่วหยาง จักรวรรดิต้าฮั่น

ค่ำคืนของเดือนใหม่ทอดเงาเหนือผืนป่า เสียงจักจั่นร้องระงมแข่งกับสายลมที่พัดแผ่วจากทิศเหนือ หลินหยาเดินนำม้าสีน้ำตาลอ่อนของตนอย่างระมัดระวัง พลางชำเลืองไปยังจางทังที่ขี่ม้าเคียงข้าง ทั้งสองเพิ่งหลุดพ้นจากพวกนักล่าเงินรางวัลได้ไม่นาน แสงจันทร์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้สะท้อนเหงื่อบนข้างแก้มของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา “อีกไม่นานคงถึงชายป่าแล้วเจ้าค่ะ” หลินหยากล่าว พลางสูดลมหายใจลึก เธอเหนื่อยแต่ยังมีรอยยิ้มบางติดบนใบหน้า


จางทังพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาคมยังระวังทุกฝีก้าว “อย่าประมาท” เขาว่าเสียงต่ำ “แม้จะออกจากเมืองมาได้ แต่เงามืดของไฉ่หลินยังติดตามอยู่” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “เจ้าค่ะ ข้าเริ่มชินแล้ว พวกมันนี่ดื้อยิ่งกว่าลูกแมวหิวข้าวเสียอีก”


ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงเกือกม้าดังขึ้นจากอีกฟากของทาง เสียงนั้นชัด ลึก หนักแน่นราวกับพายุที่เคลื่อนเข้ามาช้า ๆ จางทังยกมือให้หยุดทันที ทั้งสองเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นไม่ใช่ของพวกโจรลอบสังหารแน่ มันเป็นเสียงฝีเท้าม้าที่มีวินัยและแรงกดมั่นคง แสงจันทร์สะท้อนเงาร่างของม้าสีดำมะนิลาที่พุ่งมาจากแนวพงหญ้า ท่ามกลางลมราตรีที่พัดคลุ้งกลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ หลินหยาขยับตัวช้า ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยเธอจำกลิ่นนี้ได้ดีเกินไป


เงาร่างบนหลังม้าแต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงเข้มปักลายมังกรทอง ดวงตาคมลึกล้ำราวเหยี่ยวที่มองทุกสิ่งทะลุความมืด เมื่อเขาหยุดม้า เสียงกีบข่วนพื้นดินดังสะท้อนในอกอย่างแผ่วแต่หนักแน่น จางกงกงอยู่ตรงนั้น หลินหยาหยุดนิ่งในพริบตา ริมฝีปากอ้าเล็กน้อยราวกับไม่แน่ใจว่านั่นคือภาพฝันหรือความจริง ดวงตาคมเยือกเย็นของเขาไล่มองจากจางทังเพียงชั่วเสี้ยวลมหายใจ ก่อนเลื่อนกลับมาจับจ้องนางโดยไม่ยอมละสายตา


เขาลงจากม้าในท่วงท่าช้าแต่เด็ดขาด เสื้อคลุมสีแดงเข้มสะบัดตามแรงลมจันทร์ กลิ่นปราณอสรพิษของเขาแผ่วบางจนทำให้รอบข้างเหมือนหยุดหายใจ เขาไม่ทักทายจางทังแม้ครึ่งคำ ดวงตาเย็นเฉียบแต่มีแววร้อนแรงเมื่อมองหญิงตรงหน้า “เสี่ยวหยา” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยเรียกเพียงคำเดียว แต่กลับทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังถูกดึงเข้าหา “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกลอบทำร้ายหลายครั้ง...ลูกน้องของข้ารายงานว่าเจ้าน่าเป็นห่วงนัก”


เขาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว เสียงเกือกม้าเบื้องหลังยังสะท้อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับเงาทั้งหมดในป่ากำลังก้มหัวให้คนผู้นี้ หลินหยาก้าวถอยหลังเล็กน้อย ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ถึงกับนั้นเจ้าค่ะ ข้าจัดการได้ มีท่านจางทังคอยช่วยไว้”


เมื่อได้ยินชื่อบุรุษผู้อื่น สีหน้าเยือกเย็นของจางกงกงดูจะขมวดลงเพียงเสี้ยววินาที เขาหรี่ดวงตาคมลง เงารอยยิ้มบางแล่นผ่านริมฝีปากรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเยาะหรือข่ม “ข้าดีใจที่เจ้ารอดมาได้...แต่เสี่ยวหยา เจ้ารู้ใช่ไหมว่าใครแตะต้องเจ้าสักปลายนิ้ว ข้าจะถือว่าพวกมันล่วงเกินข้าโดยตรง”


จางทังที่ยืนอยู่ไม่ไกลยกมือคำนับเล็กน้อย ดวงตายังคงเรียบสงบแต่แฝงความตึงเครียด “ใต้เท้าจาง ปากท่านยังคมดังเดิม แต่ครานี้แม่นางหนานไม่ต้องให้ใครช่วยมากหรอก นางแข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิด”


“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอของจางกงกงแผ่วเบาแต่ชัดเจน “แข็งแกร่งเพราะมีคนคอยอยู่ข้างหรือเพราะข้าเผลอสอนให้เจ้ามากเกินไปกันนะ เสี่ยวหยา?” หลินหยากลอกตาอย่างอดไม่ได้ พลางยกมือทาบเอว “อย่ามาเริ่มขี้หึงเอาตอนนี้เลยเจ้าค่ะ นี่กลางป่า กลางค่ำกลางคืน ข้าเหนื่อยแทบล้ม ท่านยังจะ...” เธอหยุดพูดเมื่อเห็นแววตาเขาที่มองมา แววตาที่แฝงความห่วงใยเจือแรงดึงดูดจนเธอต้องเม้มปากแน่น


จางกงกงก้าวเข้ามาใกล้จนกลิ่นกฤษณาจาง ๆ ของเขาแผ่คลุม เขายื่นมือมาสัมผัสเส้นผมที่หลุดออกจากปิ่นของเธอเบา ๆ “เจ้าเหนื่อยนักหรือ...?” เสียงเขาเบาแต่เฉียบชัด หลินหยาหลุบตาเล็กน้อย ใจเต้นแผ่ว “ข้า...พอไหวเจ้าค่ะ” เขายืนชิดหลินหยาเหมือนเงาที่ไม่ยอมหลุดร่าง ส่วนจางทังกุมบังเหียนม้าไว้ห่างออกไปครึ่งช่วงกระบี่ ดวงตาคมทั้งสองคู่ต่างประจันกันโดยไม่ต้องมีคำเชื้อเชิญใด ๆ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะแผ่วของตุลาการพยัคฆ์เหล็กเฉือนความเงียบให้แตกออก


“อสรพิษอย่างท่าน…รู้จักเป็นห่วงผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วหรือ?” จางทังเอ่ยเรียบ แต่คมคำแรงพอจะแหวกหมอกยามค่ำให้แตกเป็นเสี่ยง


พัดในมือของจางกงกงคลี่ออกครึ่งวง รอยยิ้มที่ยากอ่านปรากฏใต้แสงเดือน “คำถามของท่านเหมือนคำพิพากษาที่ตั้งธงไว้ล่วงหน้า หาได้มีสำนวนอ่อนช้อยอย่างที่ศาลต้าหลี่ชอบอวดนัก” เขาเอียงหน้าเพียงเล็กน้อย ไม่แม้เหลียวมองชายบนม้าขาว นัยน์ตายังคงยึดที่ใบหน้าของหญิงสาวข้างกาย “แต่ถ้าท่านอยากได้คำตอบ ข้าห่วงคนของข้าไม่ใช่เรื่องที่ศาลใด ๆ ต้องรับรู้”


“คนของท่าน?” จางทังเลิกคิ้ว “หรือหมายถึงของกลางที่ท่านอยากยึดไว้ข้างตัวกันแน่ ใต้เท้าจางความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว นิสัยท่านไม่ใช่ประเภทจะยื่นมือเปล่าโดยไม่ซ่อนมีดไว้ในแขนเสื้อ”


พัดปิดยิ้มกลายเป็นเงากรีดผ่านแก้มซีดของจางกงกง “พฤติกรรมที่ท่านว่านี้มีข้อบกพร่อง กล่าวหาแบบเหมารวม ไม่ต่างจากเด็กที่มองเงาตัวเองแล้วตกใจกลัวเล็บมือ” เสียงเขานุ่มแต่เย็นเฉียบ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้…ปล่อยให้ข้าจัดการ อย่าได้กังวลไป”


“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องท่านจะรับมือศัตรูไหวหรือไม่” จางทังดึงบังเหียนให้ม้าขาวขยับมาด้านหน้าเล็กน้อย คมสายตาคล้ายดาบเปลือยที่ไม่ยอมคืนฝัก “ข้ากังวลว่าท่านกำลังหลอกใช้งานสตรีจิตใจงาม นางมิใช่หมากบนกระดานที่ใครควรปักหมุดตรงไหนก็ได้ตามอำเภอใจ ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างท่านจะมีความรู้สึกที่บริสุทธิ์”


รอยยิ้มของจางกงกงหายไปชั่วเสี้ยวลมหายใจ เงาอสรพิษในดวงตาชักวาบขึ้นมาราวจะฉก “คำตัดสินของท่านช่างหยาบนัก” เขาขยับกายบังลมให้นางโดยสัญชาตญาณ ละเอียดลออเกินกว่าคำพูดที่เฉือนเฉียบเมื่อครู่ “ถ้าข้าอยากใช้งาน นางจะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยดวงตาสว่างเช่นนั้นหรือ” เขาไล่สายตาต่ำลงแตะแขนเสื้อที่ขาดจากการสู้รบของหลินหยาแล้ววกกลับขึ้น “นางอยู่เพราะนางเลือก ไม่ใช่เพราะข้าสั่ง”


“ท่านมิควรกล่าวเช่นนั้น หากท่านไม่รู้ว่าคำว่าเลือกของนางถูกโซ่ของท่านล่ามไว้แค่ไหน” จางทังสวนกลับอย่างไม่ให้ช่องว่าง


ประกายเย็นจัดวาบขึ้นในแววตาจางกงกง ราวโลหิตอสรพิษกำลังเดือดในหลอดแก้ว แต่ก่อนที่คำต่อไปจะปะทุเป็นเปลว หลินหยาก็ก้าวขึ้นมากั้นกลางอย่างรวดเร็ว เธอยกมือข้างที่ถือขลุ่ยแตะอกจางกงกงดันเบา ๆ อีกมือยกขึ้นเป็นสัญญาณให้จางทังรั้งม้าไว้ “พอเถิดเจ้าค่ะ เลิกมีปากเสียงกันได้หรือยัง” เสียงเธอเหนื่อยล้าแต่ชัดถ้อย “ข้าแทบทรุดอยู่แล้ว ยังต้องมานั่งฟังพวกท่านทะเลาะกันอีกหรือ เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะเจ้าคะ จะให้ล่มกลางลำเพราะศักดิ์ศรีพวกท่านสองคนหรือเจ้าคะ”


สายลมพัดชายผ้าไหมสีอ่อนของเธอเหมือนคำสอนที่กรีดผ่านคอคนดื้อดึง จางทังนิ่งไปชั่วครู่ สีหน้าที่เคยเข้มลดคมลง ส่วนจางกงกงชะงักราวถูกสาดน้ำเย็น เขาเหลือบมองเส้นผมช่อเล็กที่หลุดจากปิ่นเงินของนาง แล้วสูดลมหายใจกลั้นไฟในอก หลินหยาเบือนหน้าไปทางจางกงกงก่อน “หากท่านทะเลาะกับท่านจางทัง…ข้าจะงอนท่าน” คำว่าจองอนอ่อนเหมือนผ้าไหม แต่มีน้ำหนักพอถ่วงเขาไว้ทั้งตัว


รอยยิ้มที่อ่านยากค่อย ๆ กลับมาบนริมฝีปากของจางกงกง ทว่าแววตาอำนาจยังกร้าวแน่น เขาพับพัดลงอย่างว่าง่ายผิดนิสัย แล้วฉวยจังหวะก้มลงดึงชายเสื้อคลุมของหลินหยาให้เข้าที่อย่างถือสิทธิ์ มือหนึ่งลูบหลังมือเธอรวบขลุ่ยไว้ในฝ่ามือของตนชั่ววาบ สัมผัสฉกวูบแบบคนมีพิษในเลือดแต่รู้แรงพอดี “ก็ได้ เสี่ยวหยา ข้าจะหยุด” เขาเอ่ยแผ่ว แต่หันหน้าไปทางจางทังด้วยปลายเสียงที่ยังมีเงาของเขี้ยว “เพื่อเจ้า”


“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหยาปรายตาเตือนให้ไม่ต้องต่อคำอีก เธอหันไปหา จางทัง “คืนนี้พักเรื่องตัดสินคนอื่นก่อนเจ้าค่ะ พรุ่งเช้าค่อยตัดสินศัตรูของเราแทน”


จางทังค้อมศีรษะรับ มุมปากคลายตึง “ได้สิ แม่นางหนาน” แต่ยังไม่วายเหลือบมองมือที่จางกงกงวางทับขลุ่ยของนางอย่างเป็นเจ้าของ แววตาเขาอ่านได้ง่ายเขาไม่เห็นด้วย หากยอมถอยชั่วคราวเพราะนางขอ จางกงกงเห็นสายตานั้นก็ไม่คิดปิดบัง เขาขยับยืนแนบด้านข้างหลินหยา โอบไหล่นางเข้าใกล้จนกลิ่นกฤษณาของเขากลืนกลิ่นฝนค้างกลางทุ่งไปหมด “เจ้าเหนื่อยหรือ? เช่นนั้นก็พักข้างข้า” น้ำเสียงนิ่งสนิท ราวประกาศกรรมสิทธิ์กลางทุ่งกว้าง


หลินหยาค้อนให้เบา ๆ แต่ยอมให้เขาดึงเสื้อคลุมอีกชั้นมาคลุมไหล่ คืนนี้ลมแรงกว่าคืนก่อน มือเธอจับสาบผ้าไว้แน่น ริมฝีปากยกยิ้มจิ๊จ๊ะ “ท่านขี้หวงไม่หาย”


“ข้าไม่เคยคิดจะหาย” จางกงกงตอบตรงและอันตราย “แต่อย่าได้กังวลไป ปล่อยให้ข้าจัดการเถิดเสี่ยวหยา” เขาเหลือบตาไปยังแนวป่าที่ทอดยาว “ทางตะวันออกมีคนซุ่ม เงาของพวกไฉ่หลินลากยาวจากพุ่มหนาม สองคู่ สับเปลี่ยนเวรทุกยี่สิบเคาะชีพจร เราเคลื่อนหลังเมฆบังเดือนอีกครั้งจะปลอดภัยกว่า”


“ข้าจะตรวจซ้ำ” จางทังรับคำพลางแตะฝักกระบี่หักธรรม “และข้าจะยังคงจับตาดูการ ‘จัดการ’ ของท่านด้วย ใต้เท้าจาง”


จางกงกงยกพัดแตะริมพจน์ คลี่รอยยิ้มผิวเผิน “ตามสบาย ตราบใดที่ท่านจำไว้ว่าเสี่ยวหยาอยู่ข้างข้า” เขาก้มลงแตะหน้าผากหลินหยาเบาเหมือนผีเสื้อสัมผัสดอกไม้ ทว่าความหมายชัดกว่ามีดสลักหิน จากนั้นจึงเหวี่ยงเสื้อคลุมให้กระชับบ่าเธออีกครา หลินหยาถอนใจยาว ยอมแพ้ให้ความดื้อดึงของชายผู้มีพิษในสายเลือดเพียงชั่วคืน “งั้นก็เลิกแข่งคำเถิดเจ้าค่ะ แข่งฝีเท้าแทน” เธอเคาะขลุ่ยกับสันอานหนึ่งครั้ง เสียงไม้ใสกังวานเป็นสัญญาณ “ไปกันได้แล้ว ก่อนเดือนใหม่จะทันเห็นเราเถียงกันจนครบทุกข้อกฎหมายของศาลต้าหลี่”


คำล้อเลียนนั้นทำให้จางทังเผลอยิ้ม ส่วนจางกงกงหัวเราะต่ำในลำคอ ทั้งสามขึ้นม้าพร้อมกัน เงาม้าตัดกับเส้นแสงเงินของจันทร์เหมือนพู่กันลากบนกระดาษสา พวกเขาเคลื่อนที่เป็นลิ่มเงียบ จางทังล่วงหน้าไปตรวจ ซ้ายมือมีเสียงน้ำในคูไหลเอื่อยเป็นจังหวะ ส่วนกลางลิ่มคือหลินหยาในเสื้อคลุมแดงเข้ม และท้ายลิ่มคือจางกงกง ผู้ขี่ตามอย่างแนบชิดจนเงาของเขาซ้อนทับเงาของนางพอดี


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

จางกงกง เข้าร่วม ปาร์ตี้

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 49326 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-4 18:42
โพสต์ 49,326 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-4 18:42
โพสต์ 49,326 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-4 18:42
โพสต์ 49,326 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-4 18:42
โพสต์ 49,326 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-4 18:42
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-10 22:46:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 03 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เส้นทางการเดินทางไปเขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น

เช้าวันใหม่เลื้อยคลานขึ้นจากเส้นขอบฟ้าเหมือนหมึกจาง ๆ ละลายบนกระดาษสา หมอกเช้าลูบยอดหญ้าให้ชื้นเป็นประกาย กองไฟเล็กกลางทุ่งกรุ่นกลิ่นไม้สดผสมดินเปียก หลินหยานุ่งเสื้อผ้าไหมสีอ่อนพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย มือขาวสะอาดกำลังคลุกไก่ทั้งตัวที่ห่อด้วยดินเผาใบไม้อย่างใจเย็น กลิ่นกฤษณาเบาหวิวจากผมที่หลุดจากปิ่นเงินช่อหนึ่งพาดแก้มเธอ จังหวะเดียวกับที่เปลวไฟแตกปะทุเบา ๆ ราวตอบรับมือแม่ครัวจำเป็นคนงาม


จางกงกงนั่งเหยียดหลังตรง ริมตาลุ่ม เขาสะบัดชายอาภรณ์สีแดงโทนอุ่นให้ลมแห้งควันออกจากเนื้อผ้า ดวงตาคมกริบตวัดไปยังเส้นทางทิศตะวันออกครู่หนึ่งก่อนวกกลับมา “เราต้องข้ามแม่น้ำเหลืองไปเขตเหอตง” เสียงเขาทุ้มและเรียบ “ที่นั่นมีพยานสำคัญ คนเดียวที่ยืนยันความชอบธรรมของถิงเว่ยจางได้ หากเราพาเขากลับมาถึงฉางอัน เรื่องเอกสารลับจะไม่ใช่คำกล่าวหาลอย ๆ อีก”


จางทังยกมืออังไฟ ดวงตาคมนิ่งเยือกเช่นเคย “ความจริงมีที่ข้าพบนะ ข้าต้องการมันกลับศาล ไม่ใช่กลับไปอยู่ในมือคนที่เลือกชั่งน้ำหนักด้วยอคติ ไม่ใช่ความยุติธรรม” เขาเอียงหน้าเพียงน้อย คมคำไม่ยอมลด “ข้าจึงยังไม่เข้าใจว่าทำไมท่าน อสรพิษผู้ภักดีแต่พระบัญชาต้องช่วยข้า มีแผนอะไรอีกหรือ”


พัดในมือจางกงกงคลี่อย่างเฉื่อยช้า รอยยิ้มบางโผล่ใต้เงาพัด “หึ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้…ปล่อยให้ข้าจัดการ เจ้าก็แค่เดินตามความจริงของเจ้าไป อย่าได้กังวล”


“พฤติกรรมนี้ของท่านมีข้อบกพร่องนักจางกงกง ข้าขอย้ำเป็นครั้งที่ล้าน” จางทังสวนทันที “การช่วยของท่านมักแลกด้วยโซ่ล่ามใครบางคนไว้เสมอ ข้าไม่ต้องการโซ่เช่นนั้นในสำนวนคดีของข้า ข้ามิได้สิ้นไร้ไม้ตอก”


“แต่เจ้ากลับยินดีให้คนของข้าเสี่ยงชีวิตคุ้มกันเอกสารของเจ้า” แววตาจางกงกงวาวขึ้นเล็กน้อย ริมพจน์ผะแผ่วเฉือน “สองยามครึ่งเมื่อคืน หากข้าไม่ส่งมือเงาไปล่าถอยด่านลอย พวกเจ้าคงยังติดคอสะพานอยู่”


“ข้าขอบคุณ” จางทังตอบนิ่ง “แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าต้องยอมรับวิธีของท่าน”


เปลือกดินแตก “เป๊าะ!” กลิ่นหอมมันอุ่นของไก่ขอทานทะลุสายหมอก หลินหยายกห่อดินที่แตกสวยขึ้น ริมฝีปากแดงระเรื่อยิ้มตาหยี “ทั้งสองท่านพอทีเถิดเจ้าค่ะ ก่อนคำจะไหม้แรงกว่าไฟ ไก่ขอทานเสร็จแล้ว นั่งกินเสียเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะไม่ต้องพูดกันแล้ว” เธอขยับตัวคล่องแคล่ว บิเปลือกดิน เผยหนังไก่สีทองฉ่ำมัน โรยเกลือและต้นหอมอ่อน ห่อใบไม้ส่งให้คนละตัว “คนละห่อเจ้าค่ะ จะได้ไม่ต้องแย่งกันเจ้าค่ะ ห้ามตีกันเลย”


จางกงกงรับห่อด้วยมือเรียวยาว เล็บสะอาดสะท้อนแสงเช้าจาง ๆ “เสี่ยวหยา” น้ำเสียงเขาอ่อนลงกว่าทุกครา “มือเจ้าอุ่น…ระวังร้อน” แล้วก็ขยับผ้าคลุมบนไหล่เธอให้เข้าที่อย่างถือสิทธิ์ เงาของชายผ้าแดงทาบไหล่นางยาวเกินพอดี “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” หลินหยานั่งลงข้างเขาอย่างไม่คิดหลบ รอยยิ้มขี้เล่นผุดขึ้น “ท่านถิงเว่ยของเรา ก็อย่าถือสาคำลมควันนักนะเจ้าคะ กินก่อนเถอะ แล้วค่อยถือดาบว่ากันต่อ” เธอหันไปยื่นเกลือให้จางทัง “อย่าลืมจิ้มเกลือขาวผสมพริกไทยบดนี้นะเจ้าคะ หอมกว่าเกลือทะเลที่ตลาดลั่วหยางอีก ข้าซื้อมาจากคนเลี้ยงแกะที่ทุ่งเกลือของตงไห”


จางทังรับไว้ เงียบไปชั่วครู่เมื่อได้กลิ่นหอมจากเนื้อไก่และควันไม้ เขาพยักหน้าช้า ๆ “แม่นางฝีมือดีนัก” เขาพูดเท่านี้ แต่ปลายตาคลี่อ่อนจนความตึงผ่อนสายลงเหมือนคันธนูหลังยิงลูกสุดท้าย


ไม่นานการเดินทางก็มาถึงแดดยามสายเริ่มกรองผ่านเรือนยอดไม้ ทาบเงาเป็นลายบนพื้นดินชื้นจากน้ำค้างเมื่อคืน เสียงกีบม้ากระทบดินดังก้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทั้งสามเดินทางเงียบ ๆ ไปตามเส้นทางลัดเลาะเชิงเขา กลิ่นหญ้าเปียกและกลิ่นกฤษณาจากผมของหลินหยาเจือปนกันในลม จางทังขี่ม้าขาวอยู่ข้างหน้า ส่วนจางกงกงและหลินหยาอยู่ตามหลังเล็กน้อย เส้นทางดูสงบจนแทบไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้มาไม่นาน


ทว่าในชั่ววินาทีต่อมา เสียงโลหะเสียดกันดังขึ้นฉับพลัน เงาดำสี่เงาพุ่งออกมาจากแนวไม้ไผ่ทั้งสองฝั่ง พวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วและแม่นเหมือนฝึกมาเพื่อฆ่าโดยเฉพาะ “นักฆ่างั้นหรือ…” จางทังพึมพำเสียงต่ำพร้อมชักกระบี่หักธรรม เสียงกระบี่กระทบโลหะดังแหวกอากาศ เขาหันมาบอกเสียงเยือก “แม่นางหลินหยา อยู่หลังข้า!”


แต่หลินหยาที่จับขลุ่ยไม้ไว้แน่นกลับไม่ยอมหนี เธอขยับตัวคล่องแคล่วอย่างคนคุ้นสถานการณ์ เอี้ยวตัวหลบคมดาบจากด้านหลัง ก่อนจะทุบขลุ่ยลงบนข้อมือของนักฆ่าคนหนึ่งจนกระดูกดังกร๊อบ เสียงนั้นทำให้จางกงกงที่ยืนอยู่ไม่ไกลหรี่ตาลง ยกพัดปัดกระบี่ของอีกคนด้วยท่วงท่าเยือกเย็นราวเล่นรำ แต่ทุกครั้งที่พัดเคลื่อนไหวก็มีเลือดกระเซ็นเป็นเส้นบาง ๆ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งผสมกลิ่นใบไม้สด


การต่อสู้กินเวลาไม่นาน ทั้งสามจัดการนักฆ่าทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องออกแรงเกินควร แต่ขณะที่กำลังจะถอนหายใจโล่ง ม้าของจางทังก็สะดุดและส่งเสียงร้องลั่นก่อนทรุดฮวบลงกับพื้น มีดสั้นเล่มหนึ่งปักลึกอยู่บริเวณลำคอ มันกระตุกสองครั้งแล้วแน่นิ่ง 


“ข้าเสียม้าเสียแล้ว” จางทังกล่าวเรียบ ๆ แต่เสียงนั้นมีแววขุ่น “ดีนัก ข้ายังพูดไม่ทันขาดคำก็ต้องเดินเท้าเสียแล้ว”


จางกงกงเก็บพัดเข้าที่ มืออีกข้างปัดฝุ่นจากอาภรณ์สีแดงพลางเหลือบตามองหลินหยา แล้วจึงสบตากับจางทัง ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร แต่ในแววตากลับสื่อเหมือนรู้กันว่าอะไรจะตามมา จางกงกงยกแขนขึ้นโดยไม่รอช้า เขาเอ่ยเบาแต่ชัด “เสี่ยวหยา ขึ้นม้า”


“หา? ข้าหร—” หลินหยายังไม่ทันพูด จางกงกงก็โอบเอวเธอยกขึ้นอย่างง่ายดายราวกับนกน้อยตัวหนึ่ง ร่างของนางลอยขึ้นไปนั่งบนหลังม้าดำในชั่วพริบตา เสียงหัวเราะบาง ๆ หลุดจากริมฝีปากของเขา “เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าขี่ม้าไปกับเขาในยามที่ลมหายใจของเขายังติดกลิ่นเลือดอยู่หรือ?”


“แล้วข้าจะทำอย่างไร?” จางทังถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว

“ม้าของนาง” จางกงกงตอบสั้นพลางปรายตาไปที่ม้าดำของหลินหยา “ดูท่ามันจะไม่ถือสาเจ้า”

จางทังหัวเราะหึในลำคอ “อย่างน้อยข้ายังได้ม้าที่เชื่อฟัง ต่างจากเจ้าที่ได้คนขี้ดื้อไป” เขาก้าวขึ้นม้าของหลินหยาโดยไม่พูดอะไรอีก


หลินหยาในอ้อมแขนของจางกงกงหันขวับมามองทั้งสอง “นี่มันอะไร ข้าถูกจับโยกไปโยกมาเหมือนของเล่นหรืออย่างไรเจ้าคะ?” เธอเอื้อมไปจะผลักอกเขาแต่กลับถูกเขารวบมือไว้แน่น เสียงหัวเราะแผ่วดังข้างหู “อย่าดิ้นสิ เสี่ยวหยา เจ้าลืมหรือว่าเราขี่ม้าแบบนี้กันมากี่ครั้งแล้ว”


“จางกงกง!” หลินหยาหันมาค้อน แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดต่อ เขาก็ก้มลงกระซิบข้างใบหู น้ำเสียงเย็นและนุ่มลึกจนหัวใจเธอเต้นแรง “อย่าขยับสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะคิดว่าเจ้ากำลังตั้งใจยั่วข้าอยู่”


“ท่าน…!” เธอหน้าแดงจัด แต่เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขากลับทำให้ลมหายใจในอกพลันขัดขืนไม่ออก ข้างหน้า จางทังที่ขี่ม้าของหลินหยาอยู่หันกลับมามอง เห็นท่าทีของทั้งคู่ก็แค่นหัวเราะ “ดูท่าท่านยังไม่เปลี่ยนนิสัยเลยนะ ใต้เท้าจาง”


“เจ้าก็เหมือนกัน ยังชอบสอดมือไม่เข้าเรื่อง” จางกงกงตอบพลางยกพัดในมือสะบัดลมใส่หลังอีกฝ่าย “ขี่ให้ดีเถอะ พยานยังรออยู่ที่เหอตง อย่าให้ม้าของข้าเหนื่อยก่อนถึงทางนั้น” ทั้งสามแล่นไปตามทางภูเขา เสียงกีบม้าสองคู่ประสานเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจหลินหยาในอ้อมแขนของเขา เธอก้มมองมือที่เขายังกุมไว้แน่น นิ้วเรียวยาวของเขาเย็นราวน้ำแข็งแต่กลับให้ความรู้สึกอุ่นประหลาดในอก


จางกงกงก้มลงกระซิบข้างหูหลินหยาอีกครั้ง “ดูสิ เสี่ยวหยา…ข้าบอกแล้วใช่ไหม สุดท้ายเจ้าก็ต้องอยู่ในอ้อมแขนของข้า” หลินหยาไม่ตอบ แต่แก้มของนางแดงระเรื่อราวผลท้อสุกในฤดูร้อน ลมเย็นพัดกลิ่นผมของเธอไปคลอเคล้าเสื้อผ้าเขา จางทังที่ขี่นำอยู่ข้างหน้าก็ได้แต่ส่ายหัวช้า ๆ อย่างยอมจำนนต่อคู่รักคู่นี้ ก่อนจะเร่งม้าให้เร็วขึ้น เพื่อกลบเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ลอยตามสายลมมาจากด้านหลัง


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 42402 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-10 22:46
โพสต์ 42,402 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-10 22:46
โพสต์ 42,402 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-10 22:46
โพสต์ 42,402 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-10 22:46
โพสต์ 42,402 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-10 22:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-12 02:05:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 04 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เส้นทางการเดินทางไปเขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น

แดดยามบ่ายวันถัดมาทอดลงบนแนวทุ่งโล่งอันเวิ้งว้าง แสงสีทองตัดกับเส้นขอบภูเขาที่ลับฟ้าสีคราม ทั้งสามเดินทางต่อเนื่องมาจนถึงวันที่สองแล้ว เส้นทางผ่านพ้นเขตเมืองลั่วหยางออกมาไกลนัก เหลือเพียงเสียงล้อเกวียนที่ห่างไกล กับเสียงกีบม้าที่กระทบพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แต่กระนั้น ความสงบในผืนทางกลับถูกทำลายอีกครั้งเมื่อเงาดำสี่เงาปรากฏขึ้นตรงเนินหญ้าข้างหน้า “อีกแล้วหรือ?” หลินหยาถอนหายใจพลางเอียงหัว ดวงตาสุกใสฉายแววระอา “ข้าคิดว่าพวกมันคงเหนื่อยจะตายกันหมดแล้วเสียอีก”


“นักฆ่าไม่เหนื่อย มีแต่ค่าหัวที่ไม่รู้จักพอ” จางกงกงว่าด้วยเสียงเย็น สะบัดพัดในมือให้ลมพัดผ้าคลุมสีแดงกระเพื่อมราวเลือดที่ยังอุ่น “อย่าได้กังวลไป เสี่ยวหยา”


“ท่านก็เอาแต่พูดแบบนี้ทุกครั้งนะเจ้าคะ” นางแกล้งยิ้มมุมปาก ขลุ่ยไม้ในมือถูกหมุนเล่นในอุ้งมือราวของเล่น แต่เมื่อพวกนักฆ่ากระโจนเข้ามา นางกลับเป็นฝ่ายก้าวก่อน เสียงขลุ่ยหวดฟาดตรงขมับของชายคนหนึ่งดัง “ปึก!” พร้อมเสียงร้องอื้ออึงไม่ทันขาดลม จางทังตวัดกระบี่หักธรรมอย่างแม่นยำ เสียงเหล็กเฉือนอากาศแหวกออกเป็นเส้นตรง เขาเคลื่อนไหวไม่เกินสามก้าว นักฆ่าสี่คนก็ร่วงหายไปกับฝุ่น ลมหายใจสงบเยือกอย่างคนที่ชินกับความตาย ส่วนจางกงกงเพียงใช้พัดกระแทกอากาศ ปราณอสรพิษแผ่วราวเงาแสงชำแรก ผิวของศัตรูอีกคนกลับเปลี่ยนสีคล้ำในพริบตา เลือดพิษในตัวเขาทำงานอย่างเงียบงัน


“หมดเรื่องแล้วสินะเจ้าคะ” หลินหยาพูดขณะสะบัดชายกระโปรงไม้กฤษณาให้ฝุ่นหล่น เธอมองไปทางจางกงกงที่ยืนสงบเหมือนไม่เคยแตะต้องใคร “หรือจะมีพวกมันอีกกันล่ะ”


“ไม่มีแล้ว” เขาตอบเรียบ ริมฝีปากขยับเพียงนิด ดวงตาคมส่องทะลุแนวป่าไปไกล “แต่เราควรพัก ก่อนจะเข้าสู่เขตเหอตง ความอันตรายจะมากขึ้นทุกย่างก้าว”


จางทังชักกระบี่เข้าฝัก พยักหน้าเห็นพ้อง “เห็นด้วย พักที่นี่ก็ดี ดินนุ่ม น้ำใส มีแนวหินกันลมพอดี”


หลินหยายิ้มเล็กน้อย “พูดเหมือนข้าไม่รู้เรื่องงั้นแหละเจ้าค่ะ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ตุลาการพยัคฆ์เหล็กกับขันทีอสรพิษเห็นพ้องกันได้ง่ายดายนัก” เธอหรี่ตาแหย่เสียงหวาน แล้วหันไปก้มเก็บฟืนแห้ง “งั้นข้าไปหาใบตองกับไม้แห้งละกัน ไก่ที่เหลือเมื่อคืนยังพอทำซุปได้”


เมื่อยามเย็นคล้อย ลำแสงสุดท้ายของวันอาบยอดไม้เป็นสีส้มระยิบ พวกเขาตั้งแคมป์กลางลานหินหลังลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่าน เสียงไฟแตกปะทุเบา ๆ ในความเงียบ หลินหยากำลังคลุกหม้อดิน ต้มซุปไก่กับขิงและพริกไทย เสียงน้ำเดือดพล่านส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจ “ข้าจะทำอาหารเองนะเจ้าค่ะ” เธอพูดพลางขยับชายแขนเสื้อขึ้นอีกนิด “หน้าที่อื่นพวกท่านจัดการกันเถอะ ไม่งั้นจะไม่มีอะไรตกถึงท้อง”


จางกงกงมองภาพนั้นนิ่งไปชั่วครู่ แสงไฟสะท้อนนัยน์ตาเขาให้เป็นประกายวาวคล้ายอสรพิษกลางรัตติกาล เขาวางพัดลงข้างตัว เดินเข้าไปข้างเธอ ยื่นมือออกไป “อย่าให้มือเปื้อนนัก เสี่ยวหยา ข้าช่วย”


“หืม? ท่านจะช่วย?” หลินหยายกคิ้ว หัวเราะเบา ๆ “คราวก่อนข้าเห็นท่านจับพัดอย่างเดียวไม่เคยจับทัพพี”

“คนอย่างข้าไม่จับของสกปรกหากข้าไม่ต้องการ” เขาตอบเสียงเรียบ แต่พอเธอสบตากลับ เห็นมุมปากที่ยกขึ้นนิด ๆ จนกลายเป็นรอยยิ้มบางเฉียบ


“งั้นก็ไปจัดที่นอนได้เลยเจ้าค่ะ จะได้ไม่มาแย่งข้าทำอาหาร ไปช่วยท่านจางทังทำงานโน้น” เธอสวนกลับ จางทังที่นั่งผิงไฟอยู่อีกฝั่งอดกลั้นยิ้มขณะก้มมัดเชือกผ้าเต็นท์ผ้าใบอย่างเงียบ ๆ แม้คำพูดจะยังแข็งกัน แต่บรรยากาศกลับอ่อนลงมาก ต่างจากเมื่อวันก่อนที่พวกเขาแทบจะฟาดกระบี่ใส่กันแทนคำพูด จางกงกงเหลือบตาไปทางจางทังที่กำลังปักเสาไม้พยุงหลังคาผ้าใบให้มั่น ดวงตาทั้งสองสบกันครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มถิงเว่ยจะเอ่ยเบา ๆ “ข้าจะตั้งเวรยามแรก ท่านอย่าตื่นมายุ่ง”


“ข้าก็ไม่ได้อยากตื่นดูหน้าท่านหรอก” จางกงกงตอบกลับโดยไม่หัน แต่เสียงนั้นแฝงความคุ้นเคยที่หลินหยาฟังแล้วแย้มยิ้ม

“ท่านทั้งสอง…” เธอพูดขณะยกหม้อซุปขึ้นจากไฟ “ถ้าทะเลาะกันอีกข้าจะหักขลุ่ยทุบทั้งคู่เลยนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่กลัว” จางกงกงตอบพร้อมยิ้มมุมปาก

“แต่ข้ากลัว” จางทังเอ่ยเรียบ ๆ แล้วทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน เสียงหัวเราะนั้นคลี่คลายความเคร่งขรึมของค่ำคืนลงจนไฟในกองดูอุ่นกว่าที่เคย


ยามนั้น หลินหยายื่นถ้วยซุปให้ชายทั้งสอง “คนละถ้วยนะเจ้าคะ กินเสียเถอะเจ้าค่ะ ก่อนจะเย็น” เธอนั่งลงตรงกลางระหว่างทั้งคู่ แสงไฟสะท้อนดวงตาเธอให้เป็นประกายเหมือนดาวระยิบในราตรี “ซุปของเจ้าไม่ต่างจากยาแก้ระหว่างเราเลย เสี่ยวหยา” จางกงกงพูดเบา ๆ พลางรับถ้วยจากมือเธอ นิ้วเรียวยาวแตะหลังมือเล็กอย่างแนบเนียน


“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรซดมันให้หมดเสียห้ามเหลือ” หลินหยายิ้มตอบ แกล้งหลบตาเขาแต่เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นนิดหนึ่ง


ส่วนจางทังเพียงนั่งมองภาพนั้นเงียบ ๆ แล้วหันกลับไปจ้องไฟ เขาไม่พูดอะไร เพียงเปรยแผ่ว “อย่างน้อยคืนนี้เราทั้งสามคงไม่ต้องฝันร้าย” เปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นสูงราวตอบรับ เสียงลมพัดยอดไม้ครวญเบา ๆ เหนือศีรษะ ทั้งสามนั่งล้อมกองไฟร่วมกัน ขันทีผู้เฉียบเยือก ตุลาการผู้ตงฉิน และสตรีชาวบ้านผู้สดใสราวแสงเดือน ความแตกต่างอันมากล้นกลับกลายเป็นสมดุลแปลกประหลาดในรัตติกาลนี้


ลมราตรีพัดเอื่อยผ่านแนวสน กองไฟกลางแคมป์แตกเสียงแผ่วปะทุเป็นระยะ เถ้าถ่านปลิววาบขึ้นไปรับดาวประปรายเหมือนฝนเงินย้อยจากฟ้า จางทังรับหน้าที่เวรแรกตามที่ตกลง เขายืนเงียบใต้เงาไม้ มือแตะฝักกระบี่หักธรรม สายตากวาดตรวจขอบลำธารและพุ่มหนามไกล ๆ อย่างไม่พลาดจังหวะ ส่วนหลินหยาขยับผ้าคลุมให้กระชับไหล่ก่อนยิ้มตาพราว เธอวางตะกร้าใบเล็กลงข้างกองไฟ เปิดฝาลังไม้ไผ่ เผยขวดเหล้าสุราไผ่เขียวที่มีหยดน้ำค้างเกาะปลายคอขวด และห่ออาหารเนื้อรสเผ็ดที่รมควันจนกลิ่นหอมฉุนชวนให้ลมหายใจอุ่นขึ้นทันที


“ข้ามีของแก้หนาวเจ้าค่ะ คนละถ้วย จะได้ไม่แข็งเป็นท่อนไม้” หลินหยายกจอกดินเผาให้จางทังหนึ่ง จางกงกงหนึ่ง นิ้วเรียวของเธอแตะแผ่วกับขอบจอกก่อนยื่นให้ เป็นท่าทางเรียบง่ายที่กลับทำให้คืนนิ่งสงบลงครึ่งส่วน


จางกงกงรับจอกไว้ ดวงตาคมวาวสะท้อนเปลวไฟ “สุราไผ่เขียว…เจ้าช่างรู้ใจ” เขาแตะริมจอกกับของจางทังแผ่วเบาดัง “กริ๊ง” รอยยิ้มยากอ่านผ่านใต้เงาพัดที่วางอยู่ข้างตัว


จางทังยกจอกขึ้นเล็กน้อย “เพื่อคืนที่ไม่ต้องดึงดาบ” เขาว่าเรียบง่าย ก่อนจิบ รสหวานปลาย ละมุนคอแต่แฝงไฟอุ่นที่ลามช้า ๆ ลงท้อง ข้างกันนั้น หลินหยาหยิบเนื้อเผ็ดหั่นชิ้นพอดีคำวางบนใบตอง ยื่นให้ทั้งสอง “กับแกล้มเจ้าค่ะ อย่าทำหน้าขึงนัก เดี๋ยวร้อนแรงกว่าเครื่องเทศของข้านะเจ้าคะ”


ความเงียบสนทนากันด้วยกลิ่นควันและแอลกอฮอล์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจางทังจะเอียงหน้าเล็กน้อย เปลวไฟขีดเงาบนโครงแก้มเขาคมชัด “ข้าอยากเข้าใจสิ่งหนึ่งพวกเจ้า…ไป ‘รักกัน’ ตั้งแต่เมื่อไร” น้ำเสียงไม่ได้กล่าวโทษ มันเพียงซื่อสัตย์เหมือนกระบี่ของเขา


หลินหยาหัวเราะคิกคักกับคำถามนั้น เจือความขี้เล่นที่ทำให้ใบไม้ไหวคล้ายยิ้มตาม “ตั้งแต่ท่านผู้นี้เอาแต่จองเวรข้าไม่เลิกเจ้าค่ะ” เธอชี้ปลายคางไปทางจางกงกง “ใช้ชื่อเป็นท่านชายห่าวหมิง ใส่หน้ากากมาแบบผู้ดีจอมปลอม โผล่มาในทุกร้าน ทุกตรอก ทุกเงา พูดหวานอย่างกับจะซื้อใจ แต่จริง ๆ ก็แอบรัดเชือกไว้รอบเอว ข้าเผลอหัวเราะให้เขาทีหนึ่ง หัวใจตัวดีก็หลุดจากอกไปเสียแล้ว พอรู้ตัวอีกที…ใต้เท้าจางก็ตามข้าแจ ยิ่งไล่ก็ยิ่งมา”


จางกงกงยกจอกจิบช้า ๆ แววตาคล้ายเสี้ยวเดือนคม “หากไม่ตาม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของข้าหนีไปปีนหลังคาบ้านใคร” เขาวางจอกลงอย่างใจเย็น ก่อนหันสายตาเคลียคลอไปทางหญิงสาว “แมวชอบอิสระ ข้ารู้ดี จึงตาม ‘ดูแล’ อยู่ห่าง ๆ จนกว่าจะต้องอุ้มกลับ”


“แมวหรือเจ้าคะ ท่านกล้าพูดต่อหน้าท่านจางทังได้ยังไงเนี้ย” หลินหยาค้อนวงใหญ่ แต่หางเสียงกลับหัวเราะอ่อน “แล้วตั้งแต่นั้นก็หวงข้ายิ่งกว่าใคร ราวกับข้าเป็นหม้อแกงที่ท่านต้มเองเจ้าค่ะ”


“ไม่ใช่หม้อแกง” จางกงกงเถียงนิ่ม ๆ “เป็นของมีชีวิตที่กัดคนอื่นได้ถ้าใครแตะต้อง” ปลายนัยน์ตาเขาวาบหึงหวงวูบหนึ่งก่อนดับลงอย่างควบคุมได้


จางทังเงียบไปครู่หนึ่ง ความเงียบของผู้คุ้นเคยกับถ้อยคำที่เสมอปลายกระบี่ เขาวางกับแกล้มลงบนใบตอง “ข้ามองไม่ออกว่าท่าน…จะมีความรู้สึกที่ไม่ซ่อนมีดไว้ในแขนเสื้อ” เขาว่าอย่างจริงใจ “แต่บางที… คืนนี้ ข้าเห็นแล้วว่ามีดของท่านเก็บไว้ใต้ผ้าคลุม เพื่อกันลมให้สตรีคนหนึ่งแทนจะเฉือนคอใคร”


หลินหยาขยับยิ้มบาง ร่องแก้มลึกขึ้นนิดเดียว เธอเอนตัวขยับไปใกล้จางกงกงอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้หัวทุบนุ่ม ๆ กับไหล่ของเขา แล้วปล่อยให้น้ำหนักถ่ายไปครึ่งกาย “หนาวนิดหน่อยเจ้าค่ะ” ถ้อยคำสั้น ๆ แต่เข้มข้นกว่าทุกบทกวี แขนเสื้อสีแดงขยับ จางกงกงดึงผ้าคลุมอีกชั้นมาทาบไหล่ให้เธออย่างถือสิทธิ์ แผ่นอกนิ่งของเขากลายเป็นพนักพิงที่เธอหายใจใส่ได้โดยไม่เคอะเขิน “อย่าได้กังวลไป” เขากระซิบใกล้ขมับ “ลมคืนนี้ไม่กล้าฉกเจ้าหรอก”


“โอ๊ย ท่านนี้ปากดีนัก” หลินหยาบ่นงึมงำ แต่ปลายนิ้วกลับเกลี่ยสาบอาภรณ์เขาให้เรียบเองอย่างเคยชิน กลิ่นกฤษณาจากผมเธอผสมกับกลิ่นไผ่เขียวอุ่น ๆ จนกองไฟดูเหมือนสว่างกว่าปกติ


จางทังมองภาพนั้นเงียบ ๆ แววตาอ่านยากแต่ไม่แข็งกร้าวอีก เขายกจอกสุดท้ายขึ้น “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่คนเรามีหลายด้าน” เสียงเขาแผ่ว “ข้าเคยคิดว่าอสรพิษไม่มีหัวใจ มีแต่พิษ…บางที ข้าคงตัดสินเร็วนัก” สิ้นคำนั้นจางกงกงหันไปสบตาอดีตสหาย ความเงียบยาวชั่วลมหายใจคู่หนึ่ง “ข้าก็เคยคิดว่าคนตรงเกินไปอย่างเจ้า จะไม่เหลือที่ให้ความอ่อนโยนใด ๆ” เขาวางพัดทับถุงผ้าอย่างตั้งใจ


“ดูเหมือนเราต่างก็ผิด คนละครึ่งคำ”


หลินหยาหัวเราะค่อย ๆ เหมือนกลัวจะทำลมในอกหก “ถ้าพวกท่านจะคืนดีกันก็รีบหน่อยนะเจ้าคะ ก่อนเหล้าจะหมด ข้าไม่อยากต้มขิงให้แก้เมาค้างตอนรุ่งสาง”


“ข้าไม่เมาหรอก” จางทังตอบทันที

“แต่ข้าเมาเจ้า” จางกงกงว่าเฉียดหู สั้น ง่าย และร้ายกาจจนหลินหยาต้องหยิกสีข้างเขาเบา ๆ


กองไฟลามขึ้นเล็กน้อยเหมือนหัวเราะตาม ทั้งสามนั่งเรียงกัน หลินหยาเอนหัวกับไหล่ของจางกงกง ส่วนจางทังนั่งเฝ้าฟ้าสีหมึกด้านนอก เงาไม้ทอดทับใบหน้าครึ่งซีกของเขา มุมปากที่ปกติเรียบสนิทคลายลงชั่ววาบ ราวยอมรับเงื่อนใหม่ที่ผูกขึ้นตรงหน้า เงื่อนไขที่ชื่อว่าความรักของอสรพิษกับแมวซน ซึ่งเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นต่อหน้าโดยตนเอง


ลมหนาวขยับยอดสนเป็นเสียงฟืดฟาดไกล ๆ ดาวโผล่พ้นเมฆอีกสองดวง กาลเวลาขยับเข็มอย่างช้าและใจดี ในวงแสงของกองไฟ อดีตสหายที่แตกหักเริ่มพูดคุยได้โดยไม่ชักกระบี่ใส่ใบหน้า และสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยเกลียดกลับกลายเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมทั้งสองเข้าหากัน หลินหยาหลับตาลงครึ่งหนึ่ง ปล่อยให้ลมหายใจสอดรับกับอกของจางกงกงที่ขึ้นลงสม่ำเสมอ ส่วนจางทังก็ยืนขึ้นช้า ๆ เปลี่ยนมุมเฝ้ายามโดยไม่เอ่ยสักคำ


แต่ในใจยอมรับว่าบางทีอสรพิษตนนี้…คงได้พบสิ่งที่ไม่มีในตำราและคำพิพากษา สิ่งที่ทำให้พิษกลายเป็นยาได้ชั่วคราว


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 59669 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-12 02:05
โพสต์ 59,669 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-12 02:05
โพสต์ 59,669 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-12 02:05
โพสต์ 59,669 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-12 02:05
โพสต์ 59,669 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-12 02:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-12 17:06:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 05 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เส้นทางการเดินทางไปเขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น

เช้าของวันใหม่ทอดคลุมด้วยหมอกบางราวผ้าขาวโปร่งพาดไหล่ภูเขา เสียงน้ำค้างหยดจากปลายใบไผ่เป็นจังหวะเบา ๆ คล้ายคนเคาะขิม หลินหยานั่งด้านหน้าอานเดียวกับจางกงกง แผ่นหลังอุ่นแนบอกอุ่นกว่าแสงอาทิตย์แรกเริ่ม นางหันมองด้านข้างเห็นทุ่งตอซังลานโล่งถูกลมพัดเป็นริ้วเงิน แล้วเหลือบไปข้างหลัง เยวี่ยเหยียนของนางกำลังยกคออย่างองอาจใต้บังเหียนของจางทัง ดวงตาดำฉายประกายฉลาดเฉียบ “เด็กดีของข้าเข้ากับท่านถิงเว่ยเสียแล้ว” หลินหยาพึมพำยิ้มดวงตาเป็นประกายขำ “เจ้านี้มันเชื่องจริง ๆ เยวี่ยเหยียน”


“ม้าที่ดีอ่านใจคนได้” จางทังตอบจากด้านหลัง น้ำเสียงเรียบเย็นแต่ฟังดูอบอุ่นขึ้นกว่าคืนก่อน “เจ้านี่อ่านใจได้ไวเพราะเจ้าของมันใจกว้าง” มือเขาลูบแผงคอเยวี่ยเหยียนเบา ๆ แล้วกวาดตาสำรวจสันเขาข้างหน้าอย่างเคยชินของคนเฝ้าทาง


จางกงกงสูดลมหายใจตื้น ๆ กลิ่นดินชื้นผสานเศษควันจางที่ไม่ควรมีในหุบเขา ลิ้นเขาแตะเพดานปากค่อย ๆ แยกสาบกลิ่นเหมือนอสรพิษเก่าฟื้นจากรอยนอน เขาชะลอม้าดำมะนิลาจนฝีเท้ากลายเป็นคลื่นสั้น ๆ บนดิน “หยุดก่อน” พัดในมือถูกคลี่แค่ครึ่ง วาบตาคมพาดผ่านหน้าผาหินด้านซ้ายที่มีพุ่มหนามทึบและร่องหินทรุดตัวเป็นช่องทางสกัด “ทางด้านหน้าเป็นคอคอด ลมสวนขึ้นจากโตรก ที่เหมาะนักกับการซุ่มโจมตี เราย้อนกลับไม่ได้และทางเลียบตลิ่งตื้นจะพาเราลื่นลงน้ำ” เสียงทุ้มนั้นเรียบจนไฟในอกหลินหยานิ่งตามไปด้วย “ไม่มีทางอื่น ต้องผ่านแต่ผ่านอย่างที่เขี้ยวลับไว้สักหน่อยจะดีกว่า”


หลินหยามองตามปลายพัด ดวงตาหวานคมวาบขึ้น นางเอื้อมแตะปลายขลุ่ยไม้ที่พาดบ่า ขยับกายเล็กน้อยให้มั่นบนตักเขา “งั้นก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะระวังด้วย” 


จางกงกงก้มลงกระซิบชิดขมับ “จับบังเหียนข้าไว้ให้แน่น เสี่ยวหยา” มือซ้ายกระชับเอวเธอ มือขวาชี้สัญญาณสั้น ๆ ย้อนให้จางทัง สองนิ้วขีดโค้งแล้วกดลงหนึ่งที แปลว่า ระวังสันซ้าย, หลบเงาสูง, พร้อมตัดหางศัตรู จางทังพยักหน้าช้า ๆ เปลี่ยนตำแหน่งเยวี่ยเหยียนไปอยู่แนบข้างหลังลิ่ม เหลือระยะหนึ่งก้าวครึ่งพอดีจะพุ่งแทรกคุ้มหลังได้ทันเวลา


ก่อนที่ทั้งสามจะเคลื่อนเข้าสู่คอคอด หินหน้าผาพาดเงายาวทับหลังคอม้าราวมีมือคนบังแสง ฟากซ้ายคือพุ่มหนามสลับไผ่เตี้ย ฟากขวาเป็นตลิ่งดินหลุดร่วนและเสียงน้ำคุกรุ่นใต้ผิว หลินหยารู้สึกถึงลมหายใจของจางกงกงที่เสียดผ่านท้ายทอยนางสม่ำเสมอจนใจหยุดสั่น ขณะที่หูได้ยินเพียงสามสิ่ง กีบม้า, ลม, และเสียงฝนเก่าที่ยังซ่อนอยู่ในใบไผ่


“คนสินะ…” จางทังเอ่ยเบาเหมือนลมหายใจ “กิ่งไม้หน้าผาเคลื่อนสองคนด้านบน เงาพื้นดินซ้ายอีกหนึ่ง”


เส้นทางในหุบเขาเหอตงทอดยาวกลางม่านหมอกขาว ทิวไม้สูงทอดเงาเฉือนลำแสงเช้า เสียงกีบม้ากระทบหินดังสะท้อนก้องไปทั่วจนก้องหู ทั้งสาม จางกงกง หลินหยา และจางทัง เพิ่งพ้นคอคอดหินได้ไม่นาน แต่ยังไม่ทันข้ามเนินถัดไป เงาดำสี่สายก็พุ่งตัดออกจากสองฟากทางพร้อมเสียงหวีดของคมมีด จางกงกงสะบัดพัดในมือ “ฉึบ” เดียว ลมแรงสะท้อนคมดาบกลับเข้าหาผู้โจมตีทันที ดินกระจายปลิวเมื่อจางทังควบเยวี่ยเหยียนพุ่งเข้าขัดแนวอีกด้าน ฝุ่นกรวดคลุ้งขึ้น แต่แล้วเสียงฝีเท้าหนักหนึ่งคู่ดังขึ้นจากแนวหลังพุ่มไม้ เสียงนั้นนิ่ง หนัก และทรงพลังเกินกว่านักฆ่าธรรมดา


เมื่อเงาร่างนั้นก้าวออกมา แสงแดดสาดเข้ากระทบชุดเกราะดำอมแดงของเขา ทวนใหญ่ที่พาดไหล่ส่องสะท้อนเป็นแสงเลือด ดวงตาคมกริบเหมือนเหล็กกล้าส่องผ่านพวกเขาทีละคน จางกงกงและจางทังถึงกับชะงักนิ่ง ราวกับได้เห็นปีศาจในอดีต


“ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นการเดินทางร่วมกันของขันทีผู้เลื่องชื่อแห่งวังหลัง จงฉางชื่อ…” น้ำเสียงของเขาเย็นจัดราวน้ำแข็งแต่มีประกายหัวเราะในลำคอ “และกับถิงเว่ยผู้ตรงฉินบุรุษที่ข้าเคยเคารพอย่างยิ่ง…”


“ซวนเหวิน” จางทังพูดเสียงขรึม ดวงตาเข้มมองชายตรงหน้าอย่างระแวดระวัง “เป็นท่านจริง ๆ หรือ?” ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ ราวกับได้ยินสิ่งตลก “ข้าไม่ใช่ ‘ท่าน’ ของใครอีกต่อไปแล้วจางทัง ข้าเลิกเชื่อในเกียรติยศและคำสัตย์ไปนานแล้ว เหลือเพียงชื่อที่โลกเรียกข้าว่า เงาพิษสะบั้น เหมาะดีไม่ใช่หรือ?”


หลินหยาขมวดคิ้วมองชายตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจเท่าไร “เขาเป็นใครหรือเจ้าคะ ทำไมถึงมากับพวกนักฆ่าได้?”


จางกงกงตอบแทนน้ำเสียงเรียบแต่แฝงแรงอัดแน่น “อดีตนายกองผู้กล้าหาญแห่งกองทัพหน้า ขุนนางผู้พลีชีพเพื่อแผ่นดินและกลับมาในฐานะคนทรยศ ตอนนี้เขาคือทหารรับจ้างที่ขายคมดาบแลกเงินตรา”


ซวนเหวินเหยียดยิ้ม ดวงตาไร้ประกายชีวิต “ขันทีอย่างเจ้าก็ยังมีสิทธิ์พูดเรื่องทรยศหรือ?” เขาก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง เงาของเขาซ้อนทับเงาของม้าทั้งสาม “ข้าไม่ชอบฆ่าสตรีธรรมดาเช่นแม่นางน้อยหรอก แต่คำสั่งก็ย่อมเป็นคำสั่ง แลกเงินดีนักด้วยสิ ข้าต้องฆ่าเจ้าทั้งสาม แลกกับเงินทองและชื่อของข้าที่จะถูกล้างจากบัญชีดำ”


หลินหยาเม้มปาก นัยน์ตาเย็นลงอยน่างเห็นได้ชัด “แลกกับการฆ่าคนบริสุทธิ์ ท่านไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือเจ้าคะ?”


ซวนเหวินหัวเราะแผ่ว ๆ “อับอาย? ข้าสิ้นความรู้สึกนั้นไปพร้อมเลือดสหายที่ถูกสังหารเพราะคำสั่งของผู้ที่นั่งบนบัลลังก์แล้ว... ข้าไม่มีอะไรต้องอับอายอีกต่อไป”


จางกงกงกระตุกบังเหียนม้าให้นิ่ง หางเสียงของเขาเย็นเฉียบ “แปลว่าคำสาบานที่เคยให้ไว้ต่อแผ่นดินไม่มีความหมายอีกแล้วงั้นหรือ?”


“คำสาบาน?” ซวนเหวินยกดาบขึ้นพาดบ่า รอยแผลบนหน้าอกส่องให้เห็นรอยดาบนับไม่ถ้วนที่ยังไม่ทันจาง “ตอนข้ายังเชื่อในคำว่าศรัทธา ข้าถูกหักหลังโดยราชสำนักที่พวกเจ้ารับใช้... หากวันนี้ข้าจะทรยศต่อคำสาบานนั้น ข้าก็เพียงตอบแทนในสิ่งที่โลกเคยให้ข้ามาเท่านั้น” เสียงสายลมในหุบเขาเงียบงันชั่วขณะ ราวกับแม้แต่ธรรมชาติยังกลั้นหายใจ หลินหยามองทั้งสามชายที่อยู่ในเส้นทางเดียวกันแต่ยืนคนละฟากของอุดมการณ์ จางทังที่เชื่อในยุติธรรม จางกงกงที่เชื่อในอำนาจ และซวนเหวินที่เชื่อเพียงในราคาของเลือด


จางทังค่อย ๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก แสงสะท้อนเรียวขาวเฉือนแสงอาทิตย์ “ซวนเหวิน หากท่านยังเหลือเศษใจของกองหน้าของแม่ทัพผู้ปกป้องแผ่นดินอยู่แม้แต่น้อย อย่าฆ่าคนบริสุทธิ์อีกเลย”


“คำพูดของถิงเว่ยผู้ตรงฉิน...” ซวนเหวินแค่นเสียงหัวเราะสั้น “น่าสมเพชจริง ๆ เจ้ายังเชื่อว่าโลกนี้มี คนบริสุทธิ์อยู่อีกหรือหรือ?” ทันใดนั้น เขาเหยียบพื้นแรงจนกรวดกระจาย “ถ้าอยากพูดเรื่องศรัทธา เอาดาบของเจ้ามาพิสูจน์สิ”


“จัดการพวกมันให้หมด!” เสียงซวนเหวินคำรามดังก้อง ดวงตาของเขาเหมือนเปลวเพลิงที่กำลังไหม้ด้วยความแค้น เขาหมุนทวนใหญ่ในมืออย่างง่ายดายจนเกิดเสียงลมหวีดเฉือน ลวดลายแดงบนคมทวนเรืองแสงวาบ ราวกับมันดูดซับเลือดของเหยื่อก่อนหน้าไว้ทุกหยด


จางทังพุ่งเข้าหาเขาโดยไม่ลังเล กระบี่ในมือฟาดเฉียงชนปลายทวนจนเกิดเสียงระเบิดลั่น เสี้ยววินาทีนั้นแรงกระแทกสะเทือนจนพื้นหินแตก จางทังถอยหลังครึ่งก้าวก่อนสวนกลับด้วยฝีมือแม่นยำ แต่ซวนเหวินกลับยิ้ม ทวนของเขาหมุนกลับเหมือนมีชีวิต แทงลงเฉียงเฉียดชายผ้าของถิงเว่ยจนผ้าแตกเป็นเส้นฝุ่น


“ยังเหมือนเดิมสินะจางทัง! เจ้าตรงเกินไปจนคนใช้เจ้าหลอกได้หมด!” ซวนเหวินตะโกนด่าพร้อมพุ่งเข้าใส่ ทวนเหล็กแทงอัดแรงอย่างสัตว์ร้ายบ้าคลั่ง จางทังรับไว้สุดแรง แขนชาถึงกระดูกแต่ยังฝืนยืน ดวงตานิ่งไม่หวั่นไหว


อีกฟากหนึ่ง จางกงกงกำลังปะทะกับนักฆ่าสองคน เขาหมุนพัดสะท้อนคมดาบอย่างเยือกเย็น ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วแต่สง่างาม ปลายพัดเฉือนข้อมือหนึ่งในนักฆ่าจนเลือดสาด ก่อนเขาจะใช้แรงเหวี่ยงสะโพก ฟาดด้ามพัดใส่หน้าอีกคนจนหงายหลังไปกระแทกหิน หลินหยาเองไม่ยอมแพ้ นางเห็นนักฆ่าที่เหลืออีกสองคนพุ่งตรงเข้ามา จึงพุ่งหมุนตัวพร้อมฟาดขลุ่ยไม้เข้ากลางลำตัวคนแรกจนได้ยินเสียงกระดูกแตกเป๊าะ ก่อนจะพลิกข้อมือหมุนขลุ่ยกลับอีกด้านแทงเข้าช่องท้องของอีกคนอย่างแม่นยำ ความแรงส่งให้ร่างนั้นล้มคว่ำ เลือดซึมเต็มพื้นดิน


“จบแล้ว…” นางพึมพำ ขณะปาดเหงื่อจากหน้าผาก แววตาเยือกเย็นแต่นิ่งมั่น “เหลือแต่ท่านแล้ว ท่านซวนเหวิน” หลินหยาเอ่ยเพราะเธอไม่ได้ชอบฉายาของเขาเพราะสำหรับเธอแล้วความเจ็บปวดจากดวงตามันเห็นได้จริง


ซวนเหวินหอบหายใจหนัก เขาเหวี่ยงทวนหมุนรอบตัว เสียงโลหะเสียดอากาศดังก้องไปทั่ว เส้นผมของเขาปลิวกระจาย ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธและความชิงชัง “เจ้ารู้ไหมแม่นางน้อย ข้าเคยอยู่ตรงจุดเดียวกับพวกเจ้า เคยต่อสู้เพื่ออาณาจักรนี้ แต่สิ่งที่ข้าได้กลับมาคืออะไร ความทรยศ! ข้าเห็นสหายข้าตายเพราะคำสั่งขุนนางอย่างพวกมัน!” เขาเงยหน้ามองจางกงกงและจางทังด้วยสายตาเกลียดชัง “ข้าสู้เพื่อชาติแต่ถูกโยนทิ้งเหมือนสุนัข ครอบครัวข้าหมดสิ้น! พวกเจ้าจะเข้าใจหรือ!?”


“เจ้าทำลายทุกอย่างที่เหลืออยู่เองต่างหาก” จางกงกงกล่าวเสียงเรียบแต่เฉือนใจ ดวงตาคมดั่งคมดาบ “เจ้าเลือกขายฝีมือเพื่อทอง ไม่ใช่เพราะโลกทำร้ายเจ้า แต่เพราะเจ้ากลัวจะยืนขึ้นสู้กับมันอีก”


“หุบปาก!” ซวนเหวินคำราม ก้าวพุ่งมาด้วยความเร็วเกินตามองเห็น ทวนของเขาพุ่งเข้าหาร่างจางกงกงอย่างแรงจนพื้นหินแตกสะเทือน จางกงกงหมุนตัวหลบได้เฉียดเส้นผม เขาใช้พัดเหล็กตีสวนออกไป เสียงกระแทกดังสนั่นเป็นประกายไฟ แต่แรงจากทวนมากจนทำให้เขาต้องถอยสองก้าว


หลินหยามองภาพนั้นอย่างระทึก ใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก จางทังที่ข้าง ๆ ก็เข้าประชิดอีกครั้ง แทงกระบี่เฉียงขึ้นแต่ซวนเหวินใช้ด้ามทวนบังไว้แล้วเหวี่ยงฟาดสวนจนกระบี่ของจางทังแทบหลุดมือ เขาเหวี่ยงปลายทวนกลับมาอีกครั้งแต่คราวนี้หลินหยาเข้าขวาง เสียงขลุ่ยไม้กระแทกปลายทวนดัง “ปัง!” จนเกิดแรงสั่นสะเทือนทั่วร่าง นางกัดฟันแน่น ก่อนใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงปลายขลุ่ยบิดขึ้นเฉือนเฉียง ทำให้คมทวนเฉออกไปเพียงครึ่งนิ้ว แต่พอซวนเหวินถอย หลินหยากลับกระอักเลือดออกมาเล็กน้อยจากแรงสะท้อน


“แม่นาง!” จางทังร้อง แต่หลินหยายกมือขึ้นห้าม ดวงตาเธอมีแววเด็ดเดี่ยว “อย่าห่วงข้า… ตอนนี้ต้องจัดการเขา”


ซวนเหวินหัวเราะต่ำมองหลินหยาด้วยความรู้สึกสับสนแต่กลับทิ้งมันไป “ดีมาก แม่นางน้อยเจ้า… ไม่ แต่ข้าจะไม่ออมมืออีกแล้ว!” เขาหมุนทวนในมือเร็วขึ้นจนมองไม่เห็นเพลาโลหะ เหมือนเป็นวงล้อเพลิงหมุนกลางอากาศ “วันนี้ข้าทุ่มสุดตัว ถึงตายก็ไม่หวั่น ขอแค่ได้ลากพวกเจ้าลงนรกไปด้วย!”


“เจ้ากล้าทำร้ายนาง...งั้นก็ลองดูสิ” จางกงกงกล่าวเสียงเย็น ร่างเขาเอนเล็กน้อยก่อนพุ่งสวน ร่างของจางทังเคลื่อนไปพร้อมกัน กระบี่และพัดพุ่งเข้าใส่จากสองด้าน ขณะที่หลินหยาตามหลัง ใช้ขลุ่ยฟาดเข้าข้างกลางจังหวะทวนหมุน เสียงโลหะปะทะโลหะดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา แรงปะทะมหาศาลจนฝุ่นหินลอยคลุ้ง สายลมหวีดหวิวราวร้องไห้ จางกงกงหมุนพัดปัดคมทวน จางทังฟันกระบี่เฉียงจากอีกด้าน ส่วนหลินหยาก็หมุนขลุ่ยอัดเข้าข้อเท้าซวนเหวินจนเขาเสียจังหวะ ทวนหลุดจากมือกระแทกพื้นเป็นเสียงกังวาน


เสียงลมยังคงกัดโคนผมและคมฝุ่นลอยตามจังหวะการทรงตัวของคนทั้งสี่ ดาบ กระบี่ ทวน และขลุ่ยปะทะกันจนเสียงโลหะก้องเหมือนฟ้าร้อง แต่ท่ามกลางเสียงสับเปลี่ยนและฝุ่นที่ฟุ้ง หลินหยาผลักตัวเองออกจากวงกระทำการชั่วคราว แทนที่จะพุ่งชนต่อ นางยกขลุ่ยขึ้นกลางอก พลางเรียกเสียงด้วยน้ำเสียงคมหวาน “ท่านซวนเหวิน หยุดได้หรือไม่เจ้าคะ” คำถามที่แผ่วออกมาด้วยความไม่กลัวใคร ทำให้จังหวะการต่อสู้ช้าลงราวถูกกดปุ่ม


ซวนเหวินหายใจหนัก รอยเลือดยังซึมตามมุมปาก ดวงตาเขาเปล่งประกายโกรธและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน “ข้าสิ้นทุกอย่างไปแล้ว เจ้าจะให้ข้าหยุดเพราะคำหวานของสตรีได้อย่างไร” เขาตะคอกกลับ น้ำเสียงสั่นสะท้านมากกว่าที่อยากให้ใครเห็น “ข้าล้มเหลวเพราะขุนนาง หลายคนที่ข้ารักตายเพราะคำสั่งของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดล้วนทรยศต่อเลือดที่หลั่งเพื่อแผ่นดิน!”


หลินหยายืนนิ่งดวงตาโผล่ประกายตั้งคำถาม เธอไม่ทะเลาะ แต่เอียงคอเหมือนเด็กซุกซนที่หาหนทางคุยให้รู้เรื่อง “แล้วท่านคิดว่าทองคำไม่เคยทรยศหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงของนางเปลี่ยนจากหวานเป็นแหลมคม “ข้าเห็นผู้คนต่อสู้เพราะทอง แล้วก็ทรยศกันเพราะทอง ข้าไม่เข้าใจคำว่าทรยศมากนัก เพราะข้าไม่เคยตกอยู่ในสภาพนั้น”


ซวนเหวินเคยได้ยินคำว่า ‘ทรยศ’ จากปากของคนมาก่อน แต่คำพูดของหลินหยาทำให้เขากระตุก เขาทำหน้าเหมือนถูกบ่อนทำลายสิ่งที่เคยแน่นหนักในอก ก่อนคำพูดจะหลุดออกมารวดเร็วเหมือนประทัดแตก “เจ้าโกหก! ต้องมีวันที่เจ้าทรยศใครสักคน เจ้ากล่าวคำหัวเราะลวงตาโลกอยู่หรือไง!” เขาตะคอก เขาชี้ทวนไปยังหลินหยาเปร่งเสียงด่าราวเป็นการบีบหัวใจคนให้แตก หลินหยาหัวเราะออกมาแห้ง ๆ แล้วยักไหล่ ก่อนเสียงของนางจะหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม “ข้าบอกได้ตรงนี้ว่า ข้าไม่เคยทรยศใครแม้กระทั่งใจของข้าที่หลงรักคนอย่างจางกงกง ข้าก็ไม่ทรยศใจตนเอง” คำพูดนั้นกระแทกเข้ากลางอากาศ เงาทำให้ดวงตาซวนเหวินชะงัก เสื้อผ้าของเขาเหมือนถุงทรายที่ถูกดึงจนสั่น พนักงานคนเก่าที่สวมหน้ากากเหล็กทางใจอย่างเขาต้องหยุดคิด


จางทังเห็นช่องทางมาในวินาทีนั้น เขารวบรวบแรงทั้งหมด กระบี่เหยียดเป็นเส้นตรง พุ่งเข้าใส่โดยไม่มุ่งมาดจะเอาชีวิตแต่ต้องการหยุดศัตรูให้ได้ ทว่าเมื่อกระบี่เงยสูง ซวนเหวินกลับยกทวนบังกะทันหัน แต่แรงลมและความคล่องตัวของถิงเว่ยทำให้คมกระบี่เฉียดเอวกางเกงของเขา เศษผ้าแหว่งค้าง แต่จางทังไม่ฟันตาย เขาหยุดจังหวะเพียงชั่ววูบเพราะตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ฟันฆ่าจะไม่ถูกยื่นออกมา


ซวนเหวินทรุดตัวพิงพื้น คราบเลือดซึมออกมามากกว่าเดิม ความพยายามของเขาสะท้อนในหน้า แต่การที่กระบี่เอียงเข้าใกล้คอเขาและคำพูดของหลินหยาพังูลอยู่ในอกทำให้มือสั่น เขาหยุดสงบนิ่งเหมือนคนที่ถูกถอดเกราะป้องกันในใจออกมาทีละแผ่น พลันความเกรี้ยวกราดในแววตาลดลงเป็นชั่วครู่หนึ่งเหมือนชายที่ได้ยินเพลงเก่า เพลงของความทรงจำที่ยังไม่แห้งสนิทจากแผล


หลินหยาก้าวเข้าไปใกล้ช้า ๆ ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว ไม่ก้าวถอย ไม่ยกอาวุธ เธอเพียงมองหน้าเขาเต็มตาแล้วพูดเสียงอ่อนแต่หนักแน่น “ถ้าท่านต้องการพิสูจน์ว่าข้าพูดจริง ข้ามีเงินพอจะจ้างคนได้เป็นสิบตำลึงทองต่อเดือน ข้ากำลังรอพ่อค้าที่ไว้ใจได้ หากท่านอยากจะพิจารณา ข้าพร้อมจ้างคนอย่างท่านให้ทำงานกับข้า ไม่ต้องขายฝีมือแลกชีวิตให้คนที่ไม่เห็นค่าอีกต่อไป” คำว่า สิบตำลึงทองต่อเดือน ในปากของหลินหยาไม่ใช่เพียงตัวเลข มันคือข้อเสนอที่ทำให้ซวนเหวินต้องกะพริบตา ความแค้นที่เขาแบกมากลับถูกตั้งคำถามด้วยการแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช่เพียงเงิน แต่เป็นการให้ความหมายใหม่กับฝีมือของเขา คนที่เคยคิดว่าทองคำคือคำตอบเดียวกลับต้องคิดอีกครั้งเมื่อได้รับการเสนอต่อหน้าโดยผู้หญิงที่ไม่น่าจะเกรงกลัวใคร


ซวนเหวินมองหลินหยาจนหน้าเขาละลายความแข็งบางลง ชั่วขณะหนึ่งเขานึกถึงใบหน้าคนที่จากไป เสียงคำสั่งที่ผูกคอเขาไว้ ความโกรธที่เคยเป็นแรงผลักดันเริ่มสลายไปในคำพูดเรียบง่ายของหล่อน เขาผ่อนหายใจลึก ๆ แล้วดึงทวนออกจากพื้นขึ้นช้า ๆ มือยังสั่นแต่ไม่ยกขึ้นที่จะฟาด นัยน์ตาเขาเปลี่ยนจากประกายไฟเป็นแววอ่อนลง “เงิน…ไม่เคยทรยศ แต่คนที่ขายตัวเพื่อมัน ก็มักจะกินทุกอย่างที่มันให้ไป” เขาพูดเสียงต่ำ คำพูดเหมือนยอมรับในบางสิ่ง และเหมือนพยายามจะควานหาที่จะวางอาวุธของตัวเอง


จางกงกงที่ยืนใกล้ ๆ เหลือบมองหลินหยาด้วยสายตาแปลกใจผสมอ่อนใจ เขารู้สึกได้ว่าการเสนอของหลินหยาไม่ใช่แค่ล่อลวง แต่คือการยื่นข้อตกลงที่ทำให้ชายคนหนึ่งอาจกลับมายืนได้อีกครั้งด้วยเกียรติแบบใหม่ จางทังนิ่งมองด้านข้าง ดาบในมือลดแรงกดเล็กน้อย สัญญาณของการยุติการเผชิญหน้าที่ถูกเลือกให้ไม่ตาย ซวนเหวินยืนนิ่ง มองหลินหยาและสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยเงาแห่งอดีต 


แต่ในที่สุดเขาก็ละทวนลงเพราะร่างกายไม่อาจสู้ไหวอีกแล้ว ขมวดคิ้วลึกเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่างที่หนักหนา “หากข้ารับเงินของเจ้า… ข้าจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์อีกหรือ” เสียงเขาหนักแน่นและมีร่องรอยความเหน็ดเหนื่อย


หลินหยาพยักหน้าเล็ก ๆ ดวงตาเธอไม่อ่อนหวานจนหลงใหล แต่จริงใจ “ข้าจะให้เวลาท่านพิสูจน์ตัวเอง เมื่อท่านอยู่กับข้า หากท่านรับพิจารณาร้านของข้าเซียงเฉินเสี่ยวพู้ ยินดีต้อนรับ ท่านทำงานเพื่ออนาคตของตนเอง ไม่ใช่เพียงทองคำจากคนที่ไม่มีหัวใจ… หากท่านคิดหวังข้าก็พร้อมจะให้โอกาศแต่ท่านก็ต้องยอมรับผลของการกระทำตัวเองที่ผ่านมาด้วย” นางยิ้มบาง ๆ “และถ้าท่านทำได้ดี ข้าจะให้มากกว่าสิบตำลึงทอง”


ซวนเหวินก้มหน้า ความงอนง้อเก่าผสมกับความภาคภูมิใจทำให้เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ ย่อลงนั่งกับพื้น หอกทวนถูกวางลงข้าง ๆ เขาไม่โยนทิ้ง แต่ก็ไม่จับขึ้น ตรงนั้นในหุบเขาเหอตง รอยเลือดยังชุก แต่ความเกลียดชังที่เมื่อครู่เหมือนจะลุกเป็นไฟค่อย ๆ ถูกคลี่ออกเป็นเงาเศร้าที่เคยกัดกินร่างกายของตนเอง


หลินหยาเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาไม่ไหวแล้ว เธอหันไปทางจางกงกงกด่อนที่จะเดินไปจับแขนของเขาที่เหมือนตอนแรกอยากจะฆ่าคนทัก และหันไปทางจางทัง “เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ…”



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 79187 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-12 17:06
โพสต์ 79,187 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-12 17:06
โพสต์ 79,187 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-12 17:06
โพสต์ 79,187 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-12 17:06
โพสต์ 79,187 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-12 17:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-18 08:09:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-11-18 11:44

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 06 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เส้นทางการเดินทางไปเขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น


ทิวเขาเหอตงทอดยาวอยู่เบื้องหน้า ฟ้าครึ้มลงจนสีของวันกลืนกับหมอกขาวจาง ๆ ที่ลอยต่ำเหนือยอดไม้ หลินหยา จางกงกงและจางทัง เดินทางต่อหลังการต่อสู้กับซวนเหวินผ่านไปได้เพียงหนึ่งคืน ท้องถนนลูกรังสายนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกปล้น ทั้งล้อเกวียนที่หักครึ่ง กองฟางไหม้ดำ และเศษโลหะของอาวุธที่ถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี “ทางนี้ดูไม่ปลอดภัยเลยนะเจ้าคะ” หลินหยาเอ่ยขณะมองรอยเท้าสดใหม่ที่จมหายไปในโคลน “มีคนผ่านมาหมาด ๆ แน่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าได้กลิ่นเลือดด้วย”


จางกงกงเหลือบมองเธอจากหลังม้า แววตาคมเย็นราวเหล็ก “กลิ่นนั้นข้าก็ได้กลิ่น ไม่ใช่ศพเก่า พวกเราคงไม่ได้เจอแค่โจรกระจอกแน่ เสี่ยวหยา”


ยังไม่ทันขาดคำ เสียงแหลมของธนูแหวกอากาศดัง “ฟิ่ว!” ลูกศรสามดอกพุ่งเฉียดหัวม้าตรงหน้า ก่อนจะปักลงบนพื้นหินอย่างแม่นยำ ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะก้องไกลที่ดังมาจากเนินหินด้านบน “ฮ่า ๆ ๆ ๆ เจ๋งจริงว่ะ พวกเจ้ารอดจากเหอตงได้โดยไม่ตายก่อนถึงนี่ ข้ายังต้องชม!” เสียงทุ้มก้องที่เต็มไปด้วยความมั่นใจดังก้องไปทั่วป่า


จากเงาไม้บนสันเนิน ชายร่างสูงใหญ่เดินออกมาช้า ๆ ผ้าคลุมสีน้ำตาลแดงสะบัดตามแรงลม ท่วงท่าของเขาไม่ได้เหมือนโจรสักนิด หากแต่เหมือนนายทัพที่กำลังตรวจพลในสนามรบ ชุดเกราะของเขามีรอยบิ่นเต็มตัว บ่งบอกว่าผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ใบหน้าแข็งคมจนแทบสลักจากหิน ดวงตาทอประกายร่าเริงเจือเย้ยหยัน และบนไหล่เขา...มีตราทหารเก่าที่ถูกขีดข่วนให้เลือน


“เหอต้าซาน” จางทังพูดเรียบ เสียงหนักเหมือนคนที่เคยได้ยินชื่อมานาน “หัวหน้าโจรเขตนี้… เจ้านี้มัน…”


เหอต้าซานหัวเราะหึ ๆ แล้วชี้ทวนโลหะยาวบนบ่าไปยังพวกเขา “ข้ารู้ว่าถิงเว่ยอย่างเจ้าคงจะจำข้าได้ แต่ไม่ต้องทำหน้ารังเกียจนัก เราเคยอยู่ฝ่ายเดียวกัน จำได้หรือไม่...ตอนศึกอู่กวาน หรือที่ไหนนะ? ข้าคือคนที่ช่วยเจ้าปิดแนวหลังให้ไง”


“และเจ้าก็หักหลังแผ่นดินหลังศึกนั้นจบ” จางทังตอบตรง น้ำเสียงเย็นเฉียบ


เหอต้าซานยักไหล่ “หักหลังงั้นรึ? ไม่หรอก ข้าเพียงเปลี่ยนสังกัดเท่านั้น คนอย่างข้าเกิดมาเพื่อรบ ไม่ใช่เพื่อคุกเข่ารับคำสั่งจากคนที่ไม่เคยถือดาบด้วยซ้ำ”


จางกงกงหรี่ตา เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทีไม่สะทกสะท้าน “หากเจ้ารบเพื่ออิสรภาพ เหตุใดต้องลากลูกน้องตายตามเป็นร้อย?”


“เพราะพวกเขาเลือกแล้ว” เหอต้าซานตอบอย่างไม่สะทก “ใครเลือกข้าคือพวกข้า ใครขวางคือศัตรู มันง่ายอย่างนั้นแหละจงฉางชื่อผู้ทรงเกียรติแห่งวังหลวง” หลินหยามองเขาอย่างพิจารณา แม้จะอยู่กลางวงล้อมคนติดอาวุธ เธอกลับยิ้มบาง “นั่นสินะเจ้าคะ ท่านดูมั่นใจนัก ทั้งที่เหลือคนแค่เจ็ด”


“เจ็ดก็พอจะฆ่าพวกเจ้าสามได้สบาย” เหอต้าซานพูดพลางดีดนิ้ว ลูกน้องทั้งเจ็ดคนแยกตัวออกจากแนวต้นไม้แต่ละทิศ ชักอาวุธออกเสียงพร้อมกัน


หลินหยาหันไปทางจางกงกงพลางกระซิบ “นั่นใครกันแน่เจ้าคะ?” จางกงกงขยับมุมปากให้กับคำถามของหลินหยา รอยยิ้มของเขาเยือกเย็นและคมพอจะทำให้คนขนลุก “เหอต้าซาน อดีตแม่ทัพที่ชอบเรียกตัวเองว่าทหารผู้รักอิสรภาพ เป็นโจรที่อันตรายที่สุดในเขตนี้ อย่าประมาทเขาเด็ดขาด”


“และอย่าเข้าใกล้มัน... เจ้านี้ไว้ใจไม่ได้” จางทังเสริมต่อด้วยเสียงต่ำ “เขาเป็นคนเดียวในกองทัพตอนนั้นที่สามารถหักคมดาบของศัตรูได้ด้วยแรงแขนเพียงข้างเดียว”


เหอต้าซานยกหมวกไม้ไผ่ขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเขาส่องประกายพร้อมรอยยิ้มมั่นหน้า “ดี ดีมาก ข้าชอบพวกเจ้าทั้งสาม ดูจะไม่หนีง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้น...ลองมาดูกันหน่อยสิ ว่าอดีตนายทหารที่พวกเจ้ารังเกียจกับขุนนางจากเมืองหลวง ใครจะอยู่ ใครจะตาย!” เสียงดาบปักพื้น “ปัง!” ก้องสะเทือนทั่วแนวป่า ฝุ่นกรวดปลิวสูง ลูกน้องของเขาขยับเข้าประจำตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบเหมือนกองทัพย่อส่วน ท่าทีทั้งหมดทำให้หลินหยาเริ่มรู้ทันทีว่า...นี่ไม่ใช่โจรธรรมดาเลย แต่เป็นแม่ทัพที่มีวินัยราวศึกใหญ่ในอดีต


ลมหายใจของทุกคนเริ่มถี่ จางกงกงหันมาทางหลินหยา เสียงเขาเย็นแต่เด็ดขาด “เสี่ยวหยา อยู่ใกล้ข้า อย่าพยายามแยกตัวออกห่าง” เธอตอบรับด้วยการาพยักหน้าเบา ๆ มือจับขลุ่ยไม้แน่น ดวงตาเป็นประกายระแวดระวัง ส่วนจางทังขยับกระบี่ออกจากฝัก เสียงโลหะเสียดฟังแหลมสะท้อนในลำคอ


กองหินสูงชันด้านข้างเส้นทางเหมือนผนังเวทีศึกที่ฟ้ากำหนดไว้ให้ไม่มีใครหนีได้ ลมยามเที่ยงสายพัดกรูผ่านใบไม้ร่วง เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นในวินาทีที่เหอต้าซานแกว่งกระบี่เข้าหาจางกงกง ส่วนลูกน้องทั้งเจ็ดก็พุ่งเข้ามาทางหลินหยาและจางทังอย่างพร้อมเพรียง แต่แทบไม่ต้องรอให้ฝุ่นทรงพราย หลินหยาก้าวออกไปก่อนคนอื่นเงียบ ๆ ขลุ่ยไม้ในมือถูกหมุนกลับด้านอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะฟาดออกไปเพียงครั้งเดียว เสียง “ปึ้ก!” ดังเหมือนคอไม้กระแทกกระดูก


ลูกน้องสองคนที่พุ่งเข้ามาเต็มแรงถูกซัดปลิวกระแทกพื้นหิน ก่อนร่างพวกมันจะแน่นิ่งไม่ไหวติง เลือดไหลอาบจากขมับอย่างน่าอนาถ


เหอต้าซานชะงักไปเสี้ยววินาที สีหน้าแข็งกระด้างเผยรอยอึ้งอย่างจริงจัง “โอ้โห…สตรีตัวเล็ก ๆ คนนี้ เล่นเอาลูกน้องข้าตายคามือในหนึ่งทีเชียวหรือ? เกินกว่าที่ข้าคิดไว้มากจริง ๆ” หลินหยาสะบัดขลุ่ยเบา ๆ เลือดที่ปลายขลุ่ยกระเด็นลงพื้น เธอเงยหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้มจางที่ดูเหมือนคนที่อารมณ์ดี แต่สายตากลับคมปลาบเหมือนพร้อมกระซวกใครก็ได้ที่ขวาง


“ข้าไม่ได้อยากฆ่าหรอกเจ้าค่ะ แต่พวกเขาเข้ามาหาเรื่องเองนี่นา” เธอกล่าวราวกับบ่นเรื่องผักในตลาด


เหอต้าซานหัวเราะต่ำ “ดี ดีจริง…น่าสนใจยิ่งนัก”  แต่ในใจเขากลับเปลี่ยนแผนในทันที คนที่ต้องกำจัดก่อนที่สุด ไม่ใช่ถิงเว่ย ไม่ใช่ขันที แต่เป็น…สตรีตัวเล็กนี่เอง!


เขาใช้หางตาแลกสัญญาณกับลูกน้องที่เหลืออีกห้าคน เสียงกระซิบจากเหอต้าซานดังต่ำเหมือนคำบัญชา “ทำให้นางให้สลบได้ก็พอ…บาดเจ็บน้อยที่สุด ข้าอยากได้ใบหน้าแบบนี้ไว้ข้างหมอนในฐานะเมียซักคนคงจะมันไม่น้อย เข้าใจไหม?” คำพูดยังไม่ทันลอยหายไป จางกงกงที่ได้ยินเต็มสองหู สันหลังของเขาก็เย็นวาบก่อนระเบิดเป็นไฟ


รอยยิ้มหวานเย็นของจางกงกงหายไปทันที เหลือเพียงแววตาที่เย็นจัดดุจขั้วโลกเหนือ ความขุ่นเคืองกระพือขึ้นจนปราณอสรพิษไหลพลุ่งในเส้นเลือด “เจ้ากล้า…” เขาเอ่ยเสียงต่ำจนเหมือนเสียงกัดฟันของปีศาจ “คิดแตะต้องเสี่ยวหยาของข้าอย่างนั้นหรือ?”


เหอต้าซานเลิกคิ้ว “อ้อ? เสี่ยวหยา? แสดงว่าเจ้าคือคนรักของนางรึ? ไม่เลว ไม่เลว…เช่นนั้นก็ยิ่งสมควรแย่งมา เพราะเจ้าเป็นขันทีนี่? หมายความว่านางยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง” เสียงกระบี่ชักออกจากฝักของเหอต้าซานดัง “ฉับ!” พร้อมรอยยิ้มแสยะของเขา


ทันใดนั้น การต่อสู้ก็เหมือนเถากระถินพันกันในเสี้ยวอึดใจ


เสียงโลหะกระทบโลหะดัง “ฉัวะ!” พร้อมกับประกายไฟแตกวาบเมื่อเหอต้าซานฟันกระบี่ลงตรงกลางวงของทั้งสามคนอย่างไม่รั้งมือ คมกระบี่กวัดแกว่งแบบคนที่เคยผ่านสนามรบนับไม่ถ้วน น้ำหนักและแรงเหวี่ยงคล้ายภูเขาถาโถมลงมาทีเดียว จางกงกงยกกระบี่อสรพิษเงามืดรับไว้ เสียงเหล็กครูดกันจนก้องสะท้อนกลางทางภูเขาเหมือนสัตว์ป่ากำลังคำรามไม่ยอมหยุด


“ฮ่า! แบบนี้สิวะ ถึงจะเรียกว่าสนามรบจริง!” เหอต้าซานหัวเราะลั่น เสียงเหมือนเหล็กเสียดสีกับหิน ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวของคนบ้าเลือด เขาบิดข้อมือปรับกระบี่เปลี่ยนทิศแล้วถีบพื้นจนดินปลิวขึ้น ปะทะจางกงกงอีกครั้งจนฝ่ายขันทีต้องถอยกรูดสามก้าวติด มือที่จับกระบี่สะเทือนจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนแต่สีหน้าเขายังนิ่งเสียจนคนบ้าแบบเหอต้าซานยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก “เจ้าขันทีหน้าเนียนนี่มัน…อึดจริงนะ!” เขาตะโกนทั้งหัวเราะอย่างคึก


จางทังเห็นช่องว่างระหว่างเหอต้าซานหมุนตัวแทงกระบี่เข้าไปจากด้านหลัง เสียง “ฟึ่บ!” ของลมเฉือนแผ่นหลังเหอต้าซานดังขึ้น ทว่าคนบ้าเลือดกลับอาศัยแรงหมุนเดิมยกกระบี่ขึ้นกันแผ่นหลังเอาไว้พอดี เสียงปะทะดังสนั่นจนจางทังต้องถอยไปหนึ่งช่วงตัวก่อนจะแลบลิ้นเลียเลือดที่มุมปากนิ่ง ๆ ราวกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนสาดเลือดจากแรงปะทะที่หลุดออกมาจากกระบี่ตรงหน้า 


“ถิงเว่ยพยัคฆ์เหล็ก จางทัง…ข้าก็นึกว่าแค่ข่าวลือ ที่แท้เจ้าเองก็เป็นเสือจริง ๆ นี่หว่า!” เหอต้าซานคำราม “ดี! แบบนี้สนุก!”


แค่ครู่เดียวลูกน้องของเหอต้าซานเจ็ดคนก็โถมเข้าใส่หลินหยาก่อนเป็นแถว รัวดาบใส่นางแบบไม่เว้นช่อง เสียง “ฉับ! ฉัวะ! ครืด!” ไม่ขาดสาย แต่หลินหยากลับกระโดดฉากไปด้านข้างเหมือนลูกแมวป่าลื่นไหล ก่อนจะฟาดขลุ่ยลงบนกกหูของคนแรกเต็มแรง เสียงกระแทกกระโหลกดัง “ปึ๊ก!” จนคนทั้งคนหมุนคว่ำลงไปนอนแน่นิ่ง


“แม่นางนี้! แม่งเป็นสตรีจริงเหรอวะ!?” ลูกน้องอีกคนอุทานอย่างตะลึงก่อนจะถูกเธอสวนกลับด้วยการฟาดขลุ่ยลงบนลิ้นปี่จนตัวงอแล้วเธอก็กระแทกเข่าขึ้นหน้าอีกหนึ่งที เสียงจมูกหักดังเหมือนไม้แห้งถูกเหยียบ ตัวชายคนนั้นกระเด็นออกไปชนต้นสนข้างทางจนล้มแผละ


เหอต้าซานเหลือบตาเห็นหลินหยากวาดล้างลูกน้องตนถึงสองคนในพริบตา เขาหัวเราะเสียงต่ำอย่างสะใจ “โอ้ย ข้าชอบสตรีแบบนี้จริง ๆ ให้ตายสิ! เอามาเป็นเมียข้าสักmuคงมันส์น่าดู! ข้าจะมีเด็กเก่ง ๆ อีกเยอะที่เกิดจากเจ้าแน่ ๆ แม่นาง!”


คำพูดนั้นทำให้สายตาจางกงกงเผาเป็นไฟเลือดทันที เขาหันหน้ามามองจนแววอสรพิษในตาบิดขุ่นพร้อมฆ่าโดยไม่ต้องใช้คำพูดแม้แต่นิดเดียว จางกงกงพุ่งเข้าไปฟันใส่หัวเหอต้าซานด้วยความเร็วที่มาจากความโกรธบริสุทธิ์ เสียง “ฉัวะ!” เฉียดศีรษะเหอต้าซานไปเพียงนิ้วเดียว เขาแสยะยิ้มกว้างเหมือนยิ่งยั่วคนให้คลั่ง “มองแบบนั้น? อ้อ…เจ้าหึงสินะขันที?” เหอต้าซานเหยียดเสียงออกมาอย่างคึกคะนอง “ดี! แต่อย่าหวงนักเลย เดี๋ยวข้าจะลองดูว่าเธอร้องเสียงเพราะแค่ไหนตอ—"


ยังไม่ทันจบ จางทังก็กระแทกตัวเข้ามาฟันกลางลำตัวเหอต้าซานเต็มแรง เสียงกระบี่หักธรรมฟาดลงบนชุดเกราะบิ่นดัง “โครม!” จนฝุ่นดินกระจายกระแทกใบหน้าเขา เหอต้าซานสะบัดตัวถอยไปสองก้าวพร้อมเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง “ดี! แบบนี้แหละ! มาสิ!”


เหอต้าซานพุ่งกลับเข้ามาอีกพร้อมแรงกระบี่หนักราวฟ้าผ่า เสียงปะทะกันของกระบี่ทั้งสามดังกึกก้องอย่างบ้าคลั่ง เหมือนธนูยักษ์นับร้อยถูกยิงสวนกันในช่องเขาเดียว


หลินหยาสบโอกาสวิ่งเข้ามาปิดช่องด้านข้าง แต่ลูกน้องอีกสามคนพุ่งขวางเธอไว้ เธอหมุนตัวใช้ขลุ่ยตวัดรอบวาดเป็นวง “เพี๊ยะ!” ลงบนข้อมือคนแรกจนกระดูกแตก คนที่สองถูกเธอเตะก้านคอจนล้มทั้งยืน ส่วนคนที่สามที่กล้าฟันใส่เธอ กลับถูกเธอจับคอเสื้อแล้วเหวี่ยงลงกับพื้นจนเสียงหลังหักดังชัด “จะเป็นเมียเจ้าน่ะเหรอ…ฝันไปเหอะไอ้โจรสกปรก!” หลินหยาตะโกนเสียงสั่นด้วยโทสะ


เหอต้าซานหันหัวกลับมามองแบบตาโตด้วยความตื่นเต้น “ฮ่า! เจ้านี่มันของดีจริง ๆ ข้าชักเสียดายจะฆ่าแล้วสิ!” ตอนพูดเขาก็ถีบพื้นโถมเข้าหาจางกงกงอีกครั้ง เสียงลมหอบพัดรุนแรงพร้อมแรงกระแทกที่ทำให้ทั้งขันทีและถิงเว่ยต้องใช้สองกระบี่ปิดวิถีดาบของเขาแทบไม่ทัน


“เจ้ามันปีศาจหรือคนกันแน่วะ!” จางทังสบถเสียงต่ำขณะเหงื่อไหลลงข้างขมับ

เหอต้าซานหัวเราะพลางทำเสียงค่อก ๆ เหมือนคนกำลังสนุก “ปีศาจ? ฮ่า! ข้าคืออดีตขุนศึกและตอนนี้ข้าเป็นราชาโจร! ไม่มีคำว่าแพ้ในชีวิตข้า!”


ร่างใหญ่ของเขาฟาดกระบี่ลงพร้อมกับเสียงคำรามซ้ำซาก เสียงปะทะดังลั่นจนต้นไม้รอบ ๆ โอนเอนเหมือนจะถูกแรงอัดอากาศฉีกออก ทว่าจางกงกงดันหลินหยาไปด้านหลัง เขาชักกระบี่สวนเข้าที่ลำคอเหอต้าซานในมุมฟันอสรพิษเฉียบคม แต่เหอต้าซานกลับก้มศีรษะลงเพียงเล็กน้อย คมกระบี่เฉียดผมเขาไปเพียงเส้นเดียว


“ฮ่า! อีกนิดเดียวเองขันที! ทำดีมาก!” เหอต้าซานเหยียดยิ้มกว้างอย่างปีศาจ เขาพุ่งกลับมาอีกครั้ง กระบี่โจมตีแบบไม่ยั้ง ทั้งแรง ทิศ แรงเหวี่ยง ทุกดาบเหมือนตั้งใจฆ่าให้ตายพร้อมกันทั้งสอง ขนาดจางทังยังต้องกัดฟันรับดาบจนปลายเท้าไถลบนดิน เลือดซึมออกจากมุมปากโดยไม่รู้ตัว


หลินหยามองภาพตรงหน้า ใจเต้นแรง เธอพุ่งเข้าไปช่วยรับมือ ใช้ขลุ่ยตีแบบทุ่มแรงสุดชีวิตใส่ข้อศอกเหอต้าซานจากด้านหลัง เสียง “ปึ๊ก!” ดังสนั่น เหอต้าซานสะดุดจังหวะไปเพียงครึ่งวินาที แต่ผู้ชายประเภทนี้…ครึ่งวินาทีนั้นก็พอให้เขาคลั่งขึ้นอีกเท่า เขาหันกลับมาทั้งที่เลือดซึมจากข้อศอก ยิ้มเหมือนสุนัขบ้าที่กระหายเลือด


“ดี! ดีมาก! ข้าชอบเจ้าเข้าไปใหญ่แล้ว!” เขาเงื้อมือเหมือนจะคว้าคอหลินหยาเอาไว้


แต่ครั้งนี้ จางกงกงไม่ปล่อยให้ใครแตะเธอได้แม้เส้นผมเดียว เขาแทงกระบี่สวนความเร็วดั่งเงาอสรพิษ ฟันเฉียดชายโครงเหอต้าซานจนเลือดพุ่งแฉะลงพื้น กลางป่าทึบของเหอตง เสียงลมหอบหนักของทั้งสี่คนประสานกับกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งจนหนาวลึกเข้าไปถึงกระดูก การต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานจนแสงอาทิตย์ยามบ่ายซีดจางลง รากไม้บนพื้นเต็มไปด้วยริ้วเลือดและรอยกระแทกจากกระบี่ เสียงลมหายใจขาดห้วงของทุกคนคือหลักฐานว่าพวกเขาสู้จนสุดแรงจริง ๆ


เหอต้าซานยังยืนหยัดอยู่ได้ แม้เลือดจะไหลท่วมไหล่และข้างลำตัวจนชุดเกราะบิ่นของเขาเปียกชุ่ม สีหน้าเขายังเป็นรอยยิ้มบ้าคลั่งแบบเดิมเหมือนไม่รู้จักคำว่าพ่ายแพ้ กระบี่ในมือยังสะบัดแรงแม้จะสั่นจากความอ่อนล้า จางกงกงและจางทังยืนประจันหน้าอยู่ไม่ไกล หลินหยาหอบหายใจหนักแต่ยังจับขลุ่ยแน่นราวอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เสียงเหล็กกระทบกันครั้งสุดท้าย “ฉัวะ!” ดังลั่นก่อนที่ร่างกำยำของเหอต้าซานจะทรุดฮวบลงกับพื้น เขาคุกเข่า หอบหายใจ เหงื่อผสมเลือดไหลท่วมหน้า แต่ไม่มีแม้เงาของความหวาดกลัว เขายังเป็นสัตว์ร้ายตัวเดิมที่ไม่เคยรู้จักคำว่ายอมแพ้


จางทังเก็บกระบี่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เหอต้าซาน ค่ายโจรเหอตงจักถูกกวาดล้างตั้งแต่วันนี้ ข้าจะส่งคนมาจับกุมพวกเจ้า ทุกชีวิตที่สูญเพราะเจ้าจะได้รับการตัดสินในคุกตามกฎหมาย”


เหอต้าซานหัวเราะเบา ๆ เหมือนคนเหนื่อยแต่ยังเย้ยโลก “คุก? ฮึ แค่ได้สู้ขนาดนี้ ข้าก็ถือว่าตายคุ้มแล้ว…” น้ำเสียงเขาเหมือนยอมรับ ท่าทีก็ราวคนแพ้ที่หมดเรี่ยวแรง จางกงกงลดดาบลง หลินหยาก็ผ่อนลมหายใจในอก


แต่เพียงเสี้ยววินาที อารมณ์ที่เหมือนสงบก็แตกเสียงดังเหมือนผ้าขาด


เหอต้าซานดีดตัวขึ้นเร็วราวสัตว์ป่ากำลังดิ้นเฮือกสุดท้าย เขาพุ่งคว้าแขนหลินหยาอย่างป่าเถื่อน กระชากเธอเข้าสู่อ้อมแขนราวจะหักกระดูกให้ขาด เธอร้องเบา ๆ ด้วยความตกใจ เสียงขลุ่ยร่วงลงพื้นดัง “กึก” ร่างใหญ่ของเขาเบียดรัดหลินหยาแน่นจนเธอหายใจไม่ออก มือสากใหญ่ไล้ผ่านผิวที่เปราะบางบนไหล่นางด้วยเจตนาสกปรกและโรคจิต ยิ้มมุมปากของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจจากการเหนือกว่าด้านร่างกาย


“จับข้าไปสิ! แต่ก่อนนั้นข้าขอ—” เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคสกปรกของตนเอง เสียงหนึ่งดังขึ้น เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดจนถึงก้นบึ้ง


“อย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องเสี่ยวหยา” 


เป็นเสียงของจางกงกงที่เย็นจนขนลุกและเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่ปิดบังไม่ได้อีกต่อไป ความนิ่งสงบทั้งหมดพังทลายลงในเสี้ยววินาที ใบหน้าที่ปกติอ่านไม่ได้ บัดนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งเช่นเดียวกับสายเลือดอสรพิษที่ไหลในกายเขา ลมหายใจหลินหยาชะงัก เธอรู้ว่าจางกงกงไม่ใช่คนที่จะให้อภัยใครที่แตะต้องเธอแม้เพียงวินาทีเดียว


“เดี๋ย—!” จางทังยังไม่ทันห้ามจางกงกง เสียงฟันที่เฉียบคมดังก้องป่า


“ฉัวะ!”


หัวของเหอต้าซานถูกฟันขาดจากลำคอในครั้งเดียว เลือดพุ่งพรวดเป็นสายกระจายทั่วใบหน้าและอกของจางกงกง ร่างใหญ่ของเหอต้าซานล้มลงอย่างไร้ชีวิตในเสี้ยววินาที เหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกปลิดวิญญาณกลางทุ่งหญ้า หลินหยาปลิวหลุดจากแขนโจรใหญ่เมื่อร่างนั้นแน่นิ่ง เธอถอยหลังสะดุดหิน ลมหายใจสะดุดเหมือนหัวใจถูกควักออกไปพักหนึ่งด้วยความตกใจที่เร็วเกินกว่าจะรับรู้ทัน


สายลมเย็นของเหอตงเงียบกริบ ราวกับป่าทั้งผืนชะงักค้าง…


จางกงกงโยนกระบี่ที่ยังมีเลือดเหอต้าซานหยดลงพื้นก่อนพุ่งเข้ามาประคองหลินหยาทันที ดึงเธอเข้ามากอดแน่นจนร่างของเธอจมหายไปในอ้อมแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยแรงสั่นจากความหวาดกลัวที่ปิดไม่มิด “เสี่ยวหยา…ข้าเกือบ…เกือบ…” เสียงเขาแผ่ว ทั้งคอและอกเต็มไปด้วยเลือดศัตรูแต่ดวงตานั้นกลับสั่นไหว เขาฝังใบหน้าไว้ข้างขมับนางเหมือนต้องการยืนยันว่าเธอยังอยู่ตรงนี้จริง ๆ “อย่าให้ใครแตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด ข้าไม่ยอม…ไม่ยอมเด็ดขาด…"


หลินหยากัดริมฝีปาก หายใจแรงเพราะตกใจแต่แขนสองข้างก็ยกขึ้นกอดเขาตอบแน่นไม่ต่างกัน ไม่มีคำใดทันขึ้นมาในหัว มีแต่ความรู้สึกหนาวซ่านสะท้านที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความอบอุ่นเพราะอ้อมแขนของเขา


จางทังยืนมองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เขารู้แล้วว่าเหตุผลที่วันนี้เหอต้าซานตาย ไม่ใช่เพราะแพ้การต่อสู้ แต่เพราะเขาแตะต้องสิ่งที่จางกงกงรักที่สุดในชีวิต


และคนอย่างจางกงกง… ไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อีกครั้ง


จางกงกงไม่ปลื้ม จางกงกงฆ่าทิ้ง---

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

เนื่องจากคุณเลือกจะฆ่าทิ้ง จึงไม่เกิดตัวเลือกอีเว้นท์เสริม เหอต้าซานจะขอติดตาม  โพสต์ 2025-11-18 14:04
โพสต์ 97895 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-18 08:10
โพสต์ 97,895 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-18 08:10
โพสต์ 97,895 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-18 08:10
โพสต์ 97,895 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-18 08:10
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-11-18 11:49:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 07-08 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น


เช้าวันใหม่เหนือผืนแผ่นดินเหอตงเต็มไปด้วยกลิ่นลมหนาวและไอเลือดที่ยังติดปลายความทรงจำของเมื่อคืน หลินหยานั่งด้านหน้าบนหลังม้าเดียวกับจางกงกง ร่างบางของนางพิงแผ่นอกเขาที่อบอุ่นเหมือนเตาไฟกลางพายุหิมะ มือของจางกงกงประคองบังเหียนม้าแน่นแต่แขนอีกข้างกลับโอบรัดเอวหลินหยาราวกับกลัวว่าเพียงเผลอกะพริบตา นางจะหายไปราวเงา


หลินหยารู้สึกได้ว่ามือของเขาสั่นเล็กน้อยแม้บนใบหน้าคงความเรียบนิ่งที่อ่านไม่ออกเช่นเคย ความสั่นนี้ไม่ใช่เพราะหนาว แต่เพราะความหวาดกลัวที่ฝังลึกจนเขาไม่อาจควบคุมได้หลังเหตุการณ์เหอต้าซานเมื่อวาน


“จางกงกง เราจะต้องไปที่ส่วนใดของเหอตงกันแน่หรือ?” เสียงจางทังดังขึ้นในเช้าวันที่ยังหมอกขาวคลุมป่า เขาขี่เยวี่ยเหยียน ม้าดำสนิทที่ดูภักดีต่อเขาเสียจนหลินหยาอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่มันหันมาคลอเคลีย 


จางกงกงเหลือบไปมองเพียงชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่หนักแน่น “ป้อมปราการร้างด้านนอกสุดของเขตเหอตง พยานของท่านจางทังซ่อนตัวอยู่ที่นั่น” มือที่กุมเอวหลินหยากระชับแน่นขึ้นราวกับเพิ่งระลึกได้ว่าศัตรูอาจซุ่มอยู่ทุกพุ่มไม้ “เขาถูกตามล่าหนีหัวซุกหัวซุน พวกที่ต้องการปิดปากเขามีไม่น้อย”


จางทังพยักหน้า สีหน้าที่มักสงบเหมือนผิวน้ำกลับตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย เขาก้มลงลูบแผงคอเยวี่ยเหยียนเหมือนขอให้มันเตรียมตัว “ป้อมร้างในเหอตง…ใช่ที่ข้าคิดหรือไม่? ที่ที่เคยถูกทิ้งไปหลังสงครามทางเหนือเมื่อหลายปีก่อน?”


“ใช่” จางกงกงตอบสั้น ๆ “โครงไม้ผุพัง กำแพงแตกร้าว เหลือเพียงซาก แต่เหมาะกับการซ่อนตัวและเหมาะยิ่งกว่าในการลอบฆ่า” หลินหยาขมวดคิ้วดวงตาหวานวาวขึ้นด้วยความเป็นห่วง “แล้ว…พวกเราจะรับมือไหวหรือเจ้าคะ? เมื่อวานก็สู้หนักกันมาก พักไปหนึ่งวันทุกคนก็ยังดูเหนื่อยอยู่เลย”


จางกงกงลดใบหน้าลงเล็กน้อยจนริมฝีปากเฉียดหลังหูของนาง เสียงเขาเบาแต่แฝงแววจอมบงการที่คุ้นเคย “เสี่ยวหยา เจ้ามิต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ข้าจะไม่ให้ใครเข้าใกล้เจ้าซ้ำสอง ยิ่งพวกมันคิดลอบทำร้ายข้าก็ยิ่งอยากเห็นเลือดมัน” หลินหยาหน้าเริ่มร้อนวาบด้วยทั้งความเขินและความคุ้นชินกับนิสัยครอบครองของเขา แต่ก็อดเอามือแตะหลังแขนเขาเบา ๆ ไม่ได้


“ข้ายังไม่ตายนะท่าน… ข้ายังอยู่ดีเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยบอกแบบนั้น

จางกงกงไม่ตอบ แต่ก้มลงแนบหน้าผ่านผมของนางเหมือนต้องการยืนยันด้วยตนเอง


“อะแฮ่ม ๆ” จางทังทำทีเป็นไอเบา ๆ เพื่อเบนสายตาไม่ให้ดูภาพหวานปนอันตรายตรงหน้า แต่ก็อดเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นงาน “หากพยานซ่อนในป้อมร้างจริง สถานที่นั้นคงถูกปิดล้อมแล้วแน่ พวกศัตรูใช้สถานที่เช่นนั้นเป็นกับดักได้ง่าย”


“จึงต้องระวังทุกย่างก้าว” จางกงกงสอดแทรกทันที “พวกมันคงมากกว่าเหอต้าซานหลายเท่า และบางคนอาจไม่ใช่โจรธรรมดา ที่สำคัญ พยานผู้นั้นเป็นคนที่ทุกฝ่ายต้องการกำจัดที่สุด”


“แล้ว…พวกเราต้องไปช่วยเขาใช่ไหมเจ้าคะ?” หลินหยาเงยหน้ามองจางกงกง ดวงตาสีสวยมีทั้งความกลัวและความมุ่งมั่นแบบเด็กซุกซนที่ไม่เคยหวั่นอันตราย


จางกงกงยิ้มบาง ๆ มุมปากยกขึ้นอย่างที่อ่านไม่ออก “ไม่ใช่แค่ช่วย…ต้องพาตัวออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นจางทังจะหมดโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และพวกมันจะยิ่งกล้าทำการเหยียบย่ำความยุติธรรมต่อไป”


“คนอย่างท่านกล้าพูดคำว่ายุติธรรมได้ด้วยหรอ? เอาเถอะข้ามิอาจปล่อยให้ความจริงถูกฝังในเงามืดอีกแล้ว” จางทังเม้มปากแน่น ดวงตานิ่งสงบแต่เหมือนมีเปลวไฟลุกวาบลึก ๆ บรรยากาศการเดินทางหนักขึ้น แต่ทั้งสามก็ยังคงควบม้าผ่านเส้นทางรกชัฏของเหอตงต่อไปเรื่อย ๆ เสียงกีบม้าแตะพื้นดินแห้งเป็นจังหวะลึก ๆ


ยามบ่ายคล้อยของเหอตงเริ่มหม่นลงด้วยหมอกสีเทาอ่อน กลิ่นดินชื้นและสายลมเย็นเฉียบพัดปะทะหน้าทั้งสามระหว่างเร่งเดินทาง แต่ไม่ทันได้ล่วงเข้าเขตป้อมร้าง หลินหยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าม้าของจางกงกงกลับเริ่มไหล่ตก สีหน้าเหม่อวูบวาบ ริมฝีปากซีดลงจนผิดสังเกต “เสี่ยวหยา เจ้าหน้าซีดกว่าเดิมอีกแล้ว” เสียงของจางกงกงกดต่ำลงทันที ดวงตาคมกริบที่ไม่เคยกลัวสิ่งใดในใต้หล้ากลับเต็มไปด้วยความร้อนรน “เราจะหยุดเดี๋ยวนี้”


หลินหยายังอยากบอกว่าไม่เป็นไร แต่ยังไม่ทันอ้าปาก จางกงกงก็รั้งบังเหียนม้าให้หยุดหน้าศาลาริมทางซอมซ่อ ซึ่งมีป้ายไม้เก่าคร่ำว่า โรงเตี๊ยมเหมยลู่ แขวนลู่ไหวไปตามลม เห็นได้ชัดว่าเป็นโรงเตี๊ยมบ้าน ๆ ของชาวบ้าน ไม่มีแม้แต่ทหารตรวจการ แต่มีหลังคาและผนังที่พอจะกันลมได้


เมื่อม้าหยุดสนิท จางทังก็ก้าวลงก่อน เขามองหลินหยาที่ดูเหมือนลมหายใจจะหายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ขมวดคิ้ว “ข้าจะไปพักที่ห้องพักข้าง ๆ กับสืบข่าวที่แถวนี้…พวกเจ้าเข้าไปพักก่อนเถอะ” น้ำเสียงของจางทังไม่แข็งกร้าวเหมือนทุกครั้ง หากออกจะเป็นห่วงแบบที่ผู้พิพากษาผู้เยือกเย็นมักไม่เปิดเผยบ่อยนัก จางกงกงพยักหน้าเพียงสั้น ๆ แต่แขนยิ่งรัดเอวหลินหยาประหนึ่งร่างนางจะหลุดมือ 


“ระวังตัวด้วย จางทัง” น้ำเสียงเขาหนักแน่นแต่แฝงความคุ้นเคยที่คนเคยเป็นสหายถึงจะฟังออก


ภายในโรงเตี๊ยมชั้นบน ห้องเล็ก ๆ ที่พื้นปูด้วยเสื่อเก่า กลิ่นไม้เก่าและควันเตาถ่านยังอุ่นผนังไว้ จางกงกงอุ้มหลินหยาไว้ทั้งอย่างนั้นก่อนวางนางเบา ๆ ลงบนฟูก เขานั่งข้างเตียง นัยน์ตาเขม็งคอยจับอาการนางไม่วางตามสัญชาตญาณอสรพิษที่ไม่เคยปล่อยให้สิ่งรักตกอยู่ในอันตราย หลินหยาปรือตามองเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างฝืน ๆ


“หากเป็นเมื่อก่อน ท่านคงชอบใจนักที่เห็นข้าอ่อนแรงเช่นนี้…ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


จางกงกงนิ่งค้างไป เหมือนคำว่าเมื่อก่อน เป็นคมมีดบาง ๆ ที่กรีดผ่านกลางใจของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เงาของภาพในความทรงจำผุดขึ้นมาอย่างโหดร้ายจนลมหายใจของเขาสะดุด หลินหยานั่งคุกเข่าคร่อมร่างกายของเขาอยู่ที่พื้นห้องทำงานของตำหนักจงฉางชื่อ ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง ดวงตาใสนั้นเปล่าเปลืองและแตกสลายน้ำตาคลอแต่กลับไม่ร้องไห้จนเขาไม่เคยลืม ร่างบอบบางสั่นไหวเมื่อเขาบังคับให้นางไปเป็นหุ่นเชิดใช้ยั่วยวนองค์ชายหวังตามแผนการที่เขาวางไว้ เพียงเพราะเขาเลือกใช้นางเป็นหมากตัวหนึ่งของตัวเอง ในตอนนั้น… น้ำตาหยดหนึ่งไหลร่วงลงข้างแก้ม นางกระซิบเสียงสั่นจนหัวใจเขาแทบหยุดเต้น


เขาทำไม่ได้ มือที่เคยสังหารผู้คนมากมายจนด้านชาไม่อาจยกขึ้นประหัตประหารนางได้ ชีวิตของนางที่ร้องขอความตายนั้น เขากลับเลือกจะยื้อไว้ด้วยหัวใจทั้งหมดที่ตัวเองไม่เคยรู้ว่ามี นับตั้งแต่วันนั้นมา หลินหยาก็กลายเป็นชีวิตของเขาโดยสมบูรณ์


จางกงกงยกมือขึ้นแตะแก้มนุ่มของหลินหยาในห้องพักเล็ก ๆ ของโรงเตี๊ยมซอมซ่อนั้น ลมหายใจของเขาใกล้จนเนื้อสัมผัสอุ่นร้อนประทะกันเบา ๆ “ข้ามิได้ชอบที่เจ้าอ่อนแรงแบบนี้หรอก เสี่ยวหยา ข้ากลัว…เจ้ารู้หรือไม่” เสียงเขาแม้จะเบาแต่ทุ้มลึกและหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “กลัวเจ้าจะเจ็บ กลัวเจ้าจะหายไป กลัวว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปจะตามมาหลอกหลอนเจ้าแล้วพรากเจ้าไปจากข้าอีกครั้ง…”


หลินหยามองจางกงกงอย่างเงียบ ๆ ดวงตาคู่หวานไหวสั่นราวคลื่นเล็ก ๆ เธอกุมมือเขาไว้แน่น “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ?... เช่นนั้นท่านจะฟังบางอย่างจางข้าได้หรือไม่? …ข้าขอโทษที่เคยเข้าใจผิดว่าท่านเป็นคนทำร้ายท่านจางทังนะเจ้าคะ ข้ามันก็โง่ที่รีบคิดไปเอง”


จางกงกงหัวเราะแผ่วเบาเหมือนคนเจ็บแต่ยอมให้นางได้พูดเช่นนั้น “เจ้าจะคิดไปเถิด ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะหลายเรื่องข้าเลวพอให้เจ้าคิดได้จริง ๆ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ฝีมือข้า…และข้าไม่ต้องการให้เจ้ามองข้าแบบคนที่เจ้าเคยมองเมื่อครั้งนั้นอีกแล้ว” เขาโน้มหน้าลงใกล้จนปลายผมทั้งสองสัมผัสกัน


หลินหยาเอียงหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ “ตอนนี้ข้ามองท่านแบบอื่นแล้วเจ้าค่ะ”


จางกงกงชะงัก หัวใจเหมือนหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ ก่อนยื่นมือโอบเอวนางดึงเข้ามาในอ้อมกอดแน่นขึ้น “ดี…ดีแล้วเสี่ยวหยา” เสียงเขาเหมือนคำสาบานที่มีทั้งความรัก ความโลภ และความหวาดกลัวปะปนกันอย่างปะทุ ลมหายใจทั้งคู่สอดประสานในห้องเงียบ ๆ ของโรงเตี๊ยมที่ลมหนาวสาดผ่านหน้าต่างไม้โบราณ ราวกับโลกภายนอกมีเพียงเงามืดและศัตรูที่รออยู่ แต่ภายในห้องนี้…คือความผูกพันของสองคนที่เกลียดกันยิ่งกว่าศัตรูแต่กลับรักกันยิ่งกว่าชีวิต


หลินหยาจะพักเพราะต่อสู้รอบก่อนเลือดขีดแดง
แน่นอนว่า เควสนี้เป็นเควสปลดหัวใจแถว 2 ขอหวานบ้างเถอะ 5555

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 44843 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-11-18 11:49
โพสต์ 44,843 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-11-18 11:49
โพสต์ 44,843 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-11-18 11:49
โพสต์ 44,843 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-11-18 11:49
โพสต์ 44,843 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-11-18 11:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-12-16 11:26:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 11 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น

ลมหนาวของตงเหอพัดกรรโชกผ่านที่ราบโล่ง กลิ่นฝุ่นแห้งและสนิมเหล็กปะปนอยู่ในอากาศราวกับเป็นลมหายใจของดินแดนที่ถูกลืม ม้าสองตัวชะลอฝีเท้าลงพร้อมกันเมื่อแนวกำแพงหินพังทลายของป้อมปราการร้างปรากฏขึ้นตรงหน้า เงาของมันทอดยาวบิดเบี้ยวเหมือนซากศพยักษ์ที่ยังไม่ยอมหลับใหล จางทังขี่ม้าของหลินหยานั่งหลังตรงมือจับบังเหียนมั่นคง ดวงตาคมเฉียบกวาดมองภูมิประเทศรอบด้านอย่างเยือกเย็น เขาไม่พูดมาก แต่ความเงียบของเขาเต็มไปด้วยน้ำหนัก ส่วนอีกตัวหนึ่ง จางกงกงนั่งอยู่ด้านหน้าหลินหยาอยู่ด้านหลัง แขนของเขาโอบรั้งบังเหียนไว้แน่นราวกับเป็นกำแพงมนุษย์ เสื้อคลุมแดงเข้มสะบัดตามแรงลม พัดในมือกระทบกับข้อมือเป็นจังหวะเบา ๆ ดวงตาเขาหรี่ลงตั้งแต่ยังไม่ถึงแนวป้อม


“จากตรงนี้ไป ข้าจะนำทาง” จางกงกงเอ่ยเสียงต่ำ แผ่วแต่ชัดเจน “ป้อมร้างนั้นเป็นคอขวด ใครวางกับดักไว้ ย่อมตั้งใจปิดหมากกระดานนี้เสีย”


หลินหยาขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายแต่แฝงความระแวดระวัง “ท่าทางเจ้าของกับดักจะมั่นใจมาก ถึงเลือกที่แบบนี้นะเจ้าคะ” ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ฝีเท้าม้าก็หยุดชะงัก เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นจากทุกทิศ เงาดำโผล่ออกมาจากซากกำแพง เนินหิน และแนวไม้แห้งรอบป้อมราวกับงอกขึ้นจากดิน นักฆ่านับไม่ถ้วนล้อมวงเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ คันธนูยกขึ้นพร้อมกัน ปลายศรสะท้อนแสงซีดของท้องฟ้า


จางทังถอนหายใจช้า ๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางที่ไม่ถึงดวงตา “จำนวนเยอะจริง ๆ ไม่รู้ว่านี่จะเป็นสนามรบสุดท้ายของพวกเราหรือไม่” เขากำกระบี่เหล็กดำแน่น “แต่ถ้าจะจบ ก็ขอให้จบด้วยความจริงเสียแล้วกันเถอะ” จางกงกงไม่หันไปมองสิ่งใด เขาขยับตัวเล็กน้อยให้หลินหยาอยู่หลังแผ่นหลังของตนเต็มที่ “อยู่ด้านหลังข้า เสี่ยวหยา ใครจะตายก่อนข้าไม่สน เพราะมันต้องไม่ใช่เจ้า” น้ำเสียงนั้นของจางกงกงไม่เปิดโอกาสให้หลินหยาได้เถียงสักนิด


เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังขึ้นจากเบื้องหน้า ฝูงนักฆ่าแยกออกเป็นทาง ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมาอย่างสง่างาม อาภรณ์เรียบหรูสีเข้ม ปักลายตามขนบโบราณใบหน้าสงบสุภาพทว่าดวงตานิ่งราวผิวน้ำในสระลึก ไฉ่หลิน ขุนนางตำแหน่งซ้ายเฉิงเซี่ยงแห่งราชสำนักฮั่น ข้างกายเขามีกุนซือผู้หนึ่ง ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาเจ้าเล่ห์รอยยิ้มเยาะติดอยู่ที่มุมปาก นาม โจว เหยา ที่ก้าวตามหลังครึ่งก้าวอย่างผู้รู้หน้าที่


“ช่างน่าขัน” ไฉ่หลินเอ่ยเสียงเรียบ ราวกับกำลังอภิปรายตำราในหอหนังสือ “ขันทีโสโครกหนึ่งคน ตุลาการหนุ่มที่ยังไม่รู้จักโลก และสตรีแม่ค้าตัวจ้อยผู้บังเอิญถือหางสิ่งน่ารังเกียจที่สุดในแผ่นดิน คิดว่าจะเดินผ่านตงเหอไปได้ง่าย ๆ หรือ”


จางกงกงหัวเราะในลำคอเมื่อเขาเห็นว่าใครเดินเข้ามาพลางพัดในมือกางออกช้า ๆ “เจ้า…ฝั่งซ้ายเฉิงเซี่ยงยังมีเวลามาสนใจขันทีอย่างข้าด้วยหรือ ข้านึกว่าท่านมัวแต่ชำระล้างโลกด้วยหมึกกับตรากฎหมาย”


“อย่าหยิ่งนัก จางกงกง เจ้าคือมลทินของราชสำนัก เกิดมาก็ไร้ราก ยังกล้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์ยืนเทียบขุนนาง” คราวนี้เป็นโจวเหยาที่ขยับเข้าไปหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยแทนเจ้านายของตนเอง


จางทังจึงต้องเงยหน้าขึ้น เสียงเขาเรียบแต่คมเพื่อเป็นการบอกกล่าว “กฎหมายไม่เคยถามชาติกำเนิด มันถามเพียงความถูกต้อง” เขามองตรงไปที่ไฉ่หลิน “หรือท่านซ้ายเฉิงเซี่ยงกลัวความจริง จึงต้องใช้เอกสารลับบีบคอข้าพเจ้า”


ไฉ่หลินยิ้มบาง ก่อนที่จะส่งรอยยิ้มของผู้มั่นใจในชัยชนะที่ตนเองได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วเอ่ย “ความจริงมีหลายหน้า ตุลาการหนุ่ม ผู้ใดถือกฎหมายผู้นั้นนิยามความจริงได้” เขาเหลือบมองจางกงกงด้วยสายตารังเกียจ “จักรพรรดิถูกล้อมด้วยปรสิต ขันทีอย่างเจ้าเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ข้าทำเพียงสิ่งที่จำเป็น เพื่อคืนความชอบธรรมให้แผ่นดิน”


“ชอบธรรม?” จางกงกงเอนศีรษะเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาคมราวคมมีด “ท่านเรียกการสั่งฆ่า ปิดปาก และบิดกฎหมายว่าชอบธรรมสินะ”


“คำพูดของคนเปื้อนเลือด ฟังดูตลกดี” โจวเหยาเอ่ยตอบแทนเจ้านายของตนเอง เขาชี้ไปที่หลินหยาที่ถูกบังไว้ด้านหลัง “สตรีผู้นั้นก็เช่นกัน นางก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หากยอมส่งเอกสารมา บางทีเจ้าอาจได้กลับไปขายของอย่างสงบ”


หลินหยาขยับออกมาเล็กน้อยนางมีรอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้า แต่ดวงตากลับเย็นเฉียบจ้องมองคนที่พูดเช่นนั้น “ข้าแพ้ถั่วเหลือง แต่ไม่แพ้คำขู่เจ้าค่ะ ของของข้า ไม่ได้มีไว้ให้คนแก่เล่นกลหรือทำอะไรประหลาด ๆ ที่ไร้สาระ”


“ซ้ายเฉิงเซี่ยง หากท่านต้องการหลักฐาน ก็ต้องเดินข้ามศพข้าไปก่อน” จางกงกงเอ่ยระหว่างที่มือของเขาเอาพัดขึ้นปิดปากหัวเราะเล็ก ๆ เป็นจังหวะที่จางทังยกกระบี่ขึ้น เสียงโลหะดังสะท้อนก้องในอากาศ “และหากท่านคิดจะใช้กฎหมายเป็นมีด ข้าจะใช้ความจริงเป็นโล่”


ไฉ่หลินชะงักไปเพียงเสี้ยวอึดใจกับการไม่ยอมสิโรราบต่อเขาของทั้งสามคน ก่อนดวงตานิ่งสงบจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างชัดเจน รอยยิ้มบัณฑิตที่ประดับอยู่บนใบหน้าคล้ายถูกลอกออก เผยให้เห็นความเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ใต้คราบศีลธรรมมานานนับสิบปี “บังอาจ” เขาเอ่ยเพียงสองพยางค์ น้ำเสียงเรียบ แต่กดทับอากาศรอบป้อมปราการให้หนักอึ้งราวกับหินผา มือหนึ่งของเขายกขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ไม่ต้องการคำอธิบาย เงาดำรอบด้านขยับพร้อมกัน เสียงเกราะกระทบกันดังเป็นคลื่น นักฆ่าและองครักษ์เกราะดำทะยานออกมาจากซากกำแพงและเนินหินไม่ต่ำกว่าหลายสิบ ราวกับฝูงแร้งที่รอคอยกลิ่นเลือด บางจุดหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นพื้นดิน


“ดูเหมือนพวกเจ้าจะประเมินตนเองสูงไป” ไฉ่หลินกล่าวต่อ พลางกวาดสายตาผ่านทั้งสามด้วยความดูแคลน “คนพวกนี้นับได้เกือบร้อย ต่อให้พวกเจ้าคมกล้าเพียงใด ก็ไม่มีทางเดินออกจากตงเหอได้” เขาหยุดสายตาไว้ที่จางกงกง ดวงตาแข็งกร้าว “สั่งสอนพวกมันหน่อยแล้วกัน” น้ำเสียงนั้นเย็นเฉียบเหมือนอ่านบทลงโทษในศาล “และหากขันทีอย่างเจ้าจะตาย ก็หาใบตองรองไว้เสีย เลือดโสโครกของเจ้าไม่ควรเปื้อนแผ่นดินฮั่น”


สิ้นคำนั้นลมพัดแรงขึ้นในวินาทีนั้น หลินหยารู้สึกได้ถึงแรงเกร็งของร่างด้านหน้า จางกงกงหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้มีความขบขันแม้แต่น้อย มันแหลมคมและอัดแน่นด้วยพิษร้ายยิ่งกว่างู “รังเกียจเดียดฉันข้าปานกันถึงเพียงนี้” เขาเอ่ยช้า ๆ พัดในมือเคาะลงบนฝ่ามือเบา ๆ “พูดเหมือนเจ้าสูงส่งนัก แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างกัน” เขาเงยหน้ามองไฉ่หลินตรง ๆ ดวงตาคมกริบสะท้อนแสงเย็น “เจ้าใช้กฎหมายฆ่าคน ข้าใช้มือเปื้อนเลือดเพื่อปกป้องแผ่นดิน หากจะวัดกันว่าใครโสโครกกว่า ข้าว่าพวกเราก็ยืนอยู่บนกองซากเดียวกันนั่นแหละ”


จางทังก้าวม้าขึ้นครึ่งช่วง เสียงกระบี่เหล็กดำดังชัดเมื่อเขาดึงมันออกจากฝัก ดวงตานิ่งสงบแต่แฝงความเด็ดขาด “ซ้ายเฉิงเซี่ยงพูดถึงแผ่นดิน แต่สิ่งที่ท่านทำคือใช้มันเป็นข้ออ้างในการกวาดล้างผู้เห็นต่าง” เขาหันสายตาไปยังฝูงนักฆ่ารอบด้าน “จำนวนคนไม่เคยเป็นตัวตัดสินความถูกต้อง หากวันนี้ท่านคิดจะใช้คนเหล่านี้ลบความจริง ข้าจะจดจำทุกใบหน้าไว้เป็นพยานในศาลของข้า”


ไฉ่หลินหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ คล้ายได้ยินคำพูดไร้เดียงสา “ข้าไม่อยากเสียเวลาปะทะฝีปากกับสิ่งโสโครกอย่างขันทีอสรพิษ” เขาหันหลังให้พวกเขาอย่างไม่ใยดี ชายเสื้อสะบัดตามแรงลม “และไม่จำเป็นต้องฟังอุดมการณ์ของตุลาการหนุ่มที่ยังไม่เข้าใจโลก” ร่างของเขาค่อย ๆ ถอยหายเข้าไปในเงาของซากป้อม ราวกับละลายไปกับความมืด ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าคนจำนวนเท่านี้จะเพลี่ยงพล้ำ


โจวเหยาก้าวออกมาแทน รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นบนใบหน้า ดวงตาเป็นประกายกระหายเลือด “ท่านซ้ายเฉิงเซี่ยงเมตตาเกินไป องครักษ์เกราะดำ นักฆ่าทั้งหมด จัดการพวกมันเสีย อย่าให้เหลือแม้แต่เศษหลักฐานไว้ดูต่างหน้า” ในชั่วอึดใจเดียว วงล้อมหดแคบลง เสียงฝีเท้าหนักแน่นบดขยี้พื้นหิน เสียงคันธนูตึงสาย เสียงหายใจของศัตรูนับร้อยหลอมรวมเป็นแรงกดดันมหาศาล


จางกงกงขยับตัวเล็กน้อย ปิดหลินหยาไว้ด้านหลังอย่างสมบูรณ์ พัดในมือหุบลงช้า ๆ “เสี่ยวหยา” เสียงเขาต่ำและมั่นคง “จำไว้ ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้”


จางทังกำกระบี่แน่น ยืดหลังตรง ดวงตาคมเฉียบมองฝูงศัตรูราวกับมองคดีที่ต้องตัดสิน “ถ้าเป็นสนามรบสุดท้ายจริง ๆ” เขากล่าวเสียงเรียบ “อย่างน้อยความจริงจะไม่ตายไปพร้อมเรา”


เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นพร้อมเสียงคำรามของผู้คน ศึกเริ่มต้นขึ้นโดยไม่ต้องมีสัญญาณใด ๆ มากไปกว่าลมหายใจที่เปลี่ยนจังหวะ นักฆ่าและองครักษ์เกราะดำทะยานเข้ามาราวคลื่นดำที่ซัดใส่ฝั่งหินไม่หยุดยั้ง จางทังเป็นคนแรกที่ขยับ กระบี่หักธรรมเหล็กดำตวัดออกอย่างมั่นคง เส้นคมตัดผ่านอากาศด้วยท่าทีสุขุม แต่ทุกการเคลื่อนไหวแฝงความเด็ดขาด เขาไม่ถอยขยับมือรับหนึ่ง ฟันหนึ่ง ปัดหนึ่ง ราวกับกำลังตัดสินคดีในศาลที่ไร้เสียงค้าน ใบหน้าขาวสะอาดเปื้อนคราบเลือดศัตรูเป็นริ้ว ๆ แต่ดวงตายังนิ่ง ไม่สั่นไหว


จางกงกงอยู่แนวหน้า เสื้อคลุมแดงเข้มโบกสะบัดราวเปลวเพลิงในพายุ พัดถูกหุบเก็บไปตั้งแต่จังหวะแรกที่กระบี่อสรพิษเงามืดถูกชักออกมา คมกระบี่ยาวผิดธรรมดากรีดผ่านเกราะดังแหลมคม ปราณอสรพิษแผ่ซ่านออกมาจากทุกการฟาด ทุกก้าวย่างของเขาไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา แต่เป็นการเข่นฆ่าอย่างเป็นระบบ เยือกเย็น และโหดร้ายเกินมนุษย์


หลินหยาไม่ได้หลบอยู่ด้านหลังอย่างที่ใครคาดคิด นางเคลื่อนไหวคล่องแคล่วราวเงา ขลุ่ยไม้ในมือไม่ใช่ของประดับ หากเป็นอาวุธที่ถูกใช้ด้วยความชำนาญเกินทหารทั่วไป สนับศอก ข้อมือ ขมับ ลำคอ ทุกจุดถูกเลือกอย่างแม่นยำ เสียง “โป๊ก” สั้น ๆ ดังสลับกับเสียงกระดูกแตก นักฆ่าหลายคนทรุดลงโดยไม่ทันรู้ตัวว่าแพ้ตั้งแต่เมื่อไร ใบหน้าหวานยังคงมีรอยยิ้มเจืออยู่ แต่ดวงตาเย็นเฉียบและนิ่งสงบอย่างคนที่รู้ดีว่ากำลังทำอะไร


ทว่าจำนวนคนมากเกินไป คลื่นศัตรูไม่ขาดสาย เลือดหยดลงบนพื้นหินจนชุ่ม จางทังเริ่มหายใจหนักขึ้น แขนซ้ายมีบาดแผลจากคมดาบที่เฉียดผ่าน จางกงกงโดนโจมตีหนักที่สุด ศัตรูพุ่งเข้าใส่เขาเป็นหลัก เพราะรู้ดีว่าเขาคือหัวใจของวงล้อม เสื้อคลุมแดงถูกฉีกขาดเลือดสีเข้มไหลอาบแขนและคมกระบี่


“ท่าน!! ถอยมาเถอะเจ้าค่ะ!” หลินหยาร้องขึ้น เสียงสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นเลือดของจางกงกง


“อย่าเข้ามา!” จางกงกงตวาดกลับทันที เสียงแหบต่ำ ดวงตาคมกริบเหลือบมองนางเพียงเสี้ยววินาที “อยู่ห่างจากข้า!” หลินหยาชะงักงัน นางรู้ดี เลือดของเขาไม่ใช่เลือดธรรมดา มันคือพิษ หากสัมผัสโดยตรง นางจะตาย และเขาก็รู้ดียิ่งกว่าใครว่าในร่างกายนางมีพิษของเขาฝังอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พิษที่เขาใส่ไว้เพื่อผูกมัดนางไว้กับตัวเขาเอง ความบิดเบี้ยวที่เขาไม่เคยปฏิเสธ


จางทังก้าวเข้ามาขวางอีกด้านหนึ่ง แต่จางกงกงสะบัดแขนใส่ศัตรูที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เขาเลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้าใกล้ข้าในตอนนี้ อย่าโง่นักเลยหากพวกเจ้าไม่อยากจะตายในตอนนี้”


“จางกงกงท่านเลือดออกขนาดนั้น จะบอกว่าไม่เป็นอะไรได้อย่างไร!!” หลินหยาเอ่ยขึ้นถาม


เสียงหัวเราะของจางกงกงพลันแปรเป็นเสียงที่ฟังดูแห้งผากต่ำทุ้ม ราวกับก้อนกรวดกลิ้งอยู่ในลำคอของปีศาจ “ข้ามิได้เป็นอะไรหรอก...เสี่ยวหยา” คำพูดนั้นเย็นยะเยือก หากแต่ดวงตาที่คมกริบดุจเหยี่ยวกลับวาวโรจน์ด้วยความคลั่ง เขายกกระบี่อสรพิษเงามืดขึ้นพลางพุ่งเข้าใส่กลุ่มศัตรูอีกครั้งอย่างไม่คิดชีวิต การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสู้รบ แต่มันคือการคลั่งเลือดที่ปลดปล่อยจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ ปราณอสรพิษสีดำทะมึนพลุ่งพล่านออกมาจากร่างเขา ราวกับหมอกพิษที่เข้าปกคลุมสนามรบ คมกระบี่ฟาด ฟัน แทง อย่างไม่มีรูปแบบ ไม่เลือกวิถี แต่เต็มไปด้วยความอำมหิตจนเลือดศัตรูกระเซ็นอาบอาภรณ์สีแดงวิจิตรของเขา


ใบหน้าคมคายที่ปกติแล้วจะนิ่งเฉยถูกบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มที่หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ “พวกเจ้าคิดว่าความตายมันน่ากลัวรึ!?” เสียงต่ำแหลมของเขาฟาดลงกลางวงรบอย่างสายฟ้า “ข้าฆ่าผู้ให้กำเนิดอย่างบิดาของข้าเองมาแล้ว พวกเจ้ามันก็แค่เศษธุลีที่ข้าจะบดขยี้ให้จมดิน”


“ข้าฆ่าล้างตระกูลของตัวเอง!” จางกงกงหัวเราะก้องพื้นที่ แววตาแดงก่ำราวกับเพิ่งดูดกลืนโลหิตสด “เพื่ออยู่รอด! เพื่อมีอำนาจ! เพื่อไม่ต้องถูกเหยียบย่ำเป็นปลิงโสโครกอีกต่อไป!” คำพูดเหล่านั้นเป็นคำประกาศถึงความอำมหิตที่สร้างเขาขึ้นมา


หลินหยาเบิกตาออกเล็กน้อย หัวใจของนางถูกบีบรัดจนเจ็บ ไม่ใช่เพราะตกใจในสิ่งที่ได้ยิน นางรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่ทำให้นางอึ้งงันเพราะจางกงกงในยามนี้ไม่เหมือนคน ไม่ใช่คนรักที่นางคุ้นเคย แต่เขาเหมือนอสรพิษโบราณที่ถลกหนังมนุษย์ออกจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงสัญชาตญาณที่บริสุทธิ์ในการทำลายและครอบครอง


จางทังที่สู้รบอยู่ไม่ไกลเหลือบมองภาพนั้น ดวงตาคมของเขานิ่งแข็งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “จางกงกง…มีสติของเจ้าหน่อย!”


“สติ?” จางกงกงหันมามองเขา รอยยิ้มกว้างบนใบหน้านั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าปีศาจ “นี่แหละ คือสติที่สมบูรณ์แบบของข้า จางทัง” เพราะคำประกาศที่เต็มไปด้วยอำนาจอันบ้าคลั่งนั้น หลินหยาจึงมองจางกงกงอีกครั้ง หัวใจนางเต้นระรัวด้วยความกังวลอย่างแท้จริง นางไม่กลัวเลือดไม่กลัวความโหดร้าย แต่กลัวว่าวันหนึ่งคนรักของนางจะไม่เหลือพื้นที่ให้ความอ่อนโยน หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์เพื่อกลับมาหาเธออีกเลย


ในวินาทีแห่งความเป็นและความตายนั้นหลินหยาได้เลือกแล้ว...


ร่างบางของนางพุ่งฝ่าม่านเลือดและเสียงโลหะเสียดแทรกอย่างเด็ดเดี่ยวขลุ่ยในมือถูกใช้ด้วยจังหวะที่คมชัดและรวดเร็วราวสายฟ้า นางแทรกตัวเข้าไปในช่องว่างที่อันตรายที่สุดข้างกายจางกงกง ปลายขลุ่ยกระทบเข้าที่ข้อมือของโจวเหยา จนเกิดเสียงกระดูกแตกร้าว ชัดเจนท่ามกลางความโกลาหล พลังชีวิตของกุนซือทรุดฮวบลงกึ่งคุกเข่า ถูกตรึงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ฉับพลัน


หลินหยาไม่สนใจศัตรูที่ล้มลง นางหันหลังให้ความตาย ก้าวเข้าไปหาจางกงกงที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งการคลั่งเลือด ร่างสูงใหญ่ยังสั่นเทิ้มด้วยโทสะกระบี่อสรพิษเงามืดในมือยังวาดวนอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาแดงฉานราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงภาพของการสังหาร นางก้าวเข้าไปโอบกอดร่างที่เปื้อนเลือดนั้นไว้แน่น อ้อมแขนอันบอบบางโอบรัดแผ่นหลังแข็งแกร่งอย่างไม่หวั่นเกรงต่อพิษ ความตาย หรือเสียงเตือนใด ๆ ของสติ นางซบหน้าผากลงกับอกของเขา รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจที่รุนแรงและเร็วจนน่ากลัว


“จางกงกง... ท่านกลับมาหาข้าได้ไหมเจ้าคะ” เสียงของนางสั่นเทา หากแต่ทว่าทุกถ้อยคำกลับหนักแน่นราวคำขอสุดท้าย “ได้โปรดเถอะ”


ร่างของจางกงกงแข็งทื่อทันที กระบี่ในมือของเขานั้นสั่นไหว ปราณอสรพิษที่แผ่ซ่านปะทะเข้ากับความอบอุ่นบริสุทธิ์ของอ้อมกอดนั้นอย่างรุนแรง หลินหยาพยายามกลืนก้อนสะอื้นในลำคอ แต่เสียงของนางยังคงมั่นคง “ท่านยังมีความเป็นมนุษย์นะเจ้าคะ” นางกระซิบชิดอกเขาอย่างอ้อนวอน “อย่าให้คำพูดของผู้คนที่ไม่เคยรู้จักความเจ็บปวดของท่าน...เปลี่ยนท่านให้กลายเป็นสิ่งที่ท่านเองก็ไม่อยากเป็นเลย” น้ำตาเอ่อคลอที่ขอบตา แต่นางกลับหลับตาแน่นแล้วสูดลมหายใจของเขาเข้าไปลึก ๆ “ท่านมีข้าไงเจ้าคะ...” เสียงนั้นแผ่วลงแต่หนักแน่นดุจคำสาบาน “ข้ายืนอยู่ตรงนี้” นิ้วเรียวกำเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดแน่น ราวกับกลัวว่าเพียงปล่อยมือเดียวเขาจะหลุดลอยไปตลอดกาลสู่เงามืดที่ไม่อาจหวนคืนได้


“กลับมาหาข้าเถอะ” หลินหยาเอ่ยซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงแตกพร่าด้วยความรักที่ล้นเอ่อ “รักของข้าอาจไม่ได้ล้างบาปของท่านได้ทั้งหมด...แต่ข้าสามารถจะทำให้ท่านยังจำได้ว่าท่านยังรู้สึก...ยังเจ็บ...ยังรัก...และยังเป็นมนุษย์อยู่นะเจ้าคะ” สิ้นคำนั้นลมหายใจของจางกงกงสะดุดขาดห้วง กระบี่ในมือค่อย ๆ ลดต่ำลงอย่างเชื่องช้า ร่างสูงที่เคยแข็งกร้าวสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ปราณอสรพิษที่กระจายตัวเริ่มหดกลับราวกับสัตว์ร้ายถูกปลอบโยน มือที่เปื้อนเลือดของเขาสั่นระริก ก่อนจะค่อย ๆ ยกขึ้นวางลงบนแผ่นหลังของหลินหยาอย่างลังเล ราวกับไม่แน่ใจว่าตนเองยังมีสิทธิ์ที่จะแตะต้องความอบอุ่นและความอ่อนโยนนี้ได้อีกหรือไม่


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

พบเจอเบาะแส จดหมายที่โจวเหยาติดต่อกับนายใหญ่  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 74254 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-12-16 11:26
โพสต์ 74,254 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม จาก โล่ไม้  โพสต์ 2025-12-16 11:26
โพสต์ 74,254 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-12-16 11:26
โพสต์ 74,254 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-12-16 11:26
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-12-26 10:36

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 11-13 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น

ลมเหมันต์พัดผ่านซากป้อมปราการตงเหออย่างยาวนาน แทรกซึมผ่านรอยแตกของกำแพงหินเก่า กลิ่นเลือดคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นดินเย็นจัด ราวกับแผ่นดินเองกำลังกลั้นลมหายใจเฝ้ามองชะตากรรมของผู้คนตรงหน้า ร่างของจางกงกงยืนนิ่งอยู่กลางสนามรบ กระบี่อสรพิษในมือหยุดค้าง ปลายคมสั่นระริกเล็กน้อย เลือดสีเข้มไหลตามแขนเสื้อหยดลงบนพื้นหิน กลายเป็นไอจาง ๆ ในอากาศหนาว ปราณอสรพิษที่เคยกรูออกมาราวพายุเริ่มหดกลับอย่างเชื่องช้า ทว่าดวงตาคมกริบยังแดงฉาน ราวกับยังหลงเหลือเงาอสูรซ่อนอยู่ในส่วนลึก


หลินหยากอดเขาไว้ไม่เปลี่ยนท่า แขนบางแนบแน่นกับแผ่นหลังที่เปื้อนเลือด ความอบอุ่นจากร่างนางตัดกับความเย็นจัดของฤดูหนาวอย่างชัดเจน หัวใจของเขาเต้นแรงอยู่ใต้ฝ่ามือนั้น เต้นแรงเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งผ่านการเข่นฆ่ามาไม่หยุดหย่อน


จางกงกงหลับตาลงช้า ๆ ลมหายใจยาวหนึ่งเฮือกถูกถอนออกมาอย่างหนักหน่วง ราวกับเอาความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งชีวิตออกมาพร้อมกัน ความคลั่งเลือดที่เคยครอบงำจิตใจค่อย ๆ ถอยห่าง เหลือเพียงความว่างเปล่าและความเจ็บปวดที่ไม่อาจปฏิเสธ เขาก้มศีรษะลง หน้าผากแตะกับเส้นผมของหลินหยาโดยไม่รู้ตัว ท่าทางนั้นไม่ใช่ของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่ของขันทีผู้โหดเหี้ยม แต่เป็นของชายคนหนึ่งที่กำลังอ่อนล้าอย่างแท้จริง


“ข้าจะกลับมา” เขาเอ่ยเสียงต่ำ แหบพร่า แต่มั่นคงกว่าครั้งใดที่ผ่านมา คำพูดนั้นไม่ใช่เพียงคำปลอบนาง หากเป็นคำสัตย์ที่เขามอบให้กับตัวเอง “ตราบใดที่เจ้ายังเรียกข้า ข้าจะพยายามไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงทางอีกหากยังมีเจ้าอยู่”


หลินหยาหลับตาลง น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่ได้ไหลลงอาบแก้มอย่างที่เคย นางไม่ได้ร้องไห้อย่างอ่อนแอ หากเป็นน้ำตาของความโล่งใจที่หนักหน่วง ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่หัวใจยังสั่นไหวไปด้วยความกลัว “ข้าไม่เคยคิดจะปล่อยท่านไปเจ้าค่ะ ตั้งแต่ตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้” นางตอบเสียงเบา แต่หนักแน่น “ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม”


ไม่ไกลนัก จางทังยืนพิงกระบี่เหล็กดำ ดวงตาคมเฉียบทอดมองภาพตรงหน้าด้วยความเงียบ เขาไม่กล่าวแทรกหรือเร่งเร้าทั้งสอง เพราะเขารู้ดีว่าวินาทีนี้ไม่ใช่เรื่องของศึก ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของการดึงคนหนึ่งกลับมาจากเงามืดที่ลึกเกินยากหยั่งถึง


ยามบ่ายคล้อยลงมา แสงอาทิตย์อ่อนแรงส่องลอดเมฆสีเทาหม่นลงมายังป้อมปราการร้างตงเหอ ความอบอุ่นที่ควรมีแทบไม่หลงเหลือ เหลือเพียงแสงซีดจางที่สะท้อนบนคราบเลือดแห้งเกรอะกรังกับหิมะบาง ๆ ที่ยังไม่ละลาย กลิ่นสนิมเหล็กและควันจาง ๆ จากการต่อสู้เมื่อครู่ยังคงค้างอยู่ในอากาศ ราวกับสนามรบไม่ยอมปล่อยผู้คนให้หลุดพ้นง่ายนัก


หลังจากจางกงกงสงบลง หลินหยาจึงค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออกอย่างระมัดระวัง นางเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนยังมีร่องรอยความสั่นไหว แต่แฝงด้วยความแน่วแน่ นางใช้มือแตะที่แขนเสื้อสีแดงซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดของเหล่าศัตรูแล้วถอนหายใจเบา ๆ ในใจรู้ดีว่าบาดแผลเหล่านี้ไม่ใช่เพียงผิวกาย หากเป็นรอยแผลที่ฝังลึกถึงชีวิตที่เขาเลือกเดินมา


หลินหยาหันไปมองจางทัง “ท่านจางทัง ช่วยตรวจดูพื้นที่ก่อนเถิด ดูว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่” น้ำเสียงนางอ่อนโยน แต่ชัดเจ“ข้าจะพาเขาไปพัก แล้วค่อยจัดการทำแผลน่ะเจ้าค่ะ”


จางทังพยักหน้าเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะซีดจากการเสียเลือด แต่ดวงตาคมเฉียบยังไม่พร่าเลือน “ระวังตัวด้วย” เขากล่าวสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปยังซากศพและร่องรอยการต่อสู้ที่ยังอุ่นอยู่ในแสงบ่ายที่ผ่านมา


หลินหยาจึงประคองจางกงกงให้เดินไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนเด่นอยู่ไม่ไกลนัก กิ่งก้านเปลือยเปล่ารับลมหนาวส่งเสียงเสียดสีกันเบา ๆ นางจัดให้เขานั่งพิงลำต้นอย่างมั่นคง ก่อนจะถอดผ้าคลุมบางส่วนออกเพื่อดูบาดแผล เลือดสีเข้มตัดกับผิวขาวซีดอย่างน่าตกใจ จางกงกงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องดูแลข้ามากนัก เสี่ยวหยา เจ้าเองก็มีแผล” น้ำเสียงเขากลับมาเรียบเย็นเช่นเดิม แต่แฝงความเป็นห่วงที่ไม่อาจปิดบัง


หลินหยาชำเลืองมองเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ “แผลของข้าเป็นเพียงรอยขีดข่วนเจ้าค่ะ เมื่อเทียบกับท่านแล้ว นับว่ายังโชคดีนัก” นางก้มหน้าลง มือหยิบผ้าสะอาดกับสมุนไพรที่พกติดตัวออกมาอย่างคล่องแคล่ว “อย่าขยับมาก เดี๋ยวแผลจะปรินะเจ้าคะ”


เขามองการเคลื่อนไหวของนางอย่างเงียบงัน ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นผ่านอก ความอบอุ่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าตนเองสมควรได้รับ แต่กลับยึดไว้แน่นราวกับกลัวจะสูญเสียมันไป


ไม่นานนัก จางทังก็กลับมา ในมือมีจดหมายที่เปื้อนคราบเลือดบางส่วน กระดาษยังใหม่แต่ถ้อยคำด้านในหนักหน่วง เขากวาดตามองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขานั้นเคร่งขรึมขึ้นทันที “เป็นจดหมายติดต่อระหว่างโจวเหยากับนายท่านคงจะเป็นไฉ่หลิน” เขากล่าวเสียงต่ำ “มีรายละเอียดมากกว่าที่เราคาดคิดไว้”


หลินหยามองเพียงแวบเดียว ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “หากเป็นเช่นนั้นเรื่องนั้นค่อยว่ากันภายหลังได้หรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ท่านมานั่งก่อนเถอะเจ้าค่ะท่านจางทัง” นางชี้ไปยังหินเรียบใกล้ต้นไม้ “แผลของท่านก็ไม่เบาเช่นกันนะเจ้าคะ”


จางทังชะงักเล็กน้อยราวกับจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาของหลินหยา เขาก็ยอมทำตาม นั่งลงอย่างสงบ ให้หลินหยาจัดการทำแผลให้เขาด้วยท่าทีคล่องแคล่วไม่กับที่เธอทำให้จางกงกง แม้นิ้วของเธอนั้นจะสั่นน้อย ๆ จากความเหนื่อยล้า แต่นางไม่ปล่อยให้ความเจ็บปวดของตนเองรบกวนสมาธิในการช่วยเหลือผู้อื่น


“ขอบคุณ” จางทังกล่าวเบา ๆ ขณะนางพันผ้าให้ “เจ้า…แข็งแกร่งกว่าที่คนทั่วไปมองเห็นนักแม่นางน้อย”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ อีกครั้งเพื่อตอบรับสิ่งนั้น “ข้าเพียงอยากมีชีวิตเรียบง่าย หากไม่ถูกบีบให้ต้องสู้ ก็คงไม่ต้องแข็งแกร่งเช่นนี้”


จางกงกงมองภาพนั้นอย่างเงียบงัน ความหึงหวงแล่นแผ่วในอก แต่ถูกกดทับด้วยเหตุผล เขารู้ดีว่าจางทังมองนางอย่างบริสุทธิ์ใจ ทว่าความคิดที่มีใครอื่นได้เห็นด้านที่อ่อนโยนของหลินหยาก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก ลมหนาวพัดผ่านอีกระลอก แสงบ่ายเริ่มเอนต่ำ เงาของต้นไม้ทอดยาวคลุมร่างทั้งสามคน ราวกับฟ้าดินกำลังปิดฉากศึกชั่วคราวให้พวกเขาได้พักหายใจ


…….


ยามเช้าของเมืองเหอตงเงียบสงบกว่าที่คาด ลมหนาวพัดเอื่อยผ่านถนนหินที่ยังชื้นจากน้ำค้าง กลิ่นควันชาและแป้งนึ่งลอยแทรกมากับอากาศ บรรยากาศของเมืองใหญ่ที่กำลังตื่นจากราตรีเหมันต์ดูสงบงันราวกับไม่รู้เลยว่ามีคลื่นใต้น้ำกำลังซ่อนตัวอยู่ โรงเตี๊ยมเหมยลู่ตั้งตระหง่านอยู่กลางย่านคึกคักที่สุดของเมือง ตัวอาคารไม้ทาสีเข้ม ประดับป้ายอักษรทองเขียนคำว่า เหมยลู่ อย่างสง่างาม ภายในอบอุ่นกว่าภายนอก เตาผิงถูกจุดไว้ตั้งแต่รุ่งสาง กลิ่นไม้สนไหม้อ่อน ๆ ชวนให้ผ่อนคลาย 


ห้องพักใหญ่ชั้นบนถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย เป็นห้องเดียวที่กว้างพอจะรองรับทั้งสามคนโดยไม่สะดุดสายตาผู้อื่น


ในตอนนี้หลินหยานั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้กลม เสื้อผ้าสีอ่อนตัดกับผ้าปูโต๊ะสีเข้ม นางกางแผ่นกระดาษและจดหมายที่รวบรวมมาได้ออกเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบนัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดไปมาอย่างตั้งใจ แม้จะดูจริงจัง แต่ในใจกลับรู้สึกมึนงงเล็กน้อยกับถ้อยคำและเส้นสายที่ซับซ้อนเกินกว่าความถนัดของตน


จางทังยืนพิงขอบหน้าต่าง แสงเช้าส่องกระทบอาภรณ์สีขาวสะอาดจนดูสงบนิ่ง เขาถือจดหมายฉบับหนึ่งในมือ อ่านอย่างละเอียด สีหน้าเคร่งขรึม “ปลายทางคือเมืองตงอู่ ไฉ่หลินจะไปปรากฏตัวที่โรงหอประมูลเฉียนคุน ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการซื้อขายของหายาก ผู้มีอำนาจและเงินทองจะมารวมตัวกัน”


จางกงกงนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พัดในมือของเขานั้นกางออกช้า ๆ ดวงตาคมกริบฉายแววครุ่นคิด “หอประมูลเฉียนคุนไม่ใช่ที่ที่กฎหมายจะเข้าไปเดินอย่างเปิดเผยได้ง่าย” น้ำเสียงเขานุ่มลึกแต่แฝงความเย็น “ยิ่งเป็นไฉ่หลิน ยิ่งเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ครบถ้วน”


จางทังหันมามองกลับมาทางจางกงกงโดยตรง “นั่นยิ่งเป็นเหตุให้ต้องจับกุมตามกฎหมาย หากปล่อยให้คนเช่นเขาลอยนวล บ้านเมืองจะเหลืออะไรให้ยึดถือ ข้าสามารถออกหมาย จัดการบุกจับอย่างเป็นทางการ” น้ำเสียงของจางทังนั้นยังคงสุภาพ แต่แฝงความแข็งกร้าวบ่งบอกถึงอารมณ์บางอย่าง


จางกงกงหัวเราะเบา ๆ ปลายพัดเคาะลงกับฝ่ามือกับความคิดของจางทัง เขาหันกลับไปมองสหายเก่าของตนเองอย่างเต็มดวงตา “เจ้ายังมองโลกตรงเกินไป จิ่งสิง” เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย “นางใหญ่อย่างไฉ่หลินน่ะ มีเครือข่ายมากกว่าที่กฎหมายจะมัดได้ ต่อให้เจ้าถือหมายจับ เขาก็มีทางดิ้นหลุด”


“แล้วจะให้ทำอย่างไร ฆ่าทิ้งเสียเลยหรือไร” จางทังสวนกลับทันที ดวงตาคมวาวขึ้น “ความคิดนั้นของเจ้านั่นไม่ใช่ความยุติธรรม แต่เป็นการตัดสินโดยพลการ”


“ข้าไม่ได้พูดถึงการฆ่าโดยไร้เหตุผล” จางกงกงตอบเสียงเรียบ แต่ถ้อยคำคมราวมีด “ข้าพูดถึงการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ทำให้เขาหมดอำนาจ หมดหลักฐาน และหมดทางเล่นเกมกับบ้านเมืองที่เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้เลิศประเสริฐทีร่จะใช้มัน”


ทันทีที่มีการปะทะคารมบรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นทันที สองบุรุษที่เคยสนิทชิดเชื้อเป็นสหายรักนั้นยืนอยู่คนละฝั่งของเส้นทางเดียวกัน ความคิดของทั้งสองนั้นปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ความเงียบแทรกระหว่างคำพูดหนักอึ้งจนแทบได้ยินเสียงฟืนแตกในเตาผิง จนหลินหยาที่นั่งฟังอย่างงงวยได้แต่ถอนหายใจ นางกะพริบตาปริบ ๆ พยายามตามเหตุผลที่ซับซ้อนเหล่านั้นให้ทัน แต่ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ในใจนางคิดเพียงว่า 


คนฉลาดทะเลาะกันนี่ช่างน่าปวดหัวจริงเว้ย…


“เอ่อ…” หลินหยาเอ่ยขึ้นในที่สุด แม้ว่าจะเสียงไม่ดังแต่พอให้ทั้งสองหันมามอง “ข้าว่าพวกท่านทั้งสองเถียงกันไปก็ไม่จบหรอกเจ้าค่ะ” 


เมื่อได้ยินคำห้ามทัพจางทังเลิกคิ้วเล็กน้อย ส่วนจางกงกงหุบพัดลง ทั้งสองนั้นมองหลินหยาอย่างสนใจ เพราะปกติหลินหยามักจะเป็นฝ่ายห้ามทัพของทั้งสองคนเสมอ


หลินหยาขยับกระดาษไปกองหนึ่งแล้วชี้เบา ๆ “แทนที่จะคิดว่าจะจับหรือจะตัดไฟ ข้าว่าเราควรคิดก่อนว่า จะเข้าไปในหอประมูลเฉียนคุนอย่างไรดี ที่นั่นไม่ใช่ตลาดเช้าขายผักปลาที่ใครหน้าเดิมเข้าไปแล้วจะไม่เป็นอันตราย มองอย่างไรจากเหตุการณ์นี้ไฉหลินย่อมระวังตัวหนักแน่ที่เรากำจัดลูกของเขาไปได้เป็นกระพรวน” นางหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนดวงตาจะสว่างขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ค่อยมีชื่อเสียงในวงการอำนาจ หากปลอมตัวเป็นเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งจากตงไห่ คงไม่สะดุดตามากนัก ส่วนพวกท่าน…” จางกงกงมองนางทันที แววตาฉายความคิดตามอย่างรวดเร็ว


“ท่านจางทังเป็นถึงถิงเว่ย” หลินหยากล่าวต่ออย่างจริงจัง “หากปรากฏตัวตรง ๆ คงทำให้คนในหอประมูลตื่นตัวเกินไป จะยิ่งทำให้กระต่ายนั้นตื่นกลัวจนกลายเป็นเต่าหัวหดเป็นแน่เจ้าค่ะ”


จางทังพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “เช่นนั้นข้าขอเป็นคนขับรถม้าดีกว่า” เขากล่าวอย่างไม่ติดใจใด ๆ “อยู่เบื้องหลังย่อมสังเกตการณ์ได้ชัดเจนกว่า” เขาเอ่ยแบบนั้นแต่ความจริงแล้วในใจของเขาแค่ไม่อยากเป็นคนติดตามหลินหยาเพราะความหึงหวงของจางกงกงนั้นชัดเจนยิ่งกว่าที่เขารู้แะเข้าใจเสียอีก จางทังฉลาดพอที่จะรู้ว่าหลินหยาคือคนที่จางกงกงนั้นหวงแหนได้ขนาดที่อาจพร้อมทำลายประเทศเพื่อนางเลยก็ได้


หลินหยาหันไปมองจางกงกง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า “ส่วนท่าน…” นางเอียงศีรษะเล็กน้อย “เป็นผู้ติดตามหน้าหยกของข้า ดีหรือไม่เจ้าคะ” คำพูดนั้นทำให้จางกงกงชะงักไปเพียงชั่ววินาที ก่อนรอยยิ้มที่คาดเดาได้ยากจะปรากฏขึ้น “ผู้ติดตามของเศรษฐีนี…” เขาทวนช้า ๆ ดวงตาคมกริบจ้องนาง “อย่างน้อยก็เป็นตำแหน่งที่ได้อยู่ใกล้เจ้า”


หลินหยายิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “และยังช่วยปกปิดฐานะจงฉางชื่อของท่านได้ด้วยไงเจ้าคะ”


จางทังเหลือบมองทั้งสองคนอย่างสงบ ในใจแม้จะรู้สึกถึงบรรยากาศบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ซักถามอะไรออกไป เขาเพียงกล่าวสรุปเหตุการณ์ “เช่นนั้น ตกลงตามนี้”


……


ยามดึกของเหมันต์ฤดู เงียบงันราวกับโลกทั้งใบยอมหลับใหลไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่ส่องผ่านช่องหน้าต่าง กระทบพื้นไม้ในห้องพักของโรงเตี๊ยมเหมยลู่เป็นลายเงาอ่อนบาง อากาศเย็นจัดแต่ภายในห้องกลับอบอุ่นจากตะเกียงน้ำมันที่ยังไม่ดับ กลิ่นไม้กฤษณาอ่อน ๆ ลอยคลอเคลียอยู่ในอากาศ ชวนให้ความเหนื่อยล้าทั้งวันค่อย ๆ คลายลง หลินหยาพึ่งอาบน้ำเสร็จ ผมยาวยังชื้นเล็กน้อย ถูกปล่อยคลุมบ่าอย่างไม่ตั้งใจ เสื้อผ้าบางสีอ่อนแนบกับผิวเรียบเนียน นางเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา 


เมื่อเห็นจางกงกงนั่งอยู่บนเตียง ร่างสูงในอาภรณ์สีแดงเข้มตัดกับผ้าปูสีเรียบ ดวงตาคมกริบทอดมองแสงจันทร์เงียบ ๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องไกลตัว


หลินหยาก้าวเข้าไปใกล้ ตั้งใจจะนั่งลงข้างเขาอย่างที่เคยทำ ทว่ามือของนางกลับถูกคว้าไว้ก่อน นิ้วเรียวยาวของจางกงกงจับข้อมือนางแน่นแต่ไม่เจ็บ ดึงให้หลินหยาขยับเข้ามายืนตรงหน้าชิดกายเขา ระยะห่างหดสั้นจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน จางกงกงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคมสะท้อนเงาจันทร์วูบไหว ความเย็นชาที่มักประดับอยู่เสมออ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หลินหยาก้มสายตามองเขาเช่นกัน ใบหน้าคมคายที่ผ่านศึกหนักมาทั้งวันยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้า แต่กลับดูจริงยิ่งกว่าเดิม


“ข้าคิดถึงเรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ยเสียงต่ำ แผ่วราวกับกลัวจะรบกวนความเงียบของราตรี “เมื่อครั้งเมืองจี้ วันที่เจ้ามาตามข้า” 


หลินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน ภาพวันเก่า ๆ ผุดขึ้นในความคิด วันที่ชายผู้นี้ยังซ่อนตัวอยู่หลังเงาอำนาจและความโหดร้าย จนยากจะมองเห็นความเหนื่อยล้าที่แท้จริงของเขา นางยกมือขึ้น นิ้วเรียวเกลี่ยแก้มของจางกงกงอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นอ่อนโยนราวกลัวเขาจะแตกสลาย “ตอนนั้นทำให้ข้ารู้เจ้าค่ะ” หลินหยากล่าวเสียงนุ่ม “ว่าสุดท้ายแล้ว ท่านก็ไม่ใช่ความโหดร้ายที่แท้จริง เพราะท่านเองก็ต้องการการพักผ่อน เฉกเช่นชายมนุษย์ทั่วไป”


จางกงกงนิ่งไปชั่วครู่ มือที่จับข้อมือนางกระชับขึ้นเล็กน้อย ราวกับยึดสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตอยู่ในยามนี้ ดวงตาคมฉายแววหวงแหนอย่างไม่ปิดบัง “เจ้าไม่รู้หรอกว่าโลกภายนอกมองเจ้าอย่างไร” เขากล่าวช้า ๆ “และข้าไม่ชอบเลยสักนิด”


คำพูดนั้นทำให้หลินหยาหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหัวเราะใสสะอาดแตกต่างจากความเงียบของราตรี “ท่านนี่ขี้หึงไม่เปลี่ยนจริง ๆ” นางเอ่ยพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดู


จางกงกงขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิด สีหน้าเรียบเย็นแต่แววตากลับจริงจังอย่างน่าประหลาด “เจ้าเป็นสตรีของข้า ข้าย่อมต้องหวง” 


น้ำเสียงนั้นหนักแน่นดุจคำสัตย์ต่อหน้าหลินหยา นางมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหลินหยาจะตัดสินใจโน้มตัวลงขยับใบหน้าของนางเข้าใกล้เขาช้าๆ จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา นางประทับจูบแผ่วเบาลงบนริมฝีปากของเขา สัมผัสนั้นแผ่วราวปีกผีเสื้อ... ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่นางกำลังจะถอนริมฝีปากออก ความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเย็นชาก็ปะทุขึ้นมาทันที จางกงกงส่งเสียง "อืมม..." ในลำคอแผ่วเบา เป็นเสียงทุ้มต่ำที่สั่นสะท้านไปถึงหัวใจนาง มันเต็มไปด้วยความโหยหาและหวงแหน...


มือที่เคยประคองเอวไว้หลวมๆ กลับรัดแน่นขึ้นจนร่างบางแทบฝังเข้าไปในอกกว้าง อีกมือหนึ่งเลื่อนขึ้นมาท้ายทอย นิ้วเรียวแทรกซอนเข้าไปตามเส้นผมที่ยังชื้นน้ำ บังคับให้หัวใจของนางต้องรับแรงอารมณ์ที่เขาส่งผ่านมาอย่างเลี่ยงไม่ได้


เพียงสัมผัสกันไม่กี่อึดใจ จางกงกงก็เป็นฝ่ายยึดครองลมหายใจของนางทันที มือหนาที่ท้ายทอยออกแรงกดเพียงเล็กน้อยแต่หนักแน่น ...บังคับให้ริมฝีปากบางของหลินหยาต้องเปิดออก “อื้อ…” นางหลุดเสียงประท้วงที่แผ่วเบาเกินกว่าจะห้ามปรามได้ ก่อนจะถูกเขาช่วงชิงลมหายใจไปในทันที… รับสัมผัสที่ขยับระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นร้อนผ่าวของเขาแทรกซอนเข้ามาอย่างช่ำชองและมีจังหวะจะโคน เขาไม่ได้จู่โจมอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับค่อย ๆ เล็มเลียและหยอกล้ออย่างผู้ที่เหนือกว่า ต้อนให้ปลายลิ้นเล็ก ๆ ของหลินหยาจนมุมและต้องเกี่ยวพันตอบสนองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เสียงหอบพร่าประสานกับเสียงชื้นแฉะแผ่วบางจากสัมผัสที่รุกรานลึกซึ้งยิ่งทำให้ห้องที่เงียบสงัดร้อนระอุขึ้นมาทันตา...


มันเป็นจูบที่เต็มไปด้วยทักษะของบุรุษผู้กุมอำนาจที่รู้ว่าควรจะเล่นกับใจอิสตรีเช่นไร เขารู้ดีว่าต้องผ่อนหนักผ่อนเบาตรงไหน รู้ว่าต้องกดจูบเน้นย้ำที่มุมปากอย่างไรให้นางสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เสียงลมหายใจที่เริ่มติดขัดและเสียงชื้นแฉะจากการแลกเปลี่ยนสัมผัสอันลึกซึ้ง ดังก้องอยู่ในความเงียบจนหลินหยาหน้าแดงซ่าน มวลท้องของนางบิดมวนราวกับมีผีเสื้อนับพันกระพือปีกอยู่ข้างในจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่


“อ่า...” จางกงกงครางในลำคออีกครั้งด้วยความพึงใจ เขาผ่อนลมหายใจร้อนๆ รดรินพวงแก้มขณะกดจูบซ้ำๆ ลากไล้ปลายลิ้นไปตามเพดานปากและรุกรานลึกซึ้งยิ่งขึ้น สัมผัสนั้นทั้งเร่าร้อนและดุดันจนนางรู้สึกเหมือนอากาศในห้องถูกพรากไปหมดสิ้น มือหนาที่เอวรัดแน่นขึ้นจนร่างของนางแนบชิดไปกับแผงอกแข็งแกร่ง ราวกับเขาต้องการจะหลอมรวมนางเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อย้ำเตือนว่านางเป็นของเขา... 


และเขาคือผู้เดียวที่ครอบครองรสหอมหวานนี้ของนางได้


เมื่อเขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เส้นด้ายใสบางเบาเชื่อมโยงคนทั้งคู่ไว้ชั่วครู่ หลินหยาหอบหายใจจนอกเพื่อม “อือ...” นางพยายามสูดอากาศเข้าปอดขณะที่ดวงตาฉ่ำปรือจ้องมองเขา ริมฝีปากที่บวมเจ่อแดงก่ำถูกจางกงกงกดจูบหนักๆ ลงไปที่มุมปากอีกครั้งด้วยความหวงแหน


“พอจะทำให้เจ้าคิดถึงเมื่อครั้งนั้นได้หรือไม่เสี่ยวหยา?" เขาพึมพำชิดริมฝีปาก น้ำเสียงทุ้มพร่าแฝงความขี้หึงที่ดูอันตรายแต่กลับน่าหลงใหลจนยากจะถอนตัว... คาดว่าคราวคืนนี้นางอาจจะต้องรับอารมณ์ของขันทีอสรพิษเสียแล้ว

           ย่อสรุปเหตุการณ์ : หลังศึกที่ซากป้อมตงเหอ จางกงกงเกือบถูกความคลั่งเลือดกลืนกิน แต่หลินหยากอดเขาแน่นจนปราณอสรพิษค่อย ๆ หดกลับ เขายอมก้มหน้าพิงนางและให้คำสัตย์เสียงแหบพร่าว่า “จะกลับมา” ตราบใดที่นางยังเรียกเขา หลินหยาฝืนความเหนื่อยล้าทำแผลให้ทั้งจางกงกงและจางทัง จางทังพบจดหมายเลือดเปื้อน เป็นหลักฐานติดต่อระหว่างโจวเหยากับไฉ่หลิน 

           เช้าวันถัดมาที่โรงเตี๊ยมเหมยลู่ ทั้งสามถกกันเรื่องที่จางทังต้องการจับไฉ่หลินตามกฎหมายและจางกงกงต้องการตัดไฟไฉ่หลินตั้งแต่ต้นลม ก่อนหลินหยาสรุปทางออกที่ฉลาดกว่า คือวางแผนแฝงตัวเข้าหอประมูลเฉียนคุนในเมืองตงอู่ ที่ไฉ่หลินหรือนายใหญ่จะเข้าไปปรากฎตัว (คาดว่า) โดยให้หลินหยาเป็นเศรษฐีนีปลอมตัวเพราะนางไม่มีชื่อเสียงมากมาย ให้ทั้งสองเป็นผู้ติดตาม จางทังเลยบอกว่าขอเป็นคนขับรถม้า และจางกงกงให้เป็นผู้ติดตาม เพื่อไม่ให้ไฉ่หลินไหวตัวทัน 

           คืนนั้นบรรยากาศเปลี่ยนเป็นส่วนตัว จางกงกงพูดตรง ๆ ว่าเขาหวงหลินหยาและไม่ชอบให้โลกภายนอกมองนางอย่างไร ก่อนดึงนางเข้ามาใกล้และจูบอย่างร้อนแรง ราวกับย้ำเตือนกับนางว่านางเป็นของเขาเสมอ

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 90,711 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 90,711 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 90,711 ไบต์และได้รับ +40 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +35 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 90,711 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 90,711 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-12-27 09:28

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง เงาอัคคีใต้ผืนฟ้ากังวาน
วันที่ 13-20 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามซื่อ เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ณ เขตเหอตง จักรวรรดิต้าฮั่น

           ยามเช้าของเหมันต์ฤดู เมืองเหอตงยังคลุมด้วยหมอกขาวบาง แสงอาทิตย์ยามสายสาดลงมาอย่างอ่อนแรง กระทบหลังคากระเบื้องและถนนหินจนเกิดเงาสีเงินหม่น อากาศเย็นสะท้านผิว แต่กลับมีชีวิตชีวากว่าค่ำคืนที่ผ่านมา เสียงพ่อค้าแม่ขายเริ่มดังประปราย กลิ่นขนมร้อนกับน้ำชาลอยปะปนในลมหนาว เป็นเช้าที่ดูสงบเกินกว่าจะเชื่อว่าภายใต้เมืองนี้กำลังซ่อนเงาอำนาจของไฉ่หลินเอาไว้


           หลินหยาห่มผ้าคลุมสีอ่อน เดินออกจากโรงเตี๊ยมเหมยลู่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนกวาดมองสองข้างทางอย่างสนใจ นางเอ่ยเสียงสดใส “ถ้าอยากให้แผนมันแนบเนียน เราควรมีรถม้าของเมืองนี้สักคันนะเจ้าคะ ม้ามีแล้ว ซื้อแค่รถก็พอ ประหยัดเงินด้วย” น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนแม่ค้าคิดบัญชีมากกว่านักวางแผนลอบจับขุนนางใหญ่


           ร้านขายรถม้าตั้งอยู่ใกล้ประตูเมือง ไม้เก่าขัดมันจนขึ้นเงา เสียงล้อไม้กระทบพื้นดังเอี๊ยดอ๊าดเมื่อพ่อค้าลองขยับรถให้ดู หลินหยาวนดูรอบคันอย่างตั้งใจ มือเรียวเคาะเบา ๆ ที่ขอบไม้ ทดสอบความแข็งแรงอย่างคนคุ้นชินกับการต่อรอง “คันนี้ล้อแน่นดี ไม่ดังมาก มีลวยลายพอประมาณ” นางยิ้มพอใจ ก่อนควักเงินจ่ายอย่างไม่อิดออด


           เมื่อรถม้าถูกเข็นออกมา จางทังก็รับหน้าที่จัดการม้าอย่างเงียบขรึม มือเขาจับสายบังเหียนมั่นคง ผูกม้าเข้ากับรถอย่างชำนาญ ท่าทางสงบ สุภาพ และแม่นยำทุกการเคลื่อนไหว “ม้าพวกนี้นิสัยดี หากดูแลให้คุ้นกับรถ ไม่เกินครึ่งวันก็วิ่งได้โดยไม่กระทบมากนัก” เขากล่าวเสียงเรียบ ราวกับกำลังรายงานงานราชการ


           เมื่อทุกอย่างเข้าที่ หลินหยาก็หันกลับไปมองจางกงกง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ได้การแล้ว” นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านแต่งตัวเข้มเกินไป มันน่ากลัว คนเห็นก็รู้ทันทีว่าไม่ธรรมดา จะปลอมเป็นผู้ติดตามเศรษฐีนีได้ยังไง ท่านต้องดูอ้อนข้าหน่อยสิ เป็นผู้ติดตามหน้าหยกของข้าไงเจ้าคะ”


           จางกงกงเลิกคิ้ว ดวงตาคมกริบฉายแววไม่พอใจปนขบขัน “เสี่ยวหยา เจ้ากำลังจะให้ข้าทำเรื่องใดกัน” น้ำเสียงเยือกเย็น แต่แฝงความระแวงอย่างชัดเจน  “ข้าก็แต่งเช่นนี้มาตลอด” น้ำเสียงเขาเรียบเย็น แต่แฝงแรงกดดันตามนิสัย


           หลินหยากลับยิ้มกว้าง จับแขนเขาแล้วลากกลับเข้าโรงเตี๊ยมอย่างไม่ฟังคำทักท้วง “เรื่องสำคัญของแผนเจ้าค่ะ ท่านต้องเชื่อข้า”


           ไม่นานนัก จางกงกงก็ถูกบังคับให้นั่งนิ่งอยู่กลางห้อง เสื้อผ้าอาภรณ์สีแดงเข้มถูกถอดออกทีละชั้น เปลี่ยนเป็นชุดผ้าเนื้อนุ่มสีอ่อนอมชมพู ลวดลายปักเรียบงามคล้ายเมฆหมอก คาดเอวด้วยสายผ้าสีแดงหม่นเรียบง่าย เส้นผมยาวถูกรวบอย่างเป็นระเบียบ ปล่อยปอยเล็ก ๆ ลงข้างแก้ม ทำให้ใบหน้าคมคายที่เคยดูดุดันกลับอ่อนลงอย่างประหลาด เขามองเงาสะท้อนในกระจกไม้ครู่หนึ่ง ความรู้สึกแปลกใหม่แล่นวูบในอก จากขันทีผู้ทรงอำนาจ กลับกลายเป็นบุรุษหน้าหยกผู้ดูสุภาพอ่อนโยนจนแทบจำตัวเองไม่ได้ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นอย่างไม่เต็มใจ แต่เขาไม่ยอมเอ่ยออกมา


           “หืม แบบนี้แหละเจ้าค่ะ” หลินหยาพยักหน้าอย่างพอใจ “ดูสะอาดตา นุ่มนวล ใครจะคิดว่าท่านคือจงฉางชื่อแห่งราชสำนัก” นางเอ่ยพลางจัดชายแขนเสื้อของจางกงกงให้เรียบร้อย


           ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านข้าง จางทังที่ยืนพิงเสาอยู่ก่อนแล้วถึงกับกลั้นไม่อยู่ เขาหัวเราะจนต้องยกมือปิดปาก ดวงตาคมฉายแววขบขันอย่างชัดเจน “นี่มัน…เหมือนการฟอกขาวทั้งตัวจริง ๆ” เขากล่าวพร้อมหัวเราะอีกครั้ง “ถ้าเหล่าขุนนางในราชสำนักเห็น คงจำแทบไม่ได้ว่าท่านคือใคร” จางกงกงหันไปมองจางทังด้วยหางตาเย็นเฉียบ แต่เพราะอาภรณ์ใหม่และบรรยากาศยามเช้า สายตานั้นกลับดูไม่ดุร้ายดังเดิม 


           เป็นจังหวะที่หลินหยากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ยกมือปิดปากอย่างพยายามรักษามารยาท แต่ไหล่ก็ยังสั่นเล็กน้อย “เห็นไหมเจ้าคะ แผนเราดีแค่ไหน” นางหันไปมองจางกงกง ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ต่อไปนี้ท่านคือผู้ติดตามหน้าหยกของข้า อย่าทำหน้าดุเกินไปล่ะ เดี๋ยวคนจับพิรุธได้” เพราะหลินหยาเอ่ยแบบนั้นจนทำเอาเขาถอนหายใจเบา ๆ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มบางอย่างไม่รู้ตัว “เพราะเป็นเจ้า ข้าจึงยอม” เสียงนั้นต่ำและจริงจัง จนหลินหยาชะงักไปเพียงชั่ววูบ ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจยิ่งกว่าเดิม


           ทว่าหลังจากนั้นในช่วงที่หลินหยากำลังจัดข้าวของเล็กน้อยอยู่ใกล้หน้าต่าง เสื้อผ้าสีอ่อนของนางสะท้อนแสงเช้าอย่างนุ่มนวล ท่าทางคล่องแคล่วตามนิสัยเดิม ราวกับเรื่องปลอมตัวเป็นเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง นางกำลังจะเอ่ยปากเร่งให้จางกงกงเตรียมตัวออกเดินทาง หากอีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงคมบางอย่าง


           “เสี่ยวหยา… เจ้าเองก็ต้องแต่งตัวใหม่เช่นกัน”


           คำพูดนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง หลินหันกลับมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่เชื่อหู ก่อนจะสวนกลับอย่างไว “เหตุใดต้องแต่งเจ้าคะ ข้าก็ดูดีอยู่แล้วมิใช่หรือ ชุดนี้ก็สะอาดเรียบร้อย ข้าคิดว่าเพียงพอแล้ว”


           จางกงกงนั่งอยู่ใกล้โต๊ะ เขายกพัดในมือขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกริบกวาดมองหลินหยาอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สายตานั้นเป็นสายตาของคนรัก ที่แฝงสายตาของผู้คุมเกม ผู้ที่มองเห็นรายละเอียดทุกเส้นด้ายและทุกช่องโหว่ เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย “ดูดีในฐานะแม่ค้าร้านเล็ก ๆ อาจใช่ แต่ในฐานะเศรษฐีนีผู้มั่งคั่ง? ไม่เลย” เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย “ใบหน้าของเจ้าดูอ่อนเกินไป ท่าทางคล่องแคล่วเกินไป เสื้อผ้าผืนนี้เนื้อผ้าทอหยาบ สีอ่อนเกินไป มวยผมก็เหมือนสตรีแก่นแก้วที่พร้อมจะวิ่งหนีทุกเมื่อ ไร้ทั้งบารมีและความหนักแน่น”


           คำพูดแต่ละคำราวกับเข็มเล่มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอย่างแม่นยำ หลินหยาหน้าแดงขึ้นทันที นางอ้าปากจะเถียง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร จางกงกงก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “หากไฉ่หลินเห็นเจ้าเช่นนี้ เขาจะไม่เชื่อว่าเจ้าคือผู้ถือเงินทองนับหมื่นตำลึง เขาจะเห็นเพียงเด็กสาวที่ปลอมตัวมาเล่นละคร”


           เสียงหัวเราะดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของห้อง จางทังที่ยืนพิงเสาอยู่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก หัวเราะจนไหล่สั่น “จางกงกง… ปากของเจ้านี้ยังคงร้ายกาจไม่เปลี่ยนจริง ๆ”


           หลินหยาหันไปมองจางทังด้วยสายตาคาดโทษ ก่อนจะหันกลับมามองจางกงกงอีกครั้ง ใบหน้าของนางแดงเรื่อทั้งเขินทั้งงอน “ท่านนี่มัน… ช่างสังเกตเสียจริง แล้วก็ยังปากร้ายกว่าที่ข้าคิดอีกต่างหาก!” นางพึมพำเบา ๆ ในใจ ทั้งหงุดหงิดทั้งรู้สึกประหลาด เพราะทุกคำที่เขาพูดกลับตรงความจริงจนน่าโมโห


           จางกงกงเพียงยกคิ้วเล็กน้อย แววตาฉายความพอใจอย่างไม่ปิดบัง “ข้าเพียงต้องการให้แผนของเราสมบูรณ์เท่านั้น หากจะปลอมเป็นเศรษฐีนี ก็ต้องให้ผู้คนเชื่อจนไม่กล้าตั้งคำถาม”


           สุดท้ายหลินหยาก็ถอนใจยาว รู้ดีว่าตนเถียงไม่ชนะ นางหันหลังเดินกลับเข้าห้องด้วยท่าทางเสียไม่ได้ ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจางทัง และสายตาของจางกงกงที่มองตามแผ่นหลังนั้นอย่างนิ่งงัน


           ไม่นานนัก ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง



           หลินหยาก้าวออกมาในชุดใหม่ ผ้าไหมเนื้อละเอียดสีอ่อนนุ่มไหลไปตามสัดส่วน รอยปักเรียบหรูแต่ไม่โอ้อวด แฝงความสงบและหนักแน่น ทรงผมถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต มีปิ่นเรียบเสียบประดับ ทำให้ลำคอดูระหง ผิวพรรณยิ่งขับความนวลเนียน ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์ดั่งสตรีแรกรุ่น ทว่ากลับแฝงความสุขุมของสตรีผู้ผ่านโลกมาแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนนิ่งขึ้น ไม่ฉูดฉาด แต่ลึกและมั่นคง


           และนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงันไปชั่วขณะ


           จางทังเป็นคนแรกที่หลุดคำออกมา “งดงามจริง ๆ” เขาพยักหน้าอย่างยอมรับโดยไม่คิดปิดบัง “ดูเป็นสตรีผู้มีศักดิ์ศรี น่าเชื่อถือยิ่งนัก” 


           ยังไม่ทันที่คำชมนั้นจะจางหาย จางกงกงที่กำลังอยู่ในภวังค์ก็หันขวับไปมองจางทังทันที แววตาคมกริบฉายประกายเย็นยะเยือก ราวกับเตือนอย่างไร้เสียงว่าคำชมเชยนั้นเกินจำเป็น แววหวงแหนฉายชัดจนไม่ต้องเอ่ยคำใด เขาลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปใกล้หลินหยา สายตาของเขามองนางราวกับกำลังประทับภาพนี้ไว้ในใจ ในความคิดลึกที่สุดของเขา สตรีตรงหน้ามิใช่เพียงคู่แผนหรือผู้ร่วมทาง นางคือฮูหยินของเขา ผู้เดียวที่เขายอมให้ยืนเคียงข้างในโลกอันโหดร้ายนี้


           “เช่นนี้แหละเสี่ยวหยา” เขากล่าวเสียงต่ำ “จึงจะคู่ควรกับบทบาทของเจ้า”


           คำชมนั้นทำให้หลินหยากะพริบตาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเขินอาย แสงเช้าอาบไล้ร่างของทั้งสามคน เงาไม้ทอดยาวบนพื้นดิน เหมือนเป็นลางบอกว่าการเดินทางครั้งต่อไปจะไม่ใช่เพียงการล่าศัตรู หากแต่เป็นบททดสอบหัวใจและชะตาที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า


           ยามเช้าของกลางเหมันต์ฤดูยังคงเย็นใส แสงแดดอ่อนบางลอดผ่านหมอกจางที่ลอยคลอพื้นถนนหิน เสียงล้อไม้เสียดสีกับดินแข็งดังเอี๊ยดอ๊าดช้า ๆ รถม้าคันใหม่จอดรออยู่หน้าที่พัก สีไม้เข้มถูกขัดจนเงาเล็กน้อย กลิ่นไม้สดผสมกับกลิ่นฟางแห้งของคอกม้าลอยมาแตะปลายจมูกให้รู้สึกถึงการเดินทางที่กำลังเริ่มต้น


           หลินหยาก้าวขึ้นไปบนรถม้าก่อนคนแรกอย่างสง่างาม เสื้อผ้าของนางพลิ้วไหวเล็กน้อยยามขยับตัว ท่าทางสงบเสงี่ยมแตกต่างจากวันก่อนอย่างชัดเจน นางนั่งลงด้านในอย่างเรียบร้อย มือวางซ้อนกันบนตัก ราวกับสตรีผู้คุ้นชินกับการเดินทางโดยรถม้าหรูหรา อีกคนก้าวตามขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ นั่งลงฝั่งตรงข้าม สายตาคมกริบกวาดมองภายนอกผ่านช่องม่านรถม้าอย่างระแวดระวัง แม้จะปลอมกายเป็นเพียงผู้ติดตาม แต่ท่วงท่านั่งยังคงแฝงอำนาจโดยไม่รู้ตัว เขาขยับม่านให้ปิดลงเล็กน้อย ปิดบังสายตาจากภายนอก ก่อนจะเอนหลังพิงอย่างสงบ แต่สติกลับตื่นตัวตลอดเวลา


           ด้านนอก อีกคนหนึ่งขึ้นนั่งประจำที่คนขับรถม้า มือจับสายบังเหียนอย่างมั่นคง ท่าทางผ่อนคลายกว่าที่เคยเป็นในหลายวันมานี้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ โดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยตำแหน่งนี้ก็ช่วยให้เขาไม่ต้องทนฟังการปะทะคารมกับจางกงกงที่เกิดขึ้นแทบทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้กันในพื้นที่แคบ


           จางทังชำเลืองมองทางเบื้องหน้า ถนนยาวทอดออกจากเมืองเหอตงราวกับเส้นด้ายสีเทาเลื้อยหายไปในม่านหมอก เส้นทางสายนี้จะพาพวกเขาลงใต้และอ้อมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งสู่เมืองตงอู่ เมืองท่าที่ใกล้ทะเลและเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ


           ม้าทั้งสองตัวเริ่มขยับกีบอย่างเป็นจังหวะ เสียงโลหะกระทบสายรัดดังแผ่ว ๆ รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนออกจากเขตเมือง บ้านเรือนค่อย ๆ ถอยห่าง กลายเป็นทุ่งโล่งและแนวไม้ที่ใบเริ่มซีดเพราะลมหนาว ชายหนุ่มที่นั่งด้านหน้ามองภาพเหล่านั้นผ่านสายตาที่ผ่านศึกมาไม่น้อย ในใจเขาคิดอย่างเป็นระบบ เส้นทางนี้ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ต้องผ่านด่านเล็ก ด่านใหญ่ และหมู่บ้านที่ไม่คุ้นชื่อ เขาประเมินทั้งสภาพถนน จุดพักม้า และความเป็นไปได้ของการซุ่มโจมตี แม้จะดูสบายใจ แต่สัญชาตญาณของผู้ถือกฎหมายไม่เคยปล่อยให้เขาประมาท


           ปลายทางคือเมืองที่กฎหมายกับเงินทองมักเดินสวนทางกัน เมืองที่ข่าวลือเดินทางเร็วกว่าลมทะเล หากใครสักคนต้องการหลบซ่อน ที่นั่นย่อมเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุด ความคิดนั้นทำให้มือที่จับสายบังเหียนกระชับขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลงดังเดิม เขาไม่ชอบการอ้อมค้อม แต่เส้นทางครั้งนี้คงต้องใช้ความอดทนมากกว่ากระบี่


           ภายในรถม้า บรรยากาศเงียบสงบต่างจากเสียงล้อด้านนอก ร่างที่นั่งอยู่ใกล้กันแทบไม่ขยับ เสียงผ้าสัมผัสกันเบา ๆ ทุกครั้งที่รถม้าสะเทือนตามหลุมบนถนน สายตาคมกริบทอดมองออกไปนอกม่านด้วยความนิ่งลึก ความคิดไหลไปไกลกว่าทิวทัศน์ตรงหน้า เมืองตงอู่ไม่ใช่เพียงจุดหมาย หากเป็นสนามที่ต้องเดินอย่างระมัดระวัง ทุกคำพูด ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนต้องคำนวณ


           ข้างกายนั้น หลินหยาที่กลายเป็นสตรีในบทบาทใหม่เอนหลังพิงเบาะอย่างเรียบร้อย ท่าทางสงบกว่าที่เคย นางมองออกไปนอกม่าน เห็นท้องฟ้าเริ่มเปิด แสงแดดแรงขึ้นเล็กน้อย นางรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้จะยาวนานและไม่ง่าย แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับการนั่งอยู่ในรถม้าคันนี้ทำให้นางได้หายใจช้าลงกว่าปกติ ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ก่อนหน้าเริ่มจางไป เหลือเพียงความตื่นเต้นบางอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า


           รถม้าวิ่งไปเรื่อย ๆ ผ่านทุ่งนาแห้งและทางคดเคี้ยว ลมหนาวพัดผ่านใบไม้แห้งให้ร่วงหล่นลงตามทาง เสียงล้อยังคงดังสม่ำเสมอ เป็นจังหวะเดียวกับการเดินทางที่ไม่อาจเร่งรีบได้ ชายหนุ่มด้านหน้าปล่อยให้รถม้าเคลื่อนตามจังหวะของม้าอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด แม้จะยาวกว่าเล็กน้อย แต่เหมาะกับการเดินทางที่ต้องรักษาพลังและซ่อนตัว


           เส้นทางจากเหอตงสู่ตงอู่ทอดยาวราวกับบททดสอบที่ยังไม่เปิดเผยตอนจบ และรถม้าคันนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่กำลังจะดำเนินต่อไปอย่างเงียบงัน ท่ามกลางลมหนาว แสงแดด และความคิดที่ซ้อนทับกันในใจของผู้ร่วมทางทั้งสามคน

           ย่อสรุปเหตุการณ์ : เช้าเหมันต์ในเมืองเหอตง หลินหยาพาจางกงกง และจางทังออกไปซื้อรถม้าท้องถิ่นเพื่อให้แผนปลอมตัวแนบเนียน จางทังจัดการผูกม้าเข้ารถอย่างชำนาญเขาเป็นคนดูแลม้าและรู้สึกดีที่จะเป็นคนดูแลม้ามากกว่า ระหว่างเตรียมออกเดินทาง หลินหยาเห็นว่าจางกงกงแต่งเข้มเกินไปจนน่าสงสัย จึงลากเขากลับไปเปลี่ยนเป็นชุดสีอ่อนดูสุภาพให้สมกับตำแหน่งผู้ติดตามหน้าหยก จางทังหัวเราะแซวท่าทางของอดีตเพื่อนสนิททำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงมา 

            ต่อมาจางกงกงก็สวนกลับหลินหยาว่านางก็ต้องเปลี่ยนชุดเช่นเดียวกัน เพราะชุดเดิมดูเหมือนแม่ค้าธรรมดา ไม่สมบทเศรษฐีนีและอาจถูกไฉ่หลินจับพิรุธ หลินหยางอนแต่ยอมแต่งใหม่จนดูหรู สุขุม น่าเชื่อถือ จนกระทั่งจางทังชมว่างดงาม จางกงกงหึงชัดเจนและมองนางเหมือนฮูหยินของตน จากนั้นทั้งสามขึ้นรถม้าออกจากเหอตง มุ่งสู่เมืองตงอู่ จางทังขับรถเลือกทางปลอดภัย คิดประเมินด่านและการซุ่มโจมตี ส่วนในรถหลินหยาและจางกงกงเงียบระวัง เตรียมรับสนามจริงของเมืองที่เงินกับกฎหมายเดินคนละทาง

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

แสดงความคิดเห็น

ออกมาจากเหอตง 1 เมืองรถม้าก็ตกหล่มเจอปีศาจมังกรดำฝูงหนึ่ง "ฆ่่าผู้ชายสองคนนั้น จับนังโสเภณีนั่น เราจะนำไปถวายเสด็จพ่อ!!"  โพสต์ เมื่อวานซืน 12:51
โพสต์ 63,259 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 63,259 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 63,259 ไบต์และได้รับ +40 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +35 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
โพสต์ 63,259 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 3 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ เมื่อวานซืน 16:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้