ต่อให้ใต้หล้ามืดหม่นสักเพียงใดฉางอันยังคงเป็นฉางอัน โคมไฟประดับฉายแสงนวล ผู้คนขวักไขว่กับเทศกาลตวนอู่แลครึกครื้น ความสว่างไสวแม้ยามกลางคืนจะเรียกว่าเป็นสิทธิพิเศษของเมืองหลวงก็ว่าได้ ผู้คนสัญจรอย่างปลอดภัยภายใต้การตรวจตราอย่างเข้มงวดของทหารรักษาความสงบภายในฉางอัน หากเปรียบกองทหารที่อื่นเป็นรังมด ในฉางอันซึ่งป็นที่ตั้งของค่ายพยัคฆ์คงเปรียบได้กับโคตรรังมดกระมัง
ใต้เงาแสงตะเกียงฉายที่แลเหมือนว่าจะเบาแสงกว่าช่วงนี้ของวันไหน ๆ เมื่อเทียบกับโคมไฟประดับในงานเทศกาลนอกหน้าต่างตำหนักสำนักงานกรมตรวจราชการ ( อวี๋ซื่อไถ ) แผ่นกระจกกลมส่องขยายภาพตัวอักษร ณ ดวงเนตรสีครามเข้มข้างซ้ายส่องสะท้อนฏีกาตรงหน้า เรือนเกษาสีหยดหมึกสะท้อนแสงจากไฟตะเกียง ปักเกล้าผมลวก ๆ สมกับที่กวานหยกกำลังร่ำร้องอยู่บนโต๊ะแต่งตัวในบ้านพัก วงคิ้วขนงคมปลาบส่งให้เครื่องนี้ที่ดูอ่อนเยาว์ขึงขังขึ้นมาบ้าง จมูกโด่งสันเข่นบุรุษงาม ริมฝีปากกระจับยกมุมปากอยู่เนือง ๆ แว่วเสียงดนตรีที่ลองเข้ามากลับเบากว่าเสียงที่ดังในความนึกคิดของ
ซื่ออวี๋สื่อ ผู้ตรวจการราชการแห่งแผ่นดิน — เว่ยเจียมู่หง
หากไถ่ถามในห้วงความคิดที่ดึงสายตาของเขาให้ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงนั้นคงจะเป็นเหตุการณ์ในยามอู่ของวันนี้ได้ ณ อวี๋ซื่อไถอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าขุนนางผู้ทรงธรรม มีแว่วเสียงบุรุษร่างสูงโปร่งในอาภรณ์วรยุทธ์สีทะมึนทึบบุกเข้ามาราวกับต้องการระบายความในใจกับเขา ความรู้สึกแสนอัดอั้นอันไม่อาจระบายให้ผู้ใดฟังได้…เพราะสารที่พ่นออกมามีแต่ความลับทางราชการทั้งสิ้น
“เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้ข้าไปตรวจตราภารกิจที่ดูแลแล้วก็พบว่าผู้คนกำลังตั้งร้านรวงอยู่ ข้าที่ทำงานจนลืมวันลืมคืนก็เพิ่งจะตระหนักรู้ว่าวันนี้เป็นวันงานเทศกาลตวนอู่ที่เพิ่งจะได้อนุมัติจากฝ่าบาท”
“นั่นหมายความว่าอย่างไรเจ้ารู้ใช่ไหมมู่หง เทศกาลตวนอู่คือเทศกาลครอบครัว ข้าที่ไม่ได้กลับลั่วหยางก็มีเพียงเสี่ยวหรั่นของข้าที่อยู่ฉางอัน แต่ข้าโดนพรากเหม่ยเหมยคนงามแสนดีของข้าไปแล้ว เพราะใคร เพราะกิ้งก่าทองนั่นอย่างไรเล่า !!!”
“ทางที่ดี เจ้าควรลดเสียงลงหน่อยนะชางหรง”
เจ้าของเสียงที่สามารถเรียกขานนามอย่างสนิทสนมเช่นนั้นมีเพียงบุรุษผู้เดียวในฉางอันตอนนี้กระมัง เขาคือ
ลู่ชางหรง ผู้หลงพระสนมลู่กุ้ยเฟยจนโงหัวไม่ขึ้น หากเอ่ยเช่นนี้คงดูเหมือนจะโดนกุดหัวออกจากบ่าอยู่รอมร่อ แท้จริงคือเขาเป็นพี่ชายของพระสนมผู้นั้นทั้งยังเป็นผู้สืบราชการลับผู้ขึ้นตรงต่อ
‘กิ้งก่าทอง’ ที่เขาเพิ่งพร่ำบ่นถึงไปเมื่อครู่นี้
เรื่องราวนี้มีเพียงขุนนางชั้นสูงผู้ใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้รู้ว่าบัดนี้บุรุษผู้เป็นโอรสสวรรค์แห่งต้าฮั่นไม่ได้ประทับอยู่ในตำหนักมังกรของเขา ร่วมกันนั้นสตรีผู้เป็นถึงว่าที่มารดาแห่งแผ่นดินเองก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อยู่ข้างกายโอรสสวรรค์นั่นแหละ ที่หมายถึงว่านางเองก็ไม่อยู่ในตำหนักตงเฉินเช่นกัน… ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขารู้และข้อมูลไม่ได้มาจากใคร มาจากสหายร่วมงานของเขาที่รู้จักตั้งแต่สมัยเข้าเรียนกสำนักศึกษาในลั่วหยาง
“เจ้ารู้ไหมว่าข้ารอคอยที่จะได้พบนางเพียงใด อยู่วังหลังก็ใช่ว่าจะได้พูดคุยกัน เจ้ามีน้องสาวเป็นพระสนมเหมือนกันก็คงจะรู้ดีนี่มู่หง วันเช่นนี้ก็คงจะไปทูลขอพอเป็นพิธีเพื่ออยู่ร่วมกันสามคนบิดา พี่ชายและน้องสาวคนเล็กใช่ไหมล่ะ !!?”
“เหมือนเจ้าจะหลงลืมไปว่าน้องข้าก็ไม่ได้อยู่ฉางอันนะ...”
ดวงตาที่มักจะฉายแววแน่วแน่อยู่เสมอนั้นทอประกายความเหนื่อยอ่อนจิตใจเพียงใด ความมืดหม่นสะท้อนนัยตาสีครามเข้มจนลู่ชางหรงรับรู้ได้เลยว่าสหายตรงหน้านั้นได้ประสบวิกฤตการ
‘น้องสาวหาย’ เช่นกัน แต่ทว่าสำหรับเว่ยเจียมู่หงนั้นหาใช่เรื่องที่ใหญ่โตไม่ เพราะว่าความสัมพันธ์ภายในบ้านหาได้รักกันชื่นมื่นไม่ เป็นสิ่งที่ติดอยู่ภายในใจเขาเสมอมา ภาพที่สตรีผู้เป็นน้องสาวร่วมมารดากำลังกระทำกลั่นแกล้งน้องสาวต่างมารดาท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บ เขาผู้อายุมากกว่าสี่ถึงห้าปีอยู่แอบช่วยดึงเว่ยเจียอิงฮวาไปจากเว่ยเจียเหลียนฮวาไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จำต้องจากบ้านไปสำนักศึกษา เข้ารับราชการภายในหนึ่งชั่วเหมันต์ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ได้แตะจวนใหญ่ ณ หนานหยางไม่ต่างจากบิดานัก
นับว่าดีที่เขาได้โอกาสผูกมิตรกับเหลียนฮวาอีกสักครา ทว่าดูเหมือนว่าโอกาสในช่วงเวลาที่สำคัญที่ว่านั้นดูจะถูกโชคชะตายึดคืนไปเสียแล้ว แว่วข่าวสารที่เอ่ยบอกต่อกันว่านางได้รับราชโองการตรวจสอบแผ่นดินเพื่อช่วยเหลือต้าฮั่น สตรีตัวเล็กเพียงนั้นต้องออกเดินทางไกลขนาดนั้นเชียวหรือ
ทั้งยังมีอาชา…อาชาที่นางหวาดผวาแต่ไหนแต่ไร
แว่วเสียงของลู่ชางหรงที่บ่นอุบในความทรงจำเรื่องเทศกาลทำให้เขาในยามนี้ตระหนักรู้ได่ว่าในช่วงสามวันนับจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะเป็นวันที่แสงตะวันจางอ่อน แสงตะเกียงเบาบางเมื่อเทียบกับโคมไฟงานเทศกาลแห่งครอบครัว
“ได้เวลาพักผ่อนบ้างแล้วกระมัง?”
มือเรียวที่จับพู่กันด้ามเก่งได้วางสหายผู้อยู่ร่วมการเขียนฎีกาถวายองค์หวงตี้นับพันฉบับลง ความรู้สึกที่จดจำสิ่งที่เขาตวัดตัวอักษรได้ทุกคำเป็นบ่อเกิดของสมญานาม
ผู้กลืนฎีกาพันเล่ม ที่ยังคงแจ่มชัดดูเหมือนจะได้เวลาวางมันลงเช่นกัน หากให้ไปเดินเที่ยวกับบิดาเช่นเยาว์วัยคงจะเก้อเขินกันหมด ชายชาตรีอกสามศอกบอกมากับบิดาคงโดนชางหรงล้อเป็นแน่
อาภรณ์ประจำกายสีหมึกทึบ ปักลายเส้นดั่งลมเหนือ — เรียบง่าย ทว่าเด็ดเดี่ยว ทุกเส้นด้ายเป็นดังลมหายใจของผู้คนที่เขาแบกไว้ ผ้าคาดเอวมีหยกห้อยเป็นเพียงเครื่องประดับเดียวที่บ่งบอกตำแหน่งของเขา ร่างสูงที่ไร้กวานสวมก็ลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูงก่อนจะปักอะไรให้เรียบร้อย เขาต้องเป้นตัวอย่างที่ดีต่อผู้ตนในฉางอัน อย่างน้อยก็เพื่อแสดงตัวว่าขุนนางพวกนี้ไม่ได้ไร้ราศีอะไร
เว่ยเจียมู่หงก้าวเดินออกไปจากภาระและหน้าที่ของตนเพื่อเดินเข้าสู่ความครึกครื้นใต้แสงโคมประดับงดงามของนครฉางอันอันรุ่งโรจน์ ชั่วครู่เพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้นเมื่อปะทะเข้ากับสีสัน ดนตรีและเสียงผู้คน โลกทั้งใบของเขาดูสดใสขึ้นเป็นกองเชียว นี่ไม่ใช่ตวนอู่ครั้งแรกก็จริงทว่ามันก็ยังคงเป็นตวนอู่ในฉางอันที่ผู้คนดูตั้งใจจัดงานเทศกาลเช่นนี้ เสียงผู้คงเซ็งแซ่ สายลมเชี่ยจื้อ*พัดโบกเอากลิ่นบ๊ะจ่างลอยมาตามลม ไม่ไกลจากลานสายตานักก็แลเห็นซุ้มบ๊ะจ่างที่ทั้งให้ลองห่อเองและสามารถซื้อไปเลยได้หากไม่ต้องการรอ ด้วยบรรยากาศที่ชักชวนให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานในครั้งนี้ก็สะกดให้สองขายาวก้าวมายืนอยู่หน้าซุ้มเสียแล้ว
เข้าสู่กิจกรรมที่ 1 ห่อบ๊ะจ่าง
“ใบไผ่ต้มเจ้าค่า ไปล้างน้ำซับแห้งทางด้านโน้นได้เลยนะเจ้าคะ”
ใบไผ่ต้มพวกนี้มาจากไหนกัน!? รู้ตัวอีกทีเขาก็ถือมันไว้ในมือเสียแล้วก่อนที่สตรีเอย เด็กน้อยเอยจะเดินเข้าไปต่อแถวล้างไผ่นี้ ซึ่งเขาที่มีไผ่ในมือจำต้องตามกระแสผู้คนไปกระทำจนได้ นึกได้แต่เพียงว่าดียิ่งนักที่ตัดสินใจมาเพียงผู้เดียว หากลู่ชางหรงมาด้วยคงไม่พ้นกลายเป็นหัวข้อจดบันทึกส่งหวงตี้ประจำวันพร้อมทั้งภาพวัดเส้นแสดงความรู้สึกโง่ ๆ เป็นแน่ เว่ยเจียมู่หงมาดมั่นไว้ในใจว่าสำหรับซุ้มพวกนี้หากเจอะผู้ใดคุ้นหน้าจะวิ่งเหินอากาศเต็มแรงฝีเท้าม้าหนีหน้าให้หมด
มือแกร่งสีซีดราวกับพันธุกรรมตระกูลบัณฑิตมิได้แต่งแต้มสีชาดฝาดมาให้เยอะกว่านี้สักหน่อยยื่นไปล้างใบไผ่อย่างเบามือก่อนจะขยับตามกระแสผู้คนเนียน ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ตรัสรู้มากนักว่าส่วนสูงและใบหน้าของเขาช่างโดดเด่น ณ ท่ามกลางเหล่า…สตรีเพศ…
ม่อจื่อสอนว่าผู้คนเท่าเทียม บุรุษเพศห่อบ๊ะจ่างจะแปลกอันใด เขาเรียกเข้าถึงวัฒนธรรมประเพณี
บัดนี้ความคิดของผู้ตรวจการขุนนางได้ปลงตกเสียแล้วว่าเขาไม่อาจจากตรงนี้ได้โดยง่าย เช่นนั้นก็ทำต่อไปให้เสร็จสิ้นเสีย ส่งพุทธองค์ย่อมส่งให้ถึงทิศประจิม กับอีแค่ยืนเคร่งเครียดห่อบ๊ะจ่างมันจะคณามือเขาเชียวหรือ มือหนาค่อย ๆ ดัดใบไผ่ให้เป็นกรวยโดยพยายามไม่ให้มันขาดไปเสียก่อน เอื้อมไปตักข้าวเหนียวโปะข้างในก่อนใส่ไส้ที่มีทั้งหมดลงไป… อย่างน้อยเขาก็เลือกว่าพวกที่เขาใส่ต้องเป็นไส้เค็มทั้งสิ้นไม่มีสิ่งใดหวานฉ่ำปะปน
ใกล้จะถึงความจริงที่ว่าเขาจะห่อมันเสร็จแล้ว เขาตักข้าวมาโปะกลบอีกชั้นก่อนจะทำสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างการพยายามกดปิดใบไผ่เป็นสามเหลี่ยมเพื่อมักเชือกให้กลายเป็นบ๊ะจ่าง
“บ๊ะจ่างแหละ…อืม…”
เขามองบ๊ะจ่างในมือของตัวเองก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ผู้ดูแลซุ้มเห็นว่าบ๊ะจ่างในมือของบุรุษผู้นี้ห่อมัดเชือกเรียบร้อยแล้วก็ผายมือแนะนำให้เขาเอาไปวางลงถาดที่รอต้มรอบต่อไป
“หากคุณชายไม่อยากรอบ๊ะจ่างต้มราว ๆ หนึ่งชั่วยาม สามารถซื้อฝั่งนี้ได้นะเจ้าคะ”
จบกิจกรรมซุ้มนี้ด้วยการโยนเหรียญอู่จูซื้อความสบายและลดเวลาการอยู่ภายในที่แห่งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เว่ยเจียมู่หงที่ในมือถือห่อบ๊ะจ่างได้เร่งเดินออกจากซุ้มบ๊ะจ่างเพื่อไปเดินเทศกาลต่อ
“มาร่วมปักถุงหอม ถักเชือกห้าสีมงคล อวยพรให้ครอบครัวไร้เคราะห์ใดแผ้วพานกันเถิด”
วินาทีนั้นในหัวของบุรุษผู้เป็นพี่ชายคนโตของสกุลเว่ยเจียกลับคิดถึงคนไกลอย่างเว่ยเจียเหลียนฮวา ทางด้านคนไกล ณ หนานหยางมีผู้คนมากมายช่วยเหลือ ทว่าสตรีผู้ต้องไปที่ไกลห่าง มิใช่บ้าน มิใช่เมืองที่คุ้นเคย จำต้องเดินทางอย่างยากลำบาก การได้ทำอะไรพวกนี้ให้นางสักชิ้นก็หวังว่านางจะไม่มีสิ่งใดมาแตะต้องได้
แต่ทว่าฝีปักด้ายกับการถักสร้อยข้อมือล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วสิ่งที่เขาทำคือการเฝ้ารอผู้ชนะและรอซื้อของขวัญให้เหม่ยเหมยคงจะดีกว่า
เข้าสู่กิจกรรมที่ 3 รำลึกถึงชวีหยวน
เส้นทางตลอดทั้งถนนสิบลี้ต่างเต็มไปด้วยกลิ่นบ๊ะจ่างและเสียงผู้คนมากมาย เสียงดนตรีผู้คนร้องเล่นเต้นรำ คลอเคล้ากับกลิ่นถุงหอมจาง ๆ ไปตามซุ้มที่จัดขายสินค้าทำมือ เขาเดินทางมาจนถึงสถานที่ที่จัดแข่งเรือมังกรในทุก ๆ ปี ริมลำน้ำมีแท่นที่วางบ๊ะจ่างเต็มไปหมด สิ่งนี้ย่อมต้องเป็นบ๊ะจ่างถวายแด่ชวีหยวนผู้เป็นขุนนางในเรื่องเล่า ก่อเกิดเทศกาลที่รำลึกถึงความภักดีต่อแผ่นดิน ความซื่อสัตย์แม้นต้องตายเพื่อส่งเสียงเรียกหาความยุติธรรมอันล่าช้าก็ตาม สำหรับเขาเรื่องนี้สามารถเป็นบทเรียนที่ดีเรื่องหนึ่ง ในเมื่อความยุติธรรมที่ร้องขอด้วยความตายมันเสียหายไปมากเพียงใดแล้ว ใยไม่มอบความตายให้มันผู้นั้นเพื่อทวงคืนความสงบสุขแดใต้หล้าแทนเล่า ?
ริมฝีปากที่มักจะยกขึ้นเป็นบุรุษผู้แย้มยิ้มเสมอดูเหมือนจะเจือความเย้นหยันต่อโชคชะตาของบุรุษผู้เป็นตำนาน ไม่ว่าจะเรื่องจริง เรื่องแต่ง เรื่องใดก็ตาม เขาคงไม่ขอเจริญรอยตามวิถีของผู้ผดุงความยุติธรรมแสนอ่อนแอ
“หากเพลิงโหมกระหน่ำเกินควบคุมก็จำต้องถอนฟืนใต้หม้อ** อย่าให้สิ่งใดมาพังใต้หล้าฟ้าดิน”
เสียงทุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบาก่อนจะวางบ๊ะจ่ายที่ซื้อมาถวาย ณ แท่นบูชาชวีหยวนริมแม่น้ำ ยืนรำลึกชั่วครู่ก่อนจะร่วมเขียนแผ่นไม้ห้อยกับต้นหลิวที่ลู่ไปตามแรงลมในช่วงเชี่ยจื้อ ตวัดพู่กันเขียนหมึกเข้มเป็นอักษรที่คาดหวังให้ทุกสิ่งเที่ยงแท้เท่าเทียมแม้ว่าจะไม่จีรังก็ตาม
衡
(héng)
"ตาชั่ง/ ความสมดุล"
เข้าสู่กิจกรรมที่ 4 แข่งขันเรือมังกร
ครั้นเมื่อเขาผูกอักษรมงคลเรียบร้อยก็มีเสียงกู้ร้องลายมากระทบหูเรียกร้องความสนใจขุนนางหนุ่มให้ผินใบหน้าไปตามเสียง ไม่ไกลนั้นมีการแข่งขันเรือยาวที่ดูเหมือนว่าจะประกาศรายชื่อกลุ่มผู้เข้าแข่งขันพายเรือมังกรที่แข่งขันกันในทุก ๆ ปี ทว่าสิ่งที่เรียกให้ผู้คนแตกตื่นกันมากกว่านั้นคือการลงพนันแทงข้างผู้ที่จะชนะในเทศกาลตวนอู่ซึ่งจะแข่งขันรู้ผลรู้แพ้ชนะในวันที่ยี่สิบสามอู่เยว่นี้
ดวงตาคมปลาบไล่มองคณะผู้เข้าร่วมการแข่งขันแต่ละกลุ่ม วิเคราะห์การตกแต่งเรือมังกรที่ดูเรียวยาว ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องสะดุดคือ
เรือยาวที่…เรียกว่ามีงบพอได้ตกแต่ง เรือที่บรรจุผู้เข้าแข่งขันได้เพียงตามเงื่อนไขเท่านั้น การตกแต่งจากการใช้ไม้มาตอกเพิ่มก่อนจะวาดลวดลายกิ้งก่าทอง ? ไม่ มันคือมังกร แล้วที่เป็นเรียวที่งอกออกมาราวกับหมวดมังกรคือกิ่งใบหลิวที่คงไม่พ้นต้นแถว ๆ นี้ที่แหว่งไปโดยไม่รู้เรื่องราว ปลายหางเรือก็ตกแต่งได้ดู…เศร้าสร้อยไม่ต่างกัน
ว่ากันว่าเรือที่ดีคือเรือที่เน้นลำเรือเพรียว การที่การตกแต่งน้อย ขอเพียงให้มองเป็นมังกรก็ถือว่าสิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะช่วยให้การตกแต่งน้อยชิ้นพวกนี้ไม่ต้ามกระแสน้ำและสายลมตอนที่จ้ำอ้าวแจวเรือ เช่นนั้นแล้ว…
“ข้าขอลงพนัน เรือมังกรผงาด(ได้เท่านี้)”
ตำลึงเงินสิบตำลึงเงินถูกยื่นลงพนันไปเรียบร้อยตามระเบียบ ใบหน้าของเขาแม้ว่าจะไม่หวัง ทว่าสิบตำลึงเงินที่ไม่ได้ระคายหน้าแข้งเขาเท่าไหร่ก็ถือว่าสนองความใคร่รื่นเริงงานในเทศกาลก็แล้วกัน เว่ยเจียมู่หงเมื่อยืนซึมซับบรรยากาศเพียงไม่นานเท่านั้นก็เดินกลับไปทางเดิม แลเห็นสิ่งใดน่าสนใจก็ซื้อติดมือไว้ ก่อนจะหวนกลับคืนสู่กองฎีกาและภาระหน้าที่ของซื่ออวี๋สื่อ
* 夏至 เชี่ยจื้อ : กลางคิมหันต์ฤดู : 21-22 มิถุนายน อ้างอิงจาก ตำราเรื่องรอบตัวต้าฮั่น
** ถอนฟืนใต้หม้อ หมายถึง แก้ปัญหาที่ต้นตอ (ตัดไฟแต่ต้นลม) อ้างอิงจาก ตำราเรื่องสำนวนต้าฮั่น
รางวัลที่ได้เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมที่ 1 3 และ 4
ได้รับ 5 ตำลึงเงิน + บ๊ะจ่าง 1 ชิ้น + 10 EXP
ได้รับ 5 ตำลึงเงิน + 15 คุณธรรม
ได้รับ 10 ตำลึงเงิน
รวมทั้งหมด 20 ตำลึงเงิน + บ๊ะจ่าง 1 ชิ้น + 10 EXP + 15 คุณธรรม
ลงพนัน 10 ตำลึงเงิน