
บันทึกการเดินทาง พันธะในเงาศาลา
วันที่ 15 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ณ จักรวรรดิต้าฮั่น ปลดความทรงจำจางกงกงวัยเยาว์

ในตอนทีร่หลินหยาคิดแล้วว่านางคงจะได้พักเสียบ้างโลกของหลินหยาเปลี่ยนจากแสงสีฝันของแดนพิศวงกลับกลายเป็นเงามืดอันเงียบงัน หนาวเย็นชวนสิ้นหวัง แสงอาทิตย์สองดวงหายไป เหลือเพียงเงาไร้รูปร่างที่ลอยวนในความมืดดั่งม่านกำมะหยี่สีดำสนิทที่ดูดกลืนแสงทุกสายตา ร่างของหญิงสาวเหมือนถูกปล่อยตกจากความฝันสู่ขุมนรกในเสี้ยวพริบตา ขาแตะพื้นเสียงดังกรอบแกรบของกิ่งไม้แห้งใต้ฝ่าเท้า เมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับไม่ใช่ศาลาอีกต่อไป
มันคือจวนเก่าคร่ำหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในที่ดอนสูงอันแห้งแล้ง…ขอบเขตนอกแคว้นหลวงของแผ่นดินฮั่นจากที่ดูแล้วคงเป็นที่ห่างไกลทางทิศตะวันตก สภาพโดยรอบดูแห้งแล้งแล้วยังมืดมนแม้เป็นเวลากลางวัน ป้ายไม้ที่เขียนว่าสกุลจางปักอย่างแข็งแรงหน้าจวนใหญ่ ดูเหมือนกำแพงสูงและบานประตูนั้นจะไม่ได้ไว้กันโจรแต่กัน “ใครบางคน” จากการหลบหนี
เสียงหวีดลมพัดผ่านปลายชายผ้าของหลินหยา นางก้าวเข้าไปใกล้ภาพตรงหน้าเสมือนถูกบังคับให้เห็น ไม่อาจหันหน้าหนี
ในลานกว้างหน้าจวนเด็กชายวัยราว 6-7 ขวบ รูปร่างผอมบาง ดวงตากลมโตคู่นั้นซุกซ่อนประกายหวังไว้ในเงามืดที่คลุมร่าง ใบหน้าขาวจัดโดนดินเปรอะเปื้อน เส้นผมกระเซิงแต่ยังพอมองเห็นเค้าความงามของเด็กที่ ‘น่าจะ’ เติบโตเป็นบุรุษรูปงามได้ในอนาคต...หากเขาไม่เกิดในตระกูลจางอันน่าสะพรึง บุตรชายคนรองเด็กที่ไม่เคยถูกเรียกชื่อด้วยความอ่อนโยน เด็กที่ถูกดุด่าราวเป็นสุนักจรจัดข้างถนนถูกเหยียบศักดิ์ศรีในทุกเช้าเย็นทั้งน้ำร้อนที่ราดรดศีรษะเพื่อ ‘ล้างความไม่เชื่อฟัง’ ทั้งแส้ที่ใช้ตีบนหลังจนเลือดซึมทุกครั้งที่เขาเผลอเล่นหรือหัวเราะ
"เด็กระยำ! คิดจะหนีอีกแล้วรึ!"
เสียงตวาดต่ำดังก้องจากเงาดำหลังม่านหน้าต่างมือของบิดาผู้เป็นหัวหน้าสกุลยกไม้ไผ่ด้ามใหญ่ขึ้น ก่อนฟาดลงเต็มแรงบนหลังเด็ก เสียงเนื้อกระทบไม้สะท้อนก้องทั่วลาน ดวงตาใสของเด็กชายเบิกกว้างขณะที่ฟันกรามกัดแน่น ร่างเล็กไม่ส่งเสียงร้องซักนิด...เขาเรียนรู้แล้วว่าเสียงร้องยิ่งเร้าให้โดนมากขึ้นและจะกลายเป็น ‘ของเล่น’ ให้พี่ชายต่างแม่หัวเราะเยาะ แม้แต่พี่ชายของเขาบุตรคนโตของสกุลจางผู้เกิดจากอนุภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานยังยืนมองด้วยสายตาเหยียดหยาม พลางโยนเศษผลไม้เน่าไปยังเด็กชายผู้นั่งก้มหน้าเลือดเปื้อนเสื้อผ้าขาดวิ่น มือเล็กชื้นไปด้วยเลือดแห้งติดหนองตรงรอยข้อมือที่ถูกมัดด้วยเชือก
"อยากจะวิ่งเล่นรึ? หึ...เกิดมาเป็นขี้ข้าในบ้านนี้แล้วยังคิดเพ้อฝัน"
ชายชราอีกคนอาจเป็นอาจารย์ผู้คุมบทเรียนกระชากข้อมือเล็กของเด็กชายลากให้เดินบนเข่าผ่านลานหินร้อนยามสาย แล้วขว้างสมุดบัญชีให้จดตัวอักษรลงบนพื้นทั้งที่นิ้วมือเปื้อนเลือดและร่างกายอ่อนแรง เด็กชายกัดฟันเขียนต่อไปด้วยมือสั่นเทาพื้นหินแผดร้อนบาดเข่าจนเลือดหยดซึมผ่านผ้าน้อยชั้น ดวงตาเล็กคู่นั้น...ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว มีแต่ไฟที่ค่อย ๆ ก่อตัว ไฟที่ไม่ใช่โทสะหากเป็นไฟที่เงียบเย็นและไร้ความหวัง ไฟของความทรงจำที่ถูกฝังกลบอย่างแนบเนียน ไฟที่วันหนึ่งจะเผาผลาญโลกทั้งใบเพื่อเอาสิทธิ์ในการเป็น “มนุษย์” กลับคืน
หลินหยายืนเงียบมองภาพทั้งหมดผ่านม่านอดีต รู้สึกได้ว่าร่างนั้นเด็กชายผู้ไร้ชื่อในตอนนั้นคือจางกงกง คนที่นางเคยมองด้วยความหวาดกลัวสับสนและชิงชัง...เขาเคยเป็นเพียงเด็กผู้ไม่มีแม้แต่โอกาสจะยิ้มและสิ่งที่เขาอยากได้...ก็อาจไม่เคยมีใครยื่นให้แม้แต่เทพเจ้า หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่นสายลมเย็นแผ่วพัดผ่าน กลิ่นเลือดและควันเผาหนังยังคละคลุ้งในอากาศ ฉากนี้ยังไม่จบมันเพิ่งจะเริ่ม…ความทรงจำนี้ยังมีอีกมาก และหลินหยากำลังจะได้รู้ว่าชีวิตของคนที่นาง “ไม่เคยเข้าใจ” นั้น…มันปวดร้าวกว่าที่นางจินตนาการมากนัก
ความมืดรอบกายหลินหยาเงียบงันลงก่อนภาพเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ เสียงรัวของพู่กันลงกระดาษ เสียงคำสั่งแข็งกระด้างที่เอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้หัวใจ ทุกอย่างล้วนหล่อหลอมเป็นบาดแผลทางจิตที่ไม่มีวันสมาน เด็กชายในวัยเพียงหกหรือเจ็ดขวบรูปร่างบอบบางผอมแห้ง ผิวขาวซีด ดวงตาคู่นั้นไม่แสดงอารมณ์ใดอีกแล้วเหงื่อเปียกชุ่มตลอดแผ่นหลัง มือเล็ก ๆ จับพู่กันไม้ไผ่ขนาดใหญ่กว่าข้อมือเขาอย่างสั่นระริก เสียงของคนเป็นพ่อดังก้องอยู่เบื้องหลังน้ำเสียงแหบพร่าจากการตะโกนด่าวันแล้ววันเล่า
“เขียนให้ได้พันตัวอักษรก่อนเย็น ถ้ายังสะกดผิดอีกแม้แต่คำเดียว ก็จะไม่ได้ข้าว ไม่ได้พัก! ขุนนางในราชสำนักไม่ใช้พวกโง่งม เจ้าคิดจะเข้าวังทั้งที่เขียนอักษรไม่ได้งั้นหรือ?”
เสียงฟาดของไม้เรียวยาวกระทบร่างเล็ก ๆ นั้นในวินาทีถัดมา รอยแดงไหม้ลากยาวเต็มแผ่นหลัง เสื้อบางเก่า ๆ ที่สวมอยู่ขาดวิ่นเหลือเพียงเศษผ้าพอปกเปลือยผิวที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เสียงฟาดนั้นไม่ได้เกิดจากการตีอย่างบันเทิงใจ แต่มันเป็นการลงโทษตามกฎที่ถูกพ่อผู้เป็นหัวหน้าสกุลสร้างขึ้น ‘กฎที่ไม่มีใครต้องทำตามนอกจากเขาคนเดียว’
ในทุกเช้าตรู่เด็กชายผู้นี้ต้องตื่นแต่ตีสี่ ฝึกการเดินถวายบังคม ขานพระนามจักรพรรดิ ฝึกการหายใจ การเคลื่อนไหว การวางท่าทางอย่างนอบน้อมให้ดู น่าเชื่อถือ ไม่ใช่เพื่อเป็นขุนนาง ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ราชการแต่อย่างใด แต่เพื่อเป็น “ขันทีในราชสำนัก”
"เจ้าจะไม่มีทางเป็นขุนนาง! อย่าแม้แต่จะคิด! รู้หรือไม่ว่าใครเข้าถึงไท่จื่อหรือองค์จักรพรรดิได้เร็วกว่าขุนนาง? ขันที! เจ้าควรภูมิใจที่ข้าเห็นคุณค่าของเจ้ามากกว่าบุตรชายคนโตเสียอีก" เด็กชายก้มหน้าเงียบดวงตาว่างเปล่า มีเพียงพู่กันในมือที่เปื้อนหมึกและเลือดจากรอยบาดบนฝ่ามือ คนเป็นพ่อยื่นพู่กันอีกด้ามให้อย่างไม่ใยดีขณะเอ่ยต่อ "ในเมื่อตัวเจ้าไม่มีค่าในฐานะ 'ลูก' งั้นก็จงเป็นเครื่องมือของข้า อย่าเงยหน้า อย่าตอบโต้ และอย่าคิดว่าความเจ็บปวดของเจ้ามีความหมาย"
บ้านทั้งหลังไม่มีใครมองเขาเป็นคนแม้แต่สาวใช้ก็เอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยถ้อยคำเย้ยหยัน ‘เจ้าขันทีน้อย’ ขณะที่พี่ชายต่างมารดาซึ่งเป็นดั่งศูนย์กลางของความรักความหวัง เดินผ่านไปพร้อมขนมหวานในมือพูดกระซิบเย้ยด้วยแววตาเยาะหยัน "เจ้าจะมีลูกไม่ได้ ไม่มีใครรักเจ้า ไม่มีใครจะแต่งกับเจ้า ข้าอยากเห็นเจ้าถูกโยนเข้าวังเป็นขี้ข้าตามที่ท่านพ่อพูดจริง ๆ"
หลินหยายืนนิ่งงันนางอยากจะห้าม อยากจะตะโกน อยากจะพังฉากภาพตรงหน้าให้พ้นไปจากสายตา แต่ทำไม่ได้ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงภาพความทรงจำที่โถมทับเหมือนคลื่นหนักจากทะเลลึก ภาพที่ไม่ได้ทำเพียงเล่าอดีต...แต่มันกัดกินหัวใจให้รับรู้ถึง “เหตุผล” ที่ชายผู้เป็นจงฉางชื่อไม่เคยหลับใหลโดยไม่ฝันร้ายและไม่เคยมองใครด้วยแววตาเชื่อใจเลยแม้แต่คนเดียว เขาเป็นเด็กชายที่ถูกสร้างให้ “ไม่เหลือจิตวิญญาณของมนุษย์” อีกต่อไป
แต่ก่อนที่นางจะได้ทำอะไรมากกว่านี้สิ่งที่หลินหยาเห็นนางต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังสนั่นหู นางยกมือขึ้นปิดปากตนเองแน่นทันทีที่เสียงกรีดร้องนั้นดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทเสียงที่ไม่ใช่เสียงของเด็กธรรมดา แต่เป็นเสียงของบางสิ่งที่ถูกบีบคั้นจนไร้ซึ่งความเป็นคนอีกต่อไป เสียงนั้นแหลมคมแทรกผ่านกระดูกสันหลังทุกปล้องของนางราวกับมันกำลังข่วนเล็บผ่านวิญญาณของผู้ฟัง
“อ๊า!! ไม่! อย่า! เจ็บ...เจ็บ!!”
เสียงกรีดร้องที่เปล่งออกมาอย่างหมดสิ้นศักดิ์ศรีดังก้องในอากาศรอบตัว หลินหยาหลับตาแน่น ไม่ใช่เพราะไม่กล้าดูแต่เพราะมันบีบหัวใจเกินกว่าจะยอมรับ นางพยายามกัดฟันสะกดเสียงสะอื้นอย่างเงียบงันทว่าไม่อาจหยุดมือที่สั่นไหวหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บร้าวกลางอก ภาพที่แทรกผ่านม่านเปลือกตาแม้จะหลับตาอยู่ กลับชัดเจนราวกับสลักไว้กลางแสงเด็กชายตัวเล็กผิวขาวซีด นอนจมอยู่ในแอ่งน้ำผสมเลือดของตนเอง มือทั้งสองถูกมัดไว้กับเสาไม้สูงเหนือศีรษะ แผ่นหลังเล็กนั่นเต็มไปด้วยรอยแตกของผิวหนังเศษเสื้อผ้าเปื่อยขาดหลุดลุ่ยจนแทบจะไม่เหลือความเป็นอาภรณ์ เสียงหอบหายใจของเขาเต็มไปด้วยเสียงสะอื้นปนเลือด
ในห้องนั้นไร้คนเมตตามีเพียงบ่าวรับใช้สองคนที่ถูกสั่งให้จัดการลงโทษบุตรชายรองตามคำสั่งเจ้านายตนเอง บ่าวทั้งสองไม่มีแววลังเลไม่มีแม้แต่คำถามว่าสิ่งที่ทำคืออะไร พวกเขาคุ้นเคยกับมันเกินไปแล้ว “บ่าวเช่นข้า...ยังได้กินข้าวอุ่น ๆ ทุกวัน แล้วท่าน? ท่านเป็นคุณชายแท้ ๆ ยังไร้ค่ายิ่งกว่าสุนักขี้เรื่อนข้างทางเสียอีก” หนึ่งในบ่าวพูดพลางหัวเราะเหี้ยม ๆ ก่อนใช้ปลายไม้ยาวจิ้มลงบนแผลจนเด็กชายสะดุ้งสุดตัวกรีดร้องอีกครั้งด้วยเสียงที่ปริแตกจากความเจ็บ
หลินหยายกมือกดแน่นที่ริมฝีปากตนเองหายใจไม่ออก รู้สึกราวกับจะอาเจียน ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายนั้นแทรกซึมเข้ามาในร่างกายนางราวกับความทรงจำพวกนั้นไม่ได้เป็นแค่ภาพ...แต่มันเป็น “ของจริง”
“ข้า...ไม่อยาก...เป็นขันที...” เด็กชายสะอื้นสะอึกแม้เสียงจะแทบไม่ออกมา ทว่ามันกลับกรีดลึกเข้าไปในหัวใจหลินหยาได้ดั่งคมมีด เธอไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นั้นเอ่ยคำวิงวอนนั้นเป็นร้อยพันครั้งแล้วหรือยัง ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครหยุดมันและไม่มีใครสนใจว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เขาไม่ใช่ “ลูก” สำหรับคนในบ้านนั้น
เขาไม่ใช่ “คน” ด้วยซ้ำ
เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดถูกฝึกถูกทำลายถูกหล่อหลอมให้สูญเสียทุกสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นมนุษย์” โดยมีสายเลือดตนเองเป็นผู้ตัดสิน หลินหยา...สะอื้นในลำคอนางยกมือขึ้นปิดตาแน่นด้วยสองมือสั่นไหว ริมฝีปากนั้นกัดไว้แน่นจนเจ็บ เธออยากวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ อยากปิดหู ปิดตา ปิดหัวใจ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนี่คือความทรงจำ...ของคนที่เคยเอ่ยดูถูกนางทรมาณนางอย่างเลือดเย็น ของคนที่นางเคยลงมือทำร้ายของคนที่นาง...ไม่เคยรู้จักเลยจริง ๆ
เงามืดแปรเปลี่ยนอีกครั้งภาพของเด็กชายวัยไม่เกิน 11 ขวบปีผุดขึ้นท่ามกลางฉากหลังอันเงียบเชียบของราชธานีฉางอันในฤดูเหมันต์ ร่างเล็กในชุดผ้าหยาบหม่นหมองสะอาดกว่าผ้าขี้ริ้วเพียงนิด ยืนอยู่กลางลานหินอ่อนเบื้องหน้าของ "สำนักกงกงกลาง" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหมือนขุมนรกใต้เงาพระราชวัง รอบกายเขาเต็มไปด้วยเหล่าเด็กชายอีกหลายสิบคนบ้างผอมโซ บ้างยังมีหยาดน้ำตาติดปลายตา บ้างกอดอกตัวเองแน่นด้วยความหนาวเย็นและความกลัวจนตัวสั่น แต่ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงอ้อนวอน ไม่มีใครกล้าส่งเสียง…เพราะเสียงนั้นมัน “ไร้ค่า”
หลินหยายกมือขึ้นทาบอกด้วยความรู้สึกแน่นในอก เมื่อมองสบดวงตาของเด็กชายเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้น ดวงตาคู่นั้น...ไม่มีประกายใด ๆ เหลืออยู่เลยไม่มีแววกลัวไม่มีน้ำตา ไม่มีแม้แต่คำขอชีวิต มันว่างเปล่าราวกับจิตวิญญาณถูกคว้านหายไปหมดแล้วเด็กชายยืนนิ่งราวกับรูปปั้นที่ไร้แสงส่องถึงเขาไม่ใช่ "คน" อีกต่อไป
เขาคือ "ของถวาย" คือสิ่งของที่ถูกส่งเข้าวังเพื่อใช้งานเพื่อความสะดวกเพื่อทำงานสกปรก เพื่อกลายเป็น "ขันที" อย่างสมบูรณ์หรือถ้าไม่สมบูรณ์เขาก็จะกลายเป็นเพียงซากศพ เสียงโบยแส้ปะทะร่างดังก้องในอากาศเหมือนสัญญาณเริ่มต้นของ "การล้างตัว" การบ่มเพาะร่างกายให้พร้อมจะกลายเป็น “ทาสในเงา”
หลินหยาไม่อยากมองแต่ภาพกลับฉายขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน เด็กชายถูกจับกดลงในอ่างไม้ใบใหญ่ น้ำในนั้นเย็นจัดจนเกิดไอควันจากความเย็นแต่สิ่งที่เย็นกว่านั้นคือดวงตาของผู้ดูแลที่กดหัวเขาจมลงไปดั่งจะล้างความเป็นคนออกให้หมดเหลือไว้แต่ร่างเปล่า ๆ ให้พร้อมใช้งาน เสียงหายใจรวยรินดังเพียงครู่ ก่อนร่างเล็กจะชักกระตุกพ่นน้ำออกมาทางจมูกและปาก ทว่าไม่มีใครหยุดไม่มีใครช่วย แม้เขาจะสำลักจนตัวสั่นเสียงสะอื้นก็ไม่มี...เขาไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ได้อีกต่อไป
หลินหยาเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่นางอยากจะเรียก อยากจะห้าม อยากจะยื่นมือไปช่วย ทว่ามือของนางสัมผัสอะไรไม่ได้เลยเหมือนร่างเธออยู่ในอีกโลกหนึ่งเป็นเพียงผู้ชมที่ไม่อาจเปลี่ยนชะตาใครได้
เด็กชายถูกพาขึ้นจากอ่างถูกโยนเสมือนถุงผ้าเปียกน้ำมาทิ้งบนพื้นหิน อุณหภูมิที่ต่ำจนแข็งกรอบแผ่นกระเบื้อง ทำให้หลังเปลือยเปล่าของเขาระบมทันทีเสื้อผ้าไม่มีให้เปลี่ยนมีเพียงเสื่อฝืด ๆ ให้ห่มน้อยเกินไปที่จะบรรเทาความเจ็บ
วันนั้น...คือวันเริ่มต้นของ "จางกงกง"
จุดเริ่มต้นของวันที่เด็กชายตายไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ
วันที่ไม่มีชื่อ ไม่มีตัวตน และไม่มีใครเหลียวแล
วันที่เขาเริ่มเข้าใจว่า “น้ำตา” ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไร
วันที่เขาก้าวแรก...เข้าสู่นรกที่แท้จริง
จากภาพหนึ่งสู่ภาพถัดไปความมืดมิได้จางหายแต่กลับแผ่ขยายบดบังแม้แสงเพียงริ้วของความหวัง สำนักกงกง สถานที่ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “จวนบ่มขันทีหลวง” ทว่าในสายตาของเด็กชายและอีกนับร้อยมันไม่ต่างจาก “หลุมศพที่ขุดไว้ล่วงหน้า” ฝันร้ายไม่มีทางตื่นความตายไม่มีทางหลีกหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่รอดมาได้...ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ทั้งร่างและใจ
หลินหยาเห็นมันชัด...ชัดเกินไป…
เสียงแส้ดังฉับ! ฝุ่นละอองในอากาศไม่ทันได้ตกพื้น ร่างของเด็กชายอีกคนที่อายุมากกว่าจางกงกงเพียงปีสองปีก็ฟุบลงอย่างหมดแรง พยายามลุกแต่ไร้เรี่ยวแรงพริบตาต่อมา...เขาก็ถูกลากออกจากแถวเหมือนหมาข้างถนนไปยังเรือนเย็นและไม่มีใครได้เห็นเขาอีกเลย...
หลิวกงกง ขันทีชราผู้มีดวงตาเหมือนจะตายไปแล้วครึ่งหนึ่งใช้แส้และไม้ไผ่ยาวในการ “ฝึกจิต” เขาเชื่อว่าความเป็นขันทีที่ดีต้อง “ไร้เสียง ไร้ใจ และไร้เจ็บ” ความเจ็บปวดถูกประเคนเข้าไปเพื่อให้วิญญาณสั่นคลอนจนกว่าจะสลายไปโดยสิ้นเชิงเด็กชายในสายตาเขาไม่ใช่ศิษย์ ไม่ใช่ผู้คนเป็นเพียงเนื้อหนังดิบที่ต้อง “ตบแต่ง” ให้เชื่องเหมือนสัตว์ เมื่อใดที่เด็กชายแสดงความรู้สึกไม่ว่าจะกลัว เจ็บ โกรธหรือแม้กระทั่งเศร้า...บทลงโทษจะทวีคูณ
หลินหยารู้สึกขมคอ...ขยับตัวไม่ได้ เธอเห็นเด็กชายคนนั้นจางกงกงในวัยเยาว์ยืนนิ่งไม่ขยับไม่หันมองแม้เพื่อนรอบข้างจะค่อย ๆ หายไปทีละคน เขารู้...รู้ว่าถ้าไหวเอนสักนิดเขาอาจเป็นรายต่อไปและแล้ว...วันที่เขาเสียสิ่งสุดท้ายไปก็มาถึง
ในห้องแคบมืดสนิท มีกลิ่นยาสมุนไพร กลิ่นเลือด กลิ่นสนิมเหล็ก และกลิ่นบางอย่างที่น่าคลื่นไส้ หลินหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เธอกำลังเห็นเป็นภาพจริงหรือภาพลวงเพราะมันเลือนรางแต่ทุกรายละเอียดเจ็บลึกจนลืมไม่ได้เสียงน้ำหยด...เสียงหายใจ...เสียงกรีดร้องในความเงียบ นั่นคือวันที่เขาถูก “ทำให้สมบูรณ์” ตามมาตรฐานของขันทีแห่งราชสำนัก ไม่มีใครกุมมือเขา ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีแม้แต่คำพูดอ่อนโยนจากใครสักคน เด็กชายได้แต่กัดฟันจนน้ำตาไหลโดยไร้เสียง...ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงคำถามไร้เสียงที่อยากเปล่งวาจาออกมาว่า
“ทำไม?”
“ทำไมข้าต้องเกิดมาเพื่อเจ็บปวดถึงเพียงนี้”
เมื่อเขากลับมายังเรือนรวมหลังเสร็จสิ้นพิธีนั้นไม่มีใครพูดกับเขาไม่มีใครแม้แต่สบตา เขาไม่ใช่ “คน” แล้วในสายตาของผู้คนเขาเป็นเพียงเงา...เงาที่เกิดจากฝันร้ายของโลกที่ไร้หัวใจ หลินหยาเบือนหน้าหนีเธอไม่อาจทนมองดวงตาของเขาในยามนั้นได้อีกดวงตาที่ว่างเปล่าจนไม่มีแม้เงาสะท้อนตัวเอง ดวงตาที่ปฏิเสธความรักตั้งแต่ยังไม่รู้จักมันเสียงในใจเด็กชายดังก้องในหัวของหลินหยา
“ไร้ความรัก...ไร้คนรัก...ไร้บุตรหลาน...ไร้อ้อมแขนอันอบอุ่นเคียงข้าง...”
เสียงในหัวของหลินหยาเอ่ยออกมาจากความรู้สึก ไม่ใช่ความคิด เป็นเสียงที่หลุดออกมาจากหัวใจที่บีบรัด...เพราะเธอเพิ่งเข้าใจจางกงกง...ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘อ้อมกอด’ เพราะเขาเชื่อว่าชาตินี้ทั้งชาติของเขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมันตั้งแต่ต้น
ความมืดยังไม่สิ้นสุดความเจ็บปวดยังไม่ลดน้อยแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของเด็กชายคนเดิมไม่มีอีกแล้วดวงตาคู่นั้น…ที่เคยมอดแสง…กลับเริ่มสะท้อนแสงบางอย่างที่ไม่ใช่แสงแห่งชีวิต หากแต่คือประกายของ “เงา” ที่หนาวเหน็บเป็นเงาของ “ความแค้น” จางเติบโตในสำนักกงกงได้ด้วยการ อดทน ไม่ใช่ในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจแต่คือการอดทนแบบสัตว์ที่ถูกบังคับให้ยอมจำนนเพียงเพื่อรอวันขย้ำผู้ล่า เขาเริ่มเรียนรู้ว่า ความอ่อนแอ ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจหากใช้ให้ถูกจังหวะมันคือเกราะที่คนไม่สงสัย เขาเริ่มเข้าใจว่า รอยยิ้ม สามารถกลายเป็นมีดที่ทิ่มแทงได้ลึกยิ่งกว่าคำด่า
เขาเริ่มฟังมากขึ้น สังเกตทุกซอกเรือน ทุกบรรยากาศที่เปลี่ยน ทุกเสียงที่ลอยในสายลม เขารวบรวมข้อมูลจากซอกหลืบของความเน่าเฟะในวังหลวงบันทึกไว้ในหัวสมองทุกชื่อ ทุกความลับ ทุกบาดแผลของผู้คน…เพียงเพื่อใช้มัน ‘ย้อนคืน’ และเขาเริ่ม สะสมความลับของผู้อื่น เหมือนคนสะสมเหรียญตำลึงทองคำ
ขันทีผู้ใหญ่ที่ชอบขืนใจเด็กใหม่ในเงามือของตำหนักไม้เก่า
นางกำนัลคนหนึ่งที่ลักลอบตั้งครรภ์กับองครักษ์
ขันทีอาวุโสที่ขายยาเสพติดผสมในขนมหวานของพวกนางใน
เรื่องเสพสมโสมมกามาทุกอย่าง...เขาเก็บไว้หมด ไม่มีแม้แต่เรื่องเดียวที่หลุดจากเงาของเขาไปได้
และสิ่งที่โหดร้ายที่สุด...คือแม้ตัวเขาจะยังอยู่ในวัยเด็ก เขากลับต้องใช้ รูปลักษณ์ที่งดงามผิดวิสัยเด็กชาย เป็นโล่กำบังเขาไม่ได้ ใช้ มันด้วยความภาคภูมิใจ...หากแต่ จำใจ ให้มันกลายเป็นเหยื่อล่อของผู้ใหญ่ที่มักง่ายจิตวิปริต เพียงเพื่อให้ได้คำพูดสักประโยค...ความลับสักบรรทัด...หรือการขยับฐานะในเงาอีกสักนิด สนมบางคน...เรียกหาเขาด้วยเสียงพร่าแม้เขาจะยังเป็นเด็กแต่พวกนางไม่เห็นเขาเป็นมนุษย์ ขันทีบางคน...ส่งอาหารให้แต่ก็หวังสิ่งตอบแทนที่ไม่ควรหวังจากเด็กที่ยังไม่รู้จักร่างกายตนเองดีพอ เขาทน...เขานิ่ง...เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น แม้จะต้องกัดฟันจนเลือดไหลในยามค่ำคืนแม้จะต้องกลั้นเสียงสะอื้นไว้ลึกจนเสียงแหลกคอเขาจะไม่ร้องไห้อีก…เพราะเขาตั้งใจแล้วว่า น้ำตาแต่ละหยดของเขา จะต้องมีราคาที่คนทั้งวังนี้ต้องจ่าย
หลินหยามองเห็นภาพเหล่านี้ราวกับยืนอยู่ในความฝันอันบิดเบี้ยว หัวใจของเธอหนักจนอยากจะอาเจียน ไม่ใช่เพราะความรุนแรงของภาพ…แต่เพราะจิตใจของเด็กชายคนหนึ่งที่บิดเบี้ยวจนแทบไม่เหลือความเป็นเด็กให้ควานหานี่หรือ…คือจางกงกงในวัยเด็ก? ชายที่ยิ้มให้เธอด้วยสายตาแฝงเล่ห์ ชายที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยพูดหมด ชายที่พร้อมจะขย้ำ…แต่ก็พร้อมจะกอดเธอในเวลาเดียวกัน? หากนี่คือที่มาของเขา…หลินหยาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อรักใครทั้งนั้น แต่ในขณะเดียวกัน…เธอก็เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีใครเคยรักเขาจริงเลยเช่นกันและบางที…เธออาจเป็นคนแรกที่ได้เห็น ‘เขา’ ในแบบที่แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจลืมไปแล้วว่าเคยเป็น
คืนหนึ่ง…เด็กชายตัวเล็กที่ยังไม่ทันผ่านพ้นวัยสิบปีดี กำลังนั่งอยู่ใต้แสงเทียนเล่มสุดท้ายที่ลมกรรโชกจะพัดดับอยู่ทุกคราวสาย เขานั่งอยู่ตรงนั้น เลือดซึมที่มุมปากยังคงสดใหม่จากการถูกฝ่ามือเหี่ยวแห้งของหลิวกงกงฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความผิดเพียงเล็กน้อยจากขันทีชั้นสูงอีกคนที่เลื่องลือว่าเกลียดขันทีอายุน้อยที่ยังคงดูดีจนทำให้ความเหี่ยวแห้งของตนกลายเป็นเงาสะท้อน
วันนั้นจางกงกงหลุดวาจาที่โดนตัดสินว่าควรถูกตัดลิ้นอย่างไร้ความยุติธรรม เสียงตบหน้าที่ดังในตอนนั้นหนักราวกับฟ้าผ่าดาบในมือของขันทีชั้นสูงชักออกมาจากฝัก เสียงมันครูดไถกับพื้นกระเบื้องราวกับลากเสียงของยมทูตมากระซิบข้างหู “ตัดลิ้นมันเสีย จะได้เรียนรู้ว่าสุนัขต่ำศักดิ์ ไม่ควรแยกเขี้ยวใส่เจ้าของ” ขันทีชั้นสูงกล่าว ก่อนยกมือเป็นสัญญาณให้คนจับตัวเขาไว้แน่น
เด็กชายไม่ดิ้น…ไม่ร้อง…แต่ในหัวของเขานั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คนที่ใช้เขาเป็นเครื่องเซ่นไหว้ถวายบรรณาการ เขาหลับตาแน่นแล้วเตรียมใจรับความเจ็บปวด แต่ทว่าทุกอย่างกลับถูกหยุดลงด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง
“หยุด!”
เสียงหนึ่งที่เย็นเยียบแต่เปี่ยมด้วยอำนาจดังขึ้นจากประตูตำหนักไม้เก่า เสียงฝีเท้าขององครักษ์ที่ค่อย ๆ แหวกฝูงขันทีออกไป และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับกลายเป็นองค์ชายในชุดขาวสะอาด เส้นผมถูกรวบอย่างเรียบง่าย ใบหน้านั้นยังไม่ใช่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่หากแต่เป็นเพียงบุรุษหนุ่มวัยรุ่นผู้มีดวงตาแจ่มกระจ่างอย่างน่าประหลาด องค์ชายหลิวเช่อ ยืนมองภาพเบื้องหน้าใบหน้าหาแววตกใจไม่เจอ มีเพียงแววตาเรียบนิ่งที่แลดูราวกับเทพแห่งความยุติธรรมบรรจุตัวมาในเรือนร่างมนุษย์
“ในราชสำนัก…มิมีใครควรถูกเหยียบซ้ำเพียงเพราะเกิดต่ำ” พระองค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากท่านสั่งตัดลิ้นเขาโดยไม่มีความผิดที่ระบุชัดตามกฎข้าจะกราบทูลว่าท่านนี่แหละ…ควรถูกถอนตำแหน่งก่อน” เสียงขององค์ชายไม่ดังมากแต่หนักแน่นพอจะทำให้ขันทีชั้นสูงชะงักหยาดเหงื่อผุดขึ้นที่ขมับ เขารีบคุกเข่าก้มกรานทูลขออภัย ในขณะที่พระองค์หันมาทางเด็กชายขันทีผู้น้อยอย่างเงียบ ๆ สำหรับเด็กชายในเวลานั้น…นี่ไม่ใช่แค่การช่วยชีวิต แต่เป็น ครั้งแรกในชีวิตที่มีใครมองเขาด้วยแววตาแบบนั้น ไม่ใช่แววตาแห่งความอยากครอบครอง แววตาเยาะหยัน แววตาสงสารอันสูงส่ง หากแต่เป็น…แววตาของคนที่มองว่าเขาเป็น "มนุษย์"
หลินหยาที่ยืนดูอยู่ยังจำทุกสิ่งในช่วงเวลานั้นได้ แม้กระทั่งแสงเงาที่สะท้อนบนผ้าม่านแสงจากกระเบื้องฝ้า และลมหายใจของพระองค์ที่อบอุ่นแม้อยู่ในตำหนักเย็นเฉียบ เด็กชายขันทีผู้น้อยก้มศีรษะลงต่ำจนหน้าผากแนบกับพื้นอย่างสุดแรง ริมฝีปากสั่นระริกไม่กล้ากล่าววาจาสักคำ น้ำตารื้นขึ้นแต่เขากลั้นไว้ด้วยไม่อยากให้พระองค์เห็นว่าตนเองอ่อนแอ แต่นับจากวันนั้นเป็นต้นมา…จางกงกง...ก็มีจุดยึดใหม่ของชีวิต
องค์ชายหลิวเช่อ คือแสงสว่างดวงเดียวในโลกที่มืดสนิทของเขาพระองค์คือผู้เดียวที่ไม่มองว่าเขาเป็นอวัยวะที่เหลืออยู่เพียงครึ่งของมนุษย์ พระองค์คือผู้เดียวที่ไม่หวังสิ่งใดจากเขาแต่กลับหยิบยื่นมือเปล่าเพื่อช่วยเขาให้รอดจากขอบเหว นั่นคือวันที่ความแค้นในตัวเขาเปลี่ยนรูปมันไม่ใช่เพียงการสะสมเพื่อระบายอีกต่อไป หากแต่คือการสะสมพลังทั้งหมด…เพื่อส่งคืนทุกสิ่งให้ พระองค์ผู้เดียว และหากวันใดมีใครคิดแตะต้องพระองค์แม้เพียงปลายผมวันนั้นเขาจะ ทำลายโลกทั้งใบ นี้เพื่อรักษาแสงเพียงหนึ่งเดียวที่ยึดตัวเขาไว้จากการแตกสลาย
ตั้งแต่วันนั้นวันที่พระหัตถ์ขาวสะอาดขององค์ชายหลิวเช่อยื่นเข้ามาฉุดเขาขึ้นจากเหวลึก จางกงกง เด็กชายที่ไม่มีใครในโลกหล้าเรียกชื่อจริงของเขาอีกได้ถวายหัวให้ดวงจันทร์ดวงเดียวในคืนมืดมิดนั้นอย่างไม่มีวันหันกลับ หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่นานนักเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขันทีข้างกายขององค์ชายหลิวเช่อประจำตำหนักฝ่ายใน แม้ยศฐาจะต่ำกว่าขันทีผู้ใหญ่หลายคน ทว่าสถานะของเขากลับไม่อาจมีใครแตะต้องได้แม้แต่ครึ่งก้าว เพียงประโยคไม่กี่ประโยคขององอค์ชาย จางกงกงก็มีที่ยืนในราชสำนักอันไร้ที่ให้ผู้ต่ำต้อย
เด็กชายผู้มากับสายลมสาบเลือดของสำนักกงกงเริ่มก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งมารยาทและกฎเกณฑ์ เขานั่งเบื้องหลังโอรสแห่งสวรรค์ทั้งวันทั้งคืนเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งทั้งพิธีการในราชสำนัก ศิลป์แห่งคำพูด กระบวนชั้นของขุนนาง การประลองเชิงวาทะในลานสาธารณะ ความเคลื่อนไหวของขุนศึกและเสนาบดีแต่ละฝ่าย...เขาท่องจำแม้กระทั่งความชอบในการดื่มชาของเหล่าพระญาติฝ่ายใน สายเลือดชั้นสูงแต่ละตระกูลและวิธีหลบเลี่ยงกับดักของนักสืบราชสำนัก
องค์ชายหลิวเช่อไม่เคยหวงห้ามไม่ให้เขาเรียนรู้ ตรงกันข้ามพระองค์เปิดโอกาสให้เขาเรียนร่วมด้วยหลายครั้ง ถึงแม้จะเพียงเป็นเพื่อนร่วมฝึกในยามเช้าหรือเสวนาในบ่ายสงบ แต่ทุกวินาทีที่ได้อยู่เคียงข้างพระองค์คือวินาทีที่เขาเรียนรู้ทุกอย่างเร็วกว่าเด็กชายใดในราชสำนักเสียอีก
และความผูกพันที่ก่อตัวขึ้น…แม้จะไม่ใช่คำว่า ‘เพื่อน’ อย่างเปิดเผย
แต่ก็ลึกซึ้งยิ่งกว่า ‘เจ้านายกับคนรับใช้’ นัก
เพราะจางกงกงไม่เคยหลับตาเมื่อพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยไม่เคยปิดหูเมื่อได้ยินใครกล่าวร้ายไท่จื่อและไม่เคยละสายตาแม้แต่ครึ่งลมหายใจหากพระองค์ยืนอยู่เบื้องหน้า
วันเวลาผ่านไปไท่จื่อเติบโตขึ้นเป็นโอรสแห่งสวรรค์ผู้เปี่ยมปัญญาและพระปรีชาสามารถขณะที่จางกงกงเองก็เติบโตขึ้นเป็นบุรุษผู้มากฝีมือและเฉลียวฉลาด เขาซ่อนความเจ็บปวดความแค้นเดิมที่ถูกแปรรูปเป็นแรงผลักดันอยู่ใต้รอยยิ้มอ่อนน้อมและกิริยาเรียบร้อย เขารู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ด้วยวาทะเรียบง่ายแต่ทิ่มแทง รู้วิธีทำให้คนประมาทเขา แล้วค่อยสะสมทุกจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ในมือเหมือนหนอนในรากไม้ที่กัดกินช้า ๆ แต่ไม่มีวันลืม
เมื่อถึงเวลาที่องค์ชายหลิวเช่อขึ้นเป็นไท่จื่ออย่างเป็นทางการเสียงหนึ่งจากสำนักในเอ่ยว่า “ขันทีจาง...คือเงาใต้เท้าของไท่จื่อ” เขากลายเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดในราชสำนักไม่เกรงทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีแม้แต่วรรณะ ไม่มีตระกูล ไม่มีบุตร ไม่มีมารดาให้ร้องเรียกชื่ออีกแล้ว มีเพียงนามเดียวคือ จางกงกง
ที่คอยเคียงข้างพระพักตร์แห่งจักรพรรดิในอนาคต...พร้อมจะ ‘ลงมือ’ เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ความแค้นในอดีตไม่เคยหายไปหากแต่มันถูกหล่อหลอมเป็น ‘ความภักดี’ อันร้ายกาจที่สุดเพราะเขาไม่เพียงแค่ “ภักดี” ต่อจักรพรรดิหากแต่ “รัก” องค์ไท่จื่อ มากพอที่จะใช้ชีวิตของเขา
ฆ่า แทนพระองค์
เผา แทนพระองค์
ลบชื่อคนจากประวัติศาสตร์ทั้งตระกูล เพื่อพระองค์
และถ้าใครถามว่าจางกงกงคืออะไร...เขาคือ “มือที่เปื้อนเลือด เพื่อให้พระองค์ทรงสะอาด” คือ “ดวงตาที่มองในความมืด เพื่อให้พระองค์อยู่ในแสงสว่าง” และคือ “หัวใจที่ยอมแตกสลายเพื่อให้พระองค์ทรงอยู่ครบถ้วนเสมอ” นี่แหละ…จางกงกง ผู้ที่โลกอาจมองว่าเป็นเพียงขันทีคนหนึ่ง
.....
..........
เสียงเครื่องเขียนวาดเส้นหมึกดำเป็นระเบียบอยู่บนกระดาษหวงฝู หยดน้ำหมึกยังอุ่นชื้นในยามที่องค์ไท่จื่อหลิวเช่อยกพระพักตร์ขึ้นจากเอกสารราชการ หรี่พระเนตรพลางขมวดคิ้วคล้ายระลึกบางสิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบสายตามองขันทีน้อยที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ข้างโต๊ะทรงพระอักษรในยามนั้น เด็กหนุ่มวัยประมาณ 11-12 ปี รูปร่างผอมบางแต่ยืดยาวอย่างสง่างามตามวัย สวมอาภรณ์ขันทีสีฟ้าอ่อนทอด้วยดิ้นเงิน มีรอยเปื้อนหมึกจาง ๆ ตรงปลายแขนเสื้อจากการชงชาและเปลี่ยนน้ำหมึกให้พระองค์อยู่ทุกวัน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตานิ่งสงบราวกับทะเลที่ไร้คลื่นแต่ลึกในนั้น…ใครจะรู้ว่าคลื่นพิโรธแค่ไหนเคยซัดสาดอยู่ในนั้น
"หลายปีแล้วใช่หรือไม่...ที่เราอยู่ด้วยกันมา" ไท่จื่อเอ่ยขึ้นช้า ๆ เสียงทุ้มนุ่มทว่าเต็มไปด้วยความคิดพินิจอย่างสงบ "แต่ข้ายังไม่รู้เลย…เจ้าชื่อจริงว่าอะไร" ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ข้างพระองค์ชะงักเล็กน้อย ปลายนิ้วที่กุมพัดไม้ในมือแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะยอบกายเล็กน้อยแล้วตอบด้วยเสียงเรียบแผ่วไม่สั่นไหวว่า
“กระหม่อม…ไม่มีชื่อพะย่ะค่ะ หรืออาจเคยมีแต่จำไม่ได้แล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นน้อย ๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงแน่วแน่แต่เต็มไปด้วยเงาของความว่างเปล่า “กระหม่อมเป็นเพียงคนของวังหลวง ไม่มีชาติกำเนิด ไม่มีนาม ไม่มีผู้เรียก ไม่มีผู้ตอบ” ผู้ได้รับคำตอบเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ปลายพู่กันของไท่จื่อจะวางลงบนตลับหมึก พระองค์ทอดพระเนตรเขานิ่ง ๆ แล้วทรงยิ้มเบา ๆ อย่างที่ทรงเคยยิ้มเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต
“ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะตั้งให้เจ้าเอง”
ขันทีน้อยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองพระพักตร์อย่างไม่เข้าใจแต่ไม่ได้ปฏิเสธ ไท่จื่อจึงหยิบกระดาษอีกผืนมาวางไว้ตรงหน้า ทรงวาดอักษรด้วยลายมือสง่างาม หนึ่งคำ…ห่าว…อีกคำ…หมิง
“ห่าวหมิง (浩明) ห่าว จาก (浩 - Hào) คำนี้มีความหมายว่า กว้างใหญ่, ไพศาล, ยิ่งใหญ่, อุดมสมบูรณ์ หรืออาจสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของมหาสมุทรหรือท้องฟ้า ส่วน หมิง (明 - Míng) คำนี้มีความหมายว่า สว่าง, เจิดจ้า, สุกใส, ชัดเจน, เฉลียวฉลาด หรือมีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง รวมเป็น ผู้มีความรู้กว้างขวางและเฉลียวฉลาด หรือ ผู้มีความคิดกระจ่างแจ้งและยิ่งใหญ่ เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงสติปัญญา ความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล” พระองค์ทรงเอ่ยชัดถ้อยชัดคำดวงเนตรแน่วแน่ไม่ลดละ
"ตั้งแต่วันนี้ไป…เจ้าคือ 'จาง ห่าวหมิง'"
ราวกับเสียงสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านหุบเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ดวงตาของขันทีน้อยเบิกขึ้นช้า ๆ คล้ายเงาสีดำที่เคยปกคลุมทุกสิ่งพลันหายวับไป ริมฝีปากที่ไม่เคยสั่นไหวของเขาขยับเพียงน้อยนิด…แต่ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยออกมาใบหน้าที่เคยไร้สีเลือดกลับค่อย ๆ มีแสงอ่อนบางซึมซับอยู่ใต้ผิวจาง ๆ แม้จะไม่ใช่ชื่อที่มารดาตั้งให้…แต่ก็เป็นชื่อเดียวที่เขาเคยได้จากใครบางคนที่เห็นเขาเป็นคนจริง ๆ
“…ขอบพระทัยพะย่ะค่ะฝ่าบาท…” คำพูดสั้น ๆ ที่เปล่งออกมาเบาหวิวทว่าแทบทำให้ห้องทรงพระอักษรพลันเงียบสงัด ไท่จื่อเพียงยกยิ้มแล้วทรงเขียนนามนั้นต่อท้ายในบันทึกสำหรับรายชื่อข้าราชบริพารด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่นั้นมา “ห่าวหมิง" ก็คือชื่อที่เขายึดมั่นราวกับมันเป็นชื่อที่กลายเป็นดั่งตราประทับว่าเขาไม่ใช่แค่ “ขันที” แต่เป็น “คนของไท่จื่อ”…ผู้หนึ่งในเงาที่จะไม่มีวันทอดทิ้งแสงนั้นอีกตลอดชีวิต
.....
..........
หลินหยายืนนิ่งอยู่ในม่านหมอกแห่งความทรงจำซึ่งฉายภาพฉากต่อไปเบื้องหน้า ภาพที่นางไม่เคยเห็น ไม่อาจจินตนาการและยากจะเข้าใจหากไม่อยู่ ณ ตรงนี้ จากห้องทรงพระอักษรของไท่จื่อ เวลาราวหมุนเร็วราวถูกบิดบัง ม่านหมอกหอบพาให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ดวงจันทร์สุกสว่างฉาบแสงสีเงินเหนือป่าทึบเขตต้องห้ามที่แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังไม่กล้าเหยียบย่างโดยไม่มีราชโองการและท่ามกลางป่าอันชื้นเย็นแปลกตาเงาของเด็กหนุ่มในชุดขันทีแทรกตัวอยู่ระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ เขา...ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ใบหน้าของเขาเริ่มเฉียบคมขึ้น ร่างกายสูงโปร่ง เสื้อคลุมที่เคยสะอาดสะอ้านบัดนี้มีรอยเปรอะเปื้อนโคลนและเลือดจาง ๆ ที่ปลายชายเสื้อ
"ที่นี่คือ…?" หลินหยาขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าเคยเห็นสถานที่นี้ในตำราบางเล่มของหมอยาในโรงหมอของท่านหมอเจิ้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับเร็วจนน่าตกใจงูพิษขนาดใหญ่สีดำเขียวแวววาวพุ่งออกจากพุ่มไม้กัดเข้าที่ข้อมือของจางกงกงอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเลือดพุ่งเขาทรุดฮวบลงทันที ร่างกายชักกระตุก ดวงตาพร่าเลือน ท่ามกลางภาพหลอนแห่งความตายที่ย่างกรายเข้ามาแต่ขณะที่เขากำลังจะหมดสติ เสียงหนึ่ง...เสียงอันเยียบเย็นดุจเลื้อยคลานของงูพิษก็ปรากฏขึ้นภายในหัวของเขา
“หากเจ้ายังไม่อยากตาย…จงเป็นหนึ่งกับข้ากลืนพิษ กลืนเงา กลืนความอ่อนแอให้หมดสิ้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันถูกเหยียบซ้ำอีกต่อไป…”
หลินหยาที่ยืนอยู่ราวกับวิญญาณผู้ชมเหตุการณ์พลันชะงัก ดวงตานางเบิกขึ้นน้อย ๆ เพราะเสียงนั้น...แม้เลือนรางแต่นางกลับได้ยินชัดเจนเช่นกัน มันไม่ได้เอ่ยกับนางแต่คล้ายว่าความทรงจำที่ศาลาแห่งเงาสะท้อนให้เธอ…กำลังเปิดช่องให้บางสิ่งกระซิบกับหัวใจของนางไปพร้อมกับหัวใจของเด็กหนุ่มเช่นกัน ในห้วงขณะระหว่างความตายกับการตื่นเด็กหนุ่มเริ่มสูดลมหายใจอีกครั้งไม่ใช่เพราะรอดมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่เพราะเขากลืนพิษนั้นลงไป กลืนความกลัว กลืนความอ่อนแอแล้วบีบบังคับตนเองให้อยู่รอดด้วย ‘จิตใจ’ ที่แข็งราวเหล็กกล้าปกคลุมด้วยยาพิษเข้มข้น
หลังจากวันนั้น ห่าวหมิงหรือจางกงกงก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
หลินหยามองภาพของเขาที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งในป่ามืด ภาพที่นางเห็น...คือดวงตาสีดำที่เคยหม่นมืดบัดนี้กลับส่องประกายแวววาวราวกับนัยน์ตาของอสรพิษสีหน้าเย็นเยียบจนแม้แต่ลมที่พัดมาก็รู้สึกสะท้าน เขาเดินกลับวังด้วยเท้าที่มั่นคงกว่าเดิมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนแต่จิตใจเยือกเย็น ทุกถ้อยคำที่เอ่ยล้วนเฉือนลึก มองทะลุจิตใจคนรอบตัวได้อย่างแม่นยำ และแม้แต่หมอยาวังที่ตรวจอาการบาดเจ็บของเขาในภายหลัง...ก็ยังประหลาดใจว่าเหตุใดร่างกายของขันทีน้อยผู้นี้จึงไม่แสดงอาการใดจากพิษร้ายแรงขนาดนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นยาพิษ น้ำพิษ หรือพิษในใจคน...เขากลืนมันเข้าไปทั้งหมดแล้วกลั่นกรองออกมาเป็น "พิษแห่งคำพูด" พิษแห่งความเยือกเย็นทางสายตา และพิษแห่งการล่วงรู้ความลับ เขาเริ่มฟังสิ่งที่คนไม่พูดเริ่มเห็นสิ่งที่คนพยายามปิดเริ่มคำนวณความผิดพลาดเพียงปลายนิ้วสัมผัสหรือปรายตามอง
หลินหยาเงยหน้าขึ้นมองภาพของเขา พลางรู้สึกได้ว่าตั้งแต่จางกงกงตอนนี้ ความเป็นมนุษย์ในร่างกายเขาก็ค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับบางสิ่งที่บิดเบี้ยว โรคจิต วิปลาส และรอคอยการจู่โจมราวกับงูเงียบซุ่มในรัง
คราแรกเริ่มหลินหยาคิดว่าภาพทั้งหมดนี้จะสิ้นสุดลงแล้วใจที่ตึงเครียดเหมือนเส้นด้ายร้อยมีดคมเริ่มคลาย แต่ทว่าเบื้องหน้ากลับบิดเบี้ยวอีกครั้ง ม่านหมอกของศาลาแห่งเงาเปลี่ยนฉากอีกหน และคราวนี้คือจุดที่ไม่ใช่เพียงปลายทางของความแค้น…แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การชำระล้างด้วยไฟนรก” ภาพตรงหน้าคือจางกงกงในวัยเพียงราว 13 หรือ 14 ปี หากเป็นเด็กสามัญเขาย่อมยังคงเรียนหนังสือหรือวิ่งเล่นยามค่ำในหมู่บ้านแต่ไม่ใช่เขา เขาผู้นี้ไม่เคยได้รับแม้แต่นิยามว่า “เป็นเด็ก” บนยอดบันไดของตำหนักจงฉางชื่อ เขาคือ “จงฉางชื่อ” ขันทีผู้ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนักฮั่น บุคคลผู้เดินตามเสด็จจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้มาตั้งแต่ยังทรงเป็นไท่จื่อ เป็นเงาเงียบเบื้องหลังราชบัลลังก์ เป็นผู้ที่ฮ่องเต้ไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดและในวันที่จันทราส่องแสงเพียงครึ่งดวงนั้นเอง…วันที่ทุกขุมนรกภายในหัวใจของเขาเงียบงันลง
คือวันที่เขา “กลับบ้าน”
จวนสกุลจางอันห่างไกล จวนเดิมของเขาที่เคยทั้งถูกกักขัง วิ่นเฉือน และย่ำยีจิตวิญญาณของเด็กชายผู้ไม่เคยได้รับแม้แต่คำว่า “ลูก” ด้วยความจริงใจ ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ลานหินของจวนใหญ่ในยามวิกาล ฝุ่นตลบจากล้อเหล็กบดทับผืนดินท่ามกลางเสียงร้องสรรเสริญของบ่าวรับใช้ที่มิรู้ชะตากรรมของตน พ่อของเขาเจ้าบ้านผู้เคยถืออำนาจสูงสุดในบ้านที่เด็กชายต้องกราบกรานเยี่ยงสัตว์เลี้ยง เงยหน้าขึ้นยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าปลื้มปีติที่บุตรชายผู้เขาขยี้เพื่อเป็น “เครื่องมือแห่งเกียรติยศ” ในที่สุดก็เดินมาสู่จุดสูงสุด
“ในที่สุด…เจ้าก็สำเร็จ” ผู้เป็นบิดากล่าวด้วยน้ำเสียงหวงแหนในสิ่งที่ตนเคยถ่มน้ำลายรด เขายื่นมือออกไปราวกับจะรับ ‘รางวัล’ จากบุตรที่เขาไม่เคยกอดด้วยรักแม้สักครั้งแต่สิ่งที่เขาได้รับ…กลับเป็นบางสิ่ง…ไม่มีคำพูด ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าหลบหนี
"คนอย่างเจ้าสมควรตายตั้งแต่ข้ายังเด็กแล้ว" น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างเย็นชาท่ามกลางคมดาบที่วาดเป็นวงกลมฉับพลัน บ่าวไพร่ในจวนกรีดร้องแต่ทุกเสียงพลันสิ้นสุดลงด้วยเลือดที่สาดไหลดั่งน้ำตกเหนือศาลบรรพบุรุษห้วงภาพสุดท้ายไม่ใช่เสียงร้อง ไม่ใช่ไฟลุกโชน ไม่ใช่คมดาบที่เฉือนผ่านลำคอ แต่คือ ความเงียบ ความเงียบงันที่น่าสะพรึงราวอเวจีที่กลืนกินทุกสิ่ง หลินหยาแทบไม่อยากกระพริบตาภาพตรงหน้ามันไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมมันคือผลพวงของนรกที่สุมอยู่ในร่างของเด็กชายผู้ไม่เคยได้เติบโตในฐานะมนุษย์
ศพของผู้นำสกุลจาง ชายผู้เคยถืออำนาจเด็ดขาดในจวนนอนกองอยู่ท่ามกลางเศษเลือดที่ไหลเยิ้มจนเปื้อนรอบเรือน เสื้อผ้าเขาขาดวิ่น ใบหน้าซูบซีดบวมช้ำ เต็มไปด้วยรอยเล็บจิกและแผลบวมเป่งจากยาพิษชนิดร้ายแรงที่ค่อย ๆ แผดเผาเส้นเลือดให้ระเบิดทีละเส้นจากภายใน ดวงตาปูดโปน อ้าค้างราวกับอยากร้องขอความเมตตาแต่ก็ไร้เสียง เพราะลิ้นของเขาถูกคว้านออกไปตั้งแต่ก่อนสิ้นใจเสียอีก
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือภาพของ จางกงกง ในชุดขันทีเต็มยศ ยืนอย่างนิ่งสงบข้างกายศพนั้นราวกับเป็นเพียงรูปปั้นไร้ความรู้สึกห่างจากร่างที่คร่ำคร่าเพียงไม่ถึงก้าว และในชั่วขณะหนึ่ง เขายกเท้าขึ้นไม่ใช่ด้วยความรังเกียจแต่ด้วยความเย็นชาราวเครื่องจักร
"กร่อก…"
เสียงสัมผัสของปลายรองเท้าปักไหมกับใบหน้าเหี่ยวแห้งของบิดาดังขึ้นเบา ๆ แต่สะท้อนก้องในโสตประสาทหลินหยาราวกับค้อนทุบกลางอก เขาไม่ได้เตะ ไม่ได้เหยียบ…เขาเพียงแตะมันไว้ราวกับลูบไล้ด้วยเท้า เป็นสัมผัสสุดท้ายระหว่างพ่อกับลูกสัมผัสที่ไร้เนื้อแท้ของมนุษย์และขณะที่คนตายกระตุกเฮือกสุดท้าย ริมฝีปากของจางกงกงก็ขยับเอ่ยเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉียบจนหลินหยาต้องขนลุกซู่
"เจ้าสร้างข้าขึ้นมาในนรก...งั้นข้าก็จะกลายเป็นนรกนั้นเอง"
ไม่มีน้ำตา ไม่มีการสั่นไหว ไม่มีความสลดหรืออาลัยมีเพียงความเย็นชาของภูตผีและอำนาจที่ไม่ต้องการคำอนุญาตจากใครในโลก หลินหยาที่ได้เห็นภาพนั้นนางยืนนิ่งไม่อาจขยับ แม้แต่ลมหายใจยังแล่นผ่านลำคออย่างยากเย็น นางเข้าใจทันทีว่า “แววตาเย็นเยียบ” ของจางกงกงหาได้เกิดขึ้นเพราะเขาเกิดมาเช่นนั้น…แต่มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากนรกทั้งเป็นจากการถูกทรยศโดยคนที่ควรจะปกป้องเขา
การฆ่าล้างสังหารอย่างโหดเหี้ยมเผาบ้านทั้งหลัง เผาทุกต้นไม้ที่เคยเป็นเงาร่มให้เขาตอนที่เขาหลบการทุบตี ทุบทำลายป้ายชื่อบรรพชนด้วยน้ำมือของตนเอง สั่งให้ถอดรื้อฐานบันทึกประวัติศาสตร์สกุลจางออกจากทำเนียบขุนนาง เผาขี้เถ้าทิ้งลงในแม่น้ำเว่ยสุ่ยให้ไม่มีแม้เถ้าถ่านใดเหลือให้ฟื้นฟูความทรงจำ
“ข้าไม่ได้ฆ่าพ่อ…ข้าฆ่าคนที่เคยฆ่าข้าให้ตายตั้งแต่ข้ายังหายใจ” เขาเคยกล่าวกับขันทีคนสนิทอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเดินกลับขึ้นตำหนักหลวงในยามรุ่งเช้า รอยเลือดยังเปรอะอยู่ที่รองเท้าปักไหม และในฉากสุดท้ายนั้นเอง ไฟลุกวาบขึ้นราวกับทั้งฟ้าใต้หล้าร่วมเป็นพยาน จวนสกุลจางถูกเผาไหม้ทั้งจวนจนไม่หลงเหลือแม้กระทั่งชื่อในทะเบียนขุนนาง ขี้เถ้าไหลรวมกับสายลม หายวับเหมือนไม่เคยมีบ้านหลังนี้อยู่บนโลกนี้มาก่อน
หลินหยายืนนิ่ง มือนางสั่น ใบหน้าซีดเผือด หัวใจเหมือนถูกคว้านลึกลงไปยังเหวนรก สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่แค่เรื่องราวของอดีตแต่มันคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เกิดจากความ ไร้รัก ไร้ความอบอุ่น...สามารถสร้าง ปีศาจในคราบมนุษย์ ขึ้นมาได้อย่างแท้จริงและจางกงกง…คือปีศาจนั้น ปีศาจที่เลือกจะฝังหัวใจตนเองทั้งเป็นแล้วแทนที่มันด้วย นรกที่ไม่มีใครรอดพ้น
.....
..........
ขาของหลินหยาอ่อนแรงราวจะถูกสูบพลังชีวิตจากร่าง นางทรุดตัวลงกระแทกพื้นศาลาจื่อเถิงฮวาอย่างช้า ๆ โดยไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าเสียงดังแค่ไหนหรือฝุ่นจากพื้นกระเบื้องโบราณของศาลาเงาแห่งพันธะจะกระเซ็นใส่ผ้าผ่อนงามวิจิตรของนางเพียงใด มือหนึ่งทาบแน่นที่อกซ้ายราวจะฉุดหัวใจที่กำลังหล่นวูบสู่ห้วงเหวน และอีกมือยกขึ้นปิดปากแน่นน้ำตาหยดแรกไหลเงียบราวกับเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเอ่อล้นตาออกมาตั้งแต่เมื่อใด
"...นี่หรือ...ชีวิตของเขา..." เสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากนุ่มนั้นแผ่วเบาเกินกว่าจะเรียกว่ากระซิบ มันเต็มไปด้วยอาการสะอื้นในลำคอจนถ้อยคำสั่นระริก...หลินหยาไม่เคย...ไม่เคยแม้แต่จะนึกเลยว่าโลกนี้จะมีชีวิตเช่นนั้นอยู่จริงชีวิตที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยได้รับแม้เพียงเศษเสี้ยวของความรัก ความอบอุ่น หรือแม้แต่คำเรียกขานว่า "ลูก" ที่เปล่งจากใจคนเป็นพ่อ หัวใจของนางบีบรัดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออกราวกับบาดแผลที่ไม่เคยเป็นของตนได้ฉีกกลางอกตนเองอย่างไม่มีเยียวยา หลินหยาเกิดในบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ พี่น้องแย่งของเล่นกันแต่ก็โอบกอดกันเสมอ ยามล้มแม่จะประคอง พ่อยิ้มแม้เพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่เด็กคนนั้น...เด็กชายผู้ไม่เคยรู้จักการลูบหัวอย่างอบอุ่นไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของใครที่เป็นครอบครัว ไม่เคยได้รับแม้กระทั่งชื่อ...จนต้องให้ผู้อื่นมาตั้งให้...ความคิดนั้นราวสายฟ้าฟาดกลางทรวง หลินหยารู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วงร่างทั้งร่างชาวาบเย็น นางไม่เคยเข้าใจเลย...ไม่เคยเห็น…ว่า “จางกงกง” คนที่นางเคยกลัวเคยตะคอกใส่ เคยต่อยหน้า เคยสาปแช่ง...เขาคือคนที่เดินมาไกลขนาดนี้จากนรกที่ไม่มีใครแม้แต่จะมองลงไป
“ห่าวหมิง...” นางเอ่ยชื่อที่จักรพรรดิมอบให้เขาด้วยเสียงสั่นพร่าชื่อเดียวกับชายสวมหน้ากากครึ่งหน้า คล้ายกำลังเรียกใครสักคนในอดีต...เรียกตัวตนที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย หัวใจของหลินหยาบัดนี้เต็มไปด้วยอะไรหลายอย่าง ความเวทนา…ความเจ็บปวด…ความรู้สึกผิดอันไม่รู้จะชดเชยยังไง…แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ความเศร้า
เศร้าที่มีคนคนหนึ่งต้องแบกโลกทั้งใบไว้ในอกโดยไม่เคยมีใครช่วยถือ
เศร้าที่ต้องมีเด็กสักคนเกิดมาเพียงเพื่อถูกบดขยี้ให้กลายเป็นฝุ่น
เศร้าที่คน ๆ หนึ่งต้องฆ่าพ่อของตนเองเพื่อยืนยันว่าตนนั้นมีตัวตน…ในโลกที่ไม่เคยให้เขาเป็นใครเลย
“ข้ารู้แล้ว…” หลินหยาพึมพำราวบอกกับลมกับฟ้าหรือกับดวงวิญญาณที่ยังสถิตอยู่ในห้วงพันธะ “เพราะเช่นนี้เองสินะ…ท่านถึงเป็นแบบนี้” นางเอ่ยขึ้นยิ้มขืนตัวเองแม้นางจะรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้าย และไม่ควรจะมีใครโดนแบบที่จางกงกงทำกับนาง แต่ก็ไม่มีใครควรทำกับจางกงกงแบบนั้นเช่นเดียวกัน แม้นี่คือเพียงความทรงจำในพันธะ แต่นางรู้…รู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพลวงตามันคือบาดแผลที่จารึกอยู่ในกระดูกของชายผู้นั้นและหลินหยารู้…ว่าไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
นางจะไม่มีวันมองเขาเหมือนเดิมอีกเลย

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: จบยังอ่ะ ไอนีทรางวัล แต่แบบแต่งไปแต่งมานิยายเกย์หรอ 555 หลิวเช่อกับจางกงกงเกย์มากอ่ะ
รางวัล: ???